1 เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ เสนอ อาจารยเ์ กสร เทียนใต้ จัดทาโดย นายมงคลชยั แซย่ ั้ง นักศึกษาระดับชัน้ ปวส.101 สาขาเทคนิคเครื่องกล รายงานเล่มนี้เปน็ ส่วนหนงึ่ ของวิชาเทคโนโลยีดจิ ิทลั เพอ่ื การจดั การอาชพี รหัสวิชา 3001 – 2001 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2563 วิทยาลยั อาชวี ศกึ ษาเถินเทคโนโลยี อ.เถิน จ.ลาปาง
ก คานา รายงานเลม่ นเ้ี ปน็ ส่วนหน่งึ ของวิชา เทคโนโลยดี จิ ิตลั เพ่อื การจดั การอาชีพ จดั าขน้ึ เพอ่ื ให้ความรเู้ กย่ี วกบั เทคโนโลยีดิจิตลั ในงานอาชีพ แก่ผทู้ ส่ี นใจท่ีจะศึกษาขอ้ มลู เพมิ่ เติม เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว หากรายงานเล่มน้มี ี ข้อผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ทนี่ ้ดี ้วย ผจู้ ัดทา มงคลชยั แซ่ยงั้
สารบญั ข เรื่อง หนา้ เทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อจดั การการอาชีพ ก คานา ข สารบัญ 1-3 ความหมายของคอมพิวเตอร์ 4-17 อุปกรณ์โทรคมนาคม 18-20 ความหมายของอนิ เทอรเ์ น็ต ค อ้างองิ
1 เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื จัดการการอาชีพ ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และ สารสนเทศ การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ การจัดเก็บ ค้นคืน ส่งผ่านและจัดดาเนินการข้อมูลสารสนเทศ การ ประยุกตใ์ ช้โปรแกรมสาเร็จรปู ในการนาเสนอและสอ่ื สารข้อมูลสารสนเทศตามลกั ษณะงานอาชีพ 1.ความหมายของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ (Computer) หมายถึงอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่ทางานด้วยระบบอิเลก็ ทรอนิกส์ สามารถเกบ็ และจา ข้อมูลรวมถึงชุดคาส่ังในการทางานได้ทาให้สามารถทางานได้โดยอัตโนมัติ ด้วยอัตราความเร็วที่สูงมาก ใช้เพื่อ ประโยชน์ในการคานวณหรือทางานตา่ ง ๆ ได้เกือบทุกชนดิ ทุกประเภทและแสดงผลลพั ธ์ออกมาในรูปแบบต่าง ๆได้ อย่างรวดเร็วถูกต้อง คอมพิวเตอร์มาจากรากศัพทภ์ าษาลาตินว่า Computer พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2540) ได้บัญญัติไว้ว่า Computer : คอมพิวเตอร์,คณิตกรณ์ หมายถึง เคร่อื งคานวณหรือผูค้ านวณ มีหน้าทค่ี านวณและเปรยี บเทยี บ (ประมวลผลข้อมูล) ตามคาสง่ั ทมี่ นษุ ยจ์ ัดเตรยี มไว้ใน รูปแบบของโปรแกรมหรือชดุ คาส่งั ตา่ ง ๆ คณุ สมบตั ิเฉพาะของคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันจะเหน็ ได้ว่ามีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถคานวณได้ เช่น ลูกคิด เคร่ืองคิดเลข แต่คอมพิวเตอร์มีความ แตกต่างจากอุปกรณ์ที่ใชใ้ นการคานวณโดยทัว่ ไปคือ 1. คอมพวิ เตอร์เป็นอปุ กรณ์ไฟฟา้ ทม่ี หี นว่ ยคานวณและปฏบิ ตั ิการทางตรรกยะซึง่ ประกอบด้วยวงจรไฟฟา้ มากมาย ดงั นั้นการคานวณเปรียบเทียบจึงสามารถทาไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว 2. คอมพิวเตอร์มีหน่วยความจาภายในเครื่อง ท่ีสามารถเก็บข้อมูลซ่ึงอาจเป็นข้อความ ตัวเลข รูปภาพ ไว้ใน หนว่ ยความจาภายในเคร่อื งเพอ่ื ประโยชน์ในการเรียกใชข้ ้อมูลปัจจบุ ันหรือเรยี กใช้ในภายหลังได้ 3. ผู้ใช้สามารถใช้ชุดคาสั่ง หรือโปรแกรมที่บอกข้ันตอนท่ีคอมพิวเตอร์ต้องทางานโดยเรียงลาดับการทางาน ก่อนหลงั หรอื วธิ กี ารประมวลผล ซงึ่ คอมพวิ เตอร์สามารถทางานตามคาสง่ั ทอ่ี ยใู่ นโปรแกรมนัน้ อยา่ งอตั โนมตั ิ
2 กระบวนการทางานของคอมพวิ เตอร์ กระบวนการทางานของคอมพิวเตอร์ มี 3 ขั้นตอน คือ 1. รับเข้า (Input) คอมพิวเตอร์จะรับข้อมูลเข้ามา แล้วปฏิบัติตามคาส่ังข้อมูลนั้น อาจเป็นตัวเลข ตัวอักษร ภาพนิง่ ภาพเคลื่อนไหวและเสยี ง 2. ประมวลผล (Process) คอมพิวเตอร์จะทาการคานวณ เปรียบเทียบ วิเคราะห์ โดยการใช้คาส่ังหรือ โปรแกรมทเ่ี ขยี นข้นึ 3. ส่งออก (Output) คอมพิวเตอรจ์ ะนาผลทที่ าการประมวลผลเสรจ็ เรียบร้อยมาแสดงในรูปแบบตา่ ง ๆ เพ่ือให้ สอ่ื ความหมายและนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้งา่ ย ประเภทของคอมพิวเตอร์ เน่ืองจากคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุคมคี วามสามารถแตกตา่ งกัน การแบ่งประเภทของคอมพวิ เตอร์จึงต้องอาศยั การ แบง่ ประเภทของเคร่อื งทีอ่ ย่ใู นยคุ เดียวกัน ซ่ึงมวี ิธีการแบง่ 3 วิธี ดงั นี้ 1. แบ่งตามวิธกี ารประมวลผล 2. แบ่งตามวัตถปุ ระสงค์ของการใช้งาน 3. แบง่ ตามขนาดของคอมพวิ เตอร์ สาหรับการเรียนร้เู นือ้ หาน้ีจะแบ่งคอมพิวเตอร์ตามวิธีท่ี 3 คือแบ่งตามขนาดของคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถแบ่งได้ ดังน้ี 1. ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super computer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพและขีดความสามารถสูงมาก สามารถต่อพ่วงไปยังอปุ กรณ์ต่าง ๆ ราคาค่อนข้างสูงเพราะการออกแบบและการผลติ ต้องใช้ความก้าวหน้าด้าน เทคโนโลยีมาก นิยมใช้ในงานส่งดาวเทียมและยานอวกาศ สาหรับประเทศไทยมีใช้ที่กรมอุตุอนิยมวิทยา ศูนย์ เทคโนโลยีอิเลก็ ทรอนกิ ส์และคอมพิวเตอร์แหง่ ชาติ เปน็ ตน้ 2. เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ (Mainframe Computer) เป็นคอมพิวเตอรข์ นาดใหญ่สามารถใช้งานกบั ข้อมลู จานวน มาก ๆ ไดด้ กี ว่าคอมพวิ เตอร์แบบอน่ื ๆ สามารถเชื่อมต่อไปยังปลายทางได้ ทางานพรอ้ มกันได้หลายงาน และใช้ได้ หลายคนพร้อม ๆ กัน ตัวอย่างเคร่ืองเมนเฟรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย คือ เครื่องรับจา่ ยเงินอัตโนมัติ/ตู้เอทีเอม็ (ATM) ของธนาคาร 3. มินคิ อมพิวเตอร์ (Mini Computer) เปน็ คอมพิวเตอรข์ นาดกลางส่วนมากใชก้ ับหน่วยงานธรุ กจิ ขนาดเลก็ และมี ราคาถูกลง สามารถทางานได้หลายงานพรอ้ มกันเหมือนเครื่องเมนเฟรม แต่ขีดความสามารถในการต่อพ่วงนอ้ ย
3 กว่า หน่วยงานท่ีใช้ส่วนใหญไ่ ด้แก่ กอง กรม มหาวิทยาลัย บรษิ ัทหา้ งร้าน ห้างสรรพสนิ ค้า โรงแรม โรงพยาบาล เปน็ ต้น 4. ไมโครคอมพวิ เตอร์ (Micro Computer) เป็นคอมพิวเตอรข์ นาดเลก็ ที่ใช้กันทัว่ ไปและนยิ มมากท่ีสุดในปัจจุบัน หรอื อาจเรยี กอกี อยา่ งหน่ึงวา่ คอมพวิ เตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) คนทั่วไปนยิ มเรยี กวา่ พีซี (PC) ใช้ ตัวประมวลผลแบบชพิ (Chip) เปน็ องคป์ ระกอบหลัก คอมพิวเตอร์ส่วนบคุ คลนัน้ ยังสามารถแบ่งย่อยตามลักษณะ ประเภท ไดด้ งั น้ี 4.1 คอมพิวเตอร์แบบต้ังโต๊ะ (Desktop Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลชนิดต้ังบนโต๊ะหรือพื้น ตวั เคร่ืองมลี ักษณะเป็นกล่องขนาดใหญต่ ้งั บนโต๊ะทางานมีสายเชื่อมโยงไปยังจอภาพ ซึง่ ตง้ั อยู่บนโต๊ะทางานพร้อม แผงแปน้ อักขระและเมาส์ นิยมใชใ้ นหน่วยงานทว่ั ไป เช่นหอ้ งปฏิบัตกิ ารคอมพิวเตอร์ รา้ นอนิ เทอร์เนต็ ตามบ้านทัว่ ๆ ไป เนื่องจากราคาไมแ่ พงจนเกนิ ไป 4.2 คอมพิวเตอร์แบบวางตัก/แล็ปทอป (Laptop Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแบบกระเป๋าหิ้ว สามารถพกพาไปไหนมาไหนไดส้ ะดวก ในเวลาอาจใช้วางบนตกั ได้ (Lap แปลวา่ ตกั ) คอมพวิ เตอรร์ ุน่ นม้ี แี บตเตอร่ี ไฟฟ้าสารองในตัว ใช้จอภาพผลึกเหลวซึ่งเรียกว่า แอลซีดี (LCD : Liquid Crystal Display) ในปัจจุบันไม่ค่อย ได้รับความนยิ ม 4.3 คอมพิวเตอรข์ นาดสมดุ บันทกึ (Notebook) เป็นคอมพิวเตอรข์ นาดเลก็ มาก มขี นาดเลก็ เท่าหนงั สอื ขนาดใดก็ ได้ สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก มีแบตเตอร่ีในตัวและสามารถพ่วงต่อกับโทรศัพท์เพื่อรับส่งข้อมูลใน ระยะไกลได้ คอมพวิ เตอรร์ นุ่ นี้ในปัจจบุ นั ได้รบั การพฒั นาไปมากและเปน็ ทีน่ ยิ มใช้กันเปน็ อยา่ งมาก 4.4 คอมพิวเตอร์ขนาดฝา่ มอื (Palmtop Computer) เป็นคอมพวิ เตอรท์ ม่ี ีขนาดเลก็ สามารถวางบนฝา่ มือแต่ไม่ ค่อยได้รับความนยิ มมากนัก เน่ืองจากแป้นอกั ขระ รวมท้ังจอภาพมีขนาดเล็กเกินไป ไม่สะดวกต่อการใช้งาน แต่ เหมาะสาหรบั การเก็บบนั ทกึ สว่ นตัว เช่น หมายเลขโทรศัพท์หรือบนั ทึกชือ่ เพอื่ น หรือรายละเอียดส่วนตวั 4.5 คอมพวิ เตอร์ขนาดมือถือ (Handheld Computer) เปน็ คอมพิวเตอร์ทีม่ ีขนาดเลก็ ถือดว้ ยมอื จอภาพเล็กปกติ นยิ มใช้เพื่อการบันทึกตัวเลขมาตรไฟฟา้ มาตรน้าประปาโดยพนกั งานจะถอื คอมพวิ เตอร์ไปอา่ นมาตรวดั แลว้ กดปุ่ม บันทกึ ในหนว่ ยงานขนาดใหญจ่ ะใชใ้ นการตรวจนับสนิ ค้า 4.6 คอมพิวเตอร์แบบพีดีเอหรือเคร่ืองช่วยงานบุคคลแบบดิจิทัล ( PDA : Personal Digital Assistant) คอมพิวเตอรแ์ บบพดี ีเอ สามารถพกพาไดอ้ ยา่ งสะดวก ใชป้ ากกาแสง (Light Pen) เขียนข้อมูลบนหน้าจอ บางคร้ัง ใช้ปากกาแสงเปน็ อุปกรณ์เพ่อื เลือกทางานบนหน้าจอเหมือนกบั สมดุ บันทึก ภายในเครอื่ งมีโปรแกรมทอี่ ่านลายมือ เม่ือเขยี นแลว้ เปลีย่ นเปน็ ตวั อักษรได้โดยใชป้ ากกาพิเศษ ปัจจบุ ันยงั ไม่นิยมมากนักเน่อื งจากราคายงั แพงพอสมควร
4 2. อปุ กรณ์โทรคมนาคม โทรคมนาคม (Telecommunications) หมายถึง การส่ือสารข้อมูลระยะทางไกลในรูปแบบสัญญาณ อีเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงในอดีตโทรคมนาคมให้บริการในรูปแบบของสัญญาณเสียงผ่านสายโทรศัพท์ที่เรียกกันว่า สัญญาณในระบบ อนาลอก (Analog Signal) แต่ในปัจจบุ ันสญั ญาณโทรคมนาคมกาลังจะกลายเปน็ การถ่ายทอด สญั ญาณในรูปแบบ ดิจิตอล (Digital Signal) ทง้ั หมด ระบบโทรคมนาคมเปน็ ระบบใหญท่ มี่ กั ผกู ขาดโดยองคก์ รของรฐั ในเกือบทุกประเทศทว่ั โลก ดังเช่น ในประเทศ ไทย ได้แก่ องคก์ ารโทรศพั ท์แหง่ ประเทศไทย ซ่ึงไดแ้ ปรรูปกิจการมาเปน็ บริษทั ศท.คอร์เปอเรชัน่ จากดั (มหาชน) แล้ว เพ่ือใหเ้ กดิ การแข่งขันที่เสรกี ับองค์กรผู้ใหบ้ รกิ ารโทรคมนาคมเอกชนอื่นๆ ท่ีเติบโตข้ึนมาโดยลาดับ เพ่ือการ ขยายตัวทีด่ ขี นึ้ ในภมู ภิ าค และเปน็ กิจการสาธารณะทสี่ ามารถเปดิ ใหบ้ รกิ ารได้อย่างเสรรี วมไปถึงการเชอื่ มต่อระบบ อินเตอร์เนตกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคด้วย จะนามาซ่ึงการให้บริการที่หลากหลายในด้านการส่ือสาร ข้อมูล โดยเฉพาะการสร้าง ถนนสายด่วนข่าวสาร (Information Super-Highway) เช่น การโทรคมนาคมผา่ นเครอื ขา่ ย สื่อสารระบบดิจิตอลความเร็วสงู ท่ีสามารถให้บรกิ ารทางการศึกษา ค้นคว้าวิจัย สันทนาการ และการรว่ มมือกัน ทางเศรษฐกิจในระดับชาติ ระดับภูมิภาค ตลอดจนระดับโลก และจะเปน็ สว่ นหน่ึงของการดารงชีวิตในทศวรรษ หน้า องค์ประกอบและหน้าท่ีของระบบโทรคมนาคม ระบบโทรคมนาคม (Telecommunications Systems) คือระบบท่ีประกอบด้วยฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ จานวนหนึ่งทีส่ ามารถทางานรว่ มกนั และถูกจดั ไวส้ าหรบั การสือ่ สารข้อมลู จากสถานท่ีแห่งหนง่ึ ไปยังสถานทอี่ กี แห่ง หน่ึง ซ่ึงสามารถถ่ายทอดข้อความ ภาพกราฟฟิก เสียงสนทนา และวิดีทัศน์ได้ มีรายละเอียดของโครงสร้าง สว่ นประกอบดังนี้ 1. เครอื่ งคอมพิวเตอรห์ รอื เครอ่ื งมอื เปลย่ี นปรมิ าณใดใหเ้ ปน็ ไฟฟา้ (Transducer) เชน่ โทรศพั ท์ หรือไมโครโฟน 2. เคร่อื งเทอร์มนิ อลสาหรับการรับข้อมลู หรือแสดงผลขอ้ มูล เช่น เครื่องคอมพิวเตอรห์ รือโทรศัพท์ 3. อุปกรณ์ประมวลผลการส่ือสาร (Transmitter) ทาหน้าท่ีแปรรูปสัญญาณไฟฟ้าให้เหมาะสมกับช่องสัญญาณ เช่น โมเด็ม (MODEM) มัลติเพล็กเซอร์ (multiplexer) แอมพลิไฟเออร์ (Amplifier) ดาเนินการได้ท้ังรับและส่ง ข้อมลู 4. ช่องทางสอื่ สาร (Transmission Channel) หมายถึงการเชื่อมตอ่ รูปแบบใดๆ เช่น สายโทรศพั ท์ ใยแกว้ นาแสง สายโคแอกเซียล หรอื แมแ้ ตก่ ารสือ่ สารแบบไร้สาย 5. ซอฟทแ์ วร์การส่ือสารซึง่ ทาหน้าทค่ี วบคมุ กจิ กรรมการรับสง่ ขอ้ มลู และอานวยความสะดวกในการสอ่ื สาร
5 องค์ประกอบทีส่ าคัญของเทคโนโลยีโทรคมนาคม ประกอบดว้ ย 5 องคป์ ระกอบทสี่ าคัญ ต้นกาเนิดขา่ วสาร (Source of Information) เปน็ สว่ นแรกในระบบการสือ่ สารโทรคมนาคม เป็นแหลง่ ท่มี า ของข่าวสารต่าง ๆ ท่ีผู้ส่งต้องการท่ีจะส่งไปยังผู้รับท่ีปลายทางตัวอย่างในระบบโทรศัพท์ หรือระบบ วิทยุกระจายเสียง ส่วนนี้ก็คือเสียงพูดของผู้พูดท่ีต้นทาง ซ่ึงจะถูกไมโครโฟนเปล่ียนให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าท่ี เหมาะสม และสง่ เขา้ ไปในระบบ หรือในกรณีระบบการสื่อสารข้อมูล (Data Communication) สว่ นน้ีอาจจะเป็น เครื่องคอมพวิ เตอร์หรือ Data Terminal ประเภทต่าง ๆ เคร่ืองส่งสญั ญาณ (Transmitter) ทาหน้าท่ีในการแปลงหรือเปล่ียนสญั ญาณไฟฟา้ ที่ใช้แทนข่าวสารจากต้นกาเนิดข่าวสารใหเ้ ป็นสญั ญาณหรือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีเหมาะสมในการส่งต่อไปยังปลายทางเช่นระบบโทรศัพท์ ตัวเครื่องโทรศัพท์จะแปลง สัญญาณไฟฟ้าท่ีใช้แทนเสียงพูด ให้เป็นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีเหมาะสมและส่งต่อไปยังปลายทางสาหรับใน ระบบการสอ่ื สารข้อมูล ส่วนน้ีจะเปน็ MODEM หรืออุปกรณ์อ่ืนที่เหมาะสมในการเปลย่ี นสัญญาณไฟฟา้ ทมี่ าจาก คอมพิวเตอร์เพอ่ื ให้เปน็ สญั ญาณแมเ่ หล็กไฟฟ้าทเ่ี หมาะสมในการผา่ นระบบส่ือสญั ญาณไปยงั ปลายทาง ระบบการสง่ ผา่ นสัญญาณ (Transmission System) เครอื่ งสง่ ไดเ้ ปลยี่ น หรือแปลงสัญญาณไฟฟ้าท่ใี ช้แทนขา่ วสารตา่ ง ๆ ให้เปน็ สญั ญาณหรือคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ที่ เหมาะสม สัญญาณก็จะถูกส่งผ่านระบบระบบการส่งผ่านสญั ญาณ เพ่ือส่งต่อไปยังเคร่ืองรับและผู้รับทป่ี ลายทาง ดังน้ันระบบการส่งผ่านสัญญาณจึงถือได้ว่านบั เป็นสว่ นท่ีสาคัญและจาเปน็ มากในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม เคร่อื งรับสญั ญาณ (Receiver) เคร่ืองรับสัญญาณ เป็นสว่ นทที่ าการเปลยี่ นสญั ญาณ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ที่ถูกส่งผา่ นระบบการสง่ ผา่ น สัญญาณจากต้นทาง เพื่อให้กลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารท่ีถูกส่งมาจากต้นท าง ท้ังน้ีเพ่ือส่งให้ อุปกรณ์ปลายทางทาการแปลง หรือเปล่ียนสัญญาณไฟฟ้านั้น ให้กลับมาเป็นข่าวสารท่ีผู้รับสามารถเข้าใจ ความหมายได้สาหรับระบบการสื่อสารข้อมูลส่วนนี้จะเป็น MODEM หรืออุปกรณ์ท่ีเหมาะสมในการเปลี่ยน สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าท่ีใช้ข้อมูลในรูปแบบท่ีถูกต้อง และเหมาะสมสาหรับการส่งต่อให้ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ ดังน้ันอุปกรณ์บางชนิด เช่น MODEM อาจเป็นได้ทั้งอุปกรณ์ในการส่ง และรับสัญญาณ ใน อุปกรณช์ นิดเดยี วกนั ผู้รบั สัญญาณ (Destination) ผรู้ ับสัญญาณ เป็นสว่ นสดุ ทา้ ยในระบบการส่อื สารโทรคมนาคม ซึ่งทาหน้าที่รับข้อมลู ข่าวสารท่ีส่งมาจากต้นกาเนิดข่าวสารดังนั้นอุปกรณ์รับสัญญาณ และอุปกรณ์ส่งสัญญาณ อาจเป็นอุปกรณ์ชนดิ เดยี วกันก็ไดเ้ ช่นคอมพิวเตอร์ เป็นตน้
6 หน้าที่ของระบบโทรคมนาคม ทาหน้าที่ในการส่งและรับข้อมูลระหว่างจุดสองจุด ได้แก่ ผู้ส่งข่าวสาร (Sender) และ ผู้รับข่าวสาร (Receiver) จะดาเนินการจัดการลาเลียงข้อมูลผา่ นเส้นทางทีม่ ีประสิทธิภาพท่ีสุด จัดการตรวจสอบความถูกต้อง ของขอ้ มลู ท่จี ะสง่ และรับเขา้ มา สามารถปรับเปลย่ี นรปู แบบขอ้ มูลให้ทงั้ สองฝา่ ยสามารถเขา้ ใจได้ตรงกนั ซง่ึ ทก่ี ลา่ ว มาน้ีส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอรเ์ ปน็ ตัวจัดการ ในระบบโทรคมนาคมส่วนใหญ่ใช้อุปกรณ์ในการรบั ส่งข้อมลู ข่าวสาร ตา่ งชนดิ ตา่ งยหี่ อ้ กัน แต่สามารถแลกเปลย่ี นขอ้ มลู ระหว่างกนั ได้เพราะใช้ชดุ คาสง่ั มาตรฐานชุดเดียวกัน กฎเกณฑ์ มาตรฐานในการสื่อสารนี้เราเรียกว่า “โปรโตคอล (Protocol)” อุปกรณ์แต่ละชนิดในเครือข่ายเดียวกันต้องใช้ โปรโตคอลอยา่ งเดียวกนั จึงจะสามารถส่อื สารถึงกนั และกันได้ หน้าทีพ่ นื้ ฐานของโปรโตคอล คอื การทาความรู้จัก กับอุปกรณ์ตัวอ่ืนท่ีอยู่ในเส้นทางการถ่ายทอดข้อมูล การตกลงเงื่อนไขในการรับส่งข้อมูล การตรวจสอบความ ถูกต้องของข้อมลู การแก้ไขปญั หาข้อมูลทีเ่ กดิ การผดิ พลาดในขณะท่ีส่งออกไปและการแก้ปญั หาการส่ือสารขัดขอ้ ง ที่อาจเกิดข้ึนโปรโตคอลท่ีรู้จักกนั มาก ได้แก่ โปรโตคอลในระบบเครือขา่ ยอินเตอรเ์ นต เช่น Internet Protocal ; TCP/IP , IP Address ท่ีเราใชก้ นั อยทู่ ุกวนั น้ี ประเภทของสญั ญาณ สญั ญาณแอนะล็อก(analog signal) สามารถเขยี นแทนไดด้ ้วยรปู กราฟคล่ืนไซน์ (sine wave) ลกั ษณะเปน็ สัญญาณแบบต่อเนื่อง อธิบายรปู กราฟ คลื่นไซต์ด้วยค่าความถี่ และระดับความเข้มของสัญญาณค่าความถ่ี คือ จานวนรอบของคล่ือนท่ีเคล่ือนที่ใน 1 วนิ าที หรอื ในเวลา 1 วนิ าที คลน่ื เคล่อื นทไี่ ดก้ ่รี อบนัน่ เอง เชน่ สถานีวทิ ยุ hotwave กระจายเสยี งท่ีความถ่ี 91.5 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) หมายความว่า เสยี งดีเจจากคล่นื วทิ ยุ hotwave จะถูกแปลงเปน็ สัญญาณแอนะล็อก โดยใน 1 วินาที สามารถผลิตคลื่นให้มีสญั ญาณ 91.5 ล้านรอบ ถ้าผู้รบั ตอ้ งบการรบั ฟงั เพลงจากสถานวี ทิ ยุ hatwave ก็ตอ้ ง หมุนเคร่ืองรบั วิทยุให้ตรงกับความถีท่ ่สี ถานีส่งออกมาน่ันเอง ข้อเสยี ของสัญญาณแบบแอนะลอ็ ก คอื สญั ญาณถูก รบกวนได้ง่าย ทาให้เกิดข้อผดิ พลาดในการรบั สง่ ข้อมลู เมอ่ื ตอ้ งส่งข้อมูลออกไปในระยะทางไกลระดับของสญั ญาณ จะอ่อนลง และมสี ัญญาณรบกวน ดังนั้นจงึ ตอ้ งมีเคร่งื ทวนสญั ญาณ เพอ่ื เพม่ิ ระดับสัญญาณแส่งตอ่ ไป ตัวอยา่ งของ สญั ญาณข้อมูลแบบแอนะลอ็ ก เช่น สัญญาณเสียงในสายโทรศพั ท์ สญั ญาณเสยี งท่สี ง่ จากสถานวี ทิ ยุ เปน็ ตน้ สญั ญาณดจิ ิทลั ลักษณะเป็นกราฟสี่เหล่ียม (square graph) เป็นสัญญาณแบบไม่ต่อเนื่อง รูปแบบของสัญญาณมีการ เปล่ียนแปลงแบบไม่ปะติดปะต่อ กล่าวคือ มีบางช่วงท่ีระดับสัญญาณเป็น 0 การแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปของ สัญญาณดิจิทัลต้องทาการเเปลงข้อมูลให้ข้อมูลเป็นแบบดิจิทัลก่น น่ันคือต้องแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบ เลขฐานสอง คือ 0 และ 1 แลว้ ทาการแปลงข้อมุลน้ันให้เปน็ สัญญาณดิจทิ ลั ซง่ึ สามารถแปลงไดห้ ลายรปู แบบ เช่น
7 แบบ unipolar แทนบติ 0 ดว้ ยระดับสญั ญาณทเ่ี ปน็ กลาง และบิต 1 ด้วยระดับสญั ญาณเปน็ บวก การส่งสัญญาณ ข้อมูลแบบดิจิทัลมคี ุณภาพดีกว่าแบบแอนะลอ็ ก เมื่อต้องการส่งในระยะทางที่ไกลออกไปจะต้องใช้อุปกรณ์ทวน สัญญาณที่เรียกว่า รีพีตเตอรื (repeater) ซ่ึงรีพีตเตอร์จะทาการกรองเอาสัญญาณรบกวนออกก่อนแล้วค่อยเพมิ่ ระดับสัญญาณ จากน้ันจึงส่งออกไป จะเห็นได้ว่าคุณภาพของสัญญาณที่ส่งออกไปจะใกล้เคียงของเดิมท่ีส่งมา สัญญาณดิจิทัลมีหน่วยวัดความเร็วเป็นบิตต่อนาที หรือ bit per second (bps) หมายถึง จานวนบิตที่ส่งได้ใน ช่วงเวลา 1 วินาที เช่น โมเด็มมีความเร็ว 56 kbps หมายความว่า โมเด็มสามารถผลติ สัญญาณดจิ ิทัลไดป้ ระมาณ 56,000 บิตใน 1 วินาที ตวั กลางหรอื ช่องทางการส่อื สาร ช่องสือ่ สาร (communication channels) หมายถงึ รูปแบบใดๆ ที่สามารถนามาใช้ในการถ่ายทอดสัญญาณ ขอ้ มูลจากอุปกรณ์ตวั หนึง่ ในระบบเครอื ข่ายไปยงั อุปกรณอ์ กี ตัวหนึง่ สอื่ ต่างๆ ทใ่ี ช้ไดแ้ ก่ สายคูบ่ ิดเกลียว สายใยแกว้ นาแสง สัญญาณไมโครเวฟ สัญญาณผา่ นดาวเทยี ม และสัญญาณไรส้ ายแบบต่างๆความเร็วในการถ่ายทอดข้อมูล ปริมาณข้อมูลท่ีส่งผ่านช่องส่ือสารใดๆ มีหน่วยวัดเป็น บิตต่อวินาที(bits per second : bps)ช่วงคลื่นสัญญาณท่ี รวมกันอยู่ในช่องส่อื สารหนึ่งช่อง เรียกว่า ความกว้างของช่องสือ่ สาร(bandwidth) ช่วงคลื่นที่กว้างมากหมายถงึ ช่องสัญญาณท่ีกว้างมาก สามารถส่งข้อมลู ปรมิ าณมากได้ในเวลาอันรวดเร็วมัลติเพลก็ เซอร์เปน็ อุปกรณ์ที่ช่วยให้ การใชส้ อ่ื หรอื ช่องส่ือสารขนาดใหญ่มปี ระสิทธิภาพมากย่งิ ข้นึ ระบบเครือข่ายสื่อสาร LAN ย่อมาจาก Local Area Network คือระบบเครือข่าย แบบเช่ือมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันในระยะจากัด เช่น ในอาคารเดียวกัน หรือบริเวณเดียวกนั ท่ีสามารถลากสายถึงกันได้โดยตรง ส่วนมากจะใช้สายเคเบ้ิล หรือ ที่ เรียกกันว่า สายแลน เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อ อัตราเร็วของเครือข่าย LAN อยู่ที่ระหวาง 1-100 Mbps ทั้งน้ี ความเร็วขอมลู ขึ้นอยู่กับ ตวั กลางสายส่งทใ่ี ช้ เทคนคิ การสง่ สญั ญาณ และขอ้ กาหนดของผใู้ ห้บริการเนต็ เวิร์ค การเชอ่ื มโยงเครอื ข่ายแบบแลน มี 3 รปู แบบ คือ 1.Bus มกี ารรับสง่ ขอ้ มูลดว้ ยความเรว็ 10-100 MB/sจะเชอ่ื มตอ่ กันบนสายสัญญาณเสน้ เดยี วกนั โดยจะมีอุปกรณ์ ท่ีเรยี กวา่ T-Connector เปน็ ตัวแปลงสญั ญาณขอ้ มูลเพื่อนาเข้าสรู่ ะบบคอมพิวเตอรแ์ ละ Terminator ในการปิด หวั ทา้ ยของสายในระบบเครือขา่ ยเพอ่ื ดดู ซบั ข้อมูลไมใ่ ห้เกดิ การสะท้อนกลบั ของสญั ญาณ 2.Star เป็นระบบท่ีมีเป็นการต่อแบบรวมศูนย์ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเคร่ืองจะต่อสายเข้าไปที่อุปกรณ์ที่ เรียกว่า Hub หรือ Switch โดยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Hub หรือ Switch จะทาหน้าที่เปรียบศูนย์กลางท่ีทาหน้าที่ กระจายข้อมูล โดยข้อดีของการต่อในรูปแบบน้ีคือ หากสายสัญญาณเกิดขาดในคอมพิวเตอรเ์ คร่ืองใดเคร่อื งหนึ่ง เครอื่ งคอมพิวเตอรอ์ ่นื ๆจะสามารถใชง้ านไดป้ รกติ แต่หากศูนย์กลางคอื Hub หรอื Switch เกิดเสียจะทาให้ระบบ ทง้ั ระบบไมส่ ามารถทางานไดท้ ั้งระบบ
8 3.Ring เปน็ ระบบทีม่ ีการส่งข้อมลู ไปในทศิ ทางเดยี วกัน โดยจะมีเครอื่ ง Server หรอื Switch ในการปล่อย Token เพอื่ ตรวจสอบวา่ มเี คร่ืองคอมพวิ เตอรใ์ ดตอ้ งการสง่ ข้อมลู หรือไม่และระหว่างการสง่ ข้อมลู เครอ่ื งคอมพวิ เตอรอ์ นื่ ๆท่ี ต้องการสง่ ขอ้ มูลจะต้องทาการรอใหข้ อ้ มลู ก่อนหน้านน้ั ถกู สง่ ให้สาเรจ็ เสียกอ่ น ความรเู้ กี่ยวกับขอ้ มลู สารสนเทศ และระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ ข้อมลู คอื ค่าของตวั แปรในเชงิ คุณภาพหรือเชงิ ปรมิ าณ ท่อี ยใู่ นความควบคุมของกล่มุ ของสิ่งต่าง ๆ ขอ้ มูลในเรอื่ ง การคอมพิวเตอร์ (หรอื การประมวลผลขอ้ มลู ) จะแสดงแทนดว้ ยโครงสร้างอยา่ งหนง่ึ ซึง่ มกั จะเป็นโครงสร้างตาราง (แทนดว้ ยแถวและหลัก) โครงสรา้ งต้นไม้ (กลมุ่ ของจุดตอ่ ทีม่ ีความสัมพนั ธ์แบบพ่อลกู ) หรือโครงสร้างกราฟ (กลุม่ ของจุดต่อทเ่ี ชอื่ มระหว่างกัน) ข้อมูลโดยปกติเป็นผลจากการวัดและสามารถทาให้เห็นได้โดยใช้กราฟหรอื รปู ภาพ ข้อมูลในฐานะมโนทัศน์นามธรรมอันหน่ึง อาจมองได้ว่าเป็นระดับต่าที่สุดของภาวะนามธรรมที่สืบทอดเป็น สารสนเทศและความรู้ ข้อมลู ดิบ หรอื ข้อมูลทยี่ งั ไม่ประมวลผล เป็นศัพท์อกี คาหน่ึงท่เี กยี่ วขอ้ ง หมายถงึ การรวบรวมจานวนและอักขระ ต่าง ๆ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นตามปกติในการประมวลผลข้อมูลเป็นระยะ และ ข้อมูลท่ีประมวลผลแลว้ จากระยะหน่ึง อาจถือวา่ เปน็ ข้อมลู ดบิ ของระยะถัดไปก็ได้ ขอ้ มูลสนาม หมายถงึ ข้อมูลดบิ ที่รวบรวมมาจากสภาพแวดล้อม ณ แหล่งกาเนดิ ทไี่ ม่อยู่ในการควบคุม ข้อมลู เชิงทดลอง หมายถึง ขอ้ มูลทส่ี ร้างขน้ึ ภายในสภาพแวดล้อมของการคน้ คว้าทางวิทยาศาสตรโ์ ดยการสังเกต และการบนั ทกึ ชนิดของขอ้ มลู ชนิดของข้อมูลท่ีต้องการใส่ในเซลลข์ องโปรแกรม Microsoft Excel 1. ขอ้ มลู ประเภทขอ้ ความ (Text) หมายถงึ ขอ้ มูลทีไ่ ม่นามาคานวณ อาจเปน็ ตัวอักษร ตวั เลข เครอ่ื งหมาย การใส่ ข้อมูลท่ีมีความยาวมากกว่าความกว้างของเซลล์ข้อความนั้นจะถูกแสดงต่อไปในเซลล์ทอ่ี ยู่ทางขวามือ ตราบใดท่ี เซลล์ทางขวามอื นั้นยังไมม่ ีข้อมลู ข้อมูลชนิดนี้จะถูกจดั ให้อยชู่ ิดซา้ ยของเซลลเ์ สมอ 2. ข้อมูลประเภทตัวเลข (Numeric) ข้อมูลที่นามาคานวณได้ ข้อมูลจะอยู่ชิดขวา และไม่สามารถแสดงผลเกนิ ความกว้างของเซลล์ได้ ถ้าความกว้างของเซลล์ไม่พอจะปรากฏเครื่องหมาย การแก้ไขโดยขยายความกว้างของ เซลล์ออกไป
9 3. ข้อมูลประเภทวันที่ (Date) หมายถึงข้อมลู ทีป่ ระกอบด้วยวันที่และเดือน เดือนและปี หรือวันที่ เดือนและปี โดยเดอื นสามารถกาหนดไดท้ ง้ั แบบตัวเลข หรอื ตวั อกั ษร ข้อมูลชนดิ นี้นาไปคานวณได้ 4. ข้อมูลประเภทเวลา (Time) หมายถึง ข้อมูลท่ีประกอบด้วยช่ัวโมงและนาที โดยมเี ครอ่ื งหมาย : ข้อมูลชนิดนี้ สามารถนาไปคานวณได้ 5. ข้อมูลประเภทสูตร (Formular) ข้อมูลประเภทนี้คือสมการคณิตศาสตร์ จะต้องใช้เครื่องหมายเท่ากับ (=) นาหนา้ ความหมายของสารสนเทศ สารสนเทศ (Information) หมาย ถึง ข้อมูลต่างๆ ท่ีได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงหรือมี การประมวลหรือวิเคราะห์ ผลสรปุ ด้วยวิธีการต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบทมี่ ีความสัมพนั ธ์กนั มีความหมาย มีคุณค่าเพ่ิมข้ึนและมีวัตถุประสงค์ใน การใชง้ าน หมาย ถึง ข้อมูลท่ีได้ถกู กระทาใหม้ คี วามสมั พันธห์ รือความหมายนาไปใชป้ ระโยชน์ได้ เชน่ การเก็บขอ้ มูล การขาย รายวันแล้วนาการประมวลผล เพื่อหาว่าสินค้าใดมียอดขายสงู ท่สี ดุ เพอ่ื จดั ทาแผนการขายในเดอื นตอ่ ไป ระบบสารสนเทศ สารสนเทศ (Information System)หมาย ถงึ ขบวนการประมวลผลข่าวสารท่มี อี ยู่ให้อยู่ในรูปของข่าวสารท่ีเป็น ประโยชน์สงู สุด เพ่อื เป็นขอ้ สรุปที่ใชส้ นับสนนุ การบริหารและการตัดสนิ ใจทง้ั ในระดบั ปฏิบัติ การ ระดับกลาง และ ระดับ สูง ระบบสารสนเทศจงึ เป็นระบบทไ่ี ด้จัดตงั้ ขึน้ เพื่อปฏิบัตกิ ารเก่ียวกับขอ้ มูลตังตอ่ ไปน้ี 1. รวบรวมข้อมลู ท้ังภายใน ภายนอก ซ่ึงจาเปน็ ตอ่ หนว่ ยงาน 2. จัดกระทาเกยี่ วกบั ขอ้ มูลเพือ่ ใหเ้ ปน็ สารสนเทศท่ีพรอ้ มจะใช้ประโยชน์ได้ 3. จัดให้มีระบบเก็บเปน็ หมวดหมู่ เพ่อื สะดวกตอ่ การคน้ หาและนาไปใช้ 4. มีการปรับปรงุ ข้อมูลเสมอ เพอื่ ใหอ้ ยู่ในภาพท่ถี ูกต้องทนั สมัย ประเภทของระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นระบบทน่ี าคอมพวิ เตอร์มาใช้ หรือที่เรียกว่า ระบบสารสนเทศองิ คอมพวิ เตอร์ (Computer-Based Information Systems หรือ CBIS)
10 ระบบสารสนเทศทีอ่ งิ คอมพวิ เตอร์ (Computer-Based Information Systems) แบ่งออกเป็น 6 ประเภทดังนี้ 1. ระบบสารสนเทศประมวลผลธุรกรรม (Transaction Processing Systems: TPS) เป็น ระบบสารสนเทศ ประเภทแรกทนี่ ิยมนามาใช้อย่างแพร่หลาย เพ่อื การประมวลผลท่รี วดเรว็ ลดคา่ ใชจ้ ่าย และปรับปรุงการให้บรกิ าร ลูกค้า ระบบสารสนเทศแบบประมวลผลธุรกรรมทาหน้าท่ีรวบรวม บันทึกข้อมูลในแฟ้มข้อมูล( File) หรือ ฐานข้อมลู (Database) และประมวลผลข้อมลู ทเ่ี กดิ จากการทาธุรกรรมและการปฏิบัตงิ านประจา (Routine) ของ องค์การเพื่อนาไปจดั ทาระบบสารสนเทศทีเ่ กยี่ วข้องกับข้อมูลนน้ั ๆ โดยปกติ พนักงานระดับปฏิบัติงานจะเป็นผู้จัดทาระบบสารสนเทศประเภทน้ี แต่ด้วยความก้าวหน้าของ เทคโนโลยี ในปัจจุบันจึงไดม้ กี ารพัฒนาระบบการประมวลผลธุรกรรมท่ีลกู คา้ สามารถป้อนขอ้ มลู และประมวลผล รายการด้วยตนเองได้ เรียกระบบสารสนเทศลักษณะน้ีว่า Customer Integrated Systems หรือ CIS เช่น ระบบฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ ลกั ษณะการประมวลผลขอ้ มลู ของ TPS แบ่งเปน็ 2 ประเภทคือ 1.1 การประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing) เปน็ การประมวลผลทขี่ ้อมูลจะถกู รวบรวมและสะสมไวร้ ะหว่าง ช่วงเวลาที่กาหนด แล้วจึงจะประมวลผลรวมกันเป็นคร้ังเดียว การออกแบบลกั ษณะการประมวลผลแบบกลุม่ ก็ เพื่อประหยดั ค่าใช้จา่ ย และให้เกิดความเหมาะสมกับลักษณะของงาน 1.2 การประมวลผลแบบทันที (Real-Time Processing) เป็นการประมวลผลแต่ละรายการและใหผ้ ลลัพธ์ทนั ที เม่อื มกี ารป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบ การประมวลผลแบบทันทีถา้ เปน็ การประมวลผลรายการแบบออนไลน์จะเรียกว่า Online Transaction Processing หรอื OLTP เชน่ การจองต๋ัวเคร่อื งบนิ 2. ระบบสารสนเทศเพือ่ การจัดการ (Management Information System: MIS)เปน็ ระบบสารสนเทศทโี่ ดยปกติ แล้วจะประมวลผลและสรปุ ผลจากแฟ้มข้อมลู หรอื ฐานขอ้ มูลท่ีไดจ้ าก TPS เพื่อจัดทาสารสนเทศตามความต้องการ ของผ้บู รหิ ารสาหรับนาไปใชใ้ นการวางแผน ควบคมุ กากบั ดูแล สงั่ การ และประกอบการตดั สนิ ใจ โดยสามารถ จาแนกไดเ้ ป็น 4 ประเภทดังนี้ 2.1 รายงานทจ่ี ดั ทาตามระยะเวลาที่กาหนด (Periodic Reports) เป็นรายงานที่จดั ทาขน้ึ ตามระยะเวลาทก่ี าหนด ไว้ล่วงหนา้ ซ่งึ อาจเป็นรายงานท่จี ดั ทาข้ึนทุกวัน ทกุ สปั ดาห์ ทกุ เดือน หรือทกุ ๆ ปี
11 2.2 รายงานสรปุ (Summarized Reports) เปน็ รายงานทีจ่ ัดทาเพอื่ สรุปการดาเนินงานโดยภาพรวม โดยปกตจิ ะ แสดงผลในรูปของตารางสรุปจานวนและกราฟเปรียบเทียบ 2.3 รายงานที่จัดทาตามเง่ือนไขเฉพาะ (Exception Reports) เป็น รายงานท่ีจัดทาตามเง่ือนไขพิเศษไม่อยู่ใน เกณฑก์ ารจัดทารายงานตามปกติ มีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือใหผ้ บู้ รหิ ารได้ใชส้ ารสนเทศสาหรบั การตัดสนิ ใจอยา่ งทันเวลา 2.4 รายงานท่ีจดั ทาตามความตอ้ งการ (Demand Reports) เป็นรายงานท่ีมลี ักษณะตรงข้ามกับรายงานทจ่ี ดั ทา ตามระยะเวลาทก่ี าหนด ซึ่งรายงานจะกระทาตามเวลาอย่างสม่าเสมอ ในขณะท่ี Demand Reports จะจัดทาเมอ่ื ผู้บริหารมีความตอ้ งการในรายงานน้ันๆ เทา่ น้ัน 4. ระบบสารสนเทศสาหรับผู้บริหารระดับสูง ( Executive Information Systems: EIS หรือ Executive Support Systems: ESS) เป็นระบบสารสนเทศท่ีช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์ปัญหา ศึกษาแนวโน้ม และการ วางแผนกลยทุ ธ์ ผู้บริหารสามารถเข้าถงึ สารสนเทศโดยกาหนดมมุ มองได้ในรูปแบบต่างๆ จึงเปน็ ระบบทีม่ ีความ ยดื หยุน่ และคลอ่ งตัวสงู และรวดเร็วตอ่ ความต้องการ ใชง้ านไดง้ ่าย EIS สามารถเขา้ ถึงสามาสนเทศจากฐานขอ้ มลู ภายในและภายนอกองคก์ ารและจะนาเสนอสารสนเทศที่ไดจ้ ากการ วเิ คราะห์ในรูปของรายงาน ตาราง และกราฟ เพอ่ื การสรปุ สารสนเทศใหผ้ บู้ รหิ ารไดเ้ ข้าใจงา่ ยและประหยัดเวลา 5. ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และระบบผเู้ ชี่ยวชาญ (Expert Systems: ES) ปัญญาประดษิ ฐ์ เป็นความพยายามที่จะพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ (ท้ังฮารด์ แวร์และซอฟต์แวร์) ให้สามารถปฏิบัติงานเหมอื นกับ มนุษย์หรือเลียนแบบ การทางานของมนุษย์ AI มีหลายสาขา เช่น การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing), ศาสตร์ด้านหุ่นยนต์(Robotics), ระบบการมองเห็น (Vision Systerms), ระบบการ เรยี นร้(ู Learning Systems), เครอื ขา่ ยเสน้ ประสาท(Neural Networks) และระบบผเู้ ช่ยี วชาญ(Expert Systems) ระบบผเู้ ชี่ยวชาญ (Expert Systems) หรือระบบฐานความรู้ (Knowledge-based System) เปน็ ระบบทรี่ วบรวม และจัดเก็บความรู้และประสบการณข์ องผู้เชย่ี วชาญ เพื่อชว่ ยในการหาขอ้ สรปุ และคาแนะนาให้กับผู้ใช้ 6. ระบบสารสนเทศสานักงาน (Office Information Systems: OIS) หรือระบบสานักงานอัตโนมัติ (Office Automation Systems: OAS) เป็นระบบสารสนเทศทน่ี าเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เพ่ือช่วยเพ่ิมประสทิ ธิภาพใน การทางานของผปู้ ฏิบัติงานและผู้บรหิ าร แบ่งได้เป็น 5 ประเภท คือ ระบบจัดการเอกสาร ระบบการจดั การ ข่าวสาร ระบบการทางานรว่ มกนั /ประชมุ ทางไกล ระบบการประมวลภาพ และระบบการจัดการสานักงาน องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ
12 ระบบสารสนเทศเป็นงานที่ตอ้ งใชส้ ่วนประกอบหลายอยา่ ง ในการทาใหเ้ กดิ เปน็ กลไกในการนาขอ้ มลู มาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ได้ นักเรียนลองนึกดูว่า ถ้าต้องการประมวลผลรายงานการเรยี นของนักเรียนไดอ้ ยา่ ง ถูกต้อง รวดเรว็ ทันการ ระบบ การจดั การสารสนเทศนั้น เก่ยี วขอ้ งกับอะไรบ้าง ประการแรกคือ บคุ ลากรหรอื อาจารย์ประจาช้ันที่เปน็ ผู้รบั ผดิ ชอบ หรืออาจารย์ผู้สอนแต่ละรายวิชา ประการที่สอง คือ หากมีการบันทึก ข้อมูลก็ต้องมีข้ันตอนการปฏิบัติงานของ อาจารยเ์ ปน็ ขน้ั ตอนทก่ี าหนดไว้วา่ จะต้องทาอะไรบา้ ง เม่อื ไร อย่างไร ประการท่ีสาม คือ เครือ่ งคอมพวิ เตอร์ เป็น เครื่องช่วยให้การทางานให้ผลรวดเร็ว และคานวณได้แม่นยาถูกต้อง ประการท่ีสี่ คือ ซอฟต์แวร์ท่ีใช้กับเคร่ือง คอมพิวเตอร์ชว่ ยทาให้คอมพวิ เตอรท์ างาน ตามที่ตอ้ งการได้ ประการสดุ ท้ายคือ ตวั ขอ้ มลู ทเ่ี ป็นเสมือนวตั ถดุ ิบท่ีจะ ไดร้ ับการเปล่ียนแปลงให้เป็นสารสนเทศตามทีต่ ้องการ สว่ นประกอบท่สี าคญั ของระบบสารสนเทศมี 5 สว่ นคอื 1. ฮารด์ แวร(์ เคร่ืองจักรอปุ กรณ์ 2. ซอฟตแ์ วร์ 3. ข้อมูล 4. บุคลากร 5.ขั้นตอนการปฏิบตั งิ าน เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เป็นเครอ่ื งมอื ทช่ี ่วยในการจัดการสารสนเทศ คอมพิวเตอรช์ ่วยประมวลผล คดั เลอื ก คานวณ หรือพมิ พร์ ายงาน ผลตามที่ตอ้ งการ คอมพิวเตอรเ์ ป็นอปุ กรณ์ทที่ างานไดร้ วดเร็ว มีความแม่นยาในการทางาน และ ทางานไดต้ อ่ เนอื่ ง คอมพิวเตอร์และอุปกรณต์ า่ ง ๆ จึงเปน็ องค์ประกอบหน่ึงของระบบสารสนเทศ ซอฟต์แวร์ คือลาดับขั้นตอนคาสัง่ ใหเ้ ครื่องคอมพิวเตอร์ ทางานตามวัตถุประสงค์ท่วี างไว้ ซอฟต์แวร์ จึงหมายถงึ ชุดคาสั่งท่ีเรียง เป็นลาดับขั้นตอนส่ังให้คอมพิวเตอร์ทางานตามต้องการ และประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศที่ ต้องการข้อมูล เป็นวัตถุดบิ ทท่ี าให้เกิดสารสนเทศ ข้อมูลท่เี ป็นวัตถุดิบจะต่างกัน ขึ้นกับสารสนเทศทตี่ ้องการ เชน่ ในสถานศึกษามักจะต้องการ สารสนเทศทีเ่ กย่ี วข้องกับขอ้ มูลนักเรยี น ขอ้ มลู ผลการเรยี น ข้อมลู อาจารย์ ขอ้ มลู การ ใชจ้ ่ายตา่ ง ๆ ข้อมูลเป็นสิ่งทส่ี าคัญประการหนึ่งที่มบี ทบาทต่อการให้เกิด สารสนเทศ ความหมายของระบบเครอื ข่าย ระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึงการนาเคร่อื งคอมพิวเตอร์ มาเช่อื มตอ่ เข้า ด้วยกันโดยอาศัยช่องทางการสอื่ สารข้อมูล เพ่ือแลกเปลีย่ นข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และการใช้ ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครอื ขา่ ยนั้น รูปแสดงระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์
13 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีองค์ประกอบท่ีสาคัญ เพื่อการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้แก่ คอมพวิ เตอรแ์ มข่ า่ ย (File Server) ช่องทางการสอ่ื สาร (Communication Chanel) สถานีงาน (Workstation or Terminal) และ อปุ กรณ์ในเครือขา่ ย (Network Operation System) ประเภทของระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ( computer network ) เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้าด้วยกัน เพ่ือให้สามารถใช้ข้อมูลทรัพยากรร่วมกันได้ เช่น สามารถใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกัน สามารถใช้ฮาร์ดดิสก์ร่วมกัน แบง่ ปันการใช้อปุ กรณอ์ ่นื ๆ ท่ีมีราคาแพงหรอื ไม่สามารถจัดหาใหท้ ุกคนได้ แมก้ ระท่ังสามารถใชโ้ ปรแกรมร่วมกันได้ เป็นการลดต้นทนุ ขององค์กรเครือข่ายคอมพวิ เตอรส์ ามารถแบ่งออกเป็นประเภทตามพ้ืนท่ีทค่ี รอบคลมุ การใช้งาน ของเครอื ข่าย ดงั นี้ 1. เครือขา่ ยส่วนบุคคล หรือแพน ( Personal Area Network: PAN ) เป็นเครอื ข่ายทีใ่ ชส้ ว่ นบคุ คล เช่น การเช่ือมตอ่ คอมพิวเตอร์กับโทรศัพทม์ ือถือ การเชื่อมต่อพดี ีเอกับเครื่อง คอมพิวเตอร์ซ่ึงการเช่ือมตอ่ แบบน้จี ะอยใู่ นระยะใกล้ และมกี ารเชื่อมต่อแบบไร้สาย 2. เครอื ข่ายเฉพาะท่ี หรือแลน ( Local Area Network: LAN ) เปน็ เครอื ขา่ ยทีใ่ ช้ในการเช่ือมโยงคอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์ต่าง ๆ ทอ่ี ยใู่ นพื้นทีเ่ ดียวกันหรอื ใกล้เคียงกนั เช่น ภายในบา้ น ภายในสานักงาน และภายในอาคาร สาหรับการใชง้ านภายในบ้านนั้นอาจเรียกเครือข่ายประเภทนี้ว่า เครือข่ายทพ่ี กั อาศยั ( home network ) โดยอาจเป็นการเชอ่ื มต่อเครอ่ื งคอมพิวเตอรต์ ้ังแต่ 2 เครอ่ื ง หรอื มากกวา่ เครอื ขา่ ยแลนจัดไดว้ ่าเปน็ เครือข่ายเฉพาะองคก์ ร การเชือ่ มตอ่ เครือขา่ ยแลนสามารถส่ือสารขอ้ มูลได้อย่างรวดเร็ว และเกดิ ประสทิ ธิภาพกับองค์กรมาก 3. เครอื ขา่ ยนครหลวง หรือแมน (Metropolitan Area Network: MAN) เป็นเครอื ขา่ ยที่ใชเ้ ชือ่ มโยงแลนทอี่ ยหู่ ่างไกลออกไป เช่น การเชอ่ื มตอ่ เครือข่ายระหวา่ งสานักงานทีอ่ าจอยู่คน ละอาคารและมีระยะทางไกลกัน การเช่ือมต่อเครือข่ายชนิดนี้อาจใช้สายไฟเบอร์ออพติก หรือบางครั้งอาจใช้ ไมโครเวฟเชื่อมต่อ เครือข่ายแบบน้ีใช้ในสถานศึกษามชี ื่อเรียกอกี อยา่ งหน่ึงว่าเครือข่ายแคมปัส ( Campus Area Network: CAN ) ซงึ่ ถอื ว่าเปน็ ระบบเครอื ข่ายทม่ี ีการเช่อื มต่อกันในระหว่างท่ีกว้างใหญ่ ครอบคลุมระยะทางเปน็ 100 กโิ ลเมตร ท่ีมีการติดต่อกันในระยะท่ีไกลกวา่ ระบบแลนและใกลก้ ว่าระบบแวน รูปแบบการเชอื่ มต่อเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์
14 1. โทโปโลยแี บบบัส เป็นโทโปโลยีที่ได้รับความนิยมใช้กันมากท่ีสุดมาต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจบุ ัน ลักษณะการทางานของเครือข่าย โท โปโลยแี บบบสั คืออุปกรณ์ทกุ ชิน้ หรือโหนดทุกโหนด ในเครือขา่ ยจะตอ้ งเชือ่ มโยงเข้ากับสายสือ่ สารหลักทเ่ี รยี กวา่ ” บัส” (BUS) เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะสง่ ข้อมูลไปให้ยังอีกโหนด หนึ่งภายในเครือข่าย จะต้องตรวจสอบให้แนใ่ จ กอ่ นวา่ บัสว่างหรอื ไม่ ถ้าหากไม่ว่างก็ไม่สามารถจะส่งขอ้ มลู ออกไปได้ ทง้ั นเ้ี พราะสายสอื่ สารหลักมเี พียงสายเดียว ในกรณที มี่ ีข้อมูลวงิ่ มาในบัส ข้อมูลน้ีจะว่ิงผา่ นโหนดต่างๆ ไปเรื่อยๆ ในขณะทแี่ ต่ละโหนดจะคอยตรวจสอบข้อมลู ท่ี ผ่านมาว่าเปน็ ของตนเองหรอื ไม่ หากไม่ใช่ ก็จะปลอ่ ยให้ข้อมูลวงิ่ ผ่านไป แตห่ ากเลขที่อยู่ปลายทาง ซ่ึงกากับมากับ ข้อมูลตรงกับเลขท่ีอยขู่ องของตน โหนดนัน้ กจ็ ะรับข้อมูลเข้าไป 2. โทโปโลยแี บบดาว โทโปโลยีแบบดาว (Star Topology) เปน็ รูปแบบท่ีเครือ่ งคอมพวิ เตอร์ทกุ เครื่องทเ่ี ชอ่ื มต่อเข้าดว้ ยกันในเครือ ขา่ ย จะต้องเช่ือมต่อกับอุปกรณ์ตัวกลางตัวหน่ึงที่เรียกว่า ฮับ (HUB) หรือสวิตช์ (Switch) หรือเคร่ือง ๆ หน่ึง ซ่ึงทา หน้าท่ีเป็นศูนย์กลางของการเช่ือมต่อสายสัญญานท่ีมาจากเครื่องต่าง ๆ ในเครือข่าย และควบคุมเส้นทางการ สอ่ื สาร ท้งั หมด เม่อื มเี คร่อื งท่ตี ้องการส่งข้อมูลไปยงั เครื่องอื่น ๆ ทีต่ อ้ งการในเครอื ขา่ ย เครื่องนัน้ กจ็ ะต้องส่งขอ้ มลู มายงั HUB หรือเครื่องศูนย์กลางก่อน แลว้ HUB ก็จะทาหนา้ ทก่ี ระจายขอ้ มลู น้ันไปในเครือขา่ ยต่อไป 3. โทโปโลยีแบบวงแหวน (RING) เป็นรูปแบบที่ เคร่ืองคอมพิวเตอรท์ ุกเครอ่ื งในระบบเครอื ข่าย ทั้งเคร่อื งที่เป็นผใู้ หบ้ รกิ าร( Server) และ เคร่ืองท่ี เป็นผู้ขอใช้บริการ(Client) ทุกเครื่องถูกเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม ข้อมูลข่าวสารที่ส่งระหว่างกัน จะไหลวนอยู่ใน เครือข่ายไปใน ทศิ ทางเดียวกัน โดยไมม่ จี ดุ ปลายหรือเทอรม์ เิ นเตอรเ์ ช่นเดียวกับเครอื ขา่ ยแบบ BUS ในแต่ละโหมด หรือแต่ละเครื่อง จะมีรีพตี เตอร์ (Repeater) ประจาแต่ละเคร่อื ง 1 ตัว ซ่ึงจะทาหน้าทเี่ พิ่มเติมข้อมูลท่จี าเป็นต่อ การติดต่อสอ่ื สารเข้าในส่วนหวั ของแพ็กเกจท่ีส่ง และตรวจสอบข้อมลู จากส่วนหวั ของ Packet ท่ีส่งมาถงึ ว่าเป็น ขอ้ มลู ของตนหรือไม่ แต่ถ้าไมใ่ ช่กจ็ ะปลอ่ ยขอ้ มูลนน้ั ไปยงั Repeater ของเครอ่ื งถัดไป 4. โทโพโลยีแบบตน้ ไม้ (Tree Topology) มีลกั ษณะเชอ่ื มโยงคลา้ ยกบั โครงสรา้ งแบบดาวแตจ่ ะมโี ครงสรา้ งแบบตน้ ไม้ โดยมสี ายนาสัญญาณแยกออกไปเป็น แบบก่ิงไมเ่ ป็นวงรอบ โครงสร้างแบบน้ีจะเหมาะกับการประมวลผลแบบกลมุ่ จะประกอบด้วยเคร่อื งคอมพิวเตอร์ ระดับตา่ งๆกนั อย่หู ลายเครือ่ งแลว้ ต่อกันเปน็ ช้ัน ๆ ดูราวกบั แผนภาพองคก์ ร แตล่ ะกลุม่ จะมโี หนดแมล่ ะโหนดลกู ใน
15 กลุ่มนั้นที่มีการสมั พนั ธ์กัน การสื่อสารข้อมลู จะผ่านตัวกลางไปยังสถานอี ่ืนๆได้ท้ังหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บน ทางเชื่อม และรับส่งข้อมลู เดยี วกนั ดงั นั้นในแต่ละกล่มุ จะสง่ ข้อมูลไดท้ ีละสถานโี ดยไม่ส่งพร้อมกัน 5. โทโพโลยีแบบผสม (Hybrid Topology) เป็นเครือข่ายทผ่ี สมผสานโทโพโลยีแบบต่างๆ เข้าด้วยกัน เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่เพียงเครือข่ายเดยี ว เช่น การ เชื่อมเครือขา่ ยแบบวงแหวน แบบดาว และแบบบสั เข้าเป็นเครอื ขา่ ยเดียวกัน เครือข่ายบริเวณกว้าง (WAN) เป็น ตัวอย่างที่ใช้ลักษณะโทโพโลยีแบบผสมทพี่ บเห็นมากท่ีสดุ เครือข่ายแบบน้ีจะเช่ือมตอ่ ทัง้ เครอื ข่ายขนาดเลก็ และ ขนาดใหญ่ หลากหลายท่เี ข้าด้วยกนั ซ่ึงอาจจะถูกเช่ือมต่อจากคนละจังหวัด หรือคนละประเทศกไ็ ด้ ตัวอย่างเช่น บริษัทที่มสี าขาแยกย่อยตามจังหวัดต่าง ๆ สาขาท่ีหน่ึงอาจจะใช้โทโพโลยีแบบดาว อีกสาขาหน่ึงอาจใช้โทโพโลยี แบบบสั การเชื่อมตอ่ เครือข่ายเขา้ ดว้ ย รูปที่ 1. นางสาวธิดารัตน์ สัง่อ่อนดี กาลังอปั โหลดรปู ภาพจากมือถือ ลงใน Google drive ที่ วิทยาลยั การอาชีพพนมสารคาม
16 รปู ท่ี 2. นางสาวธิดารัตน์ สังอ่อนดี และกลุม่ เพ่ือนๆกาลังใช้สมาร์ทโฟนเพ่อื รบั -ส่งข้อมูล โดยใช้สัญญาณอนิ เทอร์เนต็ ในการ เชอ่ื มต่อ เพ่อื แชร์ขอ้ มลู หากนั ในระยะทางทีไ่ กลกนั ที่ วิทยาลัยการอาชีพพนมสารคาม รปู ที่ 2. นางสาวธิดารตั น์ สงั ออ่ นดี และกลุ่มเพื่อนๆกาลังใช้สมาร์ทโฟนเพ่อื รบั -ส่งข้อมูล โดยใชส้ ญั ญาณอนิ เทอร์เนต็ ในการ เชอ่ื มต่อ เพื่อแชรข์ ้อมูลหากนั ในระยะทางที่ไกลกัน ท่ี วิทยาลยั การอาชีพพนมสารคาม
17 รปู ท่ี 2. นางสาวธิดารตั น์ สังออ่ นดี และกลุ่มเพื่อนๆกาลังใช้สมาร์ทโฟนเพอ่ื รบั -ส่งขอ้ มูล โดยใชส้ ญั ญาณอินเทอร์เน็ตในการ เชอ่ื มตอ่ เพ่อื แชร์ข้อมลู หากันในระยะทางทีไ่ กลกัน ที่ วทิ ยาลัยการอาชพี พนมสารคาม รูปท่ี 3. นางสาวธิดารัตน์ สังอ่อนดี กาลังใช้คอมพิวเตอร์ ในการสื่อสารข้อมูลเพื่อส่งจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยัง คอมพิวเตอรอ์ กี เคร่ืองหนงึ่ โดยผ่านสญั าณ Wif ท่ี วทิ ยาลัยการอาชีพพนมสารคาม
18 3. ความหมายของอนิ เทอร์เนต็ อินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีมีขนาดใหญ่ มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย หลาย ๆ เครือข่ายท่ัวโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สอื่ สารกันระหว่างคอมพิวเตอรท์ เี่ รยี กว่า โพรโทคอล (protocol) ผู้ใช้ เครือขา่ ยน้สี ามารถส่ือสารถงึ กนั ได้ในหลาย ๆ ทาง อาทิ อเี มล เวบ็ บอรด์ และสามารถสบื ค้นข้อมูลและขา่ วสารตา่ ง ๆ รวมทั้งคดั ลอกแฟ้มข้อมลู และโปรแกรมมาใชไ้ ด้ ประวัติความเป็นมาของอนิ เทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตเกิดข้ึนในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซึ่งเป็นเครือข่ายสานักงานโครงการวิจัยช้ันสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมรกิ า โดยมีวตั ถุประสงคห์ ลักของการสร้างเครอื ข่ายคือ เพ่อื ให้คอมพวิ เตอรส์ ามารถเช่ือมตอ่ และ มีปฏิสัมพันธก์ นั ได้ เครือขา่ ย ARPANET ถอื เป็นเครอื ข่ายเร่ิมแรก ซงึ่ ตอ่ มาได้พัฒนาใหเ้ ป็นเครือขา่ ย อนิ เทอร์เนต็ ในปจั จบุ ัน การเช่อื มต่อเขา้ ส่รู ะบบอินเทอร์เนต็ การเชื่อมตอ่ เครื่องคอมพิวเตอรเ์ ข้าส่อู ินเทอรเ์ น็ตผู้ใชจ้ ะต้องสมัครเปน็ สมาชกิ เครือขา่ ยจะต้องมีบีประจา เคร่ือง (Account Number) ท่ีศูนย์บรกิ าร แล้วเชอ่ื โยงคอมพวิ เตอรเ์ ขา้ กบั เครื่องทศ่ี นู ยบ์ รกิ าร โดยใช้สายโทรศพั ท์ ผา่ นทางโมเด็ม (Modem) และจะมีซอฟตแ์ วร์ทาหน้าทแี่ ปลงคอมพิวเตอร์ของผู้ใชเ้ ปน็ เทอร์มินลั ของคอมพิวเตอร์ ทศี่ ูนย์บริการเมื่อสมคั รเปน็ สมาชกิ แลว้ ผใู้ ชจ้ ะมี User ID หรือ User name หรอื Login name และ Password ผู้ใช้จะต้องจดั เตรียมและเชอ่ื มต่ออปุ กรณ์ดังน้ี 1.เคร่อื งคอมพวิ เตอร์ ไม่จากดั ชนดิ และย่หี อ้ สว่ นใหญ่ทนี่ ิยมใช้จะใช้เครอ่ื ง PC 2.โมเดม็ ทาหน้าที่ช่วยใหค้ อมพิวเตอรแ์ ลกเปลยี่ นขอ้ มูลผ่านสายโทรศัพท์ได้ ความเร็วของโมเด็มเปน็ ความเรว็ ใน การสง่ ขอ้ มูลผา่ นสายโทรศพั ท์ โมเดม็ มีขนาดความเรว็ ตา่ ง ๆ กนั โมเดม็ มขี นาดความเรว็ สงู ตงั้ แต่ 14.4 Kbps ขึ้น ไป ส่วนใหญ่แล้วจะมีความสามารถรับส่ง Fax ได้ด้วย เรียกกว่า Fax Modem โมเด็มที่มีความเร็วสูงจะมรี าคา แพงกวา่ ความเร็วของโมเดม็ วดั เปน็ บิดตอ่ วนิ าที (bps) ไอพแี อดเดรส IP Address คอื อะไร ไอพี แอดเดรส คอื หมายเลขประจาเครือ่ งคอมพิวเตอร์ IP Address ย่อมาจากคาเต็มวา่ Internet Protocal Address คือ หมายเลขประจาเคร่อื งคอมพวิ เตอร์แต่ละ เคร่ืองในระบบเครือข่ายท่ีใช้โปรโตคอลแบบ TCP/IP ถ้าเปรียบเทียบก็คือบ้านเลขที่ของเรานั่นเอง ในระบบ เครือข่าย จาเป็นจะต้องมีหมายเลข IP กาหนดไว้ให้กับคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อ่ืนๆ ท่ีต้องการ IP ท้ังน้ีเวลามี การโอนย้ายข้อมลู หรอื สง่ั งานใดๆ จะสามารถทราบตาแหน่งของเคร่อื งท่ีเราต้องการสง่ ขอ้ มูลไป จะไดไ้ มผ่ ดิ พลาด เวลาส่งข้อมูล ซ่ึงประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด มีเคร่ืองหมายจุดขั้นระหว่างชุด เช่น 192.168.100.1 หรือ 172.16.10.1 เป็นต้น โดยหมายเลข IP Address ของเครอ่ื งคอมพิวเตอรแ์ ตล่ ะเครอ่ื งจะมีค่าไมซ่ ้ากัน สิ่งตัวเลข
19 4 ชุดนบี้ อก คอื Network ID กบั Host ID ซึง่ จะบอกใหร้ วู้ ่า เครอ่ื ง Computer ของเราอยูใ่ น Network ไหน และ เป็นเครื่องไหนใน network น้ัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่า Network ID และ Host ID มีค่าเท่าไหร่ ก็ข้ึนอยู่กับว่า IP Address นน้ั อย่ใู น class อะไร อปุ กรณ์ดิจทิ ลั ทสี่ ามารถถ่ายทอดภาพและเสียงในงานนาเสนอหา เพอ่ื ให้งานนาเสนอมีคุณภาพ ผชู้ ม และผฟู้ งั ไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ มดี ังนี้ 1 โปรเจกเตอร์ เป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพที่ใช้ในการนาเสนอ โดยสามารถรองรบั สัญญาณจากคอมพิวเตอร์ เครื่องเล่น vcd เครื่องเล่น dvd และเคร่ืองกาหนดภาพอื่นๆ แล้วแสดงผล ขยายขนาดบนจอรับภาพช่วยให้ มองเหน็ ไดไ้ กลขน้ึ เพราะสาหรบั การนาเสนอขอ้ มลู ในหอ้ งประชุม เพื่อให้ผ้เู ขา้ รว่ มประชุมสามารถมองเห็นภาพหรอื ขอ้ ความไดอ้ ยา่ งชัดเจน 2 วิชวลไลเซอร์ เป็นอุปกรณ์ถ่ายภาพระบบดิจิทัลประเภทหนึ่ง ซึ่งพัฒนามาจากโอเวอร์เฮดหรือเครื่อง ฉายข้ามศรี ษะ ใชแ้ สดงภาพวตั ถุและเอกสารสจู่ อภาพท่มี ีอยจู่ รงิ ได้เลยโดยไม่ตอ้ งดัดแปลง อุปกรณน์ ี้เหมาะสาหรบั ใช้ในการนาเสนองานต่างๆ โดยเฉพาะครูหรืออาจารย์ที่สอนหนังสือ และใช้ได้ดีในการนาเสนอภาพน่ิงมากกว่า ภาพเคลือ่ นไหว แต่ถา้ ท่ีแสดงออกมาน้ันก็ใหค้ วามคมชดั มสี ีสดใส และมโี หมดของการแสดงภาพให้ปรบั การทางาน ดว้ ย การควบคมุ การทางานสามารถทาได้โดยใช้รโี มต 3 กล้องถา่ ยรปู ดจิ ทิ ัล เปน็ อุปกรณร์ บั ภาพท่ีเปล่ียนจากฟิล์มมาเปน็ อปุ กรณ์อิเลก็ ทรอนกิ ส์ ซง่ึ เม่ือถา่ ยรปู ที่ ต้องการแล้ว รูปจะถกู เก็บลงในหน่วยความจา memory ที่อยูใ่ นกลอ้ ง เมื่อต้องการดูรปู ทาไดโ้ ดยการถ่ายข้อมูล จากหน่วยความจาลงบนเครอื่ งพมิ พเ์ ครื่องคอมพิวเตอร์ ภาพทีไ่ ดจ้ ะมขี นาดท่ีตอ้ งการ สามารถยอ่ หรือขยาย ปรบั แสงหรือเงาแล้วแต่ความพอใจ หรือจะเพมิ่ รูปแบบก็สามารถทาได้ และเมือ่ จะถา่ ยใหม่ ก็สามารถใชห้ น่วยความจา เดมิ ได้เลย 4 กล้องถ่ายวดี ิทศั น์ดิจทิ ลั เป็นอุปกรณ์รบั ภาพท่ีบันทึกขอ้ มลู ภาพนง่ิ ภาพเคลอ่ื นไหว และเสยี ง เกบ็ ไว้ใน หน่วยความจาแบบเฟลชภายในกล้อง สามารถย่อหรือขยาย ปรับแสงเงาของภาพได้ และในปัจจุบันสามารถ คัดลอกข้อมูลลงในแผน่ ซีดไี ดเ้ ลยโดยไมต่ ้องโอนลงในเครื่องคอมพวิ เตอร์
20 5 คอมพิวเตอรต์ งั้ โต๊ะและคอมพิวเตอร์ขนาดสมดุ บนั ทกึ หรือโนต้ เปน็ อปุ กรณ์ทใ่ี ชส้ ร้างงานนาเสนอ เปน็ ส่ือกลางในการเช่ือมโยงอุปกรณ์อื่นๆ เช่น โปรเจกเตอร์ เพื่อนาเสนองาน และใช้นาเสนองานผ่านจอภาพของ คอมพวิ เตอร์ 6 โทรศัพท์เคลื่อนที่บางรุ่น เป็นอุปกรณ์ตัวกลางท่ีผู้ใช้สามารถนาเสนองานที่สร้างด้วย โปรแกรม microsoft powerpoint ผ่านเครื่องโปรเจคเตอร์ได้อย่างสะดวกง่ายต่อการติดต้ัง เพียงเชื่อมต่อ โปรเจคเตอรเ์ ข้ากับโทรศพั ท์เคลือ่ นท่ีผา่ นสายเคเบิล แลว้ เชอื่ มตอ่ โทรศัพท์เคล่อื นท่ีดว้ ยบลทู ูธ นอกจากอุปกรณ์ดิจิทัลที่ช่วยในการนาเสนอผลงานแล้ว ยังมีส่วนประกอบที่สาคัญในการนาเสนองาน คือ คา บรรยาย บทพากย์ ซง่ึ เป็นองคป์ ระกอบด้านโสตหรอื เสียงนัน่ เอง โดยมีวธิ กี ารและหลักในการพจิ ารณาดงั น้ี 1 การบรรยายสด เหมาะสาหรบั การประชมุ หรือสมั มนาทตี่ อ้ งการให้ผูช้ มมสี ่วนร่วม เพราะผู้บรรยายในกรณีน้ีเปน็ ผู้ที่รู้เรือ่ งราวเก่ียวกับเน้ือหาเปน็ อย่างดี รู้ว่าควรจะเน้นตรงจุดไหนหรอื ปฏิกริ ิยาจากผู้ชมทาให้ผบู้ รรยายรวู้ า่ ผู้ชม สามารถตดิ ตามทาความเขา้ ใจไดเ้ พียงพอหรือไม่ รู้ว่าส่วนไหนจะตอ้ งอธิบายขยายความมากนอ้ ยเพียงใด 2 การพากย์ เหมาะสาหรับเน้ือหาท่ีสามารถถ่ายทอดได้โดยไม่ต้องอาศัยมีส่วนร่วมของผู้ชม ข้อดีคือสามารถ เลอื กใช้เสยี งพากยท์ ีม่ ีความไพเราะน่าฟงั สามารถเลอื กใช้ดนตรีเสียงประกอบ เพื่อสรา้ งบรรยากาศ แต่ขอ้ เสยี คือ ไมม่ ีความยดื หยนุ่ ไมส่ ามารถปรับให้เหมาะสมกับความรู้สกึ ของผฟู้ ังไดใ้ นขณะนั้น 7 โปรแกรมสาเรจ็ รูปที่ใช้ในการนาเสนอและส่อื สารข้อมูลสารสนเทศตามลกั ษณะงานอาชพี โปรแกรมสาเร็จรูปทใ่ี ชใ้ นการนาเสนอและสื่อสารขอ้ มลู สารสนเทศตามลกั ษณะงานอาชพี มหี ลายโปรแกรมเช่น 1 โปรแกรมประมวลผลคา (microsoft word) 2 โปรแกรมตารางคานวณ (microsoft excel) 3 โปรแกรมนาเสนอ (microsoft powerpoint ) 4 โปรแกรมฐานข้อมลู (microsoft access) 5 โปรแกรมการสร้างเวบ็ เพจ (adobe dreamweaver) 6 โปรแกรมการนาเสนอในรปู แบบสอื่ ประสม (adobe after effect) แต่ในทีน่ ี้จะกล่าวถงึ เฉพาะโปรแกรมสาเร็จรปู ท่ที กุ อาทิตย์สามารถจะใชไ้ ด้ 1การประยุกตใ์ ชโ้ ปรแกรมประมวลผลคา 2 การประยกุ ตใ์ ช้โปรแกรมตารางคานวณ 3 การประยกุ ต์ใชโ้ ปรแกรมการนาเสนอ
ค อา้ งอิง https://sites.google.com/site/noonaphontina/wicha-thekhnoloyi-sarsnthes-pheux-kar-cadkar- xachiph
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: