Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มนัสวีครับ

มนัสวีครับ

Published by Panupong Anuchitworakan, 2020-10-19 03:04:12

Description: มนัสวีครับ

Search

Read the Text Version

1 เทคโนโลยีดีจิทนั เพ่ือการจดั การอาชีพ เสนอ อาจารย์ เกสร เทียนใต้ จัดทำโดย นาย มนสั วี ย่างโบเจริญ นกั ศกึ ษาลาดบั ชนั้ ปวส 1 สาขาช่างยนต์ รายงานเลม่ นีเ้ป็นส่วนหนงึ่ ของวิชาเทคโนโลยีดิจิทลั เพ่ือการจดั การ อาชีพ รหสั วชิ า 3001-2001 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ศษา 2563 วทิ ยาลยั อาชีวศกึ ษาเถินเทคโนโลยี อ.เถิน จ.ลาปาง

ก คานา นโยบายในการเรง่ นาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ปฏริ ูปการเรยี นรขู้ องรฐั บาลปจั จบุ ันได้มุ่งเน้นให้ ผู้เรยี นใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในการเรยี นรใู้ ห้เกดิ ประโยชน์สูงสดุ เพือ่ ให้เปน็ สังคมแห่งการเรยี นรยู้ กระดบั ขีด ความสามารถด้าน(Information and Communication Technology: ICT) ดังนั้นเพื่อให้การดาเนนิ งาน สอดรับกบั นโยบายของรัฐบาลในการผลักดนั ใหน้ ักเรยี นมคี วามรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่อื การเรยี นการสอนกลุ่มของขา้ พเจา้ จงึ เหน็ สมควรดาเนนิ โครงการ เว็บไซตเ์ พื่อการเรียนการสอน เร่ือง เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือสกู่ ารปฏริ ปู กระบวนการเรยี นการสอนเพ่ือใช้เป็นเครื่องมือยกระดบั คุณภาพการจดั การศกึ ษาโดยพฒั นานักเรยี นนกั ศกึ ษาใหม้ ีความรู้ความสามารถทดั เทยี มมาตรฐานสากลพรอ้ มทจี่ ะก้าวทันโลก ในยุคปัจจุบนั และในอนาคต จัดทำโดย (นาย มนสั วี ยา่ งโบเจริญ)

ข สารบัญ เร่อื ง หนา้ เขา้ ใจเก่ียวกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคมระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ 1-5 นาเสนอและส่ือสารข้อมลู สารสนเทศในงานอาชพี โดยใช้คอมพวิ เตอร 6-10 และอปุ กรณ์โทรคมนาคมและโปรแกรมสาเรจ็ รูปทเ่ี กยี่ วข้อง 11-15 จริยธรรมและความรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ 16-20 อ้างอิง

1 1. เขา้ ใจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคมระบบเครือข่ายคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศ การสืบค้น และสื่อสารข้อมูลสารสนเทศในงานอาชพี 2. สามารถสบื คน้ จดั เก็บ คน้ คนื ส่งผ่าน จัดดาเนินการข้อมลู สารสนเทศ นาเสนอและส่ือสารข้อมูลสารสนเทศ ในงานอาชีพโดยใช้คอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคมและโปรแกรมสาเรจ็ รปู ทเี่ กย่ี วข้อง 3. มีคณุ ธรรม จริยธรรมและความรบั ผิดชอบในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การจัดการอาชีพ สมรรถนะรายวิชา 1.แสดงความรูเ้ กี่ยวกับหลักการและกระบวนการสืบค้น จดั ดาเนินการและสื่อสารขอ้ มูลสารสนเทศในงาน อาชพี โดยใชค้ อมพวิ เตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคมระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ และ โปรแกรมสาเร็จรูปทเี่ ก่ียวขอ้ ง 2.ใชค้ อมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคมในการสืบค้นและสื่อสารข้อมูลสารสนเทศผ่านระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ 3.จดเกบ็ คน้ คนื ส่งผา่ นและจดั ดาเนินการขอ้ มลู สารสนเทศตามลักษณะงานอาชีพ 4.นาเสนอและสอื่ สารข้อมูลสารสนเทศในงานอาชีพโดยประยุกต์ใชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รูป คาอธิบายรายวิชา ศกึ ษาและปฏบิ ัตเิ ก่ยี วกบั คอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม ระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรแ์ ละสารสนเทศ การสืบคน้ ข้อมลู สารสนเทศ การจัดเก็บ ค้นคนื สง่ ผ่านและจัดดาเนินการข้อมลู สารสนเทศ การประยุกตใ์ ช้ โปรแกรมสาเรจ็ รปู ในการนาเสนอและสื่อสารข้อมูลสารสนเทศตามลักษณะงานอาชพี 1.ความหมายของคอมพิวเตอร์ คอมพวิ เตอร์ (Computer) หมายถงึ อปุ กรณ์ชนดิ หนง่ึ ท่ีทางานด้วยระบบอเิ ล็กทรอนิกส์ สามารถเก็บและ จาข้อมลู รวมถงึ ชดุ คาส่ังในการทางานได้ทาให้สามารถทางานได้โดยอตั โนมัติ ดว้ ยอัตราความเรว็ ท่ีสงู มาก ใช้ เพ่อื ประโยชน์ในการคานวณหรอื ทางานต่าง ๆ ได้เกือบทุกชนิดทุกประเภทและแสดงผลลพั ธอ์ อกมาในรูปแบบ ตา่ ง ๆได้อยา่ งรวดเรว็ ถูกต้อง คอมพวิ เตอร์มาจากรากศัพท์ภาษาลาตนิ ว่า Computer พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2540) ได้บัญญตั ิไว้ว่า Computer : คอมพิวเตอร์,คณติ กรณ์ หมายถึง เคร่อื งคานวณหรือผู้คานวณ มหี นา้ ทีค่ านวณและเปรยี บเทียบ (ประมวลผลข้อมลู ) ตามคาสง่ั ท่มี นษุ ยจ์ ัดเตรียม ไวใ้ นรปู แบบของโปรแกรมหรือชุดคาส่ังตา่ ง ๆ คุณสมบตั เิ ฉพาะของคอมพิวเตอร์ ในปจั จุบันจะเหน็ ไดว้ า่ มีอปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ที่สามารถคานวณได้ เชน่ ลกู คิด เครื่องคดิ เลข แต่คอมพิวเตอร์มี ความแตกตา่ งจากอปุ กรณท์ ่ีใช้ในการคานวณโดยท่ัวไปคอื 1. คอมพวิ เตอร์เปน็ อปุ กรณ์ไฟฟา้ ทีม่ ีหน่วยคานวณและปฏิบตั กิ ารทางตรรกยะซึ่งประกอบด้วยวงจรไฟฟา้ มากมาย ดังนั้นการคานวณเปรียบเทียบจงึ สามารถทาไดอ้ ย่างรวดเร็ว 2. คอมพวิ เตอรม์ หี น่วยความจาภายในเคร่ือง ทส่ี ามารถเก็บขอ้ มลู ซ่ึงอาจเปน็ ข้อความ ตัวเลข รูปภาพ ไว้ใน หน่วยความจาภายในเครือ่ งเพือ่ ประโยชน์ในการเรียกใชข้ ้อมูลปจั จุบนั หรือเรียกใช้ในภายหลงั ได้

2 3. ผูใ้ ชส้ ามารถใชช้ ุดคาส่งั หรอื โปรแกรมที่บอกขั้นตอนท่ีคอมพวิ เตอรต์ ้องทางานโดยเรยี งลาดบั การทางาน ก่อนหลังหรอื วิธีการประมวลผล ซง่ึ คอมพวิ เตอร์สามารถทางานตามคาสัง่ ท่ีอยูใ่ นโปรแกรมน้ันอยา่ งอตั โนมัติ กระบวนการทางานของคอมพิวเตอร์ กระบวนการทางานของคอมพวิ เตอร์ มี 3 ข้ันตอน คือ 1. รับเขา้ (Input) คอมพวิ เตอร์จะรบั ขอ้ มลู เข้ามา แล้วปฏิบตั ติ ามคาส่ังข้อมลู นัน้ อาจเป็นตวั เลข ตัวอักษร ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและเสยี ง 2. ประมวลผล (Process) คอมพิวเตอร์จะทาการคานวณ เปรยี บเทียบ วเิ คราะห์ โดยการใชค้ าส่ังหรือ โปรแกรมทเ่ี ขยี นข้นึ 3. สง่ ออก (Output) คอมพิวเตอร์จะนาผลทีท่ าการประมวลผลเสร็จเรยี บร้อยมาแสดงในรปู แบบต่าง ๆ เพ่อื ใหส้ ื่อความหมายและนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ดง้ ่าย ประเภทของคอมพิวเตอร์ เนอ่ื งจากคอมพิวเตอรใ์ นแตล่ ะยุคมีความสามารถแตกต่างกัน การแบง่ ประเภทของคอมพิวเตอรจ์ ึงต้องอาศัย การแบง่ ประเภทของเครื่องท่ีอยูใ่ นยคุ เดยี วกัน ซ่งึ มวี ิธีการแบง่ 3 วธิ ี ดังนี้ 1. แบ่งตามวิธกี ารประมวลผล 2. แบ่งตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการใชง้ าน 3. แบง่ ตามขนาดของคอมพวิ เตอร์ สาหรับการเรียนรู้เนือ้ หานจ้ี ะแบ่งคอมพวิ เตอร์ตามวธิ ที ่ี 3 คอื แบ่งตามขนาดของคอมพวิ เตอร์ ซ่งึ สามารถแบง่ ได้ดงั น้ี 1. ซเู ปอรค์ อมพิวเตอร์ (Super computer) เปน็ คอมพิวเตอรท์ ่ีมีประสทิ ธิภาพและขดี ความสามารถสงู มาก สามารถต่อพว่ งไปยังอปุ กรณ์ต่าง ๆ ราคาค่อนขา้ งสงู เพราะการออกแบบและการผลิตต้องใช้ ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยมี าก นิยมใชใ้ นงานสง่ ดาวเทียมและยานอวกาศ สาหรบั ประเทศไทยมใี ช้ท่ีกรมอตุ ุ อนิยมวิทยา ศนู ยเ์ ทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกสแ์ ละคอมพวิ เตอร์แห่งชาติ เปน็ ต้น 2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่สามารถใชง้ านกับข้อมูล จานวนมาก ๆ ได้ดีกวา่ คอมพิวเตอรแ์ บบอ่นื ๆ สามารถเชื่อมต่อไปยังปลายทางได้ ทางานพร้อมกนั ไดห้ ลาย งาน และใชไ้ ดห้ ลายคนพร้อม ๆ กนั ตวั อย่างเคร่ืองเมนเฟรมทใี่ ชก้ นั อย่างแพร่หลาย คือ เครือ่ งรบั จ่ายเงิน อัตโนมัต/ิ ตู้เอทเี อม็ (ATM) ของธนาคาร 3. มนิ ิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer) เป็นคอมพวิ เตอรข์ นาดกลางสว่ นมากใชก้ บั หน่วยงานธรุ กจิ ขนาด เลก็ และมรี าคาถูกลง สามารถทางานไดห้ ลายงานพร้อมกันเหมือนเครื่องเมนเฟรม แต่ขีดความสามารถในการ ต่อพ่วงน้อยกวา่ หนว่ ยงานท่ีใช้สว่ นใหญไ่ ดแ้ ก่ กอง กรม มหาวิทยาลัย บรษิ ทั หา้ งร้าน ห้างสรรพสินคา้ โรงแรม โรงพยาบาล เปน็ ตน้ 4. ไมโครคอมพวิ เตอร์ (Micro Computer) เปน็ คอมพวิ เตอรข์ นาดเล็กท่ใี ช้กันทั่วไปและนิยมมากทส่ี ดุ ใน ปจั จบุ ัน หรอื อาจเรยี กอีกอย่างหน่ึงว่า คอมพวิ เตอรส์ ่วนบคุ คล (Personal Computer) คนท่วั ไปนยิ มเรยี กว่า พีซี (PC) ใช้ตัวประมวลผลแบบชิพ (Chip) เปน็ องค์ประกอบหลกั คอมพวิ เตอรส์ ว่ นบคุ คลน้ันยังสามารถ แบง่ ยอ่ ยตามลักษณะประเภท ได้ดงั นี้ 4.1 คอมพวิ เตอรแ์ บบตัง้ โต๊ะ (Desktop Computer) เป็นคอมพวิ เตอร์สว่ นบคุ คลชนดิ ต้ังบนโตะ๊ หรอื พืน้ ตวั เครื่องมีลักษณะเป็นกลอ่ งขนาดใหญต่ ้ังบนโต๊ะทางานมีสายเช่ือมโยงไปยังจอภาพ ซง่ึ ตั้งอย่บู นโตะ๊ ทางาน พร้อมแผงแปน้ อักขระและเมาส์ นยิ มใชใ้ นหนว่ ยงานทั่วไป เชน่ หอ้ งปฏิบตั ิการคอมพวิ เตอร์ ร้านอนิ เทอรเ์ น็ต

3 ตามบา้ นทัว่ ๆ ไป เนื่องจากราคาไมแ่ พงจนเกนิ ไป 4.2 คอมพิวเตอรแ์ บบวางตัก/แล็ปทอป (Laptop Computer) เปน็ คอมพิวเตอรส์ ่วนบคุ คลแบบกระเป๋า หิ้ว สามารถพกพาไปไหนมาไหนไดส้ ะดวก ในเวลาอาจใชว้ างบนตกั ได้ (Lap แปลว่า ตัก) คอมพิวเตอร์รนุ่ นี้มี แบตเตอร่ีไฟฟ้าสารองในตัว ใช้จอภาพผลกึ เหลวซง่ึ เรียกว่า แอลซีดี (LCD : Liquid Crystal Display) ใน ปจั จุบนั ไมค่ ่อยได้รบั ความนิยม 4.3 คอมพิวเตอรข์ นาดสมดุ บันทกึ (Notebook) เปน็ คอมพิวเตอร์ขนาดเลก็ มาก มีขนาดเลก็ เทา่ หนังสือ ขนาดใดกไ็ ด้ สามารถพกพาไปไหนมาไหนไดส้ ะดวก มแี บตเตอรใ่ี นตัวและสามารถพว่ งต่อกบั โทรศัพทเ์ พื่อ รบั สง่ ข้อมลู ในระยะไกลได้ คอมพิวเตอร์รนุ่ นีใ้ นปัจจุบนั ไดร้ ับการพฒั นาไปมากและเป็นที่นยิ มใช้กันเป็นอยา่ ง มาก 4.4 คอมพิวเตอรข์ นาดฝ่ามือ (Palmtop Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเลก็ สามารถวางบนฝ่า มอื แต่ไม่ค่อยไดร้ ับความนยิ มมากนัก เนื่องจากแป้นอกั ขระ รวมท้งั จอภาพมขี นาดเล็กเกินไป ไม่สะดวกต่อการ ใช้งาน แตเ่ หมาะสาหรับการเกบ็ บันทกึ ส่วนตวั เชน่ หมายเลขโทรศพั ทห์ รือบันทึกชื่อเพือ่ น หรอื รายละเอียด สว่ นตวั 4.5 คอมพิวเตอรข์ นาดมือถือ (Handheld Computer) เปน็ คอมพวิ เตอรท์ ี่มีขนาดเลก็ ถอื ดว้ ยมือ จอภาพ เล็กปกตินยิ มใช้เพ่ือการบันทึกตัวเลขมาตรไฟฟา้ มาตรน้าประปาโดยพนักงานจะถือคอมพิวเตอร์ไปอ่านมาตร วดั แล้วกดปมุ่ บันทกึ ในหน่วยงานขนาดใหญ่จะใชใ้ นการตรวจนบั สนิ คา้ 4.6 คอมพิวเตอรแ์ บบพีดเี อหรือเครอื่ งช่วยงานบุคคลแบบดจิ ทิ ัล (PDA : Personal Digital Assistant) คอมพวิ เตอร์แบบพีดีเอ สามารถพกพาได้อย่างสะดวก ใชป้ ากกาแสง (Light Pen) เขียนขอ้ มูลบนหนา้ จอ บางครั้งใช้ปากกาแสงเป็นอุปกรณเ์ พื่อเลือกทางานบนหน้าจอเหมือนกบั สมดุ บันทึก ภายในเครื่องมีโปรแกรมท่ี อา่ นลายมือ เมอ่ื เขยี นแลว้ เปล่ียนเปน็ ตวั อักษรไดโ้ ดยใชป้ ากกาพิเศษ ปัจจุบนั ยังไมน่ ิยมมากนกั เนื่องจากราคา ยงั แพงพอสมควร รูปภาพทเ่ี กย่ี วข้องกบั สมรรถนะ 2. อปุ กรณโ์ ทรคมนาคม โทรคมนาคม (Telecommunications) หมายถึง การส่อื สารขอ้ มลู ระยะทางไกลในรปู แบบสัญญาณ อีเล็กทรอนกิ ส์ ซง่ึ ในอดีตโทรคมนาคมใหบ้ รกิ ารในรูปแบบของสญั ญาณเสียงผ่านสายโทรศัพท์ท่เี รียกกันวา่ สญั ญาณในระบบ อนาลอก (Analog Signal) แตใ่ นปจั จุบันสญั ญาณโทรคมนาคมกาลงั จะกลายเปน็ การ ถา่ ยทอดสญั ญาณในรูปแบบ ดิจติ อล (Digital Signal) ทง้ั หมด ระบบโทรคมนาคมเป็นระบบใหญ่ที่มักผูกขาดโดยองคก์ รของรฐั ในเกอื บทุกประเทศท่วั โลก ดังเชน่ ใน ประเทศไทย ได้แก่ องคก์ ารโทรศพั ท์แหง่ ประเทศไทย ซ่ึงได้แปรรูปกิจการมาเป็นบรษิ ัท ศท.คอรเ์ ปอเรชน่ั จากัด (มหาชน) แลว้ เพ่ือให้เกดิ การแขง่ ขันท่ีเสรกี ับองค์กรผูใ้ หบ้ รกิ ารโทรคมนาคมเอกชนอื่นๆ ทเ่ี ติบโตขน้ึ มา โดยลาดับ เพื่อการขยายตวั ท่ีดขี น้ึ ในภูมภิ าค และเปน็ กิจการสาธารณะท่ีสามารถเปิดให้บริการได้อย่างเสรรี วม ไปถึงการเชื่อมต่อระบบอินเตอรเ์ นตกับประเทศอื่นๆในภมู ิภาคด้วย จะนามาซง่ึ การใหบ้ รกิ ารทห่ี ลากหลายใน ด้านการสอื่ สารขอ้ มูล โดยเฉพาะการสรา้ ง ถนนสายดว่ นข่าวสาร (Information Super-Highway) เช่น การ

4 โทรคมนาคมผา่ นเครือข่ายส่อื สารระบบดิจติ อลความเร็วสูง ที่สามารถให้บริการทางการศึกษา คน้ คว้าวิจัย สนั ทนาการ และการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในระดับชาติ ระดับภมู ิภาค ตลอดจนระดับโลก และจะเป็นสว่ น หนึ่งของการดารงชวี ติ ในทศวรรษหน้า องคป์ ระกอบและหนา้ ที่ของระบบโทรคมนาคม ระบบโทรคมนาคม (Telecommunications Systems) คอื ระบบที่ประกอบดว้ ยฮารด์ แวรแ์ ละ ซอฟท์แวร์จานวนหน่งึ ทส่ี ามารถทางานร่วมกนั และถูกจดั ไวส้ าหรบั การสื่อสารข้อมูลจากสถานท่แี ห่งหนง่ึ ไปยงั สถานทอี่ ีกแห่งหน่งึ ซึ่งสามารถถ่ายทอดข้อความ ภาพกราฟฟิก เสียงสนทนา และวิดีทัศนไ์ ด้ มรี ายละเอียด ของโครงสรา้ งส่วนประกอบดังนี้ 1. เครอ่ื งคอมพิวเตอรห์ รือเคร่ืองมือเปลีย่ นปรมิ าณใดให้เป็นไฟฟา้ (Transducer) เช่น โทรศัพท์ หรือ ไมโครโฟน 2. เครอ่ื งเทอร์มนิ อลสาหรับการรับขอ้ มูลหรือแสดงผลข้อมูล เช่น เคร่อื งคอมพิวเตอร์หรือโทรศพั ท์ 3. อุปกรณ์ประมวลผลการสือ่ สาร (Transmitter) ทาหนา้ ท่แี ปรรปู สัญญาณไฟฟา้ ใหเ้ หมาะสมกับช่องสญั ญาณ เชน่ โมเดม็ (MODEM) มัลติเพลก็ เซอร์ (multiplexer) แอมพลิไฟเออร์ (Amplifier) ดาเนนิ การได้ทัง้ รบั และ ส่งขอ้ มูล 4. ชอ่ งทางสื่อสาร (Transmission Channel) หมายถึงการเชอ่ื มตอ่ รปู แบบใดๆ เช่น สายโทรศพั ท์ ใยแกว้ นา แสง สายโคแอกเซยี ล หรอื แม้แต่การสอ่ื สารแบบไรส้ าย 5. ซอฟท์แวร์การสื่อสารซ่ึงทาหนา้ ท่คี วบคมุ กจิ กรรมการรับส่งขอ้ มลู และอานวยความสะดวกในการสอ่ื สาร องค์ประกอบท่ีสาคญั ของเทคโนโลยโี ทรคมนาคม ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบท่ีสาคญั ต้นกาเนิดข่าวสาร (Source of Information) เปน็ สว่ นแรกในระบบการสื่อสารโทรคมนาคม เป็น แหล่งท่ีมาของขา่ วสารตา่ ง ๆ ท่ีผสู้ ่งตอ้ งการที่จะส่งไปยังผูร้ ับทีป่ ลายทางตวั อย่างในระบบโทรศัพท์ หรือระบบ วิทยุกระจายเสียง ส่วนนีก้ ็คือเสยี งพดู ของผพู้ ดู ทตี่ ้นทาง ซง่ึ จะถกู ไมโครโฟนเปลี่ยนใหเ้ ป็นสญั ญาณไฟฟา้ ท่ี เหมาะสม และสง่ เข้าไปในระบบ หรอื ในกรณรี ะบบการส่อื สารข้อมลู (Data Communication) ส่วนนีอ้ าจจะ เป็นเครื่องคอมพิวเตอรห์ รือ Data Terminal ประเภทตา่ ง ๆ เครื่องส่งสัญญาณ (Transmitter) ทาหนา้ ที่ในการแปลงหรือเปลีย่ นสัญญาณไฟฟ้าที่ใชแ้ ทนขา่ วสารจากตน้ กาเนิดข่าวสารใหเ้ ป็นสัญญาณ หรอื คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าท่เี หมาะสมในการสง่ ต่อไปยงั ปลายทางเช่นระบบโทรศัพท์ ตวั เครื่องโทรศัพทจ์ ะแปลง สญั ญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนเสยี งพดู ให้เปน็ สญั ญาณแมเ่ หล็กไฟฟา้ ที่เหมาะสมและส่งตอ่ ไปยงั ปลายทางสาหรบั ใน ระบบการสื่อสารข้อมูล ส่วนน้จี ะเป็น MODEM หรอื อปุ กรณอ์ ่ืนทเี่ หมาะสมในการเปล่ียนสญั ญาณไฟฟ้าท่ีมา จากคอมพิวเตอร์เพือ่ ใหเ้ ปน็ สญั ญาณแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าท่เี หมาะสมในการผา่ นระบบสอื่ สญั ญาณไปยังปลายทาง ระบบการส่งผ่านสัญญาณ (Transmission System) เคร่ืองส่งไดเ้ ปลย่ี น หรือแปลงสญั ญาณไฟฟา้ ที่ใช้แทนขา่ วสารต่าง ๆ ใหเ้ ป็นสญั ญาณหรือคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าทเี่ หมาะสม สัญญาณก็จะถูกส่งผ่านระบบระบบการส่งผา่ นสญั ญาณ เพอื่ ส่งต่อไปยังเครื่องรับ และผู้รับทป่ี ลายทางดังนั้นระบบการสง่ ผ่านสญั ญาณจึงถือไดว้ า่ นับเปน็ สว่ นที่สาคัญและจาเปน็ มากในระบบ การสื่อสารโทรคมนาคม เครือ่ งรับสัญญาณ (Receiver) เครอ่ื งรบั สัญญาณ เปน็ ส่วนท่ีทาการเปลยี่ นสญั ญาณ หรอื คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า ทถ่ี กู สง่ ผ่านระบบการ สง่ ผา่ นสัญญาณจากต้นทาง เพอื่ ให้กลบั มาเปน็ สัญญาณไฟฟ้าท่ีใช้แทนขา่ วสารทถ่ี ูกส่งมาจากตน้ ทาง ท้ังน้ีเพ่ือ

5 ส่งให้อุปกรณป์ ลายทางทาการแปลง หรือเปล่ยี นสญั ญาณไฟฟ้านนั้ ให้กลับมาเป็นข่าวสารที่ผรู้ ับสามารถเข้าใจ ความหมายได้สาหรบั ระบบการสอ่ื สารข้อมลู สว่ นนจ้ี ะเปน็ MODEM หรอื อปุ กรณ์ทเ่ี หมาะสมในการเปลี่ยน สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า ใหเ้ ป็นสัญญาณไฟฟ้าทใี่ ชข้ ้อมูลในรปู แบบที่ถูกตอ้ ง และเหมาะสมสาหรบั การส่งต่อให้ เคร่อื งคอมพวิ เตอร์ ดังน้ันอปุ กรณบ์ างชนดิ เชน่ MODEM อาจเป็นได้ทง้ั อปุ กรณ์ในการส่ง และรับสญั ญาณ ใน อปุ กรณช์ นดิ เดียวกัน ผ้รู ับสัญญาณ (Destination) ผรู้ บั สัญญาณ เป็นสว่ นสดุ ท้ายในระบบการสอ่ื สารโทรคมนาคม ซ่งึ ทาหน้าทีร่ ับข้อมูล ขา่ วสารทีส่ ง่ มาจากตน้ กาเนดิ ข่าวสารดังนัน้ อปุ กรณ์รับสัญญาณ และอุปกรณส์ ่งสัญญาณ อาจเปน็ อุปกรณ์ชนิด เดียวกนั กไ็ ด้เชน่ คอมพวิ เตอร์ เปน็ ตน้ หน้าทข่ี องระบบโทรคมนาคม ทาหนา้ ที่ในการส่งและรับขอ้ มลู ระหวา่ งจดุ สองจุด ได้แก่ ผู้ส่งข่าวสาร (Sender) และ ผ้รู บั ขา่ วสาร (Receiver) จะดาเนนิ การจัดการลาเลียงข้อมูลผ่านเสน้ ทางที่มีประสิทธิภาพท่ีสุด จัดการตรวจสอบความ ถกู ต้องของข้อมูลท่ีจะสง่ และรบั เข้ามา สามารถปรบั เปลี่ยนรูปแบบขอ้ มูลให้ทัง้ สองฝา่ ยสามารถเขา้ ใจไดต้ รงกัน ซ่งึ ที่กลา่ วมาน้สี ว่ นใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นตวั จดั การ ในระบบโทรคมนาคมส่วนใหญใ่ ชอ้ ุปกรณ์ในการรับส่ง ขอ้ มลู ขา่ วสารต่างชนิด ต่างยี่หอ้ กนั แต่สามารถแลกเปลย่ี นข้อมูลระหว่างกันไดเ้ พราะใช้ชุดคาส่งั มาตรฐานชดุ เดยี วกนั กฎเกณฑม์ าตรฐานในการส่ือสารน้ีเราเรยี กวา่ “โปรโตคอล (Protocol)” อปุ กรณ์แต่ละชนิดใน เครอื ข่ายเดียวกนั ต้องใช้โปรโตคอลอยา่ งเดียวกัน จึงจะสามารถส่ือสารถึงกันและกนั ได้ หน้าทพี่ น้ื ฐานของ โปรโตคอล คอื การทาความรู้จกั กับอุปกรณ์ตัวอื่นท่ีอยู่ในเส้นทางการถา่ ยทอดข้อมูล การตกลงเง่ือนไขในการ รบั ส่งข้อมลู การตรวจสอบความถกู ต้องของขอ้ มูล การแกไ้ ขปัญหาข้อมูลที่เกิดการผดิ พลาดในขณะทส่ี ่งออกไป และการแกป้ ัญหาการส่อื สารขัดข้องท่ีอาจเกิดขน้ึ โปรโตคอลทรี่ ู้จักกันมาก ได้แก่ โปรโตคอลในระบบเครอื ข่าย อินเตอร์เนต เชน่ Internet Protocal ; TCP/IP , IP Address ทเ่ี ราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ประเภทของสญั ญาณ สัญญาณแอนะล็อก(analog signal) สามารถเขยี นแทนไดด้ ้วยรูปกราฟคลื่นไซน์ (sine wave) ลักษณะเปน็ สญั ญาณแบบต่อเน่ือง อธบิ าย รปู กราฟคลน่ื ไซตด์ ว้ ยค่าความถี่ และระดบั ความเขม้ ของสญั ญาณคา่ ความถี่ คอื จานวนรอบของคล่ือนที่ เคล่ือนทีใ่ น 1 วนิ าที หรือในเวลา 1 วนิ าที คลืน่ เคลื่อนท่ไี ด้กรี่ อบนัน่ เอง เช่น สถานวี ิทยุ hotwave กระจาย เสียงท่คี วามถี่ 91.5 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) หมายความว่า เสียงดีเจจากคลืน่ วทิ ยุ hotwave จะถกู แปลงเปน็ สญั ญาณแอนะล็อก โดยใน 1 วินาที สามารถผลิตคลืน่ ใหม้ สี ัญญาณ 91.5 ล้านรอบ ถา้ ผู้รับต้องบการรับฟงั เพลงจากสถานวี ิทยุ hatwave กต็ ้องหมนุ เคร่ืองรับวิทยุให้ตรงกับความถที่ ี่สถานสี ง่ ออกมาน่นั เอง ขอ้ เสยี ของ สัญญาณแบบแอนะลอ็ ก คือ สัญญาณถูกรบกวนได้งา่ ย ทาให้เกดิ ข้อผิดพลาดในการรับส่งขอ้ มลู เม่อื ต้องส่ง ข้อมูลออกไปในระยะทางไกลระดบั ของสญั ญาณจะอ่อนลง และมสี ัญญาณรบกวน ดังน้ันจงึ ตอ้ งมีเครื่งทวน สญั ญาณ เพ่ือเพิม่ ระดับสัญญาณแส่งต่อไป ตัวอย่างของสญั ญาณข้อมูลแบบแอนะลอ็ ก เช่น สญั ญาณเสียงใน สายโทรศัพท์ สญั ญาณเสยี งที่สง่ จากสถานวี ิทยุ เป็นต้น สญั ญาณดจิ ทิ ัล ลกั ษณะเปน็ กราฟส่เี หลีย่ ม (square graph) เปน็ สญั ญาณแบบไม่ต่อเน่อื ง รปู แบบของสญั ญาณมีการ เปลยี่ นแปลงแบบไม่ปะติดปะต่อ กล่าวคือ มีบางช่วงทีร่ ะดับสัญญาณเปน็ 0 การแปลงข้อมูลให้อย่ใู นรูปของ

6 สัญญาณดจิ ิทัลต้องทาการเเปลงข้อมลู ให้ขอ้ มูลเปน็ แบบดิจิทัลกน่ น่นั คอื ต้องแปลงข้อมลู ให้อย่ใู นรปู แบบ เลขฐานสอง คือ 0 และ 1 แลว้ ทาการแปลงข้อมุลนั้นใหเ้ ป็นสญั ญาณดิจทิ ัล ซึง่ สามารถแปลงไดห้ ลายรปู แบบ เชน่ แบบ unipolar แทนบติ 0 ด้วยระดับสัญญาณทเ่ี ปน็ กลาง และบิต 1 ดว้ ยระดบั สญั ญาณเปน็ บวก การส่ง สญั ญาณข้อมลู แบบดจิ ิทัลมีคุณภาพดกี ว่าแบบแอนะล็อก เม่ือต้องการส่งในระยะทางท่ีไกลออกไปจะต้องใช้ อปุ กรณ์ทวนสญั ญาณทีเ่ รยี กว่า รพี ตี เตอรื (repeater) ซึ่งรีพีตเตอรจ์ ะทาการกรองเอาสัญญาณรบกวนออก กอ่ นแล้วค่อยเพ่ิมระดบั สัญญาณ จากนน้ั จงึ สง่ ออกไป จะเห็นได้วา่ คณุ ภาพของสัญญาณท่สี ่งออกไปจะ ใกลเ้ คยี งของเดิมทส่ี ่งมา สญั ญาณดจิ ิทลั มหี น่วยวัดความเร็วเป็นบติ ตอ่ นาที หรือ bit per second (bps) หมายถึง จานวนบิตทส่ี ่งได้ในชว่ งเวลา 1 วนิ าที เช่น โมเด็มมีความเรว็ 56 kbps หมายความว่า โมเดม็ สามารถผลติ สัญญาณดจิ ิทัลไดป้ ระมาณ 56,000 บติ ใน 1 วินาที ตวั กลางหรอื ชอ่ งทางการสอื่ สาร ช่องส่อื สาร (communication channels) หมายถงึ รปู แบบใดๆ ทสี่ ามารถนามาใช้ในการถ่ายทอด สญั ญาณข้อมลู จากอปุ กรณต์ ัวหน่ึงในระบบเครือข่ายไปยงั อุปกรณ์อีกตัวหนงึ่ ส่ือต่างๆ ท่ีใช้ได้แก่ สายคู่บดิ เกลยี ว สายใยแกว้ นาแสง สญั ญาณไมโครเวฟ สญั ญาณผา่ นดาวเทยี ม และสัญญาณไรส้ ายแบบต่างๆความเร็ว ในการถ่ายทอดขอ้ มลู ปรมิ าณขอ้ มลู ทส่ี ่งผา่ นช่องสอ่ื สารใดๆ มหี น่วยวดั เป็น บิตตอ่ วนิ าที(bits per second : bps)ช่วงคลื่นสัญญาณทรี่ วมกันอย่ใู นช่องสื่อสารหนง่ึ ชอ่ ง เรียกวา่ ความกวา้ งของช่องส่ือสาร (bandwidth) ช่วงคลนื่ ทก่ี ว้างมากหมายถงึ ชอ่ งสญั ญาณท่ีกว้างมาก สามารถสง่ ข้อมูลปรมิ าณมากได้ในเวลา อันรวดเรว็ มลั ติเพล็กเซอรเ์ ป็นอุปกรณ์ที่ช่วยใหก้ ารใชส้ ื่อหรือช่องสื่อสารขนาดใหญ่มปี ระสิทธิภาพมากยง่ิ ข้ึน ระบบเครือขา่ ยสื่อสาร LAN ยอ่ มาจาก Local Area Network คือระบบเครือขา่ ย แบบเชอื่ มต่อคอมพวิ เตอรเ์ ขา้ ด้วยกันในระยะ จากัด เช่น ในอาคารเดยี วกัน หรอื บรเิ วณเดียวกนั ที่สามารถลากสายถงึ กันไดโ้ ดยตรง สว่ นมากจะใชส้ ายเคเบ้ิล หรอื ที่เรยี กกนั วา่ สายแลน เปน็ ตวั กลางในการเช่ือมต่อ อัตราเร็วของเครอื ข่าย LAN อยทู่ ี่ระหวาง 1- 100 Mbps ทงั้ นคี้ วามเร็วขอมูลข้นึ อยู่กับ ตวั กลางสายส่งท่ีใช้ เทคนิคการสง่ สญั ญาณ และข้อกาหนดของผู้ ใหบ้ รกิ ารเนต็ เวริ ค์ การเช่ือมโยงเครอื ข่ายแบบแลน มี 3 รูปแบบ คือ 1.Bus มกี ารรบั ส่งข้อมูลดว้ ยความเร็ว 10-100 MB/sจะเช่อื มต่อกนั บนสายสญั ญาณเสน้ เดียวกัน โดยจะมี อุปกรณ์ทเี่ รียกว่า T-Connector เป็นตวั แปลงสัญญาณข้อมลู เพื่อนาเข้าส่รู ะบบคอมพิวเตอร์ และ Terminator ในการปดิ หวั ทา้ ยของสายในระบบเครือข่ายเพื่อดดู ซับข้อมลู ไม่ใหเ้ กดิ การสะท้อนกลับของ สญั ญาณ 2.Star เป็นระบบที่มีเป็นการต่อแบบรวมศนู ย์ โดยเครื่องคอมพวิ เตอรท์ ุกเครื่องจะตอ่ สายเขา้ ไปทอ่ี ุปกรณท์ ่ี เรยี กวา่ Hub หรอื Switch โดยอปุ กรณท์ เี่ รียกว่า Hub หรอื Switch จะทาหน้าท่เี ปรยี บศูนยก์ ลางที่ทาหน้าที่ กระจายข้อมูล โดยข้อดีของการตอ่ ในรูปแบบนีค้ ือ หากสายสญั ญาณเกิดขาดในคอมพวิ เตอร์เคร่ืองใดเคร่ือง หนงึ่ เคร่ืองคอมพิวเตอร์อืน่ ๆจะสามารถใชง้ านได้ปรกติ แต่หากศูนยก์ ลางคือ Hub หรอื Switch เกดิ เสียจะทา ใหร้ ะบบทั้งระบบไม่สามารถทางานได้ทั้งระบบ 3.Ring เป็นระบบท่ีมีการส่งข้อมูลไปในทศิ ทางเดยี วกัน โดยจะมเี คร่ือง Server หรือ Switch ในการ ปลอ่ ย Token เพ่อื ตรวจสอบว่ามเี ครอื่ งคอมพิวเตอร์ใดต้องการส่งข้อมลู หรือไม่และระหว่างการส่งข้อมลู เครื่อง คอมพวิ เตอร์อืน่ ๆทีต่ ้องการสง่ ข้อมลู จะต้องทาการรอให้ขอ้ มูลกอ่ นหน้านัน้ ถูกสง่ ใหส้ าเร็จเสยี กอ่ น

7 ความรูเ้ กย่ี วกับขอ้ มลู สารสนเทศ และระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ ข้อมลู คอื ค่าของตัวแปรในเชงิ คณุ ภาพหรือเชิงปริมาณ ท่ีอยใู่ นความควบคมุ ของกลุม่ ของสิ่งต่าง ๆ ข้อมูลใน เรอ่ื งการคอมพวิ เตอร์ (หรือการประมวลผลขอ้ มูล) จะแสดงแทนดว้ ยโครงสรา้ งอย่างหนึ่ง ซง่ึ มกั จะเป็น โครงสร้างตาราง (แทนดว้ ยแถวและหลกั ) โครงสรา้ งต้นไม้ (กลมุ่ ของจดุ ต่อท่ีมคี วามสัมพันธ์แบบพอ่ ลูก) หรือ โครงสร้างกราฟ (กลมุ่ ของจุดตอ่ ทเ่ี ชือ่ มระหว่างกัน) ข้อมลู โดยปกตเิ ปน็ ผลจากการวดั และสามารถทาให้เหน็ ได้ โดยใช้กราฟหรือรปู ภาพ ข้อมูลในฐานะมโนทัศน์นามธรรมอนั หน่ึง อาจมองได้วา่ เปน็ ระดับต่าท่สี ุดของภาวะ นามธรรมทีส่ ืบทอดเป็นสารสนเทศและความรู้ ขอ้ มลู ดิบ หรือ ข้อมูลที่ยงั ไม่ประมวลผล เป็นศัพท์อีกคาหนึง่ ทเี่ ก่ียวข้อง หมายถงึ การรวบรวมจานวนและ อักขระต่าง ๆ ซึ่งมักจะเกิดขน้ึ ตามปกติในการประมวลผลข้อมลู เปน็ ระยะ และ ขอ้ มูลทปี่ ระมวลผลแล้ว จาก ระยะหนง่ึ อาจถือวา่ เป็น ข้อมูลดบิ ของระยะถัดไปก็ได้ ขอ้ มลู สนาม หมายถงึ ข้อมูลดบิ ทร่ี วบรวมมาจากสภาพแวดลอ้ ม ณ แหล่งกาเนดิ ท่ีไม่อยใู่ นการควบคุม ข้อมูลเชิงทดลอง หมายถึง ข้อมูลที่สรา้ งขนึ้ ภายในสภาพแวดล้อมของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์โดยการ สงั เกตและการบันทึก ชนิดของข้อมูล ชนิดของข้อมูลทต่ี ้องการใสใ่ นเซลล์ของโปรแกรม Microsoft Excel 1. ขอ้ มูลประเภทข้อความ (Text) หมายถงึ ข้อมลู ที่ไม่นามาคานวณ อาจเปน็ ตวั อกั ษร ตวั เลข เครื่องหมาย การใส่ข้อมูลทมี่ ีความยาวมากกวา่ ความกว้างของเซลล์ข้อความน้นั จะถูกแสดงต่อไปในเซลลท์ ่ีอยูท่ างขวามอื ตราบใดทีเ่ ซลลท์ างขวามือน้นั ยังไม่มีข้อมูล ข้อมลู ชนดิ นจี้ ะถูกจัดให้อยู่ชดิ ซา้ ยของเซลล์เสมอ 2. ข้อมูลประเภทตวั เลข (Numeric) ขอ้ มูลที่นามาคานวณได้ ขอ้ มูลจะอยู่ชดิ ขวา และไม่สามารถแสดงผลเกิน ความกวา้ งของเซลล์ได้ ถ้าความกว้างของเซลล์ไม่พอจะปรากฏเครื่องหมาย การแก้ไขโดยขยายความกว้างของ เซลลอ์ อกไป 3. ขอ้ มลู ประเภทวันท่ี (Date) หมายถึงข้อมลู ทีป่ ระกอบด้วยวนั ท่ีและเดือน เดือนและปี หรอื วันที่ เดือนและปี โดยเดือนสามารถกาหนดไดท้ ้ังแบบตวั เลข หรือตัวอักษร ข้อมลู ชนดิ น้นี าไปคานวณได้ 4. ข้อมูลประเภทเวลา (Time) หมายถงึ ข้อมลู ที่ประกอบด้วยช่วั โมงและนาที โดยมีเคร่ืองหมาย : ข้อมลู ชนดิ นี้สามารถนาไปคานวณได้ 5. ขอ้ มลู ประเภทสูตร (Formular) ข้อมลู ประเภทนี้คอื สมการคณิตศาสตร์ จะต้องใช้เครื่องหมายเท่ากับ (=) นาหน้า ความหมายของสารสนเทศ สารสนเทศ (Information) หมาย ถงึ ข้อมลู ตา่ งๆ ท่ีไดผ้ ่านการเปลีย่ นแปลงหรอื มี การประมวลหรือวเิ คราะห์ ผลสรปุ ดว้ ยวธิ ีการต่างๆ ใหอ้ ยู่ในรปู แบบที่มีความสมั พันธ์กัน มีความหมาย มีคณุ ค่าเพ่ิมขึน้ และมวี ัตถปุ ระสงค์ ในการใช้งาน

8 หมาย ถึง ข้อมูลที่ได้ถูกกระทาให้มีความสัมพนั ธ์หรือความหมายนาไปใช้ประโยชนไ์ ด้ เชน่ การเกบ็ ข้อมลู การ ขายรายวันแลว้ นาการประมวลผล เพ่ือหาวา่ สนิ คา้ ใดมียอดขายสูงทส่ี ดุ เพื่อจดั ทาแผนการขายในเดือนตอ่ ไป ระบบสารสนเทศ สารสนเทศ (Information System)หมาย ถึง ขบวนการประมวลผลขา่ วสารที่มอี ยู่ใหอ้ ยู่ในรปู ของขา่ วสารที่ เป็นประโยชน์สงู สุด เพ่ือเปน็ ข้อสรปุ ทใี่ ช้สนบั สนุนการบรหิ ารและการตัดสินใจท้งั ในระดับปฏิบตั ิ การ ระดบั กลาง และระดับ สงู ระบบสารสนเทศจงึ เป็นระบบทไี่ ด้จดั ต้ังขน้ึ เพือ่ ปฏบิ ัติการเก่ยี วกบั ข้อมลู ตงั ต่อไปน้ี 1. รวบรวมข้อมูลท้งั ภายใน ภายนอก ซ่งึ จาเปน็ ต่อหน่วยงาน 2. จัดกระทาเกย่ี วกบั ข้อมลู เพื่อใหเ้ ปน็ สารสนเทศท่ีพร้อมจะใช้ประโยชน์ได้ 3. จดั ใหม้ ีระบบเก็บเป็นหมวดหมู่ เพือ่ สะดวกต่อการค้นหาและนาไปใช้ 4. มีการปรบั ปรงุ ข้อมูลเสมอ เพ่ือใหอ้ ยู่ในภาพทถี่ กู ต้องทันสมยั ประเภทของระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ ในปัจจุบันสว่ นใหญจ่ ะเป็นระบบท่ีนาคอมพิวเตอรม์ าใช้ หรือทเี่ รยี กวา่ ระบบสารสนเทศ อิงคอมพวิ เตอร์ (Computer-Based Information Systems หรอื CBIS) ระบบสารสนเทศท่อี งิ คอมพวิ เตอร์ (Computer-Based Information Systems) แบง่ ออกเปน็ 6 ประเภท ดังน้ี 1. ระบบสารสนเทศประมวลผลธรุ กรรม (Transaction Processing Systems: TPS) เปน็ ระบบสารสนเทศ ประเภทแรกท่นี ิยมนามาใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลาย เพอ่ื การประมวลผลที่รวดเรว็ ลดคา่ ใช้จ่าย และปรบั ปรงุ การ ใหบ้ ริการลกู ค้า ระบบสารสนเทศแบบประมวลผลธุรกรรมทาหน้าทรี่ วบรวม บันทึกข้อมูลในแฟม้ ขอ้ มูล (File) หรือฐานข้อมูล(Database) และประมวลผลขอ้ มูลทีเ่ กิดจากการทาธรุ กรรมและการปฏิบัติงานประจา (Routine) ขององค์การเพ่ือนาไปจัดทาระบบสารสนเทศทเ่ี ก่ยี วข้องกบั ข้อมูลน้นั ๆ โดยปกติ พนกั งานระดบั ปฏิบัตงิ านจะเปน็ ผู้จดั ทาระบบสารสนเทศประเภทนี้ แต่ดว้ ยความกา้ วหนา้ ของ เทคโนโลยี ในปจั จุบันจงึ ได้มีการพฒั นาระบบการประมวลผลธุรกรรมท่ลี กู ค้าสามารถป้อนข้อมลู และ ประมวลผลรายการด้วยตนเองได้ เรยี กระบบสารสนเทศลักษณะน้ีว่า Customer Integrated เปน็ การ ประมวลผลท่ขี ้อมูลจะถูกรวบรวมและสะสมไวร้ ะหว่างชว่ งเวลาทก่ี าหนด แล้วจึงจะประมวลผลรวมกนั เป็นคร้งั เดียว การออกแบบลักษณะการประมวลผลแบบกลุม่ กเ็ พ่ือประหยดั คา่ ใช้จ่าย และใหเ้ กิดความเหมาะสมกับ ลักษณะของงาน 1.2 การประมวลผลแบบทันที (Real-Time Processing) เปน็ การประมวลผลแต่ละรายการและใหผ้ ลลัพธ์ ทนั ทีเม่ือมีการป้อนข้อมูลเขา้ สูร่ ะบบ การประมวลผลแบบทนั ทีถ้าเป็นการประมวลผลรายการแบบออนไลน์จะ เรียกวา่ Online Transaction Processing หรือ OLTP เชน่ การจองตวั๋ เครือ่ งบนิ 2. ระบบสารสนเทศเพอื่ การจัดการ (Management Information System: MIS)เป็นระบบสารสนเทศทีโ่ ดย ปกตแิ ล้วจะประมวลผลและสรุปผลจากแฟม้ ข้อมลู หรือฐานข้อมลู ท่ีได้จาก TPS เพ่ือจัดทาสารสนเทศตาม

9 ความต้องการของผู้บรหิ ารสาหรบั นาไปใชใ้ นการวางแผน ควบคมุ กากบั ดูแล สงั่ การ และประกอบการ ตัดสินใจ โดยสามารถจาแนกได้เป็น 4 ประเภทดงั น้ี 2.1 รายงานที่จดั ทาตามระยะเวลาทีก่ าหนด (Periodic Reports) เป็นรายงานที่จดั ทาข้ึนตามระยะเวลาท่ี กาหนดไว้ล่วงหน้า ซ่งึ อาจเป็นรายงานที่จัดทาขนึ้ ทุกวนั ทุกสัปดาห์ ทกุ เดือน หรือทุกๆ ปี 2.2 รายงานสรปุ (Summarized Reports) เป็นรายงานท่จี ัดทาเพื่อสรปุ การดาเนนิ งานโดยภาพรวม โดย ปกตจิ ะแสดงผลในรูปของตารางสรุปจานวนและกราฟเปรยี บเทยี บ 2.3 รายงานทจ่ี ดั ทาตามเงื่อนไขเฉพาะ (Exception Reports) เป็น รายงานทจี่ ดั ทาตามเงือ่ นไขพิเศษไม่อยูใ่ น เกณฑ์การจัดทารายงานตามปกติ มีวัตถปุ ระสงค์เพอื่ ให้ผู้บริหารไดใ้ ช้สารสนเทศสาหรับการตดั สินใจอยา่ ง ทันเวลา 2.4 รายงานทจ่ี ัดทาตามความตอ้ งการ (Demand Reports) เปน็ รายงานทมี่ ีลักษณะตรงขา้ มกับรายงานที่ จดั ทาตามระยะเวลาที่กาหนด ซ่ึงรายงานจะกระทาตามเวลาอย่างสม่าเสมอ ในขณะท่ี Demand Reports จะ จดั ทาเมื่อผู้บริหารมีความต้องการในรายงานนัน้ ๆ เท่าน้นั 4. ระบบสารสนเทศสาหรบั ผูบ้ รหิ ารระดบั สงู (Executive Information Systems: EIS หรอื Executive Support Systems: ESS) เป็นระบบสารสนเทศทีช่ ่วยสนับสนนุ การวเิ คราะห์ปญั หา ศกึ ษาแนวโน้ม และการ วางแผนกลยทุ ธ์ ผ้บู รหิ ารสามารถเขา้ ถงึ สารสนเทศโดยกาหนดมมุ มองได้ในรปู แบบต่างๆ จึงเปน็ ระบบทีม่ ี ความยืดหยุ่นและคลอ่ งตวั สูง และรวดเร็วต่อความต้องการ ใชง้ านได้งา่ ย EIS สามารถเขา้ ถงึ สามาสนเทศจากฐานข้อมูลภายในและภายนอกองค์การและจะนาเสนอสารสนเทศที่ได้จาก การวิเคราะห์ในรูปของรายงาน ตาราง และกราฟ เพื่อการสรุปสารสนเทศให้ผูบ้ รหิ ารได้เข้าใจง่ายและ ประหยดั เวลา 5. ปญั ญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และระบบผู้เช่ียวชาญ (Expert Systems: ES) ปัญญาประดิษฐเ์ ป็นความพยายามทีจ่ ะพัฒนาระบบคอมพวิ เตอร์ (ท้ังฮารด์ แวร์และซอฟต์แวร)์ ใหส้ ามารถ ปฏิบัตงิ านเหมอื นกับมนุษย์หรือเลียนแบบ การทางานของมนุษย์ AI มีหลายสาขา เช่น การประมวลผล ภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing), ศาสตรด์ า้ นหุ่นยนต์(Robotics), ระบบการมองเหน็ (Vision Systerms), ระบบการเรียนรู้(Learning Systems), เครอื ขา่ ยเสน้ ประสาท(Neural Networks) และ ระบบผเู้ ชีย่ วชาญ(Expert Systems) ระบบผูเ้ ชย่ี วชาญ (Expert Systems) หรอื ระบบฐานความรู้ (Knowledge-based System) เป็นระบบที่ รวบรวมและจดั เกบ็ ความรูแ้ ละประสบการณ์ของผเู้ ช่ยี วชาญ เพอื่ ช่วยในการหาข้อสรปุ และคาแนะนาให้กบั ผูใ้ ช้ 6. ระบบสารสนเทศสานักงาน (Office Information Systems: OIS) หรอื ระบบสานกั งานอตั โนมัติ (Office Automation Systems: OAS) เปน็ ระบบสารสนเทศท่นี าเทคโนโลยีมาประยกุ ต์ใช้ เพ่ือช่วยเพิม่ ประสทิ ธิภาพ ในการทางานของผูป้ ฏบิ ตั ิงานและผู้บริหาร แบ่งไดเ้ ป็น 5 ประเภท คือ ระบบจัดการเอกสาร ระบบการ จัดการข่าวสาร ระบบการทางานร่วมกนั /ประชุมทางไกล ระบบการประมวลภาพ และระบบการจดั การ สานักงาน

10 องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศเป็นงานที่ต้องใช้สว่ นประกอบหลายอย่าง ในการทาใหเ้ กิดเป็นกลไกในการนาข้อมลู มาใช้ให้ เกิดประโยชน์ได้ นกั เรยี นลองนึกดวู า่ ถ้าต้องการประมวลผลรายงานการเรยี นของนักเรียนได้อย่าง ถกู ต้อง รวดเร็ว ทนั การ ระบบการจดั การสารสนเทศน้ัน เกีย่ วขอ้ งกับอะไรบา้ ง ประการแรกคือ บุคลากรหรืออาจารย์ประจาชั้นทีเ่ ป็น ผู้รบั ผดิ ชอบ หรืออาจารยผ์ ้สู อนแตล่ ะรายวิชา ประการทส่ี อง คือ หากมีการบันทึก ข้อมูลก็ตอ้ งมขี นั้ ตอนการ ปฏิบตั ิงานของอาจารย์เป็นขั้นตอนที่กาหนดไว้ว่าจะต้องทาอะไรบา้ ง เมื่อไร อย่างไร ประการที่สาม คือ เครอื่ ง คอมพวิ เตอร์ เป็นเคร่ืองช่วยให้การทางานใหผ้ ลรวดเร็ว และคานวณไดแ้ ม่นยาถูกต้อง ประการทสี่ ี่ คือ ซอฟต์แวร์ทใ่ี ชก้ ับเคร่ืองคอมพวิ เตอรช์ ่วยทาให้คอมพิวเตอร์ทางาน ตามที่ต้องการได้ ประการสุดท้ายคือ ตัว ข้อมลู ที่เปน็ เสมอื นวตั ถดุ บิ ที่จะได้รบั การเปลย่ี นแปลงใหเ้ ป็นสารสนเทศตามที่ต้องการ สว่ นประกอบทส่ี าคญั ของระบบสารสนเทศมี 5 สว่ นคอื 1. ฮารด์ แวร์(เคร่ืองจักรอปุ กรณ์ 2. ซอฟต์แวร์ 3. ขอ้ มลู 4. บุคลากร 5.ขน้ั ตอนการปฏบิ ัติงาน เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เปน็ เครื่องมือที่ช่วยในการจัดการสารสนเทศ คอมพิวเตอรช์ ่วยประมวลผล คดั เลือก คานวณ หรอื พิมพ์รายงาน ผลตามทีต่ ้องการ คอมพิวเตอรเ์ ป็นอุปกรณ์ที่ทางานไดร้ วดเร็ว มคี วามแม่นยาใน การทางาน และทางานได้ต่อเนอ่ื ง คอมพิวเตอร์และอุปกรณต์ า่ ง ๆ จงึ เป็นองคป์ ระกอบหนง่ึ ของระบบ สารสนเทศ ซอฟตแ์ วร์ คือลาดบั ขน้ั ตอนคาสงั่ ให้เคร่อื งคอมพวิ เตอร์ ทางานตามวัตถุประสงค์ท่วี างไว้ ซอฟตแ์ วร์ จงึ หมายถงึ ชดุ คาสง่ั ท่ีเรยี ง เปน็ ลาดับข้ันตอนสง่ั ให้คอมพวิ เตอร์ทางานตามต้องการ และประมวลผลเพอื่ ใหไ้ ด้ สารสนเทศทต่ี ้องการขอ้ มูล เปน็ วัตถดุ ิบทีท่ าให้เกดิ สารสนเทศ ข้อมลู ทเ่ี ป็นวตั ถุดิบจะตา่ งกนั ข้ึนกบั สารสนเทศ ท่ีตอ้ งการ เช่น ในสถานศึกษามกั จะต้องการ สารสนเทศท่ีเกี่ยวขอ้ งกับข้อมูลนักเรยี น ขอ้ มูลผลการเรยี น ข้อมูลอาจารย์ ข้อมูลการใช้จ่ายตา่ ง ๆ ข้อมูลเป็นส่งิ ที่สาคัญประการหนง่ึ ทีม่ ีบทบาทต่อการให้เกดิ สารสนเทศ ความหมายของระบบเครือขา่ ย ระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ (Computer Network) หมายถึงการนาเครื่องคอมพิวเตอร์ มาเช่อื มต่อเขา้ ดว้ ยกนั โดยอาศยั ช่องทางการส่ือสารขอ้ มลู เพื่อแลกเปลย่ี นข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่องคอมพวิ เตอร์ และการ ใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน (Shared Resource) ในเครอื ขา่ ยนั้น รูปแสดงระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ มีองค์ประกอบท่ีสาคญั เพ่ือการเชือ่ มตอ่ เปน็ เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (File Server) ช่องทางการสื่อสาร (Communication Chanel) สถานงี าน (Workstation or Terminal) และ อปุ กรณใ์ นเครอื ข่าย (Network Operation System) ประเภทของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

11 เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ ( computer network ) เปน็ การเชื่อมต่อคอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้าดว้ ยกนั เพอ่ื ให้สามารถใช้ขอ้ มูลทรัพยากรร่วมกันได้ เชน่ สามารถใชเ้ ครื่องพิมพ์ร่วมกัน สามารถใชฮ้ าร์ดดิสก์ร่วมกัน แบง่ ปันการใช้อุปกรณอ์ ืน่ ๆ ท่ีมรี าคาแพงหรือไม่สามารถจัดหาใหท้ ุกคนได้ แมก้ ระทัง่ สามารถใชโ้ ปรแกรม ร่วมกนั ได้เป็นการลดตน้ ทุนขององค์กรเครือขา่ ยคอมพิวเตอรส์ ามารถแบง่ ออกเป็นประเภทตามพืน้ ที่ท่ี ครอบคลุมการใชง้ านของเครือขา่ ย ดงั นี้ 1. เครือข่ายส่วนบุคคล หรือแพน ( Personal Area Network: PAN ) เป็นเครือขา่ ยท่ีใช้ส่วนบุคคล เชน่ การเชือ่ มต่อคอมพวิ เตอร์กับโทรศัพท์มือถือ การเช่อื มต่อพดี เี อกบั เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ซง่ึ การเชื่อมต่อแบบน้จี ะอยใู่ นระยะใกล้ และมีการเช่ือมต่อแบบไรส้ าย 2. เครือข่ายเฉพาะท่ี หรอื แลน ( Local Area Network: LAN ) เป็นเครอื ข่ายที่ใชใ้ นการเชือ่ มโยงคอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณต์ ่าง ๆ ท่ีอยูใ่ นพื้นทเ่ี ดียวกันหรอื ใกลเ้ คยี งกัน เชน่ ภายในบ้าน ภายในสานกั งาน และภายในอาคาร สาหรับการใช้งานภายในบา้ นนน้ั อาจเรยี กเครือข่าย ประเภทน้วี ่า เครือข่ายท่ีพักอาศยั ( home network ) โดยอาจเป็นการเชื่อมต่อเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ตงั้ แต่ 2 เคร่ือง หรือมากกว่า เครอื ข่ายแลนจดั ไดว้ า่ เป็นเครือข่ายเฉพาะองค์กร การเชื่อมตอ่ เครือข่ายแลน สามารถสื่อสารข้อมูลไดอ้ ย่างรวดเร็วและเกดิ ประสิทธิภาพกับองค์กรมาก 3. เครือขา่ ยนครหลวง หรือแมน (Metropolitan Area Network: MAN) เปน็ เครอื ขา่ ยทใี่ ชเ้ ชือ่ มโยงแลนท่ีอยู่หา่ งไกลออกไป เชน่ การเช่อื มตอ่ เครือขา่ ยระหว่างสานกั งานท่ีอาจอยู่ คนละอาคารและมีระยะทางไกลกัน การเชือ่ มต่อเครือข่ายชนดิ นี้อาจใช้สายไฟเบอร์ออพตกิ หรือบางครงั้ อาจ ใช้ไมโครเวฟเชื่อมต่อ เครอื ขา่ ยแบบนใี้ ชใ้ นสถานศึกษามีชอื่ เรยี กอีกอยา่ งหน่ึงวา่ เครอื ข่ายแคมปัส ( Campus Area Network: CAN ) ซ่ึงถือว่าเป็นระบบเครือข่ายท่มี ีการเชอ่ื มตอ่ กันในระหว่างที่กวา้ งใหญ่ ครอบคลมุ ระยะทางเป็น 100 กโิ ลเมตร ทม่ี กี ารตดิ ต่อกนั ในระยะที่ไกลกวา่ ระบบแลนและใกล้กว่าระบบแวน รูปแบบการเช่อื มต่อเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ 1. โทโปโลยีแบบบสั เป็นโทโปโลยีที่ไดร้ ับความนยิ มใช้กันมากท่ีสุดมาต้ังแต่อดตี จนถงึ ปจั จุบัน ลกั ษณะการทางานของเครือขา่ ย โท โปโลยแี บบบสั คอื อุปกรณ์ทุกช้นิ หรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะตอ้ งเชอื่ มโยงเข้ากบั สายสือ่ สารหลกั ที่ เรียกว่า”บัส” (BUS) เม่อื โหนดหนง่ึ ต้องการจะสง่ ขอ้ มลู ไปให้ยงั อีกโหนด หน่งึ ภายในเครือข่าย จะต้อง ตรวจสอบใหแ้ น่ใจก่อนวา่ บสั ว่างหรอื ไม่ ถา้ หากไม่ว่างก็ไม่สามารถจะสง่ ขอ้ มลู ออกไปได้ ทง้ั นี้เพราะสายสอื่ สาร หลกั มเี พียงสายเดียว ในกรณีท่ีมขี ้อมูลว่งิ มาในบัส ขอ้ มลู นี้จะวิง่ ผา่ นโหนดตา่ งๆ ไปเรื่อยๆ ในขณะท่แี ต่ละ โหนดจะคอยตรวจสอบขอ้ มูลท่ผี า่ นมาว่าเป็นของตนเองหรือไม่ หากไมใ่ ช่ กจ็ ะปล่อยให้ข้อมลู วิง่ ผ่านไป แต่ หากเลขที่อย่ปู ลายทาง ซ่ึงกากบั มากับข้อมูลตรงกับเลขท่ีอยู่ของของตน โหนดนน้ั กจ็ ะรับข้อมูลเข้าไป 2. โทโปโลยีแบบดาว โทโปโลยีแบบดาว (Star Topology) เป็นรปู แบบทเ่ี ครื่องคอมพิวเตอร์ทกุ เครือ่ งท่เี ช่อื มตอ่ เข้าด้วยกันในเครือ ขา่ ย จะต้องเชื่อมต่อกบั อุปกรณต์ วั กลางตวั หนึง่ ท่ีเรียกวา่ ฮับ (HUB) หรอื สวติ ช์ (Switch) หรอื เคร่ือง ๆ หนงึ่ ซึง่ ทาหนา้ ท่เี ป็นศนู ยก์ ลางของการเชือ่ มต่อสายสัญญานที่มาจากเครื่องตา่ ง ๆ ในเครอื ข่าย และควบคุมเส้นทาง

12 การส่ือสาร ทง้ั หมด เมอื่ มเี คร่ืองทีต่ ้องการสง่ ข้อมูลไปยังเคร่ืองอนื่ ๆ ที่ต้องการในเครือข่าย เครือ่ งนัน้ กจ็ ะต้อง ส่งข้อมูลมายงั HUB หรือเคร่ืองศนู ย์กลางก่อน แลว้ HUB กจ็ ะทาหน้าที่กระจายข้อมลู น้ันไปในเครือขา่ ยตอ่ ไป 3. โทโปโลยีแบบวงแหวน (RING) เปน็ รปู แบบท่ี เครื่องคอมพิวเตอรท์ ุกเครอ่ื งในระบบเครือข่าย ทง้ั เครอื่ งท่เี ป็นผใู้ ห้บริการ( Server) และ เครอื่ งทีเ่ ปน็ ผู้ขอใช้บรกิ าร(Client) ทกุ เครื่องถูกเช่อื มต่อกนั เป็นวงกลม ขอ้ มูลขา่ วสารทส่ี ่งระหวา่ งกัน จะ ไหลวนอย่ใู นเครือขา่ ยไปใน ทิศทางเดียวกัน โดยไม่มีจดุ ปลายหรอื เทอรม์ เิ นเตอร์เช่นเดียวกบั เครือข่าย แบบ BUS ในแตล่ ะโหมดหรือแตล่ ะเคร่ือง จะมีรีพตี เตอร์ (Repeater) ประจาแต่ละเครื่อง 1 ตวั ซ่ึงจะทา หนา้ ท่เี พิ่มเตมิ ข้อมูลทีจ่ าเปน็ ตอ่ การติดตอ่ ส่ือสารเข้าในสว่ นหวั ของแพ็กเกจทีส่ ่ง และตรวจสอบขอ้ มลู จากสว่ น หัวของ Packet ท่ีสง่ มาถงึ ว่าเปน็ ขอ้ มลู ของตนหรือไม่ แต่ถ้าไม่ใช่กจ็ ะปลอ่ ยขอ้ มูลนั้นไปยัง Repeater ของ เครื่องถดั ไป 4. โทโพโลยีแบบต้นไม้ (Tree Topology) มีลักษณะเช่ือมโยงคล้ายกับโครงสรา้ งแบบดาวแตจ่ ะมีโครงสร้างแบบต้นไม้ โดยมีสายนาสญั ญาณแยกออกไป เป็นแบบกิง่ ไมเ่ ป็นวงรอบ โครงสร้างแบบน้ีจะเหมาะกบั การประมวลผลแบบกลมุ่ จะประกอบด้วยเคร่อื ง คอมพิวเตอร์ระดับต่างๆกันอย่หู ลายเครือ่ งแล้วต่อกันเป็นชั้น ๆ ดูราวกับแผนภาพองค์กร แต่ละกล่มุ จะมโี หนด แม่ละโหนดลูกในกลมุ่ นน้ั ท่ีมกี ารสัมพันธ์กนั การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตวั กลางไปยังสถานีอ่ืนๆได้ทง้ั หมด เพราะ ทกุ สถานจี ะอยู่บนทางเช่ือม และรบั ส่งขอ้ มลู เดียวกัน ดังน้ันในแตล่ ะกล่มุ จะสง่ ขอ้ มลู ได้ทีละสถานโี ดยไมส่ ่ง พร้อมกัน 5. โทโพโลยแี บบผสม (Hybrid Topology) เป็นเครอื ข่ายท่ผี สมผสานโทโพโลยแี บบต่างๆ เข้าด้วยกนั เปน็ เครือข่ายขนาดใหญ่เพียงเครอื ข่ายเดยี ว เช่น การเชือ่ มเครอื ข่ายแบบวงแหวน แบบดาว และแบบบัสเขา้ เป็นเครือข่ายเดยี วกนั เครือข่ายบรเิ วณกว้าง (WAN) เปน็ ตวั อยา่ งท่ีใช้ลักษณะโทโพโลยแี บบผสมท่ีพบเห็นมากทีส่ ดุ เครือข่ายแบบนี้จะเชอื่ มต่อท้ังเครือขา่ ย ขนาดเลก็ และขนาดใหญ่ หลากหลายท่ีเขา้ ดว้ ยกัน ซ่ึงอาจจะถูกเช่อื มต่อจากคนละจงั หวัด หรือคนละประเทศก็ ได้ ตัวอย่างเชน่ บริษัทที่มสี าขาแยกย่อยตามจังหวดั ต่าง ๆ สาขาทหี่ นึ่งอาจจะใชโ้ ทโพโลยแี บบดาว อีกสาขา หนงึ่ อาจใช้โทโพโลยแี บบบัส การเชือ่ มต่อเครือข่ายเขา้ ด้วยกนั อาจใช้ส่ือกลางเปน็ ไมโครเวฟ หรือดาวเทยี ม เป็นต้น Advertisements 3 ความหมายของอนิ เทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ มีการเช่ือมต่อระหว่าง เครือข่ายหลาย ๆ เครอื ข่ายท่ัวโลก โดยใชภ้ าษาที่ใชส้ ือ่ สารกนั ระหว่างคอมพิวเตอร์ท่เี รียกวา่ โพรโทคอล (protocol) ผ้ใู ช้เครือขา่ ยนส้ี ามารถสื่อสารถึงกนั ไดใ้ นหลาย ๆ ทาง อาทิ อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบคน้ ขอ้ มูลและขา่ วสารต่าง ๆ รวมท้ังคดั ลอกแฟม้ ข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้ ประวตั คิ วามเปน็ มาของอินเทอร์เนต็

13 อนิ เทอร์เน็ตเกดิ ขนึ้ ในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครือขา่ ย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซงึ่ เปน็ เครือขา่ ยสานักงานโครงการวิจยั ชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศ สหรฐั อเมรกิ า โดยมวี ัตถุประสงคห์ ลักของการสร้างเครือขา่ ยคือ เพ่ือให้คอมพวิ เตอรส์ ามารถเชื่อมต่อ และมี ปฏสิ มั พนั ธ์กันได้ เครือขา่ ย ARPANET ถอื เปน็ เครือขา่ ยเรมิ่ แรก ซ่งึ ต่อมาได้พฒั นาให้เป็นเครือข่าย อินเทอร์เน็ตในปจั จุบัน การเช่ือมต่อเข้าสรู่ ะบบอินเทอร์เนต็ การเชอ่ื มต่อเครื่องคอมพิวเตอรเ์ ข้าสู่อินเทอร์เนต็ ผู้ใช้จะต้องสมัครเป็นสมาชิกเครือขา่ ยจะต้องมบี ีประจา เคร่ือง (Account Number) ท่ศี ูนย์บรกิ าร แล้วเช่อื โยงคอมพิวเตอร์เขา้ กับเครื่องท่ศี ูนย์บริการ โดยใช้ สายโทรศพั ทผ์ า่ นทางโมเด็ม (Modem) และจะมีซอฟตแ์ วร์ทาหนา้ ทีแ่ ปลงคอมพิวเตอรข์ องผใู้ ช้เป็นเทอร์มนิ ัล ของคอมพิวเตอรท์ ่ศี ูนย์บริการเมอ่ื สมัครเป็นสมาชกิ แลว้ ผูใ้ ชจ้ ะมี User ID หรือ User name หรอื Login name และ Password ผ้ใู ชจ้ ะต้องจัดเตรยี มและเช่อื มต่ออปุ กรณ์ดังนี้ 1.เครือ่ งคอมพิวเตอร์ ไม่จากัดชนิดและยห่ี อ้ ส่วนใหญ่ท่นี ิยมใชจ้ ะใช้เคร่ือง PC 2.โมเดม็ ทาหน้าท่ชี ว่ ยใหค้ อมพวิ เตอร์แลกเปล่ียนข้อมลู ผา่ นสายโทรศพั ท์ได้ ความเร็วของโมเด็มเป็นความเร็ว ในการสง่ ข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ โมเดม็ มขี นาดความเรว็ ต่าง ๆ กัน โมเดม็ มีขนาดความเร็วสูงต้งั แต่ 14.4 Kbps ขึน้ ไป ส่วนใหญแ่ ลว้ จะมีความสามารถรบั ส่ง Fax ไดด้ ว้ ย เรียกกว่า Fax Modem โมเด็มท่ีมีความเร็ว สงู จะมรี าคาแพงกวา่ ความเร็วของโมเด็มวัดเป็นบิดตอ่ วินาที (bps) ไอพแี อดเดรส IP Address คอื อะไร ไอพี แอดเดรส คอื หมายเลขประจาเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ IP Address ยอ่ มาจากคาเต็มว่า Internet Protocal Address คือ หมายเลขประจาเครือ่ งคอมพวิ เตอร์ แต่ละเคร่ืองในระบบเครือข่ายท่ีใช้โปรโตคอลแบบ TCP/IP ถ้าเปรยี บเทียบก็คอื บา้ นเลขที่ของเรานน่ั เอง ใน ระบบเครือข่าย จาเป็นจะต้องมีหมายเลข IP กาหนดไว้ให้กับคอมพวิ เตอร์ และอปุ กรณ์อื่นๆ ท่ีตอ้ งการ IP ท้งั นี้ เวลามีการโอนย้ายข้อมลู หรอื ส่งั งานใดๆ จะสามารถทราบตาแหนง่ ของเคร่ืองที่เราต้องการส่งขอ้ มลู ไป จะได้ ไมผ่ ิดพลาดเวลาส่งข้อมูล ซ่งึ ประกอบด้วยตวั เลข 4 ชดุ มเี ครอ่ื งหมายจุดขน้ั ระหว่าง ชุด เช่น 192.168.100.1 หรือ 172.16.10.1 เปน็ ตน้ โดยหมายเลข IP Address ของเครือ่ งคอมพิวเตอรแ์ ต่ ละเคร่ืองจะมีคา่ ไม่ซ้ากัน ส่งิ ตัวเลข 4 ชุดนบ้ี อก คือ Network ID กบั Host ID ซ่งึ จะบอกให้รูว้ า่ เครือ่ ง Computer ของเราอยูใ่ น Network ไหน และเปน็ เครื่องไหนใน network น้ัน เราจะรู้ได้อย่างไร ว่า Network ID และ Host ID มคี ่าเท่าไหร่ ก็ข้ึนอยู่กบั ว่า IP Address นนั้ อยู่ใน class อะไร โปรโตคอลของอินเทอรเ์ นต็ อนิ เทอร์เนต็ โพรโทคอล ย่อว่า ไอพี (องั กฤษ: Internet Protocol: IP) หรือ เกณฑ์วิธอี ินเทอร์เนต็ [1] เป็น โพรโทคอลการส่ือสารทีส่ าคัญใน Internet protocol suite สาหรับถา่ ยทอดดาต้าแกรม(หนว่ ยขอ้ มลู พืน้ ฐาน ของแพ็กเกต ซึง่ การส่ง, เวลาถงึ และลาดบั ที่ถึง ไม่ถูกรับประกนั โดยเครือข่าย)ขา้ มเขตแดนเครือข่าย ฟังกช์ ัน การกาหนดเส้นทางของมันจะช่วยงานภายในเครอื่ ขา่ ยและกอ่ ตง้ั ระบบอนิ เทอรเ์ น็ตขึ้น การทางานของไอพเี ป็น การทางานแบบไม่รับประกนั ความถูกตอ้ งของข้อมลู

14 รุน่ ปจั จุบนั คอื IPv4 และกาลังอยู่ในช่วงผลักดนั ให้ใช้ IPv6 ในอดตี IP เปน็ บริการดาตา้ แกรม แบบ connectionless ใน Transmission Control Program เดมิ ที่ถูกแนะนาโดย Vint Cerf และบ๊อบ คาห์นในปี 1974; อีกตัวหน่ึงเปน็ Transmission Control Protocol (TCP) แบบ connection- oriented ชุดโพรโทคอลอินเทอรเ์ นต็ จึงมกั จะเรียกว่า TCP / IP รุ่นแรกของ IP, Internet Protocol เวอร์ชนั 4 (IPv4) เป็นโพรโทคอลท่ีโดดเดน่ ของอินเทอรเ์ นต็ ผู้รบั ช่วงต่อของมันคอื Internet Protocol เวอร์ชนั 6 (IPv6) คาศัพท์ท่ีใช้ในอินเทอรเ์ นต็ คาศัพท์ท่สี าคัญ ในการศึกษาเกย่ี วกับอินเทอร์เนต็ ทคี่ วรทราบ มีดงั น้ี 1. Website หมายถึง จานวนไฟล์หรือจานวนหนา้ ทงั้ หมดของเว็บไซตน์ ัน้ ๆ 2. WebPages หมายถึง หนา้ ในแต่ละหน้าหรือไฟล์แตล่ ะไฟล์ที่ประกอบกันขึ้นรวมๆ กันกลายเป็นเว็บไซต์ 3. Homepage หมายถงึ หน้าแรกของเว็บเพจท้งั หมดท่ีผู้ใช้บริการอนิ เทอรเ์ น็ตจะพบเมอื่ เข้าไปยังเว็บไซต์ หรอื อาจจะกล่าวได้วา่ โฮมเพจเปรยี บเสมอื นสารบัญและคานาทีเ่ จ้าของเวบ็ ไซต์สร้างขน้ึ นอกจากนีโ้ ฮมเพจ หนง่ึ ๆ อาจจะมกี ารเชื่อมกับเว็บเพจ อน่ื ๆ อีกจานวนมากได้ 4. Web Browser หมายถึง โปรแกรมคอมพวิ เตอรท์ ใี่ ช้สาหรบั เป็นประตูเปิดสโู่ ลก WWW หรอื ก็คือ โปรแกรมท่ีใชเ้ ลน่ อินเทอร์เน็ตหรือโปรแกรมค้นดเู วบ็ โดยเวบ็ เบราวเ์ ซอรจ์ ะเข้าใจและทางานตามคาส่งั ของ ภาษา HTML โปรแกรมเว็บเบราว์เซอรท์ ่นี ยิ มใชใ้ นปจั จุบนั มีหลายโปรแกรม เช่น Windows Internet Explorer (IE), Netscape Navigator, Mozilla Firefox, Opera, Chrome เปน็ ต้น 5. Webmaster หมายถงึ บุคคลทท่ี าหนา้ ทว่ี างแผน ดูแล บรหิ าร และจดั การเวบ็ ไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์นั้นๆ บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์ที่กาหนดไว้ 6. ISP ยอ่ มาจาก Internet Service Provider หมายถึง ผใู้ ห้บริการอินเทอร์เน็ต หน้าที่หลักคือการ ให้บริการอนิ เทอรเ์ น็ต โดยจะรวมไปถงึ บริการ Webhosting ซ่ึงหมายถึง บรกิ ารให้เชา่ พ้ืนท่ี Website และผูท้ ี่ ทาหน้าท่ีดแู ล Webboard สาธารณะ โดยอาจรวมถึง Webmaster ที่มีความรับผิดชอบโดยตรงกบั ข้อมูลที่ ปรากฏบนเวบดว้ ย บรษิ ัทที่เปน็ ผู้ใหบ้ ริการอินเทอร์เนต็ เช่น บรษิ ทั ล็อกซเ์ ลย่ ์ อินฟอร์เมชั่น เซอร์วิส จา กัด , บรษิ ทั เคเอสซี คอมเมอรเ์ ชียล อนิ เทอรเ์ น็ต จากัด, บริษัท อินโฟ แอคเซส จากัด, บริษทั สามารถ อินโฟ เน็ต จากดั เปน็ ต้น 7. WWW ยอ่ มาจาก World Wide Web เป็นเทคนิคในการนาเสนอข้อมูลในลักษณะส่ือประสม ท่ีเปน็ ขอ้ ความ ภาพ และมัลติมิเดยี เขา้ ไวด้ ้วยกนั อยู่ในรปู เอกสารแบบ Hypertext ซง่ึ ภายในเอกสารจะมีจดุ เชอื่ ม โยง (link) ไปยังเอกสารอ่นื ๆ ทเ่ี กยี่ วข้อง เอกสารตา่ งๆ ทเี่ ชื่อมโยงกนั เหมือนใยแมงมมุ เป็นที่มาของคา วา่ Web 8. HTTP ยอ่ มาจาก HyperText Transfer Protocol เปน็ โปรโตคอลสาหรบั เปิดดขู อ้ มูลจาก www เรียกใช้ งานได้โดยระบุ http:// และตามด้วย URL ในช่องกรอก Address ด้านบนของโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ 9. HTML ยอ่ มาจาก Hypertext Markup Language คอื ภาษามาตรฐานที่ใช้ในการสร้าง เว็บเพจ เพื่อนา ไปแสดงผลในโปรแกรม Web browser เอกสารเว็บเพจจะมีนามสกุลเป็น .htm หรอื .html - 166 - เทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การเรยี นรู้ 10. TCP/IP ยอ่ มาจาก Transmission Control Protocol/Internet Protocol เป็นระบบโปรโตคอล การ สอื่ สารพื้นฐานของระบบอนิ เตอรเ์ น็ต สามารถใชเ้ ป็น โปรโตคอลในการส่ือสารภายใน เครือข่ายส่วนบุคคล เรียกวา่ intranet และ extranet ไดเ้ ม่ือมีการติดต่อโดยตรงกับ internet เครือ่ งคอมพิวเตอร์จะไดร้ บั การ

15 คดั ลอกโปรแกรม TCP/IP เชน่ เดียวกบั คอมพิวเตอร์อ่นื ๆ เพื่อทาให้สง่ ข้อความขอรับสารสนเทศ 11. WAP ยอ่ มาจาก Wireless Application Protocal เป็น Communication Protocal ทีม่ ีพ้นื ฐานมา จาก Internet Protocal ซง่ึ WAP เปน็ มาตรฐานเปิดของระบบการสื่อสารดา้ นข้อมูลไรส้ าย การใชง้ าน อนิ เทอร์เน็ต ผ่านบรกิ ารของเครอ่ื งมือสอ่ื สารไรส้ าย อันไดแ้ ก่ โทรศพั ท์เคล่อื นที่ หรอื เครื่องมือสื่อสารไร้สาย อน่ื ๆ (โดยไมต่ อ้ งมีโมเดม็ หรือตวั แปลงสัญญาณอื่นๆ) 12. Wi-Fi ย่อมาจาก Wireless Fidelity เปน็ ศพั ทข์ องประเภทเครือข่ายท้องถนิ่ ไรส้ าย (WLAN : Wireless Local Area Network) 13. GPRS ยอ่ มาจาก General Packet Radio Services เปน็ บริการด้านการสื่อสารไร้สายแบบแพคเก็ตท่ี ยอมให้อัตราข้อมลู จาก 56 ถึง 114 kbps และการเชื่อมต่อเนื่องกบั อินเตอรเ์ น็ตสาหรับผใู้ ช้โทรศพั ท์และ คอมพวิ เตอรโ์ นต๊ บุ๊ค GPRS มพี น้ื ฐานบนการส่ือสารแบบ Global System for Mobile (GSM) 14. EDGE (เอดจ์) ยอ่ มาจาก Enhance Data Rates for Global เปน็ เทคโนโลยมี อื ถืออีกขนั้ หนงึ่ ที่ พฒั นาขึ้นจาก GPRS ใชร้ บั -สง่ ขอ้ มลู ดว้ ยเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง สงู กว่าระบบ GPRS ถึง 4 เทา่ ตวั จดั เป็น เทคโนโลยรี ะดับ 3 G ยุคต้น ๆ ส่วนจพี อี าร์เอสเรียกวา่ ยคุ 2.5 G การใชเ้ ทคโนโลยีเอดจ์น้นั จะทาใหผ้ ้ใู ชบ้ ริการ สามารถเขา้ ถึงข้อมลู ไดอ้ ย่างรวดเร็ว ไมว่ ่าจะเปน็ การดาวนโ์ หลดวดิ ีโอคลิป สง่ ขอ้ มลู มัลติมเี ดีย และวิดีโอสตรมี มิง่ ซึ่งอนาคต เร่ืองวิดีโอ แชร์ร่งิ หรือการใช้มือถือถา่ ยวิดีโอ สง่ ผ่านให้เพอ่ื น ๆ ดูแบบเรียลไทม์กส็ ามารถเกิดขน้ึ ไดจ้ ริง 15. เทคโนโลยี 3G เปน็ เทคโนโลยขี องโทรศัพท์เคล่ือนทย่ี ุคทส่ี าม หรือ Third Generation of Mobile Telephone หรือ เรยี กย่อว่า 3G ตามหลักเกณฑข์ อง ITU (International Telecommunication Union) หรอื สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ กาหนดมาตรฐานส่ิงท่ีเรียกว่า เคร่ืองโทรคมนาคมแบบ เคล่อื นท่ี ซึง่ รวมถึงโทรศัพทเ์ คลือ่ นทีด่ ว้ ย (อุปกรณ์โทรคมนาคมในยุคตอ่ ไปอาจจะใช้รวมกันหลายชนดิ ท้ัง โทรศัพทบ์ า้ น โทรศพั ท์เคลื่อนที่ หรอื ดาวเทยี ม เปน็ ตน้ ) เรียกรวมกนั วา่ มาตรฐาน IMT-2000 (International Mobile Telecommunications-2000) ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต ปัจจุบนั อินเทอร์เนต็ มีความสาคัญต่อชวี ติ ประจาวันของคนเรา หลายๆ ด้าน ทั้งการศึกษา พาณชิ ย์ ธุรกรรม วรรณกรรม และอ่นื ๆ ดงั นี้ ด้านธุรกจิ และการพาณิชย์ คน้ หาขอ้ มูลตา่ ง ๆ เพอื่ ช่วยในการตดั สินใจทางธุรกจิ สามารถซื้อขายสินค้า ผ่าน ระบบเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต ผู้ใช้ที่เป็นบริษัท หรือองคก์ รต่าง ๆ ก็สามารถเปดิ ให้บริการ และสนบั สนนุ ลูกคา้ ของตน ผา่ นระบบเครือขา่ ยอินเทอร์เนต็ ได้ เชน่ การให้คาแนะนา สอบถามปญั หาต่างๆ ให้แกล่ กู คา้ แจกจ่าย ตวั โปรแกรมทดลองใช้ (Shareware) หรือโปรแกรมแจกฟรี (Freeware) เป็นต้น ด้านการบนั เทิง การพักผ่อนหยอ่ นใจ สนั ทนาการ เช่น การค้นหาวารสารตา่ ง ๆ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็ ท่ี เรียกวา่ Magazine online รวมทง้ั หนังสือพมิ พ์และข่าวสารอน่ื ๆ โดยมีภาพประกอบ ที่จอคอมพิวเตอร์ เหมอื นกบั วารสาร ตามรา้ นหนงั สอื ทั่วๆ ไปสามารถฟงั วิทยุผ่านระบบเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตได้ สามารถดึง ขอ้ มูล (Download) ภาพยนตรต์ วั อยา่ งทง้ั ภาพยนตร์ใหม่ และเกา่ มาดไู ด้ ด้านสนับสนุนการศึกษา การใช้อนิ เตอร์เน็ตเพอ่ื การติดต่อส่ือสาร เปน็ การใช้อินเตอรเ์ นต็ ในการตดิ ต่อส่อื สาร ระหวา่ งคณาจารย์ และนักศกึ ษาสถาบนั การศกึ ษาระดบั อุดมศึกษา ไมว่ ่าจะเป็นการสง่ การบา้ น นัดหมาย อภิปราย แลกเปล่ียน

16 ความคดิ เห็นตา่ งๆ รวมทงั้ การแจกจ่ายท่ีอยูท่ างไปรษณียอ์ ิเลคทรอนิคส์ หรอื ที่อยูบ่ นเวิลดไ์ วด์เวบ็ เนื่องจากมี ความสะดวก คือใชเ้ วลาเพยี งไม่กี่นาทเี ท่าน้นั ผู้รับไมจ่ าเป็นต้องรอรบั ข้อมูลอย่เู หมือนการใชโ้ ทรศพั ท์ รูปภาพทเี่ กยี่ วข้องกบั สมรรถนะ 4.ความหมายการสืบคน้ ขอ้ มลู สารสนเทศ การสืบคน้ สารสนเทศ (Information) คอื กระบวนการคน้ หาสารสนเทศที่ต้องการ โดยใช้เคร่ืองมือสบื คน้ สารสนเทศที่สถาบันบริการสารสนเทศจดั เตรียมไวใ้ ห้1. การสืบคน้ สารสนเทศด้วยระบบมือ (Manual system)2. การสบื ค้นสารสนเทศด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (Computer system)การสืบค้นสารสนเทศด้วย ระบบมือ สามารถกระทาไดโ้ ดยผ่านอปุ กรณ์คอมพิวเตอรก์ ารสืบคน้ ระบบสารสนเทศด้วยระบบคอมพิวเตอร์ สามารถกระทาได้โดยผ่านอปุ กรณค์ อมพวิ เตอร์ในการค้นหาขอ้ มลู จากฐานข้อมูลต่างๆได้แก่- ฐานข้อมูลโอ แพก็ - ฐานข้อมลู ซีดรี อม- ฐานข้อมูลออนไลน์- ฐานขอ้ มูลบนอินเตอรเ์ นต็ เครอื่ งมือการสบื คน้ ข้อมูลสารสนเทศ 2.1 เคร่ืองมือสืบคน้ สารสนเทศด้วยมอื หมายถงึ เครื่องมือสืบคน้ ที่บนั ทกึ รายละเอียดของรายการสารสนเทศ ไว้ในรปู แบบท่ีผใู้ ช้ต้องสบื คน้ ด้วยมือ ส่วนใหญ่มักบนั ทกึ ในรูปแบบส่งิ ตพี มิ พ์ เช่น บัตรรายการ (Card catalog) หรอื มลี กั ษณะเปน็ เล่ม (Book catalog) บัตรรายการ (Catalog card) หมายถึง บัตรทีแ่ จง้ รายละเอยี ดต่าง ๆ เก่ียวกบั หนังสอื สงิ่ พิมพ์อ่นื ๆ ตลอดจนโสตทัศนวสั ดทุ ่ีมใี นห้องสมุด เพือ่ ให้ผใู้ ช้ทราบข้อมลู ตา่ ง ๆ เชน่ ชอ่ื ผแู้ ต่ง ชอ่ื เรอื่ ง ครั้งที่พิมพ์ สถานที่พิมพ์ ผู้จดั พิมพ์ ปีพมิ พ์ เป็นต้น นอกจากน้ียงั มีเลขเรยี ก หนงั สือ (Call number) บอกตาแหน่งท่เี กบ็ เพ่ือใหห้ าวัสดนุ ้ันๆ ไดถ้ ูกทโี่ ดยไม่เสยี เวลา บัตรรายการมีขนาด มาตรฐาน คอื 3” X 5” ด้านลา่ งเจาะรูสาหรบั ให้แกนเหลก็ รอ้ ยบัตรไว้กบั ลน้ิ ชักของตบู้ ัตรรายการเพ่ือไม่ให้ บัตรสลบั ท่หี รือถูกนาออกจากล้นิ ชกั 2.2 เคร่ืองมือสืบค้นสารสนเทศดว้ ยเทคโนโลยี หมายถึง เคร่อื งมือสบื คน้ ท่บี นั ทึกรายละเอยี ดของรายการ สารสนเทศไว้ในรูปแบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์ โดยใชเ้ ทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ในการบันทกึ และสืบค้นสารสนเทศ ทาให้ ผูใ้ ชส้ ามารถสืบค้นสารสนเทศได้อยา่ งรวดเรว็ และครอบคลุมประเด็นหวั ข้อท่ีต้องการได้อยา่ งลึกซง้ึ กว้างขวาง สว่ นประกอบของเครื่องมือในการสบื คน้ ขอ้ มูลสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ เป็นงานที่ตอ้ งใชส้ ว่ นประกอบหลายอย่างในการทาใหเ้ กดิ เปน็ กลไกในการนาข้อมลู มาใช้ให้ เกดิ ประโยชนไ์ ด้ ส่วนประกอบทสี่ าคญั ของระบบสารสนเทศ มี 5 สว่ น คือ บคุ ลากร ขั้นตอนการปฏิบัตงิ าน ฮารด์ แวร์ ซอฟตแ์ วร์ และ ข้อมูล ท้ัง 5 สว่ นประกอบมีความเกย่ี วข้องกันเป็นระบบ ประการที่ 1 คือ บุคลากร เช่น ครูประจาชนั้ ทเี่ ปน็ ผู้รบั ผิดชอบ หรือครูผูส้ อนแตล่ ะรายวชิ า ประการที่ 2 คอื หากมีการบันทึกข้อมูลก็ต้องมีข้นั ตอนการปฏบิ ตั งิ านของครู เปน็ ขน้ั ตอนที่กาหนดไว้วา่ จะตอ้ ง กระทาอะไรบา้ ง เมอ่ื ไร อย่างไร

17 ประการที่ 3 ฮาร์ดแวร์ เช่น เครือ่ งคอมพวิ เตอร์ ซึง่ เปน็ เคร่ืองมือท่ีชว่ ยใหก้ ารทางานได้ผลรวดเรว็ และคานวณ ไดถ้ ูกตอ้ งแม่นยา ประการที่ 4 คือ ซอฟต์แวร์ที่ใช้กบั คอมพวิ เตอร์ ชว่ ยทาใหค้ อมพวิ เตอรท์ างานตามทีต่ อ้ งการได้ ประการท่ี 5 คอื ข้อมลู ทเี่ ป็นเสมือนวัตถุดิบท่ีจะได้รับการเปล่ียนแปลงใหเ้ ปน็ สารสนเทศตามทีเ่ ราต้องการ ประเภทชองการสืบค้นขอ้ มูลสารสนเทศ ประเภทของข้อมูลสารสนเทศทสี่ ามารถสบื ค้นได้ ข้อมลู สารสนเทศที่ อยูบ่ นอนิ เทอร์เน็ตมีมากมายหลายประเภท มลี กั ษณะเปน็ มลั ติมีเดยี คอื -ขอ้ ความ(text) -ภาพวาด (painting) -ภาพเขียนหรือภาพลายเสน้ (drawing) -ภาพไดอะแกรม (diagram) -ภาพถ่าย (photograph) -เสียง(sound) -เสยี งดนตรี (midi) -ภาพยนตร์ (movie) -ภาพเคลอ่ื นไหวแอนิเมชัน (animation) คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในการใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ต ในสังคมอินเทอร์เนต็ นั้น มที ้ังคนดีและคนไมด่ เี ช่นเดยี วกับสังคมท่ัวไป ผ้ใู ชท้ ี่ไม่ระมดั ระวังจึงอาจถูกลอ่ ลวงไป ในทางท่ีผดิ หรือก่อให้เกดิ อนั ตรายได้ ฉะนน้ั วธิ ีหนึง่ ทีจ่ ะป้องกันเยาวชนไทยจากปญั หาเหล่าน้กี ค็ ือการให้ เยาวชนรู้จักกบั ศลิ ปป้องกันตัวในอนิ เทอรเ์ นต็ ผู้ใชอ้ ินเทอรเ์ นต็ ควรจะรู้และยึดถอื ปฏบิ ตั ิดังนี้ 1. ไมบ่ อกข้อมลู สว่ นตัว เช่น ทอี่ ยู่ เบอร์โทรศัพท์ ช่ือ โรงเรียนของตนให้แก่บุคคลอน่ื ท่ีรจู้ ักกันทาง อินเทอร์เน็ต โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผปู้ กครองก่อน 2. หากพบข้อความหรือรูปภาพใดๆ บนอินเทอรเ์ นต็ ท่ีมลี กั ษณะหยาบคายหรอื ไมเ่ หมาะสม ควรแจง้ ให้ ผูป้ กครองทราบทนั ที 3. ไม่ควรไปพบบุคคลใดก็ตามที่รู้จักกันทางอินเทอร์เนต็ โดยไม่ไดร้ ับอนุญาตจาก ผูป้ กครองกอ่ น และหาก ผูป้ กครองอนุญาต ก็ควรไปพรอ้ มกบั ผู้ปกครอง โดยควรไปพบกนั ในทีส่ าธารณะ 4.ไม่สง่ รูปหรือสงิ่ ใดๆใหบ้ ุคคลท่ีร้จู ักทางอินเทอรเ์ น็ตโดยมไิ ดร้ บั อนญุ าตจากผู้ปกครองกอ่ น 5.ไมต่ อบคาถามหรือตอ่ ความกบั ผู้ที่สือ่ ข้อความหยาบคายและต้องแจง้ ใหผ้ ้ปู กครองทราบทนั ที 6. ควรเคารพต่อข้อต่อลงในการใช้อินเทอร์เนต็ ท่ีใหไ้ วก้ ับผู้ปกครอง เชน่ กาหนดระยะเวลาในการใช้ อินเทอรเ์ นต็ เว็บไซต์ท่ีผู้ปกครองอนุญาตใหเ้ ข้าได้ วธิ ีการเข้าถงึ และสืบค้นขอ้ มูลสารสนเทศจากเครอื ข่ายอินเทอรเ์ น็ต

18 การเขา้ ถึงการสบื คน้ ข้อมูลสารสนเทศทมี่ ีประสิทธภิ าพ สนองตอบความต้องการของ ผสู้ บื คน้ หรอื ผู้เรียน มี วิธีการทสี่ าคญั ดงั ต่อไปน้ี 1.ทอ่ี ยขู่ องเว็บไซตเ์ ป็นวธิ ีที่เขา้ ถึงขอ้ มลู สารสนเทศท่ีต้องการได้รวดเรว็ ทส่ี ุด หนว่ ยงานส่วน ใหญ่นยิ มเผยแพร่ ผลงาน และกจิ กรรมผา่ นทางเว็บไซตแ์ ละเชื่อมโยงถึงองคก์ รที่ เก่ยี วขอ้ ง www.thaigov.go.th เป็นแหลง่ รวม หน่วยราชการไทย ทผี่ สู้ บื คน้ สามารถใชเ้ ป็นจดุ เร่ิมต้นในการค้นข้อมลู สารสนเทศได้ 2. โปรแกรมค้นคนื ใน กรณที ่ีไม่รู้ว่าข้อมูลสารสนเทศท่ตี ้องการอยใู่ นเวบ็ ไซด์ ผ้สู ืบค้น สามารถใช้บรกิ ารของเว็บไซต์ท่ี ให้บรกิ าร Search Engine เป็นกลไกเข้าถึง และ/หรือสืบค้นข้อมูล สารสนเทศทีต่ ้องการ สาหรับเวบ็ ไซตท์ ี่ ใหบ้ ริการ Search Engine มีอยูม่ ากมายหลายเวบ็ ไซต์ เช่น Search Engine ส่วนใหญ่จะจัดข้อมูลเปน็ หมวดหมู่ ผสู้ ืบคน้ ควรกด Enter เขา้ ใน หมวดหมทู่ ีต่ ้องการกอ่ นเริ่มสืบคน้ เพื่อให้ขอบเขตของการสืบค้นอยใู่ น วงจากัดและได้ผลลัพธท์ รี่ วดเรว็ 3. คาสาคัญเป็นวธิ กี ารสาคญั ทผ่ี ู้สบื ค้นต้องรจู้ กั เลือกใชค้ า หรอื วลีที่ตรงหรือ สอดคล้องกับ เรื่องที่ต้องการค้นหา บางคร้งั ขอ้ มูลสารสนเทศที่ต้องการเขา้ ถึงมีคาสาคัญเพ่ือการสบื คน้ หลาย คา เชน่ การศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน มีความหมายรวมถึง การศึกษาขัน้ ประถมศึกษาและการศกึ ษาชน้ั มธั ยมศึกษา เทคนคิ การสบื ค้นขอ้ มูล 1. การค้นหาแบบพื้นฐาน (Basic search) เปน็ การค้นหาสารสนเทศอยา่ ง ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน โดยใช้คาโดดๆ หรือผสมเพียง 1 คา ในการสืบคน้ ขอ้ มลู โดยส่วนใหญ่การคน้ หาแบบงา่ ยจะมที างเลือกในการค้นหา ชือ่ ผแู้ ต่ง (Author) เปน็ การคน้ หาโดยใช้ชอ่ื ของบคุ คล กลุม่ บุคคล นามปากกา หรอื ชอื่ หนว่ ยงาน/องค์กร ที่ เปน็ ผู้แตง่ หรือเขียนหนงั สือ บทความ งานวิจยั วทิ ยานพิ นธ์ หรือทรัพยากรสารสนเทศน้ันๆ ช่ือเร่อื ง (Title) เป็นการคน้ หาขอ้ มลู ด้วยชื่อเร่ือง เชน่ ชอ่ื หนังสอื ช่อื บทความ ชอ่ื เรื่องส้นั นวนยิ าย ชือ่ งานวิจัย หรอื วทิ ยานิพนธ์ การค้นโดยใชช้ อ่ื เรือ่ งนี้ เปน็ การค้นหาแบบเจาะจงต้องร้จู กั ช่ือเร่ือง หลกั การค้นหา ดว้ ยชือ่ เรอ่ื งทัง้ ภาษาไทยและภาษาตา่ งประเทศ ใชห้ ลกั การเดยี วกัน คือ คน้ หาตามชือ่ นั้นๆ ได้เลย โดยระบบ จะทาการคน้ หาจากชื่อเรอ่ื ง เร่มิ จากอักษรตวั แรกและตัวถัดไปตามลาดบั หัวเรื่อง (Subject Heading) คือคาท่กี าหนดขึน้ มา เพ่ือใชแ้ ทนเนื้อหาของหนังสือ บทความ งานวิจัย วทิ ยานพิ นธห์ รือทรัพยากรสารสนเทศ หัวเร่อื งที่ใชใ้ นการค้นหาน้นั คาสืบคน้ (Keywords) คอื การคน้ หาดว้ ยคาที่กาหนดข้ึนมา เพื่อใชแ้ ทนเรือ่ งทีต่ ้องการค้นหา โดยท่ัวไปคา สาคญั จะมีลักษณะทส่ี ั้น กะทัดรดั ได้ใจความ มีความหมาย เปน็ คานามหรอื เป็นศัพทเ์ ฉพาะในแต่ละสาขาวชิ า 2. การค้นหาแบบข้นั สูง (Advanced Search) เป็นการค้นหาที่ซบั ซ้อนมากกวา่ แบบพื้นฐาน ซ่งึ มีเทคนิค หรือรูปแบบการค้นท่ีจะชว่ ยให้ผูค้ ้นสามารถจากัดขอบเขตการค้นหา หรอื ค้นแบบเจาะจงได้มากขึน้ เพ่อื ให้ สามารถคน้ หาข้อมูลได้ท่ีตรงกับความต้องการมากท่ีสดุ การสืบค้นข้อมลู โดยใช้ operator เป็นการคน้ หา โดยใชค้ าเช่อื ม 3ตัว คอื AND, OR, NOT ดังน้ี - AND ใช้เช่ือมคาค้น เพ่ือจากดั ขอบเขตการคน้ หาให้แคบลง เชน่ ต้องการคน้ หาคาว่า ส้มตาทเ่ี ปน็ อาหาร มีรูปแบบการค้นดังนี้ คือ สม้ ตา AND อาหาร หมายถึง ต้องการ คน้ หาคาวา่ สม้ ตา และคาวา่ อาหาร - OR ใช้เชอ่ื มคาค้น เพือ่ ขยายขอบเขตใหก้ ว้างขนึ้ เชน่ สม้ ตาไทย OR ส้มตาปูปลาร้า หมายถงึ ต้องการคน้ หาคาวา่ สม้ ตาไทย และ สม้ ตาปูปลาร้า หรอื คน้ หาคา ใดคาหนึ่งกไ็ ด้ - NOTใชเ้ ช่ือมคาค้น เพอื่ จากัดขอบเขตใหแ้ คบลง

19 เชน่ ตอ้ งการคน้ หาคาว่า ส้มตา AND อาหาร NOT เพลง หมายถงึ ต้องการค้นหา คาวา่ สม้ ตา เฉพาะท่เี ปน็ อาหาร ไม่เอาเพลงสม้ ตา เปน็ ต้น - NEAR ใช้เม่อื ต้องการใหค้ าทีก่ าหนดอยู่ห่างจากกนั ไม่เกิน 10 คา ในประโยคเดยี วกนั หรือใกล้เคยี งกนั เช่น Research NEAR Thailand ข้อมลู ทไ่ี ดจ้ ะมีคาว่าResearch และ Thailand ทีห่ า่ งกนั ไมเ่ กนิ 10 คา ตวั อยา่ งเช่นResearch on the Cost of Transportation in Thailand - BEFORE ใช้เมอื่ ตอ้ งการกาหนดให้คาแรกปรากฏอยู่ขา้ งหน้าคาหลังในระยะห่างไมเ่ กิน 8 คา เชน่ Research BEFORE Thailand - AFTER ใชเ้ มือ่ ต้องการกาหนดให้คาแรกปรากฏอยู่ข้างหลงั คาหลังในระยะห่างไม่เกนิ 8 คา เช่น Research AFTER Thailand - (parentheses) ใช้เมอื่ ต้องการกาหนดให้ทาตามคาส่ังภายในวงเลบ็ กอ่ นคาส่ังภายนอก เช่น (Research OR Quantitative) and Thailand ความหมายของการจัดเกบ็ และสบื ค้นขอ้ มูลสารสนเทศ เม่ือทาการสืบคน้ หรือคน้ หาขอ้ มูลสารสนเทศได้แล้วถา้ ต้องการที่จะจดั เก็บข้อมูลที่ค้นหาเหลา่ น้ันไว้ใชง้ าน ต่างๆ ต่อไปน้ี กต็ ้องดาเนนิ การจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ ซึ่งมีวธิ ีจัดเกบ็ ดังน้ี การจดั เกบ็ ข้อมลู สารสนเทศในรูปแบบของข้อความ จะมีไฟล์ข้อมลู ที่จะตอ้ งทาการจัดเก็บใน 3 รูปแบบ คือ 1.1ข้อความทีป่ รากฏอยูห่ นา้ เวบ็ ไซตแ์ ล้วคลกิ ที่ Cop (คดั ลอก) ทาการเปดิ โปรแกรม Microsoft Word หรือ โปรแกรมทตี่ ้องการ แล้วคลิกเมาส์ข้างขวาบรเิ วณตาแหนง่ ที่ต้องการวาง เสร็จแล้วใหค้ ลิก Paste (วาง) 1.2ขอ้ ความท่ีมีรูปแบบไฟล์ .doc เมอื่ ทาการค้นหาข้อมูลท่ีตอ้ งการ จะปรากฏชอ่ื รูปแบบของไฟล์ ถา้ เปน็ ขอ้ มลู ท่ีสรา้ งโดยโปรแกรม Microsoft Word จะปรากฏชือ่ ไฟล์ DOC ให้คลิกท่ชี อ่ื เรื่องท่ีตอ้ งการจะเร่มิ ดาเนนิ การดาวนโ์ หลดข้อมลู ให้คลิกท่ชี ่อื ไฟล์ข้อมูลทีท่ าการดาวน์โหลดเสรจ็ แล้ว เพอ่ื ดาเนินการเปิดข้อมลู ทา การจัดเก็บขอ้ มูลโดยคลิกท่ี File (แฟ้ม) ทีเ่ ราตอ้ งการ แล้วคลกิ Save (บนั ทึก) 1.3 ขอ้ ความท่ีมรี ูปแบบไฟล์ .pdf ไฟล์ PDF เปน็ ไฟล์ทเี่ ปิดดว้ ยโปรแกรม Acrobat ซึง่ จะปรากฏช่ือ ไฟล์ PDF ให้ทาการคลกิ ชือ่ ไฟลข์ ้อมูลทต่ี ้องการจัดเก็บ จะปรากฏกรอบให้ทาการดาวน์โหลด ดงั นี้ ทาการ จัดเก็บข้อมูลโดยคลกิ ท่ี File (แฟ้ม) ทเ่ี ราต้องการ แล้วคลิก Save (บนั ทึก) 1.4ข้อความท่ีมีรปู แบบไฟล์ ppt ไฟล์ PPT เปน็ แฟ้มข้อมูลทีจ่ ดั เกบ็ โดยใชโ้ ปรม Microsoft PowerPoint ซง่ึ เมอื่ คลิกทบ่ี ริเวณชอื่ จะปรากฏชอ่ื เรื่องท่ีต้องหารแลว้ จะปรากฏกรอบให้ดาวน์โหลดดังนี้ ทาการจัดเก็บข้อมลู โดยคลกิ ท่ี File (แฟ้ม) ที่เราต้องการ แลว้ คลิก Save (บันทกึ ) จะปรากฏรายละเอียดของเร่อื งทเี่ ราต้องการใน รปู แบบของไฟล์ PowerPoint การเตรยี มการค้นคนื สารสนเทศ การเข้าถึง(Access) เปน็ วิธีการท่ผี ูใ้ ช้สามารถค้น คน้ หา คน้ คนื และได้รับ สารสนเทศ ทเี่ ขา้ ถงึ เป็นทรัพยากรสารสนเทศท่ีสถาบันบริการสารสนเทศและแหลง่ ตา่ งๆ จดั เกบ็ ไวบ้ รกิ าร ผูใ้ ช้ การค้นหา (Searching) เปน็ การปอ้ นคาส่งั โดยผคู้ น้ เตรียมประโยคหรือคาค้นไว้ และปฏสิ ัมพันธก์ บั ระบบ คน้ คืนและพิจารณาผลท่ไี ดร้ ับ ซ่งึ เปน็ ขนั้ ตอนในกระบวนการค้นหา

20 การคน้ คนื (Retrieval) หมายถงึ การได้รับสงิ่ ตอ้ งการกลบั คืนมาการค้นคืนสารสนเทศ จึงเป็นการกระทาใดๆท่ี คดั เลอื กสารสนเทศจากแหลง่ เก็บเพื่อทาให้ได้รับสารสนเทศตามทีต่ ้องการซง่ึ อาจเป็นข้อมลู หรอื รายการ เอกสาร ท่ีมีเนือ้ หาที่ต้องการหลกั สาคญั ของการคน้ คนื สารสนเทศคือ การค้นหาและนาสารสนเทศทตี่ รงตาม ความต้องการ ส่งใหผ้ ู้ใชอ้ ย่างรวดเร็ว ทันกาล จงึ เรยี กว่า ระบบการค้นคืนสารสนเทศ เชน่ บัตรรายการ ส่ิงพมิ พด์ รรชนี เป็นต้น สรุป การจดั เกบ็ และค้นคืนสารสนเทศ คอื กระบวนการในการรวบรวมรายละเอยี ดของสารสนเทศและ ทรัพยากรสารสนเทศที่ต้องการกลบั คืนมาไดส้ ะดวกและรวดเรว็ ดว้ ยวิธแี ละเทคนิคอยา่ งเป็นขั้นตอน การเตรยี มการในการคน้ คนื สารสนเทศ มีข้นั ตอนในการปฏิบตั ิ ดงั นี้ 1.การเตรยี มรายละเอียดข้อมลู ท่ีตอ้ งการ WHO หมายถึงเรอ่ื งราวที่กาลงั ตอ้ งการค้นหาเกีย่ วกับใคร ได้มีการ ปรึกษาบุคคลอื่นกอ่ นหรือไมแ่ ละมีการพูดคยุ กบั กลุ่มหรอื บุคคลเป้าหมายใดบา้ ง WHAT หมายถึง ต้องการสนเทศอะไรบา้ งหรอื ประเภทใดบ้างท่ตี ้องการการคาดว่าทรัพยากรสารสนเทศใดมี ประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ การคน้ หา มีการตรวจสอบทรัพยากรท่ีมีอยู่ เพื่อย่นระยะเวลาในการค้นหาและรูปแบบ สารสนเทศท่ีต้องการเปน็ อย่างไร WHERE หมายถงึ ข้อมลู ท่ีตอ้ งการค้นหาเกดิ ขนึ้ ทไ่ี หน สามารถค้นพบไดแ้ หล่งใด และในอนาคตจะสามารถ คน้ หาสารสนเทศทต่ี ้องการได้จากท่ไี หน WHY หมายถึง จะต้องการสารสนเทศมากน้อยแค่ไหน จะนาทรพั ยากรสารสนเทศท่รี วบรวมมาไดม้ า สังเคราะห์อย่างไร มีงบประมาณเท่าไร เพยี งพอ หรือไม่ทีจ่ ะสบื คน้ วิธกี ารคน้ หาข้อมลู มี 2 แบบ ทั้งแบบ ออนไลน์ และแบบออฟไลน์ จะขอความชว่ ยเหลอื อย่างไรถ้าเกิดปัญหา และการอา้ งอิงทาอยา่ งไร 2.พิจารณาเลอื กฐานข้อมูลโดยใหค้ านงึ ถึง -ขอบเขตเนื้อหาสาระของสารสนเทศในฐานข้อมลู -ระยะเวลาของสารสนเทศท่ีบันทกึ อยู่ในฐานข้อมูล -ราคาค่าใชจ้ ่ายท่ีต้องการสบื คน้ ฐานข้อมูล -ภาษาของสารสนเทศ -จานวนสารสนเทศทมี่ อี ยู่และการเพมิ่ ขน้ึ ของข้อมลู -ลกั ษณะของสารสนเทศที่ให้เปน็ การสงั เขป หรือข้อมูลเตม็ รปู -บรกิ ารอานวยความสะดวกแกผ่ ใู้ ช้ เช่น การพมิ พ์ผลการสบื ค้น หรือการส่งข้อมลู ผ่าน E-Mail

ค อ้ำงอิน https://sites.google.com/site/noonaphontina/wicha-thekhnoloyi- sarsnthes-pheux-kar-cadkar-xachiph


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook