คำนำ หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาระเบียนหนังสือ(22201)ใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 โดยมีจุดประสงค์เพื่ออการศึกษาความรู้ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของอาหารไทย ผู้จัดทำได้เลือกหัวข้อนี้ในการนำเสนอ เนื่องจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจ รวมทั้งทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนเเปลงของอาหารไทยที่เกิดขึ้นมาตั้ง เเต่ยาวนานจนถึงปัจจุบัน
ประวัติความเป็นมาของอาหารไทย อาหารไทย เป็ นอาหารประจำของชนชาติไทย ที่มีการสั่งสม และถ่ายทอดมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีต จนเป็ นเอกลักษณ์ ประจำชาติถือได้ว่าอาหารไทยเป็ นวัฒนธรรมประจำชาติที่ สำคัญของไทย ขณะที่อาหารพื้นบ้าน หมายถึง อาหารที่ นิยมรับประทานกันเฉพาะท้องถิ่น ซึ่งเป็ นอาหารที่ทำขึ้นได้ ง่าย โดยอาศัยพื ชผักหรือเครื่องประกอบอาหารที่มีอยู่ใน ท้องถิ่นมีการสืบทอดวิธีปรุงและการรับประทานต่อๆ กันมา
อาหารไทย
จุดกำเนิดอาหารไทย อาหารไทยมีจุดกำเนิดพร้อมกับการตั้งชนชาติไทย และมี การพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน เรื่องความเป็ นมา ของอาหารไทยยุคต่างๆ สรุปได้ดังนี้ · สมัยสุโขทัย อาหารไทยในสมัยสุโขทัยได้อาศัยหลักฐานจากศิลาจารึกและวรรณคดี สำคัญคือ ไตรภูมิพระร่วงของ พญาลิไท ที่ได้กล่าวถึงอาหารไทยในสมัยนี้ว่า มีข้าวเป็ นอาหารหลัก โดยกินร่วมกับกับข้าว ที่ส่วนใหญ่ได้มา จากปลา มีเนื้อสัตว์อื่นบ้าง การปรุงอาหารได้ปรากฏคำว่า “แกง” ใน ไตรภูมิพระร่วงที่เป็ นที่มาของคำว่า ข้าวหม้อแกงหม้อ ผักที่กล่าวถึงในศิลาจารึก คือ แฟง แตงและน้ำเต้า ส่วนอาหารหวานก็ใช้วัตถุดิบพื้น บ้าน เช่น ข้าวตอกและน้ำผึ้งส่วนหนึ่งนิยมกินผลไม้แทนอาหารหวาน
· สมัยอยุธยา สมัยนี้ถือว่าเป็ นยุคทองของไทยได้มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศมากขึ้นทั้งชาวตะวันตกและตะวันออกจากบันทึก เอกสารของชาวต่างประเทศ พบว่าคนไทยกินอาหารแบบเรียบง่ายยังคงมีปลาเป็ นหลัก มีต้ม แกงและคาดว่ามี การใช้น้ำมันในการประกอบอาหารแต่เป็ นน้ำมันจากมะพร้าวและกะทิมากกว่าไขมันหรือน้ำมันจากสัตว์มากขึ้น คน ไทยสมัยนี้มีการถนอมอาหาร เช่นการนำไปตากแห้ง หรือทำเป็ นปลาเค็ม มีอาหารประเภทเครื่องจิ้ม เช่นน้ำพริก กะปิ นิยมบริโภคสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ไม่นิยมนำมาฆ่าเพื่ อใช้เป็ นอาหาร ได้มีการกล่าวถึง แกงปลาต่างๆ ที่ใช้เครื่องเทศ เช่น แกงที่ใส่หัวหอม กระเทียม สมุนไพรหวาน และเครื่องเทศแรงๆ ที่คาดว่านำมา ใช้ประกอบอาหารเพื่ อดับกลิ่นคาวของเนื้อปลา หลักฐานจากการบันทึกของบาทหลวงชาวต่างชาติที่แสดงให้เห็น ว่าอาหารของชาติ ต่าง ๆ เริ่มเข้ามามากขึ้นในสมเด็จพระนารายณ์ เช่น ญี่ปุ่ น โปรตุเกส เหล้าองุ่นจากสเปน เปอร์เซีย และฝรั่งเศส สำหรับอิทธิพลของอาหารจีนนั้นคาดว่าเริ่มมีมากขึ้นในช่วงยุคกรุงศรีอยุธยา ตอนปลายที่ ไทยตัดสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าอาหารไทยในสมัยอยุธยา ได้รับเอาวัฒนธรรมจากอาหารต่าง ชาติ โดยผ่านทางการมีสัมพันธไมตรีทั้งทางการทูตและทางการค้ากับประเทศต่างๆ และจากหลักฐานที่ปรากฏ ทางประวัติศาสตร์ว่าอาหารต่างชาติส่วนใหญ่แพร่หลายอยู่ในราชสำนัก ต่อมาจึงกระจายสู่ประชาชน และ กลมกลืนกลายเป็ นอาหารไทยไป ในที่สุด
· สมัยธนบุรี จากหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือแม่ครัวหัวป่ าก์ ซึ่งเป็ นตำราการทำกับข้าวเล่มที่ 2 ของไทย ของ ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงษ์ พบความต่อเนื่องของวัฒนธรรมอาหารไทยจากกรุงสุโขทัยมาถึงสมัยอ ยุธย และสมัยกรุงธนบุรี และยังเชื่อว่าเส้นทางอาหารไทยคงจะเชื่อมจากกรุงธนบุรีไปยังสมัยรัตนโกสินทร์ โดยผ่านทางหน้าที่ราชการและสังคมเครือญาติ และอาหารไทยสมัยกรุงธนบุรีน่าจะคล้ายคลึงกับสมัย อยุธยา แต่ที่พิ เศษเพิ่ มเติมคือมีอาหารประจำชาติจีน [แก้] สมัยรัตนโกสินทร์ การศึกษาความเป็ นมาของ อาหารไทยในยุครัตนโกสินทร์นี้ได้จำแนกตามยุคสมัยที่ นักประวัติศาสตร์ได้กำหนดไว้ คือ ยุคที่ 1 ตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 3 และยุคที่ 2 ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ดังนี้
· สมัยรัตนโกสินทร์ ยุคที่ 1 (พ.ศ. 2325 – พ.ศ. 2394) อาหารไทยในยุคนี้เป็ นลักษณะเดียวกันกับสมัยธนบุรีแต่มีอาหารไทยเพิ่ มขึ้นอีก 1 ประเภท คือ นอกจาก มีอาหารคาวอาหารหวานแล้วยังมีอาหารว่างเพิ่ มขึ้น ในช่วงนี้อาหารไทยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรม อาหารของประเทศจีนมากขึ้น และมีการปรับเปลี่ยนเป็ นอาหารไทย ในที่สุด จากจดหมายความทรงจำ ของกรมหลวงนรินทรเทวี ที่กล่าวถึงเครื่องตั้งสำรับคาวหวานของพระสงฆ์ ในงานสมโภชน์พระพุ ทธ มณีรัตนมหาปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ได้แสดงให้เห็นว่ารายการอาหารนอกจากจะมีอาหารไทย เช่น ผัก น้ำพริก ปลาแห้ง หน่อไม้ผัด แล้วยังมีอาหารที่ปรุงด้วยเครื่องเทศแบบอิสลาม และมีอาหารจีนโดย สังเกตจากการใช้หมูเป็ นส่วนประกอบ เนื่องจากหมูเป็ นอาหารที่คนไทยไม่นิยม แต่คนจีนนิยม
บทพระราชนิพนธ์กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวานของพระบาทสมเด็จพระพุ ทธเลิศหล้านภาลัยได้ ทรง กล่าวถึงอาหารคาวและอาหารหวานหลายชนิด ซึ่งได้สะท้อนภาพของอาหารไทยในราชสำนักที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นลักษณะของอาหารไทยในราชสำนักที่มีการปรุงกลิ่น และรสอย่างประณีต และให้ความ สำคัญของรสชาติอาหารมากเป็ นพิ เศษ และถือว่าเป็ นยุคสมัยที่มีศิลปะการประกอบอาหารที่ค่อนข้าง สมบูรณ์ที่สุด ทั้งรส กลิ่น สี และการตกแต่งให้สวยงามรวมทั้งมีการพัฒนาอาหารนานาชาติให้เป็ นอาหาร ไทยจากบทพระราชนิพนธ์ทำให้ได้รายละเอียดที่เกี่ยวกับการแบ่งประเภทของอาหาร คาวหรือกับข้าวและ อาหารว่าง ส่วนทีเป็ นอาหารคาวได้แก่ แกงชนิดต่างๆ เครื่องจิ้ม ยำต่างๆ สำหรับอาหารว่างส่วนใหญ่เป็ นอาหาร ว่างคาว ได้แก่ หมูแนม ล่าเตียง หรุ่ม รังนก ส่วนอาหารหวานส่วนใหญ่เป็ นอาหารที่ทำด้วยแป้งและไข่เป็ น ส่วนใหญ่ มีขนมที่มีลักษณะอบกรอบ เช่น ขนมผิง ขนมลำเจียก และมีขนมที่มีน้ำหวานและกะทิเจืออยู่ด้วย ได้แก่ ซ่าหริ่ม บัวลอย เป็ นต้น นอกจากนี้ วรรณคดีไทย เรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งถือว่าเป็ นวรรณคดีที่ สะท้อนวิถีชีวิตของคนในยุคนั้นอย่างมากรวมทั้ง เรื่องอาหารการกินของชาวบ้าน พบว่ามีความนิยม ขนมจีนน้ำยา และมีการกินข้าวเป็ นอาหารหลัก ร่วมกับกับข้าวประเภทต่างๆ ได้แก่ แกง ต้ม ยำ และคั่ว อาหารมี ความหลากหลายมากขึ้นทั้งชนิดของอาหารคาว และอาหารหวาน
· สมัยรัตนโกสินทร์ ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2394 – ปัจจุบัน) ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างมาก และมีการตั้งโรงพิ มพ์แห่งแรกในประเทศไทย ดังนั้น ตำรับอาหารการกินของไทยเริ่มมีการบันทึกมากขึ้น โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 เช่นในบทพระราชนิพนธ์เรื่องไกล บ้าน จดหมายเหตุ เสด็จประพาสต้น เป็ นต้น และยังมีบันทึกต่างๆ โดยผ่านการบอกเล่าสืบทอดทางเครือญาติ และ บันทึกที่เป็ นทางการอื่น ๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นลักษณะของอาหารไทย ที่มีความหลากหลายทั้งที่เป็ น กับข้าว อาหารจานเดียว อาหารว่าง อาหารหวาน และอาหารนานาชาติ ทั้งที่เป็ นวิธีปรุงของราชสำนัก และวิธีปรุงแบบชาวบ้านที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน แต่เป็ นที่น่าสังเกตว่าอาหารไทยบาง ชนิดในปัจจุบันได้มีวิธีการปรุงหรือส่วน ประกอบของอาหารผิดเพี้ยนไปจากของดั้งเดิม จึงทำให้รสชาติของอาหารไม่ใช่ ตำรับดั้งเดิม และขาดความประณีตที่น่าจะถือว่าเป็ นเอกลักษณ์ที่สำคัญของอาหาร ไทย
อาหารไทย (2558). ประวัติความเป็นมาของอาหารไทย . สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2565, จาก.https:/l.facebook.com.
สมาชิก ด.ญ.วิรุฬห์กานต์ เนยคำ ม.2/10 เลขที่ 38 ด.ช.พัชรพล แก้วชูแสง ม.2/10 เลขที่ 30 ด.ญ.พิชญา อินธิแสน ม.2/10 เลขที่ 31 ด.ญ.เรณุกา จิตประทุม ม.2/10 เลขที่ 36 โรงเรียนปากเกร็ด
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: