เรื่อง ๑.ลกั ษณะประชาธปิ ไตยในพระพทุ ธศาสนา ๒.หลกั การทางพระพทุ ธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ ๓.การคดิ ตามนัยแห่งพระพทุ ธศาสนาและการคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ ๔.พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา ๕.พระพทุ ธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจัย โดย นางสาวชมพูพรรณ ทองคาสุก เลขท่ี 25 นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ห้อง3 เสนอ คุณครู เพญ็ ประภา คาภา รายวชิ าสังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
ประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา 1. พระพทุ ธศาสนามีพระธรรมวนิ ยั เป็นธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด พระธรรม คอื คาสอนที่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง พระวนิ ยั คอื คาสง่ั อนั เป็นขอ้ ปฏิบตั ิที่พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ิข้ึนเม่ือรวมกนั เรียกว่า พระธรรมวนิ ยั ก่อนท่ีพระองคจ์ ะเสดจ็ ปรินิพพานเพยี งเลก็ นอ้ ยไดท้ รงมอบให้พระธรรมเป็นพระศาสดาแทนพระองค์
2. พระพทุ ธศาสนามีความเสมอภาคภายใตพ้ ระธรรมวินยั บคุ คลที่เป็นวรรณะกษตั ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรมาแตเ่ ดิม รวมท้งั คนวรรณะต่ากว่าน้นั เช่นพวกจณั ฑาล พวกทาส เม่ือเขา้ มาอุปสมบทในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งถูกตอ้ งแลว้ มีความเท่าเทียมกนั คอื ปฏิบตั ิตามสิกขาบทเทา่ กนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวโุ ส คอื ผอู้ ุปสมบทภายหลงั เคารพผอู้ ปุ สมบทก่อน 3. พระภิกษใุ นพระพทุ ธศาสนา มีสิทธิ เสรีภาพภายใตพ้ ระธรรมวนิ ยั เช่น ภิกษทุ ่ีจาพรรษาอยดู่ ว้ ยกนั มีสิทธิไดร้ ับของแจกตามลาดบั พรรษา 4 มีสิทธิรับกฐิน และไดร้ ับอานิสงส์กฐินในการแสวงหาจีวรตลอด เดือนฤดูหนาวเท่าเทียมกนั นอกจากน้นั ยงั มีเสรีภาพท่ีจะเดินทางไปไหนมาไหนได้ จะอยจู่ าพรรษาวดั ใดก็ไดเ้ ลือกปฏิบตั ิกรรมฐานขอ้ ใด ถือธุดงควตั รขอ้ ใดกไ็ ดท้ ้งั สิ้น
4. มีการแบง่ อานาจ การกระจายอานาจ มอบภาระหนา้ ที่ใหส้ งฆร์ ับผดิ ชอบในพ้นื ฐานที่ตา่ ง ๆ พระเถระผใู้ หญ่ทาหนา้ ที่บริหารปกครองหมู่คณะ ส่วนการบญั ญตั ิพระวินยั พระพทุ ธเจา้ จะทรงบญั ญตั ิเอง เช่น มีภิกษุผทู้ าผิดมาสอบสวนแลว้ จึงทรงบญั ญตั ิพระวนิ ยั ส่วนการตดั สินคดีตามพระวินยั ทรงบญั ญตั ิแลว้ เป็นหนา้ ท่ีของพระวิ นยั ธรรมซ่ึงเทา่ กบั ศาล 5. มีการรับฟังความเห็น หรือฟังเสียงของเหล่าพุทธบริษทั 4 กล่าวคือ ภิกษุทุกรูปมีสิทธิในการเขา้ ประชุม มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นท้งั ในทางคดั คา้ นและในทางเห็น ดว้ ย และนามาพิจารณาไตร่ตรอง 6. พระพุทธศาสนายึดหลกั ความถูกตอ้ งตามธรรมะและความเป็นเอกฉนั ทใ์ นการลงมติในที่ประชุม โดยใชห้ ลกั เสียงขา้ งมากเป็นเกณฑต์ ดั สินในทปี่ ระชุมสงฆ์ เรียกวา่ วิธีเยภุยยสิกา ประกอบกบั หลกั ความถูกตอ้ งตามศีลวนิ ยั สงฆแ์ ละหลกั ธรรมะอนื่ ๆ ประกอบการพจิ ารณาร่วมกนั 7. พระพุทธศาสนามีหลกั ธรรมสนบั สุนนการประชุมในหมู่สงฆแ์ ละเคารพกฎของการประชุม คอื หลกั ธรรม เรื่อง “อปริหานิยธรรม” มี 7 ประการ เช่น หมน่ั ประชุมเป็นเนืองนิตย์ เขา้ ประชุมและเลิกประชุมพร้อมเพรียงกนั เป็นตน้
8. จุดมงุ่ หมายสูงสุดของพระพทุ ธศาสนา คือ มงุ่ สู่อสิ รภาพ (หมายถึงบุคคลเป็นอสิ ระจากกิเลสกองทุกขเ์ คร่ืองเศร้าหมองท้งั ปวง) หรือเรียกวา่ “วมิ ตุ ”ิ 10. พระพทุ ธศาสนายดึ หลกั ธรรมาธิปไตย โดยใชเ้ หตผุ ลเป็นใหญ่ มิใช่ยดึ ในตวั บคุ คล หลกั การพระพทุ ธศาสนากับวทิ ยาศาสตร์
ไปดูกนั เลย วทิ ยาศาสตร์ พทุ ธศาสตร์ - แกไ้ ขปรากฏการณ์ตา่ งๆ ที่เกิดข้ึน - เขา้ ใจกฎเกณฑธ์ รรมชาติในนิยาม ๕ คือ อตุ ุ, พชี , จิต,กรรม - ตอ้ งการรู้จกั กฎเกณฑข์ องธรรมชาติ ธรรมชาติ - ตอ้ งการให้รู้กฎเกณฑค์ วามจริงของชีวติ มนุษย์
ความเช่ือ ตามหลกั วทิ ยาศาสตร์ การจะเช่ือส่ิงใดตอ้ งพิสูจนใ์ หเ้ ห็นจริงเสียก่อน เอาปัญญาและเหตผุ ลเป็นตวั ตดั สินความจริง หลกั พุทธศาสนาถือวา่ ความจริงจะตอ้ งพสิ ูจน์ไดด้ ว้ ยการปฏิบตั ิ ดุจหลกั กาลามสูตร และที่ไหนมีศรัทธาที่นนั่ จะตอ้ งมีปัญญา
ความคดิ แบบพุทธกบั ความคดิ แบบวทิ ยาศา สตร์คล้ายกนั คือ สืบสาวหาเหตผุ ลของปรากฏการณ์และของทุกข์ การเริ่มตน้ หาความจริงจากประสบการณ์ อายตนะ และสภาวธรรม คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
กระบวนการคิด กระบวนการพุทธศาสตร์ กระบวนการวทิ ยาศาสตร์ ๑. ต้งั ปัญหาใหช้ ดั ๑. ทุกข-์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ๒. ต้งั คาถามชว่ั คราวเพ่ือตอบทดสอบ ๒. หาคาตอบจากลทั ธิ ๓. รวบรวมขอ้ มลู ๓. ลองปฏิบตั ิโยคะ ๔. วเิ คราะหข์ อ้ มูล ๔. รวบรวมผลการปฏิบตั ิ ๕. ถา้ คาตอบชวั่ คราวถูกต้งั ทฤษฎีไว้ ๕. ผดิ ก็เปล่ียน ถูกกด็ าเนินถึงจุดหมาย ๖. นาไปประยกุ ตแ์ กป้ ัญหา ๖. เผยแผแ่ ก่ชาวโลก
ความสอดคล้องและความแตกต่างระหว่าง พระพทุ ธศาสนากบั หลกั วทิ ยาศาสตร์ ๔.๑ หลกั ไตรลกั ษณ์ คืออนิจจงั (impermanent) ทุกขงั (conflict) และอนตั ตา (no-self) ๔.๒ การยอมรับโลกที่อยพู่ น้ สสารวตั ถุ (Metaphysics) ท้งั วิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ยอมรับสสารวตั ถุ ซ่ึงรู้จกั ไดด้ ว้ ยประสาทสัมผสั ท้งั ๕ วา่ มีจริง โลกที่พน้ จากสสารวตั ถุวิทยาศาสตร์ยงั ไม่ยอมรับเพราะเชื่อวา่ ประสาทสมั ผสั เป็นเครื่องมือสุดทา้ ยท่ีจะตอ้ งตัดสินความ จริง ๔.๓ การอธิบายความจริง วิทยาศาสตร์ถือว่า ความจริงเป็นสิ่งสาธารณะสามารถพสิ ูจนไ์ ดส้ ัจธรรมทางพุทธ มีท้งั สิ่งสาธารณะและปัจจตั ตงั เวทิตพั โพ วญิ ญูหิ - อนั วญิ ญูชนจะพึงรู้ไดเ้ ฉพาะตน
สรุปความว่า ความแตกตา่ งระหว่างพุทธศาสตร์ กบั วิทยาศาสตร์ที่สาคญั คอื วทิ ยาศาสตร์ไม่สนใจเร่ืองศีลธรรม ความดีความชว่ั วางตวั เป็นกลางในเร่ืองถกู ผิด การคน้ พบทางวทิ ยาศาสตร์ ให้ท้งั คณุ อนนั ตแ์ ละโทษมหนั ต์ ส่วนคาสอนทางพุทธ-ศาสนาน้นั เป็นเรื่องศีลธรรม ความดี ความชว่ั มุ่งที่จะให้มนุษยใ์ นสงั คมมคี วามสุขเป็นลาดบั ข้ึนไปเรื่อยๆ จนถึงความสงบสุขอนั สูงสุดแลว้ แต่วา่ ใครจะไปไดแ้ ค่ไหน
การคิดตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคดิ แบบวทิ ยาศษสต ร์ พระพทุ ธศาสนา พระองคไ์ ม่ไดท้ รงสรรเสริญคาสอนของพระองค์ พระพุทธศาสนามีหลกั การดา้ นความเช่ือ การพูดแบบน้ีเป็นลกั ษณะของวิทยาศาสตร์ปัจจบุ นั ดงั ปรากฏอยใู่ นกาลามสูตรซ่ึงพระพทุ ธ-เจา้ ทรงสอนไมใ่ ห้เชื่ออยา่ งงมงายไร้เหตุผล พระพทุ ธเจา้ แทนท่ีจะตรัสเหมือนกบั สมณพราหมณ์เหลา่ อนื่ ที่เคยพดู มาแลว้ และก็ไม่ทรงติเตียนคาสอนศาสนาของผอู้ ่ืนแต่พระองคก์ ลบั ตรัสอกี แบบหน่ึง คือพระองคไ์ ดก้ ลา่ วถึงส่ิงท่ีไม่ควรเชื่อ 10 ประการโดยตรัสวา่ ทา่ นท้งั หลายจงฟัง
- มา อนุสฺสวเนน อยา่ เพิง่ เชื่อโดยฟังตามกนั มา - มา ปรมฺปราย อยา่ เพ่ิงเชื่อโดยถือวา่ เป็นของเก่าเลา่ สืบๆกนั มา - มา อิติกิราย อยา่ เพ่ิงเช่ือเพราะขา่ วเลา่ ลือ - มา ปิ ฏกสมฺปทาเนน อยา่ เพ่ิงเช่ือโดยอา้ งคมั ภีร์ หรือตารา - มา ตกฺกเหตุ อยา่ เพง่ิ เช่ือโดยคิดเดาเอาเอง - มา นยเหตุ อยา่ เพงิ่ เชื่อโดยคิดคาดคะเนอนุมานเอา - มา อาการปริวิตกฺเกน อยา่ เพง่ิ เชื่อโดยตรึกเอาตามอาการท่ีปรากฏ - มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา อยา่ เพ่ิงเช่ือเพราะเห็นวา่ ตอ้ งกบั ความเห็นของตน - มา ภพฺพรูปตา อยา่ เพิ่งเชื่อวา่ ผพู้ ดู ควรเช่ือได้ - มา สมโณ โน ครูติ อยา่ เพ่ิงเชื่อวา่ ผพู้ ดู น้นั เป็นครูของเรา
สรุปแล้ว พระพทุ ธเจ้าตรัสว่าอย่าเพ่งิ เช่ือ เพราะเหตุ 10 ประการนี้ วิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์จะเช่ือเร่ืองใดจะตอ้ งมีการพสิ ูจนค์ วามจริงโดยใชก้ ารทดลองและทุกอยา่ งจะตอ้ งดาเนินไปอยา่ งมีกฎเกณฑแ์ ละมีเหตุผลเป็นตวั ตดั สินใจโดยอาศยั ปัญญาในการพจิ ารณา ด้านความรู้ พระพุทธศาสนา พระพุทธเจา้ ทรงเริ่มคดิ จากประสบการณ์ท่ีไดเ้ ห็น คือ ความเจ็บ ความแก่ และความตาย ซ่ึงลว้ นแตท่ กุ ขพ์ ระองคท์ รงทดลองโดยอาศยั ประสบ- การณ์ของพระองค์ จนในท่ีสุดพระองคก์ ็ทรงสามารถคน้ พบหลกั ความจริงอนั เป็นหนทาง ที่จะหลุดพน้ จากความทกุ ข์
วทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ยอมรับความรู้จากประสบการณ์ ซ่ึงมีการพสิ ูจนโ์ ดยผา่ นตา หู จมกู ลิ้น กาย และใจ ด้านความแตกต่าง พระพทุ ธศาสนา พระพุทธศาสนาเนน้ การแสวงหาความจริงภายใน คือ ความจริงดา้ นจิตใจที่มงุ่ ใหม้ นุษยส์ ามารถพฒั นาจิตใจของตนใหห้ ลดุ พน้ จากกิเลสไ ดอ้ ยา่ งสิ้นเชิง วทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มุ่งเนน้ การแสวงหาความจริงภายนอกดา้ นวตั ถุเป็นสาคญั
พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา คาวา่ “การศึกษา” มาจากคาวา่ “สิกขา” โดยทวั่ ไปหมายถึง “กระบวนการเรียน “ “การฝึกอบรม” “การคน้ ควา้ ” “การพฒั นาการ” และ “การรู้แจง้ เห็นจริงในส่ิงท้งั ปวง” จะเห็นไดว้ า่ การศึกษาในพระพทุ ธศาสนามีหลายระดบั ต้งั แต่ระดบั ต่าสุดถึงระดบั สูงสุด เมื่อแบง่ ระดบั อยา่ งกวา้ ง ๆ มี 2 ประการคือ 1. การศึกษาระดบั โลกิยะ 2. การศึกษาระดบั โลกตุ ระ มีความมุง่ หมายเพ่ือดารงชีวิตในทางโลก. มีความมุ่งหมายเพ่อื ดารงชีวิตเหนือกระแสโลก
หลกั ในการศึกษาของพระพทุ ธศาสนา น้นั จะมี ลาดบั ข้นั ตอนการศึกษา โดยเริ่มจาก สีลสิกขา ต่อดว้ ยจิตตสิกขาและข้นั ตอนสุดทา้ ยคือ ปัญญาสิกขา ซ่ึงข้นั ตอนการศึกษาท้งั 3 น้ี รวมเรียกวา่ \"ไตรสิกขา\" ซ่ึงมีความหมายดงั น้ี 1. สีลสิกขา 2. จิตตสิกขา การฝึกศึกษาดา้ นสมาธิ การฝึกศึกษาในดา้ นความประพฤติทางกาย วาจา หรือพฒั นาจิตใจใหเ้ จริญไดท้ ่ี และอาชีพ ให้มีชีวิตสุจริตและเก้อื กูล (Training in (Training in Higher HigherMentality หรือ Concen Morality) tration)
3. ปัญญาสิกขา การฝึกศึกษาในปัญญาสูงข้นึ ไป ใหร้ ู้คิดเขา้ ใจมองเห็นตามเป็นจริง (Training in Higher ความสัมWพisdนัomธ)์ของไตรสิกขา
ความสัมพนั ธ์แบบตอ่ เนื่องของไตรสิกขาน้ี มองเห็นไดง้ า่ ยแมใ้ นชีวติ ประจาวนั กลา่ วคือ (ศีล -> สมาธิ) เม่ือประพฤติดี มีความสัมพนั ธ์งดงาม ไดท้ าประโยชน์อยา่ งนอ้ ยดาเนินชีวิตโดยสุจริต มนั่ ใจในความบริสุทธ์ิของ ตน ไมต่ อ้ งกลวั ต่อการลงโทษ ไมส่ ะดุง้ ระแวงต่อการประทุษร้ายของคู่เวร ไม่หวาดหวน่ั เสียวใจต่อเสียงตาหนิหรือความรู้สึก ไม่ยอมรับของสังคม และไมม่ ีความฟ้งุ ซ่านวนุ่ วายใจ เพราะความรู้สึกเดือดร้อนรังเกียจในความผิดของตนเอง จิตใจก็เอิบอิ่ม ชื่นบานเป็นสุข ปลอดโปร่ง สงบ และแน่วแน่ มงุ่ ไปกบั สิ่งท่ีคิด คาที่พูดและการที่ทา (สมาธิ -> ปัญญา) ยง่ิ จิตไม่ฟ้งุ ซ่าน สงบ อยกู่ บั ตวั ไร้สิ่งข่นุ มวั สดใส มุ่งไปอยา่ งแน่วแน่เท่าใด การรับรู้ การคิดพินิจพิจารณามอง เห็นและเขา้ ใจสิ่งต่างๆกย้ ง่ิ ชดั เจน ตรงตามจริง แลน่ คลอ่ ง เป็ นผลดีในทางปัญญามากข้ึนเท่าน้นั อปุ มาในเร่ืองน้ี เหมือนวา่ ต้งั ภาชนะน้าไวด้ ว้ ยดีเรียบร้อย ไม่ไปแกลง้ สัน่ หรือเขยา่ มนั ( ศีล ) เม่ือน้าไม่ถูกกวน คน พดั หรือเขยา่ สงบนิ่ง ผงฝ่นุ ตา่ งๆ กน็ อนกน้ หายขุ่น น้ากใ็ ส (สมาธิ) เมื่อน้าใส กม็ องเห็นส่ิงต่างๆ ไดช้ ดั เจน ( ปัญญา )
ไตรสิกขาน้ี เมื่อนามาแสดงเป็นคาสอนในภาคปฏิบตั ิทวั่ ไป ไดป้ รากฏในหลกั ท่ีเรียกวา่ โอวาทปาฏิโมกข์ ( พทุ ธโอวาทที่เป็นหลกั ใหญ่ อยา่ ง ) คือ สพพปาปสส อกรณ การไมท่ าความชว่ั ท้งั ปวง ( ศีล ) กุสลสสูปสมปทา การบาเพญ็ ความดีให้เพียบพร้อม (สมาธิ ) สจิตตปริโยทปน การทาจิตของตนใหผ้ อ่ งใส (ปัญญา ) 1. การฟัง หมายถึงการต้งั ใจศึกษาเล่าเรียนในหอ้ งเรียน 2. การจาได้ หมายถึงการใชว้ ิธีการต่าง ๆ เพื่อใหจ้ าได้ 3. การสาธยาย หมายถึงการท่อง การทบทวนความจาบอ่ ย ๆ 4. การเพง่ พินิจดว้ ยใจ หมายถึงการต้งั ใจจินตนาการถึงความรู้น้นั ไวเ้ สมอ 5. การแทงทะลุดว้ ยความเห็น หมายถึงการเขา้ ถึงความรู้อยา่ งถูกตอ้ ง เป็น ความรู้อยา่ งแทจ้ ริง ไมใ่ ช่ติดอยแู่ ต่เพียงความจาเท่าน้นั แตเ่ ป็นความรู้ความจาที่สามารถนามาประพฤติปฏิบตั ิได้
พระพทุ ธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจัย หลกั ของเหตุปัจจยั หรือหลกั ความเป็นเหตุเป็นผล ซ่ึงเป็นหลกั ของเหตปุ ัจจยั ท่ีอิงอาศยั ซ่ึงกนั และกนั ท่ีเรียกวา่ \"กฎปฏิจจสมปุ บาท\" ซ่ึงมีสาระโดยยอ่ ดงั น้ี เม่ืออนั นีม้ ี อันนจี้ ึงมี เมื่ออนั นไี้ ม่มี อันนีก้ ไ็ ม่มี เพราะอันนีเ้ กิด อนั นีจ้ ึงเกิด เพราะอนั นีด้ บั อันนจี้ ึงดบั จะตอ้ งมีเหตุปัจจยั หลายเหตุที่ก่อใหเ้ กิดปัญหาข้ึนมา หากเราตอ้ งการแกไ้ ขปัญหาก็ตอ้ งอาศยั เหตุปัจจยั ในการแกไ้ ขหลายเหตุปัจจยั ไมใ่ ช่มีเพียงปัจจยั เดียวหรือมีเพยี งหนทางเดียวในการแกไ้ ขปัญหา เป็นตน้
ความสมั พนั ธข์ องเหตุปัจจยั หรือหลกั ปฏิจจสมปุ บาท แสดงใหเ้ ห็นอาการของส่ิงท้งั หลายสัมพนั ธ์เนื่องอาศยั เป็นเหตุปัจจยั ต่อกนั อยา่ งเป็นกระแส ในภาวะท่ีเป็นกระแสน้ี ขยายความหมายออกไปใหเ้ ห็นแง่ตา่ ง ๆ ไดค้ อื 1 สิ่งท้งั หลายมีความสัมพนั ธ์ตอ่ เนื่องอาศยั เป็นปัจจยั แก่กนั 2 ส่ิงท้งั หลายมีอยโู่ ดยความสัมพนั ธก์ นั 3 ส่ิงท้งั หลายมีอยดู่ ว้ ยอาศยั ปัจจยั 4 ส่ิงท้งั หลายไม่มีความคงท่ีอยอู่ ยา่ งเดิมแมแ้ ตข่ ณะเดียว (มีการเปล่ียนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไมอ่ ยนู่ ิ่ง) 5 สิ่งท้งั หลายไม่มีอยโู่ ดยตวั ของมนั เอง คอื ไม่มีตวั ตนท่ีแทจ้ ริงของมนั 6 ส่ิงท้งั หลายไม่มีมลู การณ์ หรือตน้ กาเนิดเดิมสุด แตม่ ีความสัมพนั ธแ์ บบวฏั จกั ร หมุนวนจนไมท่ ราบวา่ อะไรเป็นตน้ กาเนิดที่แทจ้ ริง
หลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนาของพระพุทธศาสนาที่เนน้ ความสัมพนั ธข์ องเหตุปัจจยั มีมาก มาย ในที่น้ีจะกล่าวถึงหลกั คาสอน 2 เรื่อง คือ ปฏิจจสมปุ บาท และอริยสจั 4 ปฏจิ จสมุปบาท คอื การท่ีสิ่งท้งั หลายอาศยั ซ่ึงกนั และกนั เกิดข้นึ เป็นกฎธรรมชาติที่พระพุทธเจา้ ทรงคน้ พบ การท่ีพระพุทธเจา้ ทรงค้นพบกฎน้ีน่ีเอง พระองคจ์ ึงไดช้ ื่อวา่ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า กฏปฏิจจสมปุ บาท เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ กฏอิทปั ปัจจยตา ซ่ึงกค็ ือ กฏแห่งความเป็นเหตเุ ป็นผลของกนั และกนั นน่ั เอง
กฏปฏิจจสมปุ บาท คือ กฏแห่งเหตผุ ลท่ีวา่ ถา้ สิ่งน้ีมี ส่ิงน้นั กม็ ี ถา้ ส่ิงน้ีดบั สิ่งน้นั ก็ดบั ปฏิจจสมปุ บาท มีองคป์ ระกอบ 12 ประการ คือ 1 อวชิ ชา คือ ความไม่รูจ้ ริงของชีวิต ไม่รู้แจง้ ในอริยสจั 4 ไมร่ ู้เทา่ ทนั ตามสภาพที่เป็นจริง 2 สงั ขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง หรือเจตนาท้งั ท่ีเป็นกุศลและอกศุ ล 3 วญิ ญาณ คือ ความรบั รู้ต่ออารมณ์ต่างๆ เช่น เห็น ไดย้ นิ ไดก้ ลิ่น รู้รส รู้สมั ผสั 4 นามรูป คือ ความมีอยใู่ นรูปธรรมและนามธรรม ไดแ้ ก่ กายกบั จิต 5 สฬายตนะ คือ ตา หู จมกู ลิน้ กาย และใจ 6 ผสั สะ คือ การถูกตอ้ งสัมผสั หรือการกระทบ 7 เวทนา คือ ความรู้สึกวา่ เป็นสุข ทกุ ข์ หรืออุเบกขา 8 ตณั หา คือ ความทะเยอทะยานอยากหรือความตอ้ งการในสิ่งท่ีอานวยความสุขเวทนา และความดิ้นรนหลีกหนีในส่ิงท่ีก่อทุกขเวทนา 9 อปุ าทาน คือ ความยดึ มน่ั ถือมน่ั ในตวั ตน 10 ภพ คือ พฤติกรรมที่แสดงออกเพอ่ื สนองอุปาทานน้นั ๆ เพ่ือใหไ้ ดม้ าและใหเ้ ป้นไปตามความยดึ มน่ั ถือมน่ั 11 ชาติ คือ ความเกิด ความตระหนกั ในตวั ตน ตระหนกั ในพฤติกรรมของตน 12 ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อุปายาสะ คือ ความแก่ ความตาย ความโศกเศร้า ความคร่าครวญ ความไมส่ บายกาย ความไมส่ บายใจ และความคบั แคน้ ใจหรือความกลดั กลุ่มใจ องค์ประกอบท้งั 12 ประเภทนี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า องค์ประกอบแห่งชีวิต หรือกระบวนการของชีวิต ซ่ึงมีความสัมพนั ธ์เกยี่ วเน่ืองกนั ทานองปฏกิ ริ ิยาลูกโซ่ เป็ นเหตุปัจจัยต่อกนั โยงใยเป็ นวงเวยี นไม่มีต้นไม่มปี ลาย ไม่มที ี่สิ้นสุด
Search
Read the Text Version
- 1 - 26
Pages: