โรงเรยี นเซนตโ์ ยเซฟศรเี พชรบรู ณ์ วิชา สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั รธรรม จดั ทาโดย นางสาว ณฐั ภทั ร วรรณกุล ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 4/3 เลขท่ี 22
.หลกั ประชาธปิ ไตยทวั่ ไปในพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประชาธปิ ไตยมาตง้ั แตเ่ ร่มิ แรก กอ่ นท่ีพระพทุ ธเจา้ จะทรงมอบใหพ้ ระสงฆเ์ ป็นใหญใ่ นกจิ การทง้ั ปวงเสยี อกี ลกั ษณะทเ่ี ป็นประชาธิปไตยใ นพระพทุ ธศาสนามตี วั อยา่ งดงั ตอ่ ไปน้ี 1. พระพทุ ธศาสนามพี ระธรรมวนิ ยั เป็นธรรมนูญหรอื กฎหมายสูงสุด พระธรรม คือ คาสอนที่พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง พระวินัยคือ คาสงั่ อนั เป็นขอ้ ปฏบิ ตั ิที่พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั ขิ ้ึนเม่อื รวมกนั เรยี กวา่ พระธรรมวินัย ซ่งึ มีความสาคญั ขนาดทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ทรงมอบใหเ้ ป็นพระศาสดาแทนพระองค์ ก่อนทพ่ี ระองคจ์ ะปรนิ ิพพานเพยี งเลก็ นอ้ ย 2. มีการกาหนดลกั ษณะของศาสนาไวเ้ รยี บรอ้ ย ไมป่ ลอ่ ยใหเ้ ป็นไปตามยถากรรม ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนาคอื สายกลาง ไม่ซา้ ยสุด ไม่ขวาสดุ ทางสายกลางน้ีเป็นครรลอง อาจปฏบิ ตั ิค่อนขา้ งเคร่งครดั กไ็ ด้ โดยใชส้ ทิ ธิในการแสวงหาอดเิ รกลาภตามทท่ี รงอนุญาตไว้
ในสมยั ตอ่ มา เรยี กแนวกลางๆ ของพระพทุ ธศาสนาว่า วิภชั ชวาที คือศาสนาทกี่ ล่าวจาแนกแจกแจง ตามความเป็นจรงิ บางอย่างกลา่ วยืนยนั โดยสว่ นเดียวได้ บางอยา่ งกล่าวจาแนกแจกแจงเป็นกรณี ๆ ไป 3. พระพทุ ธศาสนา มีความเสมอภาคภายใตพ้ ระธรรมวินยั บคุ คลที่เป็นวรรณะกษตั รยิ ์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู รมาแต่เดมิ รวมทง้ั คนวรรณะตา่ กว่าน้นั เช่นพวกจณั ฑาล พวกปกุ กสุ ะคนเกบ็ ขยะ และพวกทาส เม่ือเขา้ มาอปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งถกู ตอ้ งแลว้ มีความเท่าเทยี มกนั คอื ปฏบิ ตั ิตามสกิ ขาบทเท่ากนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวโุ ส คอื ผูอ้ ปุ สมบทภายหลงั เคารพผูอ้ ปุ สมบทก่อน 4. พระภกิ ษุในพระพทุ ธศาสนา มสี ทิ ธิ เสรภี าพภายใตพ้ ระธรรมวนิ ัย เช่นในฐานะภกิ ษุเจา้ ถ่นิ จะมีสทิ ธไิ ดร้ บั ของแจกก่อนภกิ ษุอาคนั ตกุ ะ ภกิ ษุทจ่ี าพรรษาอยูด่ ว้ ยกนั มสี ทิ ธิไดร้ บั ของแจกตามลาดบั พรรษา มสี ทิ ธริ บั กฐนิ และไดร้ บั อานิสงสก์ ฐนิ ในการแสวงหาจวี รตลอด 4 เดือนฤดูหนาวเทา่ เทยี มกนั นอกจากน้ันยงั มีเสรภี าพที่จะเดนิ ทางไปไหนมาไหนได้ จะอยู่จาพรรษาวดั ใดก็ไดเ้ ลือกปฏบิ ตั กิ รรมฐานขอ้ ใด ถือธุดงคว์ ตั รขอ้ ใดกไ็ ดท้ ง้ั ส้นิ 5. มกี ารแบ่งอานาจ พระเถระผูใ้ หญ่ทาหนา้ ทีบ่ รหิ ารปกครองหมู่คณะ การบญั ญตั ิพระวินัย พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญตั เิ อง เช่นมภี กิ ษุผูท้ าผิดมาสอบสวนแลว้ จงึ ทรงบญั ญตั ิพระวินัย สว่ นการตดั สนิ คดตี ามพระวินัยทรงบญั ญตั แิ ลว้ เป็นหนา้ ทข่ี องพระวินัยธรรมซ่งึ เท่ากบั ศาล 6. พระพทุ ธศาสนามหี ลกั เสยี งขา้ งมาก คอื ใชเ้ สยี งขา้ งมาก เป็นเกณฑต์ ดั สนิ เรยี กวา่ วิธเี ยภยุ ยสกิ า การตดั สนิ โดยใชเ้ สยี งขา้ งมาก ฝ่ ายใดไดร้ บั เสยี งขา้ งมากสนับสนุน ฝ่ ายน้นั เป็นฝ่ ายชนะคดี หลกั ประชาธปิ ไตยในการท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงมอบความเป็นใหญ่แก่สงฆ์ การมอบความเป็นใหญ่แก่สงฆม์ ีลกั ษณะตรงกบั หลกั ประชาธปิ ไตยหลายประการ สว่ นมากเป็นเร่ืองสงั ฆกรรม คอื การประชุมกนั ทากจิ สงฆอ์ ยา่ งใดอย่างหน่ึงใหส้ าเร็จ การทาสงั ฆกรรมประกอบดว้ ยสว่ นสาคญั 5 ประการ ถา้ ทาผิดพลาดประการใดประการหน่ึง จะทาใหส้ งั ฆกรรมน้ันเสยี ไป ใชไ้ ม่ได้ ไมม่ ผี ล คือเป็นโมฆะ สว่ นสาคญั 5 ประการมีดงั น้ีคือ
1 จานวนสงฆอ์ ย่างตา่ ที่เขา้ ประชุม การกาหนดจานวนสงฆผ์ ูเ้ ขา้ ประชมุ อย่างตา่ วา่ จะทาสงั ฆกรรมอยา่ งใดไดบ้ า้ งมี 5 ประเภท คือ 1.1 ภกิ ษุ 4 รูปเขา้ ประชุม เรยี กว่า สงฆจ์ ตรุ วรรค สามารถทาสงั ฆกรรมไดเ้ กอื บทกุ ชนิด เวน้ แต่ การอปุ สมบทหรือการบวชพระ การปวารณาหรือ พธิ ีกรรมในวนั ออกพรรษาที่ทรงอนุญาตใหว้ ่ากล่าวตกั เตือนกนั และกนั และการสวดอพั ภาน หรอื การเพกิ ถอนอาบตั ิหนักของภกิ ษุบางรูป 1.2 ภกิ ษุ 5 รูป เขา้ ประชมุ เรยี กว่า สงฆป์ ญั จวรรค สามารถทาสงั ฆกรรมทีส่ งฆจ์ ตรุ วรรค ทาไดท้ ง้ั หมด และยงั เพ่มิ การปวารณา การอปุ สมบทในชนบทชายแดนไดอ้ กี ดว้ ย 1.3 ภกิ ษุ 10 รูป เขา้ ประชมุ เรยี กว่า สงฆท์ สวรรค สามารถทาสงั ฆกรรมทีส่ งฆป์ ญั จวรรคทาไดท้ ง้ั หมด และยงั เพ่มิ การอปุ สมบทในมชั ฌิชนบท คือ ในภาคกลางของอนิ เดียไดอ้ กี ดว้ ย 1.4 ภกิ ษุ 20 รูปเขา้ ประชมุ เรยี กว่า สงฆว์ สี ติวรรค สามารถทาสงั ฆกรรมไดท้ กุ ชนิด รวมทง้ั สวดอพั ภาน เพกิ ถอนอาบตั หิ นักดว้ ย 1.5 ภกิ ษุกวา่ 20 รูปเขา้ ประชมุ เรยี กวา่ อตเิ รกวีสติวรรค สามารถทาสงั ฆกรรมไดท้ กุ ชนิด สาหรบั ประเพณีไทย นิยมนิมนตภ์ กิ ษุเขา้ ประชุมใหเ้ กนิ จานวนอย่างตา่ ของการทาสงั ฆกรรมน้ันๆ เสมอ เพ่อื ใหถ้ ูกตอ้ งอยา่ งไม่มีโอกาสผดิ พลาดในเร่อื งจานวนสงฆ์ 2 สถานท่ีประชุมของสงฆเ์ พ่อื ทาสงั ฆกรรม เรยี กวา่ สมี า แปลวา่ เขตแดน สมี า หมายถงึ พ้นื ดิน ไม่ใช่อาคาร อาคารจะสรา้ งเป็นรูปทรงอยา่ งไรหรอื ไมม่ ีอาคารเลยกไ็ ด้ สมี ามี 2 ประเภทใหญๆ่ คือ พทั ธสมี า สมี าที่ผูกแลว้ และอพทั ธสมี า สมี าที่ไมต่ อ้ งผูก พทั ธสมี ามีหลายชนิด จะกล่าวเฉพาะวสิ งุ คามสมี า แปลวา่ สมี าในหมู่บา้ น ซ่งึ แยกออกต่างหากจากอาณาเขตของประเทศ การขอวสิ งุ คามสมี าตอ้ งขอจากประมขุ ของรฐั ในประเทศไทยขอพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ในประเทศมาเลเซีย ขอพระราชทานจากพระราชาธิบดีแหง่ มาเลเซีย ในประเทศสหรฐั อเมรกิ า ขอจากผูว้ ่าการมลรฐั ทีว่ ดั ตง้ั อยู่ ไม่ใช่ขอจากประธานาธิบดี เพราะเป็นประเทศสหรฐั อเมรกิ า เม่อื ขอแลว้ ตอ้ งทาพธิ ีถอนสมี าในบรเิ วณน้นั
ซ่งึ อาจเคยเป็นวดั ผูกพทั ธสมี ามาแลว้ ในสมยั โบราณก็ได้ แลว้ ทาพธิ ผี ูกพทั ธสมี า สมี าซ่ึงทาสงั ฆกรรมผูกแลว้ น้ีจะคงอยูต่ ลอดไปจนกว่าโลกน้ีแตกสลาย กลายเป็นธุลคี อสมคิ ยกเวน้ จะทาพธิ ถี อนสมี าเสยี ลกั ษณะอน่ื ๆ ท่แี สดงถึงความเป็นประชาธิปไตยในพระพทุ ธศาสนา 1 พระพทุ ธเจา้ ทรงอนุญาตใหภ้ กิ ษุศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาดว้ ยภาษาใด ๆ กไ็ ด้ คือศกึ ษาดว้ ยภาษาทตี่ นเองรูด้ ีท่สี ุด ไม่ใหผ้ ูกขาดศึกษาดว้ ยภาษาเดยี ว เหมือนศาสนาพราหมณ์ท่ตี อ้ งศกึ ษาดว้ ยภาษาสนั สกฤตเพยี งภาษาเดียว แต่การทค่ี ณะสงฆไ์ ทยใชภ้ าษาบาลเี ป็นหลกั กเ็ พ่อื สอบทานความถูกตอ้ งในกรณีท่ีมีความสงสยั เท่าน้ัน สว่ นการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาจะใชภ้ าษาทอ้ งถ่นิ ใด ๆ กไ็ ด้ 2 พระพทุ ธเจา้ ทรงอนุญาตใหพ้ ระสงฆป์ ฏบิ ตั คิ ลอ้ ยตามกฎหมายของประเทศทต่ี นอาศยั อยู่ การปฏบิ ตั ใิ ด ๆ ที่ไม่มหี า้ มไวใ้ นศลี ของภกิ ษุแต่ผิดกฎหมายของประเทศน้นั ๆ ภกิ ษุกก็ ระทาไม่ได้ ขอ้ น้ีทาใหภ้ กิ ษุสามารถอยู่ไดใ้ นทกุ ประเทศโดยไม่มคี วามขดั แยง้ กบั รฐั บาล และประชาชนของประเทศน้นั ๆ 3 กอ่ นปรนิ ิพพาน พระพทุ ธเจา้ ทรงอนุญาตไวว้ ่า ถา้ สงฆป์ รารถนาจะถอนสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย (คือ เลกิ ศลี ขอ้ เลก็ นอ้ ย) เสยี กไ็ ด้ พระสงฆฝ์ ่ ายเถรวาทตกลงกนั ไม่ไดว้ ่า ขอ้ ใดเป็นสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ย จงึ มมี ตไิ ม่ใหถ้ อนสกิ ขาบทใด ๆ ทง้ั ส้นิ สว่ นพระสงฆฝ์ ่ ายมหายานมมี ติใหถ้ อนสกิ ขาบททเี่ หน็ ว่าเลก็ นอ้ ยได้ เม่ือกาลเวลาลว่ งไปก็ย่งิ ถอนมากข้นึ ทกุ ที การปฏบิ ตั ริ ะหวา่ งพระสงฆฝ์ ่ ายเถรวาทกบั ฝ่ ายมหายานจงึ แตกต่างกนั มากยง่ิ ข้นึ ประชาธิปไตยทีส่ มบูรณต์ อ้ งถอื หลกั ธรรมาธปิ ไตย ธรรมาธปิ ไตย หมายถงึ การถอื ธรรมเป็นใหญ่ คนในสงั คมประชาธปิ ไตยจะตอ้ งเป็นธรรมาธปิ ไตย นัน่ คอื ไมต่ กอยู่ในอานาจของโลภะ โทสะ โมหะ หรอื ตณั หา มานะ ทิฐิ (พระธรรมปิฎก. 2535 : 40)
ตณั หา คือ ความอยากไดอ้ ยากเอาสง่ิ ต่าง ๆ มาเป็นของตวั เอง ตอ้ งการผลประโยชนแ์ ละสง่ิ บารงุ บาเรอปรนเปรอตน ไม่ยอมเสยี สละเพ่ือใคร (ใฝ่ เสพ ใฝ่ บรโิ ภค)มานะ คือ ความอยากใหต้ วั เองยงิ่ ใหญ่ ตอ้ งการอานาจ ความเดน่ ดงั ความสาคญั หรอื การครอบงาเหนือผูอ้ น่ื ไม่ยอมใคร (ใฝ่ อานาจ ใฝ่ อทิ ธิพล) ทฐิ ิ คอื ความยึดถอื เอาแตค่ วามเหน็ ของตวั ตอ้ งการใหเ้ ขารบั เอาความเหน็ ของตน ยดึ ตดิ ถอื รน้ั ในความเช่ือ ลทั ธิ อดุ มการณ์ของตน จนสาคญั เหนือกวา่ ความจรงิ ไม่ยอมรบั ฟังใคร (คลงั่ ลทั ธินิยม อดุ มการณค์ บั แคบ) การถือธรรมเป็นใหญ่จะตอ้ งอาศยั ปญั ญาเป็นตวั นาเขา้ สูธ่ รรม ดงั น้นั ธรรมที่จะตอ้ งถอื หรือเคารพยึดเป็นหลกั เป็นมาตรฐาน แบง่ ไดเ้ ป็น 2 ระดบั คอื ขน้ั ตน้ ไดแ้ ก่ หลกั การ กฎเกณฑ์ กติกาต่าง ๆ อนั ชอบธรรม ทไี่ ดต้ กลงกนั วางไว้ เช่น รฐั ธรรมนูญ หลกั ศลี ธรรม เป็นตน้ ขน้ั สูง ไดแ้ ก่ ควาหลกั สาราณียธรรม หลกั สาราณียธรรมเป็นหลกั การใหญ่ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ เอกภาพหรอื ภราดรภาพ หลกั สาราณียธรรม แปลว่าธรรมเป็นเคร่อื งระลึกถงึ กนั เป็นหลกั การท่ีจะทาใหเ้ กดิ ความประสานพรอ้ มเพยี งสามคั คีและผนึกรว่ มกนั เป็นเอกภาพหลกั ธรรมน้ีมีส าระสาคญั ทีส่ อนว่า สงั คมประชาธปิ ไตยจะตอ้ งมีเคร่ืองผูกพนั คนใหม้ คี วามสามคั คีร่วมมอื ร่วมใจกนั เพราะการทีแ่ ตล่ ะคนจะอยูไ่ ดด้ ว้ ยดีและเอาศกั ยภาพของตนมารว่ มสรา้ งสรรคส์ งั คมประชาธปิ ไตยไดน้ ้ัน คนเหลา่ น้ันจะตอ้ งมคี วามสามคั คีรูจ้ กั รว่ มมือกนั และอยู่ร่วมกนั ดว้ ยดี การร่วมมือกนั และอยู่ร่วมกนั ดว้ ยดีน้ันมีลกั ษณะการแสดงออกต่าง ๆ ซ่งึ เนน้ ความมีเมตตาปรารถนาดหี วงั ประโยชนส์ ุขต่อกนั อนั จะโยงไปหาหลกั การพ้นื ฐานคอื การทค่ี นเราจ ะตอ้ งใชป้ ญั ญา คือ จะตอ้ งใชป้ ญั ญาน้นั บนพ้นื ฐานของเมตตา หมายความว่าใชป้ ญั ญาโดยมีเมตตาประกอบ หลกั ของความเป็นเอกภาพทเี่ รยี กว่า สาราณียธรรม มี 6 ประการคือ
1. เมตตากายกรรม คือ จะทาอะไรกท็ าต่อกนั ดว้ ยเมตตา หมายความวา่ ทาดว้ ยความรกั ดว้ ยไมตรดี ว้ ยความปรารถนาดตี ่อกนั มีความช่วยเหลอื กนั มกี ารร่วมมือกนั มีความพรอ้ มทจี่ ะประสานงานกนั 2. เมตตาวจกี รรม คอื จะพูดอะไรกพ็ ูดดว้ ยเมตตา โดยเจรจากนั ดว้ ยเหตผุ ล โดยใชป้ ญั ญา ไม่ใชโ้ ทสะเป็นตวั นาฉะน้นั ตอ้ พูดดว้ ยความปรารถนาดีต่อกนั มจี ติ สานึกในผลประโยชนส์ ขุ รว่ มกนั ตอ้ งการสรา้ งสรรค์ 3. เมตตามโนกรรม คือ จะคดิ อะไรกค็ ดิ ตอ่ กนั ดว้ ยเมตตา นัน่ คือ การมีความหวงั ดีตอ่ กนั ปรารถนาดีต่อกนั โดยการคิดพจิ ารณาวนิ ิจฉยั คิดวางแผนตา่ ง ๆ โดยม่งุ ทาใหเ้ กดิ ประโยชน์สขุ แกก่ นั สรา้ งสรรคส์ งั คมและมีไมตรีต่อกนั อย่างแทจ้ รงิ 4. สาธารณโภคี หมายถงึ การมีกนิ มใี ชร้ ว่ มกนั หรอื มีการแบง่ ปนั เอ้อื เฟ้ื อเผ่ือแผ่ตอ่ กนั หรือการม่งุ ช่วยเหลอื และบาเพญ็ ประโยชน์ตอ่ สาธารณะโดยการไ ม่เหน็ แกต่ วั เป็นตน้ 5. สลี สามญั ญตา หมายถงึ มีศีลเสมอกนั คือมคี วามประพฤตดิ ี รกั ษาระเบียบวินัย รกั ษากฎกติกาของสงั คม มีความสจุ รติ กายวาจาที่เสมอกนั ไมเ่ บยี ดเบียนผูอ้ น่ื ไม่ก่อความเดือดรอ้ นแกส่ งั คม 6. ทฐิ สิ ามญั ญตา หมายถงึ มีทิฐิ มีความเหน็ มคี วามเช่ือมนั่ ยึดถอื ในหลกั การอดุ มการณ์และอดุ มคตริ ่วมกนั หรอื สอดคลอ้ งกนั คนในสงั คมประชาธปิ ไตยจะตอ้ งมีควา มเหน็ ความเขา้ ใจและความเช่ือมนั่ ในหลกั การประชาธปิ ไตยร่วมกนั เช่น การยอมรบั ระบอบประชาธิปไตย การเขา้ ใจเร่อื งสทิ ธิและหนา้ ที่ การเขา้ ใจเร่ืองเสรภี าพ ภราดรภาพหรือเอกภาพ เป็นตน้ มจรงิ ความถูกตอ้ งดงี าม และประโยชน์สขุ
หลกั การพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การวทิ ยาศาสตร์ หลกั การของพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การของวิทยาศาสตรม์ ีทง้ั สว่ นทส่ี อดคลอ้ ง และสว่ นท่แี ตกต่างกนั ดงั ต่อไปน้ี ความสอดคลอ้ งกนั ของหลกั การของพระพทุ ธศาสนากบั หลกั การวิทยาศาสตร์
1. ในดา้ นความเช่ือ (Confidence) หลกั การวิทยาศาสตร์ ถอื หลกั ว่า จะเช่ืออะไรน้ันจะตอ้ งมกี ารพสิ ูจนใ์ หเ้ หน็ จรงิ ไดเ้ สยี ก่อน วทิ ยาศาสตรเ์ ช่ือในเหตผุ ล ไมเ่ ช่ืออะไรลอย ๆ และตอ้ งมหี ลกั ฐานมายืนยนั วิทยาศาสตรไ์ ม่อาศยั ศรทั ธาแต่อาศยั เหตผุ ล เช่ือการทดลองว่าใหค้ วามจริงแก่เราได้ แต่ไมเ่ ช่ือการดลบนั ดาลของส่งิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ เพราะทกุ อยา่ งดาเนินอย่างมีกฎเกณฑ์ มเี หตผุ ล และวทิ ยาศาสตรอ์ าศยั ปญั ญาและเหตผุ ลเป็นตวั ตดั สนิ ความจรงิ วิทยาศาสตรม์ ีความเช่ือวา่ สรรพส่งิ ในจกั รวาลลว้ นดาเนินไปอยา่ งมีเหตผุ ล มีความเป็นระเบียบและมกี ฎเกณฑท์ ี่แน่นอน หลกั การทางพระพทุ ธศาสนา มหี ลกั ความเช่ือเช่นเดยี วกบั หลกั วิทยาศาสตร์ ไมไ่ ดส้ อนใหม้ นุษยเ์ ช่ือและศรทั ธาอยา่ งงมงายในอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ์ และอาเทศนาปาฏิหารยิ ์ แตส่ อนใหศ้ รทั ธาในอนุสาสนีปาฏหิ ารยิ ์ ทจี่ ะก่อใหเ้ กดิ ปญั ญาในการแกท้ กุ ขแ์ กป้ ญั หาชีวิต ไม่สอนใหเ้ ช่ือใหศ้ รทั ธาในส่งิ ท่อี ยูน่ อกเหนือประสาทสมั ผสั เช่นเดียวกบั วิทยาศาสตร์ สอนใหม้ นุษยน์ าเอาหลกั ศรทั ธาโยงไปหาการพสิ ูจน์ดว้ ยประสบการณ์ ดว้ ยปญั ญา และดว้ ยการปฏบิ ตั ิ ดงั หลกั ของความเช่ือใน “กาลามสูตร” คอื อยา่ เช่ือ เพยี งเพราะใหฟ้ งั ตามกนั มา อยา่ เช่ือ เพยี งเพราะไดเ้ รยี นตามกนั มา อยา่ เช่ือ เพยี งเพราะไดถ้ อื ปฏบิ ตั ิสบื ตอ่ กนั มา อย่าเช่ือ เพยี งเพราะเสยี งเล่าลอื อย่าเช่ือ เพยี งเพราะอา้ งตารา อยา่ เช่ือ เพยี งเพราะตรรกะ หรอื นึกคดิ เอาเอง อย่าเช่ือ เพยี งเพราะอนุมานหรอื คาดคะเนเอา อย่าเช่ือ เพยี งเพราะคดิ ตรองตามแนวเหตผุ ล อยา่ เช่ือ เพยี งเพราะตรงกบั ทฤษฎขี องตนหรอื ความเหน็ ของตน อย่าเช่ือ เพยี งเพราะรูปลกั ษณะน่าเช่ือ
อยา่ เช่ือ เพยี งเพราะท่านเป็นสมณะหรอื เป็นครูอาจารยข์ องเรา ในหลกั กาลามสูตรน้ี พระพทุ ธเจา้ ยงั ตรสั ต่อไปวา่ จะตอ้ งรูเ้ ขา้ ใจดว้ ยวา่ สง่ิ เหลา่ น้ีเป็นกศุ ล หรอื อกศุ ล ถา้ รูว้ ่าเป็นอกศุ ล มโี ทษ ไม่เป็นประโยชน์ ทาใหเ้ กดิ ทกุ ข์ พงึ ละเสยี ถา้ รูว้ ่าเป็นกศุ ล มคี ณุ เป็นประโยชน์ เป็นไปเพอ่ื ความสุข กใ็ หถ้ ือปฏบิ ตั ิ นนั่ คอื ศรทั ธาหรอื ความเช่ือท่ีก่อใหเ้ กดิ ปญั ญา 2. ในดา้ นความรู้ (Wisdom) ทง้ั หลกั การทางวิทยาศาสตรแ์ ละหลกั การของพระพทุ ธศาสนา ยอมรบั ความรูท้ ่ีไดจ้ ากประสบการณ์ หมายถงึ การทต่ี า หู จมกู ล้นิ กาย ไดป้ ระสบกบั ความรูส้ กึ นึกคิด เช่น รูส้ กึ ดใี จ รูส้ กึ อยากได้ เป็นตน้ วิทยาศาสตรเ์ ร่มิ ตน้ จากประสบการณค์ ือ จากการท่ไี ดพ้ บเหน็ สง่ิ ต่าง ๆ แลว้ เกดิ ความอยากรูอ้ ยากเหน็ กแ็ สวงหาคาอธิบาย วทิ ยาศาสตรไ์ ม่เช่ือหรอื ยดึ ถอื อะไรล่วงหนา้ อยา่ งตายตวั แต่จะอาศยั การทดสอบดว้ ยประสบการณส์ บื สาวไปเร่อื ย ๆ จะไมอ่ า้ งองิ ถงึ สง่ิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ิใด ๆ ที่อยูน่ อกเหนือประสบการณ์และการทดลอง วทิ ยาศาสตรแ์ สวงหาความจรงิ สากล (Truth) ไดจ้ ากฐานท่เี ป็นความจริงเฉพาะองคค์ วามรูใ้ นทางวทิ ยาศาสตรไ์ ดจ้ ากประสบการณ์ ความรูใ้ ดทีอ่ ยู่นอกขอบเขตของประสบการณ์ไมถ่ ือว่าเป็นความรูท้ างวทิ ยาศาสตรพ์ ระพุทธเจา้ กท็ รงเร่มิ คิ ดจากประสบการณ์คือ ประสบการณ์ท่ีไดเ้ หน็ ความเจบ็ ความแก่ ความตาย และท่ีสาคญั ทส่ี ุดคอื ความทกุ ข์ พระองคม์ ีพระประสงคท์ ่จี ะคน้ หาสาเหตขุ องทกุ ขใ์ นการคน้ หาน้ี พระองคม์ ิไดเ้ ช่ืออะไรลว่ งหนา้ อย่างตายตวั ไม่ทรงเช่ือว่ามพี ระผูเ้ ป็นเจา้ หรอื ส่งิ ศกั ด์ิสทิ ธ์ใิ ด ๆ ที่จะใหค้ าตอบไดแ้ ตไ่ ดท้ รงทดลองโดยอาศยั ประสบการณ์ของพระองคเ์ องดงั เป็นท่ีทราบกนั ดีอยูแ่ ลว้
การคดิ ตามนยั แหง่ พระพทุ ธศาสนาและการคดิ แบบวิทยาศาสตร์
การคิดตามนยั แหง่ พระพทุ ธศาสนาและการคดิ แบบวิทยาศาสตรน์ ้นั มีความสอดคลอ้ งกนั เป็นอนั มากจนมบี างคนกลา่ วว่า พระพทุ ธศาสนาเป็นวทิ ยาศาสตรท์ างจิตใจ (Spiritual / Mental Science) และโดยเหตทุ พ่ี ระพทุ ธศาสนาอบุ ตั ขิ ้ึนในโลกมนุษยก์ อ่ นวิทยาศาสตรก์ ว่า 2 พนั ปี จงึ น่าจะกลา่ วไดว้ า่ หลกั เกณฑต์ า่ ง ๆ ทางวทิ ยาศาสตรซ์ ่ึงเกดิ ข้ึนภายหลงั ไปสอดคลอ้ งกบั หลกั การและวิธกี ารของพระพทุ ธศาสนามากกว่า ทง้ั พระพทุ ธศาสนาและวทิ ยาศาสตรม์ ีจุดเนน้ เหมือนกนั คอื สอนมใิ หค้ นงมงาย ควรนาสง่ิ ต่าง ๆ มาพจิ ารณาดว้ ยเหตผุ ล มกี ารทดสอบทดลอง ตรวจสอบ จนเกดิ ความแน่ใจและเช่ือดว้ ยตนเอง ดว้ ยปญั ญาท่สี งั่ สมไวข้ องตนเอง พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั เตือนมิใหค้ นเช่ืออะไรงา่ ย ๆ (กาลามสูตร ติกนิบาต องั คุตรนิกาย) หรือมีศรทั ธาแบบตาบอด 10 ประการ คือ 1. อย่าเช่ือโดยฟังตามกนั มา 2. อย่าเช่ือโดยเขา้ ใจว่าเป็นของเก่าสบื ๆ กนั มา 3. อยา่ เช่ือเพราะตื่นข่าว 4. อย่าเช่ือเพราะตารากล่าวไว้ 5. อยา่ เช่ือโดยนึกเดา 6. อยา่ เช่ือโดยการคาดคะเน 7. อย่าเช่ือโดยพจิ ารณาตามอาการ 8. อยา่ เช่ือเพราะชอบใจว่าสอดคลอ้ งกบั ความเช่ือเดิมหรือลทั ธขิ องตน 9. อยา่ เช่ือเพราะนบั ถอื ตวั ผูพ้ ูดว่าควรเช่ือได้ 10. อยา่ เช่ือเพราะผูบ้ อกเป็ นครู อาจารยข์ องตน
หลกั การเหลา่ น้ีไม่แตกต่างกบั หลกั การของวิทยาศาสตร์ ซ่งึ เนน้ เร่ือง “วิกฤต วิจารณญาณ” คือ การพจิ ารณาส่งิ ใดตอ้ งรอบคอบและถถ่ี ว้ นมากทส่ี ดุ แนวคิดเกย่ี วกบั ธรรมชาตขิ องสรรพส่งิ ทง้ั ทมี่ ีชีวติ และไม่มีชีวติ หากนามาเปรยี บเทียบกนั ระหว่างวิทยาศาสตรก์ บั พระพทุ ธศาสนา จะเหน็ ว่ามคี วามสอดคลอ้ งกนั อย่างดี ดงั เปรยี บเทียบตอ่ ไปน้ี (วิทยาศาสตร)์ สรรพสง่ิ ในจกั รวาลอาจแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 องคป์ ระกอบ คือ 1. สสาร 2. พลงั งาน (พระพทุ ธศาสนา)สรรพส่งิ ในจกั รวาลอาจแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 องคป์ ระกอบ คือ 1. รูป 2. นาม
(วิทยาศาสตร)์ 1. สสาร แบ่งเป็น 3 สถานะ ของแข็ง ของเหลว กา๊ ช (พระพทุ ธศาสนา)1. รูปต่าง ๆ แบง่ ออกไดเ้ ป็น “ธาต”ุ หรอื “ธรรมชาต”ิ 4 ประเภท ดนิ น้า ลม ไฟ
(วทิ ยาศาสตร)์ 2. พลงั งาน เช่น ความรอ้ น… แสง เสยี ง ฯลฯ (พระพทุ ธศาสนา) 2. นามหรอื “จติ ” หรือ “วญิ ญาณ” เป็น “ธาตรุ ู”้ หรอื ธรรมชาตทิ ่ีรูไ้ ด้ ซ่งึ เป็นองคป์ ระกอบสาคญั ของชีวิต จากขอ้ มูลเปรยี บเทียบดา้ นบนจะเหน็ ไดว้ า่ วิทยาศาสตรอ์ ธบิ าย “ธรรมชาต”ิ โดยมีแนวคดิ วา่ มี 2 องคป์ ระกอบ คือ สสารกบั พลงั งาน และใชแ้ นวคิดน้ีอธิบายส่งิ ตา่ ง ๆ ไดเ้ ป็นสว่ นมาก (กลา่ วแลว้ ในตอน 1.1) แนวคิดดงั กล่าวน้ีสอดคลอ้ งพอดีกบั “รูป” ในทางพระพทุ ธศาสนา ซ่ึงประกอบดว้ ย สสารและพลงั งาน แต่พระพทุ ธศาสนายงั มีองคป์ ระกอบตวั ใหมซ่ ่งึ ไม่มีในวิทยาศาสตร์ นนั่ คอื องคป์ ระกอบทเี่ รยี กว่า “นาม” หรอื “จติ ” หรือ “มโน” หรอื “วญิ ญาณ” ซ่งึ เป็นธรรมชาตทิ ่ีแตกต่างไปจากรูปนาม ประกอบดว้ ย 1. ความรูส้ กึ 2. ความจา 3. ความคิดปรงุ แต่ง ซ่ึงประกอบดว้ ยการวเิ คราะห์ / สงั เคราะห์ 4. การรบั รูท้ กุ ส่งิ
พระพทุ ธศาสนาอธบิ ายวา่ “ชีวิต” ย่อมประกอบดว้ ยรูป หรอื สว่ นทเ่ี ป็นรา่ งกายและนาม คอื สว่ นท่ีเป็นจติ ใจซ่ึงมีความสามารถ 4 ประการ ดงั กลา่ ว และจากหลกั การขอ้ น้ี พระพทุ ธศาสนาสามารถอธิบายไดถ้ ึงสภาพการเกดิ ทกุ ข์ สาเหตขุ องการเกดิ ทุกข์ การเวียนวา่ ยตายเกดิ กฏแหง่ กรรม ตลอดจนวถิ ที างทาใหท้ กุ ขล์ ดลง จนกระทงั่ ดบั ไปในทีส่ ุด สง่ิ เหล่าน้ีวิทยาศาสตรย์ งั ไม่ทราบ จงึ ถอื ไดว้ ่าพระพทุ ธศาสนากา้ วไกลกว่าวิทยาศาสตรม์ ากมายนกั ในการอธิบายธรรมชาติของชีวติ ขอ้ แตกต่างระหวา่ งวิทยาศาสตรแ์ ละพระพทุ ธศาสนาที่น่าสงั เกต ประการหน่ึง คอื แนวความคดิ เกย่ี วกบั “ปญั ญา” ซ่งึ พระพทุ ธศาสนาแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ สูตปยปญั ญา ปญั ญาทเี่ กดิ จากการไดร้ บั ฟัง ไดเ้ หน็ ไดป้ ระสบมาดว้ ยตนเองจากประสบการณ์ตา่ ง ๆ เช่น การไดร้ บั ทราบจากหนังสอื จากการบอกเล่าของครู จากการเหน็ ผูอ้ น่ื ทา ฯลฯ จนิ ตามยปญั ญา ปญั ญาทเ่ี กิดจากการคิดพจิ ารณา ไตร่ตรอง วิเคราะห์ วิจารณ์ต่าง ๆ เช่น การแกป้ ญั หาโจทยเ์ ลขคณิต การทดลองวิทยาศาสตร์ การคน้ ควา้ วิจยั ฯลฯ ภาวนามยปญั ญา ปญั ญาท่ีเกดิ จากการอบรมจติ ของตนเองใหม้ คี วามสะอาด สงบ ก็จะเกดิ ความ “สวา่ ง” คือ ปญั ญาชนิดน้ีข้นึ เป็นปญั ญาท่ไี ม่จาเป็นตอ้ งมาจากประสบการณห์ รอื การนึกคิดพจิ ารณา เป็นปญั ญาท่ีผดุ ข้ึนมาเองในจติ จะไดค้ าตอบจากคาถามที่ตง้ั ข้นึ โดยไมต่ อ้ งคิดความตรสั รูข้ องพระพทุ ธเจา้ กค็ ือ ตวั อย่างสูงสุดของปญั ญาชนิดท่ี 3 ซ่งึ เรยี กอกี นัยหน่ึงว่าปญั ญาทาง “ธรรม” สว่ นปญั ญา 2 ประเภทแรก เรยี กวา่ ปญั ญาทาง “โลก” จุดแตกตา่ งทเี่ หน็ ไดช้ ดั คือ ปญั ญาวิทยาศาสตร์ จะตรงกนั กบั ปญั ญา 2 ประเภทแรกของพระพทุ ธศาสนา การศึกษาคน้ ควา้ วจิ ยั ของนักวิทยาศาสตรไ์ ม่ว่าจะกระทาต่อเน่ืองนาน ลกึ ซ้ึง หรือเขม้ ขน้ มากเทา่ ใด กเ็ กดิ ปญั ญาเพยี ง 2 ประเภทแรกเท่าน้นั จะไมม่ ปี ญั ญาประเภทท่ี 3 เกดิ ข้นึ เลย หากตอ้ งการปญั ญาประเภทท่ี 3 พระพทุ ธองคก์ ต็ รสั สอนบนั ไดไว้ 3 ขน้ั คอื ใหผ้ ูน้ ้ัน รกั ษาศลี คือ รกั ษากาย และวาจา ใหเ้ รียบรอ้ ยปกติ เจรญิ สมาธภิ าวนา ซ่งึ ประกอบดว้ ยสมถกมั มฏั ฐาน และวิปสั สนากมั มฏั ฐาน
เจรญิ ปญั ญา โดยอาศยั หลกั “โยนิโสมนสกิ าร” คดิ แบบแยบคายหรือถูกวธิ ี เช่น คิดแบบสบื สาวไปหาเหตปุ จั จยั คดิ แบบแยกองคป์ ระกอบ คดิ แบบหาคุณโทษแลว้ พจิ ารณาทางเลอื ก เป็นตน้ รวมเรยี กว่า ไตรสกิ ขา หรอื การศึกษา 3 ขน้ั อาจสรปุ ไดว้ ่าทง้ั พระพทุ ธศาสนาและวทิ ยาศาสตรม์ คี วามสอดคลอ้ งกนั คือ มีหลกั การเหมอื นกนั คือ มีการสงั เกต บนั ทกึ พสิ ูจน์ ทดลอง ใชเ้ หตผุ ลอย่างเตม็ ที่ ไมเ่ ช่ืองมงาย เช่ือเหมอื นกนั ว่าผลย่อมมาจากเหตุ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ กบั ชีวติ มนุษยม์ ไิ ดเ้ กดิ จากการดลบนั ดาลของเทพเจา้ หากเกดิ ข้นึ จากการกระทาของบคุ คลผูน้ ้ันนัน่ เอง เช่นเดยี วกบั กฎของแรงปฏกิ ริ ิยาจะเกดิ เท่ากบั แรงกริ ิยา บคุ คลประสบผลของกรรมดีเพราะไดก้ ระทาความดีไวก้ ่อน เป็นตน้ ทง้ั พระพทุ ธศาสนาและวิทยาศาสตรม์ ีความเหน็ สอดคลอ้ งกนั ในเรอ่ื งวิวฒั นาการของชีวิตวา่ ชีวติ ค่ อย ๆ เปล่ยี นแปรรูป ใชเ้ วลานานแสนนาน (4 อคั คญั ญสูตร ทีฆนิกาย) เร่มิ วิวฒั นาการจากชีวิตทีไม่มเี พศ จนกระทงั่ เกดิ มีเคร่ืองหมายเพศชดั เจน จากสตั วเ์ ซลลเ์ ดียว เป็นหลายเซลล์ สตั วม์ ีกระดูกสนั หลงั คร่งึ บกคร่งึ น้า เล้ยี งลูกดว้ ยน้านม จนกระทงั่ มนุษย์ ทง้ั พระพทุ ธศาสนาและวิทยาศาสตรม์ ีความเหน็ สอดคลอ้ งกนั ในเรอ่ื งของวิทยาศาสตรก์ ายภาพโดยเฉพา ะสสารและพลงั งาน ตลอดจนขนาดของปรมานู ในดา้ นความแตกตา่ ง พระพทุ ธศาสนาและวทิ ยาศาสตรม์ ีแนวคิดไม่ตรงกนั คอื พระพทุ ธศาสนาสอนใหม้ นุษยเ์ ขา้ ใจธรรมชาตโิ ดยเนน้ เรอ่ื งจติ ใจ และใหป้ ฏบิ ตั ิเพ่อื ความพน้ ทกุ ข์ สว่ นวิทยาศาสตรศ์ กึ ษาธรรมชาตหิ นักไปในทางวตั ถุ เพอ่ื มาประยุกตค์ วามรู้ ใชป้ ระโยชน์ในทางโลกมิไดม้ คี วามคิดลกึ ซ้ึงจะหนีทกุ ขแ์ ต่ประการใด คาสงั่ สอนของพระพทุ ธองคเ์ ป็นสจั ธรรม ไม่ข้นึ อยู่กบั เวลา สว่ นความคดิ เหน็ ทางวิทยาศาสตรอ์ าจแปรเปล่ยี นไปได้ หากมเี หตผุ ลหรือหลกั ฐานอน่ื น่าเช่ือถอื กว่า
พระพทุ ธองคท์ รงบรรลปุ ญั ญาขน้ั ท่ี 3 และปราศจากกเิ ลสตณั หาต่าง ๆ เพราะยงั มไิ ดช้ าระจติ ใหส้ ะอาดแนวคิดในเรอ่ื งจติ ยงั ไม่มใี นวิทยาศาสตร์ เหมอื นพระพทุ ธศาสนาจงึ ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์อกี หลายอย่างไดเ้ หมือนพระพทุ ธศาสนา ความสอดคลอ้ งและความแตกต่างระหว่างพระพทุ ธศาสนากบั หลกั วทิ ยาศาสตร์ หลกั ไตรลกั ษณ์ คืออนิจจงั (impermanent) ทกุ ขงั (conflict) และอนัตตา (no-self) การยอมรบั โลกท่ีอยู่พน้ สสารวตั ถุ (Metaphysics) ทง้ั วิทยาศาสตรแ์ ละพทุ ธศาสตรย์ อมรบั สสารวตั ถุ ซ่ึงรูจ้ กั ไดด้ ว้ ยประสาทสมั ผสั ทง้ั 5 วา่ มีจรงิ โลกท่พี น้ จากสสารวตั ถวุ ทิ ยาศาสตรย์ งั ไม่ยอมรบั เพราะเช่ือวา่ ประสาทสมั ผสั เป็นเคร่ืองมือสุดทา้ ยทจ่ี ะตอ้ งตดั สนิ ความจรงิ พทุ ธศาสนาเช่ือวา่ สจั ธรรมชน้ั สูงคือมรรค ผลนิพพาน ไม่อาจจะรูไ้ ดด้ ว้ ยประสาทสมั ผสั รูไ้ ดด้ ว้ ย ปญั ญนิ ทรยี ก์ ารอธิบายความจรงิ วิทยาศาสตรถ์ อื วา่ ความจรงิ เป็นสง่ิ สาธารณะสามารถพสิ ูจนไ์ ดส้ จั ธรรมทางพทุ ธ มที ง้ั ส่งิ สาธารณะและปจั จตั ตงั เวทติ พั โพ วิญญูหิ – อนั วิญญูชนจะพงึ รูไ้ ดเ้ ฉพาะตนสรุปความว่า ความแตกต่างระหว่างพทุ ธศาสตร์ กบั วิทยาศาสตรท์ ่ีสาคญั คือวทิ ยาศาสตรไ์ ม่สนใจเร่อื งศลี ธรรม ความดคี วามชวั่ วางตวั เป็นกลางในเรอ่ื งถกู ผิด การคน้ พบทางวิทยาศาสตร์ ใหท้ ง้ั คุณอนนั ตแ์ ละโทษมหนั ต์ สว่ นคาสอนทางพทุ ธ-ศาสนาน้นั เป็นเร่อื งศลี ธรรม ความดี ความชวั่ มงุ่ ทจ่ี ะใหม้ นุษยใ์ นสงั คมมคี วามสขุ เป็นลาดบั ข้ึนไปเรอ่ื ยๆ จนถงึ ความสงบสุขอนั สูงสดุ แลว้ แตว่ า่ ใครจะไปไดแ้ ค่ไหน 1.จุดม่งุ หมายของวทิ ยาศาสตรก์ บั พทุ ธศาสตร์ /
2.ความเชอื่ ตามหลกั วทิ ยาศาสตร ์ การจะเชอื่ สงิ่ ใดตอ้ งพสิ ูจนใ์ หเ้ ห็นจรงิ เสยี กอ่ น เอาปญั ญาและเหตผุ ลเป็ นตวั ตดั สนิ ความจรงิ หลกั พทุ ธศาสนาถอื วา่ ความจรงิ จะตอ้ งพสิ จู นไ์ ดด้ ว้ ยการปฏบิ ตั ิ ดุจหลกั กาลามสตู ร และทไ่ี หนมศี รทั ธาทนี่ ่ันจะตอ้ งมปี ัญญา 3. ความคดิ แบบพทุ ธกบั ความคดิ แบบวทิ ยาศาสตรค์ ลา้ ยกนั คอื สบื สาวหาเหตุผลของปรากฏการณแ์ ละของทุกข ์ การเรมิ่ ตน้ หาความจรงิ จากประสบการณ์ อายตนะ และสภาวธรรม คอื เกดิ แก่ เจ็บ ตาย กระบวนความคดิ มดี งั นี้ / /พระพุทธศาสนาเป็ นศาสตรแ์ ห่งการศกึ ษา / ความหมายของคาวา่ การศกึ ษา คาวา่ “การศกึ ษา” มาจากคาวา่ “สกิ ขา” โดยทว่ั ไปหมายถงึ “กระบวนการเรยี น “ “การฝึ กอบรม” “การคน้ ควา้ ” “การพฒั นาการ” และ “การรแู ้ จง้ เห็นจรงิ ในสงิ่ ทง้ั ปวง” จะเห็นไดว้ า่ การศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนามหี ลายระดบั ตง้ั แตร่ ะดบั ต่าสุดถงึ ระดบั สูงสดุ เมอื่ แบง่ ระดบั อยา่ งกวา้ ง ๆ มี 2 ประการคอื 1. การศกึ ษาระดบั โลกยิ ะ มคี วามมงุ่ หมายเพอื่ ดารงชวี ติ ในทางโลก 2. การศกึ ษาระดบั โลกตุ ระ มคี วามมงุ่ หมายเพอื่ ดารงชวี ติ เหนือกระแสโลก ในการศกึ ษาหรอื การพฒั นาตามหลกั พระพทุ ธศาสนา นั้น พระพุทธเจา้ สอนใหค้ นไดพ้ ฒั นาอยู่ 4 ดา้ น คอื ดา้ นรา่ งกาย ดา้ นศลี ดา้ นจติ ใจ และดา้ นสตปิ ญั ญา โดยมจี ดุ มงุ่ หมายใหม้ นุษยเ์ ป็ นทงั้ คนดแี ละคนเกง่ มใิ ชเ่ ป็ นคนดแี ตโ่ ง่ หรอื เป็ นคนเกง่ แต่โกง การจะสอนใหม้ นุษยเ์ ป็ นคนดแี ละคนเกง่ นนั้ จะตอ้ งมหี ลกั ในการศกึ ษาทถ่ี ูกตอ้ งเหมาะสม ซงึ่ ในการพฒั นามนุษยน์ ัน้ พระพุทธศาสนามงุ่ สรา้ งมนุษยใ์ หเ้ ป็ นคนดกี อ่ น แลว้ จงึ คอ่ ยสรา้ งความเกง่ ทหี ลงั น่ันคอื สอนใหค้ นเรามคี ุณธรรม ความดงี ามกอ่ นแลว้ จงึ ใหม้ คี วามรคู ้ วามเขา้ ใจหรอื สตปิ ัญญาภายหลงั
ดงั นน้ั หลกั ในการศกึ ษาของพระพทุ ธศาสนา นั้นจะมี ลาดบั ขนั้ ตอนการศกึ ษา โดยเรมิ่ จาก สลี สกิ ขา ต่อดว้ ยจติ ตสกิ ขาและขน้ั ตอนสดุ ทา้ ยคอื ปัญญาสกิ ขา ซงึ่ ขนั้ ตอนการศกึ ษาทง้ั 3 นี้ รวมเรยี กวา่ \"ไตรสกิ ขา\" ซงึ่ มคี วามหมายดงั นี้ 1. สลี สกิ ขา การฝึ กศกึ ษาในดา้ นความประพฤตทิ างกาย วาจา และอาชพี ใหม้ ชี วี ติ สจุ รติ และเกอื้ กูล (Training in Higher Morality) 2. จติ ตสกิ ขา การฝึ กศกึ ษาดา้ นสมาธิ หรอื พฒั นาจติ ใจใหเ้ จรญิ ไดท้ ่ี (Training in Higher Mentality หรอื Concentration) 3. ปญั ญาสกิ ขา การฝึ กศกึ ษาในปัญญาสูงขนึ้ ไป ใหร้ คู ้ ดิ เขา้ ใจมองเห็นตามเป็ นจรงิ (Training in Higher Wisdom) ความสมั พนั ธข์ องไตรสกิ ขา ความสมั พนั ธแ์ บบต่อเน่ืองของไตรสกิ ขานี้ มองเหน็ ไดง้ ่ายแมใ้ นชวี ติ ประจาวนั กล่าวคอื (ศลี -> สมาธ)ิ เมอื่ ประพฤตดิ ี มคี วามสมั พนั ธง์ ดงาม ไดท้ าประโยชนอ์ ยา่ งนอ้ ยดาเนินชวี ติ โดยสุจรติ ม่นั ใจในความบรสิ ทุ ธขิ ์ อง ตน ไม่ตอ้ งกลวั ต่อการลงโทษ ไมส่ ะดงุ ้ ระแวงต่อการประทุษรา้ ยของคูเ่ วร ไมห่ วาดหวน่ั เสยี วใจตอ่ เสยี งตาหนิหรอื ความรสู ้ กึ ไม่ยอมรบั ของสงั คม และไม่มคี วามฟ้ งุ ซา่ นวนุ่ วายใจ เพราะความรสู ้ กึ เดอื ดรอ้ นรงั เกยี จในความผดิ ของตนเอง จติ ใจก็เอบิ อมิ่ ชนื่ บานเป็ นสขุ ปลอดโปรง่ สงบ และแน่วแน่ มุง่ ไปกบั สงิ่ ทค่ี ดิ คาทพ่ี ดู และการทที่ า (สมาธิ -> ปญั ญา) ยง่ิ จติ ไมฟ่ ้ ุงซา่ น สงบ อยกู่ บั ตวั ไรส้ งิ่ ขนุ่ มวั สดใส มุ่งไปอย่างแน่วแน่เทา่ ใด การรบั รู ้ การคดิ พนิ ิจพจิ ารณามอง เห็นและเขา้ ใจสงิ่ ตา่ งๆกย้ งิ่ ชดั เจน ตรงตามจรงิ แลน่ คลอ่ ง เป็ นผลดใี นทางปัญญามากขนึ้ เทา่ น้ัน อปุ มาในเรอื่ งนี้ เหมอื นว่าตงั้ ภาชนะนา้ ไวด้ ว้ ยดเี รยี บรอ้ ย ไม่ไปแกลง้ สน่ั หรอื เขย่ามนั ( ศลี ) เมอื่ นา้ ไม่ถูกกวน คน พดั หรอื เขยา่ สงบน่ิง ผงฝ่ นุ ตา่ งๆ กน็ อนกน้ หายขนุ่ น้ากใ็ ส (สมาธ)ิ เมอื่ น้าใส ก็มองเห็นสงิ่ ตา่ งๆ ไดช้ ดั เจน ( ปัญญา ) ในการปฏบิ ตั ธิ รรมสงู ขนึ้ ไป ทถ่ี งึ ขนั้ จะใหเ้ กดิ ญาณ อนั รแู ้ จง้ เห็นจรงิ จนกาจดั อาสวกเิ ลสได ้ ก็ยงิ่ ตอ้ งการจติ ทสี่ งบน่ิง ผอ่ งใส มสี มาธแิ น่วแน่ยง่ิ ขนึ้ ไปอกี ถงึ ขนาดระงบั การรบั รทู ้ างอายตนะต่างๆ ไดห้ มด เหลอื อารมณห์ รอื สงิ่ ทก่ี าหนดไวใ้ ชง้ าน แตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว เพอื่ ทาการอยา่ งไดผ้ ล จนสามารถกาจดั กวาดลา้ งตะกอนทนี่ อนกน้ ไดห้ มดสนิ้ ไมใ่ หม้ โี อกาสข่นุ อกี ต่อไป ไตรสกิ ขานี้ เมอื่ นามาแสดงเป็ นคาสอนในภาคปฏบิ ตั ทิ ่วั ไป ไดป้ รากฏในหลกั ทเี่ รยี กวา่ โอวาทปาฏโิ มกข ์ ( พุทธโอวาททเ่ี ป็ นหลกั ใหญ่ อยา่ ง ) คอื สพพปาปสส อกรณ การไม่ทาความชว่ั ทงั้ ปวง ( ศลี ) กุสลสสปู สมปทา การบาเพ็ญความดใี หเ้ พยี บพรอ้ ม (สมาธิ ) สจติ ตปรโิ ยทปน การทาจติ ของตนใหผ้ อ่ งใส (ปญั ญา ) นอกจากนีย้ งั มวี ธิ กี ารเรยี นรูต้ ามหลกั โดยท่วั ไป ซงึ่ พระพุทธเจา้ พระพทุ ธเจา้ ตรสั ไว ้ 5 ประการ คอื
1. การฟัง หมายถงึ การตง้ั ใจศกึ ษาเล่าเรยี นในหอ้ งเรยี น 2. การจาได ้ หมายถงึ การใชว้ ธิ กี ารต่าง ๆ เพอื่ ใหจ้ าได ้ 3. การสาธยาย หมายถงึ การท่อง การทบทวนความจาบ่อย ๆ 4. การเพง่ พนิ ิจดว้ ยใจ หมายถงึ การตง้ั ใจจนิ ตนาการถงึ ความรนู ้ ้ันไวเ้ สมอ 5. การแทงทะลดุ ว้ ยความเห็น หมายถงึ การเขา้ ถงึ ความรอู ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง เป็ น ความรอู ้ ย่างแทจ้ รงิ ไม่ใชต่ ดิ อยู่แตเ่ พยี งความจาเทา่ น้ัน แตเ่ ป็ นความรูค้ วามจาทส่ี ามารถนามาประพฤตปิ ฏบิ ตั ไิ ด ้ จะเห็นไดว้ ่า สลี สกิ ขา จติ ตสกิ ขา และปัญญาสกิ ขา การศกึ ษาทั้ 3 ขนั้ นี้ ต่างก็เป็ นพนื้ ฐานกนั และกนั ซงึ่ ในการศกึ ษา พทุ ธศาสนามงุ่ สอนใหค้ นเป็ นคนดี คนเกง่ และสามารถอย่ใู นสงั คมไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข จากกระบวนการศกึ ษาทกี่ ลา่ วมาทงั้ 3 ขนั้ ตอนของพุทธศาสนานี้ หากสามารถนาไปปฏบิ ตั อิ ยา่ งจรงิ จงั ก็จะเกดิ ผลดกี บั ผปู้ ฏบิ ตั ิ ซงึ่ หลกั การทง้ั 3 น้ัน เป็ นทยี่ อมรบั จากชาวโลก ทาใหพ้ ทุ ธศาสนาไดแ้ พรห่ ลายไปในประเทศตา่ ง ๆ ทว่ั โลก จงึ นับไดว้ า่ พทุ ธศาสนาเป็ นศาสตรแ์ ห่งการศกึ ษาอยา่ งแทจ้ รงิ / /พระพุทธศาสนาเนน้ ความสมั พนั ธข์ องเหตปุ ัจจยั และวธิ กี ารแกป้ ัญหา พระพุทธศาสนาเนน้ ความสมั พนั ธข์ องเหตปุ ัจจยั หลกั ของเหตปุ ัจจยั หรอื หลกั ความเป็ นเหตุเป็ นผล ซงึ่ เป็ นหลกั ของเหตปุ จั จยั ทอี่ งิ อาศยั ซงึ่ กนั และกนั ทเ่ี รยี กวา่ \"กฎปฏจิ จสมปุ บาท\" ซงึ่ มสี าระโดยย่อดงั นี้ \"เมอื่ อนั นีม้ ี อนั นีจ้ งึ มี เมอื่ อนั นีไ้ ม่มี อนั นีก้ ไ็ มม่ ี เพราะอนั นีเ้ กดิ อนั นีจ้ งึ เกดิ เพราะอนั นีด้ บั อนั นีจ้ งึ ดบั \"น่ีเป็ นหลกั ความจรงิ พนื้ ฐาน วา่ สงิ่ หนึ่งสงิ่ ใดจะเกดิ ขนึ้ มาลอย ๆ ไม่ได ้ หรอื ในชวี ติ ประจาวนั ของเรา \"ปัญหา\"ทเี่ กดิ ขนึ้ กบั ตวั เราจะเป็ นปัญหาลอย ๆ ไม่ได ้ จะตอ้ งมเี หตุปัจจยั หลายเหตทุ ก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ปัญหาขนึ้ มา หากเราตอ้ งการแกไ้ ขปัญหากต็ อ้ งอาศยั เหตุปัจจยั ในการแกไ้ ขหลายเหตุปัจจยั ไมใ่ ชม่ เี พยี งปัจจยั เดยี วหรอื มเี พยี งหนทางเดยี วในการแกไ้ ขปญั หา เป็ นตน้
คาวา่ \"เหตุปัจจยั \" พุทธศาสนาถอื ว่า สงิ่ ทท่ี าใหผ้ ลเกดิ ขนึ้ ไม่ใชเ่ หตุอย่างเดยี ว ตอ้ งมปี ัจจยั ตา่ ง ๆ ดว้ ยเมอื่ มปี ัจจยั หลายปัจจยั ผลก็เกดิ ขนึ้ ตวั อยา่ งเชน่ เราปลกู มะม่วง ตน้ มะม่วงงอกงามขนึ้ มาตน้ มะมว่ งถอื ว่าเป็ นผลทเี่ กดิ ขนึ้ ดงั น้ันตน้ มะม่วงจะเกดิ ขนึ้ เป็ นตน้ ทสี่ มบรู ณไ์ ดต้ อ้ งอาศยั เหตุปจั จยั หลายปัจจยั ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ เป็ นตน้ มะมว่ งได ้ เหตุปัจจยั เหลา่ นั้นไดแ้ ก่ เมล็ดมะม่วง ดนิ น้า ออกซเิ จน แสงแดด อณุ หภูมทิ พ่ี อเหมาะ ป๋ ยุ เป็ นตน้ ปัจจยั เหลา่ นีพ้ รง่ั พรอ้ มจงึ กอ่ ใหเ้ กดิ ตน้ มะม่วง ตวั อย่างความสมั พนั ธข์ องเหตปุ ัจจยั เชน่ ปัญหาการมผี ลสมั ฤทธทิ ์ างการเรยี นตา่ ซงึ่ เป็ นผลทเ่ี กดิ จากการเรยี นของนกั เรยี น มเี หตปุ ัจจยั หลายเหตปุ ัจจยั ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ การเรยี นอ่อน เชน่ ปัจจยั จากครผู สู้ อน ปัจจยั จากหลกั สูตรปัจจยั จากกระบวนการเรยี นการสอนปัจจยั จากการวดั ผลประเมนิ ผล ปัจจยั จากตวั ของนกั เรยี นเอง เป็ นตน้ ความสมั พนั ธข์ องเหตปุ ัจจยั หรอื หลกั ปฏจิ จสมปุ บาท แสดงใหเ้ ห็นอาการของสงิ่ ทงั้ หลายสมั พนั ธเ์ นื่องอาศยั เป็ นเหตปุ ัจจยั ต่อกนั อย่างเป็ นกระแส ในภาวะทเ่ี ป็ นกระแสนี้ ขยายความหมายออกไปใหเ้ หน็ แง่ตา่ ง ๆ ไดค้ อื - สงิ่ ทง้ั หลายมคี วามสมั พนั ธต์ อ่ เน่ืองอาศยั เป็ นปัจจยั แกก่ นั - สงิ่ ทง้ั หลายมอี ยู่โดยความสมั พนั ธก์ นั - สงิ่ ทง้ั หลายมอี ยดู่ ว้ ยอาศยั ปัจจยั - สงิ่ ทงั้ หลายไม่มคี วามคงทอี่ ยู่อยา่ งเดมิ แมแ้ ต่ขณะเดยี ว (มกี ารเปลยี่ นแปลงอยู่ตลอดเวลา ไมอ่ ยนู่ ิ่ง) - สงิ่ ทง้ั หลายไมม่ อี ยโู่ ดยตวั ของมนั เอง คอื ไมม่ ตี วั ตนทแ่ี ทจ้ รงิ ของมนั - สงิ่ ทงั้ หลายไม่มมี ลู การณ์ หรอื ตน้ กาเนิดเดมิ สุด แตม่ คี วามสมั พนั ธแ์ บบวฏั จกั ร หมนุ วนจนไมท่ ราบวา่ อะไรเป็ นตน้ กาเนิดทแี่ ทจ้ รงิ หลกั คาสอนของพระพุทธศาสนาของพระพุทธศาสนาทเี่ นน้ ความสมั พนั ธข์ องเหตุปัจจยั มมี ากมาย ในทน่ี ีจ้ ะกลา่ วถงึ หลกั คาสอน 2 เรอื่ ง คอื ปฏจิ จสมปุ บาท และอรยิ สจั 4 ปฏจิ จสมุปบาท คอื การทสี่ งิ่ ทงั้ หลายอาศยั ซงึ่ กนั และกนั เกดิ ขนึ้ เป็ นกฎธรรมชาตทิ พ่ี ระพุทธเจา้ ทรงคน้ พบ การทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงคน้ พบกฎนีน้ ี่เอง พระองคจ์ งึ ไดช้ อื่ วา่ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ กฏปฏจิ จสมปุ บาท เรยี กอกี อย่างหนึ่งวา่ กฏอทิ ปั ปัจจยตา ซงึ่ กค็ อื กฏแหง่ ความเป็ นเหตเุ ป็ นผลของกนั และกนั น่นั เอง / กฏปฏจิ จสมปุ บาท คอื กฏแหง่ เหตผุ ลทวี่ า่ ถา้ สงิ่ นีม้ ี สงิ่ นน้ั กม็ ี ถา้ สงิ่ นีด้ บั สงิ่ น้นั กด้ บั ปฏจิ จสมุปบาทมอี งคป์ ระกอบ 12 ประการ คอื 1) อวชิ ชา คอื ความไม่รจู ้ รงิ ของชวี ติ ไม่รแู ้ จง้ ในอรยิ สจั 4 ไม่รเู ้ ท่าทนั ตามสภาพทเ่ี ป็ นจรงิ 2) สงั ขาร คอื ความคดิ ปรุงแตง่ หรอื เจตนาทง้ั ทเี่ ป็ นกศุ ลและอกศุ ล
3) วญิ ญาณ คอื ความรบั รตู ้ ่ออารมณต์ า่ งๆ เชน่ เห็น ไดย้ นิ ไดก้ ลนิ่ รรู ้ ส รสู ้ มั ผสั 4) นามรปู คอื ความมอี ยใู่ นรปู ธรรมและนามธรรม ไดแ้ ก่ กายกบั จติ 5) สฬายตนะ คอื ตา หู จมกู ลนิ้ กาย และใจ 6) ผสั สะ คอื การถกู ตอ้ งสมั ผสั หรอื การกระทบ 7) เวทนา คอื ความรสู ้ กึ ว่าเป็ นสขุ ทุกข ์ หรอื อุเบกขา 8) ตณั หา คอื ความทะเยอทะยานอยากหรอื ความตอ้ งการในสงิ่ ทอี่ านวยความสขุ เวทนา และความดนิ้ รนหลกี หนีในสงิ่ ทกี่ อ่ ทกุ ขเวทนา 9) อุปาทาน คอื ความยดึ ม่นั ถอื มน่ั ในตวั ตน 10) ภพ คอื พฤตกิ รรมทแี่ สดงออกเพอื่ สนองอุปาทานน้ันๆ เพอื่ ใหไ้ ดม้ าและใหเ้ ป้ นไปตามความยดึ มน่ั ถอื มน่ั 11) ชาติ คอื ความเกดิ ความตระหนักในตวั ตน ตระหนักในพฤตกิ รรมของตน 12) ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ คอื ความแก่ ความตาย ความโศกเศรา้ ความครา่ ครวญ ความไมส่ บายกาย ความไมส่ บายใจ และความคบั แคน้ ใจหรอื ความกลดั กลุ่มใจ องคป์ ระกอบทง้ั 12 ประเภทนี้ พระพุทธเจา้ เรยี กว่า องคป์ ระกอบแหง่ ชวี ติ หรอื กระบวนการของชวี ติ ซงึ่ มคี วามสมั พนั ธเ์ กยี่ วเนื่องกนั ทานองปฏกิ ริ ยิ าลกู โซ่ เป็ นเหตุปัจจยั ตอ่ กนั โยงใยเป็ นวงเวยี นไม่มตี น้ ไมม่ ปี ลาย ไมม่ ที ส่ี นิ้ สดุ กล่าวคอื องคป์ ระกอบของชวี ติ ตามกฏปฏจิ จสมปุ บาทดงั กล่าวนีเ้ ป็ นสายเกดิ เรยี กวา่ สมทุ ยั วาร จากกฏปฏจิ จสมุปบาทหรอื กฎอทิ ปั ปัจจยตาทวี่ า่ อวชิ ชาเป็ นตวั เหตุของทุกสงิ่ ทกุ อยา่ ง อวชิ ชาคอื ความไมร่ แู ้ จง้ ในอรยิ สจั 4 ดงั นั้น กฎปฏจิ จสมุปบาท เมอื่ กล่าวโดยสรปุ แลว้ กค็ อื อรยิ สจั 4 น่ันเอง อรยิ สจั หมายถงึ หลกั ความจรงิ อนั ประเสรฐิ หรอื หลกั ความจรงิ ทที่ าใหผ้ เู้ ขา้ ถงึ เป็ นผูป้ ระเสรฐิ มี 4 ประการ คอื 1) ทกุ ข ์ หมายถงึ ความไมส่ บายกาย ไมส่ บายใจ หรอื สภาพทบ่ี บี คน้ั จติ ใจใหท้ นไดย้ าก ทกุ ขเ์ ป็ นสภาวะทจี่ ะตอ้ งกาหนดรู ้ 2) สมทุ ยั (ทกุ ขสมทุ ยั ) หมายถงึ ตน้ เหตทุ ที่ าใหเ้ กดิ ทกุ ข ์ ไดแ้ ก่ ตณั หา3 ประการ คอื กามตณั หา ภวตณั หา และวภิ วตณั หา สมทุ ยั เป็ นสภาวะทจ่ี ะตอ้ งละหรอื ทาใหห้ มดไป 3) นิโรธ (ทกุ นิโรธ)หมายถงึ ความดบั ทกุ ข ์ หรอื สภาวะทป่ี ราศจากทุกข ์ เป็ นสภาวะทต่ี อ้ งทาความเขา้ ใจใหแ้ จ่มแจง้ 4) มรรค (ทุกขนิโรธคามนิ ีปฎปิ ทา) หมายถงึ ทางดบั ทุกข ์ หรอื ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดบั ทุกข ์ ไดแ้ ก่ มชั ฌมิ าปฏปิ ทา หรอื อรยิ มรรคมอี งค ์ 8 ซงึ่ สรุปลงในไตรสกิ ขา คอื ศลี สมาธิ ปัญญา มรรคเป็ นสภาวะทต่ี อ้ งลงมอื ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเองจงึ จะไปส่คู วามดบั ทกุ ขไ์ ด ้ อรยิ สจั 4 นีถ้ า้ วเิ คราะหก์ นั ในเชงิ วทิ ยาการสมยั ใหมก่ ค็ อื ศาสตรแ์ หง่ เหตุผล เพราะอรยิ สจั 4 จดั ไดเ้ ป็ น 2 คู่ แตล่ ะคู่เป็ นเหตเุ ป็ นผลของกนั และกนั ดงั แผนภูมิ หลกั อรยิ สจั 4 หมายถงึ หลกั ความจรงิ อนั ประเสรฐิ
/ เมอื่ วเิ คราะหใ์ นทางกลบั กนั จากกฏทวี่ ่า เมอื่ มที กุ ข ์ กต็ อ้ งมคี วามดบั ทุกข ์ อรยิ สจั คทู่ สี่ อง (นิโรธและมรรค) กลายเป็ นเหตุทนี่ าไปสผู่ ล คอื การดบั อรยิ สจั คู่แรก (ทกุ ขแ์ ละสมทุ ยั ) อนั เป็ นการยอ้ นศรอกี รอบหน่ึง จะเห็นชดั วา่ อรยิ สจั 4 เป็ นกระบวนการทเ่ี กยี่ วเน่ืองกนั เป็ นระบบ เหตุผล คอื เมอื่ มเี หตเุ กดิ แห่งทกุ ข ์ (สมุทยั ) ก็จะทาใหเ้ กดิ ความทกุ ข ์ (ทกุ ข)์ ในขณะเดยี วกนั หากตอ้ งการสภาวะหมดทกุ ข ์ (นิโรธ) ก็ตอ้ งกาจดั เหตเุ กดิ แหง่ ทกุ ข ์ คอื ตณั หาดว้ ยการปฏบิ ตั ติ ามมรรค 8 (มรรค) วธิ แี กป้ ัญหาตามแนวพระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนาเนน้ การแกป้ ญั หาดว้ ยการกระทาของมนุษยต์ ามหลกั ของเหตุผล ไมห่ วงั การออ้ นวอนจากปัจจยั ภายนอก เชน่ เทพเจา้ รุกขเทวดา ภตู ผปี ีศาจ เป็ นตน้ จะเห็นไดจ้ ากตวั อย่างคาสอนในคาถาธรรมบท แปลความวา่ มนุษยท์ ง้ั หลายถกู ภยั คกุ คามแลว้ พากนั ถงึ เจา้ ป่ าเจา้ เขา เจา้ ภผู า ตน้ ไมศ้ กั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ เป็ นทพี่ งึ่ แตส่ งิ่ เหลา่ นัน้ ไม่ใชส่ รณะอนั เกษม เมอื่ ยดึ เอาสงิ่ เหลา่ น้ันเป็ นสรณะ (ทพี่ งึ่ ) ยอ่ มไมส่ ามารถหลดุ พนั จากความทกุ ขท์ ง้ั ปวง…แตช่ นเหลา่ ใดมาถงึ พระพุทธเจา้ พระธรรม พระสงฆ ์ เป็ นสรณะ รเู ้ ขา้ ใจอรยิ สจั 4 เห็นปญั หา เหตุเกดิ ของปญั หา ภาวะไรป้ ัญหา และวธิ ปี ฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความสนิ้ ปัญหาจงึ จะสามารถหลดุ พน้ จากทกุ ขท์ ง้ั ปวงได\"้ ดงั นนั้ มนุษยต์ อ้ งแกป้ ญั หาดว้ ยวธิ กี ารของมนุษยท์ เ่ี พยี รทาการดว้ ยปัญญาทร่ี ูเ้ หตปุ ัจจยั หลกั การแกป้ ัญหาดว้ ยปัญญาของมนุษยค์ อื 1. ทุกข ์ คอื การเกดิ ปัญหา หรอื รปู ้ ัญหาทเ่ี กดิ ขนึ้ หรอื รูว้ ่าปัญหาทเ่ี กดิ ขนึ้ คอื อะไร 2. สมทุ ยั คอื การสบื หาสาเหตขุ องปัญหา 3. นิโรธ คอื กาหนดแนวทางหรอื วธิ กี ารแกไ้ ขปัญหาทเี่ กดิ จากสาเหตตุ ่าง ๆ เหลา่ นั้น 4. มรรค คอื ปฏบิ ตั ติ ามวธิ กี ารใหถ้ งึ การแกไ้ ขปัญหา หรอื วธิ กี ารดบั ปัญหาได ้ หลกั การแกป้ ัญหาตามหลกั อรยิ สจั 4 นี้ มคี ุณคา่ เดน่ ทส่ี าคญั พอสรุปไดด้ งั นี้ 1. เป็ นวธิ กี ารแหง่ ปัญญา ซงึ่ ดาเนินการแกไ้ ขปัญหาตามระบบแห่งเหตผุ ล เป็ นระบบวธิ แี บบอยา่ ง ซงึ่ วธิ กี ารแกป้ ัญหาใด ๆ กต็ าม ทจี่ ะมคี ุณคา่ และสมเหตผุ ล จะตอ้ งดาเนินไปในแนวเดยี วกนั เชน่ นี้ 2. เป็ นการแกป้ ัญหาและจดั การกบั ชวี ติ ของตน ดว้ ยปัญญาของมนุษยเ์ อง โดยนาเอาหลกั ความจรงิ ทมี่ อี ยตู่ ามธรรมชาตมิ าใชป้ ระโยชน์ ไมต่ อ้ งอา้ งอานาจดลบนั ดาลของตวั การพเิ ศษเหนือธรรมชาติ หรอื สงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธใิ ์ ด ๆ 3. เป็ นความจรงิ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ชวี ติ ของคนทกุ คน ไม่วา่ มนุษยจ์ ะเตลดิ ออกไปเกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ บั สงิ่ ทอ่ี ยหู่ ่างไกลตวั กวา้ งขวางมากมายเพยี งใดก็ตาม แตถ่ า้ เขายงั จะตอ้ งมชี วี ติ ของตนเองทม่ี คี ณุ ค่าและสมั พนั ธก์ บั สงิ่ ภายนอกเหลา่ น้ันอยา่ งมผี ลดแี ลว้ เขาจะตอ้ งเกยี่ วขอ้ งและใชป้ ระโยชนจ์ ากหลกั ความจรงิ นีต้ ลอดไป
4. เป็ นหลกั ความจรงิ กลาง ๆ ทตี่ ดิ เนื่องอยกู่ บั ชวี ติ หรอื เป็ นเรอื่ งของชวี ติ เองแท้ ๆ ไม่วา่ มนุษยจ์ ะสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปวทิ ยาการ หรอื ดาเนินกจิ การใด ๆ ขนึ้ มา เพอื่ แกป้ ัญหาและพฒั นาความเป็ นอยู่ของตน และไมว่ า่ ศลิ ป-วทิ ยาการ หรอื กจิ การตา่ ง ๆ น้นั จะเจรญิ ขนึ้ เสอื่ มลง สูญสลายไป หรอื เกดิ มใี หม่มาแทนอย่างไรก็ตาม หลกั ความจรงิ นีก้ จ็ ะคงยนื ยงใหม่ และใชเ้ ป็ นประโยชนไ์ ดต้ ลอดทกุ เวลา
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: