คือ คาสอนที่พระพุทธเจา้ ทรงแสดง พระวนิ ยั คือ คาสงั่ อนั เป็นขอ้ ปฏิบตั ิที่พระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิข้ึนเม่ือรวมกนั เรียกวา่ พระธรรมวินยั ก่อนที่พระองคจ์ ะเสดจ็ ปรินิพพาน เพียงเลก็ นอ้ ยไดท้ รงมอบใหพ้ ระธรรมเป็นพระศาสดาแทนพระองค์ บคุ คลที่เป็นวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู รมาแตเ่ ดมิ รวมทงั้ คนวรรณะต่ากวา่ นนั้ เช่นพวกจณั ฑาล พวกทาส เมื่อ เข้ามาอปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งถกู ต้องแล้ว มีความเท่าเทียมกนั คอื ปฏบิ ตั ิตาม สกิ ขาบทเท่ากนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวโุ ส เช่น ภิกษุที่จาพรรษา อยดู่ ้วยกนั มีสิทธิได้รับของแจกตามลาดบั พรรษา มีสทิ ธิรับกิิน และได้รับอานสิ งส์กิินในการ แสวงหาจีวรตลอด 4 เดือนฤดหู นาวเท่าเทียมกนั นอกจากนนั้ ยงั มีเสรีภาพท่ีจะเดินทางไปไหน มาไหนได้จะอย่จู าพรรษาวดั ใดก็ได้
มอบภาระหน้าท่ีให้สงฆ์รับผดิ ชอบในพนื ้ ิานท่ีตา่ ง ๆพระเถระผ้ใู หญ่ทาหน้าท่ีบริหารปกครองหมคู่ ณะ ส่วนการบญั ญตั พิ ระวนิ ยั พระพทุ ธเจ้าจะ ทรงบญั ญตั เิ อง เช่น มีภิกษุผ้ทู าผิดมาสอบสวนแล้วจงึ ทรงบญั ญตั ิพระวินยั กลา่ วคือ ภิกษุทกุ รูปมีสทิ ธิใน การเข้าประชมุ มีสทิ ธิในการแสดงความคิดเห็นทงั้ ในทางคดั ค้านและในทางเห็นด้วย และ นามาพจิ ารณาไตร่ตรอง โดยใช้หลกั เสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ตดั สนิ ในท่ีประชมุ สงฆ์ เรียกว่า วธิ ีเยภยุ ยสิกา ประกอบกบั หลกั ความถกู ต้องตามศีลวนิ ยั สงฆ์และหลกั ธรรมะอื่น ๆ ประกอบการพจิ ารณา ร่วมกนั คือ หลกั ธรรม เร่ือง “อปริหานิยธรรม” มี 7 ประการ เช่น หมน่ั ประชมุ เป็นเนืองนิตย์ เข้าประชมุ และเลิกประชมุ พร้อมเพรียงกนั เป็นต้น
คือ ม่งุ ส่อู สิ รภาพ (หมายถึงบคุ คลเป็นอสิ ระจาก กิเลสกองทกุ ข์เคร่ืองเศร้าหมองทงั้ ปวง) หรือเรียกว่า “วิมุต”ิ ให้เกิดศรัทธาด้วย ปัญญา โดยไม่มีการบงั คบั
สอดคล้องกบั หลกั การและวิธีการของพระพทุ ธศาสนามากกวา่ ทงั้ พระพทุ ธศาสนาและ วทิ ยาศาสตร์มีจดุ เน้นเหมือนกนั คือ สอนมใิ ห้คนงมงาย ควรนาสงิ่ ตา่ ง ๆ มาพจิ ารณาด้วย เหตผุ ล มีการทดสอบทดลอง ตรวจสอบ จนเกิดความแนใ่ จและเชื่อด้วยตนเอง ด้วยปัญญาท่ีสงั่ สมไว้ของตนเอง พระพทุ ธเจ้าได้ตรัสเตือนมใิ ห้คนเช่ืออะไรง่าย ๆ
๔.๓ การอธิบายความจริง วทิ ยาศาสตร์ถือว่า ความจริงเป็นส่งิ สาธารณะสามารถพสิ จู น์ได้สจั ธรรมทางพทุ ธ มีทงั้ สิง่ สาธารณะและปัจจตั ตงั เวทติ พั โพ วิญญหู ิ – อนั วิญญชู นจะพงึ รู้ได้เฉพาะตน สรุปความว่า ความแตกตา่ งระหวา่ งพทุ ธศาสตร์ กบั วทิ ยาศาสตร์ที่สาคญั คือวิทยาศาสตร์ไม่ สนใจเรื่องศีลธรรม ความดีความชว่ั วางตวั เป็นกลางในเรื่องถกู ผิด
๕. พร๕ะ.พพทุ รธะศพาทุ สธนศาสเนน้นาเคนว้นาคมวสามั สพมั นั พธนั์ ขธ์อขงอเงหเตหปตุ ปัุจัจจยั ยั แแลละะววิธิธีการแก้ปปัญัญหหาา
กฏปฏจิ จสมุปบาท คอื กฏแหง่ เหตผุ ลที่วา่ ถา้ ส่ิงนีม้ ี สิ่งนน้ั ก็มี ถา้ สิ่งนีด้ บั ส่ิงนนั้ ก้ดบั ปฏิจจสมปุ บาทมีองค์ประกอบ 12 ประการ คือ 1) อวชิ ชา คอื ความไม่รู้จริงของชีวติ ไมร่ ู้แจ้งในอริยสจั 4 ไมร่ ู้เท่าทนั ตาม สภาพท่เี ป็นจริง 2) สังขาร คือ ความคดิ ปรุงแต่ง หรือเจตนาทงั้ ทเ่ี ป็ นกศุ ลและอกศุ ล
3) วญิ ญาณ คอื ความรับรู้ตอ่ อารมณ์ตา่ งๆ เช่น เหน็ ได้ยิน ได้กล่ิน รู้รส รู้ สมั ผสั 4) นามรูป คอื ความมีอยใู่ นรูปธรรมและนามธรรม ได้แก่ กายกบั จิต 5) สฬายตนะ คอื ตา หู จมกู ลิน้ กาย และใจ 6) ผัสสะ คือ การถกู ต้องสมั ผสั หรือการกระทบ 7) เวทนา คอื ความรู้สกึ วา่ เป็ นสขุ ทกุ ข์ หรืออเุ บกขา 8) ตัณหา คือ ความทะเยอทะยานอยากหรือความต้องการในสิ่งท่ีอานวย ความสขุ เวทนา และความดนิ ้ รนหลีกหนีในส่ิงท่กี ่อทกุ ขเวทนา 9) อุปาทาน คอื ความยดึ มนั่ ถือมน่ั ในตวั ตน 10) ภพ คอื พฤติกรรมท่แี สดงออกเพื่อสนองอปุ าทานนนั้ ๆ เพ่ือให้ได้มา และให้เป้ นไปตามความยึดมน่ั ถือมน่ั
11) ชาติ คอื ความเกิด ความตระหนกั ในตวั ตน ตระหนกั ในพฤติกรรมของ ตน 12) ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ขะ โทมนัส อุปายาสะ คือ ความแก่ ความตาย ความโศกเศร้า ความคร่าครวญ ความไม่สบายกาย ความไมส่ บาย ใจ และความคบั แค้นใจหรือความกลดั กลมุ่ ใจ
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: