Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สังคมวิทยาอีสาน

สังคมวิทยาอีสาน

Published by Monthira Phuchada, 2021-09-20 03:43:54

Description: สังคมวิทยาอีสาน

Search

Read the Text Version

กฎหมายที่พวกเราสร้ างกันขึน้ มานีย้ ังมีอานาจบังคับให้ สถาบนั ตารวจ กรมขนส่งทางบก ซึ่งเป็ นตวั แทนของผู้ใช้โครงสร้ างมี หน้าท่ีดูแลควบคุมผู้ใช้รถใช้ถนนให้ปฏิบัติตาม (ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าท่ีตารวจ เจ้าหน้าที่กรมขนสง่ ทางบก ผ้แู ทนการใช้โครงสร้างนี ้ ก็ถูกกฎหมายเดียวกันนีค้ วบคุมบังคับให้ต้องปฏิบัติตามเหมือนคน ทวั่ ๆ ไป) สาหรับชาวไร่อ้อยอีสาน กฎหมายที่ “ห้ามรถบรรทุก นา้ หนักเกินว่ิงบนถนน” ได้กลับมาบังคับควบคุมพวกเขาไม่ให้ “บรรทกุ นา้ หนกั เกิน” ในกรณีนีช้ าวไร่อ้อยอีสานซง่ึ ถกู กฎเกณฑ์เข้ามา ควบคุมกระทาการ ถือว่ากฎเกณฑ์อนั นีท้ าให้พวกเขาเดือดร้อนอย่าง หนกั เนื่องจากบรรทกุ อ้อยเข้าสโู่ รงงานได้ครัง้ ละน้อย ซง่ึ ไม่ค้มุ ทุนต่อ เที่ยวขนสง่ ประกอบกบั ระยะทางไกลซง่ึ หากบรรทกุ นา้ หนกั เกินจะทา ให้ชาวไร่อ้อยค้มุ ตอ่ ต้นทนุ ในการขนสง่ เช่นเดยี วกบั ฝ่ ายโรงงานอ้อยและนา้ ตาลซงึ่ เป็นตวั แทนของ ฝ่ ายทนุ ทกุ ๆ แห่งกถ็ กู กระทบจากกฎเกณฑ์ “ห้ามบรรทกุ นา้ หนกั เกิน” เช่นกัน เน่ืองจากกฎเกณฑ์นีท้ าให้โรงงานได้รับอ้อยจากชาวไร่อ้อย อสี านได้ครัง้ ละน้อย ซง่ึ ไมเ่ พียงพอตอ่ การหีบอ้อยและทาให้เกิดปัญหา การขาดความตอ่ เน่ืองในการหีบอ้อย ความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยอีสานและโรงงานอนั นีน้ ามา ซึ่งการเจรจาต่อรองเพ่ือปรับเปลี่ยนโครงสร้ าง (กฎหมาย) กับเจ้าหน้าที่ ๑๙๑

ตารวจ เจ้าหน้าท่ีขนส่งทางบก ซ่ึงเป็ นตัวแทนผู้ใช้โครงสร้ างและมี หน้าที่บังคับควบคุมและใช้กฎหมาย โดยให้มีการผ่อนปรน งดเว้น กฎเกณฑ์ในระหวา่ งฤดกู ารหีบอ้อย (พฤศจิกายน-มีนาคม) การเข้าไปปฏิสมั พันธ์ของชาวไร่อ้อยอีสานและโรงงานฯ เพ่ือให้ ทาให้ เกิดผ่อนปรน งดเว้ นกฎเกณฑ์ถือเป็ นการเข้ าไป ปฏิสมั พันธ์เชิงอานาจของผู้กระทาการต่อโครงสร้ างซ่ึงมีเจ้าหน้าที่ ตารวจ เจ้าหน้าที่ขนส่งทางบกเป็ นตวั แทนผ้ใู ช้โครงสร้ างและผลิตซา้ โครงสร้าง การปฏิสมั พนั ธ์ดงั กล่าวต่างเป็ นการต่อรองอานาจของฝ่ าย ต่างๆ ซึ่งแต่ละฝ่ ายมีโครงสร้ างความคิด มีวัตถุประสงค์ในการใช้ กฎเกณฑ์ท่ีแตกตา่ งกนั จงึ ไมแ่ ปลกแตป่ ระการใดท่ีในภาคอสี านจะมสี มาคมชาวไร่ อ้อย สถาบันชาวไร้ อ้อยอีสานเกิดขึน้ อย่างกว้างขวางและมากมาย เรียกได้วา่ ครบทกุ ๆ โรงงาน การมีสถาบนั ของชาวไร่อ้อยอีสานเหล่านี ้ มิได้ มีไว้ เพียงเพ่ือรั กษาผลประโยชน์ ทางเศรษฐกิจของชาวไร่ อ้ อย อีสานกับโรงงานอ้อยและนา้ ตาลเท่านัน้ แต่ยังเป็ นโครงสร้ าง (ใหม่) อีกโครงสร้ างหนึ่งที่ชาวไร่อ้อยกับโรงานร่วมกันก่อตงั้ ขึน้ เพื่อให้เป็ น กลไกการตอ่ รองระหวา่ งโครงสร้างกฎหมาย/กฎเกณฑ์ “ห้ามรถบรรทุก นา้ หนกั เกิน” สมาคมชาวไร่อ้อย หรือสถาบนั ชาวไร้ อ้อยอีสาน ซงึ่ เป็ น โครงสร้ างท่ีถูกสร้ างขึน้ มาใหม่โดยเป็ นผลจากการเข้ามาปฏิสมั พนั ธ์ ๑๙๒

ของผู้กระทาการท่ีเป็ นชาวไร่อ้อยและโรงงาน ย่อมมีกฎเกณฑ์ กฎระเบียบของสถาบนั ที่บงั คบั ควบคุมให้ชาวไร่อ้อยต้องปฏิบตั ิตาม โดยท่ีชาวไร่อ้อยและโรงงานฯ จาเป็นต้องสง่ ผ้แู ทนของตนเองเข้าไปทา หน้าท่ีเป็ นตัวแทนผลิตซา้ โครงสร้ างนี ้ โดยบังคบั ควบคุมเกษตรกร ชาวไร่อ้อยอีสานให้เข้าเป็ นสมาชิก และต้องปฏิบตั ิตามกฎเกณฑ์ของ สถาบัน เช่น ยอมให้สมาคมชาวไร่อ้อยหักเงินจากการขายอ้อยเพื่อ ชดเชยค่าซ่อมแซมถนน ยอมให้มีการหักค่าความเส่ียงอุบัติเหตุบน ท้องถนน ยอมให้มกี ารเรียกเกบ็ เงินคา่ บารุงสมาคม ฯลฯ ขณะเดียวกนั สมาคมชาวไร่อ้อย “โครงสร้าง” (structure) (ใหม่) ที่ “ผ้กู ระทาการ” (agency) ที่เป็ นชาวไร่อ้อยและโรงงานสร้าง ขนึ ้ กถ็ กู กระทาจากชาวไร่อ้อยและโรงงาน ทงั้ นีเ้ พ่ือใช้เป็ นกลไกในการ เจรจาต่อรองประโยชน์กบั โครงสร้ าง/กฎเกณฑ์ (เดิม) (ห้ามบรรทุก นา้ หนักเกิน) ท่ีพวกเขาเห็นว่าเป็ นอุปสรรคต่อการขนส่งอ้อย โดย เจรจากบั ตารวจ กรมขนส่งทางบก ตวั แทนผู้ใช้โครงสร้ างให้สามารถ ผ่อนปรน งดเว้นการจบั กมุ /ปรับรถบรรทกุ อ้อยที่มีนา้ หนกั เกิน ฉะนนั้ เราจงึ ไมค่ วรสงสยั ไปวา่ ทาไม? เราจงึ เห็นรถบรรทกุ อ้อยในภาคอีสานบรรทุกอ้อยเกือบร้ อยๆ ตนั /คนั ออกมาวิ่งบนถนน มิตรภาพสายอีสานกันอย่างจ้ าละหว่ัน โดยท่ีตารวจไม่จับ/ปรับ ในขณะท่ีรถประเภทอื่นๆ เช่น รถบรรทุกอิฐ หิน รถบรรทุกสิ่งของ อุปโภคบริโภค ฯลฯ ที่ไม่ใช่รถบรรทุกอ้อยยังต้องถูกลงโทษจาก กฎหมาย/กฎเกณฑ์ ๑๙๓

ปรากฏการณ์เหล่านีเ้ ป็ นผลจากการเข้าไปปฏิสมั พนั ธ์ของ คนกลุ่มต่างๆ ซ่ึงสร้ างกลไกการต่อรองเชิงสถาบัน/โครงสร้ างขึน้ มา เพื่อใช้เป็ นเครื่องมือในการต่อรองและทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อานาจ ซ่ึงปรากฏการณ์เหล่านีเ้ องสะท้ อนให้ เห็นความสัมพันธ์ ระหวา่ ง “โครงสร้าง” และ “ผ้กู ระทาการ” กรอบการวิเคราะห์โครงสร้ างความสมั พนั ธ์ทางสงั คมของ กิดเดนส์ จึงมองไปไกลและล่มุ ลกึ ไปกว่าการจะตดั สินว่าอะไร “ถูก/ ผิด” “ใช่/ไม่ใช่” โดยเฉพาะกรณี “โครงสร้ างและผ้กู ระทาการในมิติ ชาวไร่อ้อยอีสาน” ที่ผู้เขียนยกขึน้ มาเพ่ือเป็ นตัวอย่างสะท้อน โครงสร้ าง-ผู้กระทาการในอีสาน ถือเป็ นตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เรา มองเห็นภาพได้ชดั เจนว่า ความสมั พันธ์ระหว่างโครงสร้ างกับปัจเจก ผ้กู ระทาการนนั้ เป็ นส่ิงที่มิอาจวิเคราะห์แยกจากกนั ได้ และกรณีของ ภาคอีสานเองในส่วนของโครงสร้ างก็มิใช่ว่ากฎหมาย/กฎเกณฑ์ทุก อย่างจะสามารถกาหนดกฎเกณฑ์การกระทาต่างๆ ของคนอีสานได้ และคนอสี านเองกม็ ไิ ด้ตกเป็นผ้ถู กู กระทาจากโครงสร้างหรือกฎเกณฑ์ ต่างๆ เสมอไป (ในกรณีอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน) แต่ทัง้ โครงสร้ างและ ปัจเจกผู้กระทาการอีสานต่างก็มีทัง้ ลักษณะเป็ นทัง้ ผู้กระทาและ ผ้ถู กู กระทาไปพร้อมๆ กนั (duality) ๑๙๔

สรุป โครงสร้ างและผู้กระทาการอีสานที่ผู้เขียนได้ยกขึน้ มา หลายๆ กรณี เป็นส่ิงท่ีแสดงให้เห็นว่าการมองความสมั พนั ธ์ทางสงั คม เป็ นส่ิงท่ีไม่สามารถท่ีจะกระทาโดยแยกจากกนั ได้ ทงั้ ในลกั ษณะของ การแบ่งขัว้ ระหว่างความเป็ นอัตตวิสัย (subjectivity) และความเป็ น ภววิสัย (objectivity) ระหว่างปัจเจก (individual) และสังคม (society) หรือระหวา่ งโครงสร้าง (structure) และผ้กู ระทาการ (agency) การวิเคราะห์ สังคมโดยใช้ กรอบการวิเคราะห์ แบบ “structuration” นับว่าได้ช่วยคล่ีคลายภาพของภูมิภาคและผู้คนที่ อาศยั อย่ใู นภาคอีสานได้เป็นอยา่ งมาก เน่ืองจากได้ช่วยให้เรามองเห็น คนอีสานได้อยา่ งมตี วั ตนมากขนึ ้ โดยเฉพาะความเข้าใจที่วา่ คนอีสาน มไิ ด้ตกเป็นเบีย้ ลา่ งหรือผ้ถู กู กระทาแตเ่ พียงฝ่ ายเดียว แตย่ งั มีลกั ษณะ ที่เป็นทงั้ ผ้กู ระทาและผ้ถู กู กระทาไปพร้อมๆ กนั ใ น บ าง ส ถ าน ก าร ณ์ แ ม้ ดูว่าค น อี ส า น จ ะ จ น ตร อก ห ม ด หนทาง แต่ท่ามกลางภาวะวิกฤติพวกเขาก็ยังสามารถท่ีจะเข้าไป ปฏิสมั พนั ธ์เชิงอานาจโดยใช้ความรู้ ทกั ษะ ประสบการณ์ ท่ีผ่านการ ส่งั สมมา ทาการพลิกดุลอานาจกลายเป็ นผู้ที่มีอานาจและท้าทาย อานาจได้ ๑๙๕

๑๙๖

บทท่ี ๙ ระบบอปุ ถมั ภ์ในอีสาน ๑๙๗

ในสงั คมอีสานก็เชน่ เดยี วกนั ระบบ อปุ ถมั ภ์สามารถดารงอยอู่ ยา่ งเข้มข้น เรียกได้วา่ ทกุ ๆ ตารางนิว้ หรือทกุ หนว่ ย สงั คมเลยทีเดียว ๑๙๘

ระบบอปุ ถัมภ์ในสังคมอีสานเป็ นปรากฏการณ์ที่ดารงอยู่ มานานแล้ว หากมองอยา่ งผิวเผินอาจเหน็ วา่ เป็นปฏิสมั พนั ธ์ทางสงั คม ธรรมดาๆ ซ่ึงไม่น่าจะส่งอิทธิพลอะไรต่อผู้คนและสังคม แต่สาหรับ สายตาของนักสังคมวิทยา “ระบบอุปถัมภ์” ถือเป็ นระบบที่นามาสู่ ความไม่เท่าเทียมกันทางสงั คม (social inequity) ในสงั คมอีสานก็ เช่นเดียวกันระบบอุปถัมภ์สามารถดารงอยู่อย่างเข้มข้น เรียกได้ว่า ทุกๆ ตารางนิว้ หรือทุกหน่วยสังคมเลยทีเดียว ตัง้ แต่สังคมของ นกั การเมอื ง ข้าราชการ พอ่ ค้าวาณิช จนถงึ เกษตรกรชาวไร่ชาวนา แต่ ก่อนที่จะได้ทราบถึงปฏิสมั พันธ์เชิงอุปถมั ภ์ในสงั คมอีสาน จาเป็ นที่ ผ้เู ขียนจะต้องทาความเข้าใจเก่ียวกบั ระบบอปุ ถมั ภ์พอสงั เขป แนวคิดระบบอุปถัมภ์ แนวคิดระบบอปุ ถมั ภ์เป็นแนวคิดท่ีได้รับการพฒั นาขนึ ้ โดย ม.ร.ว.อคิน รพีพฒั น์ (๑๙๗๕) นกั มานุษยวิทยารุ่นบกุ เบิกของวงการ ๑๙๙

มานุษยวิทยาไทย แนวคิดนีถ้ ูกพัฒนาขึน้ เพ่ืออธิบายปฏิสมั พันธ์เชิง อานาจของสงั คมไทย ซง่ึ เป็ นสงั คมท่ีมีโครงสร้างทางสงั คมแบบชนชัน้ และมีศกั ดินาเป็ นเครื่องกาหนดสถานภาพ๑ (status) ทางสงั คมของ บคุ คล ก่อนหน้ านีใ้ นวงการสังคมศาสตร์ ได้ อาศัยกรอบการ วิเคราะห์สงั คมแบบ “โครงสร้างหลวม” (loosely structure model) ของ John F. Embree (๑๙๖๙) นกั มานษุ ยวิทยาชาวอเมริกนั ในการ อธิบาย การมองผ่านกรอบการวิเคราะห์โครงสร้างหลวมในสายตาของ เอม็ บรี ทาให้เหน็ ภาพวา่ สงั คมไทยเป็นสงั คมท่ี “เฉื่อยชา ขาดระเบียบ วินัย ไม่มีกฎเกณฑ์” จนนามาซึ่งการถกเถียงและการหากรอบการ วิเคราะห์ใหม่ๆ เพื่อใช้ในการทาความเข้าใจสังคมไทยที่เหมาะสม ดงั นนั้ ท่ามกลางการถกเถียงในการแสวงหาคาอธิบายใหม่ๆ เก่ียวกับ สงั คมไทย แนวคิดระบบอุปถัมภ์จึงแทรกตัวขึน้ มาท่ามกลางความ ต้องการในการอธิบายสงั คมในขณะนนั้ ๑ คาวา่ สถานภาพในวิชาสงั คมวทิ ยามีความหมาย ๒ อยา่ ง คือ ๑) ตาแหน่งของบคุ คล ในระบบสงั คม เชน่ เป็ นลกู พ่อ แม่ ครู พระ ฯลฯ ความหมายนีแ้ สดงว่าบคุ คลเป็ นใคร ซ่ึงจะเชื่อมโยงกับคาว่าบทบาท (role) ท่ีหมายถึงว่าบุคคลนัน้ ควรทาอะไรเม่ืออย่ใู น ตาแหน่งหรือสถานภาพนนั้ ๒) ตาแหนง่ ของบคุ คลหรือกลมุ่ บคุ คลในลาดบั ชนั้ ทางสงั คม ความหมายนีแ้ สดงถึงเกียรติและศักดิ์ศรี การที่บุคคลหรือกล่มุ จะถกู กาหนดให้อย่ใู น ลาดบั ชนั้ ใด เป็ นไปตามเกณฑ์ทางกฎหมาย การเมือง หรือวฒั นธรรม (ราชบณั ฑิตยสถาน, ๒๕๔๙) ๒๐๐

แต่ถึงกระนัน้ การวิเคราะห์สังคมโดยใช้ แนวคิดระบบ อุปถัมภ์ถือว่ายังอยู่ภายใต้ร่มเงาของสานักโครงสร้ างหน้าท่ีนิยม (structural functionalism) เช่นเดียวกบั กลมุ่ โครงสร้างหลวม ซงึ่ มอง วา่ สงั คมประกอบด้วยสถาบนั และองค์กรทางสงั คมซงึ่ มีหน้าท่ีเกือ้ หนนุ ซงึ่ กนั และกนั สมมตุ ฐิ านเชน่ นีจ้ งึ ทาให้เรามองไมเ่ ห็นความขดั แย้งของ ระบบและความขัดแย้งทางชนชนั้ (class conflict) อีกทงั้ ยังมองไม่ เหน็ การเอารัดเอาเปรียบ (exploitation) ระหว่างชนชนั้ ท่ีฝ่ ายหน่งึ เป็ น เจ้ าของปัจจัยการผลิตและอีกฝ่ ายหน่ึงไม่มีปั จจัยการผลิตตาม ความหมายของ มาร์กซ์ ม.ร.ว.อคิน ชีใ้ ห้เห็นว่าสงั คมไทยมีโครงสร้ างสังคมแบบ ชนชนั้ โครงสร้ างสงั คมนีม้ ีส่วนอย่างสาคญั ต่อการกาหนดสถานภาพ (social status) และความสูง-ต่าของคน โดยสถานภาพของคนท่ีมี ความแตกต่างกัน เป็ นเง่ือนไขท่ีนามาซ่ึงการปฏิสัมพันธ์ในการ แลกเปล่ียนผลประโยชน์ท่ีไม่เท่าเทียมกนั กล่าวคือ ผู้ที่มีสถานภาพ ทางสงั คมมียศศักด์ิสูงกว่าย่อมท่ีจะมีทรัพยากรมีอานาจและบารมี มากกว่าผ้ทู ่ีมีสถานภาพทางสงั คมต่า ในขณะท่ีคนท่ีมีสถานภาพทาง สงั คมต่าย่อมที่จะขาดแคลนทรัพยากร และเขาเหล่านนั้ จะต้องพ่งึ พิง ทรัพยากรจากผ้ทู ี่ครอบครองทรัพยากรหรือผ้ทู ่ีมีสถานภาพทางสงั คม สงู กวา่ ในมุมมองของ ม.ร.ว.อคิน แปลความหมายของผู้ที่มี สถานภาพทางสงั คมสงู วา่ “ผ้อู ปุ ถมั ภ์” (patron) ผ้ทู ่ีมีสถานภาพทาง ๒๐๑

สังคมต่าว่า “ผู้ใต้อุปถัมภ์” (client) ซ่ึงแน่นอนว่าผู้อุปถัมภ์ย่อมมี ทรั พยากรที่ เพี ยงต่อการสงเคราะห์ แจกจ่ายแก่ผ้ ูท่ี ด้ อยทรั พยากร ในขณะท่ีผ้ทู ่ีด้อยทรัพยากรและขาดแคลนทรัพยากรอย่แู ล้ว (ซง่ึ มีมาก กับผู้อุปถัมภ์) ย่อมต้องการทรัพยากรที่ตนเองขาดแคลน ซ่ึงโดย พืน้ ฐานของการแลกเปล่ียนแล้วถือเป็ นธรรมดาท่ีคนๆ หน่ึงจะขาด แคลนทรัพยากรที่ตนเองต้องการใช้ประโยชน์ แล้วย่ิงหากมีใครนาสิ่งท่ี ตนเองต้องการมาให้ย่อมที่จะต้องทาให้เกิดความพึงพอใจ เกิดเป็ น พันธะทางจิตใจที่อยากจะตอบแทน ซึ่งในขณะท่ีปฏิสมั พันธ์เชิงการ แลกเปลี่ยนระหวา่ ง 2 ฝ่ ายเกิดขนึ ้ แน่นอนวา่ ฝ่ ายที่ให้ทรัพยากรย่อมมี ความคาดหวงั จากผู้รับท่ีจะตอบแทนบุญคุณ ปฏิสมั พันธ์เชิงการ แลกเปลี่ยนที่เกิดขึน้ ในทานองนี ้ ม.ร.ว.อคิน เห็นว่าเป็ นพืน้ ฐานที่ นาไปสคู่ วามสมั พนั ธ์เชิงอปุ ถมั ภ์ ระบบอุปถมั ภ์คืออะไร หากไม่นับรวมงานศึกษาของเหล่าเมธีทางสงั คมศาสตร์ ตะวันตก บุคคลแรกที่กล่าวถึงระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยคือ ม.ร.ว.อคนิ ระพีพฒั น์ โดยได้นิยามความหมายของระบบอปุ ถมั ภ์ตาม โครงสร้ างสงั คมไทยที่เน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยกล่าวว่า “ระบบอปุ ถมั ภ์เป็ นความสมั พันธ์ในการแลกเปล่ียนผลประโยชน์ที่ไม่ เท่าเทียมกนั ” (Akin Rabibhadana, ๑๙๗๕) ตามความหมายนี ้ ม.ร.ว. อคิน เสนอว่าปฏิสมั พันธ์เชิงการแลกเปล่ียนระหว่าง ๒ ฝ่ ายที่ ไม่เท่าเทียมกันมีรากฐานมาจาก ๑) ความเช่ือทางพระพุทธศาสนา ๒๐๒

ของสงั คมไทยในเร่ือง “บญุ -กรรม” โดยเฉพาะอย่างย่ิงคนท่ีเกิดมามี อานาจ มีวาสนา มียศศกั ดิ์สูง สงั คมไทยเช่ือวา่ เป็ นผลมาจากการทา กรรมดไี ว้ตงั้ แตก่ าลกอ่ น คนที่มีอานาจวาสนามีเงินทองจงึ เป็ นผลจาก การสะสมความดี และ ๒) ค่านิยมของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่านิยมในการเคารพนับถือเช่ือฟังผู้มียศศกั ด์ิสูงกว่า สังคมไทยมี คา่ นิยมในการนับถือผู้ท่ีมีสถานภาพทางสงั คมสงู กวา่ ตนเอง และให้ การเชื่อฟังนอบน้อมต่อผ้ใู หญ่ การกระทาของผ้ใู หญ่ถือว่าดีแล้ว ชอบ แล้ว ซึ่งผู้น้ อยจาเป็ นที่จะต้องประพฤติตนคล้อยตาม ซึ่งทัง้ สอง ประการนี ้ ม.ร.ว. อคิน ถือว่าเป็ นพืน้ ฐานของความไม่เสมอภาคและ เป็นเงื่อนไขสาคญั ท่ีนามาซงึ่ ระบบอปุ ถมั ภ์ในสงั คมไทย เมธีทางสงั คมศาสตร์อีกท่านหนง่ึ ท่ีมองระบบอปุ ถมั ภ์เป็ น ความไม่เสมอภาคคือ ธีรยุทธ บุญมี (๒๕๓๒) ซง่ึ นิยามจาก สกอตต์ (Scoot) ในหนงั สือเรื่อง “Patron-Client Politics and Political Chang in Southeast” วา่ เป็นความสมั พนั ธ์เชิงแลกเปลี่ยนระหว่างคนในสงั คมที่ มฐี านะบทบาทตา่ งกนั โดยคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสงั คมสงู กวา่ (ผู้ อปุ ถมั ภ์) จะใช้อทิ ธิพลและสงิ่ ที่ตนมอี ย่คู ้มุ ครอง ให้ผลประโยชน์อย่าง ใดอย่างหนง่ึ หรือทงั้ สองอย่างแกผ่ ้ทู ี่มฐี านะต่ากว่า (ผ้ถู กู อปุ ถมั ภ์) ซง่ึ ก็ ต้ องตอบแทนด้ วยการให้ ความจงรั กภักดีแบบช่วยเหลือตอบแทน รวมถงึ การอทุ ิศตนรับใช้ผ้อู ปุ ถมั ภ์ หรือในทัศนะของ ชยันต์ วรรธนะภูติ (๒๕๓๖) ท่ีนิยาม ระบบอปุ ถมั ภ์วา่ เป็น “ความไมเ่ สมอภาคในการแลกเปล่ียนผลประโยชน์” ๒๐๓

ภายใต้สมมุติฐานการแลกเปล่ียนผลประโยชน์ท่ีไม่เสมอ ภาคกัน ม.ร.ว. อคิน ชีว้ ่า สงั คมไทยก่อนการปฏิรูปการปกครองใน สมยั รัชกาลที่ ๕ แบ่งชนชนั้ สงั คมออกเป็ น ๒ ชนชนั้ คือ ๑) ชนชนั้ ปกครอง ประกอบไปด้วย เจ้า และนาย และ ๒) ชนชนั้ ท่ีถูกปกครอง ประกอบด้วย ไพร่ และทาส การกาหนดสถานภาพของคนสงู -ต่าเช่นนี ้ นามาซงึ่ การยอมรับในสถานภาพทางสงั คมท่ีแตกตา่ ง กล่าวคือ สงั คม ยอมรับโดยปริยายว่า “เจ้านาย” ซึ่งมียศศักดิ์สูงกว่าและมีหน้าท่ี ค้มุ ครองอนั ตรายป้ องกนั การกดขี่รังแกในกรณีตา่ งๆ สามารถที่จะได้ ประโยชน์ที่เป็ นหยาดเหงื่อแรงกายจากไพร่ในการทางานให้กบั ตนได้ ในขณะเดียวกัน “ไพร่” ซ่ึงมียศศกั ด์ิน้อยกว่าท่ีต้องการได้รับการ ค้มุ ครองจากการเกณฑ์แรงงาน การเก็บส่วยท่ีไม่เป็ นธรรมจากรัฐ ก็ ต้องการอทุ ิศหยาดเหงื่อแรงกายของตนเองทางานให้กับนายเพื่อให้ ได้รับการค้มุ ครองและการถกู กดขี่จากรัฐ ความสมั พนั ธ์ทางสงั คมในลกั ษณะเช่นนี ้ม.ร.ว. อคิน มอง ว่า เป็ นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียมกัน หรือในภาษา ของ ชยนั ต์ เรียกวา่ “ความไมเ่ สมอภาคในการแลกเปล่ียนผลประโยชน์” ฉะนัน้ ระบบที่ไม่เท่าเทียมกันก็ดีหรือความไม่เสมอภาคในการ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ก็ดี สิ่งเหล่านีเ้ ป็ นบ่อเกิดของระบบอุปถมั ภ์ และสงั คมเองกย็ อมรับในความแตกตา่ งของสถานภาพทางสงั คมแบบ นี ้ ๒๐๔

ในประเด็นการยอมรับความแตกต่างในสภาพทางสงั คม นัน้ ม.ร.ว. อคิน เสนอว่าเป็ นผลมาจากรากฐานความเชื่อทาง พระพุทธศาสนาของสังคมไทยในเรื่อง “กรรม” ท่ีกาหนดความ แตกต่างของคนแต่ละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนท่ีเกิดมามีอานาจ มี วาสนา มียศศกั ดิ์สงู บุคคลเหล่านีส้ งั คมเช่ือว่าเป็ นผลมาจากการทา กรรมดีไว้ตงั้ แต่กาลก่อน ตรงกันข้ามกับผู้ท่ีไร้ ซ่งึ อานาจ มียศศกั ด์ิต่า สงั คมเช่ือว่าเป็ นผลมาจากการท่ีไม่มีการสงั่ สมบุญญาธิการหรือไม่มี การทากรรมดีตงั้ แตช่ าติปางก่อน ระบบความเช่ือในสงั คมไทยที่มีอยู่ เช่นนีท้ าให้สังคมยอมในรับความแตกต่างระหว่างกัน และถือว่ามี นยั สาคญั ตอ่ การมแี ละดารงอย่ขู องระบบอปุ ถมั ภ์ในสงั คมไทย หากพิจารณาจากมมุ มองของ ม.ร.ว.อคิน อาจกล่าวได้ว่า ระบบอปุ ถมั ภ์เป็นระบบความสมั พนั ธ์ของคนในสงั คมที่ไมเ่ สมอภาค มี ลกั ษณะเป็ นความสมั พนั ธ์ในแนวดิ่งระหวา่ ง ๒ ฝ่ าย คือ “ผู้อปุ ถัมภ์” ในฐานะที่เป็ นเจ้าของทรัพยากรซงึ่ มีอยู่อย่างจากัดแต่เป็ นท่ีต้องการ ของคนท่ัวไป และ “ผู้ใต้การอุปถัมภ์” ผู้ท่ีขาดแคลนทรัพยากรและ กาลังต้ องการทรัพยากรที่ขาดแคลนนัน้ จากผู้อุปถัมภ์ ภายใต้ ความสัมพันธ์ทางสังคมแบบนีผ้ ู้อุปถัมภ์ถือว่าเป็ นฝ่ ายที่มีส่วน ได้เปรียบผู้ใต้การอปุ ถมั ภ์ เนื่องจากมีทรัพยากรและมีอานาจในการ ตอ่ รองสงู กว่า ส่วนผู้รับการอปุ ถมั ภ์มกั ตกอยู่ในฝ่ ายที่เสียเปรียบจาก ความสมั พนั ธ์ทางสงั คมแบบนี ้เพราะทรัพยากรท่ีขาดแคลนและเป็ นที่ ๒๐๕

ต้องการของตนเองมีอยแู่ ละถกู ครอบครองโดยผ้อู ปุ ถมั ภ์ เช่น ข้าวของ เงินตรา ความมน่ั คงปลอดภยั การปกป้ องคา้ จนุ เป็นต้น โดยปกติแล้วผ้อู ปุ ถมั ภ์ในสงั คมชนบทมกั จะเป็ นผ้มู ีอานาจ มีบารมี หรือเป็ นผ้ทู ี่ควบคมุ ทรัพยากรและปัจจยั การผลิตตา่ งๆ โดยผู้ อุปถัมภ์เหล่านีอ้ าจเป็ น เจ้าของท่ีดิน นายทุน กานัน ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการท้องถ่ิน ฯลฯ โดยพวกเขาเป็ นผู้ควบคุมฐานทรัพยากร สาคญั อยู่ ๓ ประเภท (ธีรยทุ ธ บุญมี, ๒๕๓๒) ได้แก่ ๑) การควบคมุ กรรมสิทธิ์ในปัจจยั ต่างๆ เช่น ท่ีดิน เงิน เคร่ืองจักร รถไถ รถแมคโค โรงสี ฯลฯ ๒) ควบคุมความรู้เฉพาะหรือทักษะบางอย่าง เช่น ทนายความ ปัญญาชน ครู แพทย์ หมอผี และ ๓) ผู้ควบคุมอานาจ หน้ าท่ีบางด้ าน (public authority) เช่น อยู่ในตาแหน่งกานัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกองค์การบริหารส่วนตาบล ผู้จัดการสหกรณ์ออม ทรัพย์ เป็นต้น ส่วนผ้ใู ต้อปุ ถมั ภ์ โดยทั่วไปมักจะหมายถึงคนยากจน หรือ ชาวบ้านทวั่ ไปในชนบท มกั ขาดเสียซงึ่ ทรัพยากรต่างๆ เช่น ไม่มีที่ดิน ทากิน ไม่มีเงิน ขาดหลกั ประกันและความม่ันคงทางเศรษฐกิจและ สังคม ดังนัน้ เม่ือคราวจาเป็ นที่คนเหล่านีต้ ้ องมีหรือต้ องการใช้ ทรัพยากร เช่น เช่าที่ดินเพ่ือทาการเกษตร ซือ้ ป๋ ุย ยาปราบศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง เมล็ดพนั ธ์ุ หรืออปุ กรณ์การเกษตรที่จาเป็ น เช่น ต้องการ รถไถ รถบรรทุก ฯลฯ รวมถึงความจาเป็ นในเร่ืองการฝากลูกเข้ า โรงเรียน ฝากเข้าทางาน หรือการต้องการเงินก้อนเพื่อตดั ผ่อนหนีส้ ิน ๒๐๖

ซงึ่ ความต้องการเหลา่ นีจ้ ะบรรลุได้ก็ต่อเม่ือได้รับการช่วยเหลือจากผู้ อุปถัมภ์ เช่น ขอยืมเงิน ขอให้ ช่วยฝากลูกเข้ าทางาน ขอให้ ช่วย ค้มุ ครองความปลอดภยั ฯลฯ เมื่อผ้ ูอุปถัมภ์ให้ ความช่วยเหลือค้ ุมครองแก่ผ้ ู ใต้ อุปถัมภ์ แตผ่ ้ใู ต้อปุ ถมั ภ์กลบั ไมม่ ีทรัพยากรใดๆ ท่ีจะนาไปทดแทนแก่ผ้อู ปุ ถมั ภ์ เพื่อเป็ นการแลกเปลี่ยนท่ีสมนา้ สมเนือ้ นอกเสียจากความจงรักภักดี และแรงงานของตน การรับความช่วยเหลือจากผ้อู ปุ ถมั ภ์จึงทาให้รู้สกึ ว่าตนเองเป็ นหนีบ้ ุญคุณ โดยเฉพาะกับคนอีสานท่ีได้รับการหล่อ หลอมให้เช่ือในเร่ืองกฎแห่งกรรม หรือการทดแทนบุญคณุ กับผู้ที่ให้ การช่วยเหลือในยามเดือดร้อน ซึ่งถือว่าเป็ นพนั ธะทางใจท่ีจะต้องหา โอกาสและทาทุกวิถีทางเพ่ือตอบแทนบุญคุณกับผู้ที่เคยให้ การ ช่วยเหลือ ลกั ษณะแบบนีท้ าให้ กลายเป็ น “ปฏิสัมพันธ์เชิงอานาจ” ระหว่างผู้อุปถัมภ์กับผู้ใต้อุปถัมภ์ ซึ่งถือเป็ นความสัมพันธ์ท่ีไม่ได้ เกิดขึน้ ในระดบั เดียวกัน กล่าวคือ ผู้อุปถัมภ์ในฐานะท่ีอยู่ระดับบน สามารถใช้อานาจทงั้ ทางตรงและทางอ้อมเหนือผ้ใู ต้อปุ ถมั ภ์ ทางตรงก็ ตงั้ แต่การสงั่ การด้วยวาจา การกาหนดให้ทาตาม ทางอ้อมตงั้ แตก่ าร จ้างหรือให้คา่ ตอบแทนแรงงานในราคาถกู การรับซือ้ ผลผลิตในราคา ตา่ กวา่ ราคาทวั่ ๆ ไป เป็นต้น ทงั้ นี ้ลกั ษณะในการทดแทนบญุ คณุ ของผ้ใู ต้อปุ ถมั ภ์อาจมี ให้เห็นจาก ๕ รูปแบบ สมศกั ดิ์ สามคั คีธรรม (๒๕๕๔) ได้แก่ ๑) การ ตอบแทนในรูปแรงงาน เช่น ไปช่วยสร้ างบ้าน เก่ียวข้าว ไถนา สร้ าง ๒๐๗

ถนน ฯลฯ ๒) การตอบแทนในรูปสิ่งของ เช่น นาสิ่งของหรือของกานลั ต่างๆ ที่ดูมีคุณค่า (เสือ้ ผ้าราคาแพงมีย่ีห้อ แหวน นาฬิกา ฯลฯ) มา มอบให้กบั ผ้อู ปุ ถมั ภ์ ๓) การตอบแทนเชิงพิธีกรรม ด้วยการแสดงออก ถงึ ความจงรักภกั ดี เชน่ การใช้โอกาสในวนั สาคญั รดนา้ ดาหวั /คารวะผู้ อปุ ถมั ภ์ การเข้าร่วมอวยพรในโอกาสครบรอบวนั เกิด หรือไปร่วมงาน และช่วยงานในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ท่ีผ้อู ปุ ถมั ภ์จดั ขนึ ้ ๔) การ ตอบแทนด้วยการคุ้มครองความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างย่ิง เม่ือผู้ อปุ ถัมภ์เป็ นนกั เลง มีศตั รูมาก ผู้ใต้อุปถัมภ์อาจสมคั รใจเป็ นลกู น้อง ทาหน้ าที่ปกป้ องอันตรายแก่ผู้อุปถัมภ์ และ ๕) ตอบแทนในทาง การเมอื ง เชน่ เป็นหวั คะแนน ชว่ ยรณรงค์หาเสยี งในการเลือกตงั้ ฯลฯ ปฏิสัมพันธ์เชงิ อุปถัมภ์ในพนื้ ท่ีการเมืองอีสาน ภาคอีสานเป็นภมู ภิ าคท่ีได้ช่ือวา่ มีขนาดใหญ่และมีจานวน ประชากรมากที่สุดของประเทศไทย ภายในภูมิภาคอุดมไปด้วย ทรัพยากรที่มีคณุ ค่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็ นนา้ ป่ า ที่ดิน เหมืองแร่ แต่ ทว่าภูมิภาคที่มีเนือ้ ท่ีกว้างใหญ่ในเชิงกายภาพแต่กลบั มีความหมาย ในทางการเมืองเป็ นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะภาคอีสานสามารถมีจานวน สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร (ส.ส.) ทงั้ ส.ส.แบบแบ่งเขตและแบบบญั ชี รายชื่อมากกวา่ ภูมิภาคอื่นๆ ฉะนนั้ การเลือกตงั้ ในแตล่ ะครัง้ พืน้ ท่ีภาค อสี านจงึ กลายเป็นจดุ ยทุ ธศาสตร์ท่ีสาคญั ของการแขง่ ขนั ทางการเมอื ง ๒๐๘

กลา่ วกนั วา่ ส.ส. หรือพรรคการเมืองใดหากสามารถครอง ใจคนอีสานจนได้รับการเลือกเข้าไปเป็ นผ้แู ทนในสภา ส.ส.หรือพรรค การเมืองนัน้ ก็มีโอกาสสูงท่ีจะได้ร่วมกับพรรคอ่ืนในการจัดตัง้ เป็ น รัฐบาล หรือหากแม้ไม่ได้ร่วมพรรครัฐบาลก็มีอานาจต่อรองทางการ เมืองค่อนข้างสงู เรียกได้ว่าเฉพาะตวั ส.ส. หรือพรรคการเมืองอีสาน ถือว่าเป็ นตวั แปรที่สาคญั ทางการเมืองมาทุกยุคทุกสมยั ฉะนนั้ พืน้ ท่ี ภาคอีสานจงึ ถือวา่ มนี ยั สาคญั ตอ่ ทางการเมืองอย่างไมม่ ที างปฏิเสธ อะไรท่ีทาให้สรุปได้เช่นนัน้ ที่ผ่านมามีการพูดถึงกันมาก เกี่ยวกับการแสดงหน้าท่ีทางการเมืองของคนอีสาน ในยุคทศวรรษ ๒๕๐๐ คนอีสานได้รับการดถู ูกดแู คลนถึงการทาหน้าที่ทางการเมือง (ไปใช้สทิ ธิเลอื กตงั้ ) วา่ ยงั มลี กั ษณะ “ขาดการมสี ว่ นร่วมทางการเมือง” สามารถซือ้ ได้ด้วยเงิน ซง่ึ เป็นนยั ยะท่ีส่อื ความหมายไปในทางลบ ปรากฏการณ์ที่เกิดขนึ ้ ถือวา่ เป็นข้อเท็จจริงทางสงั คมท่ีรับรู้ กันโดยท่ัวๆ ไป การทาหน้าท่ีทางการเมืองของคนอีสานมีเพียง ๔ วินาทีเท่านนั้ (ในคหู าเลือกตงั้ ) การมอบอานาจผ่านคหู าการเลือกตงั้ ๔ วินาทีซง่ึ มีลกั ษณะเป็นการอธิบายถงึ การมสี ว่ นร่วมทางการเมือง ใน ความหมายนีค้ นอีสานถือว่าตนเองได้ทาหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบ ต่อจากนัน้ ก็เป็ นหน้าท่ีของผู้แทนราษฎรที่ตนเลือกเข้าไปจะไปทา หน้าที่พฒั นาภมู ิภาคอสี าน ๒๐๙

ความสมั พนั ธ์ที่เกิดขึน้ ดผู ิวเผินอาจมองวา่ เป็ นความสมั พนั ธ์ “เชิงหน้าท่ี” เท่านนั้ คือตา่ งคนตา่ งเข้ามาทาหน้าที่ของตนเองบนพืน้ ที่ ทางการเมือง คือ “ส.ส.มสี ิทธิสมคั รก็ลงสมคั รเลือกตงั้ สว่ นประชาชนมี หน้าที่เลือกก็ไปเลือกตามกฎเกณฑ์กาหนด” เมื่อหมดหน้าที่แล้วก็ถือ ว่าเลิกแล้วต่อกัน ไม่ได้ข้องเกี่ยวสัมพันธ์กันอีกต่อไป คนอีสานก็ กลบั ไปทามาหากินตามวิถีของตนเอง สว่ น ส.ส. ก็เข้าไปทาหน้าที่ใน สภาผู้แทนราษฎร โดยมิได้ให้ความสาคัญกับประชาธิปไตยหลัง เลอื กตงั้ เท่าใดนกั ในความเป็ นจริง ส.ส. กับคนอีสานในปริมณฑลทาง การเมืองมีปฏิสมั พนั ธ์กนั ภายใต้“ระบบอปุ ถมั ภ์” มานานแล้ว โดยมิใช่ ความสัมพันธ์ ในเชิงหน้ าท่ีอย่างที่เราเข้ าใจกัน หากแต่เป็ น ความสมั พนั ธ์เชิงการอปุ ถมั ภ์ที่อีกฝ่ ายหนง่ึ มีอานาจ มีเงิน มีบารมี กบั อีกฝ่ ายหนงึ่ ซงึ่ ไมม่ ีอะไรเลย ขาดซงึ่ ทรัพยากรทกุ ๆ อย่าง แน่นอนที่คนอีสานท่ีไม่มีทรัพยากรแต่มีความจาเป็ นที่ จะต้องใช้ ทรัพยากร (เงิน อานาจ โอกาส ส่ิงของ การได้รับการ ค้มุ ครอง) ซง่ึ เป็ นทรัพยากรท่ีตนเองขาดแคลน และเมื่อมีนกั การเมือง นาเข้ามาให้ เขาเหล่านนั้ ก็ต้องรับ เพราะการรับในส่ิงที่ตนเองกาลงั ขาดแคลนสามารถเป็ นส่ิงทดแทนส่ิงที่พวกเขากาลงั ขาดได้ ไม่ว่าจะ เป็นเงินที่ ส.ส.นามาให้เป็นคา่ จดั การงานศพสมาชิกในครอบครัว การ จดั รถรับสง่ พาลูก ญาติไปโรงพยาบาล การออกหน้าให้การช่วยเหลือ ทางคดีท่ีไมไ่ ด้รับความยตุ ิธรรม ฯลฯ ๒๑๐

ฉะนัน้ การให้สิ่งเหล่านีก้ ับชาวอีสาน (ผู้ขาดแคลน) โดย การให้สามารถทาให้พวกเขาบรรลถุ ึงความต้องการในส่ิงท่ีกาลงั ขาด แคลนได้ การอปุ ถมั ภ์ในลกั ษณะนีส้ าหรับชาวอีสานจึงถือเป็ นบุญคณุ อนั ใหญ่หลวงที่จะต้องตอบแทน การตอบแทนบุญคุณ๒ ของคนอีสานแก่นักการเมืองมีให้ เห็นตงั้ แต่การให้คะแนนเสียงในการเลือกตงั้ การชักชวนและหว่าน ล้อมให้เครือญาติสนับสนนุ นกั การเมือง การเป็ นหัวคะแนน ไปจนถึง การให้ความสวามิภกั ด์ิในรูปแบบตา่ งๆ พนั ธะทางใจท่ีเกิดขนึ ้ ระหว่าง นักการเมือง (ผู้อุปถัมภ์) กับชาวอีสาน (ผู้ใต้การอุปถัมภ์) จึงไม่มีท่ี สิน้ สดุ ปฏิ สัมพันธ์ ระหว่างผ้ ูอุปถัมภ์ กับผ้ ูใต้ อุปถัมภ์ ยังเกิดขึน้ อ ย่ าง เ ข้ ม ข้ น ใ น ป ริ ม ณ ฑ ล ก า ร เ มื อ ง ร ะ ดับ ท้ อ ง ถ่ิ น อี ก ด้ ว ย ผู้รับเหมาก่อสร้ าง เถ้าแก่รับซือ้ อ้อย มันสาปะหลัง เจ้าของกิจการ ร้ านค้าในชุมชน คนเหล่านีย้ ังสามารถที่จะสวมบทบาทเข้าไปเป็ น นักการเมืองในระดบั ท้องถ่ินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้รับการ สนบั สนนุ ท่ีดีจากผ้ใู ต้อปุ ถมั ภ์ หรือระดมผ้ใู ต้อปุ ถมั ภ์ออกมาสนบั สนุน และเทคะแนนเสียงเลอื กตงั้ ให้อย่างทว่ มท้นโดยปราศจากข้อสงสยั ๒ คนอีสานเชอ่ื ในเร่ืองบญุ กรรม เม่ือมีผ้ใู ห้แล้วจะต้องหาโอกาสตอบแทน ๒๑๑

นี่คือระบบอปุ ถัมภ์ท่ีหยง่ั รากลึกในสงั คมอีสาน และก็มิใช่ ประเด็นที่แปลกแต่ประการใดที่พวกเขาเหล่านัน้ จะยอมอยู่ใต้การ อปุ ถมั ภ์ เพราะการอยู่ใต้การอปุ ถมั ภ์สามารถทาให้พวกเขามีตวั ตน มากขึน้ การติดสอยห้อยตามนักการเมืองที่มีอานาจสามารถทาให้ ได้รับการยอมรับจากสงั คม หรือแม้กระทงั่ การอย่ภู ายใต้ระบบอปุ ถมั ภ์ ก็เช่นเดียวกัน ก็สามารถทาให้มีระดบั ชีวิตท่ีพออยู่ได้ในระดบั หนึ่ง สามารถทาให้ได้รับโอกาสในสิ่งท่ีตนเองไม่เคยได้ ทาให้ตนเองรู้สกึ ว่า ทดั เทียมกบั คนอื่นในสงั คมเฉกเช่นเดียวกันกับคนที่มีโอกาสเหลือล้น เช่น คนรวยในเมือง พ่อค้าวาณิช ข้าราชการ นักการเมือง ทหาร ตารวจ ภายใต้ ความสัมพันธ์ทางสังคมที่เป็ นอยู่ เราเองต้ อง ยอมรับกนั วา่ ชาวอีสานผ้ยู ากจนในชนบทพวกเขาไม่เคยได้รับโอกาส แม้แตห่ ยิบมือเดียว ไมเ่ คยได้รับโอกาสจากการกระจายทรัพยากรหรือ ความเป็นธรรมใดๆ ตา่ งจากคนรวยในเมืองท่ีมีทรัพยากรมากเหลือล้น มีเงิน มีโอกาสทางสังคมทีดีกว่า คนรวยเหล่านีส้ ามารถซือ้ สินค้าใน ราคาแพงโดยไม่ต้องกู้หนีย้ ืมสิน คนรวยในเมืองไม่ต้องปฏิสัมพันธ์ ภายใต้ระบบอปุ ถมั ภ์ เพราะมีมากล้นอย่แู ล้ว คนรวยสามารถใช้เงินท่ี ตนเองมอี ย่ตู อบสนองความต้องการอยา่ งไมเ่ ดือดร้อน คนรวยในเมืองยงั สามารถส่งลกู หลานเข้าเรียนในโรงเรียน ดีๆ ดงั ๆ สามารถใช้เงินและทรัพยากรท่ีตนเองมีอยู่จดั การกับปัญหา ของตนเองได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ โดยไมต่ ้อง “พงึ่ พิง” ผ้อู ืน่ ไมต่ ้องพ่งึ ๒๑๒

นักการเมือง เง่ือนไขเหล่านีเ้ ป็ นปรากฏการณ์ “ความไม่เท่าเทียม” (Inequity) ซึ่งเกิดขึน้ จากการกระจายทรัพยากรท่ีไม่ท่ัวถึง ทาให้ ทรัพยากรกระจุกตวั และเกิดประโยชน์เฉพาะกล่มุ เท่านนั้ แต่สาหรับ คนชนบทอีสานส่วนใหญ่พวกเขาถือว่า “ทรัพยากร” ยังเป็ นส่ิงขาด แคลน เม่ือต้องการได้ทรัพยากรเหล่านนั้ มาจึงจาเป็ นท่ีจะต้องพ่ึงพิง ผ้อู ่ืน ไมว่ า่ จะในทางเศรษฐกิจและในทางสงั คม แล้วยิ่งในบริบทปัจจุบัน ภาคอีสานได้เคลื่อนตวั เองเข้าสู่ ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่แบบเต็มตวั รูปแบบเศรษฐกิจใหม่ที่มี ลกั ษณะมงุ่ แสวงหากาไรเป็นท่ีตงั้ ย่ิงจะทาให้คนจนในชนบทอีสานเข้า ไม่ถึงโอกาสในทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ใหม่จะมีผลในทางที่ดีกับคนรวยที่รวยอยู่แล้ว เพราะคนเหล่านีม้ ี โอกาสและมีทรัพยากร ส่วนคนจนในชนบทอีสานกลบั ยิ่งจะห่างไกล โอกาส ส่ิงเหล่านีก้ ลายเป็ นช่องว่างทางสงั คมและกลายเป็ นเง่ือนไขที่ ไปเพิ่มความเหลอื่ มลา้ ทางสงั คมให้สงู ขนึ ้ ช่องว่างของความเหลื่อมลา้ ที่มากขึน้ จากระบบเศรษฐกิจ แบบเสรีนิยมใหม่ ผู้เขียนเห็นว่าจะทาให้เกิดการเร่งเร้ าของระบบ อปุ ถมั ภ์ในสงั คมอีสานให้หนกั หนาสาหสั เข้าไปใหญ่ เพราะคนจนคน ด้อยโอกาสในชนบทอีสานท่ีเข้าไม่ถึงและขาดทรัพยากรอยู่แล้ว ยิ่ง จะต้องแสวงหาทรัพยากรที่ขาดแคลนจากผ้ทู ่ีมีทรัพยากร มีอานาจ มี บารมี ประเดน็ ตรงนีย้ ่ิงจะก่อให้เกิดความสมั พนั ธ์แบบพง่ึ พิงและนามา ซง่ึ ความไมเ่ ท่าเทียมกนั ๒๑๓

ทัศนะข้างต้นนีอ้ าจดูขัดแย้งกับ สมศักดิ์ สามัคคีธรรม (๒๕๕๔) ที่สรุปว่า “ภายใต้การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจแบบ ตลาด ระบบอปุ ถมั ภ์อาจเสอื่ มสลายลงอยา่ งรวดเร็ว” บทสรุปนีอ้ าจไม่ สอดคล้องกบั ส่งิ ท่ีเกิดขนึ ้ ในสงั คมอีสานนกั เพราะระบบเศรษฐกิจแบบ เสรีนิยมใหมท่ ี่เข้ามามีอทิ ธิพลตอ่ ผ้คู นและชมุ ชนอีสานดาเนินไปอย่าง ไม่เสมอภาค คือยังมีความเหลื่อมลา้ กันอยู่ในระดับรายได้ มีการ กระจายทรัพยากรที่เป็ นไปอย่างไม่ท่ัวถึง เรียกว่า “รวยกระจุก จน กระจาย” โดยยงั ไม่สามารถตอบสนองตอ่ ส่ิงที่คนอีสานขาดแคลนได้ พวกเขาเองยงั หาเช้ากินค่า “ปากกดั ตนี ถีบ” หลายครอบครัวมีลกั ษณะ “ชักหน้าไม่ถึงหลงั ” พูดง่ายๆ คือยังไม่สามารถยืนอยู่ด้วยตวั ของเขา เองได้ ประเดน็ นีเ้องที่มอิ าจสนบั สนนุ กบั ข้อสรุปของ สมศกั ด์ิ ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดท่ีมีอดุ มการณ์หลกั “มือใครยาว สาวได้สาวเอา” จงึ จะไมไ่ ด้ทาให้ระบบอปุ ถมั ภ์สลายตวั ลงไป แต่จะทา ให้เป็ นเง่ือนไขท่ีนาไปส่กู ารเกิดระบบอปุ ถมั ภ์ได้ในท่ีสดุ และยังผลให้ ระบบอปุ ถมั ภ์ดารงอย่อู ย่างเข้มข้นในสงั คมชนบทอสี าน ปฏิสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ในชีวิตแรงงานอีสาน นอกจากระบบอปุ ถมั ภ์จะเกิดขนึ ้ ในพืน้ ที่ทางการเมืองแล้ว ในพืน้ ที่เศรษฐกิจระบบอุปถัมภ์ยังเกิดขึน้ และปรากฏให้เห็นอย่าง เดน่ ชดั ๒๑๔

การปฏิสมั พนั ธ์เชิงอปุ ถมั ภ์ผ่านพืน้ ท่ีทางเศรษฐกิจระหว่าง ผู้อุปถัมภ์ซ่ึงเป็ นผู้ที่ควบคุมกรรมสิทธ์ิในปัจจัยต่างๆ เช่น ท่ีดิน เงิน เคร่ืองจกั รการเกษตร รถไถ รถบรรทกุ ฯลฯ กบั ผ้ทู ี่ขาดเสียซง่ึ ทรัพยากร ต่างๆ อย่างผู้ใต้อุปถัมภ์ เราอาจพบเห็นได้ในหลายๆ กรณี แต่ที่ดู เดน่ ชดั มากท่ีสดุ สาหรับสงั คมชนบทอีสานก็คือ กรณีระหว่าง “เถ้าแก่” (พ่อค้า/นายทนุ ) กบั “ชาวบ้าน” โดยเฉพาะชาวบ้านชนบทอีสานท่ีเป็ น ผ้ใู ช้แรงงาน บคุ คลเหล่านีเ้ ป็ นแรงงานหลกั ที่ยงั คงปักหลกั ทามาหากิน อยู่ในหมู่บ้านชนบท ซึ่งบางครอบครัว/บางคนเคยผ่านการทางานที่ กรุงเทพฯ บางครอบครัว/บางคนไม่เคยผ่านประสบการณ์นอกชมุ ชน แต่กลายมาเป็ นแรงงานหลักในระบบเกษตรกรรม อนั เนื่องมาจาก ปัญหาความความยากจน การเข้าไม่ถึงโอกาส และการขาดแคลน ทรัพยากร (ท่ีดนิ เงิน เคร่ืองจกั รการเกษตร ฯลฯ) อย่างไรก็ ตาม เม่ือพิ จาณาที่ห่วงโซ่ของการผลิต (เกษตรกรรม) แม้จะพบว่ายังมีแรงงานท่ีอยู่ในภาคการเกษตร แต่ แรงงานสว่ นใหญ่ก็มิใชห่ น่มุ สาวที่เป็ นวยั แรงงานหลกั จริงๆ แต่เป็ นผ้ทู ี่ มีอายุ มคี รอบครัว ซง่ึ ไมส่ ามารถทางานได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ เห็นได้ จากหลายๆ หม่บู ้านในชนบทอีสาน แรงงานตดั อ้อย แรงงานขุดมนั สาปะหลงั แรงงานท่ีทานา ยงั คงเป็ นผ้มู ีอายุ หลายรายมีอายเุ ลย ๔๐ ปี ๕๐ ปี ไปแล้ว ๒๑๕

ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในลักษณะดังกล่าว ไม่ เพียงแต่จะกระทบต่อภาคการเกษตรเท่านนั้ แต่ยังรวมถึงบรรดาเถ้า แก่/นายทุนต่างๆ ที่ยังคงมีความจาเป็ นในการใช้แรงงานเหล่านีอ้ ยู่ โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่ยังคงต้องมีคนงานขับรถ คนควบคุม เคร่ืองจกั ร คนงานในไร่ ฯลฯ แรงงานเหล่านีย้ ังคงมีความจาเป็ นและ ถือเป็นฟันเฟื องอนั แรกที่หมนุ เศรษฐกิจให้กบั เถ้าแก/่ นายทนุ ในสถานการณ์ของการขาดแรงงานหลกั เช่นนี ้ดเู หมือนว่า จะก่อให้เกิดปัญหากบั ตัวเถ้าแก่/นายทุนไมใ่ ช่น้อย ฉะนนั้ จงึ ไมแ่ ปลก ว่าสถานการณ์แบบนีม้ ักจะเห็นภาพของเถ้ าแก่/นายทุนเป็ นฝ่ าย เร่ิมต้น “ทอดสะพาน” ไปหาชาวบ้าน และเร่ิมเห็นความพยายามทุกๆ วิถีทางที่เถ้าแก่จะรักษาระบบเศรษฐกิจของตนเอง เมื่อแรงงานเป็ น ปัจจัยในการผลิตที่สาคัญ ซ่ึงจาเป็ นต้องรักษาไว้ให้ดีท่ีสุด เถ้าแก่/ นายทุนบางรายถึงกลับเปลี่ยนท่าทีสวมหัวใจพระ หยิบยื่นให้การ ช่วยเหลือชาวบ้านที่ขาดแคลนและต้องการใช้ทรัพยากร ทัง้ นีก้ ็เพื่อ เป็ นการสร้างหมดุ ยึดในการรักษาแรงงานนีเ้ อาไว้ รวมถึงเป็ นการลด ความเสย่ี งให้กบั เศรษฐกิจของเถ้าแก่/นายทนุ เอง ปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างเถ้าแก่/นายทนุ กบั แรงงานชนบทอีสาน โดยนายทนุ เป็ นผู้ทอดปฏิสมั พนั ธ์ถือเป็ นปรากฏการณ์ใหมใ่ นเวลานี ้ ซงึ่ แตเ่ ดิมเราเคยเข้าใจวา่ แรงงานชนบทอสี านเมอื่ ขาดแคลนทรัพยากร หรือมีความต้องการทรัพยากร พวกเขามกั จะเป็ นฝ่ ายท่ีเข้าไปหาหรือ วิ่งขอความช่วยเหลือจากเถ้าแก่/นายทุน ภายใต้ความสัมพันธ์ ๒๑๖

เชิงอุปถัมภ์แบบนีผ้ ู้ใต้อุปถัมภ์มกั จะตกเป็ นเบีย้ ล่างเสมอ กล่าวคือ ต้องถกู เอารัดเอาเปรียบภายใต้ข้ออ้าง “บุญคณุ ต้องทดแทน” การอยู่ ภายใต้ความสัมพันธ์ท่ีผู้อุปถัมภ์เป็ น “นายหัว” ผู้ใต้อุปถัมภ์เป็ น “เบีย้ ล่าง” ผ้อู ปุ ถัมภ์จะถกู ทาให้อ่อนแอลงเร่ือยๆ จนในที่สุดก็จะไม่มี อานาจใดๆ หรือไม่สามารถต่อรองใดๆ ได้ และต้องทาทุกอย่างเพื่อ แสดงถงึ การยินยอมสวามภิ กั ดิ์ตอ่ ผ้อู ปุ ถมั ภ์ แต่จากสภาวการณ์ปัจจุบนั ในยุคท่ีแรงงานในชนบทขาด แคลนและหายากขึน้ “แรงงาน” ยังเป็ นปัจจัยการผลิตท่ีสาคัญท่ี เถ้าแก่/นายทนุ ต้องการมากท่ีสดุ ทงั้ นีก้ ็เพื่อเป็ นการรักษากลไก/ระบบ เศรษฐกิจของตนเอง เถ้าแก่/นายทนุ จงึ ยงั คงต้องการท่ีจะรักษา “ระบบ อปุ ถมั ภ์” นีเ้ อาไว้ ตรงนีก้ ลายเป็ นว่านายทุนเป็ นผู้คอยหยิบย่ืนทอด ความช่วยเหลือ ภายใต้ความสมั พนั ธ์แบบนีแ้ ม้แรงงานจะอย่ใู นฐานะ เบีย้ ลา่ งกจ็ ริง แตก่ เ็ ป็นผ้ใู ต้อปุ ถมั ภ์ท่ีมิได้ “เสียสิน้ ทกุ ส่ิงอย่าง” ภายใต้ ความสมั พันธ์ในลักษณะนีย้ ังพวกเขายังกลายเป็ นผู้มีอานาจและมี อานาจในการตอ่ รองมากขนึ ้ กรณีตัวอย่างท่ีแสดงถึงอานาจท่ีมีมากขึน้ ของแรงงาน ชนบทอีสาน เช่น การได้ค่าจ้างเท่าเทียมกบั ค่าจ้างปกติของแรงงาน ทัว่ ไป เงินยืมปลอดดอกเบีย้ หรือแม้กระท่ังการเข้าไปสนับสนุนและ เป็ นเจ้าภาพจัดงานเลีย้ งตามประเพณีให้กบั ผ้ใู ต้อปุ ถมั ภ์ สิ่งเหล่านี ้ ล้วนแล้วแต่เป็ นเงื่อนไขใหม่ท่ีเถ้าแก่/นายทุนเป็ นผู้หยิบย่ืนให้กับ แรงงาน (ผ้ใู ต้อปุ ถมั ภ์) ๒๑๗

สรุป ระบบอุปถัมภ์เป็ นความสัมพันธ์ทางสังคมท่ีเกิดขึน้ บน พืน้ ฐานของการแลกเปลี่ยนที่ไมเ่ ท่าเทียมกนั และถือว่าเป็ นแนวคิดท่ี สาคญั แนวคิดหนง่ึ ท่ีใช้ในการอธิบายปฏิสมั พนั ธ์เชิงอานาจของคนท่ีมี สถานภาพที่แตกตา่ งกนั โดยเฉพาะในสงั คมไทย ระบบอุปถัมภ์ที่ดารงอยู่ในสงั คมอีสานมาอย่างยาวนาน นนั้ มิใช่ปฏิสมั พันธ์เชิงอานาจที่มีลกั ษณะเป็ นการกดขี่ขูดรีดเลยเสีย ทีเดียว แตม่ ีลกั ษณะของการพึ่งพาอาศยั กันและเอือ้ ประโยชน์ต่อกนั ระหวา่ งผ้อู ปุ ถมั ภ์กบั ผ้ใู ต้อปุ ถมั ภ์ และระบบอปุ ถมั ภ์ที่เกิดขนึ ้ ในสงั คม อีสานยงั มีหลกั ความเช่ือทางพระพุทธศาสนาเร่ืองบุญกรรมเป็ นเบ้า หลอมสาคญั ท่ีทาให้ระบบอปุ ถมั ภ์ยงั คงดารงอยู่ แต่ในสภาวะท่ีแรงงานภาคชนบทขาดแคลนอย่างหนกั ใน ปัจจบุ นั ระบบอปุ ถมั ภ์ยงั คงเป็นระบบท่ีบรรดาเถ้าแก่/นายทนุ ต้องการ ใช้มากที่สุด ทัง้ นีเ้ พื่อใช้ เป็ นหมุดยึดแรงงานเพื่อช่วยรักษาระบบ เศรษฐกิจของเถ้าแก่/นายทนุ ฉะนนั้ ปฏิสมั พนั ธ์เชิงอปุ ถมั ภ์ที่เกิดขนึ ้ ใน ระยะหลงั นีจ้ งึ มีลกั ษณะที่แตกตา่ งจากในอดตี โดยเฉพาะผ้ใู ต้อปุ ถมั ภ์ มกั จะมอี านาจตอ่ รองกบั ผ้อู ปุ ถมั ภ์มากขนึ ้ ๒๑๘

บรรณานกุ รม ๑๑๙

๑๒๐

กนกศกั ดิ์ แก้วเทพ. (๒๕๒๖). รายงานการวจิ ัยเร่ือง ประวตั กิ ารเคล่อื นไหว ของชาวนาไทยในอดีต-ปัจจุบนั . กรุงเทพฯ: สมาคมสงั คมศาสตร์แหง่ ประเทศไทย. . (๒๕๓๐). สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย: เศรษฐศาสตร์ การเมอื งว่าด้วยชาวนายุคใหม่. กรุงเทพฯ: สถาบนั วจิ ยั สงั คม จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . กรมทรัพยากรธรณี. (๒๕๔๓). ๑๐๘ ปี เศรษฐกจิ แร่สู่สหสั วรรษใหม่. กรุงเทพฯ: กรมทรัพยากรธรณี. กฤตยา อาชวนจิ กลุ (บรรณาธิการ). (๒๕๕๔). จนิ ตนาการใหม่ทางสังคม วิทยา. นครปฐม: สถาบนั วจิ ยั ประชากรและสงั คม มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. กาญจนา แก้วเทพ. (๒๕๔๑). การศึกษาส่อื มวลชนด้วยทฤษฎีวิพากษ์: แนวคิด และตวั อย่าง. กรุงเทพฯ: ภาพพมิ พ์. กาญจนา แก้วเทพ และสมสขุ หนิ ววิ าน. (๒๕๕๓). สายธารแห่งนักคดิ ทฤษฎี เศรษฐศาสตร์การเมอื งกบั การส่อื สารศึกษา. กรุงเทพฯ: ภาพพมิ พ์. คณะกรรมการประสานงานองค์กรพฒั นาเอกชนภาคอีสาน. (๒๕๕๕). รายงานการวจิ ยั เชิงปฏบิ ัติการเร่ืองการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ เพ่อื สร้างสุขภาวะและสังคมอสี านท่เี ป็ นธรรม. กรุงเทพฯ: สานกั งาน กองทนุ การสร้างเสริมสขุ ภาพ. คาพนู บญุ ทวี. (๒๕๑๙). ลกู อสี าน. กรุงเทพฯ: บรรณากิจ. จกั รกฤษณ์ นรนิติผดงุ การ. (๒๕๒๗). สมเดจ็ พระบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดารงราชานุภาพกับกระทรวงมหาดไทย. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร์. ฉตั รทิพย์ นาถสภุ า. (๒๕๓๗). วัฒนธรรมไทยกบั ขบวนการเปล่ยี นแปลงทาง สังคม. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ฉตั รทิพย์ นาถสภุ า และสธุ ี ประศาสน์เศรษฐ. (๒๕๒๗). ประวัตศิ าสตร์ เศรษฐกิจไทย จนถงึ พ.ศ. ๒๔๘๔. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. ๑๒๑

ชนิดา ชติ บณั ฑติ ย์ และพรทิพย์ เนตภิ ารัตนกลุ , (บรรณาธิการ). (๒๕๕๔). มอง คนสะท้อนโครงสร้าง. กรุงเทพฯ: มิสเตอร์ก๊อปปี .้ ชาร์ล เอฟ คายส.์ (๒๕๒๗). ผ้มู ีบุญ. ในความเชื่อพระศรีอาริย์และกบฏผ้มู ีบญุ ใน สงั คมไทย. แปลโดย วารุณี โอสถารมย์. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์. เชษฐา พวงหตั ถ์. (๒๕๔๘). โครงสร้าง ผ้กู ระทาการ. กรุงเทพฯ: สานกั งาน คณะกรรมการวจิ ยั แหง่ ชาติ. ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์. (๒๕๔๖). การเมอื งสองฝ่ังโขง งานค้นคว้าวิจัย ระดบั ปริญญาเอกของจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั เร่ือง การรวมกลุ่ม ทางการเมอื งของ ส.ส.อสี าน พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๙๔. กรุงเทพฯ: มติชน. . (๒๕๔๘). ประวตั ศิ าสตร์ท้องถ่ิน. ขอนแกน่ : คลงั นานาวิทยา. ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ และสมศกั ดิ์ ศรีสนั ติสขุ . (๒๕๒๙). รายงานการ วิจัยเร่ืองการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมอื ง สังคมและ วัฒนธรรมในหม่บู ้านอีสาน: ศกึ ษากรณีหมู่บ้านป่ าหนาด: ขอนแก่น: มหาวิทยาลยั ขอนแก่น. ดาริน อินทร์เหมอื น. (๒๕๕๓). จากชาวนาสชู่ าวบ้านผ้รู ู้จกั โลกกว้าง ความ เปล่ยี นแปลงของชนบทอีสาน. วารสารฟ้ าเดยี วกัน. ๘ (๒). เตมิ วิภาคย์พจนกิจ. (๒๕๔๖). ประวตั ศิ าสตร์อีสาน. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. ธิดา สาระยา. (๒๕๔๖). อาณาจกั รเจนละ ประวตั ิศาสตร์อีสานโบราณ. กรุงเทพฯ: มติชน. ธีรชยั บญุ มาธรรม. (๒๕๒๘). ประวัติศาสตร์ท้องถ่นิ ของหัวเมืองกาฬสินธ์ุ พ.ศ. ๒๓๓๖-๒๕๔๐. วทิ ยานิพนธ์อกั ษรศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชา ประวตั ศิ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ธีรยทุ ธ บญุ มี. (๒๕๓๒). “ระบบอปุ ถมั ภ์ในสงั คมไทย”. ใน สังคมและวฒั นธรรม ไทย. เอกสารการสอนชดุ วชิ าสงั คมและวฒั นธรรมไทย หนว่ ยท่ี ๑-๗, มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. ๑๒๒

นลนิ ี ตนั ธุวนิตย์. (๒๕๓๙). ทางเลือกและศกั ยภาพชาวอีสาน.ใน เอกสาร ประกอบการสมั มนา. ขอนแก่น: สถาบนั วจิ ยั และพฒั นา มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . ประภาส ปิ่ นตบแตง่ . (๒๕๕๒). กรอบการวิเคราะห์การเมืองแบบทฤษฎี ขบวนการทางสังคม. เชยี งใหม่: มลู นิธิไฮน์ริค เบิลล์ สานกั งานภมู ภิ าค เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้. ประวทิ ย์ นพรัตน์วรากร. (๒๕๔๑). ขบวนการเคล่อื นไหวของชาวนาชาวไร่เพ่อื สิทธิในท่ดี ินทากนิ การศกึ ษาภาพรวมและกรณีกลุ่มป่ าดงลาน. วทิ ยานิพนธ์ปริญญาเศรษฐศาสตรมหาบณั ฑติ บณั ฑติ วทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ผาสกุ พงษ์ไพจิตร. (๒๕๔๓). ทฤษฎีขบวนการเคล่ือนไหวทางสงั คมใช้กบั สงั คมไทย ได้จริงหรือไม.่ ใน ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ (บรรณาธิการ). ลุกขึน้ สู้. กรุงเทพฯ: เอดสิ นั เพลสโปรดกั ส์. พฤกษ์ เถาถวลิ . (๒๕๕๕). อสี านใหม่: ความเปล่ยี นแปลงจากการพัฒนาใน รอบทศวรรษ. บทความนาเสนอในการประชมุ วชิ าการระดบั ชาติ อบุ ล วฒั นธรรม ครัง้ ที่ ๒ จดั โดยมหาวิทยาลยั อบุ ลราชธานี, ๒๗-๒๙ มกราคม. พฒั นา กิตอิ าษา. (๒๕๔๖). ท้องถ่ินนิยม. กรุงเทพฯ: กองทนุ อินทร์-สมเพอื่ การวิจยั ทางมานษุ ยวิทยา. . (๒๕๕๗). ส่วู ถิ อี สี านใหม่. กรุงเทพฯ: วิภาษา. ไพฑรู ย์ มีกศุ ล. (๒๕๓๒). เอกสารคาสอนประวตั ิศาสตร์อารยธรรมอีสาน. มหาสารคาม: มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. มณีมยั ทองอย.ู่ (๒๕๔๖). การเปล่ยี นแปลงของเศรษฐกจิ ชาวนาอีสาน: กรณี ชาวนาลุ่มนา้ พอง. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์. ราชบณั ฑิตยสถาน. (๒๕๔๙). พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา อังกฤษ-ไทย ฉบับ ราชบณั ฑติ ยสถาน. กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑิตยสถาน. ๑๒๓

วิยทุ ธ์ จารัสพนั ธ์ุ, สวุ ทิ ย์ ธีรศาศวตั และดารารัตน์ เมตตาริกานนท.์ (๒๕๓๔). รายงานการวิจัยเร่ืองการเปล่ยี นแปลงทางสังคม วัฒนธรรม และการพฒั นาทางการเมอื งในประเทศไทยในช่วง ๑๙๕๐-๑๙๙๐: กรณีศึกษาภาคอีสาน. ขอนแกน่ : สถาบนั วิจยั และ พฒั นา มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . ศรีศกั ร วลั ลโิ ภดม และคณะ. (๒๕๕๓). สงั คมทางเลือก: แนวคดิ เพ่อื การ เปล่ียนแปลงส่สู ังคมท่พี งึ ปรารถนา. ขอนแก่น: พิมพ์พฒั นา. ศนู ย์ข้อมลู สทิ ธิมนษุ ยชนและสนั ติภาพภาคอีสาน. (๒๕๕๑). เสยี งจากคน ชายขอบ สิทธิทางเศรษฐกิจ สงั คม และวัฒนธรรมภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย. [ม.ป.ท.:ม.ป.พ.]. สมพนั ธ์ เตชะอธิก และคณะ. (๒๕๔๐). การพฒั นาความเข้มแขง็ ขององค์กร ชาวบ้าน. ขอนแกน่ : สถาบนั วิจยั และพฒั นา มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. สมศกั ดิ์ ศรีสนั ตสิ ขุ และคณะ. (๒๕๓๐). รายงานการวิจยั เร่ืองการ เปล่ยี นแปลงทางเศรษฐกจิ การเมือง สังคมและวฒั นธรรมใน ชุมชนบ้านเยอ บ้านไทยดา และบ้านไทยลาว: การศึกษา เปรียบเทยี บเฉพาะกรณี. ขอนแกน่ : มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . สมศกั ดิ์ สามคั คีธรรม. (๒๕๕๔). การสถาปนาอานาจของผ้ไู ร้อานาจ. กรุงเทพฯ : มาฉลองคณุ ซีเอสบี. สภุ รี ์ สมอนา. (๒๕๕๔). วถิ ไี ทยพนื้ ถ่นิ อุดรธานี. อดุ รธานี: สานกั วิชาศกึ ษาทว่ั ไป มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี. . (๒๕๕๖). ขบวนการเคล่อื นไหวต่อต้านเหมอื งแร่ทองคา. สมทุ รปราการ: มลู นิธิโตโยต้าประเทศไทย. . (๒๕๕๗).รายงานการประเมนิ ผลโครงการพืน้ ท่ตี ้นแบบด้านการ จัดการทรัพยากร. สถาบนั วจิ ยั และพฒั นา: มหาวิทยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี. ๑๒๔

. (๒๕๕๗). “อปุ สรรคตอ่ ความสาเร็จของขบวนการเคล่ือนไหวตอ่ ต้าน เหมืองแร่อีสาน.” วารสารลุ่มนา้ โขง, ๑๐(๒): ๑๐๗-๑๒๙. สเุ กสนิ ี สภุ ธีระ และมทั นา สามารถ. (๒๕๒๘). กรณีศึกษาประวัติศาสตร์ หม่บู ้าน: กรณีศึกษาบ้านงวิ้ : ขอนแกน่ : สถาบนั วจิ ยั และพฒั นา มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . สเุ ทพ สนุ ทรเภสชั . (๒๕๑๑). สังคมวทิ ยาของหมู่บ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . . (๒๕๔๘). หมู่บ้านอีสานยุคสงครามเยน็ สังคมวทิ ยาของ หม่บู ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. กรุงเทพฯ: มติชน. สวุ ิทย์ ธีรศาศวตั และคณะ. (๒๕๒๘). รายงานการวิจัยเร่ืองประวัตศิ าสตร์ เศรษฐกจิ ลุ่มนา้ ชีตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๕๒๕. กรุงเทพฯ: สานกั งาน คณะกรรมการวิจยั แหง่ ชาต.ิ สวุ ทิ ย์ ธีรศาสวตั และสมศกั ดิ์ ศรีสนั ติสขุ . (๒๕๒๙). การเปล่ยี นแปลงทาง เศรษฐกจิ การเมือง สงั คมวฒั นธรรมในหมู่บ้านอีสาน: กรณีบ้าน โนนตะแบก. ขอนแก่น: มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. อรรถจกั ร สตั ยานรุ ักษ์. (ม.ป.ป.). ความเปล่ยี นแปลงสคู่ วามเป็ นเมืองของชนบท: กระบวนการเคลอื่ นไปสปู่ ระชาธิปไตย. วารสารมนุษยศาสตร์และ สงั คมศาสตร์. ๖ (๒). อภิชาต สถิตนิรมยั , นติ ิ ภควตั รพนั ธ์ุ และยกุ ติ มกุ ดาวจิ ิตร. (๒๕๕๕). ทบทวนภมู ทิ ศั น์การเมืองไทย. กรุงเทพฯ: สานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสร้างเสริมสขุ ภาพ. อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์.ุ (๒๕๕๔). ชนบทอสี านปรบั โครงสร้าง ชาวบ้านปรบั อะไร. วารสารศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลยั อุบลราชธานี. ฉบบั พเิ ศษ (๑). . (๒๕๕๕). คดิ อย่างมเิ ชล ฟูโกต์ คิดอย่างวพิ ากษ์: จากวาทกรรม ของอัตบุคคล ถึงจุดเปล่ยี นของอตั ตา. เชียงใหม่: มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม.่ ๑๒๕

เอก ตงั ้ ทรัพย์วฒั นา. (๒๕๕๐). Agency and Social Structuration มนษุ ย์และ โครงสร้างทางสงั คม. ในสริ ิพรรณ นกสวน และเอก ตงั้ ทรัพย์วฒั นา (บรรณาธิการ). คาและความคิดในรัฐศาสตร์ร่วมสมยั . กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . อรุ าลกั ษณ์ สถิ ิรบตุ ร. (๒๕๒๖). มณฑลอีสานประความสาคญั ในทาง ประวัติศาสตร์. วิทยานิพนธ์อกั ษรศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ า ประวตั ศิ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . Akin Rabibhadana. (๑๙๗๕). “Clientship and Class Structure in the Early Bangkok Period”. In Change and Persistence in Thai Society, edited by G. William Skinner and A. Thomas Kirsch. Cornell University Press, Ithaca and London. Bourdieu, Pierre. (๑๙๘๔). Distinction: A Social Critique of the Judgement of Taste. Massachusetts: Harvard University Press. Durkheim, Emile. (๑๙๘๒). The Rules of Sociological Method. London: Macmillan. Foucault, Michael. (๑๙๘๐). Power Knowledge: Selected Interviews and Other Writings ๑๙๗๒-๑๙๗๗. New York: Harvester Wheatsheaf. Giddens, Anthony. (๑๙๗๖). New Rules of Sociological Method. London: Hutchinson. . (๑๙๗๙). Central Problems in Social Theory. London: Macmillan. . (๑๙๘๔). The Constitution of Society: Outline the Theory of Structuration. Cambridge: Polity Press. Holl, Stuart. (๑๙๗๗). Representation: Cultural Representations and Signifying Practices. London: SAGE. ๑๒๖

John F.Embree. (๑๙๖๕) “Thailand a Loosely Structured Social System”. In Loosely Structured Social System, edited by H.D. Evers. New Haven, Conn : Yale University S-E Asia Studies. Kearney, Michael. (๑๙๙๖). Reconceptualizing the Peasantry: Anthropology in Global Perspective. Colorado: Westview Press. Lefebvre, Henri. (๑๙๙๒). The Production of Space. Oxford: Blackwell. Locke Karen. (๒๐๐๑). Grounded Theory in Management Research. London: Sage. Marx, Karl & Frederik, Engels. (๑๙๖๘). The Communist Manifesto. New York: Monthly Review Press. Narumon Thabchumpon and Mccargo Doncan. (๒๐๑๑).“Urbanized Villagers in the ๒๐๑๐ Thai Redshirt Protests”, Asian Survey. ๕๑ (๖๑). Ratana Boonmathya. (๑๙๘๖). Peasant Resistance and Ideology: A Case of Thai Peasantry during ๑๙๕๐s – ๑๙๘๐s. M.A. thesis, Institute of Social Studies, The Hague. The Netherlands. Rigg, Jonathan. (๒๐๐๑). More than the Soil: Rural Change in Southeast Asia. London: Pearson Education Limited. Weber, Max. (๑๙๗๘). Economy and Society: An Outline of Interpretive Sociology. Berkeley: University of California Press. Woods, Michael. (๒๐๑๑). “Approaching the Rural”. Rural. London and New York: Routledge. ๑๒๗

๑๒๘

ก ดชั นี การรวมหมู่ (collective กฎเกณฑ์ ๖๘, ๑๘๑-๑๘๓, ๑๙๐- behavior) ๑๕, ๔๖, ๗๕ กบฏผบี ญุ อีสาน ๔๖, ๑๔๒, ๑๔๔, ๑๙๔, ๒๑๐ ๑๔๘-๑๕๐, ๑๕๔, ๑๕๙ ข ขบวนการเคลอ่ื นไหวทางสงั คม การครอบงา (domination) ๕๖, (social movement) ๑๓๙-๑๔๒, ๘๙ ๑๔๔, ๑๗๔-๑๖๕, ๑๗๔, ๑๘๙ การกดขี่ (oppression) ๑๕, ๕๖, ขดั ขวางท้าทายระบบปกติ (disruptive tactics) ๑๔๙, ๑๗๔ ๖๙ ข้อเทจ็ จริงทางสงั คม (social facts) ๑๘๒, ๒๐๙ การผลติ ซา้ (reconstruction) ค ๘๐ โครสร้างสว่ นลา่ ง (substructure) ๓๕, ๑๑๒ กระบวนการทาให้กลายเป็ นอน่ื ความสมั พนั ธ์หญิงชาย (gender relations) ๓๘ ๘๓ โครงสร้างสว่ นบน (superstructure) ๓๒, ๓๕, ๑๑๒ การครอบครองความเป็ นเจ้า คนกึง่ เมอื งกึ่งชนบท ๑๑๗ (hegemony) ๘๔-๘๖, ๘๙ ความเป็ นธรรม (justice) ๑๔๘ กระบวนการผลติ ซา้ (reproduction) ๘๙ การกระทาระหวา่ งกนั (structuration) ๖๖, ๑๘๑ การเอารัดเอาเปรียบ (exploitation) ๖๙, ๑๗๒, ๒๐๑ ๒๒๙

โครงสร้างโอกาสทางสงั คม- จิตสานกึ ที่ผดิ พลาด (false การเมอื ง (social-political consciousness) ๖๙, ๙๐, ๙๑, opportunity structure) ๑๔๘- ๙๓, ๙๕ ๑๕๐, ๑๕๕ จิตสานกึ ทถี่ กู ต้อง (true โครงสร้าง-การหน้าทีน่ ยิ ม consciousness) ๖๙, ๙๕ (structure functional theory) จิตสานกึ การตอ่ ส้รู ่วม (insurgent consciousness) ๑๗๘ ๑๖๐ ความไมเ่ ทา่ เทยี มกนั ทางสงั คม (social inequity) ๑๙๙ ช โครงสร้างหลวม (loosely ชนบท (rural) ๘๔, ๘๕, ๑๐๕, structure model) ๒๐๐, ๒๐๑ ความขดั แย้งทางชนชนั้ (class ๑๐๘, ๑๑๔-๑๑๙, ๑๒๑, ๑๒๔, conflict) ๑๗๙, ๒๐๑ ๑๒๘, ๑๓๑, ๑๓๕, ๒๐๖, ๒๑๒, โครงสร้างความคิด ๑๘๔, ๑๙๒ ๒๑๕, ๒๑๗, ๒๑๘ คนชายขอบ ๓๔, ๓๖, ๓๘, ๕๖, ชนชนั้ (class) ๓๑, ๓๒, ๓๕, ๖๓, ๙๐ ๘๘, ๑๐๘-๑๑๓, ๑๑๕, ๑๒๕, ๑๒๖, ง ๑๗๙, ๒๐๐, ๒๐๑, ๒๐๔ โง่ จน เจ็บ ๗๖, ๘๐, ๙๖, ๑๐๐, ชนชนั้ กลางใหม่ ๑๐๘, ๑๑๒- ๑๐๒, ๑๑๓, ๑๓๕ ๑๑๗, ๑๑๙, ๑๒๑ จ เจตจานงอสิ ระ (freewill) ๓๗ ชีวิตประจาวนั (everyday life) จิตใต้สานกึ (unconscious) ๔๒ ๑๒๐-๑๒๓, ๑๒๕, ๑๒๖, ๑๓๒, ๑๓๓, ๑๔๙ ๒๓๐

ต ปฏฐิ านนยิ ม (positivism) ๕๔, ตอ่ ต้านในชวี ติ ประจาวนั (everyday forms of peasant ๖๗, ๖๙ resistance) ๗๕, ๑๔๙ ปฏสิ มั พนั ธ์เชิงอานาจ ๑๘๔, ท ท้องถ่ินนิยม (localism) ๓๔, ๓๖, ๑๘๖-๑๘๘, ๑๙๒, ๑๙๕, ๒๐๐, ๒๐๗, ๒๑๘ ๑๒๘, ๑๓๒, ๑๓๓, ๑๓๕ ผ ทฤษฎีสตรีนยิ ม (feminism) ๓๔, ผ้นู าเดย่ี ว (single leadership) ๓๙ ๑๕๘, ๑๕๙ ทวิลกั ษณ์นยิ ม (dualism) ๖๘, ผ้นู ารวมหมู่ (collective leadership) ๑๕๘ ๘๔, ๑๗๙, ๑๘๐ ผ้กู ระทาการ (agency) ๔๒, ๔๔, ทฤษฎสี งั คมเชิงวพิ ากษ์ ๖๘ ๔๗, ๖๖, ๑๗๗-๑๘๐, ๑๙๕ น ผ้อู ปุ ถมั ภ์ (patron) ๒๐๑-๒๐๘, แนวคดิ พหวุ ฒั นธรรม (cultural studies) ๓๔, ๓๙ ๒๑๑, ๒๑๕, ๒๑๗, ๒๑๗ บ ฝ แบบวิถีการผลติ (mode of ฝ่ ายตอ่ ต้าน (counter production) ๓๕ movement) ๑๕๔, ๑๖๑, ๑๖๒ ป พ ประสบการณ์นยิ ม เพศสภาพ (gender) ๓๖ (empiricism) ๕๔, ๖๗ พนื ้ ท่ีสาธารณะ (public sphere) ๕๗-๕๙ ๒๓๑

ภ ว ภาวะข้ามชาติ วาทกรรม (discourse) ๓๖, ๓๙, (transnationalism) ๓๖ ภาวะความทนั สมยั ๕๓, ๕๗, ๖๐, ๖๑, ๖๓, ๖๔, ๘๐, (modernity) ๙๙, ๑๐๐, ๑๐๓- ๘๑, ๙๐, ๑๖๑, ๑๘๘ ๑๐๕, ๑๐๗, ๑๑๗, ๑๒๐, ๑๒๒, วิภาษวิธี (dialectic) ๓๑, ๙๑- ๑๒๗, ๑๒๘ ๙๓, ๑๘๒, ๑๘๖ ภาพแทนความจริง (representation) ๘๐-๘๓, ๘๕, วิถีการผลติ ใหม่ ๑๐๒, ๑๐๔ วิภาษวธิ ีในการควบคมุ ๙๖ (dialectic of control) ๑๘๖ ม ส เมอื ง (urban) ๑๑๗ สถานภาพ (status) ๖๓, ๙๔, ๙๕, มายาคติ (myth) ๙๕ ๑๑๑, ๑๘๔, ๒๐๐-๒๐๕, ๒๑๘ ย ยโู ทเปี ย (utopia) ๑๔๓ ห ยทุ ธวิธีแบบจรยทุ ธ์ท้าทายซง่ึ หลากชวี ติ หลากลลี า (life style) หน้า (direct action) ๑๖๓ ๑๑๓ ร รสนิยม (taste) ๗๘-๑๐๐, ๑๐๙, อ อตั ลกั ษณ์ (identity) ๓๔, ๓๖, ๑๒๑-๑๒๗, ๑๓๖ ๑๐๑ อดุ มการณ์พระศรีอาริย์ ๑๔๒ อานาจ (power) ๖๒-๖๕, ๖๘ อปุ ถมั ภ์ (client) ๑๙๙-๒๑๘ ๒๓๒

เกี่ยวกบั ผ้เู ขียน สุภีร์ สมอนา มีภูมิลาเนาท่ีอาเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ส า เ ร็ จ ก า ร ศึ ก ษ า ร ะ ดับ ป ริ ญ ญ า เ อ ก ส า ข า สัง ค ม วิ ท ย า จ า ก มหาวิทยาลยั ขอนแก่น มีความสนใจและเชี่ยวชาญในประเด็น ขบวนการ เคล่ือนไหวทางสงั คม การเปลี่ยนแปลงทางสงั คม สงั คมชนบท มีผลงาน วิชาการ เช่น กรอบการวิเคราะห์ขบวนการเคลือ่ นไหวทางสงั คม (๒๕๕๔) วถิ ีไทยพนื ้ ถ่ินอดุ รธานี (๒๕๕๔) สงั คมวิทยาอีสาน (๒๕๕๙) และบทความ วิจัย เช่น กระบวนการสร้ างกรอบโครงความคิดของขบวนการเคล่ือนไหว ตอ่ ต้านเหมืองแร่ทองคา (๒๕๕๕) อปุ สรรคต่อความสาเร็จของขบวนการ เคลอ่ื นไหวตอ่ ต้านเหมืองแร่อสี าน (๒๕๕๗) ความเป็ นพลเมอื งของนกั เรียน ในโครงการโรงเรียนพลเมืองสถาบนั พระปกเกล้า (๒๕๕๙) อีสานในม่าน มายาคติ (๒๕๕๙) เคยได้รับประกาศเกียรติคณุ ยกย่องเป็ น “ศิษย์เก่าเกียรติยศ” ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และประกาศเกียรติคุณยกย่องเป็ น “ศิษย์เก่าแห่งความ ภาคภูมิใจ” ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ปัจจุบนั เป็ นผู้ทรงคุณวฒุ ิกลนั่ กรองผลงาน วิชาการและตรวจบทความก่อนตีพิมพ์วารสารมนุษยศาสตร์ และ สงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั อุดรธานี เป็ นผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา บทความสาหรับตีพิมพ์ในวารสารพืน้ ถิ่นโขง ชี มูล และดารงตาแหน่ง วิชาการเป็ นผู้ช่วยศาสตราจารย์ (สาขาสังคมวิทยา) ประจาสาขาวิชา ยทุ ธศาสตร์การพฒั นา คณะบณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี ๑







 


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook