Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานโครงการการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ2562

รายงานโครงการการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ2562

Published by watsalatuekschool, 2020-04-02 04:49:11

Description: รายงานโครงการการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ2562

Search

Read the Text Version

รายงานผลการดาเนนิ งาน โครงการการจัดการเรียนรู้ทเ่ี นน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคัญ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๒ นางสาวสกุ าญจนา แกว้ ขาว ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ชานาญการ ผู้รับผดิ ชอบโครงการ กลมุ่ งาน วิชาการความคิดเหน็ ของฝา่ ยบรหิ าร ก โรงเรยี นวัดศาลาตกึ สทิ ธิชยั วิศาล อาเภอกาแพงแสน จงั หวดั นครปฐม สังกัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต ๑

ความเหน็ ผอู้ านวยการโรงเรียน ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ............................................................................................................................................. ลงช่ือ............................................................... (นายอุดดมศกั ดิ์ เตยี วตอ๋ ย) ตาแหน่ง ผู้อานวยการโรงเรยี นวดั ศาลาตกึ สิทธชิ ยั วิศาล

ข บทสรุป โครงการการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ มีวัตถุประสงค์โครงการเพื่อส่งเสริมและ พัฒนากระบวนการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย และสนองตอบตามศักยภาพผู้เรียนรายบุคคล โดยมีเป้าหมาย โครงการ ในด้านปริมาณ คือ โรงเรียนมีกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายสนองตอบความต้องการของ ผู้เรียน คิดเป็นร้อยละ ๘๕ และผู้เรียนมีความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และ มี ความสามารถตามจุดเน้นคุณภาพการศึกษา คิดเป็นร้อยละ ๘๕ ด้านคุณภาพ โรงเรียนมีกระบวนการ เรียนสนองตอบต่อความต้องการของผู้เรียนได้อย่างมีคุณภาพ ผู้รับผิดชอบโครงการ นางสาวสุกาญจนา แก้วขาว โครงการการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ดาเนินกิจกรรมในโรงเรียนวัดศาลาตึกสิทธิชัย วิศาล ปีการศึกษา ๒๕๖๒ มีขั้นตอนดาเนินการดังนี้ ประชุมเสนอโครงการ แต่งตั้งคณะทางาน ประชุม ชี้แจงและจัดทาปฎิทินปฏิบัติงาน ดาเนินกิจกรรม ติดตามผลการดาเนินงาน ประเมินความพึงพอใจของ ผู้ท่ีเกี่ยวข้อง ประเมินผลและสรุปผลการดาเนินงาน และจัดทารายงานผลการดาเนินงาน ได้ผลทั้งด้าน ปริมาณเป็นดังนี้ โรงเรียนมีกระบวนการเรียนรู้ท่ีหลากหลายสนองตอบความต้องการของผู้เรียน คิดเป็น ร้อยละ ๙๕.๕๔ และผู้เรียนมีความสามารถด้านการคิดวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และ มีความสามารถตาม จุดเน้นคุณภาพการศึกษา ผ่านเกณฑ์การประเมิน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ด้านคุณภาพ โรงเรียนมี กระบวนการเรยี นสนองตอบต่อความต้องการของผเู้ รยี นได้อยา่ งมีคุณภาพ โครงการการจัดการเรียนรู้ท่ีเนน้ ผูเ้ รียนเปน็ สาคัญ สรปุ ผลการประเมนิ พบวา่ เปน็ ไปตามวัตถุของ โครงการ ซึ่งผลจากการประเมิน โรงเรียนมีกระบวนการเรยี นรู้ท่ีหลากหลายสนองตอบความต้องการของ ผู้เรียน คิดเป็นร้อยละ ๙๕.๕๔ และผู้เรียนมีความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และ มี ความสามารถตามจุดเน้นคุณภาพการศึกษา ผ่านเกณฑ์การประเมิน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ และมี ข้อเสนอแนะดังน้ี ๑.)การดาเนินกิจกรรมห้องเรียนคุณภาพ ปัญหาท่ีพบคือขาดป้ายช่ือนักเรียนท่ีเป็น ภาษาองั กฤษ ให้เพิม่ การใช้สื่อ ICT ในกระบวนการจัดการเรยี นรู้ พร้อมทาเลม่ บนั ทึกการใชส้ ือ่ ICT และส่อื การเรยี นรูอ้ ื่น ๆ ๒.) การดาเนินกจิ กรรมสัปดาห์วิทยาศาสตร์ พบวา่ เวลาในการดาเนนิ กิจกรรมน้อยไปทา ให้การเข้าฐานในแต่ละฐานเด็กนักเรียนทากิจกรรมไม่ทันเวลา เห็นควรเพ่ิมเวลาในการจัดกิจกรรมในครั้ง ต่อไป ลงชอื่ ………………………….. (นางสาวสุกาญจนา แกว้ ขาว) ผ้รู บั ผิดชอบโครงการ

ค คานา รายงานผลการดาเนินงานโครงการการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ฉบับน้ี เป็นการ รวบรวมผลการดาเนินงานตามแผนปฏิบัตกิ ารโรงเรียนประจาปีการศกึ ษา 2562 ผู้รบั ผดิ ชอบได้รวบรวม ข้อมูลความพึงพอใจ ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมและสรุปผลการดาเนินกิจกรรม ทั้งน้ีเพื่อเป็นข้อมูลให้กับ หนว่ ยงานทเี่ กย่ี วขอ้ งในการวางแผนพัฒนาการดาเนนิ งานตอ่ ไป ขอขอบคุณคณะผู้บริหาร คณะครูที่มีส่วนเก่ียวข้อง ตลอดจนผู้ตอบแบบสอบถามและแบบ ประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์ทุกท่าน ที่ให้การสนับสนุนในการดาเนินกิจกรรมสาเร็จ ลุล่วงไปด้วยดี หวังเป็นอยา่ งยงิ่ ว่าเอกสารประเมินผลการดาเนินโครงการการจัดการเรียนรู้ที่เนน้ ผ้เู รียนเป็นสาคญั ฉบบั น้ี จะสามารถเป็นข้อมูลในการพฒั นาโรงเรียนวดั ศาลาตึกสทิ ธิชัยวิศาลอย่างเตม็ รปู แบบต่อไป สกุ าญจนา แก้วขาว ๓๑ มนี าคม ๒๕๖๓

สารบญั หนา้ ความคดิ เหน็ ของฝ่ายบรหิ าร ก บทสรุป ข คานา บทที่ 1 บทนา ค 1 ความเปน็ มาและความสาคัญ 1 วตั ถปุ ระสงค์ เป้าหมาย 1 เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 1 ผลทีค่ าดวา่ จะไดร้ ับ บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกย่ี วขอ้ ง 1 หลักและแนวคิดเก่ยี วกบั การประเมินโครงการ 2 บทท่ี 3 วธิ ีการดาเนนิ งาน 3 ข้นั ตอนการรว่ มกนั วางแผน (Plan) ขน้ั ตอนการรว่ มกนั ปฏบิ ตั ิ (Do) 3 ข้นั ตอนการ่วมกันประเมิน (Check) ๑๙ ข้ันตอนการรว่ มปรับปรงุ (Act) บทท่ี 4 ผลการดาเนนิ การและวิเคราะห์ขอ้ มลู ๑๙ ผลการจัดกจิ กรรมตามโครงการการจดั การเรียนรู้ทเี่ น้นผูเ้ รยี นเป็นสาคญั ๑๙ บทที่ 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ ๒๐ วัตถปุ ระสงค์ เปา้ หมาย ๒๐ เครอื่ งมือทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ๒๑ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู สรปุ ผลการดาเนินการ ๒๑ ปัญหา/ข้อเสนอแนะ ๒๔ ภาคผนวก ๒๔ โครงการท่อี นุมตั ิแลว้ ๒๔ แบบสอบถามความพงึ พอใจตอ่ โครงการ ๒๔ สรุปผลการประเมินความพงึ พอใจตอ่ โครงการ ภาพกจิ กรรมในโครงการ ๒๕ ๒๕ ๒๕ ๒๖

บทท่ี 1 บทนา ความเปน็ มาและความสาคญั โครงการการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ จัดทาเพ่ือพัฒนากระบวนการเรยี นการสอนท่ี หลากหลาย ซ่ึงเป็นภารกิจสาคัญของครูผู้สอนที่จะต้องมี่การดาเนินงานเป็นระเบียบแบบแผน ซ่ึงเริ่มจาก การวางจุดมุ่งหมายในการดาเนินงานน้ีจะต้องคานึงถึงมาตรฐานการเรียนรู้ และสอดคล้องเหมาะสมกับ ผู้เรียน การจัดการเรียนการสอนที่เนน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคัญนน้ั ครูและผู้เกี่ยวข้องต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ในกระบวนการจัดการอย่างแท้จริงและชัดเจน โดยคานึงถึงประโยชน์ในด้านการพัฒนาศักยภาพและ ทัศนคติของนักเรียนด้วย การดาเนินงานจึงต้องได้รับความร่วมมือและการประสานงานอย่างดีจาก เจ้าหน้าที่ผู้เก่ียวข้อง กระบวนการเรียนรู้ จะเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมผู้เรียน โรงเรยี นจงึ ต้องพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้มีคุณภาพ อีกท้ังยงั เป็นการเพ่ิมศกั ยภาพทางด้านกระบวนการ จดั การเรียนรู้ เพอ่ื เสริมสร้างศักยภาพแก่ผู้เรียนท่ีมีความหลากหลาย คณะผจู้ ัดกจิ กรรมจงึ ได้จดั ทารายงานผลการดาเนนิ งานโครงการการจัดการเรียนรูท้ ี่เน้นผู้เรียนเป็น สาคัญ ในโรงเรียนวัดศาลาตึกสิทธิชัยวิศาล อย่างต่อเนื่อง อันจะส่งผลให้เกิดผลคุณภาพการศึกษาอย่าง ยงั่ ยืนต่อไป วตั ถุประสงค์ 1. เพื่อส่งเสริมและพัฒนากระบวนการการจัดการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย และเหมาะสมกับ พฒั นาการของผูเ้ รยี น 2. เพื่อเสริมสร้างกระบวนการเรยี นรู้ให้กับผู้เรียนอย่างหลากหลาย เพ่ือให้ผู้เรียนได้ใช้ศักยภาพ ของตนเองไดอ้ ยา่ งเต็มความสามารถ เปา้ หมาย เชิงปริมาณ 1. โรงเรียนมกี ระบวนการเรยี นรู้ทหี่ ลากหลายสนองตอบความตอ้ งการของผู้เรียน คดิ เป็นร้อยละ 85 2. ผู้เรียนมีความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และมีความสามารถตามจุดเน้น คุณภาพการศึกษา คดิ เป็นร้อยละ 85 เชิงคุณภาพ โรงเรียนมกี ระบวนการเรียนสนองตอบความต้องการของผเู้ รียนได้อยา่ งมีคุณภาพ เครอื่ งมือท่ใี ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ครั้งน้ี 1. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน และผู้มีส่วนเกย่ี วขอ้ ง ที่มตี ่อการจัดกิจกรรม ภายใต้ โครงการการจดั การเรยี นรทู้ ่ีเนน้ ผู้เรยี นเป็นสาคัญ 2. แบบประเมินความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และมีความสามารถตามจุดเน้น คณุ ภาพการศกึ ษา

ผลที่คาดว่าจะได้รับ 1. ไดเ้ อกสารรายงานการดาเนนิ งานโครงการการจัดการเรียนร้ทู เี่ นน้ ผูเ้ รียนเป็นสาคัญ 2. ผลการประเมินการดาเนินงานโครงการเป็นขอ้ มลู สาคัญในการวางแผนพฒั นาคณุ ภาพ การศกึ ษาและพฒั นาการดาเนินงานตามโครงการอยา่ งตอ่ เน่ือง 3.โรงเรียนมกี ระบวนการเรียนรูท้ ่ีหลากหลายสนองตอบความต้องการของผเู้ รยี น 4.ผู้เรียนมีความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และมีความสามารถตามจุดเน้น คุณภาพการศกึ ษา 5.โรงเรยี นมกี ระบวนการเรยี นสนองตอบความต้องการของผ้เู รยี นไดอ้ ย่างมีคุณภาพ

บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ ก่ียวข้อง หลกั และแนวคิดเกี่ยวกับการประเมนิ โครงการ 1. ความหมายของการประเมนิ โครงการ สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2524, หน้า 1) ได้ให้ความหมายของการประเมินโครงการไว้ว่า เป็น กระบวนการเพื่อให้ได้มาซ่ึงข้อมูลสารสนเทศสาหรับการตัดสินคุณค่าของโครงการ ผลผลิตกระบวนการ จุดมุ่งหมายของโครงการ หรือทางเลือกต่างๆ เพ่ือนาไปปฏิบัติให้บรรลุจุดมุ่งหมาย จุดเน้นของการ ประเมนิ คือ การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเปน็ ระบบ เพือ่ ให้ได้ขอ้ สนเทศ เพ่อื ตัดสินคุณค่า ของสิ่งหนงึ่ สิ่งใดโดยเฉพาะ ไพศาล หวังพานชิ (2533, หนา้ 25–26) ไดใ้ ห้ความหมายของการประเมนิ โครงการไวว้ า่ การประเมนิ โครงการเป็นกระบวนการกาหนดคุณคา่ ของโครงการน้นั ว่าดมี ีประสทิ ธภิ าพและได้ผลเพยี งใด สวุ ิมล ติรกานนั ท์ (2543, หนา้ 2) ได้ใหค้ วามหมายของการประเมินโครงการไวว้ า่ การประเมินโครงการเป็นกระบวนการที่เกิดข้ึนในทุกข้ันตอนของกระบวนการดาเนินงานเพ่ือให้ได้ สารสนเทศที่สามารถใช้ในการพิจารณาการดาเนนิ การ ซ่ึงจะทาใหก้ ารดาเนินการเป็นไปไดอ้ ยา่ งทนั ท่วงที ในทางตรงกนั ข้ามผลการประเมนิ จะไม่เกิดเท่าทีค่ วร หากผลนน้ั ไมส่ ามารถใช้ในเวลาที่เหมาะสม จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า ประเมินโครงการ หมายถึง เป็นกระบวนการดาเนินงานที่ให้ ได้มาซึ่งข้อมูลสารสนเทศสาหรับการตัดสินคุณภาพ คุณค่าของโครงการว่ามีระดับคุณภาพ และคุณค่า อย่างไร นาไปใช้พฒั นาสบื เนอื่ งตอ่ ไปได้อย่างไร 2. ความมุง่ หมายของการประเมนิ โครงการ หลักการดาเนินงานใดๆ จะต้องมีการติดตามผลงานหรือประเมินผลงานท่ีได้รับมอบหมายไป ดาเนินการ การติดตามผลงานเป็นการประเมินวิธีหนึง่ เพื่อตรวจสอบว่างานใดดาเนินต่อไปอย่างไรเป็น การป้องกันไม่ให้งานแต่ละช่วงแต่ละตอน ดาเนินการผิดจุดประสงค์ และเป้าหมายเพ่ือเป็นการเพิ่ม ประสิทธิภาพในการทางาน และทาให้การดาเนินงานนั้นมีโอกาสประสบความสาเร็จตามจุดประสงค์และ เป้าหมายที่กาหนดไว้มากยิ่งข้ึน บทบาทหน้าที่ของการศึกษาในปัจจุบันโดยเฉพาะโรงเรียนท่ีมีขอบข่าย ขยายกว้างและซับซ้อนมากข้ึน เพราะความเติบโตและเจริญงอกงามของสังคม ความต้องการของสังคม เปลย่ี นแปลงไปตามสภาพของสงั คม ซงึ่ ปัจจบุ นั โรงเรียนไม่ไดม้ หี นา้ ทส่ี อนเพียงอย่างเดียวแต่ตอ้ งเกี่ยวข้อง ประสานงานกบั ชุมชน สงั คมและครอบครัวของนักเรียน โรงเรียนจาเปน็ ต้องบริหารงานให้ดาเนินไปตาม นโยบายของการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียน ต้องดาเนินตามแผนโครงการท่ีกาหนดจากนโยบาย สงู สดุ ดังนน้ั จึงต้องมีการตดิ ตามและประเมินโครงการ เพ่อื ใหง้ านดาเนนิ ไปตามวตั ถปุ ระสงค์จงึ ทาให้การ ประเมนิ โครงการมีความม่งุ หมายและความสาคญั ตามความคิดเห็นของนักวิชาการในหลายแง่มุม ดงั ต่อไปนี้ ประชุม รอดประเสริฐ (2539, หน้า 74–75) ได้กล่าวถึงความหมายการประเมินโครงการ ของ มิตเชล (Mizel) และการประเมินโครงการท่ีมีความหมายเฉพาะของ คนอกซ์ (Knox) ว่าการ ประเมินโครงการมีความมุ่งหมาย 3 ประการ 1. เพ่อื แสดงผลการพิจารณาถึงคุณคา่ ของโครงการ 2. เพอ่ื ช่วยให้ผู้ทตี่ ัดสินใจมกี ารตดั สนิ ใจท่ถี กู ต้อง 3. เพอ่ื การบรกิ ารข้อมูลแกฝ่ ่ายการเมอื ง เพื่อใชใ้ นการกาหนดนโยบาย การประเมินโครงการ ความมุ่งหมายเฉพาะ ดังต่อไปนี้

1. เพอ่ื แสดงถงึ เหตุผลทชี่ ัดเจนของโครงการอนั เป็นพืน้ ฐานทสี่ าคัญของการตัดสินใจวา่ ลกั ษณะใด ของโครงการมีความสาคัญมากท่ีสุดซึ่งจะต้องทาการประเมินเพื่อหาประสิทธิภาพและข้อมลู ชนดิ ใดจะตอ้ ง เกบ็ รวบรวมเพอ่ื การวิเคราะห์ 2. เพื่อรวบรวมหลักฐานความเป็นจริง และขอ้ มลู ท่ีจาเปน็ เพือ่ นาไปส่กู ารพิจารณาประสิทธิผล ของโครงการ 3. เพอ่ื การวเิ คราะห์ขอ้ มูลและข้อเท็จจรงิ ตา่ งๆ เพ่ือการนาไปสู่การสรุปผลของโครงการ 4. การตดั สินใจวา่ ข้อมูลหรือข้อเท็จจรงิ ใดสามารถนาไปใช้ได้ สรุปได้ว่าการประเมินโครงการ มีความมุ่งหมายเพื่อแสดงผลการพิจารณาถึงคุณค่าของโครงการ เพ่ือนาข้อมูลไปวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของโครงการ เพ่ือช่วยให้ผู้มีอานาจสามารถนาไปตัดสินใจและ นาไปใช้ได้ โดยคานึงถึงความสาคัญของโครงการว่ามีความเหมาะสมเพียงใด บรรลุตามวัตถุประสงค์ หรอื ไม่ เพราะผลการประเมนิ จะเปน็ ตวั กระตุน้ ใหก้ ารดาเนนิ งานมขี ้อบกพร่องนอ้ ยลง ขณะเดียวกันกเ็ ป็น การเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขนึ้ ในการดาเนินงานแต่ละโครงการ 3. ประโยชน์ของการประเมนิ โครงการ จากความมุ่งหมายและความสาคัญดังกล่าวแล้ว พอสรุปได้ว่าการประเมินโครงการมีประโยชน์ ดังต่อไปนี้ 1. การประเมินโครงการช่วยให้กาหนดวัตถุประสงค์และมาตรฐานของการดาเนินงานมีความ ชดั เจน ดังกล่าวคอื กอ่ นทจี่ ะนาโครงการไปใช้ยอ่ มจะไดร้ บการตรวจสอบอยา่ งละเอียดจากผบู้ รหิ ารและผู้ ประเมินส่วนใดทีไ่ มช่ ัดเจน เช่น วตั ถปุ ระสงค์หรอื มาตรฐานการดาเนินงาน หากขาดความแน่นอนท่ีแจ่ม ชัดจะตอ้ งไดร้ บั การปรับปรุงแก้ไขใหม้ คี วามถูกต้องชดั เจนเสียก่อน 2. ประโยชนเ์ ตม็ ท่ี ทัง้ นีเ้ พราะการประเมนิ โครงการจะตอ้ งวเิ คราะห์ทุกสว่ นของโครงการข้อมูล ใดหรอื ปัจจัยใดที่เป็นปญั หา จะไดร้ บั การปรับปรงุ แกไ้ ขเพ่ือใหส้ ามารถปฏิบัตงิ านหรือใช้ในการปฏิบัติงาน อย่างเหมาะสมกับคุณค่า ทรัพยากรทุกชนิดจะได้รับการจัดสรรให้อยู่ในจานวนหรือปริมาณที่เหมาะสม เพยี งพอแก่การดาเนนิ งาน ทรพั ยากรทไี่ ม่จาเปน็ หรอื มีมากเกนิ ไป จะไดร้ ับการตัดทอน และทรัพยากรใด ที่ขาดจะไดร้ บั การจัดสรรเพม่ิ เตมิ 3. การประเมินโครงการช่วยให้แผนงานบรรลุวัตถุประสงค์ เพราะโครงการเป็นส่วนหนึ่งของ แผนดงั น้ี เมอ่ื โครงการไดร้ บั การตรวจสอบวเิ คราะห์ปรบั ปรงุ แกไ้ ขเพอื่ ให้ดาเนินไปด้วยดี 4. การประเมินโครงการมีส่วนช่วยให้การแก้ปัญหาอันเกิดจากผลกระทบ (impact) ของ โครงการ และทาใหโ้ ครงการมขี อ้ ทีท่ าให้ความเสยี หายลดน้อยลง 5. การประเมินโครงการมีส่วนช่วยอย่างสาคัญในการควบคุมคุณภาพของงาน เพราะการ ประเมินโครงการมีการตรวจสอบ และควบคุมชนิดหนง่ึ 6. การประเมินโครงการมีชว่ ยในการสรา้ งขวัญและกาลงั ใจให้ผู้ปฏิบัตงิ านตามโครงการ เพราะ การประเมนิ โครงการไม่ใช่เปน็ การควบคมุ บงั คบั บัญชาหรอื สงั่ การ แต่เป็นการศึกษาวเิ คราะห์เพ่อื ปรับปรุง แก้ไขและเสนอแนะวิธกี ารใหมๆ่ เพอื่ ใชใ้ นการปฏบิ ัติโครงการย่อมจะนามาซ่งึ ผลงานท่ีดีเป็นทย่ี อมรับของ ผู้เกย่ี วข้องท้งั ปวง 7. ผลของการประเมินโครงการอาจเป็นข้อมูลอย่างสาคัญในการวางแผนหรือกาหนดนโยบาย ของผู้บริหารและฝ่ายการเมอื ง

การจดั การเรยี นการสอนท่ีเน้นผ้เู รียนเป็นสาคัญ แนวคิดการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542แนวทางในการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542ใน มาตรา 42 ถือ ว่าผ้เู รียนสาคญั ท่ีสดุ กระบวนการเรียนรกู้ ระบวนการเรยี นรเู้ ป็นการสง่ เสรมิ ผูเ้ รียนใหเ้ รียนรู้ ด้วย สมอง ด้วยกาย และดว้ ยใจ สามารถสรา้ งองค์ความรู้ผ่านกระบวนการคดิ ดว้ ยตนเองมีส่วนร่วมในการ เรียนการสอน เน้นการปฏบิ ัตจิ ริง สามารถทางานเปน็ ทมี ได้(สมศักดิ์, 2543) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี2) พ.ศ.2545 หมวด 4 แนวการจัดการศกึ ษา มาตรา 22 กาหนดไวว้ า่ “การจดั การศกึ ษาตอ้ งยึดหลักว่าผ้เู รียนทกุ คนมี ความ สามารถในการจัดการเรียนรแู้ ละพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนสาคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการ ศึกษาต้องส่งเสริมให้ ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ” (กระทรวงศึกษาธิการ ,2545) และตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 กาหนดหลักการ ข้อ 3 ซ่ึงกาหนดไว้ ว่า“ส่ง เสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิตโดย ถือว่าผู้เรียนมี ความสาคัญทสี่ ดุ สามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเตม็ ตามศักยภาพ” (กระทรวงศึกษาธิการ, 2545) จาก พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 นี้ เองทาให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้น และการ เรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญก็เป็นประเด็นสาคัญ ประเด็นหนึ่งในการปฏิรูปการศึกษาตาม พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พทุ ธศักราช 2542 (วภิ าภรณ์, 2543) การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ คือ วิธีการสาคัญที่สามารถสร้างและพัฒนา ผู้เรียน ให้เกิดคุณลักษณะต่างๆ ที่ต้องการในยุคโลกาภิวัตน์เนื่องจากเป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีให้ ความ สาคัญกับผู้เรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนรจู้ ักเรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนในเรื่องท่ีสอดคล้องกับความสามารถ และความต้องการของตนเองและได้พฒั นา ศักยภาพของตนเองอยา่ งเต็มที่ ซ่ึงแนวคิดการ จัดการศึกษานี้ เป็นแนวคิดที่มีรากฐานจากปรัชญาการศึกษาและทฤษฎีการเรียนรู้ ต่าง ๆ ที่ได้พัฒนามาอย่าง ต่อเนื่อง ยาวนาน และเป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะตาม ต้องการอย่าง ไดผ้ ล(วัฒนาพร ระงับทุกข.์ 2542) หลกั การพน้ื ฐานของแนวคิด \"ผเู้ รยี นเป็นสาคัญ\" (ไพฑูรย์, 2549) การเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญนี้ ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้ผู้เรียนมี ความ รับผิดชอบและมีส่วนร่วมต่อการเรียนรู้ของตนเอง ซึ่งแนวคิดแบบผู้เรียนเป็นสาคัญจะยดึ การ ศึกษาแบบ ก้าวหน้าของผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียนแต่ละคนมีคุณค่าสมควรได้รับการเช่ือถือไว้วางใจแนวทางน้ีจึงเป็น แนว ทางที่จะ ผลักดันผู้เรียนไปสู่การบรรลุศักยภาพของตน โดยส่งเสริมความคิดของผู้เรียนและอานวย ความสะดวกให้เขาได้พัฒนาศักยภาพของตน เองอย่างเต็มท่ีการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็น ศูนย์กลางเปน็ การ จดั กระบวนการเรยี นร้แู บบใหม่ท่มี ีลกั ษณะแตกตา่ งจากการจดั กระบวนการเรียนรู้ แบบ ดง้ั เดิมท่วั ไป คอื 1. ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตน ผู้เรียนเป็นผู้เรียนรู้ บทบาทของครูคือ ผสู้ นับสนุน (supporter) และเป็นแหล่งความร(ู้ resource person) ของ ผูเ้ รยี น ผ้เู รยี นจะรับผิดชอบต้ังแต่ เลือกและวางแผนสิ่งที่ตนจะเรียน หรือเข้าไปมีส่วนร่วมใน การเลือกและจะเร่ิมต้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ด้วยการศกึ ษาค้นคว้า รบั ผดิ ชอบการเรยี นตลอดจนประเมินผลการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง 2. เนื้อหา วิชามีความสาคัญและมีความหมายต่อการเรียนรู้ ในการออกแบบกิจกรรมการ เรียนรู้ปัจจัยสาคัญท่ีจะต้องนามาพิจารณาประกอบด้วย ได้แก่ เนื้อหาวิชา ประสบการณ์เดิม และความ ต้องการของผู้เรียน การเรียนรู้ที่สาคัญและมีความหมายจึงขึ้นอยู่กับส่ิงที่สอน (เนื้อหา) และวิธีท่ีใช้สอน (เทคนคิ การสอน)

3. การ เรียนรู้จะประสบผลสาเร็จหากผู้เรียนมีส่วนร่วมในกจิ กรรม การเรียนการสอน ผู้เรียน จะได้รับความสนุกสนานจากการเรียน หากได้เข้าไปมีส่วนรว่ มในการเรยี นรูไ้ ด้ทางานร่วมกนั กับเพือ่ นๆได้ ค้นพบข้อ คาถามและคาตอบใหม่ๆ ส่ิงใหม่ๆ ประเด็นท่ีท้าทายและความสามารถในเร่ืองใหม่ๆท่ีเกิดข้ึน รวมทงั้ การบรรลุผลสาเรจ็ ของงานทพ่ี วกเขาริเรมิ่ ด้วยตนเอง 4. สัมพันธภาพประกอบดีระหว่างผู้เรียน การมีสัมพันธภาพประกอบดีในกลุ่มจะช่วยส่งเสริม ความเจริญงอกงาม การพัฒนาความเป็นผู้ใหญ่ การปรับปรุงการทางาน และการจัดการกับชีวิตของแต่ละ บุคคล สัมพันธภาพประกอบเท่าเทียมกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม จึงเป็นสิ่งสาคัญที่จะช่วยส่งเสิรมการ แลกเปล่ียนเรยี นรูซ้ งึ่ กันและกันของ ผ้เู รียน 5. ครู คือผู้อานวยความสะดวกและเป็นแหล่งความรู้ในการจัดการ เรียนการสอนแบบเน้น ผู้เรียนเป็นสาคัญ ครูจะต้องมีความสามารถทจ่ี ะค้นพบความตอ้ งการท่ีแทจ้ ริงของผู้เรียน เปน็ แหล่งความรู้ ท่ีทรงคุณค่าของผู้เรียนและสามารถค้นคว้าหาส่ือวัสดุ อุปกรณ์ท่ีเหมาะสมกับผู้เรียน ส่ิงที่สาคัญที่สุด คือ ความเต็มใจของครูที่จะช่วยเหลือโดยไม่มีเง่ือนไข ครูจะให้ทุกอย่างแก่ผู้เรียนไม่ว่าจะเป็นความเช่ียวชาญ ความรู้ เจตคติ และการฝกึ ฝน โดยผเู้ รยี นมีอิสระทจ่ี ะรับหรอื ไมร่ บั การให้น้ันก็ได้ 6. ผูเ้ รียนมโี อกาสเห็นตนเองในแง่มมุ ท่ีแตกต่างจากเดิม การจดั การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียน เป็นสาคัญ มุ่งให้ผู้เรียนมองเห็นตนเองในแง่มุมที่แตกต่างออกไป ผู้เรียนจะมีความม่ันใจในตนเองและ ควบคุมตนเองได้มากขึ้น สามารถเป็นในสิ่งท่ีอยากเป็น มีวุฒิภาวะสูงมากข้ึน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนให้ สอดคลอ้ งกับสิง่ แวดล้อม และมีสว่ นรว่ มกบั เหตุการณต์ ่างๆ มากขึ้น 7. การศึกษาคือการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนหลายๆ ด้านพร้อมกันไปการ เรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญเป็นจุดเร่ิมของการพัฒนาผู้เรียนหลายๆ ด้าน เช่น คุณลักษณะด้านความรู้ ความคิด ด้านการปฏิบัติและด้านอารมณ์ความรู้สึกจะได้รับการพัฒนาไปพร้อมๆ กันเม่ือรู้ว่าการจัดการ เรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญมีดีและเป็นประโยชนต์ ่อการจัดการเรียนรู้ดัง นั้น พวกเราครูมืออาชีพก็ควร ศึกษาและปฏิบัติให้ถูกต้อง ผลท่ีได้คือ ผลิตผลท่ีดีนักเรียนมีความรู้ ดี เก่งและมีสุข ตามเจตนารมย์ของ หลกั สตู รการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2544 (สิริพร, 2549) ปัญหาหลักของกระบวนการเรียนการสอนในปัจจุบัน คือ การที่ครูใช้วิธีการสอนแบบ “ปูพรม” โดยไม่คานึงถึงความแตกต่างของผู้เรียน ท่ีมีความสามารถในการรับรู้ที่แตกต่างกัน (สุมณฑา, 2544 : 27) การเรียนการสอนไมไ่ ด้เอื้อต่อการพฒั นาคุณลักษณะ “มองกว้าง คิดไกล ใฝ่ดี”แต่ เน้นการ ท่องจาเพื่อสอบมากกว่าที่จะสอนให้ คิดเป็น วิเคราะห์ได้สามารถหาความรู้ได้ด้วยตนเองทาให้ผู้เรียนมี ลักษณะผู้เรียนรู้ ไม่เป็น ปัญหาเหล่านี้นับว่าเป็นความล้มเหลวของการจัดการศึกษาที่ต้องแก้ไขโดยเร่ง ด่วน (จริ าภรณ์, 2541) ความหมายการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เนน้ ผู้เรียนเปน็ สาคญั หมายถงึ การจัดกจิ กรรม โดยวิธีต่างๆอย่างหลากหลายท่ีมุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ อย่างแท้จริงเกิดการพัฒนาตนและส่ังสม คุณลกั ษณะที่จาเป็นสาหรับการเปน็ สมาชกิ ทีด่ ีของสงั คมของประเทศชาตติ ่อไป การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่มุ่งพัฒนาผู้เรียน จึงต้องใช้เทคนิควิธีสอนวิธีการเรียนรู้ รปู แบบการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนในหลากหลายวธิ ีซึง่ จาแนกได้ดังนี(้ คณะอนุกรรมการปฏิรูป การเรยี นรู้, 2543) 1. การจัดการเรียนการสอนทางออ้ ม ได้แก่ การเรียนรแู้ บบสืบค้น แบบค้นพบ แบบแก้ปัญหา แบบ สร้างแผนผงั ความคดิ แบบใชก้ รณศี กึ ษา แบบตัง้ คาถามแบบใชก้ ารตดั สินใจ 2. เทคนิคการศึกษาเปน็ รายบคุ คล ได้แก่ วิธีการเรียนแบบศูนย์การเรียน แบบการเรียนรู้ดว้ ย ตนเอง แบบชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน

3. เทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ประกอบการเรียน เช่น การใช้ส่ิงพิมพ์ ตาราเรยี น และแบบฝกึ หัดการใช้แหลง่ ทรพั ยากรในชมุ ชน ศูนยก์ ารเรียนชุดการสอน คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน บทเรียนสาเรจ็ รูป 4. เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นปฏิสัมพันธ์ประกอบด้วย การโต้วาทีกลุ่ม Buzz การอภิปราย การระดมพลังสมอง กลุ่มแก้ปัญหา กลุ่มติว การประชุมต่างๆ การแสดงบทบาทสมมติกลุ่ม สืบค้นคู่คิดการฝกึ ปฏบิ ตั ิ เปน็ ตน้ 5. เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นประสบการณ์เช่น การจัดการเรียนรู้แบบมีส่วน รว่ มเกม กรณตี ัวอย่างสถานการณ์จาลองละคร กรณตี วั อย่างสถานการณ์จาลอง ละคร บทบาท สมมติ 6. เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ได้แก่ ปริศนาความคิดร่วมมือแข่งขันหรือกลุ่มสืบค้น กลุ่ม เรียนรู้ ร่วมกนั ร่วมกันคดิ กลมุ่ รว่ มมอื 7. เทคนิคการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ได้แก่ การเรียนการสอนแบบใช้เว้นเล่าเรื่อง (Story line) และการเรียนการสอนแบบแกป้ ัญหา (Problem-Solving) เทคนิค วธิ ีการเหล่านลี้ ว้ นเป็นวิธี ทผ่ี เู้ รยี นได้ลงมือปฏบิ ัติจริง ได้คิดคน้ ควา้ ศกึ ษาทดลอง ซึง่ ทาใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้ด้วยตนเอง ผู้สอนจงึ มี บทบาทเป็นผู้อานวยความสะดวกในหลายๆ ลกั ษณะ ดงั น้ี(ชาตแิ จม่ นชุ และคณะ, มทป) 1. เป็นผู้จัดการ (Manager) เป็น ผู้กาหนดบทบาทให้นักเรียนทุกคนได้มีส่วนเข้าร่วมทา กิจกรรมแบง่ กลมุ่ หรอื จบั คู่ เปน็ ผู้มอบหมายงานหนา้ ทีค่ วามรบั ผิดชอบแก่ นักเรยี นทุกคน จัดการให้ทุกคน ไดท้ างานท่เี หมาะสมกบั ความสามารถและความสนใจของตน 2. เป็นผู้ร่วมทากิจกรรม (An active participant) เข้าร่วมทากิจกรรมในกลุ่มจริงๆ พร้อมท้งั ใหค้ วามคดิ และความเหน็ หรือเช่ือมโยงประสบการณ์สว่ นตวั ของนักเรียนขณะทากิจกรรม 3. เป็นผู้ช่วยเหลือและแหล่งวิทยาการ (Helper and resource) คอยให้คาตอบเม่ือนักเรียน ตอ้ งการความชว่ ยเหลือทางวชิ าการ ตัวอย่าง เช่น คาศัพทห์ รอื ไวยากรณก์ ารให้ข้อมูลหรอื ความรู้ ในขณะ ท่นี กั เรยี นตอ้ งการ ซงึ่ จะช่วยทาให้การเรยี นรมู้ ปี ระสทิ ธภิ าพเพิ่มขน้ึ 4. เป็นผู้สนับสนุนและเสริมแรง (Supporter and encourager) ช่วยสนับสนุนด้านสื่อ อปุ กรณห์ รือใหค้ าแนะนาที่ช่วยกระตนุ้ ใหน้ กั เรียนสนใจเข้ารว่ มกจิ กรรมหรือฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง 5. เป็นผู้ติดตามตรวจสอบ (Monitor) คอย ตรวจสอบงานที่นักเรียนผลิตข้ึนมาก่นที่จะส่ง ต่อไปให้นักเรียนผลิตข้นึ มาก่อน ที่จะสง่ ตอ่ ไปให้นกั เรียนคนอ่ืน ๆ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ดา้ นความถกู ต้องของ คาศัพท์ ไวยากรณ์ การแก้คาผิด อาจจะทาไดท้ งั้ ก่อนทากิจกรรม หรือบางกจิ กรรมอาจจะแกใ้ นภายหลงั ได้ ดังนนั้ เมอื่ เปรียบเทียบลักษณะการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนของครสู มยั ใหมก่ ับครูสมัยเก่า กจ็ ะเห็นความแตกต่าง ดงั นี้

ครสู มัยใหม่ ครูสมัยเก่า 1. สอนนักเรยี นโดยวธิ บี ูรณาการเน้ือหาวชิ า 1. สอนแยกเน้ือหาวชิ า 2. แสดงบทบาทในฐานะผู้แนะนา(Guide)ประสบการณ์ 2. มี บ ท บ า ท ใ น ฐ า น ะ ตั ว แ ท น ข อ ง เ น้ื อ ห า วิ ช า ทางการศึกษา (Knowledge) 3. กระตือรือรน้ ในบทบาท ความรูส้ ึกของ นักเรยี น 3. ละเลยเฉยเมยต่อบทบาทของนักเรียน 4. ใหน้ กั เรียนมสี ว่ นร่วมในการวางแผนของหลักสูตร 4. นกั เรยี นไม่มีสว่ นร่วมแมแ้ ต่จะพดู เกย่ี ว กับหลกั สูตร 5. ใช้เทคนิคการค้นพบด้วนตนเองของ นักเรียนเป็น 5. ใช้เทคนคิ การเรียน โดยการทอ่ งจาเปน็ หลัก กจิ กรรมหลัก 6. มีการเสริมแรงหรือให้รางวลั มากกว่าการลงโทษมีการใช้ 6. มุ่งเน้นการให้รางวัลภายนอก เช่น เกรดแรงจูงใจ แรงจูงใจภายใน ภายนอก 7. ไม่เครง่ ครัดกับมาตรฐานทางวชิ าการจนเกนิ ไป 7. เครง่ ครัดกบั มาตรฐานทางวิชาการมาก 8. มีการทดสอบเลก็ น้อย 8. มีการทดสอบสม่าเสมอเป็นระยะ ๆ 9. ม่งุ เน้นการทางานเป็นกลุม่ แบบร่วมใจ 9. ม่งุ เน้นการแข่งขัน 10. สอนโดยไม่ยึดตดิ กับหอ้ งเรยี น 10. สอนในขอบเขตของห้องเรียน 11. มุ่งสรา้ งสรรค์ประสบการณใ์ หมใ่ หน้ กั เรยี น 11. เนน้ ยา้ ประสบการณ์ใหม่เพยี งเล็กน้อย 12. มุ่งเน้นความรู้ทางวิชาการและทักษะด้าน จิตพิสัยเท่า 12. ม่งุ เน้นความรู้ทางวิชาการเป็นสาคัญ ละเลย เทยี มกัน องค์ประกอบและตัวบ่งช้ีการจัดการเรยี นรทู้ เี่ น้นผู้เรียนเป็นสาคญั การจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการ เรยี นรู้ โดยมีเปา้ หมายใหผ้ ู้เรียนเปน็ คนเก่ง ดี และมีความสขุ ซ่งึ จาเป็นต้องอาศยั ปจั จัยหลายประการได้แก่ ดา้ นการบริหารจัดการ ด้านการจัดการเรยี นรู้ และดา้ นการเรยี นรู้ของผูเ้ รยี น มรี ายละเอียดดังต่อไปนี้ 1 การบริหารจัดการ การบริหารจัดการนับว่าเป็นองค์ประกอบที่สนับสนนุ สง่ เสรมิ การจัดการ เรียนรู้ทส่ี าคญั โดยเฉพาะการบรหิ ารจัดการของโรงเรียนทเี่ น้นการพัฒนาทั้งระบบของโรงเรียนการพัฒนา ทง้ั ระบบของโรงเรียน หมายถงึ การดาเนินงานในทกุ องค์ประกอบของโรงเรียนใหไ้ ปสูเ่ ปา้ หมายเดยี วกัน คอื คุณภาพของนักเรียนตามวิสัยทัศน์ที่โรงเรียนกาหนด ดังนั้นตัวบ่งชี้ที่แสดงถึงการพัฒนาทั้งระบบของ โรงเรยี นประกอบดว้ ย 1. การกาหนดเป้าหมายในการพัฒนาทม่ี ีจดุ เนน้ การพัฒนาคณุ ภาพนกั เรยี นอย่างชัดเจน 2. การกาหนดแผนยทุ ธศาสตรส์ อดคล้องกบั เปา้ หมาย 3. การกาหนดแผนการดาเนินงานในทุกองค์ประกอบของโรงเรียนสอดคล้องกับเป้าหมายและ เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ 4. การจัดใหม้ ีระบบประกนั คณุ ภาพภายใน 5. การจัดทารายงานประจาปีเพ่ือรายงานผู้เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับแนวทางการประกัน คุณภาพจากภายนอก อย่างไรก็ตาม การดาเนินงานของโรงเรียนตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เน้นถึงการมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาของโรงเรียน ดังนั้น ในการ ดาเนินการของโรงเรียนจึงเปิดโอกาส ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วม ได้แก่ ร่วมในการกาหนด เป้าหมายและการจดั ทาแผนยุทธศาสตร์ ร่วมในการสนับสนุนการจดั การเรียนรู้ รว่ มในการประเมนิ ผล เป็น ต้น

2 การจัดการเรียนรู้ องค์ประกอบด้าน “การจัดการเรียนรู้” นับว่าเป็นองค์ประกอบหลักท่ี แสดงถงึ การเรยี นรูอ้ ย่างเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั ความหมายทแี่ ทจ้ รงิ ของการเรียนรู้ บทบาทของครู และบทบาทของผูเ้ รียนการจัดการเรยี นการสอนโดยให้ผู้เรยี นเปน็ สาคัญจะทาได้สาเร็จเมื่อ ผู้ที่เก่ียวข้องกับการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ ครู และผู้เรียน มีความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับความหมาย ของการเรียนรู้ ดงั สาระที่ ทิศนา แขมมณี (2544) ได้กลา่ วไว้ดงั นี้ 1. การเรียนรเู้ ป็นงานเฉพาะบุคคล ทาแทนกันไม่ได้ ครูที่ต้องการให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนร้ตู ้อง เปิดโอกาสใหเ้ ขาไดม้ ปี ระสบการณก์ ารเรยี นรูด้ ว้ ยตัวของเขาเอง 2. การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาท่ีต้องมีการใช้กระบวนการคิด สร้างความเข้าใจ ความหมายของสิ่งต่างๆ ดงั น้นั ครูจงึ ควรกระตุ้นให้ผเู้ รยี นใชก้ ระบวนการคิดทาความเข้าใจสง่ิ ต่างๆ 3. การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคม เพราะในเร่ืองเดียวกัน อาจคิดได้หลายแง่ หลายมุม ทาให้เกดิ การขยาย เตมิ เตม็ ขอ้ ความรู้ ตรวจสอบความถกู ต้องของการเรยี นรู้ตามท่ีสังคมยอมรับด้วย ดงั นนั้ ครูที่ปรารถนาให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนร้จู ะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลอื่นหรอื แหลง่ ขอ้ มูลอ่ืนๆ 4. การเรียนรู้เป็นกิจกรรมท่ีสนุกสนาน เป็นความรู้สึกเบิกบาน เพราะหลุดพ้นจากความไม่ รู้ นาไปส่คู วามใฝ่รู้ อยากรู้อกี เพราะเป็นเรือ่ งน่าสนุก ครูจึงควรสรา้ งภาวะทกี่ ระตุน้ ใหเ้ กดิ ความอยากรหู้ รือ คับข้องใจบ้าง ผู้เรียนจะหาคาตอบเพ่ือให้หลุดพ้นจากความข้องใจ และเกิดความสุขขึ้นจากการได้เรียนรู้ เมอ่ื พบคาตอบด้วยตนเอง 5. การ เรยี นรู้เป็นงานต่อเนือ่ งตลอดชวี ิต ขยายพรมแดนความรูไ้ ด้ไม่มีท่ีส้ินสดุ ครจู ึงควรสร้าง กิจกรรมทกี่ ระตนุ้ ใหเ้ กิดการแสวงหาความรไู้ ม่รู้จบ 6. การเรียนรู้เป็นการเปล่ียนแปลง เพราะได้รู้มากขึ้นทาให้เกิดการนาความรู้ไปใช้ในการ เปล่ียนแปลงสิง่ ต่างๆ เป็นการพัฒนาไปส่กู ารเปลยี่ นแปลงที่ดีขึ้น ครคู วรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนไดร้ ับรู้ผลการ พัฒนาของตวั เขาเองดว้ ย จากความหมายของการเรียนรู้ท่ีกล่าวมา ครูจึงต้องคานึงถึงประเด็นต่างๆ ในการจัดกิจกรรม การเรยี นการสอน ดงั นี้ (1) ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลของผูเ้ รยี น (2) การเนน้ ความต้องการของผเู้ รยี นเปน็ หลกั (3) การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของผ้เู รียน (4) การจดั กจิ กรรมใหน้ ่าสนใจ ไม่ทาใหผ้ ้เู รียนรสู้ ึกเบือ่ หน่าย (5) ความเมตตากรุณาต่อผูเ้ รียน (6) การทา้ ทายใหผ้ ูเ้ รยี นอยากรู้ (7) การตระหนกั ถึงเวลาท่เี หมาะสมท่ผี ้เู รียนจะเกดิ การเรยี นรู้ (8) การสร้างบรรยากาศหรอื สถานการณใ์ หผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นร้โู ดยการปฏิบตั ิจรงิ (9) การสนับสนุนและส่งเสรมิ การเรียนรู้ (10) การมีจุดมุง่ หมายของการสอน (11) ความเขา้ ใจผ้เู รียน (12) ภมู ิหลังของผูเ้ รียน (13) การไมย่ ดึ วิธกี ารใดวธิ กี ารหนึ่งเทา่ นั้น

(14) การเรียนการสอนท่ีดีเป็นพลวตั ร (dynamic) กล่าวคือ มีการเคล่ือนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลาท้ังในด้านการจัดกจิ กรรม การสร้างบรรยากาศ รูปแบบเนอ้ื หาสาระ เทคนคิ วธิ ีการ (15) การสอนในสง่ิ ทีไ่ ม่ไกลตัวผ้เู รยี นมากเกินไป (16) การวางแผนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ 3 การเรยี นรขู้ องผู้เรยี น องค์ประกอบสดุ ท้ายที่สาคญั และนับว่าเปน็ เปา้ หมายของการจัดการ เรยี นรทู้ เี่ น้นผูเ้ รียนเปน็ สาคัญ คอื องค์ประกอบด้านการเรียนรูซ้ ง่ึ มีลักษณะที่แตกต่างจากเดิมท่ีเนน้ เน้ือหา สาระเป็นสาคัญ และสอดคล้องกับองค์ประกอบด้านการจัดการเรียนรู้ ท้ังนี้เพราะการจัดการเรียนรู้ก็เพอ่ื เน้นให้มผี ลตอ่ การเรยี นรู้ ดงั นัน้ ตวั บ่งชท้ี ่ีบอกถงึ ลกั ษณะการเรียนรขู้ องผู้เรียน ประกอบด้วย 1. การเรยี นร้อู ย่างมีความสขุ อนั เนอ่ื งมาจากการจดั การเรยี นรทู้ ีค่ านงึ ถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ ง บุคคล คานึงถึงการทางานของสมองที่ส่งผลต่อการเรยี นรู้และพฒั นาการทางอารมณ์ของผู้เรียน ผู้เรียนได้ เรียนรู้เร่ืองท่ีต้องการเรียนรู้ในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ บรรยากาศของการเอื้ออาทรและเป็นมิตร ตลอดจนแหลง่ เรียนรทู้ ห่ี ลากหลาย นาผลการเรยี นรู้ไปใช้ในชีวติ จริงได้ 2. การเรียนรู้จากการได้คิดและลงมือปฏิบัติจริง หรือกล่าวอีกลักษณะหน่ึงคือ “เรียนด้วย สมองและสองมือ” เป็นผลจากการจัดการเรียนรใู้ ห้ผู้เรียนได้คิด ไม่ว่าจะเกิดจากสถานการณ์หรือคาถามก็ ตาม และได้ลงมอื ปฏิบัตจิ ริงซึ่งเปน็ การฝกึ ทักษะท่ีสาคญั คอื การแก้ปญั หา ความมเี หตุผล 3. การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย และเรียนรรู้ ่วมกับบุคคลอน่ื เป้าหมายสาคัญดา้ น หนึ่งในการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญคือ ผู้เรียนแสวงหาความรู้ท่ีหลากหลายท้ังในและนอก โรงเรียน ทั้งที่เป็นเอกสาร วัสดุ สถานท่ี สถานประกอบการ บุคคลซึ่งประกอบด้วย เพ่ือน กลุ่มเพ่ือน วทิ ยากร หรือผเู้ ปน็ ภมู ปิ ัญญาของชมุ ชน 4. การเรยี นรู้แบบองค์รวมหรือบูรณาการ เปน็ การเรียนรู้ที่ผสมผสานสาระความรดู้ ้านตา่ งๆ ได้ สดั สว่ นกัน รวมท้งั ปลูกฝงั คณุ ธรรม ความดีงาม และคุณลกั ษณะอันพึงประสงคใ์ นทุกวิชาทจ่ี ดั ใหเ้ รยี นรู้ 5. การเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเข้าใจของ ผู้จัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็น สาคัญว่า ทุกคนเรียนรู้ได้และเป้าหมายที่สาคัญคือ พัฒนาผู้เรียนให้มี ความสามารถที่จะแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้จัดการเรียนรู้จึงควรสังเกตและศึกษาธรรมชาติของการ เรียนรู้ของผู้เรียน ว่าถนัดที่จะเรียนรู้แบบใดมากที่สุด ในขณะเดียวกันกิจกรรมการเรียนรจู้ ะเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนไดว้ างแผนการเรียน รดู้ ้วยตนเอง (ซึง่ จะกล่าวถึงรายละเอียดอกี ครั้งในการเรียนรู้โดยโครงงาน) การ สนับสนุนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ดว้ ยกระบวนการเรยี นรู้ของตนเอง ผู้เรียนจะได้รบั การฝึกด้านการจัดการแลว้ ยงั ฝึกดา้ นสมาธิ ความมวี นิ ยั ในตนเอง และการรจู้ กั ตนเองมากข้ึน เม่ือครูจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลแล้ว และมีความประสงค์จะตรวจสอบว่าได้ ดาเนินการถูกตอ้ งตามหลักการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรยี นเปน็ สาคัญหรอื ไม่ ครสู ามารถตรวจสอบ ดว้ ยตนเอง โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานด้านกระบวนการ มาตรฐานที่ 18 ซึง่ มตี วั บ่งชด้ี ังตอ่ ไปน้ี 1. มีการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนอยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกบั ธรรมชาตแิ ละสนองความ ต้องการของผเู้ รยี น 2. มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิด สรา้ งสรรค์ คดิ แกป้ ัญหาและตัดสนิ ใจ 3. มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีกระตุ้นให้ผู้เรยี นรู้จักศึกษาหาความรู้ แสวงหาคาตอบ และสรา้ งองคค์ วามร้ดู ว้ ยตนเอง 4. มีการนาภูมิปัญญาท้องถ่ิน เทคโนโลยีและสื่อท่ีเหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรยี น การสอน

5. มีการจัดกิจกรรมเพือ่ ฝึกและสง่ เสรมิ คุณธรรมและจรยิ ธรรมของผ้เู รียน 6. มกี ารจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนให้ผู้เรียนได้รบั การพัฒนาสนุ ทรียภาพอย่างครบถว้ น ท้ัง ดา้ นดนตรี ศลิ ปะและกีฬา 7. สง่ เสรมิ ความเปน็ ประชาธิปไตย การทางานร่วมกับผูอ้ ่นื และความรบั ผดิ ชอบตอ่ กลมุ่ รว่ มกัน 8. มีการประเมินพัฒนาการของผู้เรยี นดว้ ยวธิ กี ารหลากหลายและต่อเนือ่ ง 9. มกี ารจัดกิจกรรมให้ผูเ้ รียนรักสถานศกึ ษาของตนและมีความกระตอื รือรน้ ในการไปเรียน สรุปว่า การจัดการเรยี นการสอนท่ีเนน้ ผู้เรยี นเป็นสาคัญ คือ การจัดการให้ผู้เรียนสรา้ งความรู้ใหม่โดยผ่าน กระบวนการคิดด้วยตนเอง ทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ เกิดความเข้าใจ และสามารถนา ความรู้ไปบูรณาการใช้ในชวี ติ ประจาวนั และมคี ุณสมบตั ิตามกบั เป้าหมายของการจัดการศึกษาทีต่ อ้ งการให้ ผ้เู รยี นเปน็ คนเกง่ คนดี และมีความสขุ เทคนคิ การจดั การเรียนการสอนทเี่ นน้ ผเู้ รยี นเป็นสาคญั รปู แบบการจดั กระบวนการเรยี นรู้แบบร่วมมอื ร่วมใจ (Cooperative Learning) 1) แนวคดิ ทฤษฎีที่ใช้ สเปนเซอร์ เคแกน (Spenser Kagan, 1994) นักการศึกษาชาวสหรัฐ ได้ทาการวิจัยและ พัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 และ ได้เผยแพร่ผลงาน อย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา รวมถึงหลายประเทศในเอเซีย แนวคิดหลักท่ีจะนาไปสู่การเรียนรู้แบบ รว่ มมอื ร่วมใจอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ประกอบด้วย 6 ประการ ดังนี้ 1) Teams หมายถึง การจัดกลุ่มของผูเ้ รยี นที่จะทางานรว่ มกัน กลุ่มทจ่ี ะเรยี นรูด้ ว้ ยกนั อย่างมี ประสทิ ธผิ ล ควรเปน็ ดงั นี้ 1.1) กลมุ่ ละ 4 คน ประกอบดว้ ยเด็กทีม่ ีผลสมั ฤทธ์ิในการเรยี นสูง ปานกลาง ค่อนขา้ งต่า และ หญิงชายเท่า ๆ กันในบางกรณีการจัดกลุ่มโดยวิธีอ่ืน เช่น ในการศึกษาเร่ืองลึกเฉพาะ เช่น ทาโครงงาน วทิ ยาศาสตร์ ควรจัดกลมุ่ เด็กทมี่ ีความสนใจเหมอื นกัน หรือจัดกลุ่มโดยวิธีส่มุ เม่ือต้องการทบทวนความรู้ 1.2) จดั ใหเ้ ดก็ อยู่ในกล่มุ เดียวกนั ประมาณ 6 สปั ดาหแ์ ลว้ เปล่ียนจดั กลมุ่ ใหม่ 2) Will หมาย ถึง ความม่งุ มน่ั และอดุ มการณข์ องเด็กทจ่ี ะรว่ มงานกนั เดก็ จะตอ้ งมีความม่งุ มั่น ท่ีจะเรียนรู้และมีความกระตือรือร้นในการทากิจกรรม ต่าง ๆ ร่วมกัน ส่ิงเหล่าน้ีต้องสร้างใหเ้ กดิ ข้ึนและให้ คงไว้โดยให้ทากจิ กรรมหลากหลาย โดยวธิ กี ารตอ่ ไปนี้ 2.1) Team building การสร้างความมุง่ มน่ั ของทีมทีจ่ ะทางานร่วมกัน 2.2) Class building การสรา้ งความมุง่ ม่นั ของชนั้ เรยี นที่จะชว่ ยกัน 3) Management หมาย ถึง การจัดการเพื่อให้กลุ่มทางานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมท้ังการ จัดการของผู้สอนและการจัดการของผู้เรียนภายในกลุ่ม ผู้สอนจะต้องมีการจัดการท่ีดี เพื่อให้การทางาน กลุม่ ประสบผลสาเร็จ เช่น การควบคมุ เวลา การกาหนดสัญญาณใหผ้ ู้เรียนหยุดกจิ กรรม ฯลฯ 4) Social Skills เป็นทกั ษะในการทางานร่วมกัน มีความสัมพนั ธท์ ีด่ ีตอ่ กนั ให้ความช่วยเหลือ กนั ใหก้ าลงั ใจซึง่ กนั และกัน รับฟังความคดิ เหน็ ของกนั และกัน 5) Four Basic Principles (PIES) เป็นหลกั การพืน้ ฐานของ Cooperative Learning ซงึ่ จะ ขาดอย่างใดอยา่ งหนึง่ ไม่ได้ ได้แก่ P = Positive Interdependence ผู้ เรียนต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยมีแนวคิดที่ว่าเม่ือ เราไดร้ ับประโยชนจ์ ากเพอื่ น เพือ่ นกจ็ ะได้รับประโยชน์จากเรา ความสาเร็จของกลุม่ คือความสาเรจ็ ของแต่ ละคน

I = Individual Accountability ยอมรับว่าแต่ละคนในกลุ่มต่าง ๆ มีความสามารถและมี ความสาคญั ตอ่ กลมุ่ แตล่ ะคนมีส่วนใหก้ ารทางานในกลุม่ สาเร็จ E = Equal Participation ทุกคนในกลุ่มต้องให้ความร่วมมือและมีส่วนร่วมในงานของกลุ่ม อย่างเท่าเทยี มกัน S = Simultaneous Interaction ทุกคนในกลุ่มต้องมีปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลาที่ทางานใน กลุ่ม 6) Structures หมายถึง รูปแบบของกิจกรรมในการทางานกลุ่ม ซึ่งมีหลากหลายท้ังนี้ขึ้นอยู่ กับปญั หาหรือสถานการณท์ ี่จะศึกษา Kagan ไดว้ จิ ยั และเสนอไวห้ ลายรูปแบบ ตัวอยา่ งเชน่ Time – Pair – Share เป็นกิจกรรมจับคู่สลับกันพูดในหัวข้อและในเวลาที่กาหนด เช่น คน ละ 1 นาที เมอ่ื คนหน่งึ พูด อกี คนหนึ่งฟงั แลว้ สลบั กัน Round Robin ผู้เรียนในกลุ่มทั้ง 4 คน ผลัดกันพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่อง หน่ึงจนครบทุกคน Round Table ผู้ เรียนแต่ละคนในกลุม่ เขยี นแสดงความคดิ เห็นในเรอ่ื งใดเรอื่ งหน่ึงในกระดาษ แผ่น เดยี วกันแล้ววนไปเรื่อย ๆ จนผู้เรยี นทุกคนเขยี นทัง้ หมด แลว้ นามาสรุป Team – Pair – Solo เป็น กิจกรรมท่ีให้แต่ละคนในกลุ่มคิดแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งก่อน จากน้ันเปลี่ยนเป็นรวมกันคิดเป็นคู่ ซึ่งจะทาให้ผู้เรียนแต่ละคนเรียนรู้แบบการแก้ปัญหา ในท่ีสุดแต่ละคน สามารถแก้ปญั หาทานองเดียวกนั ได้ นอกจากรูปแบบกิจกรรมของ Kagan แล้วก็ยังมีรูปแบบกิจกรรมของคนอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีก เชน่ เทคนคิ จกิ ซอ (Jigsaw) เปน็ เทคนคิ ท่ีใช้กบั บทเรยี นทีห่ วั ข้อที่เรยี น แบ่งเป็นหัวข้อย่อยได้ เช่น ประเภทของ มลพิษ สามารถแบง่ เปน็ มลพษิ ทางอากาศ มลพษิ ทางเสยี ง มลพิษทางน้า มลพษิ ของดนิ เปน็ ตน้ ควรเรยี น แบ่งเปน็ ขน้ั ตอน ดงั นี้ 1) ผู้สอนแบ่งหัวขอ้ ทจ่ี ะเรียนเป็นหัวขอ้ ย่อย ๆ ใหเ้ ทา่ กบั จานวนสมาชิกของแตล่ ะกลมุ่ 2) จัดกลุ่มผู้เรียน โดยให้มีความสามารถคละกันภายในกลุ่ม เป็นกลุ่มบ้าน (home group) สมาชกิ แต่ละคนในกลุ่มอ่านเฉพาะหัวขอ้ ย่อยที่ตนได้รบั มอบหมายเท่านนั้ โดยใช้เวลาตามท่ีผู้สอน กาหนด 3) จากนั้นผู้เรียนที่อ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมานั่งด้วยกัน เพื่อทางาน ซักถาม และทากิจกรรม ซึ่งเรียกว่ากลุ่มเชี่ยวชาญ (expert group) สมาชิกทุก ๆ คนร่วมมือกนั อภิปรายหรือทางานอยา่ งเท่าเทียม กนั โดยใชเ้ วลาตามท่ีผู้สอนกาหนด 4) ผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลับมายังกลุ่มบ้าน (home group) ของตน จากนั้น ผลดั เปลี่ยนกนั อธิบายให้เพ่ือนสมาชกิ ในกลุม่ ฟงั เริม่ จากหวั ข้อย่อย 1,2,3 และ 4 เป็นต้น 5) ทาการทดสอบหัวข้อย่อย 1-4 กับผู้เรียนท้ังห้อง คะแนนของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มรวม เปน็ คะแนนกลมุ่ กล่มุ ทไี่ ดค้ ะแนนสูงสดุ จะได้รับการติดประกาศ โมเดลซปิ ปา (CIPPA MODEL) CIPPA MODEL รูปแบบการเรียนการสอนโดยยดึ ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : โมเดลซิปปา (Cippa Model) หรือ รูปแบบการประสานห้าแนวคิด ได้พัฒนาข้ึนโดย ทิศนา แขมมณี รองศาสตราจารย์ประจา คณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซ่ึงได้พัฒนารูปแบบจากประสบการณ์ในการสอนมากว่า 30 ปี

และพบว่าแนวคิดจานวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา จึงได้นาแนวคิดเหล่าน้ันมาประสานกันเกิดเป็น แบบแผนขึ้น แนวคิดดังกล่าวได้แก่ แนวคิดการสร้างความรู้ แนวคิดกระบวนการกลุ่มและการเรยี นรู้แบบ ร่วมมือ แนวคิดเกี่ยวกบั ความพร้อมในการเรียนรู้ แนวคิดเก่ียวกบั กระบวนการเรียนรูแ้ ละแนวคิดเก่ียวกบั การถ่ายโอนความรู้ เมื่อนาแนวคิดดังกล่าวมาจัดการเรียนการสอนพบว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนได้ครบ ทุก ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญาและสังคม โดยหลักการของโมเดลซิปปา ได้ยึดหลักการ เรยี นการสอนทเ่ี นน้ ผเู้ รยี นเป็นสาคัญ ในตวั หลกั การคือการชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นได้มีส่วนรว่ มในกระบวนการเรยี นรู้ ช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรยี นรใู้ ห้มากที่สุด มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและได้เรยี นรู้ จากกนั และกนั มกี ารแลกเปล่ียนขอ้ มูลความรู้ ความคดิ เห็นและประสบการณ์ ผเู้ รียนได้เรยี นรู้กระบวนการ ต่าง ๆ ร่วมกับการผลิตผลงานซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์ท่ีหลากหลายและสามารถนาความรู้ ไปใช้ใน ชวี ิตประจาวัน ใหน้ กั เรยี นเป็นผูส้ รา้ งองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเองตามแนวคดิ Constructivism (ทิศนา แขมมณี, 2542 ) ความหมายของ CIPPA C มาจากคาวา่ Construct หมายถึง การสรา้ งความรตู้ ามแนวคิดของ Constructiviism กล่าว คือ เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง ทาความเข้าใจ เกิดการเรียนรู้ที่มี ความหมายแกต่ นเอง และคน้ พบความร้ดู ้วยตนเอง เปน็ กิจกรรมทใี่ หผ้ ู้เรยี นมสี ่วนรว่ มทางสตปิ ัญญา I มาจากคาว่า Interaction หมาย ถึง การช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและส่ิงแวดล้อม กจิ กรรมการเรียนร้ทู ่ดี จี ะต้องเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพนั ธ์กับ บุคคล และแหลง่ ความรู้ท่ีหลากหลาย ได้รู้จักกันและกัน ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความคิดประสบการณ์ แก่กันและกันให้มากที่สุดเท่าที่จะ มากได้ ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนมีส่วนทางสังคม P มาจากคาว่า Physical Participation หมาย ถึง การช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาท มีส่วนร่วม ทางดา้ นรา่ งกาย ใหผ้ ู้เรยี นมโี อกาสเคลอื่ นไหวรา่ งกาย โดยการทากิจกรรมในลักษณะตา่ งๆ ชว่ ยให้ผเู้ รยี นมี สว่ นร่วมทางดา้ นร่างกาย P มาจากคาว่า Process Learning หมาย ถึง การเรยี นรู้ กระบวนการ ต่างๆ ของกจิ กรรมการ เรยี นรทู้ ดี่ ี ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นไดเ้ รยี นร้กู ระบวนการตา่ งๆ ซง่ึ เป็นทักษะท่จี าเป็นตอ่ การดารงชีวติ A มาจากคาว่า Application การ นาความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้รับ ประโยชน์จากการเรียน เป็นการช่วยผู้เรียนนาความรู้ไปใช้ในลักษณะใดลักษณะหน่ึงในสังคม และ ชวี ิตประจาวัน ซงึ่ จะชว่ ยให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนร้เู พม่ิ เตมิ ข้นึ เร่อื ยๆจากแนวคิดในการ จัดการเรยี นการสอน ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของทิศนา แขมมณี (2542) หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า หลักของโมเดลซิปปา (CIPPA MODEL) ซ่ึงได้รูปแบบการเรียนการสอนซ่ึงสามารถประยุกต์ใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน มี ขัน้ ตอนสาคญั ดังนี้ 1.ขน้ั ทบทวนความรู้เดิม ขนั้ นเี้ ปน็ การดงึ ความรู้ของผู้เรียนในเรื่องท่ีเรียนเพือ่ ช่วยใหผ้ ู้เรียน มี ความพรอ้ มในการเช่ือมโยงความรูใ้ หมก่ บั ความรเู้ ดิมของตน 2. ข้ัน แสวงหาความรู้ใหม่ ข้ันน้ีเป็นการแสวงหาข้อมูล ความรู้ใหม่ที่ผู้เรียนยังไม่มีจาก แหล่งข้อมลู หรอื แหล่งความรตู้ า่ งๆ ซงี่ ครอู าจเตรียมมาใหผ้ ู้เรยี นหรอื ให้คาแนะนาเกย่ี วกับแหล่งข้อมลู ต่างๆ เพื่อให้ผู้เรยี นไปแสวงหากไ็ ด้ 3. ขน้ั การ ศกึ ษาทาความเข้าใจขอ้ มลู /ความรูใ้ หม่ และเช่ือมโยงความรู้ใหมก่ บั ความรเู้ ดิม ขั้นน้ี เป็นขั้นที่ผู้เรียนเผชิญปัญหา และทาความเข้าใจกับข้อมูล ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล ประสบการณใ์ หม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ ด้วยตนเอง เช่นใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุม่ ใน

การอภิปรายและสรปุ ผลความเข้าใจเก่ียวกบั ข้อมูลนนั้ ซึ่งอาจจาเป็นต้องอาศัยการเช่ือมโยงความร้เู ดิม มี การตรวจสอบความเขา้ ใจต่อตนเองหรือกล่มุ โดยครูใชส้ ่ือและย้ามโนมติในการเรยี นรู้ 4. ข้ัน การแลกเปล่ียนความร้คู วามเข้าใจกบั กลมุ่ ขั้นน้ีเป็นข้นั ท่ีผูเ้ รียนอาศยั กลุ่มเป็นเครื่องมือ ในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตนเอง รวมท้ังขยายความรคู้ วามเขา้ ใจของตนใหก้ วา้ งขนึ้ ซง่ึ จะช่วย ให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนเองแกผ่ ู้อ่ืนและได้ รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของ ผู้อนื่ ไปพรอ้ มๆกนั 5. ขั้น การสรุปและจัดระเบียบความรู้ ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับท้ังหมด ทั้ง ความรเู้ ดมิ และความร้ใู หม่ และจดั ส่งิ ท่เี รยี นรใู้ ห้เป็นระบบระเบยี บ เพื่อชว่ ยใหจ้ ดจาส่ิงทีเ่ รยี นรู้ไดง้ ่าย 6. ขน้ั การแสดงผลงาน ขัน้ นเี้ ป็นขั้นที่ช่วยให้ผเู้ รยี นได้มโี อกาสไดแ้ สดงผลงานการสร้างความรู้ ของตนเองให้ผ้อู น่ื รับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรยี นตอกยา้ หรอื ตรวจสอบ เพ่ือช่วยใหจ้ ดจาสง่ิ ทเี่ รียนรูไ้ ดง้ า่ ย 7. ขั้น ประยุกต์ใช้ความรู้ ข้ันน้ีเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนาความรู้ ความเข้าใจ ของตนเองไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆที่หลากหลายเพือ่ เพิม่ ความชานาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการ แกป้ ญั หาและความจาในเรอื่ งนนั้ ๆ รูปแบบการจัดกระบวนการเรยี นรู้ แบบโฟร์แมทซิสเต็ม (4 MAT’S Learning) แนวคดิ ทฤษฎีทใี่ ช้ แมคคาร์ธี (Mc Carthy) ได้พัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT น้ี โดยไดร้ บั อทิ ธพิ ลแนวคดิ จากทฤษฎกี ารเรียนรูข้ องคอลม์ (Kolb) ที่เสนอแนวความคิดเร่อื งรูปแบบ การเรียนรู้ว่า การเรียนรู้เกิดจากความสัมพันธ์ 2 มิติ คือ การรับรู้ (perception) และกระบวนการจัดการ ขอ้ มลู (processing) การรบั รขู้ องบุคคลอาจเป็นประสบการณต์ รง อาจเปน็ ความคดิ รวบยอดหรอื มโนทัศน์ที่ เป็นนามธรรม ส่วนกระบวนการจัดกระทากับข้อมูลคือการลงมือปฏิบัติ ในขณะท่ีบางคนเรียนรู้โดยผ่านการ สังเกต และนาข้อมูลนั้นมาคิดอย่างไตร่ตรอง แมคคาร์ธีแบ่งผู้เรียนออกเป็น 4 แบบ คือ 1) ผู้เรียนท่ีถนัด การเรยี นรโู้ ดยจนิ ตนาการ (Imaginative Learners) 2) ผเู้ รียนทถ่ี นัดการรับร้มู โนทัศนท์ ่ีเป็นนามธรรม นา กระบวนการสังเกตอย่างไตร่ตรอง หรือเรยี กว่าผเู้ รียนทถี่ นัดการวเิ คราะห์ (Analytic Learners) 3) ผเู้ รียน ที่ ถ นั ด ก า ร รั บ รู้ ม โ น ทั ศ น์ แ ล้ ว ผ่ า น ก ร ะ บ ว น ก า ร ล ง มื อ ท า ห รื อ ที่ เ รี ย ก ว่ า ผู้ เ รี ย น ที่ ถ นั ด ก า ร ใ ช้ ส า มั ญ สานึก (Commonsense Learners) และ 4) ผู้เรียนที่ถนัดการรับรู้จากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมและ นาสู่ ลักษณะการพฒั นารูปแบบแมคคารธ์ ี และคณะ (ศกั ดช์ิ ัย นิรญั ทวี และไพเราะ พมุ่ ม่นั , 2542) ได้นา แนวคิดของคอล์ม มาประกอบกับแนวคิดเกี่ยวกับการทางานของสมองทั้ง 2ซีก ทาให้เกิดเป็นแนวคิด ทางการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้โดยใชค้ าถามหลกั 4 คาถาม กบั ผเู้ รยี น 4 แบบ คอื - ผู้เรียนแบบที่ 1 (Imaginative Learners) คือ ผู้เรียนท่ีมีความถนัดในการรับรู้จาก ประสบการณ์รูปธรรม ผา่ นกระบวนการจดั ข้อมูลด้วยการสงั เกตอย่างไตร่ตรอง เขาจะเชอ่ื มโยงความรู้ใหม่ กับประสบการณ์เดิมของตนเองได้อย่างดี การเรียนแบบร่วมมือ การอภิปรายและการทางานกลุ่มจะช่วย สง่ เสรมิ การเรียนรู้ของผเู้ รยี นกล่มุ น้ี คาถามนาทางสาหรับผเู้ รยี นกลุ่มน้คี อื “ทาไม” (Why ?) - ผู้เรียนแบบท่ี 2 (Analytic Learners) คือ ผู้เรียนท่ีมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์จะ สามารถเรยี นรู้ความคิดรวบยอดท่ี เปน็ นามธรรมได้เปน็ อยา่ งดี ผู้เรยี นกลุม่ นีใ้ หค้ วามสาคัญกบั ความรู้ที่เป็น ทฤษฎี รปู แบบ และความรจู้ ากผ้เู ชีย่ วชาญ การอ่าน การค้นคว้าขอ้ มลู จากตาราหรอื เอกสารตา่ ง ๆ รวมท้ัง

การเรียนรู้แบบบรรยาย จะส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนเหล่านี้ คาถามนาทางสาหรับผู้ เรียนในกลุ่มน้ี คือ “อะไร” (What ?) - ผู้เรียนแบบที่ 3 (Commonsense Learners) คือ ผู้เรียนที่มีความสามารถ/มี ความถนัด ในการรับรคู้ วามคดิ รวบยอดท่ีเป็นนามธรรมแล้วนาสู่การลงมือปฏิบัติ เขาให้ความสาคญั กับการประยุกต์ใช้ ความรู้ ความก้าวหน้า และการทดลองปฏิบัติ กิจกรรมท่ีเน้นการปฏิบัติและกิจกรรมการแก้ปัญหาจะช่วย ส่งเสริมการเรียนรู้ ของผูเ้ รียนในกลุ่มน้ี คาถามนาทางสาหรับผู้เรียนในกลุ่มนี้คือ “อย่างไร” (How ?) - ผู้เรียนแบบที่ 4 (Dynamic Learners) คือ ผู้เรียนที่มีความถนัดในการเรียนรู้ ประสบการณท์ เ่ี ป็นรปู ธรรมแลว้ นาสู่การลงปฏบิ ัติ เขาให้ความสาคัญกับการเรยี นรู้ที่เป็นการสารวจ คน้ ควา้ การคน้ พบดว้ ยตนเอง แล้วเชอ่ื มโยงความรเู้ หล่านน้ั ไปส่กู ารทดลองปฏบิ ัตดิ ้วยตนเอง คาถามนาทางสาหรับ ผเู้ รียนในกลุ่มน้ีคือ “ถ้า” (If ?) จากลักษณะของผู้เรียนท้ัง 4 แบบดังกล่าวข้างต้น Morris และ Mc Cathy ได้ นามาเป็น แนวคิดพ้ืนฐานที่ใช้ในการพัฒนารูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบ โฟร์แม็ทซิสเต็ม โดยจัดขั้นตอน การสอนให้ผเู้ รยี นสามารถใชส้ มองทงั้ ซกี ซ้ายและซีกขวาอย่างเต็ม ทเี่ ปน็ การพัฒนาพหุปญั หาทัง้ 8 ด้าน การสอนโดยใหฝ้ ึกเละปฏบิ ตั ิ ( Drill and practice) ความหมาย Drill คอื การการทาซา้ หรอื แบบฝกึ หัดเพอื่ พฒั นาทกั ษะ skill Practice คอื การปฏิบตั จิ รงิ ทไ่ี ด้เรียนมา ซงึ่ การปฏิบัตยิ อ่ ยๆกจ็ ะเปน็ การปฏิบตั ิซา้ ๆ จุดมงุ่ หมาย 1.เพื่อให้เหน็ ความสาคญั ของการปฏิบัติงาน 2.เพอื่ ให้ลงมอื กระทาจริง 3.เป็นการเรียนร้จู ากประสบการณ์ตรง บทบาทของครู 1. วิเคราะห์สิ่งที่จะให้ผู้เรียนได้เรยี นรู้และเกิดทักษะในสิ่งน้ันว่าจะต้องฝึกทักษะส่วนไหนบา้ ง และตอ่ เนอ่ื งกนั อยา่ งไร 2. ทาการวัดพฤตกิ รรมก่อนการเรียนทกั ษะนั้นๆว่าผู้เรียนมที ักษะพน้ื ฐานเพียงพอหรอื ยงั 3. จักข้ันตอนการฝึกทักษะให้เป็นไปตามลาดับขั้นจากง่ายไปหายากหรือพื้นฐานไปสู้ สลับซบั ซอ้ น 4. อธิบายและสาธิตการปฏบิ ตั ิงานในการฝกึ ทกั ษะตา่ งๆใหผ้ ู้เรยี นได้ดู 5. ใหผ้ ้เู รยี นได้ปฏบิ ตั จิ รงิ โดยฝึกหัดอยา่ งตอ่ เน่อื งพร้อมๆกับให้รูผ้ ลสาเรจ็ ของการฝกึ หดั ดว้ ย 6. พยายามกระตุน้ และสง่ เสริมใหก้ าลงั ใจในการฝกึ ปฏิบัติของผ้เู รยี นให้มากๆ 7. พยายามใช้กระบวนการกลมุ่ ของผ้เู รยี นให้มากๆ 8. จัดทาใบความรู้-ใบงานในเร่ืองทีน่ ักเรยี นจะตอ้ งฝึกและปฏิบตั ิ 9. จดั ทาเครือ่ งมือวัดและประเมินผลการฝกึ และการปฏบิ ัติงาน ขัน้ ตอนในการสอน 1. ขั้นนาให้เกิดความเข้าใจและแรงจูงใจ เป็น การให้ความรู้ท่ีเกี่ยวข้องกับการเรียนทางด้าน ทักษะน้ันๆ ครูเสนอแนะส่ิงที่จะต้องฝึกและปฏิบัติ อธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจในวิธีการฝึกและปฏิบัติจากใบ ความรู้

2. ขั้นฝึกและปฏิบัติ เป็นขั้นของการฝึกหัดเพื่อให้เกิดทักษะ หรือเพื่อลดความผิดพลาดในกร ทางานใหน้ ้อยลง จนกระท้งั หมดไปในทีส่ ุด โดยฝกึ และปฏบิ ัติจากใบความรูใ้ บงาน 3.ขัน้ นาไปใช้ เป็นขนั้ ของการเกดิ ทักษะ ซึง่ สามารถทาสิง่ นั้นๆได้อยา่ งอตั โนมตั จิ ากการฝึกและ ปฏิบัตมิ าแล้ว 4. ข้นั ประเมนิ ผล เป็นขน้ั ตอนท่ีต้องการทราบความกา้ วหนา้ ของการฝึกและปฏบิ ัติใบงานหรือ ทกั ษะน้ัน ๆ ตลอดจนความรทู้ างวิชาการ เจตคตแิ ละคณุ ลกั ษณะส่วนตัวของผู้เรียน ข้อดี 1. ผเู้ รียนเห็นคุณคา่ ของส่ิงทเ่ี รียน 2. การเรียนร้เู กดิ ขน้ึ จากการทาจรงิ และประสบการณต์ รง 3. เรยี นรแู้ ละจดจาสิ่งที่เรยี นไดด้ ี 4. สามารถถา่ ยทอดการเรียนรไู้ ปใช้สถานการณเ์ ชน่ เดยี วกนั ไดด้ ี 5 ดีมากสาหรบั การพัฒนาด้านทกั ษะ 6. ผู้เรยี นมจี ดุ มง่ หมายทแี่ นน่ อน 7. การทากิจกรรมการเรียนโดยการฝกึ และปฏิบัตอิ าจดาเนนิ โดยผู้เรียนเปน็ รายบุคคลหรือเป็น กลมุ่ เล็ก ๆ ก็ได้ 8. ผู้สอนมีเวลาทจ่ี ะใหค้ วามชว่ ยเหลือและการสอนแก่ผ้เู รียนทึต้องการความช่วยเหลือ ผ้เู รยี นอาจศกึ ษากจิ กรรม วิธปี ฏิบตั ิจากสือ่ ที่สามารถเรียนดว้ ยตนเองได้ ข้อจากัด 1 ใช้เวลามาก 2. นาไปสู่ความนา่ เบื่อ นอกจากจะมีแรงจูงใจสงู และมจี ุดหมายทแี่ น่นอน 3. ไมช่ ่วยเหลอื ให้นักเรียนเขา้ ใจจุดมง่ หมายใหม่ ๆ 4. ผเู้ ขียนบางคนเรียนเพยี ง Drill แต่ไม่เรียนร้ถู งึ คุณค่า 5. การทาซ้าๆอยา่ งไม่มคี วามหมาย อาจเป็นอุปสรรคทจ่ี ะทาใหเ้ กิดความเข้าใจ 6. กรณที ใี่ ห้ปฏิบัตงิ านเป็นกล่มุ ๆ สมาชิกบางคนอาจหลกี เล่ยี งการปฏิบตั ิงาน แนวคดิ ของการสอนแบบพัฒนาความสามารถเฉพาะ การสอนแบบ TU เปน็ รปู แบบการสอนทม่ี ุ่งเน้นพัฒนาความสามารถเฉพาะของผูเ้ รียนแตล่ ะคน ซึ่งมีความสามารถที่แตกต่างกันเฉพาะบุคคล เป็นวิธีสอนที่ช่วยดึงความสามารถ เฉพาะของบุคคลน้ัน ๆ ออกมาใชใ้ นการดาเนนิ กิจกรรมการเรียนการสอน มงุ่ ใหผ้ ้เู รียนประสบความสาเร็จในทักษะท่ีตนเองมีความ ถนดั และมคี วามสามารถในด้านนน้ั ๆ การสอนแบบ TU มุ่งพฒั นาทกั ษะ 5 ประการ คือ 1. การคดิ อย่างมผี ล (porductive Thinking) ทกั ษะการคิดเพ่อื ใหไ้ ดผ้ ลออกมานัน้ เปน็ การฝกึ ให้ผู้เรียนเกิดความคิดที่หลากหลาย ใช้ความสามารถในการคิดอย่างเต็มท่ี โดยไม่มีขีดจากัด เช่น คิดหา คานามให้มากท่สี ดุ คิดหาส่ิงแปลกหรอื ผิดปกตติ ามแนวคดิ ของตนเองคดิ หาวิธแี กป้ ญั หา 2. การส่ือสาร (communication) ทักษะการสื่อสารนี้ต้องการให้ผู้เรียนใช้ทักษะการฟงั การ พูดแสดงความรู้สึก กิริยาท่าทาง เพื่อสื่อความหมายให้เกิดความเข้าใจได้ นอกเหนือจากส่ืออื่น ๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ มุ่งให้ผู้เรียนสามารถอธิบายหรือแสดงความรู้จักเปรียบเทียบ บ่งบอก คา่ นิยมทบี่ คุ คลต่าง ๆ มตี ามลักษณะบคุ ลกิ เฉพาะบุคคลคนนนั้

3. การเดาเหตุการณ์หรือการพยากรณ์ (Forcasting) เป็นกระบวนการที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนใน การศึกษาสาเหตุและผลท่ีควรจะเกิดข้ึน ทาให้ผู้เรียนเกิดความคิดหลากหลาย และฝึกการใช้เหตุผลตาม สถานการณ์ทก่ี าหนดให้ 4. การวางแผน (planning) เป็นการพัฒนาผู้เรียน ให้ผู้เรียนพิจารณาถึงรายละเอียดความ จาเป็นต่าง ๆ ในการจัดทาสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ประสบผลสาเรจ็ ฝึกการทางานอย่างมีระบบมีแบบแผนที่ดีกอ่ น จะมีการปฏบิ ตั ิจรงิ 5. การตดั สนิ ใจ (Decision Maklng) เป็นอกี ทักษะหนึ่งทร่ี ปู แบบ TU มุง่ พัฒนาผู้เรยี นทางดา้ น การตัดสินใจโดยใช้เหตุผล ให้ผู้เรียนสามารถลาดับความสาคัญ ความจาเป็นของส่ิงต่าง ๆ ท่ีนามา ประกอบการตดั สนิ ใจเพ่ือให้การตดั สินใจนัน้ ดที ่สี ุดบทบาทของครูในชั้นเรียนเม่อื ใชร้ ูปแบบ TU การใช้การสอนแบบ TU ในชน้ั เรียนนัน้ ครูผู้สอนจะต้องมที ักษะพนื้ ฐานตา่ ง ๆ ดังน้ี 1. ความรู้เรอ่ื งจติ วิทยาพฒั นาการของเดก็ กล่าวคอื ครูผูส้ อนตอ้ งมีความรู้ ความเขา้ ใจในภาวะ ความเจริญเตบิ โตของเดก็ ในแต่ละชว่ งอายุของเด็กทีตนเองกอาลังสอนอยู่ 2. มคี วามรใู้ นเนอ้ื หาวชิ าท่ีสอน 3. มีมนุษยสมั พันธท์ ดี่ ี 4. มีการวางแผนท่ีดี 5. มีความรู้ในการใชึ่สอการสอนอยา่ งมีประสิทธภิ าพ 6. มคี วามรู้เรื่องการจัดการห้องเรยี นใหเ้ หมาะสมกบั สภาพและเนอื้ หาทส่ี อน ลาดับข้ันการสอนแบบ TU 1. สรา้ งแรงจูงใจ (Motivatlon) ครูผู้สอนอาจจะทบทวนพฤติกรรมการสอนที่ตนเองต้องการจะสอน เช่น ทบทวนพฤติกรรม การสื่อสาร การตดั สนิ ใจ การวางแผน ซึ่งอาจถือว่าเป็นการนาเขา้ สู่บทเรยี นอีกวิธีหนงึ่ 2. ครบู รรยาย (Teacher Talk) ครูผู้สอนจะเป็นผู้บรรยายเพ่ือกาหนดสถานการณ์ในข้ันน้ีว่าจุดประสงค์ของกิจกรรมคืออะไร วิธกี ารจะเป็นอย่างไร จะต้องทาอย่างไรบา้ ง เพือ่ ให้เปน็ ไปตามเน้อื หาและจุดประสงค์ที ตอั งการจะสอน 3. การตอบสนองของเดก็ (studentS Response) ครผู สู้ อนต้องคาดหวงั ถึงการตอบสนองของเดก็ ว่าต้องการให้เดก็ ตอบสนองกิจกรรมในลักษณะ ใด เพอ่ื เตรียมอปุ กรณใ์ นการรับการสอบสนองนั้น เชน่ คาดหวังว่าเดก็ จะตอบสนองเปน็ คาต่าง ๆ ครูก็ควร เตรียมแผน่ ชาร์ตเพื่อเขยี นคาเหลา่ นน้ั 4. ให้การเสริมแรง (Relnforcement) เม่ือนักเรียนตอบสนองกิจกรรมได้ตามความคาดหวัง ครูต้องให้กาลังใจ เช่น คาชม รางวัล หรอื ใหแ้ ลกเปลีย่ นงานซง่ึ กนั และกนั 5. การเชอื่ มต่อ (Extenslon) ครูผู้สอนอาจให้นกั เรียนทากิจกรรมอื่นเพือ่ เชื่อมต่อกจิ กรรมที่เพ่ิงทาเสร็จเม่ือเป็นการทบทวน หรือย้าความคิดอีกครง้ั

เกณฑ์ในการพจิ ารณาเลือกวิธสี อน เนื่องจากวิธีสอนมีหลายวิธี ทุกวิธีมีประโยชน์ในการนามาใช้สอนทั้งส้ิน ข้อสาคัญในการ นามาใชต้ อ้ งเลือกให้เหมาะสมจงึ จะได้ผล การเลอื กวธิ ีสอนจึงเปน็ ยุทธศาสตร์ที่สาคัญขู องการสอนผู้ใช้ควร พิจารณาอย่างรอบคอบ เกณฑ์ในการพิจารณาเลือกใช้วธิ ีสอนมีดงั นี้ 1. วิธีสอนที่นามาใช้ เหมาะสมกับความสามารถ ความรู้ในเนื้อหาวิชา และความสนใจของครู วิธีใดก็ตามถ้าคูรเห็นว่านามาใช้ได้ผล คูรมีความพอใจในการท่ีนามาใช้ก็ควรใช้วิธีน้ันถ้าครูยังไม่มั่นใจ ไม่ รู้สึกสนุก มองไม่เห็นแนวทางที่ดีพอ ก็ไม่ควรนาวิธีนั้นมาใช้สอน เพราะจะไม่เกิดผลดีท้ังนักเรียนและครู และจะทาให้นกั เรยี นเสือ่ มศรทั ฑในครผู ้สู อนไปด้วย 2. วิธสี อนที่ครูพิจารณาเลือกมาใช้นัน้ ต้องเหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน วธิ ีสอนบาง วธิ ีเหมาะกบั เด็กบางวยั เท่านัน้ ครูจะต้องพิจารณาดูว่า วธิ สี อนท่คี รูพจิ ารณาเลือกมาใช้สอนเหมาะสมกับวัย วุฒภิ าวะของเดก็ ทคี่ รูจะสอนหรอื ไม่ เชน่ วิธสี อนแบบบรรยายนาน ๆ ไมเ่ หมาะกับเดก็ ช้นั ประถม เปน็ ต้น 3. วิธีสอนที่นามาใช้ ต้องพิจารณาให้เหมาะสมสอดคล้องกับจุดประสงค์ของการสอน เช่น ครู กาหนดจุดประสงค์ให้นักเรียนสามารถทางานเป็นกลุ่มไดู้ รู้จักแก้ปัญหาร่วมกัน ครูควรใช้วิธีสอนแบบ แกป้ ญั หา ควรจะต้องพิจารณาลักษณะวิชา แตล่ ะตอนของเน้ือหาวิชา มงุ่ ใหน้ ักเรียนเกิดการเรียนร้ทู างดา้ น พุทธิพสิ ัย จติ พสิ ัย หรอื ทกั ษะพสิ ยั ครูต้องพิจารณาเลือกวิธีสอนต่าง ๆ ใหเ้ หมาะสม ในอันท่ีจะให้นกั เรียน เกดิ การเรียนรตู้ ามจุดประสงคท์ ก่ี าหนดควรจะกาหนดจุดประสงค์ไวด้ เี ลศิ เพยี งใดกต็ าม ถ้าครูไมม่ วี ิธีการที่ดี ในการท่จี ะให้ บรรลจุ ดุ ประสงค์ จุดประสงค์ก็ไม่ได้ผลเทา่ ทค่ี วร วิธสี อนจึงเป็นสิ่งสาคญั ในอนั ทจี่ ะให้บรรลตุ ามจุดประสงค์ 4. วิธีสอนต้องพิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับเน้ือหาวันเวลา และสถานท่ีทีจะใช้สอนเช่น วิธี สอนที่ต้องใช้เวลามาก แต่คูรมีเวลาจากัดก็ไม่เหมาะท่ีจะนามาใช้ หรือควรจะใช้วิธีสอนแบบสาธิตแต่ สถานท่ีสอนไมเ่ หมาะ นักเรียนไมส่ ามารถมองเหน็ การสาธิตไดอ้ ยา่ งทั่วถึง วธิ ีสอนแบบสาธติ ไม่ เหมาะ 5. เลือกใช้วิธีสอนให้เหมาะสมกับอุปกรณ์และสภาพแวดล้อม นักเรียนจะเรียนได้ผลดีจาก อุปกรณ์ท่ีมีอยู่ในท้องถิ่น หาได้ง่าย การสารวจค้นหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ในโรงเรียนและชุมชนจึงเป็นสงิ่ สาคัญู ครูต้องพิจารณาเลือกใช้วิธีสอนให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เกิดผลการเรียนรู้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกให้นักเรียนสนใจและสังเกตส่ิงแวดล้อมของตนย่ิงขึ้นด้วย (สุวัฒน์ มุทธเมธา. 2523 : 21 9-221 ) จะเห็นได้ว่าวิธีสอนแบบต่าง ๆ เป็นกระบวนการท่ีครูจาเป็นต้องนามาใช้สอนนักเรียนให้เกิด ประสทิ ธภาพ และถือเป็นภาระหนา้ ท่ีของครูผู้สอนทจ่ี ักนาวธิ ีสอนทง้ั 2ประเภทใหญ่ ๆ คือ วธิ ีสอนแบบครู เป็นศูนย์กลางและวิธีสอนแบบผู้เรยี นเป็นสาคัญตลอดจนวิธีสอนแบบต่าง ๆ ท่ีเออื้ ตอ่ หลกั สูตรมาพิจารณา ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพการเรียนการสอนในแต่ละกลุ่มวิชาและ สนองความต้องการของนักเรียนแตล่ ะวยั แตล่ ะระดับ

บทที่ 3 วิธีดาเนินการ รายงานผลการจัดกิจกรรมตามโครงการการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ประจาปี การศกึ ษา ๒๕๖๒ ไดน้ าวงจรคณุ ภาพของเดมงิ่ PDCA มาใชใ้ นการดาเนนิ การ 4 ขัน้ ตอนดังน้ี 1. ขัน้ ตอนการร่วมกันวางแผน (Plan) 2. ขั้นตอนการร่วมกนั ปฏิบตั ิ (Do) 3. ขั้นตอนการ่วมกนั ประเมนิ (Check ) 4. ข้นั ตอนการร่วมปรับปรงุ (Act) 1. ขนั้ ตอนการร่วมกนั วางแผน (Plan) ขนั้ ตอนนเี้ ป็นการวางแผนการดาเนินการโดยมขี ั้นตอน ดังนี้ 1.1 ประชมุ ปรกึ ษาร่วมกนั ระหวา่ งหัวหน้างาน/หวั หนา้ กล่มุ สาระฯ แล้วขยายผลสคู่ ณะครทู กุ คน 1.2 จดั ทาโครงการการจดั การเรียนรู้ทีเ่ น้นผเู้ รียนเปน็ สาคัญ เสนอผู้บรหิ ารเพื่อพิจารณาเห็นชอบ 1.3 แต่งตั้งคณะกรรมการผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมแต่ละงานแต่กิจกรรมตามความ เหมาะสม 1.4 สร้างความเข้าใจกบั นักเรยี นเพือ่ กาหนดแนวทางในการดาเนินการ 1.5 ติดตอ่ ประสานงานเตรยี มความพร้อม ท้ังดา้ นสถานที่ พาหนะในการเดนิ ทาง(ถ้ามี) 1.6 กาหนดระยะเวลาในการดาเนนิ การ และวิธปี ระเมินผล 2. ขัน้ ตอนการรว่ มกนั ปฏิบตั ิ (Do) การปฏิบัตงิ านตามแผนงานทวี่ างไว้โดยมีขั้นตอนในการดาเนินงานดงั นี้ 2.1 บันทึกเสนอผู้บรหิ ารเพ่อื ขออนุญาตดาเนนิ การ 2.2 ดาเนินการตามโครงการการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ประจาปีการศึกษา ๒๕๖๒ โดยมีกล่มุ เปา้ หมายเป็นนักเรียนและบุคลากรภายในโรงเรยี นทกุ คน โดยมกี จิ กรรมดาเนนิ การดงั น้ี 2.2.1 กจิ กรรมการเรยี นการสอนแบบ Active Learning 2.2.2 กิจกรรมหอ้ งเรยี นคุณภาพ 2.2.3 กิจกรรมสปั ดาห์วิทยาศาสตร์ ๒.๒.๔ กจิ กรรมการเรียนร้แู บบโครงงาน ๒.๒.๕ กิจกรรมสง่ เสริมความเป็นเลิศ ทางวิชาการ

3. ขน้ั ตอนการร่วมกนั ประเมิน (Check ) 3.1 ดาเนนิ การประเมินผลการจดั กิจกรรมตามโครงการการจัดการเรียนรู้ทเี่ นน้ ผู้เรียนเปน็ สาคัญ โดยใช้ แบบสอบถามความพึงพอใจ 3.2 ข้อมูลท่เี ป็นมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating Scale ) ใชว้ ธิ แี จกแจงความถ่ี หาคา่ เฉลี่ย ( x ) และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (SD.) ท้งั ในรายขอ้ และภาพรวมเทียบกับเกณฑ์ดงั นี้ (บุญชม ศรสี ะอาด, หน้า 2545) 4.51−5.00 หมายถึง มคี วามเหมาะสม/การปฏบิ ตั ิอยใู่ นระดบั มากทส่ี ุด 3.51−4.50 หมายถงึ มคี วามเหมาะสม/การปฏิบตั อิ ย่ใู นระดับมาก 2.51−3.50 หมายถึง มคี วามเหมาะสม/การปฏิบตั อิ ยู่ในระดับปานกลาง 1.51−2.50 หมายถงึ มคี วามเหมาะสม/การปฏิบัติอยู่ในระดับน้อย 1.00−1.50 หมายถงึ มคี วามเหมาะสม/การปฏบิ ตั ิอย่ใู นระดับน้อยทส่ี ดุ 3.3 ข้อมูลที่เป็นความพึงพอใจ ข้อเสนอแนะจากแบบบันทึกกิจกรรม ใช้วิธี วิเคราะห์เน้ือเร่ือง (Content Analysis) 3.4 สถติ ิท่ีใช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 1. ค่าเฉลี่ย (Arithmetic: x ) 2. สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : SD.) 3.5 รายงานผลการดาเนนิ งานต่อผู้บรหิ ารและบคุ ลากรโรงเรียนวัดศาลาตึกสิทธชิ ยั วศิ าล 4. ขน้ั ตอนการร่วมปรบั ปรุง (Act) เมื่อคณะกรรมการฝ่ายประเมินผล สรุปผลการดาเนินงาน ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ กลุ่มงานผู้รับผิดชอบจึงได้นาสารสนเทศท่ีได้มาปรับปรุง ตลอดจนพัฒนาการงานให้มีประสิทธิภาพมาก ยิง่ ขนึ้

บทท่ี 4 ผลการดาเนนิ การและวเิ คราะหข์ ้อมลู ผลการจัดกิจกรรมตามโครงการการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ประจาปีการศึกษา ๒๕๖๒ สามารถสรปุ ตามขัน้ ตอนในการดาเนินงาน ดงั น้ี ข้ันตอนการร่วมกันวางแผน (Plan) ข้ันตอนน้ีเป็นการวางแผนการดาเนินการโดยมีข้ันตอน พบว่า การประชุมปรึกษาร่วมกัน ระหว่างหัวหน้างาน/หัวหน้ากลุ่มสาระฯ แล้วขยายผลสู่คณะครูทุกคนได้รับความร่วมมือและสนับสนุน การทาโครงการเป็นอย่างดี และนาเสนอผู้บริหารเพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อโครงการได้รับการอนุมัติ โครงการ ผู้รับผิดชอบโครงการจึงได้ดาเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้รับผิดชอบเก่ยี วกับการจัดกิจกรรม แต่ละงานแต่กิจกรรมตามความเหมาะสม แล้วสร้างความเข้าใจกับนักเรียนเพ่ือกาหนดแนวทางในการ ดาเนินการ ติดต่อประสานงานเตรยี มความพรอ้ ม ทั้งด้านสถานท่ี และกาหนดระยะเวลาในการดาเนนิ การ และวิธปี ระเมนิ ผลตามลาดับ ขั้นตอนการรว่ มกันปฏิบตั ิ (Do) การปฏิบัติงานตามแผนงานท่ีวางไวโ้ ดยมีขัน้ ตอนในการดาเนนิ งาน คอื การบันทกึ เสนอผูบ้ ริหาร เพ่ือขออนุญาตดาเนินการ พบว่า ได้รับการอนุญาตและให้ดาเนินการ และผลการดาเนินการตาม โครงการการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ประจาปีการศึกษา ๒๕๖๒ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็น นักเรียนและบุคลากรภายในโรงเรียนทุกคน พบว่า กิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Active Learning นักเรียนและครูให้ความร่วมมือในการดาเนินกิจกรรมด้วยดี นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการ เรยี นรู้ กิจกรรมหอ้ งเรยี นคุณภาพ ครมู กี ารจัดบรรยากาศในช้ันเรยี นที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ห้องเรียนมีความ สะอาดเรียบร้อย และมีการจัดทาเอกสารประจาชั้นที่เป็นปัจจุบัน โดยมีผลการประเมินเป็นไปตามเกณฑ์ การประเมิน กิจกรรมสัปดาห์วทิ ยาศาสตร์ นักเรียนและบุคลากรในโรงเรยี นร่วมมือกนั ในการจัดกิจกรรม ด้วยดี นักเรียนมีความกระตือรื้อร้นในการร่วมกิจกรรม กิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานนักเรียนและ บุคลากรในโรงเรียนร่วมกันวิเคราะห์หัวข้อในการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน และร่วมกันดาเนินการจัด กิจกรรมมการเรียนรู้ และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพ่ือเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมครั้ง ต่อไป กิจกรรมส่งเสริมความเป็นเลิศ ทางวิชาการ ครูส่งเสริมสนับสนุนนักเรียนท่ีมีความสามารถเข้าร่วม การแขง่ ขันทักษะทางวิชาการ และด้านอ่ืนๆ ในการแข่งขนั ศลิ ปหตั ถกรรมนกั เรียน ขั้นตอนการว่ มกันประเมิน (Check) การประเมินผลการจัดกิจกรรมตามโครงการการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยใช้ แบบสอบถามความพึงพอใจน พบว่า วิเคราะหข์ อ้ มลู โดยการหาคา่ เฉลย่ี ( x ) และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (SD.) จาก แบบสอบถามความพงึ พอใจ โดยแปลความหมายดังตอ่ ไปน้ี 4.51–5.00 หมายความว่า ระดบั ความพงึ พอใจมากท่ีสดุ 3.51–4.50 หมายความวา่ ระดบั ความพงึ พอใจมาก 2.51–3.50 หมายความวา่ ระดับ ความพึงพอใจปานกลาง

1.51–2.50 หมายความว่า ระดับ ความพงึ พอใจพอใช้ 1.00–1.50 หมายความวา่ ระดับ ความพงึ พอใจปรบั ปรุง วิเคราะหข์ ้อมลู จาก ความพงึ พอใจไดผ้ ลการประเมนิ ดังตาราง ตาราง สรปุ ผลความพึงพอใจตอ่ โครงการการจดั การเรียนรูท้ ีเ่ น้นผเู้ รยี นเป็นสาคัญ กิจกรรมสปั ดาห์วทิ ยาศาสตร์ ข้อท่ี รายการ ( x ) (SD.) รอ้ ยละ ระดบั ความพงึ พอใจ 1 การเตรยี มความพร้อม 4.72 0.48 94.33 มากทีส่ ดุ 2 ความเหมาะสมของสถานท่ี 4.78 0.51 95.67 มากทส่ี ดุ 3 ความเหมาะของระยะเวลา 4.67 0.45 93.40 มากทสี่ ดุ 4 ความรู้ ความเขา้ ใจท่ีได้จากกิจกรรม 4.77 0.49 95.36 มากทส่ี ดุ 5 ความรทู้ ีไ่ ด้จากการจัดนทิ รรศการ 4.74 0.36 94.85 มากทส่ี ดุ 6 การมสี ว่ นรว่ มในการจดั กิจกรรม 4.69 0.58 93.71 มากทส่ี ดุ 7 การนาความรู้ทไี่ ดไ้ ปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิตประจาวนั 4.82 0.49 96.39 มากที่สุด 8 ความประทบั ใจในการจดั กิจกรรม 4.82 0.41 96.49 มากที่สดุ 9 ความสนกุ สนานที่ไดจ้ ากการจัดกิจกรรม 4.87 0.53 97.42 มากที่สดุ 10 ความตอ้ งการให้จัดกิจกรรมเชน่ นี้อกี 4.89 0.47 97.73 มากทส่ี ุด 4.78 0.48 95.54 มากทสี่ ุด เฉลย่ี จากตาราง พบวา่ โดยภาพรวมผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจ อยใู่ นระดบั มากท่ีสุด ( x = 4.78, SD. =0.48) เม่อื พิจารณารายข้อซง่ึ เรียงสามลาดบั แรกของ ความพึงพอใจจากมากที่สุดไป น้อยท่ีสุด ดังน้ี ผู้ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจมากท่ีสุด คือ ต้องการให้จัดกิจกรรมอีก คิดเป็นร้อย ละ ๙๗ฬ๗๓ ( x = ๔.๘๙,SD. =๐.๔๗) รองลงมา คือความสนุกสนานท่ีได้จากการจัดกิจกรรม คิดเป็น ร้อยละ ๙๗.๔๒ ( x = 4.87,SD. = 0.53) ความประทับใจในการจัดกิจกรรม คดิ เป็นรอ้ ยละ 96.49 ( x = 4.82,SD. = 0.41) การนาความรูท้ ่ีไดไ้ ปประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจาวัน คดิ เป็นรอ้ ยละ 96.39 ( x = 4.82,SD. = 0.4๙) ความเหมาะสมของสถานที่ คิดเป็นร้อยละ 95.67 ( x = 4.78, SD. = 0.51) ความรู้ ความเข้าใจ ที่ได้จากกิจกรรม คิดเป็นร้อยละ 95.36 ( x = 4.77,SD. = 0.49) ความรู้ท่ีได้จากการจัดนิทรรศการ คิดเป็นร้อยละ 94.85 ( x = 4.74,SD. = 0.36) การเตรียมความ พร้อม คดิ เป็นรอ้ ยละ 94.33 ( x = 4.72,SD. = 0.48) การมสี ว่ นรว่ มในการจัดกจิ กรรม คิดเปน็ รอ้ ยละ 94.85 ( x = 4.69,SD. = 0.58) และความพงึ พอใจนอ้ ยท่สี ุด คอื ความเหมาะของระยะเวลา คิดเป็น ร้อยละ 93.40 ( x = 4.67,SD. = 0.45) ตามลาดับ

ตารางแสดงผลการอา่ น คิดวเิ คราะห์ เขียน ปีการศกึ ษา 2562 ระดบั จานวน จานวนนกั เรยี นตามระดับคุณภาพ (การอ่านคิด วิเคราะห์ และเขยี น) ช้นั นักเรยี น ทงั้ หมด ดเี ยย่ี ม ดี ผา่ น ไม่ผ่าน จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ ป. ๑ 20 ๑๒ ๖๐.๐๐ ๖ ๓๐.๐๐ ๒ ๑๐.๐๐ - - ป. ๒ 34 ๑๕ ๔๔.๔๒ ๑๓ ๓๘.๒๔ ๖ ๑๗.๖๔ - - ป. ๓ 25 ๑๐ ๔๐.๐๐ ๑๑ ๔๔.๐๐ ๔ ๑๖.๐๐ - - ป. ๔ 30 ๑๗ ๕๖.๖๗ ๑๓ ๔๓.๓๓ - -- ป. ๕ 23 ๑๒ ๕๒.๑๗ ๙ ๓๙.๑๓ ๒ ๘.๗๐ - - ป. ๖ 25 ๑๑ ๔๔.๐๐ ๑๓ ๕๒.๐๐ ๑ ๔.๐๐ - - รวม 157 ๗๗ ๔๙.๐๕ ๖๕ ๔๑.๔๐ ๑๕ ๙.๕๕ - - ขน้ั ตอนการรว่ มปรับปรุง ( Act) เม่ือคณะกรรมการฝ่ายประเมินผลแล้วจึงได้จัดทาสรปุ ผลการดาเนินงาน ปัญหา อุปสรรค และ ข้อเสนอแนะกลุ่มงานผู้รับผิดชอบ และได้นาสารสนเทศท่ีได้นาเสนอต่อผู้บริหารและเผยแพร่ให้ผู้มีส่วน เกยี่ วข้องรบั ทราบ และนาผลการทาเนินงานมากปรับปรุงพฒั นาการงานใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากย่ิงขนึ้

บทท่ี 5 สรปุ ผล และขอ้ เสนอแนะ ผลการจัดกิจกรรม ตามโครงการการจัดการเรียนรทู้ ่เี น้นผเู้ รียนเป็นสาคญั ไดผ้ ลสรปุ ดังนี้ 1. วัตถปุ ระสงค์ 2. เป้าหมาย 3. เครอื่ งมอื ทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู 4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 5. สรปุ ผลการดาเนินการ 6. ข้อเสนอแนะ วตั ถุประสงค์ ๑. เพ่ือส่งเสริมและพัฒนากระบวนการการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย และเหมาะสมกับ พฒั นาการของผ้เู รยี น ๒ เพ่ือเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนอย่างหลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ศักยภาพ ของตนเองไดอ้ ย่างเตม็ ความสามารถ เป้าหมาย เชิงปรมิ าณ ๑. โรงเรียนมกี ระบวนการเรยี นรู้ที่หลากหลายสนองตอบความตอ้ งการของผู้เรยี น คดิ เป็นรอ้ ยละ ๘๕ ๒. ผเู้ รยี นมีความสามารถด้านการคิดวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และมีความสามารถตามจุดเนน้ คุณภาพการศึกษา คิดเปน็ รอ้ ยละ ๘๕ เชิงคุณภาพ โรงเรยี นมีกระบวนการเรียนสนองตอบความต้องการของผเู้ รียนได้อย่างมคี ุณภาพ เครื่องมอื ทีใ่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู เคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูลคร้ังนี้ 1. แบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรียน ผูป้ กครอง ผมู้ สี ่วนเกย่ี วขอ้ ง ทม่ี ตี อ่ การจดั กิจกรรม ภายใตโ้ ครงการการจดั การเรียนรทู้ ่ีเนน้ ผู้เรยี นเป็นสาคญั 2. แบบประเมินความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และมีความสามารถตามจุดเน้น คุณภาพการศกึ ษา

การเก็บรวบรวมขอ้ มูล มขี น้ั ตอนในการเก็บรวบรวมข้อมลู ดังนี้ 1. ผู้รับผิดชอบในแต่ละกิจกรรมแจก แบบสอบถามความพึงพอใจให้นักเรียน คณะครู ผู้ปกครอง ผู้มีส่วนเก่ียวของแต่ละกิจกรรมประเมินผลการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตามโครงการการจัดการ เรยี นรูท้ เี่ น้นผ้เู รยี นเป็นสาคัญ 2. ผู้รับผิดชอบแตล่ ะกจิ กรรมประเมนิ จากแบบประเมิน 3. ผรู้ ับผดิ ชอบแต่ละกจิ กรรมรายงานผลการจัดกิจกรรม สรุปผลการดาเนินการ 4. สรุปผลการประเมนิ โครงการ ผลการประเมนิ สรุปผลการประเมิน เป้าหมายเชิงปริมาณและ ค่าเปา้ หมาย ร้อยละ ๙๕.๕๔  ต่ากวา่ เป้าหมาย คุณภาพของโครงการ ระดบั คณุ ภาพ ดมี าก  ตามเปา้ หมาย โรงเรียนมีกระบวนการ รอ้ ยละ ๘๕ เ รี ย น รู้ ท่ี ห ล า ก ห ล า ย ระดบั คุณภาพ ดมี าก  สูงกว่าเป้าหมาย สนองตอบความตอ้ งการของ ผเู้ รยี น รอ้ ยละ ๑๐๐  ตา่ กว่าเป้าหมาย ผู้เรียนมีความสามารถด้าน ร้อยละ ๘๕ ระดบั คุณภาพ ดมี าก  ตามเปา้ หมาย การคดิ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ ระดับคณุ ภาพ ดมี าก แ ล ะ มี ค ว า ม ส า ม า ร ถ ต า ม  สูงกว่าเป้าหมาย จุดเนน้ คุณภาพการศกึ ษา. ดาเนินการจัดกิจกรรมต่างๆ ตามแผนปฏิบัติการประจาปีการศึกษา ๒๕๖๒ ภายใต้โครงการโดย ดาเนินการแล้วเสร็จ และสรุปรายงานต่อผู้บริหารท้ังสิ้น จานวน ๕ กิจกรรม สรุปโดยภาพรวม พบวา่ การจัดกิจกรรมทุกกิจกรรมท่ีจัดข้ึนภายใต้โครงการการจัดการเรียนร้ทู ่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ปีการศึกษา ๒๕๖๒ สาเรจ็ ลลุ ว่ งดว้ ยดีจากการสอบถามความคดิ เห็นของผู้มีส่วนเกยี่ วข้องในแต่ละกิจกรรม พบวา่ ผูม้ ี ส่วนเกีย่ วข้องสว่ นใหญ่มคี วามพงึ พอใจ ตอ่ การจดั กิจกรรมผลจากการวิเคราะห์ข้อมลู อยู่ในระดบั มากทีส่ ุด ปญั หา/ขอ้ เสนอแนะ 1. การดาเนินกจิ กรรมห้องเรยี นคุณภาพ ปัญหาที่พบคือขาดป้ายชื่อนกั เรียนท่ีเป็นภาษาอังกฤษ ใหเ้ พิ่มการใช้สื่อ ICT ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ พร้อมทาเล่มบนั ทกึ การใช้สือ่ ICT และสื่อ การเรียนรู้อ่นื ๆ 2. การดาเนินกิจกรรมสัปดาห์วิทยาศาสตร์ พบว่า เวลาในการดาเนินกิจกรรมน้อยไปทาให้การ เข้าฐานในแต่ละฐานเด็กนักเรยี นทากจิ กรรมไม่ทนั เวลา เหน็ ควรเพ่มิ เวลาในการจัดกิจกรรมใน ครง้ั ต่อไป

ภาคผนวก

แบบสอบถามความคดิ เหน็ ของผ้ปู กครองต่อการจัดกิจกรรมสัปดาห์วทิ ยาสาสตร์ ************************************************************************************** ต อ น ท่ี 1 ข้ อ มู ล เ ก่ี ย ว กั บ ส ถ า น ภ า พ แ ล ะ ข้ อ มู ล พื้ น ฐ า น ข อ ง ผู้ ต อ บ แ บ บ ส อ บ ถ า ม คาช้ีแจง โปรดใหร้ ายละเอียดท่ีเกี่ยวกับตัวทา่ น โดยเขียนเครอื่ งหมาย  ลงในหนา้ ขอ้ ความตามความเปน็ จรงิ เพศ  ชาย  หญงิ ตอนที่ 2 การประเมนิ ความคดิ เหน็ คาช้ีแจง เขียนเครอื่ งหมาย  ลงในช่องระดับความพึงพอใจตามความเป็นจรงิ ข้อ ขอ้ ความ ระดับความความคิดเหน็ 54321 1 การเตรียมความพร้อม 2 ความเหมาะสมของสถานท่ี 3 ความเหมาะของระยะเวลา 4 ความรู้ ความเขา้ ใจทไ่ี ดจ้ ากกิจกรรม 5 ความรู้ ความเขา้ ใจท่ไี ดจ้ ากวทิ ยากร 6 การมีสว่ นร่วมในการจดั กิจกรรม 7 การนาความรู้ทไ่ี ด้ไปประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตประจาวนั 8 ความประทับใจในการจัดกิจกรรม 9 เป็นกจิ กรรมท่ีมปี ระโยชน์ 10 ความตอ้ งการให้จัดกจิ กรรมเชน่ นอี้ ีก ขอ้ เสนอแนะเพ่มิ เติม ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… เกณฑ์การพิจารณาความคดิ เห็น ระดบั ความความคดิ เห็นมากทสี่ ดุ ระดับความความคิดเหน็ มาก 4.51–5.00 หมายความว่า 3.51–4.50 หมายความวา่ ระดบั ความความคดิ เห็นปานกลาง ระดับความความคดิ เหน็ พอใช้ 2.51–3.50 หมายความว่า ระดบั ความความคดิ เห็นปรับปรุง 1.51–2.50 หมายความวา่ 1.00–1.50 หมายความวา่

สรปุ ผลความคิดเห็น ของผู้ปกครองตอ่ การจัดกจิ กรรมตามโครงการ กิจกรรมงานสัปดาห์วทิ ยาศาสตร์ ผู้ตอบแบบสอบถาม นักเรียน.....๑๙๔....คน ครู......-.........คน ผู้ปกครองนักเรียน จานวน - คน ขอ้ ข้อความ รอ้ ยละระดับความคดิ เห็น เฉลีย่ 5 4 3 2 1 รายขอ้ 1 การเตรียมความพร้อม 158 17 19 ๐ ๐ 4.72 2 ความเหมาะสมของสถานท่ี 163 20 11 ๐ ๐ 4.78 3 ความเหมาะของระยะเวลา 148 28 18 ๐ ๐ 4.67 4 ความรู้ ความเขา้ ใจทไี่ ด้จากกจิ กรรม 165 13 16 ๐ ๐ 4.77 5 ความรู้ ความเข้าใจทไ่ี ดจ้ ากวทิ ยากร 160 18 16 ๐ ๐ 4.74 6 การมีสว่ นร่วมในการจดั กจิ กรรม 157 13 24 ๐ ๐ 4.69 7 การนาความรทู้ ี่ได้ไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจาวัน 168 17 9 ๐ ๐ 4.82 8 ความประทับใจในการจัดกจิ กรรม 168 18 8 ๐ ๐ 4.82 9 ความสนกุ สนานทีไ่ ด้จากการจดั กจิ กรรม 172 19 3 ๐ ๐ 4.87 10 ความต้องการให้จดั กิจกรรมเช่นนี้อกี 176 14 4 ๐ ๐ 4.89 ค่าเฉลย่ี 4.78 รอ้ ยละ 95.54 ข้อเสนอแนะ 1. อยากให้เพม่ิ เวลาในการทากิจกรรมแตล่ ะฐาน สรุป ผลการประเมนิ ความพึงพอใจของโครงการมีค่าเฉล่ีย ๔.๗๘ คิดเป็นร้อยละ ๙๕.๕๔ อยู่ในระดบั คุณภาพ มากทสี่ ดุ เกณฑ์การพจิ ารณาความคดิ เห็น ระดับความคดิ เห็นมากทีส่ ุด 4.51–5.00 หมายความวา่ ระดบั ความคดิ เห็นมาก 3.51–4.50 หมายความวา่ ระดบั ความคิดเหน็ ปานกลาง ระดบั ความคิดเหน็ พอใช้ 2.51–3.50 หมายความวา่ ระดับความคดิ เหน็ ปรบั ปรุง 1.51–2.50 หมายความวา่ 1.00–1.50 หมายความวา่

รายละเอยี ดโครงการ/กจิ กรรม โครงการ การจัดการเรียนรทู้ ่ีเนน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคญั ลกั ษณะโครงการ ( ) โครงการใหม่ ( ) โครงการต่อเน่ือง สนองยุทธศาสตร์สพป.นฐ๑ ข้อที่ ๒ สนองกลยทุ ธ์ สถานศึกษา ข้อท่ี ๒ สนองมาตรฐานสถานศกึ ษา ดา้ น ๒ งานวชิ าการ ผู้รบั ผดิ ชอบโครงการ นางสาวสุกาญจนา แก้วขาว ระยะเวลาดาเนินการ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ๑. หลักการและเหตผุ ล การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนท่ีหลากหลายเป็นภารกิจสาคัญของครูผู้สอนที่จะต้องมกี่ าร ดาเนินงานเป็นระเบียบแบบแผน ซึ่งเริ่มจากการวางจุดมุ่งหมายในการดาเนินงานน้ีจะต้องคานึงถึง มาตรฐานการเรียนรู้ และสอดคล้องเหมาะสมกับผู้เรยี น การจัดการเรยี นการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ น้ัน ครูและผู้เกี่ยวข้องต้องมีความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการจัดการอย่างแท้จริงและชัดเจน โดย คานึงถึงประโยชน์ในด้านการพัฒนาศักยภาพและทัศนคติของนักเรียนด้วย การดาเนินงานจึงต้องได้รับ ความร่วมมือและการประสานงานอย่างดีจากเจ้าหน้าท่ีผู้เกี่ยวข้อง กระบวนการเรยี นรู้ จะเป็นเครื่องมอื สาคัญในการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมผเู้ รยี น โรงเรยี นจึงต้องพัฒนากระบวนการเรยี นรใู้ หม้ ีคณุ ภาพ ๒. วัตถุประสงค์ ๑. เพ่อื สง่ เสริมและพัฒนากระบวนการการจัดการเรียนรทู้ ่ีหลากหลาย และเหมาะสมกับพัฒนาการของผู้เรียน ๒ เพื่อเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนอย่างหลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ศักยภาพของตนเองได้ อย่างเต็มความสามารถ ๓. เปา้ หมาย เชงิ ปริมาณ ๑. โรงเรียนมีกระบวนการเรียนรู้ท่หี ลากหลายสนองตอบความตอ้ งการของผูเ้ รยี น คดิ เปน็ รอ้ ยละ ๘๕ ๒. ผู้เรียนมีความสามารถด้านการคดิ วิเคราะห์ สังเคราะห์ และมีความสามารถตามจุดเน้นคุณภาพการศกึ ษา คิดเป็นรอ้ ยละ ๘๕ เชงิ คุณภาพ โรงเรยี นมีกระบวนการเรยี นสนองตอบความตอ้ งการของผเู้ รยี นได้อย่างมคี ุณภาพ

๔. กิจกรรมและข้ันตอนการดาเนินงาน ระยะเวลา ผูร้ ับผดิ ชอบ พฤษภาคม ๒๕๖๒ นางสาวสุกาญจนา แกว้ ขาว กจิ กรรม พฤษภาคม ๒๕๖๒ ผู้อานวยการโรงเรยี น ๑. ประชุมเสนอโครงการ นางสาวสุกาญจนา แก้วขาว คณะทางาน ๒. แตง่ ตัง้ คณะทางาน ๓ ประชมุ ชแี้ จงและจดั ทาปฎทิ นิ ปฏบิ ัตงิ าน มีนาคม ๒๕๖๓ นางสาวสกุ าญจนา แกว้ ขาว นางสาวสกุ าญจนา แก้วขาว ๔. ดาเนินกิจกรรม - กจิ กรรมการเรียนการสอนแบบ Active Learning - กจิ กรรมห้องเรียนคณุ ภาพ - กิจกรรมสปั ดาหว์ ิทยาศาสตร์ - กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบโครงงาน - กจิ กรรมส่งเสรมิ ความเปน็ เลิศ ทางวชิ าการ ๕. ตดิ ตามผลการดาเนินงาน ๖. ประเมนิ ความพึงพอใจของผทู้ ี่เกย่ี วขอ้ ง ๗. ประเมนิ ผลและสรปุ ผลการดาเนนิ งาน ๘ รายงานผลการดาเนินงาน ๕. งบประมาณรายรับ ทัง้ หมด จานวน ๔๙,๕๐๐ บาท ๕.๑ แหลง่ งบประมาณ () เงินอุดหนนุ จานวน ๔๙,๕๐๐ บาท ( ) เงนิ รายได้สถานศึกษา จานวน............................. บาท ( ) เงนิ จาก อปท.......... จานวน............................ บาท ( ) เงินบรจิ าค .......... จานวน............................ บาท ( ) จากแหลง่ อื่น ระบุ .........จานวน............................ บาท

๕.๒ รายละเอยี ดการใชง้ บประมาณ ที่ กจิ กรรม/รายการ งบประมาณ ใช้สอย วสั ดุ รวม รวม ตอบแทน ๕,๐๐๐ ๑ กจิ กรรมที่ ๑ ๓,๕๐๐ ๕,๐๐๐ กิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Active ๑๐,๐๐๐ Learning ๒๖,๐๐๐ ๑.๑ จัดทาเอกสารความรู้ ๑๖,๐๐๐ ๑๐,๐๐๐ ๑.๒ วัสดุ อปุ กรณ์ในการปฏิบัติ ๔๙,๕๐๐ ๒ กจิ กรรมท่ี ๒ กจิ กรรมการเรียนร้แู บบโครงงาน ๓ กจิ กรรมท่ี ๓ กิจกรรมส่งเสรมิ ความเป็นเลิศทางวิชาการ (การแข่งขนั ความสามารถทางวิชาการ) ๔ กจิ กรรมท่ี ๔ กจิ กรรมสัปดาหว์ ทิ ยาศาสตร์ ๕ กิจกรรมท่ี ๕ กิจกรรมห้องเรยี นคณุ ภาพ ๕.๑ ห้องเรียน ๕.๒ หอ้ งพิเศษ รวม ๖. ตวั ช้วี ัดความสาเร็จของโครงการ ผลผลิต (Output) ของโครงการ ตัวชวี้ ดั ค่าเปา้ หมาย ๑.โรงเรียนมีกระบวนการเรยี นรทู้ ี่ ๑.โรงเรียนมีกระบวนการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ผู้เรียนมีความสามารถด้านการคิดคิด หลากหลายสนองตอบความ สนองตอบความตอ้ งการของผเู้ รียน คดิ เป็นรอ้ ย วิ เ ค ร า ะ ห์ สั ง เ ค ร า ะ ห์ แ ล ะ มี ตอ้ งการของผ้เู รียน ละ ๘๕ ค ว า ม ส า ม า ร ถ ต า ม จุ ด เ น้ น คุ ณ ภ า พ ๒. ผู้เรียนมีความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ การศกึ ษา ๒. ผู้เรียนมีความสามารถดา้ นการ สังเคราะห์ และมีความสามารถตามจุดเน้น คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และมี คุณภาพการศกึ ษา คดิ เป็นร้อยละ ๘๕ ความสามารถตามจุดเน้นคุณภาพ ๓.โรงเรียนมีกระบวนการเรยี นสนองตอบความ การศึกษา ต้องการของผู้เรียนได้อย่างมีคุณภาพ คิดเป็น ๓.โรงเรียนมีกระบวนการเรียน รอ้ ยละ ๘๕ ส น อ ง ต อ บ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง ผู้เรียนไดอ้ ยา่ งมีคุณภาพ

๗. การประเมนิ ผล ตวั ชี้วัดความสาเรจ็ วิธกี ารประเมินผล เครื่องมือท่ใี ช้ - แบบประเมนิ ๑.โรงเรียนมีกระบวนการเรียนรู้ท่ี - การประเมนิ - แบบสอบถาม หลากหลายสนองตอบความต้องการ - การสัมภาษณ์ - แบบประเมนิ ของผู้เรยี น คดิ เป็นรอ้ ยละ ๘๕ - แบบประเมิน ๒. ผู้เรียนมีความสามารถด้านการคิด - การประเมนิ - แบบสอบถาม วิ เ ค ร า ะ ห์ สั ง เ ค ร า ะ ห์ แ ล ะ มี ค ว า ม ส า ม า ร ถ ต า ม จุ ด เ น้ น คุ ณ ภ า พ การศกึ ษา คดิ เปน็ รอ้ ยละ ๘๕ ๓ . โ ร ง เ รี ย น มี ก ร ะ บ ว น ก า ร เ รี ย น - การประเมนิ สนองตอบความต้องการของผู้เรียนได้ - การสมั ภาษณ์ อย่างมีคุณภาพ คิดเป็นรอ้ ยละ ๘๕ ๘. ผลทค่ี าดวา่ จะได้รบั ๑.โรงเรียนมกี ระบวนการเรียนรู้ท่ีหลากหลายสนองตอบความต้องการของผเู้ รียน ๒.ผู้เรียนมีความสามารถดา้ นการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และมีความสามารถตามจุดเนน้ คณุ ภาพการศึกษา ๓.โรงเรยี นมกี ระบวนการเรียนสนองตอบความต้องการของผ้เู รียนไดอ้ ย่างมีคุณภาพ (ลงชอ่ื )....................................................ผเู้ สนอโครงการ (นางสาวสกุ าญจนา แก้วขาว) (ลงชือ่ )................................................ผู้อนุมตั โิ ครงการ (นายธันวา อ่วมมณี) ผูอ้ านวยการโรงเรียนวดั ศาลาตึกสทิ ธชิ ยั วศิ าล

ภาพกิจกรรม การสอนแบบ Active Learning









ภาพกิจกรรม ห้องเรียนคุณภาพ