เร่ือง ๑. ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา ๒. หลกั การทางพระพุทธศาสนากบั วิทยาศาสตร์ ๓. การคิดตามนัยแหง่ พระพุทธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์ ๔. พระพุทธศาสนาเป็ นศาสตรแ์ หง่ การศึกษา ๕. พระพุทธศาสนาเน้นความสมั พนั ธข์ องเหตุปัจจยั และวธิ ีการแกป้ ัญหา โดย นางสาวทรพั ยม์ ณี นนทภ์ กั ดี นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปี ที่ 4 หอ้ ง 3 เสนอ คุณครู เพ็ญประภา คาภา รายวิชาสงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2563 โรงเรียนเซนตโ์ ยเซฟศรีเพชรบรู ณ์
๑. ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา ประชาธิปไตย คือ การปกครองท่ีถือวา่ บคุ คลทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกฐานะ และทุกอาชีพ มเี สรีภาพ สิทธิ หนา้ ที่และความรบั ผิดชอบต่อสงั คมและบา้ นเมอื ง เท่าเทียมกนั ไม่วา่ จะเป็ นทางดา้ นการปกครองและการดาเนินชวี ติ ของตนเอง ลกั ษณะของประชาธิปไตย ในพระพทุ ธศาสนา 1. พระพทุ ธศาสนามีพระธรรมวินัยเป็ นธรรมนูญหรอื กฎหมายสูงสุด พระธรรม คือ คาสอน ท่ีพระพุทธเจา้ ทรงแสดง พระวนิ ัย คือ คาสงั่ อนั เป็ น ขอ้ ปฏิบตั ิท่ีพระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิข้ นึ เมอ่ื รวมกนั เรียกวา่ พระธรรมวินัย
2. พระพทุ ธศาสนามีความเสมอภาคภายใตพ้ ระธรรมวินัย บคุ คลที่เป็ นวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู ร รวมท้งั พวกจณั ฑาล/ทาส เมื่อเขา้ มาอปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาแลว้ มคี วามเท่าเทียมกนั คือปฏบิ ตั ิตาม สิกขาบทเท่ากนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวุโส คือผอู้ ุปสมบทภายหลงั เคารพ ผอู้ ปุ สมบทกอ่ น 3. พระภกิ ษุในพระพุทธศาสนา มีสิทธิ เสรภี าพภายใตพ้ ระธรรมวินยั เช่น ภิกษุท่ีจาพรรษาอยดู่ ว้ ยกนั มสี ิทธิไดร้ บั ของแจกตามลาดบั พรรษา มีสิทธิ รบั กฐิน และไดร้ บั อานิสงสก์ ฐินในการแสวงหาจีวรตลอด 4 เดือนฤดหู นาว เท่าเทียมกนั นอกจากน้ันยงั มีเสรีภาพท่ีจะเดินทางไปไหนมาไหนไดจ้ ะอย่จู าพรรษา วดั ใดก็ได้ เลือกปฏบิ ตั ิกรรมฐานขอ้ ใด ถือธุดงควตั รขอ้ ใดก็ไดท้ ้งั ส้ ิน 4. มีการแบ่งอานาจ การกระจายอานาจ มอบภาระหนา้ ที่ให้ สงฆ์ รบั ผิดชอบในพ้ นื ฐานท่ีต่าง ๆ พระเถระผใู้ หญ่ บริหาร ปกครองหมคู่ ณะ ส่วนการบญั ญตั ิพระวินัย พระพุทธเจา้ จะทรงบญั ญตั ิเอง เชน่ มภี ิกษุผทู้ าผิดมาสอบสวนแลว้ จึงทรงบญั ญตั ิพระวนิ ัย ส่วนการตดั สินคดีเป็ นหนา้ ที่ ของพระวินัยธรรม ซ่ึงเท่ากบั ศาล 5. มีการรบั ฟังความเหน็ หรอื ฟังเสียงของเหล่าพทุ ธบรษิ ทั 4 กล่าวคือ ภิกษุทุกรปู มีสิทธิในการเขา้ ประชุม มสี ิทธิในการแสดงความคดิ เห็น ท้งั ในทางคดั คา้ นและในทางเห็นดว้ ยและนามาพจิ ารณาไตร่ตรอง
6. พระพุทธศาสนายดึ หลกั ความถกู ตอ้ งตามธรรมะและความเป็ น เอกฉนั ทใ์ นการลงมตใิ นที่ประชุม โดยใชห้ ลกั เสียงขา้ งมากเป็ นเกณฑต์ ดั สินในท่ีประชุมสงฆ์ เรียกว่า วธิ ีเยภุยยสิกา ประกอบกบั หลกั ความถูกตอ้ งตามศีลวนิ ัยสงฆแ์ ละหลกั ธรรมะอืน่ ๆ ประกอบการ พจิ ารณาร่วมกนั 7. พระพุทธศาสนามีหลกั ธรรมสนับสุนนการประชุมในหมู่สงฆแ์ ละ เคารพกฎ ของการประชุม คือ หลกั ธรรมเร่ือง “อปริหานิยธรรม” มี 7 ประการ เช่น หมนั่ ประชุมเป็ นเนืองนิตย์ เขา้ ประชุมและเลิกประชุมพรอ้ มเพรียงกนั เป็ นตน้ 8. จดุ มุ่งหมายสูงสุดของพระพทุ ธศาสนา คือ มุ่งสู่อิสรภาพ (หมายถึงบคุ คลเป็ นอสิ ระจากกเิ ลสกองทุกขเ์ คร่ืองเศรา้ หมองท้งั ปวง) หรือเรียกว่า “วมิ ุติ” 9. พระพุทธศาสนาสอนใหช้ าวพุทธมีเสรภี าพทางความคิดและปฏิบตั ิ ใหเ้ กิดศรทั ธาดว้ ยปัญญา โดยไมม่ ีการบงั คบั 10. พระพุทธศาสนายดึ หลกั ธรรมาธิปไตย โดยใชเ้ หตุผลเป็ นใหญ่ มใิ ชย่ ึดในตวั บคุ คล
๒. หลกั การทางพระพุทธศาสนากบั วิทยาศาสตร์ ๑) จดุ มงุ่ หมายของวิทยาศาสตรก์ บั พทุ ธศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ พทุ ธศาสตร์ แกไ้ ขปรากฏการณต์ ่างๆ ท่ีเกิดข้ ึน เขา้ ใจกฎเกณฑธ์ รรมชาติในนิยาม ๕ ตอ้ งการรจู้ กั กฎเกณฑข์ องธรรมชาติ คือ อุตุ , พีช , จติ , กรรม , ธรรมชาติ ตอ้ งการใหร้ กู้ ฎเกณฑค์ วามจริงของชีวติ มนุษย์
๒) ความเช่ือ ตามหลกั วทิ ยาศาสตร์ การจะเช่ือส่ิงใดตอ้ งพสิ จู น์ใหเ้ ห็นจริงเสียก่อน เอาปัญญาและเหตุผลเป็ นตวั ตดั สินความจริง หลกั พทุ ธศาสนาถือวา่ ความจริง จะตอ้ งพสิ จู น์ไดด้ ว้ ยการปฏบิ ตั ิ ดุจ หลกั กาลามสตู ร และที่ไหนมศี รทั ธาที่นัน่ จะตอ้ งมีปัญญา ๓) ความคลา้ ยกนั ของความคิดแบบพทุ ธ กบั ความคิดแบบวิทยาศาสตร์ ๓.๑ สืบสาวหาเหตผุ ลของปรากฏการณแ์ ละของทกุ ข์ ๓.๒ การเร่ิมตน้ หาความจริงจากประสบการณ์ อายตนะ และสภาวธรรม คือ เกิด แก่ เจบ็ ตาย ๓.๓ กระบวนความคิด มีดงั น้ ี กระบวนการวิทยาศาสตร์ กระบวนการพทุ ธศาสตร์ ๑. ต้งั ปัญหาใหช้ ดั ๑. ทุกข-์ ปรากฏการณท์ างธรรมชาติ ๒. ต้งั คาถามชวั่ คราวเพอื่ ตอบทดสอบ ๒. หาคาตอบจากลทั ธิ ๓. รวบรวมขอ้ มลู ๓. ลองปฏบิ ตั ิโยคะ ๔. วเิ คราะหข์ อ้ มลู ๔. รวบรวมผลการปฏบิ ตั ิ ๕. ถา้ คาตอบชวั่ คราวถูกต้งั ทฤษฎไี ว้ ๕. ผิดก็เปล่ียน ถูกก็ดาเนินถึงจุดหมาย ๖. นาไปประยุกตแ์ กป้ ัญหา ๖. เผยแผ่แกช่ าวโลก
๔) ความสอดคลอ้ งและความแตกต่างระหว่าง พระพทุ ธศาสนากบั หลกั วิทยาศาสตร์ ๔.๑ หลกั ไตรลกั ษณ์ คือ อนิจจงั (impermanent) ทกุ ขงั (conflict) และอนตั ตา (no-self) ๔.๒ ท้งั วิทยาศาสตรแ์ ละพทุ ธศาสตรย์ อมรบั สสารวตั ถุ ซ่ึงรูจ้ กั ไดด้ ว้ ย ประสาทสมั ผสั ทง้ั ๕ ว่ามีจริง - วิทยาศาสตรย์ งั ไม่ยอมรบั โลกท่ีพน้ จากสสารวตั ถุเพราะเชื่อว่าประสาท สมั ผสั เป็ นเครื่องมือสุดทา้ ยที่จะตอ้ งตดั สินความจริง - พทุ ธศาสนาเช่ือว่า สจั ธรรมช้นั สูงคือมรรค ผล นิพพาน ไม่อาจจะรูไ้ ด้ ดว้ ยประสาทสมั ผสั รูไ้ ดด้ ว้ ยปัญญินทรีย์ ๔.๓ การอธิบายความจริง วิทยาศาสตรถ์ ือว่าความจริงเป็ นสิ่งสาธารณะ สามารถพิสูจนไ์ ดส้ จั ธรรมทางพทุ ธ มีทง้ั สิ่งสาธารณะและปัจจตั ตงั เวทิตพั โพ วิญญูหิ - อนั วิญญชู นจะพงึ รูไ้ ดเ้ ฉพาะตน สรุปความวา่ ความแตกต่างระหว่างพุทธศาสตร์ กบั วทิ ยาศาสตร์ที่สาคญั คือ วิทยาศาสตร์ ไม่สนใจเร่ืองศีลธรรม ความดีความชว่ั วางตวั เป็นกลางในเรื่องถกู ผดิ การคน้ พบทางวิทยาศาสตร์ ใหท้ ้งั คุณอนนั ตแ์ ละโทษมหนั ต์ คาสอนทางพทุ ธศาสนา เป็นเร่ืองศีลธรรม ความดี ความชวั่ มุ่งทีจ่ ะใหม้ นุษย์ ในสงั คมมีความสุขเป็นลาดบั ข้ึนไปเรื่อยๆ จนถงึ ความสงบสุขอนั สูงสุดแลว้ แต่ว่า ใครจะไปไดแ้ ค่ไหน
๓. การคิดตามนยั แห่งพระพทุ ธศาสนา และการคิดแบบวิทยาศาสตร์ พระพุทธศาสนากบั วิทยาศาสตร์ มีวธิ ีการที่เป็นระบบเหมือนกนั ดงั น้ี 1) วิธีคิดตามนยั แห่งพระพทุ ธศาสนา เป็นกระบวนการคิดพจิ ารณาคน้ ควา้ หาคาตอบ สรุปได้ 2 วิธี ดงั น้ี 1) คิดโดยสืบ • การสงั เกตสภาพของคนแก่ คนเจ็บ คนตาย สาวจากผลไป (เปน็ ผล) หาเหตุ • คิดตามหลักอรยิ สจั 4 (ทุกข์, สมุทยั , นโิ รธ, มรรค) 2) คิดโดยสบื • การคดิ จะลงมอื ปฏบิ ตั โิ ดยวธิ กี ารตา่ ง ๆ สาวจากเหตุไป • เช่น การบาเพญ็ เพยี รทางจติ จะส่งผลให้เกดิ การรู้ หาผล แจ้งในสจั ธรรม
2) วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ เป็นการคิดใชเ้ หตุผล หรือคดิ ตามกระบวนการของ “วิธกี าร วิทยาศาสตร์ ” โดยเร่ิมตง้ั แต่ การสงั เกต การรวบรวมขอ้ มูล การตง้ั สมมตฐิ าน การทดสอบ และการสรุปผลตามลาดบั 3) ความสอดคลอ้ งกนั ระหว่างแนวคิด ของพระพทุ ธศาสนากบั วิทยาศาสตร์ 1. ความไมเ่ ที่ยง • พทุ ธศาสนาเชอ่ื ทกุ สิง่ เกดิ ขนึ้ และดาเนินเป็นไปตาม ของสรรพสิ่งในโลก กฎแหง่ กรรม : ไตรลักษณ์ • วทิ ยาศาสตรเ์ ช่อื ทว่ี ่าทกุ สิ่งในจกั รวาลมีการเคล่อื นไหวหรอื เปลย่ี นแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไม่หยดุ นิ่ง 2. มนษุ ย์คอื • ไม่ได้เกดิ จากการปัน้ แต่งของพระเจ้า ผลผลิตของ ธรรมชาติ • พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้เช่อื อะไรง่าย ๆ (หลกั คาสอนเรื่อง กาลามาสตู ร) โดยไมไ่ ด้พสิ ูจนใ์ หป้ ระจักษ์ด้วยประสบการณ์ ของตนเองเสียก่อน ซึ่งสอดคล้องกับหลักแนวคิดของ 3. การพสิ จู น์ความ วทิ ยาศาสตร์เชน่ กนั จริงอย่างเสรแี ละมี เหตผุ ล
4) ความแตกต่างในแนวคิดระหว่าง พระพทุ ธศาสนากบั วิทยาศาสตร์ • พทุ ธศาสนา ใชห้ ลกั คาสอนเร่อื ง เบญจขันธ์และนามขันธ์ 4 1. คาสอนเรื่อง • วทิ ยาศาสตร์ไม่สามารถใชเ้ คร่ืองมือพิสจู น์ให้ประจกั ษ์ได้ ของจิต • ในพระพธุ ศาสนา คอื การเขา้ ถงึ โลกตุ ระ (ปัญญาท่ีหลดุ พ้น จากกเิ ลสหรือวสิ ยั ทางโลก) โดยวิธฝี กึ อบรมวปิ สั สนาจนเกดิ ปญั ญารู้แจง้ ตามความจริง ซงึ่ เป็นสง่ิ ที่วทิ ยาศาสตร์ 2. คาสอนเร่ือง ยังไมย่ อมรบั ปญั ญา
๔. พระพุทธศาสนาเป็ นศาสตรแ์ ห่งการศึกษา ศึกษา ตรงกบั คาวา่ “สกิ ขา” ในภาษาบาลี การศึกษา หมายถึงการเรียนรู้ การเรียนรู้ คือ การเปล่ียนแปลง พฤติกรรมไปในทางที่ดีข้ ึน ท้งั ดา้ น กาย วาจา และจิตใจ พุทธศาสนามุง่ สอนคนใหเ้ ป็ นคนดี คนเกง่ และอยใู่ นสงั คม ไดอ้ ยา่ งมีความสุข ไตรสกิ ขา คือการเรียนรู้ ใน 3 เรื่องต่อไปน้ ี ไดแ้ ก่ 1. ศลี คือการควบคุมกาย วาจา ใหป้ กติ ไมท่ าใหผ้ อู้ ่ืน เดือดรอ้ นโดยการถือศีล 2. สมาธิ คือ การอบรมจิต ใหเ้ ขม้ แข็งอดทน ใหด้ ีงาม และแจม่ ใสร่าเริง 3. ปัญญา คือ ความเขา้ ใจสรรพสิ่งจนรเู้ ทา่ ทนั ธรรมดา ของโลกและชีวติ
การศึกษาเร่ือง ศีล สมาธิ และปัญญา โดยสมั พนั ธก์ บั มรรคมอี งค์ 8 ดงั น้ ี สัมมาวาจา ศีล สมั มาอาชวี ะ สมั มากัมมันตะ ไตรสิขา สัมมาวายามะ กบั มรรค 8 สมาธิ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ สัมมาทฏิ ฐิ ปัญญา สมั มาสังกัปปะ
๕. พระพทุ ธศาสนาเนน้ ความสมั พนั ธ์ ของเหตปุ ัจจยั และวิธีการแกป้ ัญหา หลกั ของเหตปุ ัจจยั คือกฎท่ีเรียกวา่ \"กฎปฏิจจสมุปบาท\" เป็ นหลกั ความจริงพ้ ืนฐานวา่ ส่ิงหน่ึงส่ิงใดจะเกดิ ข้ ึนมาลอย ๆ ไมไ่ ด้ หรือในชีวติ ประจาวนั ของเรา \"ปัญหา\"ที่เกิดข้ ึนกบั ตวั เราจะเป็ น ปัญหาลอย ๆ ไมไ่ ด้ จะตอ้ งมีเหตุปัจจยั หลายเหตุที่กอ่ ใหเ้ กดิ ปัญหา ข้ ึนมา หากเราตอ้ งการแกไ้ ขปัญหากต็ อ้ งอาศยั เหตุปัจจยั ในการ แกไ้ ขหลายเหตุปัจจยั ไมใ่ ชม่ เี พียงปัจจยั เดียวหรือมีเพียงหนทาง เดียวในการแกไ้ ขปัญหา เป็ นตน้
กฎปฏิจจสมุปบาท คือ กฎแหง่ เหตุผลท่ีวา่ ถา้ สิ่งน้ ีมี ส่ิงน้ันกม็ ี ถา้ สิ่งน้ ีดบั ส่ิงน้ันกด็ บั มีองคป์ ระกอบ 12 ประการ คือ 1.อวชิ ชา คอื ความไม่รูแ้ จง้ ในอริยสัจ 4 2.สังขาร คอื ความคดิ ปรงุ แต่ง 3.วิญญาณ คือ ความรับรู้ต่ออารมณ์ต่างๆ เช่น เห็น ได้ยิน ไดก้ ล่นิ รู้รส รู้สัมผัส 4.นามรูป คือ ความมีอย่ใู นรปู ธรรมและนามธรรม ได้แก่ กาย กบั จิต 5.สฬายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ 6.ผัสสะ คือสมั ผสั การกระทบทีใ่ ห้เกดิ ความรู้สกึ 7.เวทนา คือ ความรสู้ กึ ว่าเป็นสขุ ทุกข์ 8.ตัณหา คอื ความทะเยอทะยาน ความอยาก 9.อปุ าทาน คอื ความยึดมั่นถือม่ันในตวั ตน 10.ภพ สภาวะของจิต หรอื บทบาทที่ตกลงใจ 11.ชาติ คือ ความเกิด ความตระหนักในตัวตน ตระหนักใน พฤติกรรมของตน 12.ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปา ยาสะ คือ ความแก่ ความตาย ความโศกเศร้า ความคร่า ครวญ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจและความ กลุ้มใจ
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: