Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore น.ส กรพินธุ์ สังค์กรณีย์ 28

น.ส กรพินธุ์ สังค์กรณีย์ 28

Published by chompupuntong2148, 2020-07-30 08:06:36

Description: น.ส กรพินธุ์ 28-แปลง

Search

Read the Text Version

เร่ือง ๑.ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา ๒.หลกั การทางพระพทุ ธศาสนากบั วิทยาศาสตร์ ๓.การคดิ ตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาและการคดิ แบบวิทยาศาสตร์ ๔.พระพุทธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา ๕.พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจัย โดย นางสาว กรพนิ ธ์ุ สังกรณีย์ เลขที่ 28 นกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 4 ห้อง3 เสนอ คุณครู เพญ็ ประภา คาภา รายวชิ าสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม

๑.ลกั ษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา หลักประชาธิปไตยท่ัวไปในพระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประชาธิปไตยมาตงั้ แต่เร่ิมแรก กอ่ นที่พระพทุ ธเจ้าจะทรงมอบให้พระสงฆ์เป็นใหญใ่ นกจิ การทงั้ ปวงเสียอกี ลกั ษณะท่เี ป็นประชาธิปไตยในพระพุ ทธศาสนามีตวั อยา่ งดงั ต่อไปนี ้

๑. พระพทุ ธศาสนามีพระธรรมวินยั เป็นธรรมนญู หรือกฎหมายสงู สดุ พระธรรม คือ คาสอนท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงแสดง พระวนิ ยั คอื คาสง่ั อนั เป็นข้อปฏบิ ตั ิท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงบญั ญัติขนึ ้ เม่ือรวมกนั เรียกวา่ พระธรรมวนิ ยั ซง่ึ มีความสาคญั ขนาดที่พระพทุ ธเจ้าทรงมอบให้เป็นพระศาสดาแทนพระองค์ ก่อนท่พี ระองค์จะปรินิพพานเพียงเล็กน้อย ๒. มกี ารกาหนดลกั ษณะของศาสนาไว้เรียบร้อย ไม่ปลอ่ ยให้เป็นไปตามยถากรรม ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนาคือสายกลาง ไมซ่ ้ายสดุ ไม่ขวาสดุ ทางสายกลางนีเ้ป็นครรลอง อาจปฏิบตั ิคอ่ นข้างเคร่งครัดก็ได้ โดยใช้สิทธิในการแสวงหาอดเิ รกลาภตามทท่ี รงอนญุ าตไว้ ในสมยั ต่อมา เรียกแนวกลางๆ ของพระพทุ ธศาสนาวา่ วิภัชชวาที คือศาสนาทก่ี ลา่ วจาแนกแจกแจง ตามความเป็นจริงบางอย่างกล่าวยนื ยนั โดยสว่ นเดียวได้ บางอยา่ งกล่าวจาแนกแจกแจงเป็นกรณี ๆ ไป

๓. พระพทุ ธศาสนา มีความเสมอภาคภายใต้พระธรรมวนิ ยั บคุ คลท่เี ป็นวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู รมาแต่เดิม รวมทงั้ คนวรรณะตา่ กวา่ นนั้ เช่นพวกจณั ฑาล พวกปกุ กสุ ะคนเก็บขยะ และพวกทาส เมอ่ื เข้ามาอปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาอย่างถกู ต้องแล้ว มคี วามเทา่ เทียมกนั คือปฏิบตั ิตามสกิ ขาบทเทา่ กนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวโุ ส คอื ผ้อู ปุ สมบทภายหลงั เคารพผ้อู ปุ สมบทก่อน

๔. พระภกิ ษุในพระพทุ ธศาสนา มีสทิ ธิ เสรีภาพภายใต้พระธรรมวินยั เช่นในฐานะภกิ ษุเจ้าถ่ิน จะมีสิทธิได้รับของแจกกอ่ นภกิ ษุอาคนั ตกุ ะ ภกิ ษุทจี่ าพรรษาอยดู่ ้วยกนั มีสิทธิได้รับของแจกตามลาดบั พรรษา มีสิทธิรับกฐิน และได้รับอานสิ งส์กฐินในการแสวงหาจวี รตลอด 4 เดอื นฤดหู นาวเท่าเทียมกนั นอกจากนนั้ ยงั มีเสรีภาพที่จะเดนิ ทางไปไหนมาไหนได้ จะอยจู่ าพรรษาวดั ใดก็ได้เลือกปฏิบตั ิกรรมฐานข้อใด ถอื ธดุ งควตั รข้อใดกไ็ ด้ทงั้ สนิ ้ ๕. มีการแบ่งอานาจ พระเถระผ้ใู หญท่ าหน้าท่บี ริหารปกครองหม่คู ณะ การบญั ญัตพิ ระวนิ ยั พระพทุ ธเจ้าทรงบญั ญัตเิ อง เช่นมีภกิ ษุผ้ทู าผิดมาสอบสวนแล้วจึงทรงบญั ญตั พิ ระวินยั ส่วนการตดั สนิ คดีตามพระวนิ ยั ทรงบญั ญัติแล้วเป็นหน้าทขี่ องพระวินยั ธรรมซง่ึ เท่ากบั ศาล ๖. พระพทุ ธศาสนามีหลกั เสียงข้างมาก คอื ใช้เสียงข้างมาก เป็นเกณฑ์ตดั สนิ เรียกวา่ วธิ ีเยภยุ ยสกิ า การตดั สินโดยใช้เสยี งข้างมาก ฝ่ายใดได้รับเสยี งข้างมากสนบั สนนุ ฝ่ายนนั้ เป็นฝ่ายชนะคดี

๒.หลกั การทางพระพทุ ธศาสนากบั วิทยาศาสตร์ ๑. จุดมงุ่ หมาย วทิ ยาศาสตร์ - แก้ไขปรากฏการณ์ต่างๆ ทีเ่ กดิ ขนึ ้ - ต้องการรู้จกั กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ

พทุ ธศาสตร์ - เข้าใจกฎเกณฑ์ธรรมชาตใิ นนยิ าม ๕ คือ อตุ ุ, พีช, จติ , กรรม, ธรรมชาติ - ต้องการให้รู้กฎเกณฑ์ความจริงของชวี ิตมนษุ ย์ ความเช่ือ ตามหลกั วทิ ยาศาสตร์ การจะเชื่อส่ิงใดต้องพสิ ูจน์ให้เห็นจริงเสียก่อน เอาปัญญาและเหตผุ ลเป็นตวั ตดั สนิ ความจริง หลกั พทุ ธศาสนาถือว่า ความจริงจะต้องพิสจู น์ได้ด้วยการปฏบิ ตั ิ ดจุ หลกั กาลามสตู ร และท่ไี หนมีศรัทธาทน่ี นั่ จะต้องมปี ัญญา

๓. ความคดิ แบบพทุ ธกบั ความคดิ แบบวิทยาศาสตร์คล้ายกนั คือ ๓.๑ สืบสาวหาเหตผุ ลของปรากฏการณ์และของทกุ ข์ ๓.๒ การเริ่มต้นหาความจริงจากประสบการณ์ อายตนะ และสภาวธรรม คอื เกดิ แก่ เจ็บ ตาย ๓.๓ กระบวนความคิด มดี งั นี ้ กระบวนการวิทยาศาสตร์ กระบวนการพทุ ธศาสตร์ ๑. ตงั้ ปัญหาให้ชดั ๑.ทกุ ข์-ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ๒. ตงั้ คาถามชว่ั คราวเพอ่ื ตอบทดสอบ ๒. หาคาตอบจากลทั ธิ ๓. รวบรวมข้อมลู ๓. ลองปฏิบตั ิโยคะ ๔. วิเคราะห์ข้อมลู ๔. รวบรวมผลการปฏบิ ตั ิ ๕. ถ้าคาตอบชว่ั คราวถกู ตงั้ ทฤษฎไี ว้ ๕. ผิดกเ็ ปล่ียน ถกู กด็ าเนนิ ถงึ จดุ หมาย ๖. นาไปประยกุ ตแ์ ก้ปัญหา ๖. เผยแผแ่ กช่ าวโลก

๔. ความสอดคล้องและความแตกตา่ งระหวา่ งพระพทุ ธศาสนากบั หลกั วิทยาศาสตร์ ๔.๑ หลกั ไตรลกั ษณ์ คืออนจิ จงั (impermanent) ทกุ ขงั (conflict) และอนตั ตา (no-self) ๔.๒ การยอมรับโลกทอ่ี ยพู่ ้นสสารวตั ถุ (Metaphysics) ทงั้ วิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ยอมรับสสารวัตถุ ซงึ่ รู้จกั ได้ด้วยประสาทสมั ผสั ทงั้ ๕ วา่ มจี ริง โลกท่พี ้นจากสสารวัตถวุ ิทยาศาสตร์ยงั ไม่ยอมรับเพราะเชื่อวา่ ประสาทสมั ผสั เป็นเคร่ืองมอื สดุ ท้าย ที่จะต้องตดั สินความจริง

สรุปความว่า ความแตกตา่ งระหวา่ งพทุ ธศาสตร์ กบั วทิ ยาศาสตร์ท่สี าคญั คอื วทิ ยาศาสตร์ไม่สนใจเร่ืองศลี ธรรม ความดีความชว่ั วางตวั เป็นกลางในเรื่องถกู ผิด การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ให้ทงั้ คณุ อนนั ตแ์ ละโทษมหนั ต์ ๓.การคดิ ตามนยั แห่งพระพทุ ธศาสนาและการคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ วธิ ีคดิ ตามนยั แห่งพระพุทธศาสนา เป็นกระบวนการคิดพิจารณาคน้ ควา้ หาคาตอบ ของพระพุทธเจา้ เพ่อื ตรัสรู้ สรุป ได้ 2 วธิ ี คือ ของพระพทุ ธเจา้ เพอื่ ตรัสรู้ สรุป ได้ 2 วธิ ี คอื คิดโดยสืบสาวจากผลไปหาเหตุ เช่น การสังเกตสภาพของคนแก่ คนเจบ็ คน ตาย (เป็นผล) และคดิ ตามหลกั อริยสัจ ๔ (ทุกข,์ สมทุ ยั , นิโรธ, มรรค) คิดโดยสืบสาวจากเหตุไปหาผลคอื การคดิ จะลงมอื ปฏิบตั ิโดยวธิ ีการตา่ ง ๆ เช่น การบาเพญ็ เพียรทางจิต จะส่งผลใหเ้ กิดการรู้แจง้ ในสัจธรรม

วธิ คี ิดแบบวิทยาศาสตร์ เป็นการคิดใชเ้ หตผุ ล หรือคิดตามกระบวนการของ “วิธีการ วิทยาศาสตร์” โดยเร่ิมต้งั แต่ การสงั เกต การรวบรวมขอ้ มูล การต้งั สมมติฐาน การทดสอบ และการสรุปผลตามลาดบั ความสอดคล้องกนั ระหว่างแนวคดิ ของพระพุทธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ พระพุทธศาสนากบั วิทยาศาสตร์ มแี นวคดิ สอดคลอ้ งกนั 2 ประการ ดงั น้ี

1. ความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งในโลก สิ่งท้งั หลายท้งั ปวงเกิดข้นึ และดาเนินเป็นไป ตามกฎแห่งเหตุและผลตามธรรมชาติ (หลกั คาสอนเรื่องไตรลกั ษณ์ของพระพุทธศาสนา) สอดคลอ้ งกบั ทรรศนะของวทิ ยาศาสตร์ท่ีวา่ ทกุ สิ่งในสากลจกั รวาลมกี ารเคลอื่ นไหวหรือเป ล่ียนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไมห่ ยดุ นิ่ง 2. มนุษย์คือผลผลติ ของธรรมชาติ ไม่ไดเ้ กิดจากการป้ันแตง่ ของพระเจา้ 3. การพิสูจน์ความจริงอย่างเสรีและมีเหตุผล พระพุทธศาสนาสอนไม่ใหเ้ ชื่ออะไร ง่าย ๆ (หลกั คาสอนเรื่องกาลามาสูตร) โดยไมไ่ ดพ้ ิสูจน์ใหป้ ระจกั ษด์ ว้ ยประสบการณ์ของตนเองเสียก่อน ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั หลกั แนวคดิ ของวทิ ยาศาสตร์เช่นกนั ความแตกต่างในแนวคดิ ระหว่างพระพุทธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์

มคี าสอนในพระพุทธศาสนาบางเร่ืองท่ีวทิ ยาศาสตร์ไ มย่ อมรับ เพราะวิทยาศาสตร์ไม่สามารถแยกแยะหรือพสิ ูจน์ได้ มีดงั น้ี 1. คาสอนเร่ืองของจิต ไดแ้ ก่ หลกั คาสอนเร่ือง “เบญจขนั ธ์” หรือองคป์ ระกอบของมนุษย์ 5 ประการ ไดแ้ ก่ รูปขนั ธ์ (ร่างกาย) และนามขนั ธ์ 4 (ส่วนประกอบท่ีเป็นจิต 4 อยา่ ง ไดแ้ ก่ เวทนา สญั ญา สงั ขาร และวิญาณ) ซ่ึงวิทยาศาสตร์ไม่สามารถใชเ้ ครื่องมือพสิ ูจนใ์ ห้ประจกั ษไ์ ด้ 2. คาสอนเรื่องปัญญา คาสอนในพระพุทธศาสนาเร่ืองปัญญาข้ึนสูงสุด คือ การ เขา้ ถงึ โลกตุ ระ (ปัญญาท่ีที่หลุดพน้ จากกิเลสหรือวสิ ยั ทางโลก) โดยวิธีฝึกอบรมวปิ ัสสนาจนเกิดปัญญารู้แจง้ ตามความจริงน้นั เป็นส่ิงท่ีวิทยาศาสตร์ยงั ไมย่ อมรับ ฤ

พระพุทธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา คาว่า “การศกึ ษา” มาจากคาวา่ “สิกขา” โดยทวั่ ไปหมายถึง “กระบวนการเรียน “ “การฝึกอบรม” “การค้นคว้า” “การพฒั นาการ” และ “การรู้แจ้งเหน็ จริงในสิง่ ทงั้ ปวง” จะเห็นได้ว่า การศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนามหี ลายระดบั ตงั้ แต่ระดบั ตา่ สดุ ถึงระดบั สงู สดุ เมอ่ื แบง่ ระดบั อยา่ งกว้าง ๆ มี 2 ประการคือ 1. การศกึ ษาระดบั โลกยิ ะ มีความม่งุ หมายเพอ่ื ดารงชวี ิตในทางโลก

2. การศกึ ษาระดบั โลกตุ ระ มคี วามมงุ่ หมายเพอื่ ดารงชวี ิตเหนือกระแสโลก การศกึ ษาหรือการพฒั นาตามหลกั พระพทุ ธศาสนา นนั้ พระพทุ ธเจ้าสอนให้คนได้พฒั นาอยู่ 4 ด้าน คอื ด้านร่างกาย ด้านศลี ด้านจิตใจ ใน และด้านสตปิ ัญญา โดยมีจดุ มงุ่ หมายให้มนษุ ยเ์ ป็นทงั้ คนดแี ละคนเกง่ มใิ ชเ่ ป็นคนดีแตโ่ ง่ หรือเป็นคนเกง่ แต่โกง การจะสอนให้มนษุ ยเ์ ป็นคนดแี ละคนเก่งนนั้ จะต้องมีหลกั ในการศึกษาท่ีถกู ต้องเหมาะสม ซง่ึ ในการพฒั นามนษุ ย์นนั้ พระพทุ ธศาสนามงุ่ สร้างมนษุ ย์ให้เป็นคนดกี ่อน แล้วจงึ คอ่ ยสร้างความเก่งทีหลงั นนั่ คือสอนให้คนเรามีคณุ ธรรม ความดงี ามกอ่ นแล้วจึงให้มีความรู้ความเข้าใจหรือสติปัญญาภายหลงั ดงั นนั้ หลกั ในการศกึ ษาของพระพทุ ธศาสนา นนั้ จะมี ลาดบั ขนั้ ตอนการศกึ ษา โดยเริ่มจาก สลี สกิ ขา ตอ่ ด้วยจิตตสิกขาและขนั้ ตอนสดุ ท้ายคอื ปัญญาสกิ ขา ซง่ึ ขนั้ ตอนการศกึ ษาทงั้ 3 นี ้รวมเรียกว่า \"ไตรสกิ ขา\" ซง่ึ มคี วามหมายดงั นี ้

1. สลี สกิ ขา การฝึกศกึ ษาในด้านความประพฤตทิ างกาย วาจา และอาชพี ให้มีชวี ิตสจุ ริตและเกอื ้ กลู (Training in Higher Morality) 2. จิตตสิกขา การฝึกศกึ ษาด้านสมาธิ หรือพฒั นาจิตใจให้เจริญได้ท่ี (Training in Higher Mentality หรือ Concentration) 3. ปัญญาสิกขา การฝึกศกึ ษาในปัญญาสงู ขนึ ้ ไป ให้รู้คิดเข้าใจมองเหน็ ตามเป็นจริง (Training in Higher Wisdom) ค

พระพทุ ธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตปุ ัจจยั หลกั ของเหตปุ ัจจยั หรือหลกั ความเป็นเหตุเป็นผล ซ่ึงเป็นหลกั ของเหตุปัจจยั ท่ีอิงอาศยั ซ่ึงกนั และกนั ที่เรียกวา่ \"กฎปฏิจจสมปุ บาท\" ซ่ึงมีสาระโดยยอ่ ดงั น้ี เมื่ออนั นีม้ ี อันนจี้ ึงมี เม่ืออนั นไี้ ม่มี อันนีก้ ไ็ ม่มี เพราะอันนีเ้ กิด อันนีจ้ ึงเกิด เพราะอนั นีด้ บั อนั นจี้ ึงดบั

จะตอ้ งมเี หตปุ ัจจยั หลายเหตทุ ่ีก่อให้เกิดปัญหาข้ึนมา หากเราตอ้ งการแกไ้ ขปัญหาก็ตอ้ งอาศยั เหตุปัจจยั ในการแกไ้ ขหลายเ หตปุ ัจจยั ไม่ใช่มีเพยี งปัจจยั เดียวหรือมเี พียงหนทางเดียวในการแกไ้ ขปัญหา เป็ นตน้ กฎปฏิจจสมุปบาท คือ กฎแห่งเหตุผลท่ีวา่ ถา้ สิง่ น้ ีมี ส่ิงน้ันก็มี ถา้ สิ่งน้ ีดบั สิ่งน้ันก็ดบั มีองคป์ ระกอบ 12 ประการ คือ 1 อวิชชา คือ ความไม่รู้จริงของชีวิต ไม่รู้แจ้งในอริยสัจ 4 ไม่รู้เท่าทันตามสภาพท่ีเป็นจริง 2 สังขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง หรือเจตนาทั้งท่ีเป็นกศุ ลและอกศุ ล 3 วิญญาณ คือ ความรับรู้ต่ออารมณ์ต่างๆ เช่น เห็น ได้ยิน ได้กล่ิน รู้รส รู้สัมผสั 4 นามรูป คือ ความมีอย่ใู นรูปธรรมและนามธรรม ได้แก่ กายกับจิต 5 สฬายตนะ คือ ตา หู จมกู ลิน้ กาย และใจ 6 ผสั สะ คือ การถูกต้องสัมผสั หรือการกระทบ 7 เวทนา คือ ความรู้สึกว่าเป็นสุข ทุกข์ หรืออเุ บกขา 8 ตัณหา คือ ความทะเยอทะยานอยากหรือความต้องการในส่ิงที่อานวยความสุขเวทนา และความดิน้ รนหลกี หนใี นสิ่งที่ก่อทุกขเวทนา 9 อปุ าทาน คือ ความยึดมนั่ ถือม่ันในตัวตน 10 ภพ คือ พฤติกรรมที่แสดงออกเพ่ือสนองอุปาทานน้นั ๆ เพื่อให้ได้มาและให้เป้นไปตามความยึดมน่ั ถือมนั่ 11 ชาติ คือ ความเกิด ความตระหนกั ในตัวตน ตระหนักในพฤติกรรมของตน 12 ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนสั อปุ ายาสะ คือ ความแก่ ความตาย ความโศกเศร้า ความคร่าครวญ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ และความคบั แค้นใจหรือความกลัดกล่มุ ใจ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook