Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ณัฐภัสสร ศิริพันธ์ 12

ณัฐภัสสร ศิริพันธ์ 12

Published by chompupuntong2148, 2020-07-30 09:51:32

Description: ณัฐภัสสร ศิริพันธ์ 12

Search

Read the Text Version

เร่ือง 1.ลกั ษณะประชาธิปไตย 2.หลกั การพระพุทธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ 3.การคดิ ตามนัยพระพุทธศาสนากบั วทิ ยาศาสตร์ 4.พระพุทธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา 5.พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั และวธิ ีการแก้ปัญหา จัดทำโดย นำงสำวณัฐภัสสร ศริ ิพันธ์ ม.4/3 เลขท่ี 12 เสนอโดย นำง เพญ็ ประภำ คำพำ รำยวิชำสังคมศกึ ษำ

ลกั ษณะประชาธิปไตย หลกั ประชาธิปไตยทวั่ ไปในพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประชาธิปไตยมาตงั้ แตเ่ ร่ิมแรก ก่อนทพ่ี ระพทุ ธเจ้าจะทรงมอบให้พระสงฆ์เป็นใหญ่ในกิจการทงั้ ปวงเสียอีกลกั ษณะที่เป็นประช าธิปไตยในพระพทุ ธศาสนามีตวั อย่างดงั ตอ่ ไปนี ้ 1. พระพทุ ธศาสนามีพระธรรมวนิ ยั เป็นธรรมนญู หรือกฎหมายสงู สดุ พระธรรม คอื คาสอนท่พี ระพทุ ธเจ้าทรงแสดง พระวินยั คอื คาสง่ั อนั เป็นข้อปฏบิ ตั ิทพี่ ระพทุ ธเจ้าทรงบญั ญตั ิขนึ ้ เมือ่ รวมกนั เรียกวา่ พระธรรมวินยั ซง่ึ มีความสาคญั ขนาดที่พระพทุ ธเจ้าทรงมอบให้เป็นพระศาสดาแทนพระองค์ ก่อนทพี่ ระองค์จะปรินิพพานเพยี งเลก็ น้อย 2. มีการกาหนดลกั ษณะของศาสนาไว้เรียบร้อย ไมป่ ลอ่ ยให้เป็นไปตามยถากรรม ลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนาคอื สายกลาง ไม่ซ้ายสดุ ไมข่ วาสดุ ทางสายกลางนเี ้ป็นครรลอง

อาจปฏบิ ตั ิคอ่ นข้างเคร่งครัดกไ็ ด้ โดยใช้สิทธิในการแสวงหาอดเิ รกลาภตามท่ีทรงอนญุ าตไว้ ในสมยั ต่อมา เรียกแนวกลางๆ ของพระพทุ ธศาสนาว่า วภิ ชั ชวาที คือศาสนาที่กลา่ วจาแนกแจกแจง ตามความเป็นจริงบางอย่างกลา่ วยืนยนั โดยสว่ นเดยี วได้ บางอยา่ งกลา่ วจาแนกแจกแจงเป็นกรณี ๆ3. พระพทุ ธศาสนา มคี วามเสมอภาคภายใต้พระธรรมวินยั บคุ คลท่ีเป็นวรรณะกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศทู รมาแตเ่ ดมิ รวมทงั้ คนวรรณะตา่ กว่านนั้ เช่นพวกจณั ฑาล พวกปกุ กสุ ะคนเกบ็ ขยะ และพวกทาส เมอ่ื เข้ามาอปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาอย่างถกู ต้องแล้ว มคี วามเท่าเทียมกนั คือปฏิบตั ติ ามสกิ ขาบทเทา่ กนั และเคารพกนั ตามลาดบั อาวโุ ส คอื ผ้อู ปุ สมบทภายหลงั เคารพผ้อู ปุ สมบทก่อน 4. พระภกิ ษุในพระพทุ ธศาสนา มสี ิทธิ เสรีภาพภายใต้พระธรรมวินยั เช่นในฐานะภิกษุเจ้าถิ่น จะมสี ทิ ธิได้รับของแจกก่อนภิกษุอาคนั ตกุ ะ ภิกษุที่จาพรรษาอยดู่ ้วยกนั มีสิทธิได้รับของแจกตามลาดบั พรรษา มสี ิทธิรับกฐิน และได้รับอานิสงส์กฐินในการแสวงหาจีวรตลอด 4 เดือนฤดหู นาวเท่าเทียมกนั นอกจากนนั้ ยงั มีเสรีภาพทจี่ ะเดนิ ทางไปไหนมาไหนได้ จะอยจู่ าพรรษาวดั ใดกไ็ ด้เลอื กปฏิบตั ิกรรมฐานข้อใด ถือธุดงค์วตั รข้อใดกไ็ ด้ทงั้ สิน้ 5. มีการแบ่งอานาจ พระเถระผ้ใู หญ่ทาหน้าทบ่ี ริหารปกครองหม่คู ณะ การบญั ญตั พิ ระวินยั พระพทุ ธเจ้าทรงบญั ญตั เิ อง เช่นมภี ิกษุผ้ทู าผิดมาสอบสวนแล้วจงึ ทรงบญั ญตั ิพระวินยั สว่ นการตดั สินคดตี ามพระวินยั ทรงบญั ญตั แิ ล้วเป็นหน้าท่ีของพระวินยั ธรรมซง่ึ เทา่ กบั ศาล 6. พระพทุ ธศาสนามีหลกั เสียงข้างมาก คือ ใช้เสยี งข้างมาก เป็นเกณฑ์ตดั สนิ เรียกวา่ วิธีเยภยุ ยสิกา การตดั สินโดยใช้เสยี งข้างมาก ฝ่ายใดได้รับเสยี งข้างมากสนบั สนนุ ฝ่ายนนั้ เป็นฝ่ายชนะคดี หลกั ประชาธิปไตยในการท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงมอบความเป็นใหญ่แกส่ งฆ์

การมอบความเป็นใหญ่แก่สงฆ์มีลกั ษณะตรงกบั หลกั ประชาธิปไตยหลายประการ สว่ นมากเป็นเร่ืองสงั ฆกรรม คือการประชมุ กนั ทากิจสงฆ์อย่างใดอย่างหนึ่งให้สาเร็จ การทาสงั ฆกรรมประกอบด้วยสว่ นสาคญั 5 ประการ ถ้าทาผิดพลาดประการใดประการหน่งึ จะทาให้สงั ฆกรรมนนั้ เสียไป ใช้ไม่ได้ ไมม่ ผี ล คอื เป็นโมฆะ สว่ นสาคญั 5 ประการมดี งั นคี ้ อื 1 จานวนสงฆ์อย่างต่าทีเ่ ข้าประชมุ การกาหนดจานวนสงฆ์ผ้เู ข้าประชมุ อยา่ งตา่ วา่ จะทาสงั ฆกรรมอย่างใดได้บ้างมี 5 ประเภท คือ 1.1 ภกิ ษุ 4 รูปเข้าประชมุ เรียกว่า สงฆ์จตรุ วรรค 1.2 ภกิ ษุ 5 รูป เข้าประชมุ เรียกวา่ สงฆ์ปัญจวรรค 1.3 ภกิ ษุ 10 รูป เข้าประชมุ เรียกว่า สงฆ์ทสวรรค 1.4 ภิกษุ 20 รูปเข้าประชมุ เรียกวา่ สงฆ์วสี ติวรรค 1.5 ภิกษุกว่า 20 รูปเข้าประชมุ เรียกวา่ อติเรกวีสติวรรค 2 สถานท่ปี ระชมุ ของสงฆ์เพ่อื ทาสงั ฆกรรม เรียกว่า สมี า แปลว่า เขตแดน สีมา หมายถงึ พนื ้ ดนิ ไมใ่ ชอ่ าคาร อาคารจะสร้างเป็นรูปทรงอยา่ งไรหรือไม่มอี าคารเลยกไ็ ด้ สมี ามี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ พทั ธสีมา สีมาท่ีผกู แล้ว และอพทั ธสีมา สีมาทไ่ี ม่ต้องผกู พทั ธสมี ามหี ลายชนดิ 4 สทิ ธิของภกิ ษุผ้เู ข้าประชมุ ภกิ ษุผ้เู ข้าร่วมประชมุ ทาสงั ฆกรรมทกุ รูปมีสิทธิแสดงความคดิ เห็นทงั้ ในทางเหน็ ด้วยและในทาง คดั ค้าน

5 มตทิ ป่ี ระชมุ การทาสงั ฆกรรมทงั้ หมด มติของท่ีประชมุ ต้องเป็นเอกฉนั ท์ คือเป็นทยี่ อมรับของภกิ ษุทกุ รูป ทงั้ นีเ้พราะในสงั ฆมณฑลนนั้ ภิกษุทงั้ หลายต้องอย่รู ่วมกนั มคี วามไว้เนอื ้ เช่ือใจกนั กลา่ วคอื มศี ีลและมีความเห็นเหมือน ๆ กนั จึงจะมีความสามคั คี สืบตอ่ พระพทุ ธศาสนาได้อยา่ งถาวร แต่ในบางกรณี เม่อื ภกิ ษุมีความเห็นแตกตา่ งกนั เป็นสองฝ่ายและมีจานวนมากด้วยกนั ต้องหาวิธีระงบั โดยวธิ ีจั บฉลาก หรือการลงคะแนนเพอ่ื ดวู ่าฝ่ายไหนได้เสียงข้างมาก ก็ตดั สนิ ไปตามเสยี งข้างมากนนั้ วิธีนเี ้รียกวา่ เยภยุ ยสิกา หลกั การของพระพทุ ธศาสนากบั หลกั วิทยาศาสนา หลกั ของวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คือ วชิ าที่เกิดจากการศึกษาคน้ ควา้ หาหลกั ฐานและเหตผุ ลแลว้ จึงนามาจดั เขา้ เป็นระเบียบหรือวชิ าที่ มนุษยพ์ ยายามศึกษาเรื่องราวของตนเองและจกั รวาลจนเกิดความรู้ ซ่ึงไดม้ าโดยการสังเกตและคน้ ควา้ จากธรรมชาติแลว้ นามาจดั ระเบียบ หลกั การของวทิ ยาศาสตร์ มีดงั น้ี

1. วทิ ยาศาสตร์เนน้ ดา้ นวตั ถนุ ิยม คือสสารและพลงั งาน และความสุขทางวตั ถุ 2. วิทยาศาสตร์เช่ือวา่ ความจริงรับรู้ไดด้ ว้ ยประสาทสัมผสั ไดแ้ ก่ ตา หู จมกู ลิน้ และกาย 3. วทิ ยาศาสตร์ไม่ยอมรับความจริงท่ีเป็นนามธรรม (หรือจิตใจ) ซ่ึงสัมผสั จบั ตอ้ งไมไ่ ด้ 4. วทิ ยาศาสตร์เนน้ ให้คนแสวงหาความสุขทางกาย 5. วิทยาศาสตร์ใหค้ วามสาคญั กบั มูลค่า หรือผลสาเร็จคิดเป็นราคา ตน้ ทุน และกาไร หลกั การของพระพุทธศาสนา หลกั การสาคญั ของพระพทุ ธศาสนา คือ การเขา้ ถึงความหลดุ พน้ จากความทุกข์ โดยจาแนกเป็นขอ้ ๆ ไดด้ งั น้ี 1. พระพทุ ธศาสนายอมรับความจริงอื่นนอกจากวตั ถุ 2. พระพุทธศาสนายอมรับความจริงที่เป็นนามธรรม (จิตใจ) เช่น กรรมดี กรรมชวั่ 3. พระพุทธศาสนายอมรับในประสาทสัมผสั ท้งั หา้ และประสาทสมั ผสั ทางจิต 4. พระพทุ ธศาสนาเนน้ ใหค้ นเป็นคนดี โดยมุ่งฝึกฝนอบรมทางจิต 5. พระพุทธศาสนามุ่งเนน้ ความสงบสุขทางใจ หรือความสุขจากการสละกิเลสตณั หา 6. พระพุทธศาสนามีเป้าหมายใหช้ าวพทุ ธหลดุ พน้ จากความทุกข์ ท้งั ในการดาเนินชีวิตประจาวนั (การดารงชีวิตในสังคม) และดบั ทกุ ขโ์ ดยส้ินเชิง (นิพพาน) เปรียบเทียบหลกั การของพระพุทธศาสนากบั หลกั วิทยาศาสตร์ หลกั การของพระพทุ ธศาสนากบั วิทยาศาสตร์ มีท้งั เหมือนกนั และแตกต่างกนั ดงั น้ี 1. หลกั การท่ีเหมือนกนั มี 3 ประการ คือ (1) ความจริงท่ีคน้ พบ เกิดจากการพสิ ูจนใ์ หป้ ระจกั ษด์ ว้ ยประสบการณ์ของตนเอง

(2) จุดม่งุ หมาย ม่งุ แสวงหาความจริงที่เกิดประโยชน์ตอ่ มนุษยชาติ (3) วิธีการแสวงหาความจริง เนน้ การลงมือปฏิบตั ิ ทดลอง และพิสูจน์ 2. หลักการท่ีแตกต่างกนั คือ พระพทุ ธศาสนาม่งุ คน้ หาความจริงท่ีเป็นประสบการณ์ ดา้ นจิตใจแต่วทิ ยาศาสตร์ม่งุ แสวงหาความจริงหรือคาตอบที่ตอ้ งการเป็นวตั ถุ (สสารและพลงั งาน) การคดิ ตามนยั แหง่ พระพุทธศาสนาและการคดิ แบบวทิ ยาศ าสตร์

การคดิ ตามนยั แห่งพระพทุ ธศาสนาและการคิดแบบวิทยาศาสตร์นนั้ มคี วามสอดคล้องกนั เป็นอนั มากจนมบี างคนกลา่ วว่า พระพทุ ธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ทางจติ ใจ (Spiritual / Mental Science) และโดยเหตทุ ีพ่ ระพทุ ธศาสนาอบุ ตั ขิ นึ ้ ในโลกมนษุ ย์กอ่ นวิทยาศาสตร์กว่า 2 พนั ปี จึงนา่ จะกลา่ วได้ว่าหลกั เกณฑ์ตา่ ง ๆ ทางวทิ ยาศาสตร์ซง่ึ เกิดขนึ ้ ภายหลงั ไปสอดคล้องกบั หลกั การและวิธีการของพระพทุ ธศาสนามากกวา่ ทงั้ พระพทุ ธศาสนาและวทิ ยาศาสตร์มจี ดุ เน้นเหมอื นกนั คือ สอนมใิ ห้คนงมงาย ควรนาสิง่ ตา่ ง ๆ มาพิจารณาด้วยเหตผุ ล มีการทดสอบทดลอง ตรวจสอบ จนเกิดความแนใ่ จและเช่ือด้วยตนเอง ด้วยปัญญาทสี่ งั่ สมไว้ของตนเอง พระพทุ ธเจ้าได้ตรัสเตือนมิให้คนเชือ่ อะไรงา่ ย ๆ (กาลามสตู ร ตกิ นิบาต องั คตุ รนิกาย) หรือมีศรัทธาแบบตาบอด 10 ประการ คอื 1. อยา่ เชื่อโดยฟังตามกนั มา 2. อยา่ เชือ่ โดยเข้าใจว่าเป็นของเก่าสบื ๆ กนั มา 3. อย่าเช่ือเพราะตน่ื ข่าว 4. อย่าเช่ือเพราะตารากลา่ วไว้ 5. อยา่ เช่อื โดยนกึ เดา 6. อย่าเชื่อโดยการคาดคะเน 7. อย่าเชอ่ื โดยพิจารณาตามอาการ 8. อยา่ เชื่อเพราะชอบใจวา่ สอดคล้องกบั ความเช่ือเดมิ หรือลทั ธิของตน 9. อย่าเชอ่ื เพราะนบั ถือตวั ผ้พู ดู วา่ ควรเชื่อได้ 10. อย่าเช่อื เพราะผ้บู อกเป็นครู อาจารย์ของตน วทิ ยาศาสตร์ 2. พลงั งาน เช่น ความร้อน… แสง เสยี ง ฯลฯ พระพทุ ธศาสนา 2. นามหรือ “จติ ” หรือ “วญิ ญาณ” เป็น “ธาตรุ ู้” หรือธรรมชาตทิ รี่ ู้ได้ ซง่ึ เป็นองค์ประกอบสาคญั ของชีวติ

จากข้อมลู เปรียบเทียบด้านบนจะเห็นได้วา่ วิทยาศาสตร์อธิบาย “ธรรมชาติ” โดยมแี นวคิดวา่ มี 2 องค์ประกอบ คือ สสารกบั พลงั งาน และใช้แนวคิดนอี ้ ธิบายสงิ่ ต่าง ๆ ได้เป็นสว่ นมาก (กลา่ วแล้วในตอน 1.1) แนวคดิ ดงั กลา่ วนสี ้ อดคล้องพอดีกบั “รูป” ในทางพระพทุ ธศาสนา ซงึ่ ประกอบด้วย สสารและพลงั งาน แตพ่ ระพทุ ธศาสนายงั มอี งค์ประกอบตวั ใหม่ซง่ึ ไมม่ ใี นวทิ ยาศาสตร์ นนั่ คอื องค์ประกอบท่ีเรียกว่า “นาม” หรือ “จิต” หรือ “มโน” หรือ “วญิ ญาณ” ซงึ่ เป็นธรรมชาติท่ีแตกต่างไปจากรูปนาม ประกอบด้วย 1. ความรู้สกึ 2. ความจา 3. ความคดิ ปรุงแต่ง ซง่ึ ประกอบด้วยการวเิ คราะห์ / สงั เคราะห์ 4. การรับรู้ทกุ ส่ิง พระพทุ ธศาสนาอธิบายว่า “ชีวติ ” ยอ่ มประกอบด้วยรูป หรือสว่ นที่เป็นร่างกายและนาม คอื สว่ นที่เป็นจิตใจซงึ่ มคี วามสามารถ 4 ประการ ดงั กลา่ ว และจากหลกั การข้อนี ้ พระพทุ ธศาสนาสามารถอธิบายได้ถงึ สภาพการเกิดทกุ ข์ สาเหตขุ องการเกิดทกุ ข์ การเวียนว่ายตายเกิด กฏแหง่ กรรม ตลอดจนวิถีทางทาให้ทกุ ข์ลดลง จนกระทง่ั ดบั ไปในที่สดุ ส่ิงเหลา่ นวี ้ ิทยาศาสตร์ยงั ไม่ทราบ จึงถือได้วา่ พระพทุ ธศาสนาก้าวไกลกวา่ วิทยาศาสตร์มากมายนกั ในการอธิบายธรรมชาตขิ องชี วติ พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสตร์แห่งการศกึ ษา

• ความหมายของคาว่าการศึกษา พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศกึ ษา ความหมายของคาว่าการศึกษา พระพุทธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา ความหมายของคาว่าการศึกษา คาวา่ “การศึกษา” มาจากคาวา่ “สิกขา” โดยทวั่ ไปหมายถึง “กระบว นการเรียน “ “การฝึกอบรม” “การคน้ ควา้ ” “การพฒั นาการ” และ “การรู้แจง้ เห็นจริงในส่ิงท้งั ปวง” จะเห็นไดว้ า่ การศึกษาในพระพทุ ธศาสนามีหลายระดบั ต้งั แต่ระดบั ต่าสุดถึงระดบั สูงสุด เมื่อแบ่งระดบั อยา่ งกวา้ ง ๆ มี 2 ประการคือ 1. การศึกษาระดบั โลกิยะ มีความมงุ่ หมายเพ่อื ดารงชีวิตในทางโลก 2. การศึกษาระดบั โลกุตระ มีความมุ่งหมายเพื่อดารงชีวติ เหนือกระแสโลก ในการศึกษาหรือการพฒั นาตามหลกั พระพุทธศาสนา น้นั พระพทุ ธเจา้ สอนใหค้ นไดพ้ ฒั นาอยู่ 4 ดา้ น คือ ดา้ นร่างกาย ดา้ นศีล ดา้ นจิตใจ และดา้ นสติปัญญา โดยมีจุดมงุ่ หมายใหม้ นุษยเ์ ป็นท้งั คนดีและคนเก่ง มิใช่เป็ นคนดีแต่โง่ หรือเป็นคนเก่งแตโ่ กง การจะสอนใหม้ นุษยเ์ ป็นคนดีและคนเก่งน้นั จะตอ้ งมีหลกั ในการศึกษาที่ถกู ตอ้ งเหมาะสม

ซ่ึงในการพฒั นามนุษยน์ ้นั พระพุทธศาสนามุง่ สร้างมนุษยใ์ หเ้ ป็นคนดีก่อน แลว้ จึงค่อยสร้างความเก่งทีหลงั นนั่ คือสอนใหค้ นเรามีคุณธรรม ความดีงามก่อนแลว้ จึงใหม้ ีความรู้ความเขา้ ใจหรือสติปัญญาภายหลงั ดงั น้นั หลกั ในการศึกษาของพระพทุ ธศาสนา น้นั จะมี ลาดบั ข้นั ตอนการศึกษา โดยเร่ิมจาก สีลสิกขา ตอ่ ดว้ ยจิตตสิกขาและข้นั ตอนสุดทา้ ยคือ ปัญญาสิกขา ซ่ึงข้นั ตอนการศึกษาท้งั 3 น้ี รวมเรียกวา่ \"ไตรสิกขา\" ซ่ึงมีความหมายดงั น้ี 1. สีลสิกขา การฝึกศึกษาในดา้ นความประพฤติทางกาย วาจา และอาชีพ ใหม้ ีชีวติ สุจริตและเก้ือกูล (Training in Higher Morality) 2. จิตตสิกขา การฝึกศึกษาดา้ นสมาธิ หรือพฒั นาจิตใจใหเ้ จริญไดท้ ่ี (Training in Higher Mentality หรือ Concentration) 3. ปัญญาสิกขา การฝึกศึกษาในปัญญาสูงข้ึนไป ใหร้ ู้คิดเขา้ ใจมองเห็นตามเป็นจริง (Training in Higher Wisdom) ความสัมพนั ธ์ของไตรสิกขา ความสัมพนั ธแ์ บบต่อเน่ืองของไตรสิกขาน้ี มองเห็นไดง้ ่ายแมใ้ นชีวติ ประจาวนั กล่าวคือ (ศีล -> สมาธิ) เมื่อประพฤติดี มีความสัมพนั ธ์งดงาม ไดท้ าประโยชนอ์ ยา่ งนอ้ ยดาเนินชีวิตโดยสุจริต มน่ั ใจในความบริสุทธ์ิของ ตน ไม่ตอ้ งกลวั ต่อการลงโทษ ไม่สะดุง้ ระแวงต่อการประทุษร้ายของคู่เวร ไมห่ วาดหวน่ั เสียวใจต่อเสียงตาหนิหรือความรู้สึก ไมย่ อมรับของสงั คม และไมม่ ีความฟุ้งซ่านวนุ่ วายใจ เพราะความรู้สึกเดือดร้อนรังเกียจในความผดิ ของตนเอง จิตใจก็เอิบอ่ิม ชื่นบานเป็ นสุข ปลอดโปร่ง สงบ และแน่วแน่ มุ่งไปกบั ส่ิงท่ีคิด คาที่พดู และการท่ีทา (สมาธิ -> ปัญญา) ยงิ่ จิตไมฟ่ ้งุ ซ่าน สงบ อยกู่ บั ตวั ไร้สิ่งข่นุ มวั สดใส ม่งุ ไปอยา่ งแน่วแน่เท่าใด การรับรู้ การคิดพินิจพจิ ารณามอง เห็นและเขา้ ใจส่ิงต่างๆกย้ ง่ิ ชดั เจน ตรงตามจริง แล่น คล่อง เป็นผลดีในทางปัญญามากข้ึนเทา่ น้นั อุปมาในเรื่องน้ี เหมือนวา่ ต้งั ภาชนะน้าไวด้ ว้ ยดีเรียบร้อย ไมไ่ ปแกลง้ ส่นั หรือเขยา่ มนั ( ศีล ) เม่ือน้าไม่ถูกกวน คน พดั หรือเขยา่ สงบน่ิง ผงฝ่ นุ ตา่ งๆ กน็ อนกน้ หายข่นุ น้าก็ใส (สมาธิ) เมื่อน้าใส กม็ องเห็นสิ่งต่างๆ ไดช้ ดั เจน ( ปัญญา )

ในการปฏิบตั ิธรรมสูงข้ึนไป ท่ีถึงข้นั จะใหเ้ กิดญาณ อนั รู้แจง้ เห็นจริงจนกาจดั อาสวกิเลสได้ ก็ยงิ่ ตอ้ งการจิตท่ีสงบน่ิง ผอ่ งใส มีสมาธิแน่วแน่ยง่ิ ข้ึนไปอีก ถึงขนาดระงบั การรับรู้ทางอายตนะตา่ งๆ ไดห้ มด เหลืออารมณ์หรือส่ิงท่ีกาหนดไวใ้ ชง้ าน แต่เพียงอยา่ งเดียว เพือ่ ทาการอยา่ งไดผ้ ล จนสามารถกาจดั กวาดลา้ งตะกอนที่นอนกน้ ไดห้ มดส้ิน ไม่ใหม้ ีโอกาสข่นุ อีกตอ่ ไป ไตรสิกขาน้ี เม่ือนามาแสดงเป็นคาสอนในภาคปฏิบตั ิทว่ั ไป ไดป้ รากฏในหลกั ท่ีเรียกวา่ โอวาทปาฏิโมกข์ ( พทุ ธโอวาทที่เป็นหลกั ใหญ่ อยา่ ง ) คือ สพพปาปสส อกรณ การไมท่ าความชว่ั ท้งั ปวง ( ศีล ) กสุ ลสสูปสมปทา การบาเพญ็ ความดีใหเ้ พียบพร้อม (สมาธิ ) สจิตตปริโยทปน การทาจิตของตนใหผ้ อ่ งใส (ปัญญา ) นอกจากน้ียงั มีวิธีการเรียนรู้ตามหลกั โดยทว่ั ไป ซ่ึงพระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธเจา้ ตรัสไว้ 5 ประ การ คือ 1. การฟัง หมายถึงการต้งั ใจศึกษาเลา่ เรียนในห้องเรียน 2. การจาได้ หมายถึงการใชว้ ธิ ีการต่าง ๆ เพอื่ ใหจ้ าได้ 3. การสาธยาย หมายถึงการทอ่ ง การทบทวนความจาบ่อย ๆ 4. การเพ่งพนิ ิจดว้ ยใจ หมายถึงการต้งั ใจจินตนาการถึงความรู้น้นั ไวเ้ สมอ 5. การแทงทะลุดว้ ยความเห็น หมายถึงการเขา้ ถึงความรู้อยา่ งถกู ตอ้ ง เป็น ความรู้อยา่ งแทจ้ ริง ไมใ่ ช่ติดอยแู่ ตเ่ พียงความจาเทา่ น้นั แต่เป็นความรู้ความจาท่ีสามารถนามาประพฤติปฏิบตั ิได้ จะเห็นไดว้ า่ สีลสิกขา จิตตสิกขา และปัญญาสิกขา การศึกษาท้ั 3 ข้นั น้ี ตา่ งก็เป็นพ้นื ฐานกนั และกนั ซ่ึงในการศึกษา พุทธศาสนามุง่ สอนใหค้ นเป็นคนดี คนเก่งและสามารถอยใู่ นสังคมไดอ้ ยา่ งมีความสุข จากกระบวนการศึกษาท่ีกลา่ วมาท้งั 3 ข้นั ตอนของพทุ ธศาสนาน้ี หากสามารถนาไปปฏิบตั ิอยา่ งจริงจงั ก็จะเกิดผลดีกบั ผปู้ ฏิบตั ิ ซ่ึงหลกั การท้งั 3 น้นั เป็นที่ยอมรับจากชาวโลก ทาใหพ้ ุทธศาสนาไดแ้ พร่หลายไปในประเทศตา่ ง ๆ ทว่ั โลก จึงนบั ไดว้ า่ พุทธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษาอยา่ งแทจ้ ริง

พระพทุ ธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจัยและวธิ ีการแ ก้ปัญหา พระพุทธศาสนาเน้นความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั หลกั ของเหตปุ ัจจยั หรือหลกั ความเป็นเหตเุ ป็นผล ซ่ึงเป็นหลกั ของเหตุปัจจยั ที่อิงอาศยั ซ่ึงกนั และกนั ท่ีเรียกวา่ \"กฎปฏิจจสมุปบาท\" ซ่ึงมีสาระโดยยอ่ ดงั น้ี \"เม่ืออนั น้ีมี อนั น้ีจึงมี เมื่ออนั น้ีไม่มี อนั น้ีกไ็ ม่มี เพราะอนั น้ีเกิด อนั น้ีจึงเกิด เพราะอนั น้ีดบั อนั น้ีจึงดบั \"นี่เป็นหลกั ความจริงพ้นื ฐาน วา่ สิ่งหน่ึงส่ิงใดจะเกิดข้ึนมาลอย ๆ ไม่ได้ หรือในชีวิตประจาวนั ของเรา \"ปัญหา\"ท่ีเกิดข้ึนกบั ตวั เราจะเป็นปัญหาลอย ๆ ไม่ได้ จะตอ้ งมีเหตปุ ัจจยั หลายเหตุท่ีก่อใหเ้ กิดปัญหาข้ึนมา

หากเราตอ้ งการแกไ้ ขปัญหากต็ อ้ งอาศยั เหตุปัจจยั ในการแกไ้ ขหลายเหตุปัจจยั ไม่ใช่มีเพยี งปัจจยั เดียวหรือมีเพยี งหนทางเดียวในการแกไ้ ขปัญหา เป็นตน้ คาวา่ \"เหตปุ ัจจยั \" พุทธศาสนาถือวา่ ส่ิงที่ทาใหผ้ ลเกิดข้ึนไม่ใช่เหตุอยา่ งเดียว ตอ้ งมีปัจจยั ตา่ ง ๆ ดว้ ยเม่ือมีปัจจยั หลายปัจจยั ผลก็เกิดข้ึน ตวั อยา่ งเช่น เราปลกู มะม่วง ตน้ มะมว่ งงอกงามข้ึนมาตน้ มะมว่ งถือวา่ เป็นผลท่ีเกิดข้ึน ดงั น้นั ตน้ มะมว่ งจะเกิดข้ึนเป็นตน้ ท่ีสมบรู ณ์ไดต้ อ้ งอาศยั เหตุปัจจยั หลายปัจจยั ที่ก่อใหเ้ กิดเป็นต้ นมะมว่ งได้ เหตุปัจจยั เหล่าน้นั ไดแ้ ก่ เมลด็ มะมว่ ง ดิน น้า ออกซิเจน แสงแดด อณุ หภูมิท่ีพอเหมาะ ป๋ ยุ เป็นตน้ ปัจจยั เหล่าน้ีพร่ังพร้อมจึงก่อใหเ้ กิดตน้ มะมว่ ง ตวั อยา่ งความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั เช่น ปัญหาการมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่า ซ่ึงเป็นผลที่เกิดจากการเรียนของนกั เรียน มีเหตุปัจจยั หลายเหตปุ ัจจยั ท่ีก่อให้เกิดการเรียนออ่ น เช่น ปัจจยั จากครูผสู้ อน ปัจจยั จากหลกั สูตรปัจจยั จากกระบวนการเรียนการสอนปัจจยั จากการวดั ผลประเมินผล ปัจจยั จากตวั ของนกั เรียนเอง เป็นตน้ ความสัมพนั ธข์ องเหตุปัจจยั หรือหลกั ปฏิจจสมุปบาท แสดงใหเ้ ห็นอาการของสิ่งท้งั หลายสมั พนั ธ์เน่ืองอาศยั เป็นเหตุปัจจยั ต่อกนั อยา่ งเป็นกระแส ในภาวะท่ีเป็นกระแสน้ี ขยายความหมายออกไปให้เห็นแง่ต่าง ๆ ไดค้ ือ - สิ่งท้งั หลายมีความสมั พนั ธต์ ่อเนื่องอาศยั เป็นปัจจยั แก่กนั - ส่ิงท้งั หลายมีอยโู่ ดยความสมั พนั ธ์กนั - ส่ิงท้งั หลายมีอยดู่ ว้ ยอาศยั ปัจจยั - สิ่งท้งั หลายไม่มีความคงที่อยอู่ ยา่ งเดิมแมแ้ ตข่ ณะเดียว (มีการเปล่ียนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ไม่อยนู่ ิ่ง) - ส่ิงท้งั หลายไมม่ ีอยโู่ ดยตวั ของมนั เอง คือ ไมม่ ีตวั ตนที่แทจ้ ริงของมนั - สิ่งท้งั หลายไมม่ ีมลู การณ์ หรือตน้ กาเนิดเดิมสุด แต่มีความสมั พนั ธแ์ บบวฏั จกั ร หมนุ วนจนไม่ทราบวา่ อะไรเป็นตน้ กาเนิดท่ีแทจ้ ริง หลกั คาสอนของพระพุทธศาสนาของพระพทุ ธศาสนาที่เนน้ ความสัมพนั ธ์ของเหตปุ ัจจยั มีมาก มาย ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงหลกั คาสอน 2 เรื่อง คือ ปฏจิ จสมปุ บาท และอริยสัจ 4

ปฏิจจสมุปบาท คือ การที่สิ่งท้งั หลายอาศยั ซ่ึงกนั และกนั เกิดข้ึน เป็นกฎธรรมชาติท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงคน้ พบ การที่พระพทุ ธเจา้ ทรงคน้ พบกฎน้ีน่ีเอง พระองคจ์ ึงไดช้ ่ือวา่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กฏปฏิจจสมปุ บาท เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ กฏอิทปั ปัจจยตา ซ่ึงก็คือ กฏแห่งความเป็นเหตุเป็นผลของกนั และกนั นน่ั เอง กฏปฏจิ จสมปุ บาท คือ กฏแห่งเหตุผลท่ีวา่ ถ้าสิ่งนมี้ ี สิ่งนนั้ กม็ ี ถ้าส่ิงนดี้ บั สิ่งน้นั ก้ดบั ปฏิจจสมุปบาทมีองคป์ ระกอบ 12 ประการ คือ 1) อวชิ ชา คือ ความไมร่ ู้จริงของชีวิต ไมร่ ู้แจง้ ในอริยสจั 4 ไมร่ ู้เทา่ ทนั ตามสภาพท่ีเป็นจริง 2) สังขาร คือ ความคิดปรุงแตง่ หรือเจตนาท้งั ท่ีเป็นกุศลและอกุศล 3) วญิ ญาณ คือ ความรับรู้ต่ออารมณ์ต่างๆ เช่น เห็น ไดย้ นิ ไดก้ ล่ิน รู้รส รู้สมั ผสั 4) นามรูป คือ ความมีอยใู่ นรูปธรรมและนามธรรม ไดแ้ ก่ กายกบั จิต 5) สฬายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิน้ กาย และใจ 6) ผสั สะ คือ การถูกตอ้ งสมั ผสั หรือการกระทบ 7) เวทนา คือ ความรูส้ ึกวา่ เป็นสุข ทกุ ข์ หรืออุเบกขา 8) ตณั หา คือ ความทะเยอทะยานอยากหรือความตอ้ งการในสิ่งท่ีอานวยความสุขเวทนา และความดิ้นรนหลีกหนีในสิ่งท่ีก่อทกุ ขเวทนา 9) อุปาทาน คือ ความยดึ มน่ั ถือมนั่ ในตวั ตน 10) ภพ คือ พฤติกรรมท่ีแสดงออกเพอ่ื สนองอุปาทานน้นั ๆ เพอื่ ใหไ้ ดม้ าและใหเ้ ป้นไปตามความยดึ มนั่ ถือมน่ั 11) ชาติ คือ ความเกิด ความตระหนกั ในตวั ตน ตระหนกั ในพฤติกรรมของตน 12) ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ขะ โทมนัส อุปายาสะ คือ ความแก่ ความตาย ความโศกเศร้า ความคร่าครวญ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ และความคบั แคน้ ใจหรือความกลดั กลุ่มใจ องคป์ ระกอบท้งั 12 ประเภทน้ี พระพทุ ธเจา้ เรียกวา่ องค์ประกอบแห่งชีวิต หรือกระบวนการของชีวิต ซ่ึงมีความสัมพนั ธ์เกย่ี วเน่ืองกนั ทานองปฏกิ ริ ิยาลูกโซ่ เป็นเ

หตุปัจจยั ต่อกนั โยงใยเป็นวงเวียนไม่มีตน้ ไม่มีปลาย ไม่มีที่ส้ินสุด กลา่ วคือองคป์ ระกอบของชีวติ ตามกฏปฏิจจสมุปบาทดงั กล่าวน้ีเป็นสายเกิดเรียกวา่ สมุ ทยั วาร วธิ ีแก้ปัญหาตามแนวพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเนน้ การแกป้ ัญหาดว้ ยการกระทาของมนุษยต์ ามหลกั ของเ หตุผล ไมห่ วงั การออ้ นวอนจากปัจจยั ภายนอก เช่น เทพเจา้ รุกขเทวดา ภูตผีปี ศาจ เป็นตน้ จะเห็นไดจ้ ากตวั อยา่ งคาสอนในคาถาธรรมบท แปลความวา่ มนุษยท์ ้งั หลายถูกภยั คุกคามแลว้ พากนั ถึงเจา้ ป่ าเจา้ เขา เจา้ ภผู า ตน้ ไมศ้ กั ด์ิสิทธ์ิ เป็นท่ีพ่งึ แต่สิ่งเหลา่ น้นั ไม่ใช่สรณะอนั เกษม เมื่อยดึ เอาส่ิงเหล่าน้นั เป็นสรณะ (ท่ีพ่ึง) ยอ่ มไม่สามารถหลดุ พนั จากความทกุ ขท์ ้งั ปวง…แตช่ นเหล่าใดมาถึงพระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ รู้เขา้ ใจอริยสัจ 4 เห็นปัญหา เหตเุ กิดของปัญหา ภาวะไร้ปัญหา และวธิ ีปฏิบตั ิใหถ้ ึงความส้ินปัญหาจึงจะสามารถหลดุ พน้ จากทุกขท์ ้งั ปวงได\"้ ดงั น้นั มนุษยต์ อ้ งแกป้ ัญหาดว้ ยวธิ ีการของมนุษยท์ ่ีเพียรทาการดว้ ยปัญญาที่รู้เหตุปัจจยั หลกั การแกป้ ัญหาดว้ ยปัญญาของมนุษยค์ ือ 1. ทุกข์ คือ การเกิดปัญหา หรือรู้ปัญหาท่ีเกิดข้ึน หรือรู้วา่ ปัญหาท่ีเกิดข้ึนคืออะไร 2. สมุทยั คือ การสืบหาสาเหตขุ องปัญหา 3. นิโรธ คือ กาหนดแนวทางหรือวิธีการแกไ้ ขปัญหาที่เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เหล่าน้นั 4. มรรค คือ ปฏิบตั ิตามวิธีการให้ถึงการแกไ้ ขปัญหา หรือวิธีการดบั ปัญหาได้ หลกั การแกป้ ัญหาตามหลกั อริยสัจ 4 น้ี มีคุณค่าเดน่ ท่ีสาคญั พอสรุปไดด้ งั น้ี 1. เป็นวิธีการแห่งปัญญา ซ่ึงดาเนินการแกไ้ ขปัญหาตามระบบแห่งเหตผุ ล เป็ นระบบวิธีแบบอยา่ ง ซ่ึงวิธีการแกป้ ัญหาใด ๆ ก็ตาม ที่จะมีคุณคา่ และสมเหตผุ ล จะตอ้ งดาเนินไปในแนวเดียวกนั เช่นน้ี 2. เป็นการแกป้ ัญหาและจดั การกบั ชีวติ ของตน ดว้ ยปัญญาของมนุษยเ์ อง

โดยนาเอาหลกั ความจริงท่ีมีอยตู่ ามธรรมชาติมาใชป้ ระโยชน์ ไมต่ อ้ งอา้ งอานาจดลบนั ดาลของตวั การพเิ ศษเหนือธรรมชาติ หรือสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิใด ๆ 3. เป็นความจริงท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ชีวติ ของคนทุกคน ไม่วา่ มนุษยจ์ ะเตลิดออกไปเกี่ยวขอ้ งสมั พนั ธก์ บั สิ่งท่ีอยหู่ ่างไกลตวั กวา้ งขวางมากมายเพยี งใดก็ต าม แตถ่ า้ เขายงั จะตอ้ งมีชีวิตของตนเองที่มีคุณคา่ และสมั พนั ธ์กบั ส่ิงภายนอกเหล่าน้นั อยา่ งมีผลดีแล้ ว เขาจะตอ้ งเกี่ยวขอ้ งและใชป้ ระโยชนจ์ ากหลกั ความจริงน้ีตลอดไป 4. เป็นหลกั ความจริงกลาง ๆ ท่ีติดเน่ืองอยกู่ บั ชีวิต


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook