เทคโนโลยีดจิ ิทลั เพ่ือการจดั การอาชพี เสนอ อาจารย์เกสร เทียนใต้ จัดทาโดย นายภานุพงษ์ อนชุ ติ วรการ นกั ศึกษาระดบั ช้นั ปวส.101 สาขาเทคนคิ เครอ่ื งกล รายงานเลม่ นี้เปน็ ส่วนหนง่ึ ของวิชาของวิชาเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั เพื่อการจัดการอาชีพ รหสั วชิ า 3001 – 2001 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 วิทยาลัยอาชวี ศึกษาเถนิ เทคโนโลยี อ.เถิน จ.ลาปาง
ก คานา รายงานเลม่ นี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาเทคโนโลยีดิจิทลั เพือ่ การจดั การอาชีพจดั ทาขึน้ เพื่อให้ พ่ี ๆ เพื่อน ๆ และน้อง ๆ ทกุ คนได้ศกึ ษาหาความรู้ตา่ ง ๆ ในรายงานเล่มนี้ และนาความรู้ที่ได้จากการศกึ ษาไปใช้ประโยชนใ์ น ชวี ิตปราจาวนั หวังว่ารายงานเล่มน้ีจะให้ความรู้ให้กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย ถ้ากระผมทาผิดประการใดก็ขออภัยมา ณ ท่ีน้ี ดว้ ยนะครบั จดั ทาโดย นายภานุพงษ์ อนุชิตวรการ
ข หน้า สารบัญ ก เร่ือง ข คานา 1-4 สารบญั 5 - 11 ความรู้เกยี่ วกับคอมพวิ เตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอรแ์ ละสารสนเทศ 12 -19 การสบื ค้นขอ้ มูลบนอินเทอรเ์ นต็ ค อ้างอิง
1 บทท1ี่ ความร้เู กยี่ วกบั คอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม 1.1 ความหมายของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ที่มา https://www.google.co.th/search?q=คอมพิวเตอร์ คอมพวิ เตอร์ (องั กฤษ: computer) มาจากภาษาละตนิ วา่ Computare หมายถงึ เครื่องคานวณทางอเิ ล็กทรอนิกส์ ทสี่ ร้างขึน้ สามารถเก็บข้อมูลพร้อมดว้ ยคาสงั่ แลว้ แสดงผลออกมาในรปู แบบต่างๆ ได้รวดเร็วและถูกตอ้ ง คอมพิวเตอร์ (Computer) คืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ท่ีนาไปใช้งานได้หลากหลายตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้แต่ละ คนทางานโดยการรับคาสั่งจากมนุษย์หากซึ่งคาสั่งท่ีส่ังให้คอมพิวเตอร์ทางานผิดคอมพิวเตอร์ก็จะทางานผิด ตรง ขา้ มกันถา้ คาสั่งน้นั ถูกต้อง คอมพิวเตอร์กจ็ ะทางานได้อย่างถูกต้องและใหผ้ ลลพั ธท์ ี่นา่ พอใจ 1.2 หลกั การทางานของคอมพวิ เตอร์และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม เครอ่ื งคอมพิวเตอรม์ ีข้ันตอนการทางาน 3 ขั้นตอน คอื 1. รับโปรแกรมและข้อมูล หมายถึง ชุดของคาส่ังท่ีจะให้คอมพิวเตอร์ทางาน ส่วนข้อมูล อาจเป็นตัวเลข หรอื ตวั หนงั สือก็ได้ ท่ีตอ้ งการให้คอมพวิ เตอรท์ าการประมวลผล 2. การประมวลผล หมายถึง การจัดระเบียบแบบแผนของข้อมูล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ซ่ึงทาได้ โดยการคานวณเปรยี บเทยี บ วิเคราะห์โดยใช้สูตรทางวิทยาศาสตร์ หรอื คณติ ศาสตร์ โดยอาศัยคาสัง่ หรือโปรแกรม ที่เขียนขึ้น 3. แสดงผลลัพธ์ คือ การนาผลลพั ธ์ท่ีได้จากการประมวลผลเสรจ็ เรียบร้อย แสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ ท่ี ผูใ้ ช้เขา้ ใจ และนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ ท่ีมา www.google.co.th/search
2 1.3 ความหมายและวิธกี ารใช้เมาส์ ทม่ี า https://cokgola.wordpress.com เมาส์ (Mouse) คืออุปกรณ์ท่ีใช้ในการควบคุมตัวช้ีบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เรียกว่า ตัวช้ีเมาส์ (Mouse pointer) ซ่ึงปัจจุบันถูกออกแบบมาให้มีรปู รา่ งลกั ษณะสีสนั ต่างๆ กัน บางรุ่นมีไฟประดับให้สวยงาม เพ่ือให้เหมาะกับการใช้ งานในแต่ละประเภทและความช่ืนชอบของผู้ใช้ ภายในตัวเมาส์จะมีอุปกรณ์สาหรับตรวจจับตาแหน่งการ เคล่ือนไหวของลูกกล้ิงหรืออุปกรณ์ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของแสงโดยตัวตรวจจับจะส่งสัญญาณไปท่ี คอมพิวเตอร์เพ่ือแสดงผลของตัวชบ้ี นหนา้ จอคอมพวิ เตอร์สัญลักษณข์ องตวั ช้ีเมาส์ สามารถเปลี่ยนรูปแบบได้หลาย แบบขนึ้ อยู่กบั สถานการณ์ดงั ตอ่ ไปนี้ ทม่ี า https://www.google.co.th/search?q=หนา้ ท่สี ถานการของเมาส์&biw
3 1.4 วิธกี ารใชแ้ ละการบารงุ รกั ษาเคร่อื งคอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม ที่มา http://www.thaigoodview.com/node/187998 1.4.1 ความปลอดภยั ในการใชค้ อมพิวเตอร์ 1. ความปลอดภยั ของคอมพิวเตอร์ (1) อย่าจบั ตอ้ งอุปกรณภ์ ายในหากเครื่องคอมพิวเตอร์ยงั เปิดอยู่ (2) อยากเปดิ ปดิ สวติ ช์เครือ่ งคอมพิวเตอร์บ่อยๆ ถ้าโปรแกรมมีปัญหาให้กด reset แทนการปดิ เปดิ 2. ความปลอดภัยของผูใ้ ช้ อันตรายทเ่ี กิดจากไฟฟา้ ดดู การใชป้ ลก้ั เสียบคอมพิวเตอร์ต้องใชป้ ล๊ักเสยี บ 3 ขา เพราะ ขาที่สามของปลั๊กเสยี บคอมพิวเตอร์มสี ายต่อกับสว่ นทเ่ี ป็นโลหะของอุปกรณจ์ ่ายไฟซึ่งยึดติดกบั กล่องของ คอมพวิ เตอร์เรียกว่าสายดนิ 1.4.2 สภาพแวดล้อมและการตดิ ต้ังเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ สภาพแวดล้อมโดยท่ัวไป อาจมีผลต่อสภาพจิตใจของพนักงานโดยตรง โดยเฉพาะงานท่ีต้องอยู่กับ เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ รวมทั้งส่วนประกอบของระบบอื่นท่ีเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ด้วย เช่น เมาส์ เครื่องพิมพ์ เป็นตน้ ขอ้ ควรปฏิบตั เิ กยี่ วกับการจัดสภาพแวดลอ้ มสาหรับงานคอมพวิ เตอร์ มดี ังนี้ 1. การติดต้ังตัวเครือ่ งคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ เมาส์ และอุปกรณ์ประกอบอ่ืนควรให้เกิดความสะดวกในการใชง้ าน ทาใหก้ ารใชง้ านเป็นธรรมชาตมิ ากทีส่ ดุ ไมค่ วรให้เกดิ อาการเซง็ มแี นวทางปฏิบัติดงั นี้ 1) สถานทต่ี ดิ ต้ังเคร่ืองและอุปกรณ์ ควรมพี น้ื ท่ีกว้างขวางมากพอท่จี ะทาใหผ้ ู้ใชเ้ ครอื่ งคอมพิวเตอร์สามารถ เคลอ่ื นไหวไดส้ ะดวก 2) แป้นพมิ พ์ ควรวางให้อย่ตู รงหนา้ ของผใู้ ชแ้ ละตรงกบั หน้าจอด้วย เพราะจะสามารถปล่อยแขนให้หอ้ ยลง แนบกบั ลาตวั ได้ทนั ทที ่รี สู้ ึกเม่ือย และทาให้ไม่ต้องเกง่ ไรในขณะป้อนข้อมลู 3) เมาส์ ควรวางในระดบั เดียวกบั แป้นพิมพ์ และวางในดา้ นท่ีถนดั 2. การจัดวางคอมพิวเตอร์และเก้าอ้ี ที่น่ังท่ีเหมาะสมนอกจากต้องสัมผัสกันระหว่างโต๊ะกับเก้าอ้ีที่ใช้งานแล้ว ยัง ควรให้เหมาะสมกับคนท่ีใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์โต๊ะและเก้าอ้ีแบบปรับความสูงได้จะให้ประโยชน์มากกว่า เพราะ
4 สามารถปรับระดับในกรณีท่ีต้องใช้งานคอมพิวเตอร์ชุดเดียวกันหลายๆคน ปัจจัยที่ควรคานึงถึงเมื่อต้องปรับระดับ ของโตะ๊ หรอื เกา้ อี้ คือ 1) ระดับความสูงของโต๊ะและเก้าอี้ประมาณ 28-31 น้ิว และ 16-21 น้ิว ตามระดับ เพื่อทาให้ศอกกับ ข้อมอื ของผ้ใู ช้ในขนานกับพื้น 2) ไม่ทาให้ผใู้ ชม้ อี าการเกรง บริเวณช่วงแขน มือ 3) นงั่ ทางานให้ช่วงล่างของแผ่นหลังพงิ สนิทกับพนักเกา้ อี้ 4) ควรจัดสรรพนื้ ทีว่ างบนโตะ๊ ไว้บางส่วน 3. การเคลื่อนไหวมือและแขนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยท่ีสุด และหลีกเลี่ยงไม่ได้ในการทางานดังน้ันควรให้ การ เคลือ่ นไหวเป็นธรรมชาติทีส่ ดุ เพราะจะทาใหท้ างานได้เปน็ เวลานาน จึงควรปฏิบัตดิ งั น้ี 1) ในขณะป้อนขอ้ มลู ควรใชป้ ลายน้ิวและขอ้ มืออยู่ในระดับและแนวเดยี วกนั 2) อย่าให้ขอ้ ศอกอยู่ชดิ และหา่ งลาตวั เกนิ ไป 3) ในขณะใช้แป้นพิมพ์ เมาส์ หรอื อปุ กรณ์อนื่ ๆ ควรให้มืออยูใ่ นทา่ ท่ีเปน็ ธรรมชาติ 4) ควรมีการบรหิ ารน้วิ มือในขณะป้อนขอ้ มูล ดว้ ยวธิ กี ารกามือใหแ้ นน่ แล้วคลายออก 5) ควรจบั เมาสเ์ บาๆและวางน้ิวชก้ี ับน้วิ กลางบนปมุ่ กดทั้งสองของมือ 4. มุมมองจอภาพและการถนอมสายตา หมายถึง ระดับของการมองจอภาพรวมท้ังการจัดแสงสว่างภายในห้อง เพือ่ ให้ไมเ่ ม่อื ยสายตาไหลแ่ ละบรเิ วณลาคอ มแี นวทางปฏิบตั ดิ ังนี้ 1) ใหจ้ อภาพอยู่ตรงหน้าผใู้ ชง้ านโดยหา่ งจากตาของผใู้ ชป้ ระมาณ 20 ถึง 36 นิว้ 2) ระดบั ขอบบนของจอภาพต้องไม่สงู กว่าระดบั สายตาของผ้ใู ช้ 3) ให้เกิดแสงสะทอ้ นจากสภาพสูตรอาผ้ใู ชน้ อ้ ยท่สี ดุ 4) อยา่ ปรบั ความสว่างของจอภาพ 5) หอ้ งทางานควรปรับความสวา่ งได้ 6) ควรพักสายตาเป็นระยะๆ 1.6.3 ข้อควรระวงั เกยี่ วกับการใช้คอมพิวเตอร์ 1) ไม่ควรนาเอาอปุ กรณส์ ารองของขอ้ มูลออกจากเคร่ืองอ่าน 2) ไม่ควรปิดเครอื่ งคอมพิวเตอรข์ นาดท่ีไฟของฮาร์ดดสิ ก์ตดิ อยู่ 3) ไมค่ วรเปดิ จอภาพทง้ิ ไวน้ านๆ 4) เมือ่ ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วไม่ควรเปดิ เคร่อื งคอมพวิ เตอร์ทันที 5) ไม่ควรเสียบสายไฟคา้ งไว้ท่เี ต้าเสยี บ 6) การเกบ็ ข้อมลู ไม่ควรเก็บชุดเดยี วควรทาแฟ้มสารองข้อมลู ไวห้ ลายชุด
5 บทท2่ี ระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรแ์ ละสารสนเทศ 2.1 ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ ระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ ทมี่ า http://krittiyasai.blogspot.com/2014/12/blog-post.html ระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ ( Computer Network ) หมายถึง การเชอ่ื มต่อคอมพวิ เตอร์ต้ังแต่ 2 เครื่อง ข้ึนไปเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล หรือสื่ออ่ืนๆ ทาให้คอมพิวเตอร์สามารถรับส่งข้อมูลแก่กันและกันได้ในกรณีทีเ่ ปน็ การเช่ือมต่อระหว่างเคร่ืองคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้ากับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลาง เรา เรยี กคอมพิวเตอร์ท่เี ป็นศูนย์กลางน้วี า่ โฮสต์ (Host) และเรียกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เข้ามาเชอ่ื มต่อว่า ไคลเอนต์ (Client)ระบบเครอื ขา่ ย (Network) จะเชอ่ื มโยงคอมพิวเตอร์เขา้ ด้วยกนั เพอื่ การติดต่อสื่อสาร เราสามารถส่งข้อมูล ภายในอาคาร หรือข้ามระหว่างเมืองไปจนถึงอีกซีกหนึ่งของโลก ซึ่งข้อมูลต่างๆ อาจเป็นทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง ก่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วแก่ผู้ใช้ ซึ่งความสามารถเหล่าน้ีทาให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความสาคัญ และ จาเปน็ ตอ่ การใช้งานในแวดวงตา่ งๆ แล้วทาไมเราถึงต้องใช้เครือข่าย หรือระบบคอมพิวเตอร์เครือข่าย การที่เรานาเอาเคร่ืองคอมพิวเตอร์มาเช่ือมต่อ กัน เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากระบบ หรือระบบสามารถทาอะไรได้บ้าง ทาให้ใช้ทรัพยากร ของเคร่ือง คอมพวิ เตอร์ รว่ มกันได้ (Resources Sharing) ซึง่ เปน็ การชว่ ย ประหยดั ค่าใชจ้ า่ ย และเพิ่มความสะดวก ในการใช้ งาน เช่น การใช้พื้นท่ีบนฮาร์ดดิสก์ และเครื่องพิมพ์ร่วมกันสามารถบริหารจัดการการทางานของคอมพิวเตอร์ทุก เคร่ือง ได้จากศูนย์กลาง (Centralized Management) เช่น สร้างเวิร์กกรุป กาหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล และ สามารถทาการ สารองข้อมูล ของแต่ละเคร่ืองได้ สามารถทาการส่ือสาร ภายในเครือข่าย (Communication) ได้ หลายรูปแบบ เช่น อีเมล์, แชท (Chat), การประชุมทางไกล (Teleconference), และ การประชุมทางไกล แบบ เห็นภาพ (Video Conference)มีระบบรักษาความปลอดภัย ของข้อมูล บนเครือข่าย (Network Security) เช่น สามารถ ระบุผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล ในระดับต่างๆ ป้องกันผู้ท่ีไม่ได้รับอนุญาติ เข้าถึงข้อมูล และให้การคุ้มครอง ข้อมูลที่สาคัญ ให้ความบันเทิงไม่รู้จบ (Entertainment)เช่น สามารถสนุกกับ การเล่นเกมส์ แบบผู้เล่นหลายคน หรือท่ีเรียกวา่ มลั ติ เพลเยอร(์ Multi Player) ทก่ี าลัง เปน็ ท่ีนยิ มกันอยู่ในเวลาน้ไี ด้ ใช้งานอินเทอร์เน็ตร่วมกัน (Internet Sharing) เพียงต่อเข้าอินเทอร์เน็ต จากเครื่องหน่ึงในเครือข่าย โดยมีแอค เคาท์เพียงหนึ่งแอคเคาท์ ก็ทาให้ผู้ใช้อีกหลายคน ในเครือข่ายเดียวกัน สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ เสมือนกับมี หลายแอคเคาท์ ฯลฯ
6 ระบบเครอื ข่ายชนดิ ตา่ งๆ ระบบเครือข่าย สามารถเรียกได้ หลายวิธี เช่นตามรูปแบบ การเชื่อมต่อ (Topology) เช่น แบบบัส (bus), แบบ ดาว (star), แบบวงแหวน (ring)หรอื จะเรึยกตามขนาด หรอื ระยะทางของระบบกไ็ ด้ เชน่ แลน (LAN), แวน (WAN), แมน (MAN) นอกจากนี้ ระบบเครือข่าย ยังสามารถ เรียกได้ตาม เทคโนโลยีท่ีไช้ ในการส่งผ่านข้อมูล เช่น เครือขา่ ย TCP/IP, เครือข่ายIPX, เครอื ข่าย SNA หรือเรียกตาม ชนดิ ของข้อมลู ที่มกี ารส่งผ่าน เชน่ เครอื ข่าย เสยี ง และวดิ ีโอ เรายังสามารถจาแนกเครอื ข่ายได้ ตามกลุ่มที่ใช้เครือข่าย เช่น อินเตอร์เน็ต (Internet), เอ็กซ์ตร้าเน็ต (Extranet), อินทราเนต็ (Intranet), เครอื ขา่ ยเสมอื น (Virtual Private Network) หรอื เรียก ตามวิธีการ เชอ่ื มต่อทางกายภาพ เช่นเครือข่าย เส้นใยนาแสง, เครือข่ายสายโทรศัพท์, เครือข่ายไร้สาย เป็นต้น จะเห็นได้ว่า เราสามารถจาแนก ระบบเครือข่าย ไดห้ ลากหลายวธิ ี ตามแต่วา่ เราจะพดู ถงึ เครือข่ายนัน้ ในแง่มุมใด เราจาแนก ระบบเครอื ขา่ ย ตาม วิธีท่ีนิยมกัน 3 วิธีคือ รูปแบบการเชื่อมต่อ (Topology), รูปแบบการส่ือสาร (Protocol), และ สถาปัตยกรรม เครอื ข่าย (Architecture) การจาแนกระบบเครือข่าย ตามรปู แบบการเชอ่ื มตอ่ (Topology)จะบอกถึงรปู แบบ ทที่ าการ เชื่อมต่ออปุ กรณ์ ในเครอื ขา่ ยเขา้ ดว้ ยกัน ซง่ึ มรี ูปแบบท่นี ิยมกัน 3 วธิ คี อื แบบบัส (bus) ท่ีมา http://partynui.blogspot.com ในระบบเครือข่าย โทโปโลยีแบบ BUS นับว่าเป็นแบบโทโปโลยีท่ีได้รับความนิยมใช้กันมากท่ีสุดมา ต้ังแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน เหตุผลอย่างหน่ึงก็คือสามารถติดตั้งระบบ ดูแลรักษา และติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมได้ง่าย ไม่ต้องใช้ เทคนิคท่ียุ่งยากซับซ้อน ลักษณะการทางานของเครือขา่ ยโทโปโลยแี บบ BUS คืออปุ กรณท์ ุกช้ินหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายส่ือสารหลัก ท่ีเรียกว่า \"บัส\" (BUS) เมื่อโหนดหน่ึงต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ ยังอีกโหนด หน่ึงภายในเครือข่าย ข้อมูลจากโหนดผู้ส่ง จะถูกส่งเข้าสู่สายบัส ในรูปของแพ็กเกจ ซ่ึงแต่ละแพ็กเกจ จะประกอบด้วยตาแหน่งของ ผู้ส่งและผู้รับ และข้อมูล การส่ือสารภายในสายบัส จะเป็นแบบ 2 ทิศทางแยกไปยัง ปลายท้ัง 2 ด้านของบัส โดยตรงปลายท้ัง 2 ด้านของบัสจะมีเทอร์มิเนเตอร์ (Terminator) ทาหน้าที่ดูดกลืน สัญญาณ เพ่ือป้องกันไม่ให้สัญญาณข้อมูลน้ันสะท้อนกลับ เข้ามายังบัสอีก เป็นการป้องกันการชนกันของสัญญาณ
7 ขอ้ มูลอ่นื ๆ ท่ีเดินทางอยู่บนบสั สญั ญาณขอ้ มลู จากโหนดผูส้ ่ง เม่ือเข้าสูบ่ ัสจะไหลผ่านไปยังปลายทั้ง 2 ขา้ งของบัส แต่ละโหนดที่เชื่อมต่อเข้ากับบัส จะคอยตรวจดูว่าตาแหน่งปลายทาง ท่ีมากับแพ็กเกจข้อมูลนั้น ตรงกับตาแหน่ง ของตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะรับข้อมูลนั้นเข้ามาสู่โหนดตน แต่ถ้าไม่ใช่ ก็จะปล่อยให้สัญญาณข้อมูลนั้นผ่านไป จะเห็น ว่าทุก ๆ โหนดภายในเครือข่ายแบบ BUS นั้นสามารถรับรู้สัญญาณข้อมูลได้ แต่จะมีเพียงโหนดปลายทางเพียง โหนดเดียวเทา่ น้ัน ที่จะรับข้อมูลนน้ั ไปได้ การควบคุมการสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ BUS มี 2 แบบคือ แบบควบคุมด้วยศูนย์กลาง (Centralized) ซ่ึง จะมโี หนดหนึ่ง ทที่ าหนา้ ทเ่ี ปน็ ศนู ยก์ ลางควบคุมการส่ือสารภายในเครือข่าย ซึ่งสว่ นใหญ่จะเป็นไฟลเ์ ซิร์ฟเวอร์ การ ควบคุมแบบกระจาย (Distributed) ทุก ๆ โหนดภายในเครือข่าย จะมีสิทธิในการควบคุมการส่ือสาร แทนท่ีจะ เป็นศูนย์กลางควบคุมเพียงโหนดเดียว ซ่ึงโดยท่ัวไปคู่โหนดท่ีกาลังทาการส่ง-รับ ข้อมูลกันอย ู่จะเป็นผู้ควบคุมการ ส่ือสารในเวลานนั้ ข้อดีข้อเสยี ของโทโปโลยแี บบบัส แบบดาว (star) ท่ีมา http://www.ro.ac.th/mongkolro/scoretest2/test4.html เป็นหลักการส่งและรับข้อมูล เหมือนกับระบบโทรศัพท์ การควบคุมจะทาโดยสถานีศูนย์กลาง ทาหน้าท่ีเป็นตัว สวิตชิ่ง ข้อมูลท้ังหมดในระบบเครือข่าย จะต้องผ่านเคร่ืองคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง (Center Comtuper)เป็นการ เชือ่ มโยงการตดิ ต่อส่ือสาร ที่มีลกั ษณะคล้ายกบั รปู ดาว (STAR)หลายแฉก โดยมีศนู ยก์ ลางของดาว หรอื ฮับ เปน็ จดุ ผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย ศูนย์กลาง จึงมีหน้าท่ีเป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการส่ือสารทั้งหมด นอกจากนี้ศูนย์กลางยังทาหน้าที่ เปน็ ศนู ยก์ ลางข้อมูลอีกด้วย การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบ STAR จะเป็นแบบ 2 ทิศทาง โดยจะอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่าน้ัน ที่ สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม่มีโอกาสที่หลายๆ โหนดจะส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพ่ือ ป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล เครือข่ายแบบ STAR เป็นโทโปโลยี อีกแบบหนึ่ง ที่เป็นที่นิยมใช้กันใน ปัจจุบัน ข้อดีของเครือข่ายแบบSTAR คือการติดต้ังเครือข่ายและการดูแลรักษาทาได้ง่าย หากมีโหนดใดเกิดความ เสียหาย ก็สามารถตรวจสอบไดง้ ่าย และศูนย์กลางสามารถตัดโหนดน้ันออกจากการส่อื สาร ในเครือข่ายได้
8 แบบวงแหวน (ring) ท่ีมา https://sites.google.com/site/41208panuvat/ เครือข่ายแบบ RING เป็นการส่งข่าวสารท่ีส่งผ่านไปในเครือข่าย ข้อมูลข่าวสารจะไหลวนอยู่ในเครือข่าย ไปใน ทิศทางเดียว เหมือนวงแหวน หรือ RING น่ันเอง โดยไม่มีจุดปลาย หรือเทอร์มิเนเตอร์ เช่นเดียวกับเครือข่ายแบบ BUS ในแต่ละโหนดหรือสเตชั่น จะมีรีพีตเตอร์ประจาโหนด 1 เครื่อง ซึ่งจะทาหน้าท่ีเพิ่มเติมข่าวสารท่ีจาเป็นต่อ การส่ือสาร ในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล สาหรับการสง่ ข้อมูลออกจากโหนด และมีหน้าท่ีรับแพ็กเกจข้อมูล ท่ีไหล ผ่านมาจากสายส่ือสาร เพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูล ท่ีส่งมาให้โหนดตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคัดลอกข้อมูลทั้งหมดน้ัน สง่ ตอ่ ไปใหก้ ับโหนดของตน แตถ่ า้ ไมใ่ ช่กจ็ ะปลอ่ ยข้อมูลน้นั ไปยงั รีพีตเตอร์ของโหนดถดั ไป โทโปโลยี แบบผสม (Hybrid Topology) ท่ีมา http://www.chakkham.ac.th/krusuriya เป็นเครือข่ายการส่ือสารข้อมูลแบบผสมระหว่างเครือข่ายแบบใดแบบหน่ึงหรือมากกว่า เพื่อความถูกต้อง แนน่ อน ทั้งนขี้ น้ึ อยกู่ ับความตอ้ งการและภาพรวมขององค์กร
9 2.2 บทบาทของระบบสารสนเทศ บทบาทความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้มีการพัฒนาคิดค้นส่ิงอานวยความสะดวกสบาย ต่อการดาชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดารงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทาให้การ สร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพ่ือตอบสนองความต้องการของ มนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทาให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจานวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทาให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทาให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟัง ข่าวสารกนั ได้ตลอดเวลา พัฒนาการของเทคโนโลยที าให้ชวี ิตความเป็นอยู่เปลยี่ นไปมาก ลองย้อนไปในอดตี โลกมีกาเนนิ มาประมาณ 4600 ล้านปี เชอ่ื กันว่าพฒั นาการตามธรรมชาติทาให้เกิดสิ่งมีชีวิตถือกาเนินบนโลกประมาณ 500 ลา้ นปีที่แล้ว ยุค ไดโนเสาร์มีอายุอยู่ในชว่ ง 200 ล้านปี ส่ิงมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธ์ุมนุษย์ ค่อย ๆ พัฒนามา คาดคะเนว่าเมื่อห้าแสนปีที่ แล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางส่ือสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือ และจารึกไว้ตามผนึกถ้า เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่ามนุษย์ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการพัฒนา ตัวหนังสือท่ีใช้แทนภาษาพูด และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เม่ือ ประมาณ 5000 ปีท่ีแล้ว กล่าวได้ว่าฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 500 ถึง 800 ปที ่ีแล้ว เทคโนโลยีเร่ิมเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทาให้การส่ือสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มขึ้นมาก เทคโนโลยี พัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความเป็นเสียงทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณร้อยกว่าปีท่ีแล้ว และเม่ือ ประมาณห้าสิบปีที่แล้ว ก็มีการส่งภาพโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ทาให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสารมาก ข้ึน ในปัจจบุ ันมีสถานท่ีวิทยุ โทรทศั น์ หนังสือพมิ พ์ แ ละส่อื ต่าง ๆ ท่ีใช้ในการกระจา่ ยขา่ วสาร มีการแพรภ่ าพทาง โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพ่ือรายงานเหตุการณ์สด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของ การพัฒนาเทคโนโลยีรวดเรว็ ข้นึ เม่ือมกี ารพัฒนาอุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ จะเหน็ ไดว้ ่าในชว่ ง สีห่ า้ ปีทีผ่ า่ นมาจะมีผลิตภณั ฑใ์ หม่ ซึ่งมีคอมพวิ เตอร์เข้าไปเกย่ี วข้องให้เหน็ อยตู่ ลอดเวลา 2.3 ระบบสารสนเทศเพ่อื การจดั การ ความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ ระบบสารสนเทศเพอ่ื การจัดการ (Management Information Systems) (MIS) เป็นระบบเก่ยี วกับการ จัด หาคน หรือข้อมูลที่สัมพันธ์กับข้อมูล เพื่อการดาเนินงานขององค์การ เช่น การใช้ MIS เพ่ือช่วยเหลือกิจกรรม ของลูกจ้าง เจา้ ของกิจการ ลูกคา้ และบุคคลอืน่ ทเี่ จา้ มาเกีย่ วข้องกับองคก์ าร การประมวลผลของข้อมลู จะช่วยแบ่ง ภาระการ ทางานและยังสามารถนา สารสนเทศมา ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร หรือMIS เป็นระบบซ่ึงรวม ความสามารถของผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมาย เพ่ือให้ได้มาซึ่งสารสนเทศเพื่อการ ดาเนินงานการจัดการ และการตัดสินใจในองค์การ หรือ MIS หมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูล การ ประมวลผล และการสร้างสารสนเทศข้ึนมาเพ่ือช่วยในการตัดสินใจ การประสานงาน และการควบคุม นอกจากน้ันยังช่วย ผู้บริหาร และ พนักงานในการวิเคราะห์ปญั หา แก้ปัญหา และสร้างผลิตภณั ฑ์ใหม่ โดย MIS จะต้องใช้อุปกรณ์ทาง
10 คอมพิวเตอร์ (Hardware) และ โปรแกรม (Software) ร่วมกับผู้ใช้ (Peopleware) เพ่ือก่อให้เกิดความสาเร็จใน การไดม้ าซึง่ สารสนเทศทีม่ ีประโยชน์ การใช้งานระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ (Management Information Systems) ได้ขยายขอบเขต เก่ียว ข้องกับ หลายหน้าที่ในองค์การและเป็นประโยชน์กับบุคคลหลายระดับ ต้ังแต่การใช้งานส่วนบุคคล กลุ่ม องค์การ และระหว่างหนว่ ยงาน MIS ช่วยให้ผใู้ ชส้ ารสนเทศสามารถแก้ไขปัญหาทางธรุ กิจท่ียุ่งยาก และซับซ้อนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสร้างโอกาสทางธุรกิจ ให้กับหลายองค์การ ดังที่ Kroenke และHatch (1994) กลา่ วถงึ ความสาคัญและผลกระทบของระบบสารสเทศที่มตี อ่ ธรุ กิจดงั ต่อไปน้ี 1. ระบบสารสนเทศชว่ ยสรา้ งคุณค่าเพ่ิมใหก้ ับการทางาน 2. บุคลากรทุกคนต้องมีความรู้เกี่ยวกับ MIS เนื่องจากปัจจุบันมีการพัฒนาและการใช้งานสารสนเทศท่ัว องค์การ ตลอดจนการขยาย ตวั ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการปรับรูปของระบบงานอยา่ งตอ่ เนื่อง 3. การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของธุรกิจและการบรรลุเป้าหมาย ขององคก์ ารมากข้ึน ปัจจุบันเทคโนโลยี MIS มีพัฒนาการมากขึ้นจนมีความสาคัญต่อเราในหลายระดับท่ีแตกต่างจากอดีต เรา จะเห็นว่า เทคโนโลยีสารสนเทศมีความจาเป็นและความสาคัญสาหรับผู้ศึกษาและปฏิบัติงานในสาขาต่าง ๆ เช่น การบัญชี การเงิน การตลาด และการจัดการทรัพยากรบุคคล แม้กระท่ังวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศิลปศาสตร์ ดังน้ันบุคลากรที่จะปฏิบัติงาน ในทุกสาขา จึงสมควรมีความรู้และความเข้าใจในหลักการของ MIS เพื่อให้การ ทางานมีประสิทธิภาพและประสบผลสาเรจ็ ในอาชีพได้ Laudon และ Laudon (1994) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงท่ีมีผลต่อสภาพแวดล้อมในการแข่งขันทางธุรกิจมี 2 ประการคือ 1. การรวมตัวของระบบเศรษฐกิจโลก (Emergence of the Global Economy) ก่อให้เกิดกระบวนการ โลกาภิวัตน์ ของตลาด (Globalization of Markets) ท่ีเกิดการบูรณาการของทรัพยากรทางธุรกิจและการแข่งขนั ทั่วโลก ธุรกิจขยาย งานครอบคลุมพ้ืนที่กว้างขวางจากระดับท้องถ่ินสู่ระดับประเทศ จากระดับประเทศสู่ระดับ ภูมิภาค และจากระดับภูมิภาคสู่ ระดับโลก โดยที่การขยายตัวของธุรกิจไม่เพียงแต่เป็นการกระจายสินค้า และ บริการอย่างเป็นระบบและท่ัวถึง แต่ครอบคลุม การจัดต้ัง การจัด เตรียม ทรัพยากร การผลิตและดาเนินงาน ดังนั้นองค์การธุรกิจในยุค โลกาภิวัตน์จึง ต้องมีโครงสร้าง องค์การและการ ประสานงานท่ีสอดรับและสามารถ ควบคมุ อย่างมีประสทิ ธิภาพ 2. การปรับรูปของระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (Transformation of Industrial Economies) ประเทศ อุตสาหกรรม ช้ันนา เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่ นปรับตัวจากระบบ เศรษฐกิจ อุตสาหกรรมเข้าสู่ ระบบเศรษฐกิจที่อาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งจะเห็นได้จากประมาณร้อยละ 70 ของรายได้ ประชาชาติของประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมาจากธุรกิจบริการ และธุรกิจท่ีใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ ในการสร้าง มูลค่าเพ่ิม (Value Added) การปรับรูปของระบบเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมเข้าสู่ธุรกิจบริการ ส่งผลกระทบต่อ
11 การค้าและการลงทุน เช่น การแข่งขันทวีความรุนแรงและซับซ้อนขึ้น วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ และบริการสั้นลง ธุรกิจต้องตอบสนองและสร้างความพอใจแก่ลูกค้า เป็นต้น ทาให้ธุรกิจต้องการบุคลากรที่มี ความรู้ (Knowledge Worker) ในการสร้างคณุ ค่าเพิม่ ให้แก่องคก์ าร ส่งผลให้ธุรกจิ ต้องพัฒนา ทรพั ยากรบคุ คลอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ หมายถึง ระบบที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ทั้ง ภายใน และภายนอกองค์การอย่างมีหลักเกณฑ์ เพื่อนามาประมวลผลและจัดรูปแบบให้ได้ สารสนเทศที่ ช่วย สนับสนุนการทางาน และการตัดสินใจในดา้ นต่าง ๆ ของผู้บริหารเพ่ือให้การดาเนินงานของ องค์การ เป็นไปอย่าง มปี ระสทิ ธิภาพ โดยท่ีเราจะเป็นว่า MIS จะประกอบดว้ ยหน้าทห่ี ลกั 2 ประการคือ 1. สามารถเก็บรวบรวมขอ้ มลู จากแหล่งตา่ ง ๆ ทั้งจากภายในและภายนอกองคก์ าร มาไว้ดว้ ยกัน อย่างเป็น ระบบ 2. สามารถทาการประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้สารสนเทศท่ีช่วยสนับสนุน การ ปฏิบัตงิ านและการบริหารงานของผบู้ รหิ าร หน้าทหี่ ลักของระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ ชุมพล ศฤงคารศิริ (2537 : 2) ให้ความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ คือ เป็นระบบที่รวม (integrate) ผู้ใช้ (user) เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ (machine) เพื่อจัดทาสารสนเทศ สาหรับ สนับสนุน การปฏิบัติงาน (operation) การจัดการ (management) และการตัดสินใจ (decision making) ใน องค์กรจาก ความหมายท่ีกล่าวมาสามารถสรุปความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการได้คือ การรวบรวม และการจัดเก็บข้อมูล จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับองค์การ ท้ังจากภายใน และภายนอก หน่วยงาน เพ่ือ นามาประมวลผล และจดั รปู แบบ ใหไ้ ด้สารสนเทศทีเ่ หมาะสมกับองค์การ ในการชว่ ยในการตัดสนิ ใจ ประสานงาน และควบคมุ ของผบู้ ริหาร ในอันท่จี ะ ดาเนินงานได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
12 บทท่ี3 การสบื ค้นข้อมลู บนอินเทอรเ์ นต็ 3.1 ความรเู้ บ้ืองตน้ เก่ยี วกบั อินเทอรเ์ นต็ อินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ท่ีมีขนาดใหญ่ มีการเช่ือมต่อระหว่างเครือข่าย หลาย ๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ท่ีเรียกว่า โพรโทคอล (protocol) ผู้ใช้ เครอื ข่ายนส้ี ามารถส่ือสารถงึ กนั ได้ในหลาย ๆ ทาง อาทิ อเี มล เว็บบอรด์ และสามารถสืบคน้ ขอ้ มลู และขา่ วสารต่าง ๆ รวมทั้งคัดลอกแฟม้ ข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้ ความสามารถของอินเทอรเ์ นต็ 1. ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic mail=E-mail) เป็นการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่าย อนิ เทอร์เน็ตโดยผูส้ ง่ จะตอ้ งส่งขอ้ ความไปยงั ท่ีอย่ขู องผู้รับ และแนบไฟลไ์ ปได้ 2. เทลเน็ต (Telnet) การใช้งานคอมพิวเตอร์อีกเคร่ืองหน่ึงที่อยู่ไกล ๆ ได้ด้วยตนเอง เช่น สามารถเรียก ข้อมลู จากโรงเรยี นมาทาทีบ่ ้านได้ 3. การโอนถา่ ยข้อมูล (File Transfer Protocol ) ค้นหาและเรียกข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ในเคร่ือง ของเราได้ ทงั้ ข้อมลู ประเภทตวั หนงั สอื รูปภาพและเสยี ง 4. การสืบค้นข้อมูล (Gopher,Archie,World wide Web) การใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตในการค้นหา ขา่ วสารที่มีอยู่มากมาย ใชส้ ืบค้นข้อมูลจากแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ งๆ ทัว่ โลกได้ 5. การแลกเปลย่ี นขา่ วสารและความคิดเห็น (Usenet) เป็นการบริการแลกเปล่ยี นข่าวสารและแสดงความ คิดเห็นที่ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตท่ัวโลก แสดงคว ามคิดเห็นของตน โ ดยกลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป (Newgroup)แลกเปล่ยี นความคิดเหน็ กัน 6. การส่ือสารด้วยข้อความ (Chat,IRC-Internet Relay chat) เป็นการพูดคุย โดยพิมพ์ข้อความตอบกัน ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ได้รับความนิยมมากอีกวิธีหน่ึง การสนทนากันผ่านอินเทอร์เน็ตเปรียบเสมือนเราน่ังอยู่ใน ห้องสนทนาเดยี วกนั แมจ้ ะอยู่คนละประเทศหรอื คนละซีกโลกกต็ าม 7. การซ้ือขายสินค้าและบริการ (E-Commerce = Electronic Commerce) เป็นการซ้ือ - สินค้าและ บรกิ าร ผ่านอนิ เทอร์เน็ต 8. การให้ความบันเทิง (Entertain) บนอินเทอร์เน็ตมีบริการด้านความบันเทิงหลายรูปแบบต่างๆ เช่น รายการโทรทศั น์ เกม เพลง รายการวิทยุ เป็นต้น เราสามารถเลือกใชบ้ รกิ ารเพือ่ ความบันเทงิ ไดต้ ลอด 24 ชัว่ โมง 3.2 วิธกี ารสืบคน้ ข้อมูลโดยใชส้ ารบนเวบ็ วิธกี ารสบื คน้ ขอ้ มูลบนอนิ เทอร์เน็ตการสืบคน้ ขอ้ มลู บนอินเทอรเ์ นต็ ในโลกไซเบอร์สเปซมีข้อมูลมากมายมหาศาล การท่ีจะค้นหาข้อมูลจานวนมากมายอย่างนี้เราไม่อาจจะคลิกเพ่ือ ค้นหาข้อมลู พบไดง้ ่ายๆ จาเปน็ จะตอ้ งอาศัยการค้นหาข้อมลู ด้วยเคร่ืองมือคน้ หาที่เรยี กว่า Search Engine เข้ามา ชว่ ยเพือ่ ความสะดวกและรวดเรว็ เว็บไซตท์ ่ีให้บรกิ ารคน้ หาข้อมูลมีมากมายหลายท่ีท้ังของคนไทยและ ถ้าเราเปิด ไปทีละหน้าจออาจจะต้องเสียเวลาในการค้นหา และอาจหาข้อมูลที่เราต้องการไม่พบ การท่ีเราจะค้นหาข้อมูลให้ พบอย่างรวดเร็วจึงต้องพ่ึงพา Search Engine Site ซ่งึ จะทาหน้าทีร่ วบรวมรายชื่อเวบ็ ไซตต์ ่างๆ เอาไว้ โดยจัดแยก
13 เปน็ หมวดหมู่ ผ้ใู ช้งานเพียงแต่ทราบหวั ข้อทีต่ ้องการค้นหาแลว้ ป้อน คาหรือข้อความของหัวข้อน้ันๆ ลงไปในช่องที่ กาหนด คลิกปุ่มค้นหา เท่านน้ั รอสกั ครู่ขอ้ มูลอย่างยอ่ ๆ และรายชอ่ื เว็บไซตท์ เ่ี กี่ยวข้องจะปรากฏให้เราเขา้ ไปศึกษา เพม่ิ เตมิ ไดท้ ันที การคน้ หาขอ้ มลู มกี วี่ ิธี ? 1. การคน้ หาในรูปแบบ Index Directory 2. การคน้ หาในรูปแบบ Search Engine การค้นหาในรปู แบบ Index Directory วิธีการค้นหาข้อมูลแบบ Index น้ีข้อมูลจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าการค้นหาข้อมูลด้วย วิธีของ Search Engineโดยมันจะถูกคัดแยกข้อมูลออกมาเป็นหมวดหมู่ และจัดแบ่งแยก Site ต่างๆออก เป็น ประเภท สาหรับวิธีใช้งาน คุณสามารถที่จะ Clickเลือกข้อมูลท่ีต้องการจะดูได้เลยใน Web Browser จากนั้นที่ หน้าจอก็จะแสดงรายละเอียดของหัวข้อปลีกย่อยลึกลงมาอีกระดับหน่งึ ปรากฏข้ึนมาให้เราเลอื กอีก ส่วนจะแสดง ออกมาให้เลือกเยอะแค่ไหนอันน้ีก็ข้ึนอยู่กับขนาดของฐานข้อมูลใน Index ว่าในแต่ละประเภท จัดรวบรวมเก็บ เอาไว้มากน้อยเพียงใด เมื่อคุณเข้าไปถึงประเภทย่อยที่คุณสนใจแล้ว ท่ีเว็บเพจจะแสดงรายชื่อของเอกสารท่ี เก่ียวข้องกับ ประเภทของข้อมลู นั้นๆออกมา หากคณุ คิดวา่ เอกสารใดสนใจหรอื ต้องการอยากทจี่ ะดู สามารถ Click ลงไปยัง Link เพอ่ื ขอเชอ่ื ต่อทางไซต์กจ็ ะนาเอาผลของข้อมูลดังกลา่ วออกมาแสดงผลทันที นอกเหนอื ไปจากน้ี ไซต์ ที่แสดงออกมาน้ันทางผู้ให้บริการยังได้เรียบเรียงโดยนาเอา Site ท่ีมีความเก่ียว ข้องมากท่ีสุดเอามาไว้ตอนบนสุด ของรายชอ่ื ท่แี สดง การค้นหาในรปู แบบ Search Engine วิธีการอีกอย่างที่นิยมใช้การค้นหาข้อมูลคือการใช้ Search Engine ซ่ึงผู้ใช้ส่วนใหญ่กว่า 70% จะใช้ วิธีการค้นหาแบบน้ี หลักการทางานของ Search Engine จะแตกต่างจากการใช้ Indexลักษณะของมันจะเป็น ฐานข้อมูลขนาดใหญ่มหาศาลที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป บน Internet ไม่มีการแสดงข้อมูลออกมาเป็นลาดับขั้น ของความสาคัญ การใช้งานจะเหมือนการสืบค้นฐานข้อมูล อื่นๆคือ คุณจะต้องพิมพ์คาสาคัญ (Keyword) ซ่ึงเป็น การอธิบายถึงข้อมูลท่ีคุณต้องการจะเข้าไป ค้นหาน้ันๆเข้าไป จากนั้น Search Engine ก็จะแสดงข้อมูลและ Site ตา่ งๆทเี่ กยี่ วข้องออกมา ข้อแตกต่างระหว่าง Index และ Search Engine คาตอบก็ คือวิธีในการค้นหาข้อมูลแบบ Index เค้าจะใช้คน เปน็ ผจู้ ัดรวบรวมและทาระบบฐานข้อมูลข้นึ มา ส่วนแบบ Search Engine นน้ั ระบบฐานขอ้ มูลของมันจะได้รับการ จัดสร้างโดยใช้ Software ท่ีมี หน้าท่ีเก่ียวกับงานทางด้านนี้โดยเฉพาะมาเป็นตัวควบคุมและจัดการ ซ่ึงเจ้า Software ตัวน้ีจะมี ชื่อเรียกว่า Spiders การทางานข้องมันจะใช้วิธีการเดินลัดเลาะไปตามเครือข่ายต่างๆท่ี เชื่อมโยงถึง กันอยูเ่ ตม็ ไปหมดใน Internet เพอื่ ค้นหา Website ท่ีเกดิ ขึ้นมาใหม่ๆ รวมทัง้ ยังสามารถตรวจสอบหา ความเปลี่ยนแปลงของ ข้อมูลใน Site เดิมท่ีมีอยู่ ว่าท่ีใดถูกอัพเดตแล้วบ้าง จากน้ันมันก็จะนาเอาข้อมูลท้ังหมดท่ี สารวจเข้ามา ได้เก็บใส่เข้าไปในฐานข้อมูลของตนอัตโนมัติ ยกตัวอย่างของผู้ให้บริการประเภทนี้เช่น Excite ,
14 Lycos Infoserch เป็นตน้ การค้นหาด้วยวธิ ี Search Engine นัน้ มักจะได้ผลลัพธ์ออกมากว้างๆช้เี ฉพาะเจาะจงได้ ยาก บางครง้ั ข้อมูลท่ี ค้นหามาได้อาจมีถึงเปน็ รอ้ ยเป็นพนั Site แล้วมใี ครบ้างหละท่อี ยากจะมาน้ันคน้ หาและอ่านดู ท่ีจะเพจ ซ่ึงคง ต้องเสียเวลาเป็นวันๆแน่ ซึ่งก็ไม่รับรองด้วยว่าคุณจะได้ข้อมูลที่คุณต้องการหรือไม่ ดังน้ันจึงมีหลัก ในการค้น หา เพือ่ ให้ไดข้ อ้ มูลใกล้เคยี งความเป็นจรงิ มากทส่ี ุด ซ่งึ จะขอกล่าวในตอนหลัง ประเภทของ Search Engine Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลท่ีแตกต่างกันไปตามประเภทของ Search Engine ท่ีแต่ละเว็บไซต์นามาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังน้ันการท่ีคุณจะเข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดย วิธีการ Search นั้น อย่างน้อยคุณจะต้องทราบว่า เว็บไซต์ท่ีคุณเข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป ท่ีนี้เราลองมาดูซิว่า Search Engine ประเภทใดท่ีเหมาะกับการคน้ หาขอ้ มูลของคุณ 1. Keyword Index เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจที่ได้ผ่านการสารวจ มาแล้ว จะอ่านข้อความ ข้อมูล อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ 200-300 ตัวอักษรแรกของเว็บเพจน้นั ๆ โดยการอ่านนี้จะ หมายรวมไปถึงอ่านข้อความที่อยู่ในโครงสร้างภาษาHTML ซึ่งอยู่ในรูปแบบของข้อความท่ีอยู่ในคาส่ัง alt ซึ่งเป็น คาส่ังภายใน TAG คาสั่งของรูปภาพ แต่จะไม่นาคาสั่งของ TAG อื่นๆ ในภาษา HTML และคาสั่งในภาษา JAVA มาใช้ในการค้นหา วิธีการค้นหาของ Search Engine ประเภทน้ีจะให้ความสาคัญกับการเรียงลาดับข้อมูลก่อน- หลัง และความถี่ในการนาเสนอข้อมูลน้ัน การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความ ละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เน่ืองจากไม่ได้คานึงถึงรายละเอียดของเน้ือหาเท่าที่ควร แตห่ ากวา่ คุณตอ้ งการแนวทางดา้ นกวา้ งของข้อมูล และความรวดเรว็ ในการคน้ หา วธิ ีการนก้ี ใ็ ช้ไดผ้ ลดี 2. Subject Directories การจาแนกหมวดหมู่ข้อมูล Search Engine ประเภทน้ี จะจัดแบ่งโดยการ วิเคราะหเ์ น้ือหา รายละเอยี ด ของแต่ละเวบ็ เพจ วา่ มเี น้ือหาเก่ยี วกบั อะไร โดยการจดั แบ่งแบบน้ีจะใชแ้ รงงานคนใน การพิจารณาเว็บเพจ ซ่ึงทาให้การจัดหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมู่แต่ละคนว่าจะจัดเก็บ ข้อมูลนั้นๆ อยู่ในเครือข่ายข้อมูลอะไร ดังนั้นฐานข้อมูลของ Search Engine ประเภทนี้จะถูกจัดแบ่งตามเน้ือหา ก่อน แล้วจึงนามาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหาต่อไป การค้นหาค่อนข้างจะตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และมี ความถูกต้องในการค้นหาสูง เป็นต้นว่า หากเราต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ หรือเว็บเพจท่ีนาเสนอข้อมูล เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ Search Engine ก็จะประมวลผลรายช่ือเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ล้วนๆ มาให้คุณ 3. Metasearch Engines จดุ เด่นของการค้นหาดว้ ยวิธีการน้ี คือ สามารถเชอื่ มโยงไปยัง Search Engine ประเภทอน่ื ๆ และยังมีความหลากหลายของขอ้ มลู แต่การคน้ หาด้วยวธิ นี ม้ี ีจดุ ดอ้ ย คอื วิธีการนีจ้ ะไมใ่ ห้ความสาคัญ กับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคาประเภท Natural Language (ภาษาพูด) ดังน้ัน หากคุณจะ ใช้ Search Engine แบบนี้ละก็ ขอใหต้ ระหนกั ถงึ ขอ้ บกพร่องเหลา่ น้ีดว้ ย หลักการค้นหาข้อมลู ของ Search Enine สาหรับหลักในการค้นหาข้อมูลของ Search Engine แต่ละตัวจะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับ ว่าทางศูนย์บริการต้องการจะเก็บข้อมูลแบบไหน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีกลไกใน การค้นหาท่ีใกล้เคียงกัน หาก
15 จะแตกต่างก็คงจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพเสียมากกว่า ว่าจะมีข้อมูล เก็บรวบรวมไว้อยู่ในฐานข้อมูลมากน้อยขนาด ไหน และพอจะนาเอาออกมาบริการใหก้ ับผู้ใช้ ได้ตรงตามความต้องการหรือเปล่า ซึ่งลักษณะของปัจจัยท่ีใช้ค้นหา โดยหลกั ๆจะมดี งั น้ี 1. การค้นหาจากช่อื ของตาแหน่ง URL ใน เวบ็ ไซตต์ ่างๆ 2. การค้นหาจากคาที่มีอยู่ใน Title (ส่วนที่ Browser ใช้แสดงช่ือของเว็บเพจอยู่ทางด้าน ซ้ายบนของ หน้าตา่ งที่แสดง 3. การคน้ หาจากคาสาคญั หรอื คาสัง่ keyword (อยูใ่ น tag คาสงั่ ใน html ที่มชี อ่ื วา่ meta) 4. การค้นหาจากส่วนทใ่ี ชอ้ ธิบายหรือบอกลักษณะ site 5. คน้ หาคาในหนา้ เว็บเพจดว้ ย Browser ซงึ่ การค้นหาคาในหน้าเว็บเพจน้ันจะใช้สาหรบั กรณที ี่คุณเข้า ไปค้นหาข้อมูลที่เว็บ เพจใด เว็บเพจหน่ึง แล้วภายในมีข้อความปรากฏอยู่เต็มไปหมด จะนั่งไล่ดูทีละบรรทัดคงไม่ สะดวก ในลักษณะนี้เราใช้ใช้ browser ช่วยคน้ หาให้ ขึ้นแรกใหค้ ณุ นา mouse ไป click ท่ี menu Edit แล้วเลอื ก บรรทัดคาส่ัง Find in Page หรือกดปุ่ม Ctrl + F ท่ี keyboard ก็ได้ จากน้ันใส่คาท่ีต้องการค้นหาลงไปแล้วก็กด ปุ่ม Find Next โปรแกรมกจ็ ะวิ่งหาคาดงั กลา่ ว หากพบมนั ก็จะกระโดดไปแสดงคานัน้ ๆ ซึ่งคุณสามารถกดปุ่ม Find Next เพื่อคน้ หาตอ่ ได้ อกี จนกว่าคณุ จะพบขอ้ มูลท่ตี ้องการ เทคนิค 11 ประการท่ีควรรู้ในการค้นหาข้อมูล ในการค้นหาข้อมูลด้วย Search Engine ส่วนใหญ่แล้วปัญหาท่ี ผู้ใช้งานท่ัวไปมักจะพบเห็น หรือประสบอยู่เสมอๆก็คงจะหนีไปไม่พ้นข้อมูลทค่ี ้นหาได้มีขนาดมากจนเกินไป ดังน้ัน เพื่อ ความสะดวกในการใช้งานคุณจึงน่าท่ีจะเรียนรู้เทคนิคต่างๆเพ่ือช่วยลดหรือ จากัดคาท่ีค้น หาให้แคบลงและ ตรงประเด็นกบั เรามากท่ีสุด ดังวิธกี ารต่อไปน้ี 1. เลือกรูปแบบการค้นหาให้ตรงกับสิ่งท่ีคุณต้องการมากที่สุด (อย่างที่บอกไว้ต้ังแต่ตอนต้นว่ามีอยู่ 2 แบบ ) ส่วนจะเลอื กใชว้ ิธีไหนกต็ ามแต่จะเห็นว่า เหมาะสม ยกตวั อย่างเช่น ถา้ ตอ้ งการจะค้นหาขอ้ มูลทม่ี ลี ักษณะ ท่วั ไป ไมช่ ี้ เฉพาะเจาะจง กค็ วรเลอื กบริการสืบคน้ ข้อมลู แบบ Index อยา่ งของ yahoo เพราะ โอกาสท่ีจะเจอน้ัน เปอร์เซน็ ตส์ งู กว่าจะมานั่งสุ่มหาโดยใช้วธิ ีแบบ Search Engine 2. ใช้คามากกว่า 1 คาท่ีมีลักษณะเกี่ยวข้องกันช่วยค้นหา เพราะจะได้ผลลัพธ์ท่ีมีขนาด แคบลงและชี้ เฉพาะมากขึ้น (ย่อมจะดีกว่าหาคาเดยี วโดดๆ) 3. ใช้บริการของผู้ให้บริการเฉพาะด้าน เช่นการค้นหาข้อมูลเก่ียวกับเร่ืองราวของ ภาพยนตร์ก็น่าที่จะ เลือกใช้ Search Engine ทใี่ หบ้ ริการใกล้เคียงกบั เรือ่ งพวกนี้ เพราะผลลพั ธ์ทีไ่ ดน้ ่าจะเป็นท่ีนา่ พอใจกวา่ 4. ใส่เครื่องหมายคาพูดครอบคลุมกลุ่มคาที่ต้องการ เพื่อบอกกับ Search Engine ว่าเรา ต้องการผลการ คน้ หาทีม่ คี าในกลมุ่ น้ันครบและตรงตามลาดบั ทเ่ี ราพิมพท์ ุกคา เชน่ \"free shareware\" เป็นตน้ 5. การข้ึนต้นของตัวอักษรตัวเล็กเท่ากันหมด Search Engine จะเข้าใจว่าเราต้องการ ให้มันค้นหาคา ดังกล่าวแบบไม่ต้องสนใจว่าตัวอักษรที่ได้จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ดังน้ันหากคุณต้องการอยากท่ีจะให้มันค้นหาคา ตรงตามแบบที่เขียนไวก้ ็ใหใ้ ช้ ตวั อกั ษรใหญ่แทน 6. ใช้ตัวเช่ือมทาง Logic หรือตรรกศาสตร์เข้ามาช่วยค้นหา มีอยู่ 3 ตัวด้วยกันคือ - AND ส่ังให้หาโดย จะต้องมีคานั้นๆมาแสดงด้วยเท่านัน้ ! โดยไม่จาเป็นว่าจะตอ้ งติดกัน เช่น phonelink AND pager เปน็ ตน้ - OR สงั่
16 ให้หาโดยจะต้องนาคาใดคาหน่ึงท่ีพิมพ์ลงไปมาแสดง - NOT ส่ังไม่ให้เลือกคาน้ันๆมาแสดง เช่น food and cheese not butter หมายความว่า ให้ทาการหาเว็บที่เก่ียวข้องกับ food และcheese แต่ต้องไม่มี butter เป็น ตน้ 7. ใช้เคร่ืองหมายบวกลบคัดเลือกคา + หน้าคาท่ีต้องการจริงๆ - (ลบ)ใช้นาหน้าคาที่ไม่ต้องการ () ช่วย แยกกลมุ่ คา เชน่ (pentium+computer)cpu 8. ใช้เป็นตวั ร่วม เชน่ com* เปน็ การบอกใหห้ าคาท่ีมคี าว่า com ขนึ้ หน้าส่วนดา้ นทา้ ยเป็น อะไรไม่ สนใจ *tor เป็นการใหห้ าคาทีล่ งทา้ ยด้วย tor ด้านหน้าจะเป็นอะไรไม่สนใจ 9.หลีก เล่ียงการใช้ตัวเลข พยายามเล่ียงการใช้คาค้นหาท่ีเป็นคาเด่ียวๆ หรือเป็นคาท่ีมีตัวเลขปน แต่ถ้า เล่ยี งไมไ่ ด้ คุณก็อย่าลมื ใส่เคร่อื งหมายคาพูด (\" \") ลงไปดว้ ย เชน่ \"windows 98\" 10. หลีก เล่ียงภาษาพูด หลีกเลี่ยงคาประเภท Natural Language หรือเรียกง่ายๆ ว่าคาหรือข้อความท่ี เป็นภาษาพูด หรือเป็นประโยค คุณควรสรุปเป็นเพียงกลุ่มคาหรือวลี ที่มีความหมายรวมทั้งหมดไว้ Advanced Search อยา่ ลืมทีจ่ ะใช้ Advanced Search เพราะจะมีสว่ นช่วยคุณได้มาก ในการบีบประเดน็ หัวขอ้ ใหแ้ คบลง ซ่ึง จะทาให้คณุ ไดร้ ายชอ่ื เวบ็ ไซต์ ท่ตี รงกบั ความตอ้ งการของคุณมากขน้ึ 11. อยา่ ละเลย Help ซึง่ ในแต่ละเวบ็ จะมี ปุ่ม help หรือ Site map ไวค้ อยช่วยเหลือคุณ แตค่ นสว่ นใหญ่ มกั จะมองขา้ ม ซ่ึงhelp/site map จะมปี ระโยชนม์ ากในการอธิบาย option หรอื การใชง้ าน/แผนผังปลีกย่อยของ แต่ 3.3 วิธกี ารสืบค้นขอ้ มูลโดยใช้เคร่อื งมือช่วยค้น เคร่อื งมอื ช่วยคน้ หรอื เซิร์ชเอ็นจิน (Search Engine) Search Engine คือ เว็บไซตท์ ีใ่ หบ้ ริการการคน้ หาขอ้ มูล เวบ็ ไซตด์ งั กล่าวจะมีโปรแกรมชนดิ หนง่ึ ทีเ่ ขยี นขึน้ เพ่ือ ช่วยในการ คน้ หาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต การทางานของSearch Engineนน้ั จะเรมิ่ จากการหาเว็บไซต์ต่างๆในอินเทอร์เน็ตว่ามี เวบ็ ไซต์ อะไรแลว้ สรา้ งเปน็ ฐานข้อมลู ของเวบ็ ไซตต์ า่ งๆขน้ึ มาเกบ็ ไวเ้ พือ่ ใชใ้ นการค้นหาตามความต้องการของผ้ใู ช้ ฐานข้อมูล เหล่าน้ีจะต้องมกี ารปรบั ปรุงบ่อยๆเพราะมีเว็บไซตเ์ พิ่มเติมอยู่ตลอดเวลานอกจากการสร้างฐานข้อมลู เกยี่ วกบั เวบ็ ไซต์ ของตนเองแล้ว Search Engine ยังอาจจะใช้วธิ กี ารคน้ หาจากฐานข้อมูลของ Search Engine ตัวอน่ื ๆแล้ว นามา บริการก็ได้ ในการสรา้ งฐานข้อมูลของ Search Engine นน้ั จะใช้โปรแกรมท่ีเรียกว่า สไปเดอร์ (Spider)หรือโร บอต(Robot)ทาการสารวจไปยังเวบ็ ไซตต์ ่างๆทวั่ อนิ เทอรเ์ น็ตแลว้ นาข้อมูลของเว็บไซตน์ น้ั มาเก็บไวใ้ นฐานข้อมลู ของตนเองเมื่อผใู้ ช้ป้อน Keyword ของข้อมูลทต่ี ้องการคน้ หาเขา้ ไป Search Engine กจ็ ะนาไปคน้ หาในฐานข้อมลู ท่ีมีอยู่ ผลที่ไดจ้ าก การค้นหาก็คอื รายการของเว็บไซตท์ ่ีมี Keyword ดงั กล่าวอยู่
17 SearchEngine แตล่ ะตัวมขี ้อดีในการสบื ค้นและวธิ กี ารในการสืบค้นท่แี ตกตา่ งกันตลอดจนมีการจดั ทาส่วนพเิ ศษ ตา่ งๆในการสบื คน้ เพอ่ื ช่วยผใู้ ช้ และเพื่อให้ผูใ้ ช้สามารถสบื ค้นไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ ผูใ้ ช้ควรมีความรู้เกย่ี วกบั การคน้ หา ดังน้ี คอื 1. วิธกี ารใช้ Search Engine แต่ละเวบ็ ไซต์Search Engine แตล่ ะตวั จะมสี ว่ นช่วยในการอธบิ ายวิธีใช้ในสว่ นที่ เรียกวา่ Help หรือAbout เช่น Yahoo มีวิธกี าหนดคาคน้ เพอื่ ให้ได้ผลค้นทเ่ี ฉพาะเจาะจงหรอื ตรงตอ่ ความตอ้ งการ ดังน้ี 1.1 ใชเ้ ครื่องหมายดอกจันทร์ (*) เพ่ือคน้ หาคาที่มีการสกดคล้ายกัน เช่น smok* หมายความวา่ ให้คน้ หาคา ทัง้ หมดท่ีข้ึนด้วย 5 ตัวอกั ษรแรก เชน่ smoke smoker เป็นตน้ 1.2 ใช้เครือ่ งหมาย + สาหรบั กาหนดให้แสดงผล การค้นเฉพาะเว็บไซต์ ท่ีปรากฏคาทง้ั สองคา เช่น Secondary + education1.3 ใช้เครอื่ งหมาย “ ” สาหรับการค้นหาคาทเี่ ป็นวลี เชน่ “great barrier reaf” ฯลฯ 2.การใชต้ รรกบูลีน (Boolean Logic)เพ่อื ให้สามารถกาหนดการค้นหาที่แคบเขา้ มา โดยใชค้ า AND OR NOT เขา้ ชว่ ยในการกาหนดคาค้นเพื่อให้สามารถคน้ หาได้อยา่ งเฉพาะเจาะจงมากยิ่งข้นึ การใช้ ANDการกาหนดใช้ AND จะใชเ้ ม่อื ตอ้ งการกาหนดให้ค้นรายการที่ปรากฏคาทม่ี ีความเกีย่ วข้องกัน ในรายการเดยี วกัน เช่น water and soil การกาหนดแบบนี้หมายความวา่ ผลการคน้ ตอ้ งการคือเฉพาะรายการท่ีมีคาวา่ water และ soil เท่านัน้ หาก รายการใดที่มีแต่คาว่า water หรอื soil ไมต่ ้องการการใช้คาวา่ ORการใช้ OR เป็นการขยายคาคน้ โดยกาหนดคา หลายทเี่ หน็ ว่ามคี วามหามายคล้ายกันหรอื สามารถสะกดได้หลายแบบ การใช้ NOTการใช้ NOT จะใชใ้ นเม่อื ต้องการจากัดการคน้ เขา้ มาคือไม่ต้องการรายการที่มีเนื้อหาสว่ นทไี่ มต่ ้องการ ปรากฏอยู่ โดยกาหนดให้ตัดคาท่ีไมต่ อ้ งการออกเชน่ water not soilการกาหนดคาแบบนี้ หมายถงึ -1.ให้ค้นหารายการท่ีมีคาว่า water แตห่ ากรายการใดมีคาวา่ soil อยดู่ ้วย ไม่ต้องการ -2. ผลสืบค้นที่ไดท้ ุกรายการที่มีคาวา่ water และหากมีคาวา่ Sol ใหค้ ัดออกทุกรายการ 3.4 ตวั อยา่ งเว็บไซต์ทใี่ หบ้ ริการสืบคน้ ขอ้ มูลทง้ั ของไทยและของตา่ งประเทศ การใช้งาน และ Web Search engine ของไทยและต่างประเทศSearch Engine แบบไทย ๆ ขอ้ ดีของ Search Engine ไทย กค็ ือค้นหาคาทใ่ี ช้ภาษาไทยได้ และสามารถ Search เว็บไซต์ของไทยไดด้ ีกว่าด้วย เพราะตั้งใจทามาเพ่อื การนีโ้ ดยเฉพาะ ตวั อยา่ งเช่นSearch Engines of Thailand (www.searchenginecolossus.com/Thailand.html) เป็นเวบ็ ไซตท์ ี่รวบรวมรายชื่อลิงค์สาหรับ Search Engines และเวบ็ ไซตท์ ่เี ป็นไดเรคทอรของไทย ถ้าไมร่ ู้จะเริ่มตน้ ที่ไหนก็เร่ิมตน้ ทน่ี กี่ ่อนได้ แตไ่ ม่ได้ให้บริการคน้ หา ข้อมูลหรอื Search โดยตรง Thaifind (www.kmutt.ac.th/menu6/Thaifind.html) เปน็ เว็บไซตข์ องสถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกล้า ธนบรุ ี ทใี่ หบ้ ริการคน้ หาข้อมลู โดยใช้คียเ์ วริ ด์ ไดท้ ง้ั ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และทาการคน้ หาข้อมูงไหเ้ รา โดยใช้ เคร่อื งมอื ค้นหาของไทย 10 ตวั ของสากลอีก 10 ตัวเรยี กวา่ เป็น Metasearch หรอื อภิมหา Search นนั่ แหละที่ อยขู่ อง Search Engine ไทยอืรน ๆ ทีน่ ่าสนใจ มดี ังนี้
18 Thaiseek (www.thaiseek.com) Thaisearch (www.thaisearch.com) Thaispy (www.thaispy.com) Atriumtech (www.atriumtech.com) Orientation (http://th.orientation.com) Nontrisearch (http://search.ku.ac.th) วธิ ีการค้นหา เพยี งพิมพ์คาสัน้ ทเ่ี ราต้องการค้นหา หรอื ที่เราเรียกวา่ Key Word และกดปุ่ม Search หรอื ค้นหา ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจาก Search Engine ◦คน้ หาเวบ็ ที่ต้องการไดส้ ะดวก รวดเร็ว ◦สามารถค้นหาแบบเจาะลึกได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, ขา่ ว, MP3 และอื่นๆ อีกมากมาย ◦สามารถค้นหาจากเว็บไซต์เฉพาะทาง ท่มี ีการจัดทาไว้ เชน่ download.com เวบ็ ไซต์เกี่ยวกบั ขอ้ มลู และ ซอร์ฟแวร์ เป็นตน้ ◦มีความหลากหลายในการค้นหาข้อมลู ◦รองรับการคน้ หา ภาษาไทย นอกจากน้ียังมีการพฒั นาในรูปแบบของ Search Bar ทีท่ าใหผ้ ูใ้ ช้งานไม่จาเป็นตอ้ งเข้าผ่านเวบ็ ไซต์ Search Engine เหล่าน้นั โดยตรงแล้ว ตวั อย่าง Search Bar ทข่ี อแนะนา เชน่ Google Search Bar, Yahoo Search Bar เปน็ ตน้ สาหรบั รายละเอยี ดให้คลกิ เขา้ ไปอ่านและ download ได้ที่ Search Bar Ads by Google ลองใช้ Google Chrome เบราว์เซอร์ท่ใี ห้คณุ ค้นหาหน้าท่ี คณุ เคยเยย่ี มชม ดาวนโ์ หลดเดย๋ี วน้ี www.google.co.th/chrome เว็บไซต์ทีใ่ ห้บรกิ าร Search Engine เครือ่ งมือในการคน้ หาขอ้ มลู ทางอนิ เตอร์เน็ต Search Engine เป็นเครื่องมือหรอื โปรแกรมในการคน้ หาเวบ็ ตา่ งๆ โดยมีการเกบ็ รายช่ือเว็บไซต์ และข้อมูลทีเ่ ก่ยี วข้องตา่ งๆ ของเวบ็ ไซต์และนามาจดั เกบ็ ไว้ใน server เพื่อให้สามารถคน้ หาและ แสดงผลไดส้ ะดวก และรวดเร็วมากยง่ิ ขึ้น ท้ังนี้ บาง search engine อาจไม่ไดม้ ีการเก็บข้อมูลใน
19 server ของตวั เอง แตอ่ าจอาศยั ขอ้ มลู จากเจ้าของ serve r น้นั ๆ เครอ่ื งมือหรือโปรแกรมสาหรับการสืบคน้ (Search Engine) มอี ยู่มากมายและมใี หบ้ ริการ อยตู่ ามเวบ็ ไซต์ตา่ งๆ ที่ใช้บริการการสบื ค้นข้อมูลโดยเฉพาะ การเลอื กใช้นน้ั ขึ้นกับประเภทของข้อมูล สารสนเทศท่ีต้องการสืบคน้ Search Engine ต่างๆ จะใหข้ ้อมูลที่มีความลกึ ในแงม่ ุมหรอื ศาสตรต์ า่ งๆ ไม่ เทา่ กัน ตวั อย่าง Search Engine ท่ีนยิ มใชม้ ีท้ังเวบ็ ไซต์ทีเ่ ปน็ ของต่างประเทศ และของไทยเอง ตวั อย่าง เวบ็ ไซต์ของไทยและตา่ งประเทศ ได้แก่ website ภาษาไทย website ภาษาอังกฤษ http://www.thaifind.com http://www.ixquick.com http://www.thaiseek.com http://www.yahoo.com http://www.thaiall.com http://www.lycos.com http://www.thainame.net/main.html http://www.netfind2.aol.com http://www.sanook.com http://www.excite.com http://www.google.com http://www.altavista.com http://www.aromdee.com http://www.freestation.com
20
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: