ทฤษฏีจิตสังคม ของ Erikson
สงั คม อิริคสัน เอช. อริ ิคสนั มบี ทบาทในการ เปน็ ลูกศษิ ยข์ อง ฟรอยด์ พฒั นา ไดส้ รา้ งทฤษฎขี ึน้ ในแนวทาง ความคดิ ของ ฟรอยด์ แต่ไดเ้ นน้ บุคลิกภาพมาก ความสาคญั ของ.. วฒั นธรรม ส่งิ แวดล้อม ดา้ นจติ ใจ 2
Ego Id พฒั นาการของคนไมไ่ ด้จบแคว่ ยั ร่นุ ตอนทย่ี งั มชี วี ติ อยู่ บคุ ลิกภาพของคนก็เปลี่ยนไปเร่ือยๆ ทฤษฎขี องอีริคสัน ความคิดของอีรคิ สนั ต่างกับฟรอยดห์ ลายประการ 3
ทฤษฎีจิตสงั คม แบง่ พฒั นาทางบคุ ลกิ ภาพออกเป็ น 8 ขนั้ 4
Trust vs Mistrust วัยทารก ○ มกั เราตงั้ คาถามกับตวั เราว่าเราจะไวว้ างใจสง่ิ ตา่ งๆในโลกใบน้ีได้หรอื ไม่ ○ ถ้าเราเรยี นร้วู า่ เราสามารถไว้ใจใครสกั คนไดใ้ นเวลานีเ้ ราก็จะสามารถไว้ใจคน อ่ืนได้ในอนาคต ○ ถ้าเรารสู้ กึ กลวั เรากจ็ ะเร่ิมรสู้ ึกครง้ั แรกสงสยั และไม่ไวใ้ จสิ่งตา่ งๆ 5
ความเปน็ ตวั ของตวั เองอย่างอิสระ – ความสงสยั ไม่แนใ่ จตัวเอง Autonomy vs Shame and doubt 2 – 3 ปี ○ เริ่มพดู ได้ มีความอยากรู้อยากเห็นจบั ตอ้ งส่ิงต่าง ๆ ○ พอ่ แม่ควร ควรใหเ้ ดก็ เป็นอิสระ พ่ึงตนเอง ○ อธิบายวา่ ส่ิงไหนทาได้ ทาไม่ได้ ○ ควรปล่อยใหเ้ ด็กรู้สึกละอาย และเกิดความสงสยั ในตวั เองวา่ ทาไม่ถูก 6
การเป็นผคู้ ดิ รเิ ริ่ม – การรู้สกึ ผดิ Initiative vs Guilt 3 – 5 ปี ○ เด็กมีความริเร่ิมอยากทาอะไรดว้ ยตวั เอง ○ การเล่นสาคญั กบั เดก็ ช่วงวยั น้ี จะสนุกกบั การสมมติต่างๆ ○ ถา้ เด็กไดร้ ับความรักความเขา้ ใจและไดร้ ับการสนบั สนุนในการทา กิจกรรมต่างๆ จากท้งั พอ่ และแม่ เดก็ ยอ่ มมีความมน่ั ใจในตนเอง ○ ถา้ พอ่ แม่เขม้ งวดควบคุมความประพฤติตลอดเวลา เดก็ จะเกิดความรู้สึกวา่ ตนเองทาผดิ เม่ือพยายามทาอะไรดว้ ยตวั ของตวั เอง 7
ความต้องการทจ่ี ะทากจิ กรรมอย่เู สมอ – ความรูส้ ึกด้อย Industry vs Inferiority 6 – 12 ปี ○ ตอ้ งการทากิจกรรมอยเู่ สมอไมเ่ คยวา่ ง ○ เดก็ จะอยใู่ นโรงเรียน หดั อา่ น เขียน คิดเลข ○ เด็กวยั น้ีมกั จะภูมิใจเวลาทาอะไรได้ ○ มกั จะเปรียบเทียบความสามรารถกนั เสมอ ○ ผใู้ หญ่ควรช่วยหาสิ่งที่เดก็ ทาไดด้ ีกวา่ คนอ่ืน เพ่อื ไม่ใหเ้ กิดปมดอ้ ย 8
อตั ภาพหรอื การรจู้ ักว่าตนเองเป็นเอกลกั ษณ์ – การไม่ร้จู กั ตนเอง Identity vs role confusion 12 – 18 ปี ○ ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงท่ีรวดเร็ว ท้งั ผหู้ ญิงและผชู้ าย ○ เริ่มต้งั คาถามกบั ตวั เองวา่ “ Who am I” ○ บางคน มีอาการ role confuse ○ ตอ้ งการมีคนรักเพ่ือแลกเปล่ียนความคิดเห็น และความรู้สึก ○ มกั เลียนแบบตามอยา่ งผอู้ ื่น 9
คอวตั าภมาใกพลห้ชรดิ ือผกกู าพรันรจู้ –ักคววา่ าตมนอเา้องงวเา้ปงน็ ตเวัอคกนลเกัดษยี วณ์ – การไม่รจู้ ักตนเอง Intimacy vs Isolation 18 - 40 ○ วยั ที่ชายและหญิงจะรู้จุดมุ่งหมายในชีวติ ○ วยั ที่พร้อมจะมีความสัมพนั ธ์กบั เพื่อนตา่ งเพศ และการมีเพื่อนเพศเดียวกนั ก็เป็ นสิ่งสาคญั ○ ชายและหญิงแต่งงานกนั เมื่อเช่ือมอตั ภาพและยอมรับอตั ภาพของกนั และ กนั จะอยดู่ ว้ ยกนั อยา่ งมีความสุข 10
คอวตั าภมาเปพ็นหหร่วอื งกชานรรุ่นจู้หกัลวงั า่ –ตนคเวอางมเคปดิ ็นถเองึ แกตล่ตกั นษเณอง์ – การไม่ร้จู ักตนเอง Generativity vs Stagnation 40 – 60 ปี ○ เป็นวยั ที่จะห่วงคนรุ่นหลงั หรือเยาวชนรุ่นหลงั ○ มุง่ อบรบส่ังสอนลูกหลานใหเ้ ป็นคนดีในสงั คม ○ จุดเด่นวยั น้ีคือ การแบง่ ปัน การเผอื่ แผ่ การแนะนา ท้งั ในสิ่งที่เป็นวตั ถุ ความรู้ ความคิด ความชานาญต่อบุคคลอ่ืน 11
คอวตั าภมาพพอหใจรใือนกตานรเอรงู้จกั –วค่าวตานมเสอิน้งเหปวน็ังแเอลกะลคกัวาษมณไม์ พ่–อกใจาใรนไตมนร่ เู้จอกั งตนเอง Ego Integrity vs Despair 60 ปีข้นึ ไป ○ วยั ท่ีจะเป็นผลรวมของวยั ท้งั 7 วยั ○ วยั ท่ีไดร้ ับความสุขและความมนั่ คงของชีวติ ○ ผทู้ ่ีประสบความสาเร็จในการพฒั นาข้นั ที่มา เม่ืออายมุ ากข้ึนกจ็ ะรู้สึกมี ความสุข ไม่กลวั ท่ีจะตาย ○ ผทู้ ่ียอ้ นนึกถึงอดีต รู้สึกอาลยั อาวรณ์รับความลม้ เหลวหรือยอมรับอดีต ไมไ่ ด้ ปล่อยวางความลม้ เหลวของตวั เองไมไ่ ด้ จึงรู้สึกกลวั ท่ีจะตาย ถา้ คิด เช่นน้ีมากๆเกิด ภาวะซึมเศร้า สิ้นหวงั และหลีกหนีชีวติ 12
กอาตั รภปารพะยหุกรตอื ท์ กฤาษรฎรีข้จู อักงวอ่ารี ตคิ นสเนัอไงปเใปชน็้ในเอกการลสกั อษนณ์ – การไม่รู้จกั ตนเอง ○ จากแนวคิดของอีริคสันท่ีไดเ้ สนอลาดบั ข้นั ของพฒั นาการ 8 ข้นั น้นั ไดก้ ล่าวเนน้ ถึงความสมั พนั ธ์ของบุคคลท่ีไดร้ ับจาก สังคมเป็นองคป์ ระกอบท่ีกระตุน้ พฒั นาการทางจิตสังคมของบุคคล ครูกเ็ ป็นอีกคนหน่ึงที่มีความสัมพนั ธ์ใกลช้ ิดกบั เด็ก นกั เรียนรองลงมาจากบิดามารดาดงั น้นั พฤติกรรมความสัมพนั ธ์ระหวา่ งครูกบั นกั เรียนจึงมีส่วนส่งเสริมพฒั นาการทางดา้ น จิตใจและสังคมของนกั เรียนใหพ้ ฒั นาไปในทิศทางที่พงึ ประสงคห์ รืออาจจะขดั ขวางทาใหเ้ กิดความลม้ เหลวในข้นั ตา่ งๆของ พฒั นาการดงั น้นั พฤติกรรมของครูที่แสดงออกต่อเด็กนกั เรียนจึงมีความสาคญั ต่อการพฒั นาจิตใจและสังคมของเดก็ ในฐานะ ของครูผสู้ อนจะส่งเสริมใหเ้ ด็กนกั เรียนมีพฒั นาการที่พ่งึ ประสงคใ์ นแต่ละข้นั ไดอ้ ยา่ งไรน้นั ขอแยกอธิบายเป็ น 3 ระยะดงั น้ี 13
กอาัตรภปารพะยหกุ รตอื ์ทกฤาษรฎรขีจู้ อักงวอา่ รี ตคิ นสเนัอไงปเใปช็นใ้ นเอกการลสกั อษนณ์ – การไมร่ ู้จกั ตนเอง 1.การส่งเสริมใหเ้ ด็กระดบั อนุบาลพฒั นาความรู้สึกอิสระและความคิดริเริ่ม ในระดบั ช้นั อนุบาลเป็นช่วงที่คาบเก่ียวกนั ของพฒั นาการข้นั ท่ี 2 และข้นั ท่ี 3 ในการพฒั นาข้นั ท่ี 2 เป็นข้นั ของการพฒั นา ความรู้สึกเป็นอิสระความรู้สึกเป็นอิสระน้ีพฒั นาข้ึนมาจากการไดร้ ับอนุญาตใหท้ ากิจกรรมตา่ งๆอยา่ งเสรีและไดร้ ับการกระตุน้ เสริมแรงอยา่ งสม่าเสมอส่วนในข้นั ที่ 3 เป็นข้นั ของการพฒั นาความคิดริเร่ิมสร้างสรรคซ์ ่ึงเด็กในวยั 4-5 ปี น้ีเดก็ มีความซุกซนอยากรู้ อยากเห็นสูงจะพยายามแสวงหาและทาความเขา้ ใจสิ่งตา่ งๆที่ไดพ้ บเห็นดว้ ยตวั เองประกอบการซกั ถามผใู้ หญก่ ารไดร้ ับการตอบสนอง ความอยากรู้อยากเห็นท่ีดีและเหมาะสมจะเป็นจุดเร่ิมตน้ ของการพฒั นาความใฝ่ รู้และความอยากรู้อยากเห็นของเดก็ เป็นอยา่ งดี การสอนของครูในระดบั อนุบาลควรเปิ ดใหเ้ ดก็ ไดท้ ดลองส่ิงต่างๆ ดว้ ยตนเองอยา่ งอิสระ เช่น การขีดเขียน การป้ันดินเหนียว เป็นกิจกรรมเตรียมความพร้อมทกั ษะทางดา้ นร่างกาย ครูคอยใหค้ วามเช่ือเหลือ กระตุน้ ใหเ้ ด็กมีความมนั่ ใจในการทากิจกรรมและการ ใชค้ วามคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ 14
กอาัตรภปารพะยหุกรตอื ์ทกฤาษรฎรีขู้จอกั งวอา่ รี ตคิ นสเนัอไงปเใปช็นใ้ นเอกการลสกั อษนณ์ – การไมร่ ู้จักตนเอง 2.การส่งเสริมในข้นั ความขยนั หมน่ั เพยี รส่งเสริมในระดบั ประถมศึกษา เด็กวยั น้ีตอ้ งการการยอมรับจากครูและเพื่อน พฤติกรรมต่างๆของเดก็ จะมุ่งเรียกร้องความสนใจและการยอมรับจากครูและ เพอ่ื นกิจกรรมการสอนของครูตอ้ งมุ่งใหเ้ ด็กนกั เรียนแตล่ ะคนประสบความสาเร็จในกิจกรรมการเรียนการมอบหมายกิจกรรมการ เรียนหรือการบา้ นตอ้ งใหพ้ อเหมาะกบั ระดบั ความสามารถของเดก็ และมีการชมเชยเมื่อเดด็ ทางานเสร็จจะทาให้เด็กเกิดความ ภาคภมู ิใจครูตอ้ งพยามยามหลีกเล่ียงกิจกรรมท่ีมีการแข่งขนั เปรียบเทียบความสามารถระหวา่ งบุคคล เพราะผแู้ พอ้ าจจะรู้สึกวา่ ตวั เอง ดอ้ ย ครูควรใหเ้ ดก็ ในช้นั ทุกคนไดแ้ สดงความสามารถทางใดทางหน่ึง เพอื่ การยอมรับในหม่เู พอ่ื น และกระตุน้ ความรู้สึกสาเร็จและ ภมู ิใจในตนเอง 15
กอาตั รภปารพะยหุกรตือท์ กฤาษรฎรขีู้จอกั งวอ่ารี ตคิ นสเันอไงปเใปช็นใ้ นเอกการลสกั อษนณ์ – การไม่รจู้ ักตนเอง 3.การส่งเสริมการรู้จกั ตนเองในระดบั มธั ยมศึกษา เดก็ ๆในระดบั มธั ยมมีความสามารถความสนใจความตอ้ งการและศกั ยภาพของตนเองก็จะสามารถเลือกวชิ าเรียนเลือกวชิ า การ เรียนต่อหรือกิจกรรมการเรียนอ่ืนๆไดต้ รงเหมาะสมกบั พ้ืนฐานของตน ส่วนเด็กที่มีปัญหาก็จะไม่รู้จกั ตนเองไม่เขา้ ใจความสามารถ และศกั ยภาพของตนเกิดความสับสนขายความมนั่ ใจในตนเองไมส่ ามารถตดั สินใจเลือกวชิ าเรียนไดต้ รงกบั ความสนใจและ ความสามารถของตนซ่ึงมกั เลือกตามเพือ่ นๆหรือผปู้ กครอง การส่งเสริมใหเ้ ด็กรู้จกั ตนเองน้นั ควรแนะนาสั่งสอนใหแ้ สดงบทบาทใหส้ อดคลอ้ งกบั เพศต้งั แตว่ ยั เดก็ การแนะนาสั่งสอนท่ี เหมาะสมจะช่วยใหเ้ ดก็ แสวงหาบทบาททางเพศ (Sexual identity) ของตนไดพ้ อ่ แมจ่ ะเป็นตวั แบบท่ีดีที่สุดในการเรียนรู้บทบาททาง เพศของเดก็ นอกจากน้ีครูผสู้ อนตอ้ งคอยกระตุน้ ใหเ้ ด็กไดเ้ ขา้ ใจถึงความสามารถความสนใจและความตอ้ งการของตนเองเป็ นระยะ 16
สรุป ทฤษฎี จติ สงั คม อีรคิ เอช. อีรคิ สนั
“ สรปุ แล้วทฤษฎีของอีรคิ สนั เปน็ ทฤษฎที อ่ี ธบิ าย พฒั นาการของชวี ิตตง้ั แต่วยั ทารกจนถงึ วัยชรา อีริคสนั เช่ือว่าวยั แรกของชีวติ เปน็ วัยทเี่ ป็นรากฐาน เบ้อื งตน้ และวัยต่อ ๆ มากส็ รา้ งจากรากฐานนเ้ี หมอื นกับ การสร้างบา้ นจะต้องมีรากฐานที่ดีถา้ รากฐานไม่ดีกจ็ ะต้อง หาทางแกไ้ ขเพมิ่ เติมเพอ่ื ให้บา้ นอยู่อย่างสบายแข็งแรงไม่ ลม้ 18
Search
Read the Text Version
- 1 - 18
Pages: