เร่ือง ๑.ลกั ษณะประชาธปิ ไตยในพระพุทธศาสนา ๒.หลกั การทางพระพทุ ธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ ๓.การคดิ ตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ ๔.พระพุทธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา ๕.พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั โดย นางสาว ปณิชา กเิ รียง เลขที่ 16 นกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 4 ห้อง3 เสนอ คุณครู เพญ็ ประภา คาภา รายวชิ าสังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
ประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา 1. พระพทุ ธศาสนามีพระธรรมวินยั เป็นธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด พระธรรม คือ คาสอนที่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง พระวนิ ยั คือ คาสั่งอนั เป็นขอ้ ปฏิบตั ิท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ขิ ้ึนเม่ือรวมกนั เรียกวา่ พระธรรมวินยั ก่อนที่พระองคจ์ ะเสดจ็ ปรินิพพานเพียงเลก็ นอ้ ยไดท้ รงมอบให้พระธรรมเป็นพระศาสดาแท นพระองค์ 2. พระพุทธศาสนามีความเสมอภาคภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั บคุ คลท่ีเป็นวรรณะกษตั ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรมาแตเ่ ดิม รวมท้งั คนวรรณะต่ากวา่ น้นั เช่นพวกจณั ฑาล พวกทาส เมื่อเขา้ มาอุปสมบทในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งถกู ตอ้ งแลว้ มีความเท่าเทียมกนั คอื ปฏิบตั ิตามสิกขาบทเทา่ กนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวุโส คอื ผอู้ ุปสมบทภายหลงั เคารพผอู้ ปุ สมบทก่อน
3. พระภิกษใุ นพระพทุ ธศาสนา มีสิทธิ เสรีภาพภายใตพ้ ระธรรมวินยั เช่น ภิกษุท่ีจาพรรษาอยดู่ ว้ ยกนั มีสิทธิไดร้ ับของแจกตามลาดบั พรรษา มีสิทธิรับกฐิน และไดร้ ับอานิสงส์กฐินในการแสวงหาจีวรตลอด 4 เดือนฤดหู นาวเท่าเทียมกนั นอกจากน้นั ยงั มีเสรีภาพท่ีจะเดินทางไปไหนมาไหนได้ จะอยจู่ าพรรษาวดั ใดกไ็ ดเ้ ลือกปฏิบตั ิกรรมฐานขอ้ ใด ถือธุดงควตั รขอ้ ใดกไ็ ดท้ ้งั สิ้น 4. มีการแบง่ อานาจ การกระจายอานาจ มอบภาระหนา้ ท่ีใหส้ งฆร์ ับผดิ ชอบในพ้นื ฐานที่ตา่ ง ๆ พระเถระผใู้ หญท่ าหนา้ ทีบ่ ริหารปกครองหมู่คณะ ส่วนการบญั ญตั ิพระวนิ ยั พระพุทธเจา้ จะทรงบญั ญตั ิเอง เช่น มีภิกษุผทู้ าผดิ มาสอบสวนแลว้ จึงทรงบญั ญตั ิพระวินยั ส่วนการตดั สินคดตี ามพระวนิ ยั ทรงบญั ญตั ิแลว้ เป็นหนา้ ท่ขี องพระวนิ ั ยธรรมซ่ึงเทา่ กบั ศาล 5. มีการรับฟังความเห็น หรือฟังเสียงของเหลา่ พุทธบริษทั 4 กลา่ วคือ ภิกษทุ กุ รูปมีสิทธิในการเขา้ ประชุม มีสิทธิในการแสดงความคดิ เห็นท้งั ในทางคดั คา้ นและในทางเหน็ ดว้ ย และนามาพจิ า รณาไตร่ตรอง
6. พระพทุ ธศาสนายดึ หลกั ความถูกตอ้ งตามธรรมะและความเป็นเอกฉนั ทใ์ นการลงมติในท่ีประชุม โดยใชห้ ลกั เสียงขา้ งม ากเป็นเกณฑต์ ดั สินในทปี่ ระชุมสงฆ์ เรียกวา่ วิธีเยภุยยสิกา ประกอบกบั หลกั ความถกู ตอ้ งตามศีลวินยั สงฆแ์ ละหลกั ธรรมะอ่ืน ๆ ประกอบการพจิ ารณาร่วมกนั 7. พระพทุ ธศาสนามีหลกั ธรรมสนบั สุนนการประชุมในหมู่สงฆแ์ ละเคารพกฎของการประชุม คือ หลกั ธรรม เร่ือง “อปริหานิยธรรม” มี 7 ประการ เช่น หมน่ั ประชุมเป็นเนืองนิตย์ เขา้ ประชุมและเลิกประชุมพร้อมเพรียงกนั เป็นตน้ 8. จดุ มุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คอื มงุ่ สู่อสิ รภาพ (หมายถึงบุคคลเป็นอสิ ระจากกิเลสกองทุกขเ์ คร่ืองเศร้าหมองท้งั ปวง) หรือเรียกวา่ “วมิ ุติ” 10. พระพุทธศาสนายดึ หลกั ธรรมาธิปไตย โดยใชเ้ หตุผลเป็นใหญ่ มใิ ช่ยดึ ในตวั บุคคล
หลกั การพระพทุ ธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ ๑. จุดมุ่งหมายของวทิ ยาศาสตร์กบั พทุ ธศาสนา วทิ ยาศาสตร์ พทุ ธศาสตร์ - แก้ไขปรากฏการณ์ตา่ งๆ ทเี่ กิดขนึ ้ - เข้าใจกฎเกณฑ์ธรรมชาตใิ นนยิ าม ๕ คอื อตุ ุ, พชี , จติ , - ต้องการรู้จกั กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ กรรม, ธรรมชาติ - ต้องการให้รู้กฎเกณฑ์ความจริงของชวี ิตมนษุ ย์ ๒. ความเชื่อ ตามหลกั วทิ ยาศาสตร์ การจะเชือ่ ส่งิ ใดต้องพิสจู น์ให้เห็นจริงเสยี ก่อน
เอาปัญญาและเหตผุ ลเป็นตวั ตดั สนิ ความจริง หลกั พทุ ธศาสนาถอื ว่า ความจริงจะต้องพสิ จู น์ได้ด้วยการปฏบิ ตั ิ ดจุ หลกั กาลามสตู ร และที่ไหนมศี รัทธาท่นี น่ั จะต้องมีปัญญา ๓. ความคดิ แบบพทุ ธกบั ความคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์คล้ายกนั คอื ๓.๑ สืบสาวหาเหตผุ ลของปรากฏการณ์และของทกุ ข์
๓.๒ การเริ่มต้นหาความจริงจากประสบการณ์ อายตนะ และสภาวธรรม คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ๓.๓ กระบวนความคดิ มดี งั นี้ กระบวนการวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการพทุ ธศาสตร์ ๑. ตงั ้ ปัญหาให้ชดั ๑.ทกุ ข์-ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ๒. ตงั ้ คาถามชวั่ คราวเพอื่ ตอบทดสอบ ๒. หาคาตอบจากลทั ธิ ๓. รวบรวมข้อมลู ๓. ลองปฏบิ ตั โิ ยคะ ๔. วเิ คราะห์ข้อมลู ๔. รวบรวมผลการปฏบิ ตั ิ ๕. ถ้าคาตอบชว่ั คราวถกู ตงั ้ ทฤษฎไี ว้ ๕. ผดิ กเ็ ปลี่ยน ถกู กด็ าเนินถงึ จดุ หมาย ๖. นาไปประยกุ ต์แก้ปัญหา ๖. เผยแผแ่ ก่ชาวโลก
๔. ความสอดคล้องและความแตกต่างระหว่างพระพทุ ธศาสนากบั หลกั วิทยาศาสตร์ ๔.๑ หลกั ไตรลกั ษณ์ คืออนิจจงั (impermanent) ทกุ ขงั (conflict) และอนตั ตา (no-self)
๔.๒ การยอมรบั โลกท่ีอยพู่ ้นสสารวตั ถุ (Metaphysics) ทงั้ วทิ ยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ยอมรับสสารวัตถุ ซงึ่ รู้จกั ได้ด้วยประสาทสมั ผสั ทงั้ ๕ วา่ มจี ริง โลกท่พี ้นจากสสารวัตถุวิทยาศาสตร์ยงั ไม่ยอมรับเพราะเช่ือว่าประสาทสมั ผสั เป็นเครื่องมอื สดุ ท้าย ทจ่ี ะต้องตดั สนิ ความจริง พทุ ธศาสนาเช่ือว่า สจั ธรรมชนั้ สงู คือมรรค ผล นพิ พาน ไม่อาจจะรู้ได้ด้วยประสาทสมั ผสั รู้ได้ด้วยปัญญินทรีย์ การอธบิ ายความจริง วทิ ยาศาสตร์ถอื วา่ ความจริงเป็นสงิ่ สาธารณะสามารถพสิ จู นไ์ ด้ สจั ธรรมทางพทุ ธ มีทงั้ สงิ่ สาธารณะและปัจจตั ตงั เวทติ พั โพ วญิ ญหู ิ - อนั วญิ ญชู นจะพงึ รู้ได้เฉพาะตน การคดิ ตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์
พระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนามหี ลกั การดา้ นความเชื่อ ดงั ปรากฏอยใู่ นกาลามสูตรซ่ึงพระพทุ ธ- เจา้ ทรงสอนไมใ่ ห้เชื่ออย่างงมงายไร้เหตผุ ล พระพุทธเจา้ แทนที่จะตรัสเหมอื นกบั สมณพราหมณเ์ หล่าอื่นที่เคยพูดมาแลว้ พระองค์ไมไ่ ดท้ รงสรรเสริญคาสอนของพระองค์ และก็ไมท่ รงติเตียนคาสอนศาสนาของผอู้ ่ืนแต่พระองคก์ ลบั ตรัสอีกแบบหน่ึง การพดู แบบน้ีเป็นลกั ษณะของวทิ ยาศาสตร์ปัจจุบนั คือพระองคไ์ ดก้ ล่าวถงึ ส่ิงท่ีไมค่ วรเช่ือ 10 ประการโดยตรัสวา่ ทา่ นท้งั หลายจงฟัง 1. อยา่ เช่ือโดยฟังตามกนั มา 2. อยา่ เช่ือโดยเขา้ ใจว่าเป็นของเก่าสืบ ๆ กนั มา 3. อยา่ เช่ือเพราะต่ืนขา่ ว 4. อยา่ เชื่อเพราะตารากล่าวไว้ 5. อยา่ เช่ือโดยนึกเดา 6. อยา่ เชื่อโดยการคาดคะเน 7. อยา่ เช่ือโดยพิจารณาตามอาการ 8. อยา่ เช่ือเพราะชอบใจว่าสอดคลอ้ งกบั ความเชื่อเดิ มหรือลทั ธิของตน 9. อยา่ เชื่อเพราะนบั ถอื ตวั ผูพ้ ดู วา่ ควรเช่ือได้ 10. อยา่ เชื่อเพราะผูบ้ อกเป็นครู อาจารยข์ องตน
หลกั การเหลา่ น้ีไมแ่ ตกต่างกบั หลกั การของวิทยาศาสตร์ ซ่ึงเนน้ เร่ือง “วกิ ฤต วจิ ารณญาณ” คือ การพิจารณาส่ิงใดตอ้ งรอบคอบและถี่ถว้ นมากที่สุด แนวคิดเก่ียวกบั ธรรมชาติของสรรพส่ิง ท้งั ท่ีมีชีวติ และไม่มีชีวติ หากนามาเปรียบเทียบกนั ระหวา่ งวทิ ยาศาสตร์กบั พระพทุ ธศาสนา จะเห็นวา่ มีความสอดคลอ้ งกนั อยา่ งดี ดงั เปรียบเทียบต่อไปน้ี (วทิ ยาศาสตร์) สรรพส่ิงในจกั รวาลอาจแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 องคป์ ระกอบ คือ 1. สสาร 2. พลงั งาน (พระพุทธศาสนา)1. รูปตา่ ง ๆ แบง่ ออกไดเ้ ป็น “ธาตุ” หรือ “ธรรมชาติ” 4 ประเภท • ดิน • น้า • ลม • ไฟ พระพุทธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา ศึกษา ตรงกบั คำวำ่ “สิกขำ” ในภำษำบำลี กำรศึกษำ หมำยถึงกำรเรียนรู้ กำรเรียนรู้คือ กำรเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทำงท่ีดีข้นึ ท้งั ดำ้ น กำย วำจำ และจิตใจ พุทธศำสนำมงุ่ สอนคนใหเ้ ป็นคนดี คนเก่ง และอยใู่ นสังคมไดอ้ ยำ่ งมีควำมสุข
ไตรสิกขา คือกำรเรียนรู้ ใน 3 เรื่อง ต่อไปน้ี ไดแ้ ก่ 1. ศลี คือกำรควบคุมกำย วำจำ ให้ปกติไม่ทำให้ผูอ้ ่ืนเดือดร้อนโดยถือศลี 2. สมำธิ คือ กำรอบรมจิต เขม้ แขง็ อดทน ใหด้ ีงำม และแจ่มใสร่ำเริง 3. ปัญญำ คอื ควำมเขำ้ ใจสรรพส่ิงจนรู้เทำ่ ทนั ธรรมดำของโลกและชีวติ ไตรสิกขา กำรศึกษำเรื่อง ศีล สมำธิ และปัญญำ โดยสัมพนั ธก์ บั มรรคมีองค์ 8 ดงั น้ี 1. ศีล ไดแ้ ก่ กำรศกึ ษำเรื่อง สัมมำวำจำ , สมั มำอำชีวะ และสมั มำกมั มนั ตะ 2. สมำธิ ไดแ้ ก่กำรศึกษำเร่ือง สมั มำวำยำมะ, สัมมำสติ และสมั มำสมำธิ 3. ปัญญำ ไดแ้ ก่กำรศกึ ษำเรื่อง สมั มำทิฏฐิ และสัมมำสังกปั ปะ ในมรรค 8
สรุป ศีลคือกำรรู้จกั ควบคุมกำย และวำจำ ของตนไม่ใหพ้ ดู ชว่ั และทำชวั่ ดว้ ยกำรถือศีล พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจัย พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสนาของเหตุผล คือ เน้นว่าสรรพสิ่งที่เกดิ ขนึ้ มาในโลกน้ีเกิดขนึ้ มาเพราะมเี หตุปัจจัย และเส่ือมสลายไปเมื่อหมดเหตปุ ัจจัย ไม่มีส่งใดกิดขนึ้ มาลอยๆหริอดบั สลายไปเฉยๆโดยไม่มีเหตุปัจจยั การที่พระพทุ ธศาสนาสอนเน้นเหตผุ ลทงั้ ปัจจยั กเ็ พอื่ ให้นศิ าสนกิ ชนรู้จกั มอบสิ่งทงั้ หลายตามท่ีเป็นจริง ทาให้สายตากว้างไกล เข้าใจสงิ่ ทงั้ หลายได้กว้างขวางลกึ ซงึ ้ และนาไปส่คู วามเป็นคนมีใจกว้าง ไมย่ ดึ ตดิ แงม่ มุ ใดในแง่มมุ หนงึ่ และทส่ี าคญั การเข้าใจเหตปุ ัจจยั ของสิง่ ทงั้ หลายตามทเ่ี ป็นจริง จะสามารถแก้ปัญหาทีเ่ กิดขนึ ้ ได้ตรงจดุ และถกู ต้องด้วยดงั จะอธิบายดงั ตอ่ ไปนี ้
(1 (11.)ทาใหเ้ ป็นคนมีเหตผุ ล คือ มีความเช่ือมน่ั วา่ สรรพส่ิงจะเกิดหรือดบั เพราะมีเหตุปัจจยั ไม่มีส่ิงใดเกิดข้ึนมาลอยๆโดยไร้เหตุปัจจยั ( 2.) ทาใหเ้ ป็นคนสายตากวา้ งไกล มองอะไรก็เขา้ ใจกวา้ งขวางลึกซ้ีง (33.) ทาใหเ้ ป็นคนมีใจกวา้ ง ยอบรับความคิดเห็นของคนอ่ืนและเห็นความสาคญั ของคนอ่ืน (44.) ทาใหเ้ ป็นคนไมย่ ดึ มน่ั ถือมนั่ (5 5.) ทาใหแ้ กป้ ัญหาได้
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: