Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักกรรมสำหรับคนสมัยใหม่

หลักกรรมสำหรับคนสมัยใหม่

Published by Owent, 2020-05-25 04:29:39

Description: กรรม เป็นหลักธรรมที่สำคัญในพระพุทธศาสนา และมักมีผู้สงสัยเข้าใจกันไม่ชัดเจน ในนี้ที่นี่หลวงพ่อท่าน "ป.อ.ปยุตโต" ได้อธิบาย และยกเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงมาให้เห็นเป็นตัวอย่าง อ่านแล้วเข้าใจง่าย ทั้งได้สาระสำคัญและความเพลิดเพลิน.

Keywords: ป.อ.ปยุตโต,หนังสือธรรม,กรรม,ธรรม

Search

Read the Text Version

กรรม หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑ : หลกั กรรมสําหรับคนสมัยใหม โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) การบรรยายในวันนี้ ทานกาํ หนดใหพ ดู เรอ่ื งกรรม เรอ่ื งกรรม เปน หลกั ธรรมทีส่ าํ คญั มากใน พระพุทธศาสนานอกจากสําคญั แลว ก็เปน หวั ขอ ทม่ี ีคนมักมคี วามสงสยั เขาใจกันไมช ัดเจนใน หลายแง หลายอยา ง บางครงั้ ก็ ทาํ ใหนกั เผยแผพระพุทธศาสนาประสบความยากลําบากใน การที่จะช้แี จง อธบิ าย หรอื ตอบปญหา ไขขอสงสยั แนวการอธิบาย เรอ่ื งกรรมการ อธิบาย เรือ่ งกรรมนนั้ โดยทวั่ ไปมักจะพูดกนั เปน ๒ แนว แนวทไี่ ดย ินกนั มากคอื แนวทีพ่ ูดอยางกวา งๆเปน ชว งยาวๆ เชนพดู วา คนนี้ เมอ่ื สมัยกอ นเคยหักขาไกไ ว แลว ตอมาอีก ๒๐ ถึง ๓๐ป โดนรถชนขาหัก ก็ บอกวา เปน กรรมทไี่ ปหกั ขาไกไ ว หรอื คราวหนง่ึ หลายสิบปแ ลวไปเผาปา ทาํ ใหสัตวตาย ตอ มา อีกนานทีเดยี ว อาจจะแกเ ฒา แลวมเี หตุการณเ ปน อุบตั ภิ ัยเกิดขน้ึ ไฟไหมบ าน แลวถูกไฟ คลอกตาย นี้เปน การอธิบาย เลาเรอ่ื ง หรอื บรรยายเกยี่ วกับกรรมแบบหนง่ึ ซึ่ง มักจะไดย นิ กนั บอ ยๆการอธิบายแนวน้ีมคี วามโลดโผน นาตื่นเตน นาสนใจ บางทีกอ็ า นสนกุ เปนเครือ่ งจูง ใจคนไดป ระเภทหน่ึง แต คนอีกพวกหนง่ึ กม็ องไปวา ไมเห็นเหตผุ ลชดั เจน การไปหกั ขาไกไ ว กบั การมาเกดิ อบุ ัตเิ หตุรถชน ในเวลา ตอ มาภายหลังหลายสิบปน ้นั มีเหตผุ ลเช่อื มโยงกนั อยาง ไร ผูทเ่ี ลา ก็ไมอ ธบิ ายชีแ้ จงใหเห็นทําใหเขาเกดิ ความสงสัย คนท่ีหนกั ในเรอื่ งเหตุผล เม่ือไม สามารถช้ีแจง เหตุปจจยั เช่อื มโยงใหเ ขามองเห็นชดั เจน เขาก็ไมยอมเชือ่ ยง่ิ สมยั นีเ้ ปนสมัยที่ ถอื วา วทิ ยาศาสตรเจริญ คนตอ งพดู จากันใหม ีเหตุผล อธบิ ายใหเ หน็ จรงิ เห็นจังไดว าเรื่องโนน กับเร่อื งน้สี มั พันธก ันอยางไร เมือ่ เราไมช แ้ี จงเหตุผล เชอื่ มโยงใหเขาเห็นเขาก็ไมยอมเช่อื ก็เปน ปญหาเกิดขน้ึ และ เราก็ชอบอธบิ ายกนั ในแงน ีด้ ว ย เพราะฉะน้ัน จงึ ไมสามารถนอมใจ คนจาํ นวนมิใชน อ ย ทถ่ี อื ตนวาเปนคนมเี หตผุ ลหรอื เปน ผู มีลกั ษณะจิตใจ หรือ มที าทแี บบวทิ ยาศาสตร การอธิบายแบบที่ ๒ ก็คืออธิบายในแงของเหตุ ปจจยั ที่เชื่อมโยงใหเหน็ ชดั ซึง่ กลายเปนเรอื่ งละเอยี ดลกึ ซึง้ เปน เรือ่ งทีย่ ากอยจู ะตอ งอาศยั การ พินิจพิจารณาและ การศึกษาหลกั วิชามาก การอธิบาย ในแนวแยกแยะเหตผุ ลน้บี างทเี ปนเร่อื ง ทหี่ าถอยคํามาพูด ใหม องเห็นชัดเจน ไดย าก จึงเปนวธิ ีทไ่ี มคอ ยมีผูใ ชห รือ เราไมค อยมเี วลาท่ี

จะอธบิ าย เพราะคนสวนใหญจ ะมาพบกันในท่ีประชุมเพยี งชว่ั เวลา ช่ัวโมง ๒ ช่ัวโมง ซ่งึ จะพดู กนั ไดกแ็ ต เร่ืองในขนั้ ตัว อยางหยาบๆ มองชวงไกลๆเทา นั้น สําหรับเรอ่ื งทจ่ี ะพดู กัน ในวันนี้ คดิ วา เราควรจะมาหาทาง พจิ ารณาในแงว ิเคราะห หรอื แยกแยะความเปนเหตุ เปนผล เทา ที่ จะเปนไปได ขอใหล องมาพจิ ารณาดูกนั วา จะอธิบายไดอ ยา งไรโปรดตดิ ตามตอ ..... หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒ : หนช้ี ีวติ โ ด ย : ท.เลยี งพบิ ูลย เรื่องน้เี ปนเรอ่ื งจริง ซึง่ ท.เลียงพบิ ูลย ไดเ คยรวบรวมเอาไว เปนเร่ืองที่เกิดขน้ึ กอ นสงคราม โลกครัง้ ที่ ๒ ไมน านนักเปนเร่ืองราวของผูท รงอิทธิพลคนหนงึ่ ช่ือ \"กาํ นนั แตม\" แตเดิมกาํ นนั แตม เปน คนที่ฉลาดแกมโกง หากินกบั การรับจํานองที่ท่มี ีคนเอาไปจํานอง เน่ืองจากเดือดรอ น เร่ืองการเงนิ และในไมช า ท่ที างเหลาน้นั ก็จะตกไปเปนของเขาหมด และเขากจ็ ะจัดการขับไล เจาของเดิมออกไป โดยไมม ีความเห็นใจใดๆท้ังสิ้น ถา ใครถกู ไลแ ลว ไมไป ก็จะถูกอทิ ธพิ ลมืด คกุ คาม จนเปนทห่ี วาดเกรงของคนในยา นนั้น วนั หน่ึง กํานันแตม ไดโดยสารเรอื เมลจะกลับบา น ระหวางทางเกดิ พายุใหญ ทาํ ใหเ รอื ลม กํานนั แตมลอยคออยกู ลางนํา้ โดยอาศยั เกาะทอนไม ทอ นหน่งึ พยุงตวั เอาไว และแลว ไมน านนัก...แรงกค็ อยๆหมด ทอ นไมก ็คอยๆหลุดออกไป จากมอื ในขณะที่แกกําลังจะจมนํา้ น้ัน ก็พอดมี สี องพอ ลูกพายเรอื ผา นไปเห็น และไดช ว ยชวี ิตไว ทนั สองพอ ลูกทีว่ าน้นั ก็คือคนท่ีกํานันแตมเคยริบบา นชอ งไรนาและขับไลเขาออกไปนัน่ เอง แต สองพอ ลกู หาไดผ กู ใจเจ็บตอ กาํ นนั แตมไม นอกจากจะชว ยชีวติ แลว แถมยงั ใหข าวปลาอาหาร และทพี่ กั แกก าํ นนั แตม อีกดวย ทาํ ใหกํานนั แตม รสู ึกซาบซึ้งในความมนี ้ําใจของสองพอลกู เปน ยิ่งนัก \"ถงึ แมเขาจะจนเงนิ แตเขาก็ไมจนน้ําใจ... เราเสยี อกี รวยเงนิ แตแลงนาํ้ ใจตอเพอื่ นมนุษย ดว ยกนั \" นับจากน้ัน นิสัยของกํานันแตม กไ็ ดเ ปลี่ยนจากหนามอื เปน หลงั มือ เหมอื นเปนคนละคน จาก ที่เคยเปนคนเค็ม เห็นแกไ ด ไมเ คยเหน็ ใจใคร กก็ ลบั เปนคนมเี มตตา ชวยเหลือทกุ คนท่ี เดือด รอน ครอบครวั ใดที่กาํ นนั แตม เคยทําใหเ ขาเดือดรอนมากอ น กก็ ลับใหก ารชว ยเหลอื ทาํ ให ครอบครัวเหลา นัน้ ไดรบั ความสขุ สบายตามควรแกอัตภาพดวยเหตนุ ้ี \"กาํ นันแตม \" จงึ กลายเปน ทรี่ ักของทกุ ๆคนในหมูบ า น แตอ ยูต อ มา กํานนั แตมกล็ มปว ย เขา โรงพยาบาล สองพอ ลูกที่เคย ชว ยชวี ติ กํานันแตม เอาไว เมื่อรูข า ว กจ็ ะไปเยี่ยมในตอนเชา วันนนั้ ขณะท่ี สองพอลูกกาํ ลังจะ จะกาวขึ้นรถโดยสาร กไ็ ดเหน็ กาํ นันแตมนัง่ อยูในรถโดยสารอกี คันหนึ่งซึ่งว่ิงสวนทางมาพอมา ถึงตรงสองพอ ลกู กาํ นนั แตม กช็ ะโงกหนาออกมา แลวโบกไมโบกมอื คลายจะบอกวาไมต อ ง

ไปสองพอลูกคดิ วา กํานันแตมหายปวยแลว กจ็ ึงลงจากรถโดยสารคันนั้นตอนบา ยจึงไดทราบ ขา ววา รถโดยสารคันทจี่ ะขึ้นไปน้นั ไดประสบอุบตั ิเหตุ มีผูโ ดยสารเสยี ชีวิตและบาดเจบ็ เปนจํา นวนมากโชคดีทส่ี องพอ ลกู ผูมใี จเมตตา ไมไ ดไปกับรถคนั นน้ั ดวย สองพอลกู รูสกึ เปน หน้ีชวี ิต กาํ นันแตม ทม่ี าโบกไมโบกมอื หา มเอาไว ไมใหไปกับรถคนั นนั้ กําลังคดิ ท่ีจะไปขอบคณุ กาํ นนั แตมที่บาน แตกตอ งสะดุง เมื่อลกู สาวของกํานนั แตม มาบอกกบั สองพอ ลกู วา \"กํานนั แตมได ถึงแกกรรมแลว เม่อื เชา นีเ้ อง\" นนั่ แสดงวา กาํ นันแตม ที่สองพอ ลกู เหน็ เม่อื เชา นนั่ ก็คงเปน วญิ ญาณของกํานันแตมที่มาบอกเตือนสองพอ ลูกลวงหนา คนใจดมี ีเมตตาอยางสองพอ ลูก ขนาดผยี งั คุมครอง ใหแคลวคลาดปราศจากภัย สาธ.ุ .. สมควรแลว สาํ หรบั กรรมดี ทสี่ องพอ ลูกไดก ระทาํ หั ว ข อ เ รื่ อ ง ท่ี ๓ : กรรมของคนอกตญั ู โ ด ย : หลานสมเด็จ เรือ่ งน้เี กดิ ขึ้น ท่ีเขตอําเภอปอมปราบ ในตระกูลพอ คาทีม่ ี ความมั่งมมี พี อ แมและลกู ชาย คนหนง่ึ จากการทต่ี ามใจลกู มา ตง้ั แตเ ด็กจนเปนหนมุ ลกั ษณะและอปุ นสิ ัยของลกู ชายนั้น นสิ ยั ข้โี มโห โกรธงาย เพราะถูกพอแมเลย้ี งมาแบบเอาใจมาก เลยทําใหนิสัยเสยี จึงเปน คนแข็งกราว ชอบเอาแตใจตวั เองเปน ใหญ พอพอ แมอ ายุยางเขา ๖๐ ป ก็ไดม อบทรพั ยสมบัติและ กจิ การ ตา งๆ ใหเปน ของลกู โดยใหล กู เปน ผูดูแลทั้งสิน้ เมื่อไดรับ มรดกดังกลาวแลว ลูกชายคนนก้ี ็ยิ่ง มคี วามหยิ่งจองหองและปากเปราะมาก บางคร้งั แมของตัวเองจะทานขาว จะไปธุระ หรือจะ ไปนอน ตวั เองซง่ึ เปนลูกชาย ไมเคยท่ีจะมาดูแลทุกขส ุขแตอ ยางใด บางครัง้ แมจะขอเงินบางสว นไปทาํ บญุ ปลอ ยนก ปลอ ยสัตว ลูกชายก็ตะคอกใส โดยไมค าํ นึง วา ผูน้ันเปน ผบู ังเกดิ เกลา ของเขาโดยไมก ลวั บาป และบางครง้ั แมพูดผิด หรือทาํ ของหกหลน เปน ทไ่ี มพอใจลูกก็ดา วา โดยไมมีการใหอภยั เปนเร่ืองทบ่ี าปมากทส่ี ุด จนบานใกลเ รือนเคยี งรสู ึก มคี วามหดหูใจตอบตุ รชายที่เนรคุณตอผูมพี ระคุณครั้นตอ มาเม่ือแมข องตวั เองไดส ิ้นบุญลง กิจการตางๆกเ็ ริ่มทรดุ ลงตาม สาํ หรับตวั เองก็เสเพลด่ืมเหลา เท่ยี วผหู ญิง แลว กเ็ ลน การพนนั เพียงไมเกิน ๕ ป กิจการตา งๆ ก็ลม ละลาย และภายในครอบครวั ก็มีเร่ืองแตกแยกกนั สภาพ การเงินก็เลวลงกวา ท่เี ปนอยู จนตัวเอง คิดมากและสขุ ภาพไมแขง็ แรงปว ยเปนสารพดั โรคทาํ ให ตนเองจากที่เคยขีร่ ถเบ็นซ ก็กลายเปน ตองมาขี่จักรยาน ๒ ลอ แทน และไปทํางานบริษทั ในหนา ทีเ่ ดก็ เดินหนงั สอื ไมถ ึง ๒ เดอื น กถ็ กู ไลอ อก เพราะนสิ ัยเดิม ทเ่ี ปนคนมุทะลุ โกรธงายจองหอง

จงึ เปนเหตุใหท ํางานไมได ผลสุดทายตองไปนั่งขอทานตามสะพาน ตามศาลเจาตางๆ เรื่องน้ีเปน อุทาหรณใ หเ ห็นวา ผูบ ังเกดิ เกลาเปน สงิ่ ทเ่ี ราตอ งยกยอ งนับถือ และเทอดทูนเหนือ ส่งิ อ่นื ใด และตอ งไมเนรคณุ ลบหลูตอ ทานอยา งเด็ดขาด มฉิ ะนน้ั แลว กรรมจะตามสนองเหมอื น อยา งนี้ และฟา ดนิ จะตอ งลงโทษอยา งหนกั หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๔ : อาจคลาดเคล่อื น ตอ งเตอื นใหร ะวงั ( ๑ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ. ปยตุ โฺ ต ) ลกั ษณะของหลักกรรมน้ี เปน เรื่องท่นี าพจิ ารณา เพราะกรรมเปนหลักใหญใ นพระพุทธศาสนา จะตองมกี ารเนนอยูเสมอ หลักการของศาสนานั้น ก็เหมอื นกับหลักการปฏิบัตทิ ่ัวไปในหมูมนุษย เม่อื เผยแพรไปในหมูมนษุ ยวงกวาง ซ่ึงมีระดบั สติปญ ญาตางกัน มีความเอาใจใสตางกัน มี พ้นื เพภมู หิ ลังตางๆกนั นานๆเขา ก็มีการคลาดเคลือ่ นเลือนลางไปได จึงจะตองมกี ารทําความ เขา ใจกันอยูอยางสม่ําเสมอ เรอ่ื งกรรรมน้ีก็เหมือนกัน เม่ือเผยแพรไ ปในหมชู นจาํ นวนมากเขา กม็ ีอาการท่ีเรียกวา เกดิ ความ คลาดเคลอื่ น มีการเฉไฉ ไขวเขวไปได ทัง้ ในทางการปฏบิ ตั ิและความเขาใจ หลักกรรมในพระ พุทธศาสนานี้ ทา นสอนไวเ พอ่ื อะไร ทเี่ ราเหน็ ชัดก็คือ เพอ่ื ไมใหแ บงคนโดยชาติกําเนิด ใหแ บง โดยความประพฤติ โดยการกระทํา น่ีเปนประการแรก ดังท่พี ระพทุ ธเจาตรสั วา ประพฤตดิ งั ที่ พระพุทธเจาตรสั วา \"กมฺมนุ า วสโล โหติ กมฺมนุ า โหติ พฺราหมฺ โณ\" คนไมใ ชต่ําทรามเพราะชาตกิ าํ เนิด แตคนจะเปนคนต่าํ ทราม กเ็ พราะกรรมคอื การกระทาํ คน มิใชจ ะเปนพราหมณเพราะชาติกําเนิด แตเ ปนพราหมณ คอื ผูบริสทุ ธ์ิ คอื คนดคี นประเสรฐิ ก็ เพราะกรรมคอื การกระทาํ ตามหลักการน้ี พระพทุ ธศาสนายึดเอาการกระทาํ หรือความประพฤติ มาเปนเครื่องแบง แยกมนุษย ในแงของความประเสรฐิ หรือความเลวทราม ไมใหแบง แยกโดย ชาตกิ ําเนิด ความมงุ หมายในการเขาใจหลกั กรรมประการทีส่ องท่ที า นเนน ก็คอื การรบั ผิดชอบ ตอ ตนเอง คนเราน้ันมักจะซดั ทอดส่ิงภายนอกซดั ทอดปจ จัยภายนอก ไมรบั ผดิ ชอบตอการ กระทาํ ของตนเอง เวลามองหาความผดิ ตองมองไปทีผ่ อู ื่นกอน มองท่ีส่ิงภายนอกกอน แมแต เดินเตะกระโถน กต็ อ งบอกวาใครเอากระโถนมาวางซุมซาม ไมว า ตนเดินซุมซา ม เพราะฉะนน้ั จงึ เปน ลักษณะของคนที่ชอบซดั ทอดปจ จยั ภายนอก แตพระพุทธศาสนาสอนใหร ับผิดชอบการ กระทาํ ของตนเองใหม กี ารสํารวจตนเองเปนเบ้อื งตน กอน

ประการตอ ไป ทา นสอนหลกั กรรม เพอื่ ใหรจู กั พึ่งตนเอง ไมฝากโชคชะตาไวก บั ปจจัยภาย นอก ไมใหห วังผลจากการออ นวอนนอนคอยโชค ใหห วังผลจากการกระทํา หลักกรรมในพระ พุทธศาสนาสอนวา \"ความสําเรจ็ เกดิ ข้ึนจากการกระทําตาม ทางของเหตุผล\" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๕ : ทาํ ไมเกิดมาไมเ หมอื นกัน ? โ ด ย : สชุ ีพ ปญุ ญานุภาพ การทค่ี นเกดิ มาไมเหมอื นกัน เชน บางคนฉลาด บางคนโง บางคนรูปรางงามบางคนตรงกนั ขาม บางคนเกิดในตระตูลตา่ํ บางคนเกิดในตระกลู สงู เมือ่ ถามวา ทําไมจึงเปนเชน น้ี ? ถา ตอบ แบบวทิ ยาศาสตร กต็ อบวา การท่ฉี ลาดหรือโง รา งกายสมประกอบหรอื ไม จนหรือมงั่ มีก็ เพราะไปเกิดในมารดาบดิ าทม่ี เี หตุแวดลอ มดีเลวผิดกัน ความเปนไปจงึ ผดิ กันเปนอันวาบิดา มารดาถายทอดส่ิงตางๆ ใหดว ย เหตุแวดลอ มประกอบดวย จึงเปน เชน น้ัน จึงเปนอันวา ตอบ ดวยหลักพนั ธกุ รรมและเหตุแวดลอม คราวน้ีถาถามตอไปวา เหตไุ ฉนเลาจึงไปเกิดเปนลกู ของ คนมีบา ง จนบาง มีสว นประกอบทางกายและจติ ใจสมบรู ณบ า งบกพรอ งบาง ทําไมจึงตางๆ กันไป ทาํ ไมจงึ ไมเ กดิ ในทีด่ ีๆ เหมือนกนั หมด ? ในท่ีสุดก็จะตอ งซดั ใหความบงั เอิญ แตใ น ปจจบุ นั เราเลกิ ทฤษฎีบังเอญิ กนั แลว ทุกสงิ่ ตองมีเหตผุ ล ไมใชบ ังเอิญ บังเอิญเปนคําทเี่ ราใช กันในเมือ่ ยงั หาเหตผุ ลไมไ ดเทา นนั้ ทางพระพุทธศาสนาสอนวา กรรม คือการกระทาํ ในชาตกิ อน ไดจดั สรรเสรจ็ ใหไ ปเกิดใน ฐานะนั้นๆ ไดร ับการถา ยทอดทางกายดีหรอื เลว ไดประสบสิ่งแวดลอ มดีหรอื เลว แลวแตกรรม นําไป ไมใ ชพ ระเจาสราง ทุกคนสรางตวั เองดว ยการกระทําของตนในกรณีเชน นี้ เราจะไมไ ป โทษคนโนน คนนี้วาสรางเราไมด ี แตเ ราจะสรา งตัวเราใหมใ นชาตินี้ดวยการทําดี อบรมใหเกดิ อปุ นสิ ยั ใจคอท่ีดงี ามไดต ามประสงคอาจมีผแู ยง จะใหเห็นดว ยตาตามเคยวา กรรมรูปรา ง เปน อยา งไร จึงจัดสรรได และตดิ ตามคนได ? ขอ น้เี ปรียบดวยพลังงานซ่งึ ติดไปกับลูกศร เวลายงิ ไปในอากาศ ลูกศรแลน ไปเรอ่ื ยๆน้นั เรา เหน็ พลังงานหรือเปลา ? หรอื ผูท่ไี ดรับสถาปนาเปนพระมหากษตั ริยถ าไมแสดง พระองคเ สด็จ ปะปนไปในทต่ี างๆ และเราไมร มู ากอน มอี ะไรตดิ ตามไป เปนเครื่องแสดงใหเห็นบา งวา ทาน ผูน ้ีเปนพระราชา เพราะพระองคก ม็ ีอวัยวะรางกายเหมอื นคนธรรมดาทกุ อยา ง แตท านก็คง เปนพระราชาอยนู น่ั เอง การท่ีกรรมตดิ ตามคนนน้ั ทา นเปรยี บเหมือนเงาของคน จะขหู รอื

ปลอบไมใ หต ดิ ตามกไ็ มไ ด พระพทุ ธศาสนาเปรยี บกรรมวา เปน เนอ้ื ท่ี วญิ ญาณเปน พชื แสดง วา กรรมกบั วญิ ญาณมสี ว นสมั พันธก ัน เนอ้ื ท่ดี ี พชื ก็งอกงามดี คนเราจะดีเลว เพราะการกระ ทําของตนเชนน้ี จึงควรอยา งยิ่งที่จะเลอื กทําแตก รรมดี ละเลิกความชัว่ เสยี เมลด็ ทุเรยี น เก็บ ความสามารถในการเปน ตน มใี บดอก และลูกทเุ รยี นไวไ ดใ นตัวเอง เม่อื ถงึ คราวก็เจริญเติบโต เปนตนทเุ รยี นฉนั ใด วิญญาณก็มกี รรมติด ไปดว ย อยา งซอนเรน ไมเหน็ ตัว แตเมื่อปรากฏตวั ออกมา กป็ รากฏตามลักษณะทกี่ ําหนดของกรรมนั้นๆ หั ว ข อ เ รื่ อ ง ท่ี ๖ : กรรมทท่ี ําใหห ยารา ง ( ตอน ๒ ) โดย:ธรรมะไทย เมอ่ื สัปดาหทแ่ี ลว ไดเลาคางเอาไว เกย่ี วกบั เรอ่ื งราวของพระภิกษุณรี ปู หนง่ึ ทม่ี นี ามวา \"อิสิ ทาส\"ี ทา นกําลังจะเลา ถึงวบิ ากกรรม ที่ทําใหทา นตองหยา รางจากสามีคนแลว คนเลา วิบาก กรรมที่ทาํ เอาไวเ ปน อยางไร เราลองมาฟงจากการบอกเลาของทา น \"ดฉิ นั จะเลาวบิ ากแหงกรรมนน้ั ใหท า นฟง ขอทานจงมีใจเปนหนงึ่ ตัง้ ใจฟงวิบากแหงกรรม น้ันเถดิ ในสมยั น้นั ดฉิ ันเกดิ เปน นายชางทอง มที รัพยส มบตั มิ าก อยูใ นนครเอรกกจั นะ เปนคน มวั เมาลมุ หลงดวยความเปน หนมุ จึงไดค บชกู ับภรรยาของชายอนื่ ครัน้ เม่อื ดฉิ ันไดจุติ ( ตาย ) จาก ชาติน้นั แลว ตอ งหมกไหมอ ยใู นนรกตลอดกาลนานเมื่อพนจากนรกแลว กไ็ ดไปเกิดในทอ ง ของนางวานร พอคลอดได ๗ วนั วานรใหญทีเ่ ปน หวั หนาฝูงกไ็ ดก ดั อวัยวะสืบพันธุของดิฉนั เสยี นีเ่ ปนผลกรรมเกา ของดิฉันท่ีไดคบชูกบั ภรรยาของชายอ่ืน เม่ือดิฉันตายจากกําเนิดวานร นน้ั แลว ก็ไดไปเกิดในทองนางแพะตาบอด อยูในแควนสนิ ธู เมือ่ มอี ายุได ๑๒ ป ก็ถูกเด็กตัด อวยั วะสบื พันธทุ ้งิ เสีย ตอมาก็เปนโรค ถูกหมูหนอนฟอนเฟะทอ่ี วยั วะสบื พันธุ น่เี พราะโทษท่ี ดิฉนั ไดค บชกู บั ภรรยาของชายอื่น ดฉิ นั จตุ ิจากกาํ เนดิ แพะน้ันแลว ก็ไดไ ปเกดิ ในทองแมโ คของ พอคา คนหนึ่ง เปนลูกโคมีขนสแี ดง เหมือนสคี รั่ง พอมีอายไุ ด ๑๒ เดือนก็ถกู ตอน ดฉิ ันถูก เขาใชเทยี มไถและเข็นเกวียน ตอ มาเปน โรคตาบอด เปน โคกระจอก เปน โคขี้โรค... น่ีกเ็ พราะโทษท่ีดฉิ ันไดคบชูกบั ภรรยาของชายอื่นดิฉันจตุ ิจากกาํ เนิดโคนน่ั แลว ก็ไปเกิดใน เรอื นของนางทาสี จะเปนหญิงกไ็ มใช จะเปนชายกไ็ มเชิงนกี่ ็เพราะโทษท่ีดฉิ นั ไดค บชูกบั ภรรยาของชายอน่ื ดิฉันมีอายไุ ด ๓๐ ปกต็ าย แลว มาเกิดเปนลกู หญงิ ในสกลุ ของชา งสานเสอ่ื เปน สกลุ ขดั สน มที รพั ยน อย ถูกแตเจา หนีร้ ุมทวงอยูเ ปนนิตยตอมาเม่ือเปนหนม้ี ากข้ึน พอ คา เกวียนคนหน่ึงมารบิ ทรพั ยส มบัติแลว ก็ฉดุ เอาดิฉันลงจากเรอื นไปภายหลังทดี่ ิฉนั มีอายุครบ ๑๖

ป บุตรของพอ คา เกวยี นน้ัน มชี ื่อวา \"คิรทิ าส\" ไดเ ห็นดิฉนั เปนสาว กําลงั รุน มจี ิตปฏิพทั ธรกั ใคร ขอไปเปนภรรยา แตว า นายคิรทิ าสนั้น มภี รรยาอยกู อนแลวคนหนึง่ ซ่ึงเปนคนมศี ีล ทรง คณุ สมบตั ิ ทั้งมยี ศ รักใครส ามีเปนอยางดยี ง่ิ ดิฉันไดบ งั คับนายคิริทาส ใหข ับไลภ รรยาของ ตนไป... นก่ี เ็ ปนตน เหตุ ทาํ ใหส ามีตองหยา รา งกับ ดิฉัน ผไู ดบาํ รงุ สามเี หมือนทาสีไป น่ีเปน ผลแหง การคบชกู ับภรรยาของชายอ่ืน และไดบ งั คับสามีใหขับไลภ รรยาเกา ของเขาไปที่สดุ ผล แหงบาปกรรมนัน้ ดิฉันกไ็ ดทาํ เสรจ็ แลว \" ท้งั หมดน้ี เปนคําบอกเลาของพระอิสิทาสเี ถรี ปรากฏอยใู นอสิ ทิ าสีเถรคี าถา พระไตรปฎก เลม ที่ ๒๒ หนา ๕๐๐ เหน็ วานา จะเปน ประโยชน จึงไดนํามาถายทอด เลาสกู ันฟง หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๗ : พทุ ธบพุ กรรม ( ตอน ๑ ) โดย:ธรรมะไทย พุทธบุพกรรม หมายถึง กรรมเกา ทีพ่ ระพทุ ธเจาไดเคยกระทําไวในสมยั ที่บารมยี ังออ นอยู บางภพบางชาติ พระองคก เ็ คยประมาทพลาดพลงั้ ทาํ กรรมอันเปนบาปไว และพอมาชาตินี้ หลังจากทไี่ ดตรสั รเู ปน พระสมั มาสัมพทุ ธเจาแลว เศษกรรมนนั้ กย็ ังตามมาใหผ ล หลายคร้งั หลายหนดวยกัน ซึง่ เรอ่ื งทัง้ หมดนี้ มีปรากฏอยูใ น พระสุตตันตปฎก เลมท่ี ๒๔ ขุททกนิกาย พุทธาปทาน ปุพพกรรมปโลติที่ ๑๐ ขอ ๓๙๒ แสดงไววา ขณะทีพ่ ระพทุ ธเจาประทบั อยูท่สี ระใหญอ โนดาต ไดต รัสเลาถงึ อกุศลบุพกรรมโดยมีใจความ วา \"ภิกษุท้ังหลาย เธอจงฟง กรรมท่เี ราไดทาํ แลวในอดตี ในกาลกอ น เราเปนนายโคบาล ตอน โคไปเล้ียง เห็นแมโ คกําลังด่มื นาํ้ ขนุ มวั จึงหา มมัน ดว ยวบิ ากแหงกรรมนั้น มาในชาตนิ ้ี แมเรา กระหายน้าํ กไ็ มไดดม่ื ตามความปรารถนา\" เหตุการณตอนน้ัน ก็คอื ตอนทพี่ ระพทุ ธเจากาํ ลงั จะเสด็จ เพ่ือไปปรนิ ิพพานทเี่ มอื งกุสินารา ระหวางทาง รูส ึกกระหายน้าํ เปน กําลงั จงึ มีรับสง่ั ใหพระอานนทไ ปตกั นา้ํ ที่ลาํ ธารมาให แตกไ็ ม สามารถไดด ม่ื ในทันทีทันใด เน่อื งจากเกวียน ๕๐๐ เลม เพ่ิงผา นลําธารไป ทาํ ใหน าํ้ บรเิ วณนนั้ ขนุ เราดเู หตทุ สี่ รา งไว เราอาจจะคดิ วา เปนเหตุเพยี งเลก็ นอย แตขนึ้ ชื่อวา บาปกรรมแลว แม เพยี งเลก็ นอย กใ็ หผลเปนความทกุ ขความเดือดรอนเสมอ...

หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๗ : ทํากรรมรวมกนั มา โ ด ย : พระธรรมกิตติวงศ ( ทองดี ) คําวา กรรมรว มกนั มาแตอดตี ชาติ หมายความวาอยางไร เพราะบางคนพอ แมดี แตลูกไมด ี บางคนครอบครัวดี แตมบี ริวารนาํ ความเดือดรอนมาให บางคนลูกดีแตบ พุ พการีไมด ี ถา จะ ถอื วาชาตกิ อนมคี วามสัมพันธกับชาตินี้ ก็จะตองหมายความวา พอ แม พ่ี นอ ง เพ่ือนฝูง ทเ่ี คย พัวพนั กันมา จะตองไปพบกันทุกชาตเิ ชนนัน้ หรือ จงึ มีการกลาวถึงคําวา \"ทํากรรมรว มกันมา\" คาํ วา \"กรรมรวมกันมาแตอ ดตี ชาติ\" เปน คําทห่ี มายถงึ คนสองคน หรือสองฝา ยเคยทําอะไร รว มกันมา จะเปน ทางดกี ไ็ ด ทางไมด ีก็ได เชนเคยทาํ บญุ รวมกนั มา เคยรว มปลนฆาคนมาดวย กนั เปนตน การกระทําท่ที าํ รว มกันอยา งนแ้ี หละ ทเ่ี รียกวา “กรรมรว มกนั มา” ถาเปน กรรมใน ชาตกิ อ นๆ กเ็ รียกวา เปน กรรมในอดตี ชาตคิ วามจริงมิใช เพราะกรรมเทา นนั้ ทจ่ี ะสง ผลใหมา พบกันในชาติน้ี แมเวรทฝ่ี า ยใดฝายหนงึ่ ผกู กันไว หรือผูกไวท ้ังสองฝาย กเ็ ปนเหตสุ ง ใหมา พบกนั ในชาตินไ้ี ดเ หมือนกนั ดังนนั้ เราจึงมักพดู ติดตอกันวา \"กรรมเวร\" ความเขาใจทว่ี า ถา ถอื วาชาติกอ นมีความสัมพนั ธก บั ชาตนิ ้ี ก็จะตองหมายความวา พอแม พ่นี อ งเพื่อนฝงู ที่เคย พัวพันกันมาจะตองไปพบกันทุกชาตินั้น ยังเปน ความเขาใจทไ่ี มถ กู ตองทัง้ หมด อนั ท่ีจรงิ ชาติ กอ นมคี วามสมั พันธก บั ชาตนิ ีจ้ ริง ในฐานะเปน ชาติท่ีเปน เหตุใหเ กดิ มีชาตินขี้ ึน้ แตพ อแมพน่ี อ ง ญาติมิตรในชาติกอนน้ัน หาไดเกดิ พบกนั ทุกชาตไิ มทั้งนีก้ ็ข้นึ กับเงื่อนไขท่ีวา เมอื่ พอ แมพ ี่นอง ญาติมติ รนน้ั ๆ ไดทํากรรมจะดหี รอื ไมกต็ าม หรอื ไดมเี วรตอกนั มา กรรมและเวรอันนนั้ แหละ ก็จะสง ผลใหเกดิ มาพบกนั ในชาตติ อ ไป แตจ ะทุกชาตหิ รือไม กแ็ ลวแตก รรมเวรที่จะกอใหมอกี นยั ตรงขา ม หากพอ แม พี่นอ ง ญาติมิตร มีความผูกพันกันเพียงสายเลอื ดซ่งึ เปน เรื่องของ ธรรมชาติ หาไดท ํากรรมดีกรรมช่ัว หรือผูกเวรกันไวไม อยางนก้ี ็ไมมสี าเหตอุ นั ใดทีจ่ ะทาํ ให ไปเกดิ พบกนั อกี คือไมมีกรรมเวรรว มกันนั่นเอง เรอ่ื งกรรมเรอ่ื งเวร เปน เร่ืองลึกซึ้งและละเอยี ด ออนมาก ยากทจี่ ะอธบิ ายใหเ ห็นแจง ดว ยหนากระดาษเพียงเทานไ้ี ด แตผสู นใจในเรื่องนี้ศกึ ษา ไดจ ากตําราและจากการสงั เกตชวี ติ จริงของตนและของคนอ่ืน จะชวยความเขา ใจไดม าก เราอาจแบงบุคคลในกรณีนี้ ได ๓ ประเภทดว ยกัน คอื ๑. ประเภทดดี วยกนั คอื ท้งั สองฝายหรือทั้งหมด ไดเคยทาํ บญุ ทาํ ความดี สรา งบารมรี ว มกนั

มา เรียกวา มดี เี ทา กันวา ง้ันเถอะ ประเภทนก้ี ม็ ักจะเกดิ มาดีดวยกนั ไดด พี อๆกันเชนตาํ นานเร่อื ง มฆมาณพสรา งถนนสรา งศาลามาดวยกัน กับพวกอีก ๓๒ คน ตายไปแลวไดเ สวยสุขอยูบน สวรรคชัน้ ดาวดึงส เปน ตน ประเภทน้ี ความดีมีเทา กนั จงึ ไดดี ไดพ บความดีมีสขุ และเสวย ความดีอยูดวยกันได เรยี กอีกอยางหน่ึงวา ผมู ีคุณธรรมเสมอกนั นน่ั เองท่เี ห็นงา ยๆ ในประเทศ น้ีกค็ อื ถา เปนสามีภรรยากัน สามกี ็ดี ภรรยากด็ ี ไมท ะเลาะเบาะแวง กนั เห็นอกเห็นใจกนั เรยี กวา ดีท้งั คูถาเปนพอ แมล กู กัน ก็ดีทั้งพอ ทงั้ แม ท้ังลูกพอแมกร็ กั ลกู ทําเพ่ือลกู และเปนผนู าํ ทีด่ ีของ ลกู ฝายลูกก็เปน ลูกที่ดขี องพอ แม เชือ่ ฟงตัง้ อยูในโอวาท รกั เคารพพอ แมด วยใจจรงิ ถาเปนเพื่อน กเ็ ปนเพื่อนทีด่ ตี อกนั ชว ยเหลอื กนั ดว ยนํ้าใจ ไมชักชวนกนั ไปในทางเสยี หาย เปน ตน ๒. ประเภทเสียดวยกัน คือท้ังสองฝายเคยทาํ บาปทํากรรมรวมกันมา มคี วามช่ัวพอๆกัน ชอบ เร่อื งรา ยๆพอกันอยา งน้ีกเ็ กิดมาพบกันอกี และอยดู วยกันได แมจ ะลมุ ๆดอนๆก็ไมค อยแยกกนั ถึงคราวสุขก็สขุ ดวยกัน ถึงคราวทกุ ขกท็ ุกขด วยกนั ไดป ระเภทนกี้ เ็ ชนกัน ถา เปนสามีภรรยากัน ก็ประเภทหญิงรายชายเลวนัน่ แหละ หรืออยางพวกนกั เลงเท่ียว นกั เลงพนนั นักเลงสุรา จน กระท่ังนักเลงปลน จ้ี เปนตน คือชอบอยางเดียวกนั ยอ มไปดว ยกนั ได ๓. ประเภทมเี วรตอ กัน คือประเภททอ่ี กี ฝายหน่ึงอาจดี แตอ ีกฝายอาจเสีย ฝา ยดีกจ็ ะถกู ฝาย เสยี คอยรบกวน คอยรงั ควาน คอยทาํ ลายอยูเร่ือย ไมโ ดยตรงกโ็ ดยออมอยางกรณีท่ยี กตวั อยาง มา เชน บางรายพอ แมดี แตล กู ไมด ี บางรายครอบครวั ดี แตบ ริวารนาํ ความเดอื ดรอนมาใหนนั่ แหละ กรณอี ยา งนเ้ี กดิ ข้ึน เพราะท้งั สองฝา ย หรือฝายใดฝายหน่ึง ยังผูกเวรจองกรรมไว จึง ตอ งมาพบกัน คอยขัดขวางกนั อยูรํ่าไปไมตอ งอ่ืนไกลหรอก แมแ ตพ ระพุทธองคยงั ทรงมมี าร คอยผจญ มีพระเทวทตั คอยทําลาย และมนี ักบวชตางศาสนาคอยลา งผลาญเลยน่ีแหละอาํ นาจ ของเวรละ ลองไดก อ ไว หรือถูกกอ ไว ก็เปนไดต ามผจญกันไมสิน้ สดุ สกั ที ประดจุ เวรของงกู บั พังพอน เวรของกากับนกเคา และเวรของมนษุ ยผูถอื ตวั จดั ในเร่อื งศาสนากับผวิ ในปจจุบัน พระ พทุ ธเจาจงึ สอนใหล ะเวรเสยี อยา งนอ ยกด็ ว ยการรกั ษาศีล ตง้ั มนั่ อยใู นศีล เพราะศลี เปน เวรมณี เปน ขอปฏิบตั ทิ ที่ าํ ใหห มดเวรได แมอยางกรรมก็เชนกนั ไมวาจะทาํ คนเดยี ว หรอื รว มทาํ กับ ใคร หากเปนกรรมชวั่ กรรมเสียแลว ทา นวา ไมควรทาํ ทั้งน้นั หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๗ : หลกั กรรมสําหรับคนสมยั ใหม ( ๔ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ โฺ ต )

จากนี้ เราก็มาแบง ประเภทของกรรมออกไป เม่อื วาโดยทางแสดงออกถา แสดงออกทางกายทาํ โนน ทาํ น่ี ก็ เปน กายกรรม ถาแสดงออกทางวาจา โดยพดู ออกมา กเ็ ปน วจีกรรม ถา แสดงออกทางใจ อยูในระดับ ความคิด คิดปรุงแตงไปตางๆ ก็เปน มโนกรรม และกรรมโดยทวั่ ไปนน้ั เมอ่ื จําแนกโดยคณุ ภาพ ก็แบง เปน ๒ อยา ง คือ เปน กรรมดี เรยี กวา กศุ ลกรรม เปนกรรมช่วั เรียกวา อกุศลกรรม ในบางแหง ทานจาํ แนกออกไปเปนหลายอยางมากกวา น้ีอกี เชน กรรมที่ ๑. เปนกรรมดาํ กรรมท่ี ๒. เปนกรรมขาว กรรมที่ ๓. เปนกรรมทง้ั ดาํ ทงั้ ขาว กรรมที่ ๔. กรรมไมด าํ ไมข าว เปนไปเพ่อื ความสิ้นกรรม เปนการอธบิ ายละเอียดข้นึ ไปอีก กรรมดําคืออะไร ? ยกตวั อยางเชน อกุศลกรรมบถ มองใหเ ห็นหยาบๆ ก็คอื การกระทาํ ทเ่ี ปน การ เบียดเบียน ทําใหผอู นื่ เดือดรอ น กรรมขาว ก็คือกรรมทตี่ รงขามกับกรรมดาํ น้นั ไมท ําใหผ อู ื่นเดอื ดรอ น ไมเปน การเบยี ดเบียนแตเ ปนการ ชว ยเหลือสง เสริม ทาํ ใหผอู ่นื มีความสขุ และกรรมท้งั ดาํ ท้งั ขาว กค็ ือกรรมทป่ี ะปนกนั มีทั้งการกระทําท่เี ปนไปเพื่อความเบยี ดเบียนและไม เปนไปเพ่อื ความเบียดเบยี น สดุ ทา ย มาถึงกรรมไมดาํ ไมขาวเปนไปเพ่ือความส้ินกรรม ยกตวั อยางเชน โพชฌงค ๗ มรรค มีองค ๘ ซ่งึ บางทีกเ็ รียกวา กรรมเหมือนกนั แตเปนกรรมทไี่ มดาํ ไมข าว และเปนไป เพือ่ ความสิ้นกรรมกลับทาํ ใหเ ราสิน้ กรรมไปดว ยซํ้า เม่อื มองละเอยี ดถึงความหมายที่แยกประเภทอยา งนี้ เราก็เห็นชดั ข้ึนมาวา กรรมนนั้ อยทู ี่ตัวเราทกุ ๆคน ที่ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิดําเนนิ ชีวิตอยทู กุ เวลานเ่ี อง เริ่มตงั้ แตความรสู ึกนึกคิด ขอ ปฏิบตั ติ างๆ แมแ ตการปฏบิ ตั ิ ธรรมชน้ั ใน ไมวาจะเปน การปฏบิ ัตติ ามมรรคมอี งค ๘ การเจรญิ โพชฌงค ๗ ก็เปน กรรมทงั้ นน้ั ไมพน เรื่องกรรมเลย จะเห็นวา กรรมในความหมายน้ี ละเอียดกวา กรรมทีเ่ คยพูดในเร่ืองไปหกั ขาไก เผาปาครอก สัตว หรืออะไรทํานองนั้น ตองแยกแยะกนั ใหล ะเอยี ดอยา งนี้ เมือ่ มาถึงข้ันนีแ้ ลว จะอธิบายกนั อยา งไรให เหน็ วา มันจะออกเปน ผลกรรมได

ทาํ ไมการกระทําจึงออกผลอยางนนั้ อยา งน้ไี ด นีเ่ ปน เรือ่ งทเี่ ราจะตองพิจารณา น้ถี ือวาเปน ความเขาใจ พนื้ ฐานขัน้ ตน ท่วี าจะตอ งพดู กนั ในเรื่องความหมายของกรรมใหชัดเจนเสยี กอ นวากรรมคอื อะไร ? หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๗ : หลักกรรมสําหรับคนสมยั ใหม ( ๔ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยุตโฺ ต ) พระพุทธเจาตรสั ไวว า ใครก็ตามทย่ี ึดถอื วา อะไรๆทุกอยา ง ลว นเปน ผลเกิดมาจากกรรมท้ัง ส้นิ นั้น เปน คนทถี่ ือผิดเชน ในเรื่องโรคภัยไขเ จบ็ พระองคก ็ตรัสไว มพี ทุ ธพจนแ หง หน่ึงวา โรคบางอยา งเกดิ จากการบรหิ ารกายไมส มาํ่ เสมอก็มี เกิดจากอตุ ุคอื สภาพแวดลอ มเปนสมฏุ ฐาน ก็มี เกิดจากเสมหะเปน สมุฏฐานกม็ เี กดิ จากดเี ปนสมฏุ ฐานก็มี เกิดจากสมฏุ ฐานตางๆประกอบ กนั ก็มี เกดิ จากกรรมกม็ แี ปลวา โรคบางอยางเกิดจากกรรม แตหลายอยางเกดิ จากอตุ ุเกิดจาก การแปรปรวนของรางกาย การบรหิ ารรา งกายไมส มา่ํ เสมอ เชน พกั ผอนนอยเกินไป ออกกําลังมากเกินไปเปนตน กรรมน้ี เปน เพียงเหตหุ นงึ่ เทานั้น จะโทษกรรมไปทกุ อยางไมไ ด ยกตัวอยา ง คนเปน แผลในกระเพาะ อาหาร โรคชนิดนบ้ี างทเี ปนเพราะฉันแอสไพรนิ หรอื ยาแกไ ขแ กปวดในเวลาทที่ องวาง พวก ยาแกไ ขแกป วดเหลา นี้มันเปน กรด บางทีมันกก็ ัดกระเพาะทะลุ อาจจะทําใหถึงกับมรณภาพ ไปเลย พวกยาแกไขแ กป วดนีม้ ีอนั ตรายมาก เขาจึงหามฉันเวลาท่ีทอ งวาง ตอ งใหม อี ะไรใน ทอ งจงึ ฉนั ได บางคนเลือดไหลในกระเพาะ ไมร ูวา เปน เพราะเหตใุ ด ทีแ่ ทเ ปน เพราะฉันยาแก ไขแ กป วดนี่เอง นกี้ ็เปน เหตอุ นั หน่งึ แตบางคนเปนแผลในกระเพาะอาหาร เพราะเปน โรควิตก กังวล คิดอะไรตา งๆ ไมส บายใจ กลมุ ใจมาก กลมุ ใจบอ ยๆ คับเครยี ดจิตใจอยเู สมอเปนประจํา จึงทําใหมีกรดเกิดขึ้นในกระเพาะอาหาร แลวกรดนนั้ มันก็กัดกระเพาะของตวั เองเปนแผล จน กระทัง่ เปนโรครา ยแรง ถึงกับตอ งผาตดั กระเพาะท้ิงไปครง่ึ หนงึ่ ก็มี จะเห็นวาผลอยา งเดียวกัน แตเ กิดจากเหตคุ นละอยาง ท่ฉี นั แอสไพริน หรอื ยาแกป วดแกไ ข แลวกระเพาะทะลุ เปน อุตนุ ยิ ามแตท ่ีคดิ วิตกกังวล กลมุ ใจอะไรตอ อะไรแลวเกิดแผลในกระเพาะ เปนกรรมนยิ าม จติ ใจไมดีมอี กุศลมากก็ทําใหโรคเกิดจากกรรมไดม ากมาย แตอยางไรก็ตาม เราตองเอาหลกั เรอื่ งนิยาม ๕ มาวนิ จิ ฉัย อยา ไปลงโทษกรรมทุกอยา ง แลว บางอยา งก็เกดิ จาก นยิ ามตา งๆ หลายนยิ ามมาประกอบกนั เปนอนั วา เราควรรูจ ักนยิ าม ๕ ไว เวลาสอนชาวบา นจะ ไดใ หพ จิ ารณาเหตุผลโดยรอบคอบ นีอ้ นั หน่งึ

หั ว ข อ เ รื่ อ ง ท่ี ๗ : หลกั กรรมสาํ หรับคนสมัยใหม ( ๘ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ โฺ ต ) แงต อไป คอื จะตอ งแยกหลักกรรมออกจากลัทธิผิดๆ ที่พระพทุ ธเจา ตรัสไวเรยี กวา ตติ ถายตนะ แปลวา ประชมุ แหงลัทธเิ ดยี รถยี  ซ่งึ มีอยู ๓ ลทั ธิ ลทั ธทิ ี่ ๑ ถือวา บุคคลจะไดสขุ กด็ ี จะไดทุกขกด็ ี มิใชส ุขมใิ ชทกุ ขก ด็ ี ลวนเปน เพราะกรรม ทีท่ ําไวแ ตป างกอ นทงั้ สิ้น ฟง ใหด นี ะ ระวงั นะ จะสับสนกบั พระพุทธศาสนา ลทั ธินเ้ี รยี กวา บพุ เพกตวาท ลัทธิท่ี ๒ บอกวา บุคคลจะไดส ุขกด็ ี จะไดท ุกขก ็ดี ไดไมส ุขไมทกุ ขก ็ดี ลว นเปนเพราะเทพผู ย่ิงใหญ บนั ดาลใหทั้งสนิ้ คอื พระผูเปน เจา บันดาลใหเปน ลทั ธินีเ้ รยี กวา อศิ วรนริ มิตวาท หรือ อสิ สรนมิ มานเหตวุ าท ลทั ธทิ ่ี ๓ ถอื วา บคุ คลจะไดส ุขกด็ ี ไดทกุ ขก ด็ ี ไดไมส ุขไดไมทกุ ขก็ดี ลว นแตเปน เรอ่ื งบังเอิญ เปนไปเองลอยๆ แลวแตโ ชคชะตา ไมม ีเหตปุ จ จยั ลัทธินเ้ี รยี กวา อเหตวุ าทหลักเหลาน้มี มี าใน พระคัมภรี ท งั้ น้นั ติตถายตนะทัง้ ๓ ทานกลาวไวทั้งในพระสูตรและในอภธิ รรม ในพระอภธิ รรมทานเนนไว แตใ นพระสูตรก็มมี าในองั คตุ ตรนกิ าย ตกิ นบิ าต แตเ รามักไมเอามาพูดกันสวนนยิ าม ๕ น้นั อยู ในคมั ภีรฝา ยอภธิ รรม ซง่ึ อธิบายถึงเรื่องกฎเกณฑของความเปนเหตุปจ จัยนยิ าม ๕ นัน้ สาํ หรับ เอาไวพิจารณาความเปนเหตปุ จจยั ใหร อบคอบ อยา ไปเอาอะไรเขา กรรมหมดสวนตติ ถายตนะ หรอื ประชมุ ลัทธิ ๓ พวก กผ็ ิดหลักพระพุทธศาสนา ๑. บุพเพกตวาท ถอื วา อะไรๆ ก็เปน เพราะกรรมทที่ ําไวป างกอน ๒. อศิ วรนริ มติ วาท ถอื วาจะเปน อะไรๆ กเ็ พราะเทพผยู ง่ิ ใหญบันดาล หรือพระผเู ปน เจาบันดาล ๓. อเหตวุ าท ถือวา สง่ิ ทั้งหลายอะไรจะเกิดขึ้น ไมมีเหตปุ จจยั แลวแตความบังเอิญ เปนไป ลทั ธิ โชคชะตา ๓ ลัทธินี้ พระพุทธเจาตรสั วา เปน ลทั ธิท่ผี ิด เหตผุ ลคือ

เพราะมันทําใหค นไมมฉี นั ทะ ไมม คี วาม เพียรที่จะทําอะไร เพราะสิง่ ทั้งหลายเปน ไปอยา ง ไมม ีหลกั เกณฑ หรือไมข ึน้ ตอตวั การภายนอกท่เี ราควบคมุ ไมได ไมข นึ้ กับการกระทาํ ของเรา โดยเฉพาะลัทธิท่ี ๑ นนั้ ถอื วา อะไรๆกแ็ ลวแตก รรมปางกอน มันจะเปนอยางไร ก็จะเปน ไป เรา จะทําอะไรก็ไมมีประโยชน กรรมปางกอ นมันกาํ หนดไวห มดแลว แลวเราจะไปทําอะไรได ก็ ตอ งปลอย แลวแตมนั จะเปนไป พระพุทธเจาตรัสวา ลัทธินีเ้ ปนลทั ธขิ องพวกนิครนถ หวั หนา ชื่อวานคิ รนถนาฏบตุ รใหไป ดู พระไตรปฎก เลม ๑๔ พระสูตรแรก เทวทหสตู ร ตรสั เรื่องนี้โดยเฉพาะกอนเลย ในอังคตุ ตรนกิ าย ติกนิบาต ตรัสเร่อื งนี้ไวรวมกนั ๓ ลัทธแิ ลว แตใ นเทวทหสตู ร พระไตรปฎ กเลม ๑๔ มัชฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก กต็ รัสเฉพาะเรื่องลทั ธทิ ่ี ๑ ไมตรสั ลทั ธอิ ่ืนเลย ลทั ธินคิ รนถน ้ีถอื วา อะไรๆกเ็ ปน เพราะกรรมท่ที าํ ไวในชาติกอน เพราะฉะนั้นเราจะตองทาํ ให ส้ินกรรม โดยไมทํากรรมใหม และเผากรรมเกาใหหมดสน้ิ ไป ดว ยการบาํ เพ็ญตบะลัทธิน้ีตอ ง แยกใหดจี ากพุทธศาสนา ตอ งระวังตัวเราเองดว ย วา จะผลุนผลนั ตกลงไปใน ๓ ลทั ธินโ้ี ดย เฉพาะลัทธิกรรมเกา ทีถ่ อื วา แลว แตกรรมเกา เทาน้นั คําวา กรรม นีเ้ ปนคํากลางๆ เปนอดตี กไ็ ด ปจจุบันกไ็ ด อนาคตก็ได พทุ ธศาสนาเนน ปจจุบนั มาก กรรมเกาไมใ ชไ มม ผี ล มีผลสาํ คญั แตมนั เปน เหตเุ ปน ปจจยั ใหเกิดผลในปจจบุ ัน ซึ่งเราจะตองทาํ กรรมทดี่ ี และแกไขปรบั ปรงุ ตวั เพือ่ ใหเกิดผลทด่ี ีตอ ไปภายหนา นี่พูดกนั ท่ัวๆไป โดยหลกั การกค็ อื ตอ งพยายามแยกใหถ กู ตอง มี ๓ ลทั ธินี้ ที่จะตองทําความเขาใจ เสียกอน เปนเบอ้ื งตน หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๑๒ : หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ( ๑๑ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) ความหมายของคําวา กุศล ก็ใหเขาใจตามลกั ษณะที่วา มานี้ สว นทเ่ี ปนอกศุ ลกต็ รงกนั ขา ม ดงั ไดย กตัวอยางไปแลว เชน เมื่อเมตตาเกดิ ขน้ึ ในใจเปนอยางไร โทสะเกิดขน้ึ เปนอยางไร ลักษณะกจ็ ะผิดกนั ใหเหน็ ชัดๆวา ผลมนั เกดิ ทันที อยางทเ่ี รยี กวา เปน สนั ทิฏฐโิ ก เหน็ เอง เหน็ ทันตาคาํ ที่เนื่องกนั อยู กับคําวา \"กุศล\" และ \"อกุศล\" กค็ ือคําวา \"บญุ \" และ \"บาป\" บุญกบั กุศล และ บาปกบั อกุศล ตางกันอยา งไร ?

ในทห่ี ลายแหงใชแ ทนกนั ได อยางในพทุ ธพจนที่ตรสั ถึงเรอ่ื ง ปธาน คือความเพียร ๔ กจ็ ะ ตรัสคาํ วา \"อกศุ ล\" กับคําวา \"บาป\" ไปดว ยกัน อยใู นประโยคเดยี วกัน คอื เปน ขอความทช่ี วย ขยายความซ่งึ กันและกัน เชน วา.... ภิกษยุ ังฉันทะใหเ กดิ ข้ึน ระดมความเพยี ร เพอ่ื ปด กนั้ บาปอกศุ ลธรรม ซงึ่ ยังไมเ กิด มิใหเ กดิ ขน้ึ นี้เรียกวา สังวรปธานแสดงใหเห็นวา บาปกบั อกศุ ลมาดวยกนั แตสาํ หรบั บุญกบั กุศล ทาน บอกวา มนั มคี วามกวางแคบกวากนั อยหู นอ ย คือกุศลน้ัน ใชไ ดท้ัง โลกยี ะ และ โลกตุ ตระ เปน คํากลางๆ และเปน คําที่ใชใ นทางหลกั วิชาการมากกวา บางทีก็ระบุวา โลกยิ กศุ ล โลกตุ ตรกุศล แตถ า พดู เปน กลางๆ จะเปนโลกยิ ะกไ็ ด เปน โลกตุ ตระกไ็ ด สว นคําวา บุญ น้ัน นิยมใชใ นระดบั โลกิยะ แตกไ็ มเ สมอไป มบี างแหงเหมือนกนั ที่ทานใชใ น ระดบั โลกุตตระ อยา งที่แยกเรยี กวา โอปธกิ ปญุ ญะ แปลวาบญุ ทเี่ น่อื งดวยอปุ ธแิ ละ อโนปธกิ ปุญญะ ไมเนอื่ งดว ยอปุ ธิ เปนตน หรือบางทใี ชต รงๆวา โลกตุ ตรปุญญะบญุ ในระดบั โลกตุ ตระ แตโ ดยทว่ั ไปแลว บญุ ใชในระดับโลกิยะ สวนกุศล เปน คาํ กลางๆใชไดทง้ั โลกยิ ะและโลกุตตระ นีเ่ ปน ความกวางแคบกวากนั นิดหนอย ระหวา งบุญกบั กศุ ลในแงรปู ศพั ท ซึง่ ก็อาจเอาไปชวย ประกอบเวลาอธบิ ายเรอื่ งกรรมได แตเ ปน เรือ่ งเกร็ดไมใ ชเปน ตวั หลกั แทๆ บุญ นัยหนงึ่ แปลวา เปน เคร่ืองชาํ ระสนั ดาน เปน เครอื่ งชาํ ระลางทาํ ใหจติ ใจสะอาด ในเวลาทเ่ี ปนเคร่ืองชาํ ระสัน ดาน เปน เคร่ืองชําระลา งทาํ ใหจิตใจสะอาด ในเวลาทสี่ ง่ิ ซงึ่ เปนบุญเกิดขึ้นในใจ เชนมเี มตตา เกิดขน้ึ กช็ าํ ระจติ ใจ ใหสะอาดบริสุทธิห์ รอื ศรทั ธาเกดิ ข้นึ จติ ใจกผ็ อ งใส ทําใหห ายเศราหมอง หายสกปรกความหมายตอไป พวกนกั วเิ คราะหศ ัพท แปลบญุ วา นาํ มาซ่ึงการบูชา หรือทาํ ให เปน ผูควรบูชา คอื ใครกต็ ามท่ีส่ังสมบญุ ไว สง่ั สมความดี เชนสั่งสมศรทั ธา เมตตา กรุณา มทุ ิตา ผูน ้ันก็มแี ตคณุ ธรรมมากมาย ซ่งึ ทําใหเปน ผูควรบูชา ฉะนัน้ ความหมายหนง่ึ ของบุญกค็ อื ทาํ ใหเ ปน คนนาบชู า และอกี ความหมายหนึง่ ก็คือ ทําให เกดิ ผลทน่ี า ชน่ื ชม เพราะวาเม่ือเกดิ บุญแลว กม็ วี บิ ากท่ีดงี ามนาชน่ื ชม จึงเรยี กวา มีผลอันนา ช่นื ชม ใกลก ับพทุ ธพจนท ว่ี า \"สุขสฺเสตํ อธิวจนํ ยยทิ ํ ปุฺญานิ\" ซึง่ แปลวา ภกิ ษุทง้ั หลาย คําวา บุญ น้ี เปนช่อื ของความสุขเม่ือบญุ เกดิ ขึน้ ในใจแลว จติ ใจกส็ บายมีความเอบิ อ่ิมผองใส บญุ กจ็ งึ เปน ชอื่ ของความสขุ นเ้ี ปน อยา งๆ ท่อี ธบิ ายเก่ยี วกับเรอื่ งบญุ สวนบาปนัน้ ตรงกันขาม

บาปนัน้ โดยตัวอกั ษร หรือโดยพยัญชนะแปลวา สภาวะทีท่ ําใหถึงทคุ ติ หรือทําใหไปในท่ีช่ัว หมายถงึ ส่งิ ทีท่ ําใหจ ติ ตกต่าํ พอบาปเกดิ ข้นึ ความคดิ ไมด ีเกดิ ข้ึน โทสะ โลภะ เกิดขึน้ จิตกต็ ก ตาํ่ ลงไป และนําไปสทู คุ ตดิ วย และทานยงั ใหความหมายโดยพยัญชนะอีกอยางหนึ่งวาเปนสิง่ ที่คนดี พากันรักษาตน ใหปราศจากไป หมายความวา คนดที ั้งหลายจะรกั ษาตนเองใหพนไป จากสง่ิ เหลา น้ี จงึ เรยี กส่ิงเหลาน้วี าเปนบาป เปนสงิ่ ท่คี นดีละทิ้ง พยายามหลีกหลบเลีย่ งหนี ไมอยากเกย่ี วของดว ย นเี่ ปน ความหมายประกอบ ซึ่งอาจจะเอาไปใชอ ธบิ ายเปนเกรด็ ได ไมใ ช ตัวหลักแทๆ เอามาพูดรวมไวดวยในแงตางๆ ท่ีเราจะตองทําความเขาใจเกยี่ วกบั เร่ือง \"กรรม\" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ท่ี ๑๓ : หลักกรรมสาํ หรับคนสมยั ใหม ( ๑๔ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) \"...แมแตส งั คมมนษุ ยทีจ่ ะเปน ไปอยา งไร กเ็ ริ่มมาจากมโนกรรม อยางทป่ี จจุบนั นี้ ชอบเรียกวา คา นยิ ม สังคมมีคานิยมอยางไร กจ็ ะชักนาํ ลกั ษณะการดําเนินชวี ิตของมนษุ ยใ นสังคมน้นั ใหเ ปน อยา ง นั้นยกตวั อยางเชน คนในสงั คมหน่งึ ถอื วา ถาเรารักษาระเบียบวินัยไดเ ครง ครัด กเ็ ปน คนเกง ความเกง กลา สามารถ อยทู ่ีทําไดตามระเบียบแบบแผนการนิยมความเกงในแงนี้ กเ็ รียกวา เปน คานยิ ม ทีจ่ ะรกั ษาระเบียบ คนพวกนี้กจ็ ะพยายามรกั ษาระเบยี บวนิ ัยให เครง ครัด จนอาจทาํ ให ประเทศน้ัน สงั คมน้ันมรี ะเบียบวนิ ัยดี สว นในอกี สงั คมหนงึ่ คนอาจจะมองอีกอยา งหนึ่ง มคี า นิยมอกี แบบหนง่ึ โดยมคี วามชืน่ ชมวา ใครไมต อ งทําตามระเบียบได ใครฝนระเบียบได ใครมีอภสิ ทิ ธ์ิ ไมตองทําตามกฎหมายได เปน คนเกง ในสงั คมแบบนี้ คนก็จะไมมรี ะเบียบวนิ ยั เพราะถือวา ใครไมตอ งทําตามระเบียบได คนน้นั เกง ขอใหลองคดิ ดูวา สังคมของเรา เปนสังคม แบบไหน มคี านยิ มอยา งไร นเี่ ปนตัวอยา งทีแ่ สดงใหเหน็ วา ความใฝ ความชอบ อะไรตา งๆ ท่อี ยูในใจ เปนตวั นําเปนเครื่องกาํ หนดวิถชี ีวิตของบคุ คล และเปน เครอื่ งชี้นําชะตากรรมของ สงั คม สงั คมใดมีคานิยมทดี่ ีงาม เอื้อตอการพฒั นา สังคมนน้ั ก็มีทางที่จะพัฒนาไปไดดี สังคม ใดมีคานยิ มตา่ํ ทราม ขดั ถว งการพัฒนา สงั คมนน้ั ก็มแี นวโนม ทจ่ี ะเสอ่ื มโทรม พฒั นาไดยาก จะประสบปญ หาและอปุ สรรคในการพฒั นาอยางมากมาย ถาจะพัฒนาสงั คมนีใ้ หกาวหนา ถาตองการใหสังคมเจริญ พัฒนาไปไดด ี กจ็ ะตองแกคานยิ ม ท่ีผิดพลาดใหได และตองสรา งคานิยมทถ่ี กู ตองใหเ กดิ ข้นึ ดวย เรือ่ งคา นิยมนเ้ี ปน ตัวอยางเดน

ชดั อยา งหนึ่งของ มโนกรรม มโนกรรม เปนสิ่งสาํ คัญมาก มีผลระยะยาวลกึ ซง้ึ และกวางไกล ครอบคลุมไปทัง้ หมด พระพทุ ธศาสนาถือวา คานยิ มนเ้ี ปน สง่ิ สําคญั มาก และมองท่ีจิตใจเปน จดุ เริม่ ตน เพราะฉะนัน้ ในการพิจารณาเรือ่ งกรรม จะตองใหเขาใจถึงหลักการของพระพทุ ธ ศาสนา ท่ถี อื วา มโนกรรมสาํ คัญท่ีสดุ และใหเ ห็นวา สาํ คญั อยา งไร นคี้ อื จุดทห่ี นงึ่ \" หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๑๔ : หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ( ๑๕ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตโฺ ต ) \"... สืบเน่ืองจากเร่อื งมโนกรรมนนั้ ก็ทาํ ใหตองมาศกึ ษาเรือ่ งจิต จิตใจของคนเรานี้ คิดนึก อะไรตอ อะไร สิง่ ท่พี ดู และทาํ กเ็ ปนไปตามจติ ใจ แตจ ิตใจเปนเรอื่ งละเอียดซบั ซอ น บางครั้งและในเรื่องบางอยา ง เราบอกไมถ ูกดว ยซํา้ วา ตวั เราเองเปนอยางไร บางทีเราทําอะไรไปสักอยา ง เราบอกไมถ กู วา ทาํ ไมเราจึงทําอยางนี้ เพราะ วา จติ ใจนั้น มคี วามสลับซบั ซอนมากตามหลักพทุ ธศาสนาน้นั มีการแบง จติ เปน ๒ ระดบั คอื จติ ระดับวถิ ี กับ จิตระดบั ภวงั ค จติ ระดบั ภวงั ค เปนจิตท่เี ปน องคแ หง ภพ เปนระดับท่เี ราไมรตู วั เรียกวา จติ ไรสาํ นึกภพจะ เปนอยางไร ชีวติ แทๆ ทก่ี รรมออกผลจะเปน อยา งไรนนั้ อยูท ีภ่ วังค แมแตจุติ-ปฏิสนธกิ เ็ ปน ภวังคจิตฉะน้ัน เราจะมาพจิ ารณา เฉพาะจติ ในระดบั ท่เี รารูสํานึกกันนี้ไมไ ด การพิจารณาเรื่องกรรมน้ี จะตอ งลึกลงไปถงึ ข้ันจิต ต่าํ กวา สาํ นกึ ลงไป อยา งท่ีเราใชศัพทวา ภวงั ค ในจิตวทิ ยาสมัยน้ี กม็ ีหลายสาขา หลายสํานัก ซง่ึ มกี ลมุ สําคัญ ที่เขาศึกษาเรื่องจิตแบบ นเ้ี หมือนกนั เขาแบง จิตเปน จิตสํานึก กับ จิตไรส าํ นึก จิตสํานกึ กค็ อื จิตทีร่ ูตัว ท่ีพูดสิ่งตา งๆ ทาํ ส่งิ ตา งๆ อยางทีร่ ๆู กนั อยู เรยี กวา \"จติ สํานึก\" แตม จี ิตอกี สวนหน่ึง เปนจติ ไรส าํ นึก ไมร ตู วั จติ ทีไ่ รส ํานกึ นี้ เปน จติ สวนใหญข องเราเขาเทยี บ เหมอื นภูเขานํ้าแขง็ ท่ีอยใู นนาํ้ นํา้ แขง็ สว นทอ่ี ยใู ตน าํ้ มีมากกวา และมากกวาเยอะแยะดว ย สวนท่ี โผลม ามีนดิ เดยี ว คอื จิตสํานึกทเี่ รารูตัวกันอยูพดู จากนั อยูน้ี แตสวนท่ีไมรูสํานกึ หรอื ไรสาํ นึกนั้น เหมอื นกอ นนาํ้ แขง็ ท่ีอยูใตพ้ืนนาํ้ ซึง่ มีมากกวา เยอะแยะ เปน จติ สว นใหญของเราการศึกษาเรือ่ ง จิตนัน้ จะตองศึกษาไปถึงขั้นจิตไรส าํ นกึ ที่เปนจิตสว นใหญมิฉะนั้นแลวจะรนู ดิ เดียวเทา น้นั เอง

การพจิ ารณาเรอื่ งกรรมกจ็ ะตอ งเขาไปใหถ ึงจดุ นี้ ในเรอื่ งไรส าํ นกึ นี้ มแี งท เี่ ราควรรูอะไรบาง ? แงค วรรทู ่หี นึง่ คอื ที่บอกวา สงิ่ ทเ่ี ราไดร ับรเู ขามาทาง ตา หู จมกู ล้ิน กาย เหลา น้ี จติ จะบันทึก เก็บไวหมด ไมมลี มื เลย นี้เปน แงที่หนงึ่ ตามทเี่ ขาใจกันธรรมดาน้ีเราลืมสง่ิ ทั้งหลายทีไ่ ดป ระสบ น้ัน เราลมื เยอะแยะ ลืมแทบทัง้ หมด จาํ ไดน ิดเดียวเทา น้ันเอง น่เี ปน เรอื่ งของจติ สํานกึ แตต าม ความเปน จริง ความจําเหลา น้นั ยงั คงอยูในจติ ไรสาํ นกึ สิ่งท่ปี ระสบทราบคิดนกึ ทกุ อยาง ตัง้ แตเ กดิ มา มนั จําไวหมด แลว ถา รูจกั ทาํ ดๆี กด็ ึงเอามันออกมาไดดวยนักจติ วิทยาบางสมัยสนใจ เรอ่ื งการสะกดจติ มาก เพราะเหตุผลหลายอยา งเหตุผลอยา งหนงึ่ ก็คอื เมื่อสะกดจติ แลว ก็ สามารถทจี่ ะทาํ ใหคนนั้นระลกึ เอาเร่ืองราวเกาๆ สมยั เดก็ เชน เมอ่ื ๑ ขวบ ๒ ขวบ เอาออกมาได ซึ่งแสดงวา ประสบการณเหลา น้นั ไมไดหายไปไหน ยงั อยูห มด นีเ้ ปนแงท่หี นึง่ \" เมือ่ เราพอเขา ใจเก่ียวกับความหมายของคําวา \"จติ ไรสํานึก\" แลว หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ท่ี ๑๕ : หลกั กรรมสาํ หรับคนสมยั ใหม ( ๒๑ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตโฺ ต ) ทานกาํ ลงั จะพูดถึงเงอื่ นไขสําคัญ ซ่งึ ทาํ ใหการทําดี ไดผลดสี มดังปรารถนาเงื่อนไขท่วี า น้ัน ทา นเรียกวา สมบัติ ๔ เกี่ยวกบั เรือ่ งน้ี ทานเจาคณุ พระธรรมปฎ ก ( ป.อ. ปยตุ โฺ ต ) ทา นไดใ ห คาํ อธิบายไววา \"พระพุทธเจา ทรงใหหลักอกี หลักหนง่ึ ดงั ทปี่ รากฏในอภิธรรม บอกไววาการท่ีกรรมจะให ผลตอไป จะตองพจิ ารณาเรือ่ งสมบัติ ๔ และวบิ ัติ ๔ ประกอบดวยคอื ตอนไดมะมวง แลว จะ รวยหรือไม ตอ งเอาหลักสมบตั ิ ๔ วิบตั ิ ๔ มาพจิ ารณาสมบตั ิ คือองคประกอบท่อี ํานวยชวย เสรมิ กรรมดี สมบตั ิน้มี ี ๔ อยา ง เรยี กวา คติ อุปธิ กาล ปโยค ๑. คติ คือถน่ิ ที่ ทางไปตางๆ เกี่ยวกับสถานที่ เทศะ ๒. อปุ ธิ คือรา งกาย ๓. กาล คอื กาลเวลา ยุคสมยั ๔. ปโยค คือการประกอบ หรอื การลงมือทํา น้ีเปน ความหมายตามศพั ท ฝายตรงขา ม คือวิบัติ กม็ ี ๔ เหมอื นกนั คือถาคติ อุปธิกาลปโยค ดี ชว ยสงเสรมิ ก็เรียกวา เปนสมบัติ ถาหากไมดี มาทําลาย ก็เรยี กวาเปน วิบตั ลิ องมาดูวา หลัก

๔ น้ี มผี ลอยา งไร ? สมมติวา คุณ ก. กับ คณุ ข. มวี ชิ าดเี ทา กัน ขยนั นิสยั ดีท้ังคู แตเขาตองการรับคนงานที่เปน คนตอนรบั ปจ จบุ นั เรยี ก Receptionist ทาํ หนา ที่รับแขก ปฏสิ นั ถาร คุณ ก. ขยนั มนี ิสัยดี ทําหนาทรี่ ับผิดชอบดี แตห นาตาไมส วย คุณ ข. หนา ตาสวยกวา เขาก็ตอ งเลอื กเอาคุณ ข. แลว คณุ ก. จะบอกวา ฉนั ขยัน อุตสา หทําดี ไมเ ห็นไดด เี ลย เขาไมเ ลอื กไปทาํ งาน... แสดงวา \"ตัวเองมอี ุปธวิ ิบัติ เสียหายดา นรางกาย\" หรืออยา งคน ๒ คน ตา งก็มคี วามขยนั หมั่นเพียร มคี วามดี แตว าคนหนึ่งรา งกายไมแข็งแรง มีโรคออดๆแอดๆ เวลาเลือก คนขีโ้ รคกไ็ มไดรบั เลือก นีเ้ รยี กวา อปุ ธวิ บิ ัติในเร่ืองคติ คือที่ไป เกิด ถนิ่ ฐาน ทางดําเนนิ ชีวิต ถาจะอธิบายแบบชวงยาว ขา มภพขา มชาติ กเ็ ชนวา คนหนงึ่ ทาํ กรรมมาดมี ากๆ เปนคนทส่ี ง่ั สมบารมีมาตลอดแตพ ลาดนดิ เดียว ไปทํากรรมชั่วนดิ หนอ ย แลว เวลาจะตาย จิตไปประหวัดถึงกรรมชว่ั นั้น กลายเปน อาสนั นกรรม ทําใหไปเกดิ ในนรก สมมติ อยา งน้ี พอดชี วงนั้น พระพทุ ธเจามาตรสั ทั้งท่ีแกส่ังสมบญุ มาเยอะ ถาไดฟ ง พระพทุ ธเจาตรสั แกมีโอกาสมาก ที่จะบรรลธุ รรมขนั้ สูงได แตแกไปเกดิ อยูในภพทไี่ มมโี อกาสเลย กเ็ ลยพลาด น่ีเรยี กวา คติวิบัติทีน้ี พดู ชว งสนั้ ในชวี ิตประจาํ วัน สมมตวิ าทา นเปน คนมีสตปิ ญ ญาดี แตไปเกิดในดงคนปา แทนท่จี ะเปนนักวิทยาศาสตรท ี่ เกง กลา สามารถ อยางไอนส ไตน ก็ไมไดเปน อาจจะมปี ญญาดีกวา ไอนสไตนอีก แตเ พราะไป เกิดในดงคนปา จงึ ไมม ีโอกาสพฒั นาปญ ญาน้นั นี่เรยี กวา คตเิ สีย ก็ไมไ ดผลน้ขี นึ้ มา นีค่ ือเร่อื ง คติบัติ หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๑๖ : หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ( ๒๒ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) \"ขอตอไป กาลวิบตั ิ เชนทานอาจจะเปน คนเกงในวชิ าการบางอยา ง ศลิ ปะบางอยาง แตทา น มาเจริญเตบิ โตอยใู นสมยั ทเ่ี ขาเกิดสงครามกนั วุนวาย และในระยะทเ่ี กิดสงครามน้ี เขาไมตอ ง การใชว ชิ า-การหรือศิลปะดานนนั้ เขาตอ งการคนทีร่ บเกง มกี ําลังกาย กลา หาญเกง กลาสามารถ แข็งแรง และคนมวี ชิ าท่ีตอ งใชในการทาํ สงครามทานก็ไมไดรบั การยกยองเชดิ ชู วชิ าการและ ศิลปะพวกน้ี เขากไ็ มเอามาพูดถึงกัน เขาก็พูดถึงแตค นทร่ี บเกง สามารถทําลายศตั รไู ดม ากเปน

ตน นีเ่ รยี กวา กาลวบิ ัติ สําหรบั ทา น หรอื นายคนน้ี ขอสดุ ทา ยคอื ปโยควิบตั ิ มีตัวอยา งเชน ทา นเปน คนว่งิ เรว็ ถา เอาการวงิ่ มาใชในการแขงขัน กีฬา ทานกอ็ าจมีช่อื เสยี ง เปน ผูชนะเลิศในทีมชาติหรือระดับโลก...แตท านไมเ อาความเกง ใน การวง่ิ มาใชใ นทางดี ทานเอาไปวิ่งราว ลกั ของเขาก็ไดรบั ผลราย เลยเสยี คนไปเลย นเ้ี ปน ปโยควิบัติ วาท่ีจรงิ ถา ไมมุงถงึ ผลภายนอก หรือผลขางเคยี งสืบเนอื่ ง การเปน คนดี มีความ สามารถ การเปน คนปา ทมี่ สี ตปิ ญญาดี การมศี ลิ ปะวชิ าการท่ีชาํ นาญอยางใดอยา งหนงึ่ ตลอด จนการวิง่ ไดเ ร็ว มันกม็ ผี ลดีโดยตรงของมนั อยแู ลว และผลดอี ยา งน้ัน มีอยใู นตวั ในทนั ที ตลอดเวลา แตทานบอกวา ในการที่จะไดร บั ผลตอ เนอ่ื งอีกข้นั หนง่ึ นั้น เราจะตอ งเอาหลักวบิ ตั สิ มบตั ิ เขา ไปเกย่ี วของ เหมอื นปลกู มะมวง ผลทีแ่ นน อน คอื ทา นปลูกมะมวง ทา นไดมะมว ง น้ีตรงกัน เปนระดับผลกรรมขัน้ ตน สวนในขัน้ ตอมา ถาตองการใหป ลูกมะมวง แลวรวยดว ย ทานจะ ตอ งรจู ักทาํ ใหถ กู ตอ งตามหลกั สมบัติวบิ ตั ิ เหลานีด้ วยตอ งรูจ กั กาละ เปน ตน วา กาลสมัยนี้ คนตองการมะมว งมากไหม? ตลาดตอ งการมะมวงไหม? มะมว งพันธุอะไรทคี่ นกําลงั ตอ งการ ? สภาพตลาดมะมว งเปน อยา งไร ? มมี ะมว งลน ตลาดเกนิ ความตอ งการไหม ? จะประหยัดตนทุนในการปลกู และสง ถึงตลาดไดอยา งไร ? เราควรจะจดั ดําเนินการในเรื่อง เหลานใ้ี หถ ูกตอ งดวย ไมใชคดิ แตเ พยี งวา ฉันขยนั หม่นั เพียร แลวก็ทาํ ไป ตองพิจารณาเรอ่ื งสมบัติ วิบัติ ๔ นี้เขามาประกอบ สถานที่แหลง น้ีเปนอยางไร ? กาลสมยั น้ีเปน อยางไร ? การประกอบการของเรา เชน การจดั การขายสงตา งๆนี้ เราทาํ ไดถูกตองดไี หม ? ฉะน้ัน ถา เราปลกู มะมวง ไดม ะมว งดแี ลว แตเ ราปลกู ไมถกู กาลสมัย เราไมร จู ักประกอบการใหถกู ตอ ง อยา งนอ ยก็มกี าลวบิ ตั ิ ปโยควบิ ตั ิ ข้ึนมา เราก็ขาย ไมออกก็ขาดทุน ถึงขยนั ปลกู มะมว งกไ็ มรวย หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๑๗ : หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ( ๒๓ )

โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) \"เปนอนั วา ถา ชาวพทุ ธเราจะฉลาดรอบคอบในการทํากรรม ก็จะตอ งทําใหถกู ทั้ง ๒ ชนั้ ช้นั ท่ี ๑ ตัวกรรมน้ัน ตอ งเปนกรรมดี ไมใ ชก รรมช่วั แลวผลดชี ั้นที่ ๑ ก็เกิดข้นึ คือจิตใจของ เราก็ดี ไดร บั ผลดีท่ีเปนความสุข มีความสขุ เปน วิบากเบื้องตน ผลดีทีอ่ อกมา ทางวถิ ชี วี ติ ทวั่ ๆ ไป เชนความนยิ มนบั ถอื ตา งๆ ก็มดี ี มเี ขามาในตวั อยแู ลว แตใ นชนั้ ท่ี ๒ เราจะใหการงานกิจการ ของเราไดผลดีมาก ดีนอย เรากต็ องพิจารณาเร่อื งคติ อปุ ธิ กาล ปโยค เขามาประกอบดว ย ตองพจิ ารณา ๒ ชั้น ไมใ ชคิดจะทาํ ดีก็ทาํ ดดี ุมๆ ไปเฉยๆอยางไรก็ตาม คนบางคนอาจจะเอา เรือ่ ง คติ อุปธิ กาล ปโยค เขา มาใช โดยวิธฉี วยโอกาส เชนกาลสมบตั ิ ฉวยโอกาสวา กาลสมัยน้ี คนกาํ ลังตองการส่งิ น้ี ฉันก็ทาํ สิ่งทีเ่ ขาตอ งการ โดยจะดหี รอื ไมกช็ า งมนั ใหไ ดผ ลท่ตี องการก็ แลว กัน นีเ้ รยี กวา มุง แตผลชัน้ ที่ ๒ แตผ ลช้ันท่ี ๑ ไมค ํานึง ก็เปนสิ่งที่เสียหายในทางธรรม ฉะนน้ั ในฐานะท่ีเปน ชาวพุทธ ก็จะตอ งมองผลชั้นท่ี ๑ กอ น คือจะทําอะไรกห็ ลกี เลีย่ งกรรม ชั่วและทาํ กรรมดีไวกอน เม่ือไดพน้ื ฐานดนี ้ีแลว ก็คาํ นงึ ถึงช้ันที่ ๒ เปน ผลภาย นอก ซึ่งขนึ้ ตอ คติ อปุ ธิ กาล ปโยค ดวย ก็จะทาํ ใหงานของตนนนั้ ไดผลดโี ดยสมบูรณ เปน อันวา การสอน เรื่องกรรมตอนนี้ มี ๒ ชน้ั คือตวั กรรมท่ีดที ่ีช่ัวเอง และองคป ระกอบเร่ือง คติ อุปธิ กาล ปโยค ถา เราตองการผลภายนอกเขา มารวม เราจะตองใหชาวพุทธรจู กั พจิ ารณา และมคี วามฉลาดใน เรือ่ ง คติ อปุ ธิ กาล ปโยค ดวย สมมตวิ า คน ๒ คนทํางานอยา งเดียวกนั โดยมคี ณุ สมบัติเหมอื น กนั ดีเหมือนกันทั้งคู ถารางกายคนหนงึ่ ดี อกี คนหนึง่ ไมด ี คนท่รี างกายไมดียอมเสยี เปรียบ กต็ อ งยอมรับวา ตัวเองมี อุปธิวิบัติ เมอื่ รูอ ยางน้ีแลว ก็ตอ งแกไ ขปรบั ปรงุ ตวั ถา แกท ีร่ างกายไมได กต็ อ งเพ่ิมพูนคณุ สมบตั ทิ ี่ดี ให ดยี ่ิงขึน้ เมอ่ื ดยี ิง่ ขนึ้ คนที่รา งกายไมด ี แตม คี ุณสมบตั ิอืน่ เชนในการทํางาน มีความชํานชิ าํ นาญ กวาจนกระทง่ั มาชดเชยคุณสมบตั ิในดา นรา งกายดีของอีกคนหน่ึงไปได แมตวั เองจะรา งกาย ไมด ี เขาก็ตอ งเอา เพราะเปนคนมคี วามสามารถพิเศษ นก้ี ็เปนหลักทมี่ าชวย น้คี ือเรอ่ื งการใหผ ลของกรรมในแงตา งๆ นํามาแสดงใหเ ปน แงคดิ เพ่ือใหเห็นวา เรื่องกรรม นี้ตองคดิ หลายๆแง หลายๆดาน แลวเราอาจจะเห็นทางออกในการอธิบายไดดยี ิง่ ข้ึน มคี วาม รอบตอ งการเชอ่ื มโยงใหเ ห็นความเปน เหตุเปนปจจัย เพอ่ื เราจะไมใชพูดแตเพียงวามเี หตอุ ันน้ี เกดิ ขน้ึ ในท่ีแหง หนง่ึ ในเวลาหนึง่ นานมาแลว สกั ๒๐ - ๓๐ ป ตอมาเกดิ ผลดอี นั หนึง่ แลวเรา

ก็จับมาบรรจบกนั โดยเช่อื มโยงเหตปุ จ จยั ไมไ ด ซึ่งแมจ ะเปน จรงิ แตก ม็ ีนาํ้ หนกั นอย ไมค อ ยมี เหตุผลใหเห็น คนกอ็ าจจะไมค อ ยเชื่อเราจงึ ควรพยายามศกึ ษา สบื สาวเหตุปจ จัยใหล ะเอยี ดย่งิ ขน้ึ ถึงแมวามันจะยังไมชัดละเอยี ดออกมา ไมป รากฏออกมาเตม็ ที่ แตมันก็พอใหเ หน็ ทางเปนไป ไดคนสมยั นี้กต็ องยอมรับในเรอื่ งความเปน ไปได เพราะมนั เขา ในแนวทางของเหตุปจจัยแลว \" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑๘ : หลักกรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ( ตอนจบ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยุตโฺ ต ) \"มีปญ หาทีท่ า นถามมาหลายขอดว ยกนั ปญ หาหนึง่ เกีย่ วกบั เรื่องบุพเพกตวาทเปนเร่อื งท่ี ถามในหลกั นี้ นา จะตอบ ถามวา ทารกทคี่ ลอดมา บางครง้ั มโี รคที่หาสาเหตุไมไ ด หรือถอื กําเนดิ ในครอบครัวทล่ี ําบาก ขาดแคลน ถา ไมอธบิ ายในแนวบพุ เพกตวาทแลว เราควรอธิบาย อยางไรใหเขาใจงาย ในการตอบปญหาน้ี ตอ งพูดใหเ ขาใจกนั กอ นวา การปฏิเสธบพุ เพกตวาทไมไ ดหมายความวา เราถือวากรรมเกาไมมผี ล แตลทั ธบิ พุ เพกตวาท ถอื วาเปน อะไรๆกเ็ พราะกรรมเกาทง้ั สิน้ เอาตวั กรรมเกาเปนเกณฑตัดสินโดยส้ินเชิง ฉะนัน้ ทาํ อะไรก็ไมมีความหมาย เพราะแลว แตกรรมเกา ตอ ไปจะเปนอยางไร กรรมเกา ก็ใหเปนไป ทาํ ไปกไ็ มมีประโยชน น้คี อื ลัทธกิ รรมเกา แตใ นทาง พระพทุ ธศาสนา กรรมเกานนั้ ทา นก็ถือวา เปนกรรมอยา งหนึง่ ทีเ่ กดิ ขึ้นแลว มีผลมาถึงปจ จุบนั ทีนม้ี าถงึ เรื่อง ท่เี ด็กคลอดออกมา มโี รคที่หาสาเหตไุ มไ ด เกดิ ในครอบครวั ที่ลําบากขาดแคลน นีเ้ ราสามารถอธบิ ายดวยเรอ่ื งกรรมเกา ตามหลกั กรรมนยิ มไดด วย และอธบิ ายตามหลักนยิ าม อื่นๆ ดว ย เชน ในดา นพชี นยิ ามวา พอแมเ ปนอยางไรในสว นกรรมพนั ธุ เพราะกรรมพันธเุ ปน ตวั กาํ หนดไดดว ย ถา พอ แมม ีความบกพรองในเร่ืองบางอยาง เชน เปน โรคเบาหวาน ลูกกม็ ีทาง เปน ไปไดเ หมอื นกัน นพ้ี ชี นยิ ามสว นกรรมนิยาม ถา จะอธบิ ายออกมาในรูปที่วา ความเหมาะสม ของคนท่จี ะมาเกิด กับคนทจ่ี ะเปนพอแม มนั เหมาะกัน ในแงก รรมก็สงเคราะหตรงนี้ ทําใหมา เกดิ เปน ลูกของคนนี้ และมคี วามบกพรอ งตรงน้ี โดยมพี ชี นิยามเขามาประกอบชว ยกําหนด สาํ หรับกรณีทมี่ าเกิดในครอบครัวท่ีลาํ บากขาดแคลน ถาเราจะยกใหเ ปน เร่ืองกรรมเกา กต็ ัด ตอนไป ในเมือ่ เขาเกิดมาแลวในครอบครวั อยา งน้ี เรากต็ ามไมเห็น แตก ็ตอ งตดั ตอน ไปวาทาํ กรรมเกาไมดี จึงมาเกิดในครอบครวั ขาดแคลนแตเมือ่ เกดิ แลวตามกรรม ทถี่ ูกตองก็ตองคดิ ไป อีกวา เพราะเหตทุ เี่ กิดในครอบครัวขาดแคลน แสดงวา เรามที นุ เกาที่ ดมี านอ ย กย็ ง่ิ จะตอ ง พยายามทาํ กรรมดีใหมากขนึ้ เพอื่ จะใหผ ลตอไปขา งหนาดี ไมใ ชค ิดวา ทาํ กรรมมาไมดกี ็ตอง

ปลอยแลว แตกรรมเกา จะใหเ ปน ไป ถาคิดอยางนี้กไ็ มถ ูก แตใ นทางที่ถกู จะตองคํานึงใหครบท้ังกรรมเกาและกรรมใหม ในเมื่อกรรมเดิมมมี าไมด ี กย็ ิง่ ทําใหจ ะตอ งมกี ําลงั มีความเพยี รพยายามแกไขปรับปรุงเชน ถา หากคนที่เขาเกดิ มาร่ํารวยแลว เขามคี วามเพยี รพยายามเพยี งเทาน้ี เขาก็สามารถประสบความสาํ เรจ็ กาวหนาได เราเกิดมาใน ตระกลู ที่ขาดแคลนเราก็ตองย่งิ มีความเพยี รพยายามใหมากกวาเขาอีกมากมาย เราจึงจะมชี ีวติ ท่ีเจริญกาวหนาได ตองต้ังจิตอยา งนี้จงึ จะถกู ตอ งในสว นท่เี ปน กรรมเกา น้พี ระพุทธเจาตรสั ไว อยา งนีว้ า \"ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ นี้ ชือ่ วา กรรมเกา\" กรรมเกา กค็ ือ สภาพชีวิตที่เรามอี ยใู นปจ จบุ นั ขณะนี้ สภาพชวี ิตของเรากค็ อื ตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ ทเ่ี ปน อยู มีอยูนี้ คอื กรรมเกา คือผลจากกรรมเทา ท่เี ปน มากอนหนาเวลานที้ ั้งหมด ไมว าจะ ไดทาํ อะไรมา สง่ั สมอะไรมา กร็ วมอยทู ี่น้ีกรรรมเกามีเทา ไร ก็เรียกวามีทุนเทา นน้ั จะทํางาน อะไรกต็ าม จะตอ งมองดูทนุ ในตวั กอ น เมอ่ื รวมทุน รูกําลงั ของตวั ถูกตองแลว กเ็ ริ่ม งานตอ ไป ได ถา เรารูวา ทุนของเรานอย แพเขา เรากต็ อ งพิจารณาหาวธิ ที ี่จะลงทุนใหไดผ ลดีบางคนทุน นอย แตม วี ิธีการทาํ งานดี รูจักลงทุนอยา งไดผล กลับไดประสบความสาํ เร็จดีกวาคน ทมี่ ีทุน มากกม็ ี ฉะน้นั แมวากรรมเกา อาจจะไมด ี คือรางกาย ตลอดจนสภาพชีวิตทั้งหมดของเราไมดี แตเรา ฉลาดและเขมแขง็ ไมท อถอย เรากพ็ ยายามปรบั ปรงุ ตัว หาวธิ ีการท่ีดีมาใช ถงึ แมท นุ ไมค อยดี มีนอย กท็ าํ ใหเกดิ ผลดีได กลับบรรลผุ ลสําเรจ็ กาวหนา ยง่ิ กวา คนที่ทนุ ดดี วยซาํ้ ไป สวนคนที่ทุน ดนี ัน้ หากรจู ักใชท นุ ดีของตัว ก็ย่ิงประสบความสาํ เร็จมากข้ึน บางคนทุนดี แตไ มร ูจ ักใช มัวเมา ประมาทเสยี ก็หมดทนุ กลบั ยิ่งแยลงไปอกี ดงั น้ัน การปฏบิ ัติท่ีถูกตอ ง จึงไมใชมัวทอ แท ทอถอย อยกู ับทนุ เกา หรือกรรมเกา กรรมเกานี้ ถือเปนทนุ เดิม ซงึ่ จะตองกําหนดรู แลว พยายามแกไข ปรบั ปรงุ สง เสริมเพ่ิมพูนใหด ี ใหก าวหนา ยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป\" หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๑๙ : ทาํ อยางไรจะใหเชือ่ เรอ่ื งกรรม โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ โฺ ต )

เพราะเปน ที่เขาใจในหมูพุทธศาสนิกชนอยูท ่วั ไปแลว วา เปนหลักใหญของพระพุทธศาสนา ความจริง หลักธรรมใหญม อี ยหู ลายหลกั เชน เรอื่ ง อรยิ สจั เร่ืองปฏิจจสมปุ บาท เร่อื งไตรลักษณ เปน ตน ซึ่งธรรมะ แตล ะขอๆเหลา นั้น ลวนแตเปน หลักใหญ หลกั สาํ คญั ทั้งสิ้น แตส าํ หรบั หลกั กรรม น้ี ประชาชนทว่ั ไปมคี วามรูสกึ วา เกยี่ วของกบั ชีวิตของตนเอง ใกลช ดิ มาก เพราะฉะนั้น ความ คุน เคยกับคาํ วากรรมนี้ กอ็ าจจะมมี ากกวา หลักธรรมอน่ื ๆ อยา งไร ก็ดี เปนอนั รวมความในที่น้วี า กรรมเปน หลกั ธรรมสาํ คญั และเปนเรอื่ งที่พทุ ธศาสนิกชน สนใจมาก และเปนเรอ่ื งทม่ี ีความของ ใจ กนั อยมู ากดว ย ท่ีของใจนนั้ กเ็ กิดจาก ความที่ ยังคลางแคลง สงสยั ในแงมมุ ตา งๆ ไมเขา ใจ ชดั เจน เหตทุ ี่ หลกั กรรม เปนปญหาแก เรามากนั้น ไมใชว า เพราะเปนหลักธรรมใหญ หรอื สาํ คญั อยา งเดยี ว แตเ ปน เพราะวา ไดมีความเขา ใจคลาด เคลือ่ น และสบั สนเกิดข้นึ เกยี่ วกับ หลกั กรรมอยมู าก เพราะฉะน้ัน ใน การทําความเขา ใจเรอ่ื งกรรมนอกจากจะทําความเขาใจใน ตวั หลกั เองแลว ยงั มีปญ หาเพิม่ ขึน้ คือจะตอง แกความเขา ใจคลาดเคล่ือนสบั สนในเรือ่ งกรรม นนั้ ดว ย เพราะฉะนนั้ อาตมภาพจงึ รสู กึ วา ในการพูดทาํ ความเขาใจเรอ่ื งกรรมนนั้ ถาเราจะมาแก ความ เขาใจ คลาดเคลือ่ นสับสนออกไปเสยี กอ น อาจจะทําใหความเขาใจงายข้ึน คลายกบั วา หลักกรรม นไี้ มมี เฉพาะตวั หลักเองเทานั้น แตมขี องอะไรอน่ื มาปด บงั มาเคลือบคลุมอีกชัน้ หนงึ่ ดว ย ถาหากวา เราจะทาํ ความเขา ใจเน้ือใน เราจะตอ งเปล้อื งสง่ิ ที่ปดบงั นอี้ อกไปเสียกอ น\" หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๒๐ : ทาํ อยางไรจะใหเช่อื เรอ่ื งกรรม ( ๒ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) พระเดชพระคณุ พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) กําลงั จะพูดถงึ ความคลาดเคล่อื นสับสนใน เร่อื งกรรม เรอ่ื งแรก คอื ความสับสนคลาดเคลอื่ นในความหมาย \"หลกั กรรมน้ี มีอะไรทีเ่ ปน ความสบั สน คลาดเคล่อื น เขามาปดบังคลมุ อยู ขอใหท านท้ังหลาย ลองมาชวยกันพิจารณาดู อาตมภาพวา มหี ลายอยางทีเดียวในความเขาใจของคนไทยทว่ั ๆไป หรือแมแตจาํ กัดเฉพาะในหมูพุทธ ศาสนกิ ชนพอพูดถงึ คําวากรรม ก็จะเกดิ ความเขาใจในความคดิ ของแตล ะทาน ไมเหมือนกนั แลว กรรมในแงข องคนท่ัวๆไป อาจจะมีความหมายอยา งหนงึ่ และกรรมในความหมายของ นักศึกษาชน้ั สูง ก็อาจจะเปนไปอกี อยางหน่ึง ไมตรงกนั แทท ีเดียว ตวั อยา งเชน ในสํานวนภาษา ไทย เราพดู กันบอ ยๆวา \"ชาตนิ ี้มกี รรม\"หรือวา \"เราทํามาไมดี ก็กม หนา รบั กรรมไปเถิด\"

หรือวา \"อะไรๆ ก็สุดแตบ ุญกรรมก็แลว กนั \" อยางน้เี ปนตน สาํ นวนภาษาเหลา นี้ แสดงถึงความเขา ใจ คําวา \"กรรม\" ในความคดิ ของคนทัว่ ไป และขอให ทานทง้ั หลายมาชวยกันพจิ ารณาดูวา ในคาํ พูดซึ่งสอถึงความเขา ใจ มนั มอี ะไรถูกตอ ง หรอื คลาดเคลือ่ นไปบา ง จากคําท่ีอาตมภาพไดย กมาอา งนั้น ก็พอมองเหน็ ความเขา ใจของคนทั่วไป เก่ยี วกับกรรมวา ประการแรก คนโดยมากมองกรรมไปในแงต วั ผล คอื เปนผลของการกระทาํ เพราะฉะนนั้ เรา จึง พดู วา กมหนารบั กรรม คาํ วา กรรม ในท่นี ้เี ปน ผล หรอื วา เราไปเหน็ คนไดรับภัยพิบตั หิ รอื เหตุรา ย ประสบทกุ ขย ากตา งๆ เราบอกวาน่นั กรรมของสตั ว เทา กับบอกวา กรรมก็คือความทกุ ข ยากอะไรตอ อะไรทเ่ี ปน ผลซง่ึ เขาไดรับอยนู ัน้ ประการตอ ไป เราพูดถึงกรรมโดยมงุ เอาแงช ่วั แง ไมด ี เรอื่ งรายๆ อยา งทวี่ า กม หนารบั กรรม หรอื วา กรรมของสตั ว กห็ มายถงึ แงไมด ที ั้งน้ัน คอื เปนเรอ่ื งรา ยๆ เปน เร่ืองทุกข เรอื่ งโศก เรอ่ื งภัยอนั ตราย ความวิบัติเหตรุ า ยนานา นอกจากนนั้ ก็มงุ ไปในอดตี โดยเฉพาะมุงเอาชาติกอนเปนสําคญั คาํ ทว่ี ามา โดยมากก็มีความหมายสอ งท่ีเดยี วไปหมดท้งั ๓ แงค ือมุงเอาในแงเ ปนเร่ืองรา ยๆ และ เปน ผลของการกระทาํ ในอดีตชาติ ฉะนน้ั กมหนารับกรรมชาตนิ ้มี ีกรรม กรรมของสัตว สดุ แตบญุ แตก รรม อะไรทาํ นองนร้ี วมแลวกเ็ ปน เรอ่ื งไมดี เปนเรอ่ื งรา ยๆ เปน เรอื่ งผล และเปน เรื่องเก่ียวกบั ในชาติกอ นท้ังนนั้ พูดงา ยๆวา คนทว่ั ไปมองความหมาย ของคําวา กรรม ในแง ของผลรา ยของการกระทาํ ช่ัวในอดตี ชาติ ทนี ล้ี องมาพิจารณาวา ความหมายทเ่ี ขาใจกันนัน้ ถูก หรือไม ? อาจจะถกู แตวา ถกู ไมหมด ไดเ พียงสวนหนึ่งเทาน้ัน ตามหลักธรรมะท่ีแทจ รงิ เพียงหลกั ตน ๆ ทานกบ็ อกไวแ ลววา กรรมกค็ อื การกระทาํ น่นั เองงายทส่ี ดุ การกระทาํ อนั นี้ ไมไ ดหมายถงึ ตัวผล แตเ ปนตวั การกระทาํ หมายถงึ ในแงเปน เหตุมากกวา เปนผล จะมุงถึงกาลเปนอดตี กไ็ ด ปจจบุ นั กไ็ ด อนาคตกไ็ ด ไมเ ฉพาะตอ งเปนอดีตอยา งเดยี ว คือปจ จบุ นั ที่ทาํ อยูน ้ีก็เปนกรรม แลว จะมอง ในแงล กั ษณะวา ดหี รอื ชวั่ ก็ไดท งั้ สองขาง คอื กรรมดกี ม็ ี กรรมช่วั ก็มี แลวแสดงออกไดทงั้ กาย ทง้ั วาจา ทั้งใจ และทีพ่ ดู ถึงกรรมอยา งน้ัน อยา งนี้ ดูเหมอื นวา เปนเรอ่ื งใหญ เรอ่ื งรนุ แรง ความ จรงิ น้นั กรรมก็มตี งั้ แตเ รื่องเลก็ ๆนอ ยๆ ในความคิดแตล ะขณะ ทกุ ๆทานทน่ี ง่ั อยใู นขณะนี้ ก็ กาํ ลงั กระทาํ กรรมดวยกนั ท้ังนัน้ อยางนอ ยก็กาํ ลงั คดิ เพราะอยูในท่ีประชมุ น้ี ไมสามารถแสดง

ออกในทางอ่ืนไดม าก ไมม โี อกาสจะพดู หรือจะทาํ อยา งอนื่ กค็ ดิ การคดิ น้กี เ็ ปนกรรม เพราะ ฉะน้นั ในความหมายท่ีถูกตองแลว กรรมกห็ มายถึงการกระทําท่ีประกอบดว ยเจตนา จะแสดง ออกทางกายก็ตาม วาจาก็ตาม หรอื อยูในใจกต็ ามเปนอดีตกต็ าม ปจจุบันก็ตาม อนาคตก็ตาม ดีก็ตาม ช่ัวกต็ าม เปน กรรมทง้ั นน้ั ฉะนนั้ ความหมายที่พดู กันทวั่ ไปน้ัน จงึ ทาํ ใหเ กิดความสบั สนคลาดเคล่อื นข้ึนมาไดอ ยางหนงึ่ จะตองทําความเขาใจใหถกู ตง้ั แตตน เปนอันวา ภาษาสามญั ทคี่ นทั่วไปใชพ ดู กนั น้ัน มขี อ คลาด เคลือ่ นอยบู าง ซึง่ จะตองทําความเขาใจใหถ ูกตองอันนเี้ ปน แงทีห่ นงึ่ \" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๑ : ทําอยางไรจะใหเชือ่ เรอื่ งกรรม ( ๓ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตโฺ ต ) คลาดเคลือ่ นประเดน็ ท่ี ๒ คอื ความคลาดเคลอื่ นในทศั นคติ ซึง่ แบง ออกเปน ๒ คอื ทัศนคตติ อ ตนเอง กบั ทศั นคตติ อ ผูอื่น ทศั นคตติ อตนเอง \"พอพดู ถึงกรรม ทศั นคตขิ องคนทว่ั ไป ก็มักจะเปน ไปในแงของการทอด ธรุ ะหรอื ไมมีความรบั ผิดชอบ ทอดธุระอยางไร ? อนั นี้อาจจะแบง ไดเปน ๒ สวนมองในแง ตัวเองอยางหน่ึง กบั มองในแงผ อู ่ืนอยางหนึ่ง มองในแงต วั เองความรสู กึ ทอดธุระ คือรสู กึ วายอทอ ยอมแพ ถดถอย และไมค ิดปรบั ปรงุ ตนเอง เชน ในประโยควา \"ชาตนิ มี้ กี รรม\" หรือ วา \"เราทาํ มาไมด ี กมหนารบั กรรมไปเถิด\" อนั นม้ี แี งทพ่ี ิจารณาไดทั้งดีและไมดี คือเวลาทา นพดู อยางน้ี เดิมกค็ งมุงหมายวา ในเมื่อเปน การกระทาํ ของเราเองทําไวไ มดี เราก็ตองยอมรับผลของการกระทาํ น้นั น่คี อื ความรสู ึกรับผดิ ชอบตอ ตนเอง ยอมรับความผดิ ทีต่ นเองกอ ขึ้นแตการทพี่ ูดอยา งนี้ ทานไมตองการใหเ ราหยดุ ชะงกั แคนัน้ ไมไ ดต อ งการใหเราหยดุ เพยี งวา งอมืองอเทาหยดุ อยแู ลว ไมตอ งคิดปรบั ปรงุ ตน เอง แตท านตองการตอ ไปอกี ดว ยวา เมอื่ เรายอมรบั ผดิ จากการกระทําของเราแลว ในแงตัวเรา เอง เราสํานึกความผดิ แลว เราจะตอ งแกไ ขปรับปรุงตัวเองใหด ี ตอ ไปดว ย แตในตอนท่เี ปนการ ปรับปรงุ นีม้ กั ไมคอ ยคดิ ก็เลยทาํ ใหความรสู กึ ตอ กรรมนน้ั หยดุ ชะงกั แคการยอมรบั แลว ก็เปน คลายกบั ยอมแพ แลวกห็ ยุด แลวกท็ อ ถอย ไมค ิดปรับปรุงตนใหก า วหนาตอ ไป เพราะฉะนั้น เราจะตองรจู กั แยกใหครบ ๒ ตอน คือความรูสึกรบั ผิดชอบตอตนเองตอนหนึ่ง

การท่จี ะคิดแกไ ขปรบั ปรงุ ตนตอ ไปตอนหนงึ่ ความรสู กึ ตอ กรรมควรจะมีตอตนเองทั้ง ๒ ดา น คอื ๑. เราจะตองมีความรับผดิ ชอบตอ การกระทาํ ของตนเอง ๒. ในเม่อื ยอมรับสวนท่ผี ดิ แลว จะตอ งคิดแกไ ขปรบั ปรุงตนเอง เพือ่ ใหถกู ตองตอไปดวย ไมใ ชห ยุดเพยี งยอมรบั ผดิ แลวก็เสรจ็ กันไปเทานั้น ถา หากวา เราใชความหมายของกรรม เพยี งในแงของการยอมรับ และเสรจ็ ส้ินไปเทาน้ัน ก็ แสดงวาเราไมไ ดใชป ระโยชนต ามหลกั คาํ สอนเกี่ยวกับกรรมอยา งถกู ตองสมบูรณ และอาจจะ ใหเกิดผลเสยี ได\" หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ท่ี ๒๒ : ทําอยา งไรจะใหเ ช่อื เรือ่ งกรรม ( ๔ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) ทศั นคติตอผูอืน่ \"ในแงความคลาดเคลื่อนของทศั นคตติ อผูอ่นื กเ็ ชน เดียวกนั เวลาเราไปเหน็ คนไดรับทกุ ขภ ัย พบิ ัตอิ ันตรายตางๆ บางทเี ราก็พูดกันวา นน่ั เปนกรรมของสตั วพ อวาเปน กรรมของสัตว เรากป็ ลงเลย แลวก็ชา งเขา บางทานก็เลยไปกวานอ้ี กี บอกวาพทุ ธศาสนาน่ี สอน ใหว างอเุ บกขา ทาํ เฉยๆ หมายความวา ใครจะไดทุกขไดร อ น เราก็ปลงเสยี วา กรรมของสัตว เขาทํามาไมดี เขาจึงไดร บั ผลอยางน้ันเรากว็ างอเุ บกขา อันนก้ี ็เปนแงท ีไ่ มถ ูก ตองระวงั เหมอื น กนั ในแงต อ ผูอื่น ทัศนคตกิ จ็ ะตองมี ๒ ดานเหมือนกัน จริงอยู คนอ่ืนเขาไดรับภยั พิบัตเิ หตุราย อะไรขนึ้ มา เราควรพิจารณาวา อันนนั้ เปน ผลของการ กระทําของเขา เชนคนท่ีไปประพฤติช่ัว ถูกจับมาลงโทษ อนั นนั้ อาจจะพิจารณาไดว า กรรมของสัตวจริงทีจ่ ริงไมใชเราพดู ในแงผ ล หรอก กรรมของสตั วน ้ัน เราพดู เลยไปถึงอดตี วาเพราะการกระทําของเขาท่ไี มด แี ตกอ น เขา จงึ มาไดร บั ผลที่ไมดีในบัดนี้ ถาจะพดู ใหเ ตม็ นา จะบอกวา อันนีเ้ ปน ผลของกรรมของสัตว ไมใ ชกรรมของสัตว แตพ ูดยอๆ กเ็ ลยบอกวา กรรมของสัตว น้กี ถ็ กู อยชู ัน้ หนึ่ง วาเราเปนคนรจู ักพจิ ารณาเหตุผล คอื ชาวพุทธ เปนคนมเี หตุมีผล เมื่อเห็นผล หรือส่ิงใดปรากฏขน้ึ มา เราก็คิดวา น่ตี องมีเหตุ เมือ่ เราไดประสบ ผลรา ย ไดถ กู ลงโทษอะไรอยา งน้ี มันกต็ อ งมเี หตุ ซงึ่ อาจจะเปนการกระทาํ ไมด ีของเขาเอง อันนี้ แสดงถึงความมเี หตมุ ีผลในเบอื้ งตน คือวางใจเปนกลาง พจิ ารณาใหเหน็ เหตผุ ลตามความเปน จรงิ เสียกอ น อยางนี้ก็เปนการแสดงอุเบกขาท่ีถูกตองอเุ บกขาท่ีถกู ตอ งน้นั ก็เพ่ือดาํ รงธรรมไว รงธรรมอยา งไร ?

การวางใจเปนกลาง ในเมอ่ื เขาสมควรไดรับทุกขโทษนั้น ตามสมควรแกก ารกระทําของตน เราตองวางอเุ บกขา เพราะวาจะไดเ ปนการรักษาธรรมไว อนั นีเ้ ปน การถกู ในทอ นที่หนง่ึ คอื อุเบกขาเพ่ือดาํ รงความเปน ธรรม หรอื รักษาความยตุ ธิ รรมไวแตอกี ตอนหนึ่งท่หี ยุดไมไดก็คือ วา นอกจากมีอเุ บกขาแลว ในแงข องความกรุณาก็ตองคิดดว ยวาเมอื่ เขาไดร ับทกุ ขภ ยั พิบตั แิ ลว เราควรจะชวยเหลอื ะไรบา ง บางทีพุทธบริษทั ก็พิจารณาปลอ ยทิง้ ไปเสียหมด ไปเห็นคนยากคน จน อะไรตออะไร ก็กรรมของ สตั วห มด เลยไมไ ดค ิดแกไขปรบั ปรงุ หรอื ชว ยเหลอื กัน ทาํ ให ขาดความกรุณาไป แทนทีจ่ ะเนน เรือ่ งความกรุณากนั บาง กเ็ ลยไปมัวเนนเรื่องอุเบกขาเสีย ทีจ่ รงิ ธรรมเหลา นี้ ตอ งใชใ หตรงเร่อื งเหมาะเจาะแมแตกรณที คี่ นไดร ับโทษ เราวางอุเบกขากับคนที่ เขาไดรับโทษนัน้ เรากต็ อ งมีกรณุ าอยูในตัวเหมอื นกัน เราอเุ บกขากบั คนท่เี ขาไดร ับโทษ เพราะ เรามคี วามกรณุ า เรามีเมตตาตอ สตั วท ั้งหลายเหลา อ่นื บุคคลผนู ไี้ ดรบั โทษ เพอื่ ใหคนทง้ั หลายเหลาอนื่ จํานวน มากไดม ีความสขุ อยดู วยความสงบเรยี บรอ ย หรอื แมแ ตเปน ความกรุณาและ เมตตาตอตวั ผูได รับโทษเองวา ผูน้ี เมือ่ เขาไดรบั โทษอยางนี้ แลว เขาจะไดสํานึกตน ประพฤตติ นเปนคนดตี อไป จากนนั้ กต็ อ งคิดตอไปอีกวาเมือ่ เขาไดรบั ทกุ ขโทษของเขาแลว เราจะชว ยเหลือเขาใหพ นจาก ความทกุ ขนั้น และพบความสุขความเจริญได อยางไร อนั น้ีก็มีความเมตตากรณุ าแฝงอยูในนั้น ไมใ ชเปน สกั แตวา อุเบกขาอยา งเดยี ว อันนจ้ี ึงเปน เร่ืองสาํ คญั เหมือนกนั ทาทีของความรูสกึ ตอ เร่ืองกรรมทไี่ มครบถว นบางทีกท็ าํ ใหมผี ลเสียได ถา อยา งไรก็ควรจะมใี หครบทกุ อยาง เปน อัน วา ทศั นคตนิ ี้ บางทกี ค็ ลาดเคล่ือนในแงท้งั ตอ ตนเองและตอคนอนื่ ตอ ตนเองน้นั ... ๑. ตองมคี วามรบั ผดิ ชอบ ๒. ตองมคี วามคดิ แกไขปรับปรุงอยดู ว ยพรอมกัน และในแงตอ ผอู น่ื ก็ไมใ ชเ อาแตอเุ บกขาอยา ง เดยี ว จะตองมีเมตตากรุณาดวย ในสวนใดท่คี วรวางอุเบกขาก็วางดว ยเหตผุ ล เพือ่ รักษา ความเปนธรรม หรือดํารงธรรมของสงั คมไวแ ละในแงของความเมตตากรณุ า ก็เพอื่ ประ โยชนของบุคคลน้ันเอง และเพอ่ื ประโยชนคนสว นใหญด ว ยตองมี และมไี ปไดพรอมกนั อัน นเ้ี ปน แงทัศนคติ ซึง่ บางทกี ็ลืมยา้ํ ลมื เนนกันไป\" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๓ : ทําอยา งไรจะใหเ ชอื่ เรอื่ งกรรม ( ๕ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต )

\"ประการที่ ๓ เปน ความคลาดเคลอ่ื นสับสนในตัวหลกั ธรรม อนั นรี้ สู กึ วา เปน เรือ่ งใหญใ นใจ ของพุทธศาสนกิ ชนนน้ั เวลานึกถงึ กรรม ก็คลา ยกับความหมายท่อี าตมภาพไดพดู มาขางตน คือมกั จะพดู ถงึ เรอื่ งเกา ไมค อ ยนึกถึงกรรมทีก่ ระทาํ ในปจ จุบัน โดยมากเอาอดตี ชาติเปนเกณฑ ทีนห้ี ลักกรรมในพทุ ธศาสนา มแี งห น่ึงท่ีเราควรพยายามศึกษาใหเกิดความเขาใจชัดเจน คอื แง ทจ่ี ะตอ งแยกจากหลักคาํ สอนในศาสนาอ่ืน พุทธศาสนานนั้ เกิดในชมพทู วีป คือประเทศอินเดยี เมอ่ื ประมาณ ๒,๕๐๐ ปม าแลว ในสมยั น้ัน ศาสนาตา งๆในอนิ เดยี มีคาํ สอนเร่อื งกรรมอยู เหมือนกันศาสนาฮินดูก็มคี าํ สอนเร่อื ง กรรม ศาสนานิครนถ หรือทเี่ รารยี กวา ศาสนาเชน หรอื มหาวรี ะ ทา นก็มีคําสอนเเรื่องกรรมเหมือนกนั และก็เนน คาํ สอนเร่อื งกรรมน้ีไวเปนหลักสําคัญ มาก ในเมอื่ พทุ ธศาสนาอบุ ัติข้นึ พระพุทธองคก ไ็ ดทรงทราบคําสอนของศาสนาเหลา น้แี ลว และ ไดทรงพจิ ารณาเห็นวา เปน ความเขาใจทยี่ งั คลาดเคลอื่ น ไมส มบรู ณพระองคจ ึงไดทรงสอน หลกั กรรมของพุทธศาสนาขน้ึ ใหม เปนหลกั กรรมซ่ึงเกดิ จากการทีพ่ ระพุทธองคตอ งการแกไข ความเชอื่ ที่ผิดในหลักกรรมเดิม แสดงวา หลักกรรมใหมน้จี ะตอ งผิดกบั หลักกรรมเกาทส่ี อน กนั แตเ ดิมในศาสนาพราหมณ ฮินดู และนิครนถ เปนตน เร่อื งหลกั กรรมในศาสนาของเรา ถา แยกแยะออกไปโดยศึกษาเปรยี บเทียบกบั คําสอนในศาสนาเดมิ เราจะเขา ใจชดั เจนยิ่งขึ้นหลัก กรรมในศาสนาฮินดู หรอื ในศาสนานคิ รนถน ้นั เม่อื เทียบกับพระพทุ ธศาสนาในสายตาของคน ตา งประเทศ โดยเฉพาะพวกฝรง่ั ท่ีมาศึกษามกั เขาใจวาเหมือนๆกัน พทุ ธศาสนากส็ อนเรือ่ งกรรม ฮนิ ดู นคิ รนถ ก็สอนเรื่องกรรมทั้งนั้น กเ็ ขา ใจวาคาํ สอนใน ศาสนาเหลา น้ีเหมือนกนั ทจี่ รงิ ไมเหมือนในศาสนาฮนิ ดู เขามีหลกั กรรมเหมอื นกนั ทว่ี าในตัว คนแตล ะคนมอี าตมนั บุคคคลแตละคนกระทํากรรม กรรมเปน เคร่อื งปดบังอาตมัน ดว ยอาํ นาจ กรรมน้ี บุคคลจึงตองเวียนวายตายเกิด ไปจนกวาจะบริสทุ ธหิ์ ลุดพนอนั นี้ ดูเผนิ ๆกค็ ลายกบั ของ พุทธศาสนา แตศ าสนาฮินดสู อนหลักกรรมเพื่อเปน ฐานรองรับการแบง แยกวรรณะ สว นพระ พทุ ธศาสนาสอนหลักกรรมเพ่อื หักลางเรือ่ งวรรณะ หลักกรรมของศาสนาท้ังสอง จะเหมอื น กนั ไดอยา งไรตรงกนั แตช ือ่ เทา นั้น สว นในศาสนานคิ รนถ ก็มีความเชือ่ ในสาระสําคญั ของกรรม คลายกนั อยางน้ี พระพุทธเจาเคยตรัสเลาความเชอ่ื เร่ืองกรรมของนิครนถ หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ท่ี ๒๔ : ทาํ อยางไรจะใหเ ชอ่ื เรือ่ งกรรม ( ๖ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต )

\"พระพุทธองคตรัสวา ภิกษทุ งั้ หลาย สมณพราหมณพวกหนง่ึ มีวาทะมีทฐิ ิอยางน้ีวาสขุ ก็ดี ทุกขก ็ดี อยา งหนึง่ อยางใดที่ไดเ สวย ทั้งหมดนัน้ เปน เพราะกรรมท่ตี ัวไดท าํ ไวในปางกอ นโดย นยั ดงั น้ี เพราะกรรมเกาหมดสนิ้ ไปดว ยตบะ ไมท ํากรรมใหมกจ็ ะไมถกู บงั คับตอ ไปเพราะไม ถูกบงั คับตอไปกส็ ้ินกรรม เพราะสิ้นกรรมก็สิน้ ทกุ ขเ พราะส้นิ ทุกข กส็ ิน้ เวทนา เพราะสน้ิ เวทนา กเ็ ปน อนั สลดั ทกุ ขไดห มดสิ้น ภกิ ษทุ ั้งหลาย พวกนคิ รนถ มีวาทะอยางน้ี อนั น้ีมาในเทวทหสูตร พระไตรปฎ กเลม ๑๔ มชั ฌิมนิกายอุปรปิ ณณาสก พทุ ธพจนท่ียกมาอางน้ี แสดงลัทธนิ คิ รนถ หรือศาสดามหาวีระ นิครนถนาฏบตุ ร ท่เี ขา เรียกกนั ท่วั ไปวา ศาสนาเชน ศาสนาเชน วา ปุพเพกตวาท เมือ่ พูดถงึ เรอ่ื งนี้แลว อาตมภาพกเ็ ลยอยากจะพูดถงึ ลทั ธิที่ จะตอ งแยกออกจากหลักกรรมให ครบทัง้ หมด ขอใหกําหนดไวในใจทเี ดยี ววา เราจะตอ งแยกหลกั กรรมของเราออกจากลัทธทิ ี่ เกย่ี วกับเรือ่ งสขุ ทกุ ขข องมนษุ ยท ไี่ ดรับในปจจบุ ัน ๓ ลทั ธใิ นสมยั พทุ ธกาลน้นั มคี ําสอนสําคญั อยู ๓ ลัทธิ ที่กลา วถึงทุกขสุขทีเ่ ราไดร ับอยูใ นขณะนถ้ี ึงปจจุบนั นี้ ลทั ธิศาสนาทงั้ หมดเทา ท่มี ี ก็สรุปลงไดเทา น้ี ไมมีพนออกไปพระพุทธเจาเคยตรัสถึงลัทธิเหลา น้ี และบอกวา คาํ สอนของ พระองคไ มใชคาํ สอนในลทั ธิเหลานล้ี ทั ธเิ หลาน้ัน เปนคาํ สอนประเภท อกริ ยิ า อกิรยิ า คอื หลักคําสอน หรอื ทัศนะแบบทที่ ําใหไมเ กิดการกระทาํ เปน มจิ ฉาทฐิ อิ ยางรายแรง อาตมภาพจะอานลัทธมิ ิจฉาทิฐิ ๓ ลทั ธนิ ้ี ตามนยั พุทธพจนท่ีมาใน องั คตุ ตรนกิ าย ตกิ นบิ าต พระสุตตนั ตปฎกบาลี เลม ๒๐ และในคัมภีรวิภังค แหง อภิธรรมปฎ ก พระพุทธองคตรัสวา \"ภกิ ษทุ ้ังหลาย ลัทธเิ ดียรถยี  ๓ ลัทธเิ หลานี้ ถกู บณั ฑิตไตถ ามซักไซรไ ลเ ลยี งเขายอมอางการ ถอื สืบๆกันมา จัดเขาในพวกอกริ ิยา คือ ๑. สมณพราหมณพวกหน่งึ มวี าทะ มีทฐิ ิอยา งน้ีวา สขุ ก็ดี ทุกขก ็ดี มิใชส ขุ มิใชท ุกขก ็ดี อยาง หนึง่ อยา งใดกต็ าม ทีค่ นเราไดเ สวยท้ังหมดน้นั ลว นเปนเพราะกรรมทก่ี ระทาํ ในปางกอน ลัทธิ นี้เรยี กวา ปุพเพกตเหตุ ( ปพุ เพกตวาท ) ๒. สมณพราหมณพวกหนึ่งมวี าทะ มีทิฐิอยางน้ีวา สขุ กด็ ี ทกุ ขก ็ดี มใิ ชสขุ มิใชทกุ ขก็ดี อยาง หนงึ่ อยางใดก็ตาม ท่ีคนเราไดเ สวยทั้งหมดน้นั ลวนเปนเพราะการบันดาลของพระผเู ปนเจา เรยี กวา อิสสรนมิ มานเหตุ ( อศิ วรนริ มติ วาท )

๓. สมณพราหมณพวกหน่ึงมวี าทะ มีทฐิ ิอยา งน้ีวา สขุ ก็ดี ทกุ ขก ด็ ี มใิ ชส ขุ มใิ ชท กุ ขกด็ อี ยา ง หนงึ่ อยา งใดก็ตาม ทค่ี นเราไดเ สวยท้ังหมดน้นั ลวนหาเหตหุ าปจ จัยมิได เรยี กวา อเหตอุ ปจ จยะ ( อเหตุวาท ) ลทั ธทิ งั้ ๓ น้ี ทานพทุ ธศาสนิกชนฟงแลว อาจจะของใจขึ้นมา เอ ลทั ธิที่หนง่ึ ดคู ลา ยกบั หลัก กรรมในพทุ ธศาสนาของเรา บอกวา สขุ กด็ ี ทกุ ขก ็ดี มใิ ชส ุขมิใชทุกขก ด็ ี ทเี่ ราไดรบั อยูใ น ปจ จุบันนี้ เปน เพราะกรรมทีก่ ระทําไวใ นปางกอน เอ ดูเหมอื นกนั เหลือเกิน นแ่ี หละเปนเรือ่ ง สําคญั ถาหากวา เราไดศ กึ ษาเปรยี บเทียบเสยี บาง บางทีจะทําใหเราเขาใจ หลักกรรมของเรา ชดั เจนยิ่งขึ้น ถา ไมระวัง เราอาจจะนาํ เอาหลักกรรมของเรานี้ ไปปรบั ปรงุ เปนหลักกรรมของ ศาสนาเดิม ทพี่ ระพทุ ธเจาตอ งการแกไข โดยเฉพาะคือลัทธิของทานนิครนถนาฏบุตรเขากไ็ ด เพราะฉะน้ัน อาตมภาพ จงึ เหน็ วาเปนเรื่องสาํ คัญ ทีนี้ ทําไมพระพุทธเจา จึงไดท รงตาํ หนลิ ัทธิ ทงั้ ๓ นเ้ี ลา ? พระพทุ ธองคไ ดทรงแสดงโทษของการนับถอื ลทั ธิ ๓ ลัทธินไ้ี ว อันนจ้ี ะขออานตามนัยพทุ ธ พจนเหมือนกนั พระพทุ ธองคต รัสวา \"ภกิ ษุทั้งหลาย กเ็ มอ่ื บคุ คลมายดึ เอากรรมท่ีทาํ ไวใน ปางกอนเปนสาระ ฉนั ทะกด็ ี ความพยายามกด็ ี วา ส่งิ น้ีควรทํา ส่ิงนไ้ี มค วรทาํ ก็ยอมไมม ี\" สวนเรอื่ งของอีก ๒ ลทั ธกิ เ็ ชนเดียวกัน เมอ่ื นับถอื พระผเู ปนเจา หรอื ความบงั เอิญ ไมมีเหตุ ปจจยั แลว ฉนั ทะกด็ ี ความเพยี รพยายามกด็ ี วา อันนี้ควรทํา อนั นไี้ มค วรทาํ ก็ยอ มไมม ี เมื่อ ถือวา ผลอะไรที่เราจะไดรบั มันก็แลวแตก รรมทที่ าํ ไวแ ตปางกอน มันจะสุขทุกขอยางไรกแ็ ลว แตก รรมที่ทาํ ไวในชาติกอน เรากจ็ ะไมเ กดิ ฉนั ทะความเพียรพยายาม วาเราควรจะทําอะไรถึง เร่ืองพระผูเปนเจา ก็เหมือนกนั ออ นวอนเอาก็แลวกนั หรือวาแลวแตพระองคจะโปรดปรานท่ี จะมาคดิ เพียรพยายามทําดวยตนเองก็ไมมี ผลท่ีสดุ กต็ องสอนสําทับเพ่มิ เขาไปอีกวา พระเจา จะชวยเฉพาะคนที่ชวยตนเองกอนเทานนั้ ไปๆมาๆกเ็ ขาหลักกรรม ความบงั เอิญ ไมม ีเหตุปจ จยั กเ็ ชน เดยี วกนั ก็เราจะตองไปทําอะไรทาํ ไม ทาํ ก็ไมไดผลอะไร เพราะไมมเี หตไุ มม ีปจจัย บังเอญิ ไปก็ตองเปนอยางนน้ั ไมตองทําอะไร ผลจะเกิดก็เกิดเอง แลวแตโ ชครวมความวา ๓ ลทั ธนิ ้ี ขอเสียหรือจุดออนกค็ ือ ทําใหไ มเกิดความเพียรพยายาม ในทางความประพฤตปิ ฏิบัติ ไมเ กดิ ฉนั ทะในการกระทาํ สวนหลักกรรมในพระพุทธศาสนา มองเทยี บแลว กค็ อื วา จะตอ งใหเกิดฉันทะ เกดิ ความเพยี รทจ่ี ะทาํ ไมห มดฉนั ทะ ไมห มด ความเพียร อนั น้เี ปน หลักตัดสนิ ในแงท างปฏบิ ตั \"ิ

หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ท่ี ๒๕ : ทําอยางไรจะใหเ ช่อื เร่ืองกรรม ( ๗ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) \"เมอ่ื เขาใจหลักกรรม โดยการเปรยี บเทยี บกับ ๓ ลทั ธทิ ่ีวา มาน้ีแลว อาตมภาพเหน็ วากจ็ ะแก ไขขอคลาดเคล่ือนสับสนขางตนใหหมดเหมอื นกนั คือความคลาดเคลื่อนในแงความหมาย ของศพั ทอยางทเ่ี ขา ใจกันทว่ั ไปกต็ าม หรือความคลาดเคลือ่ นในแงท ศั นคตกิ ็ตาม อันนแ้ี กไข ไดห มดเพราะฉะนน้ั เราจะตองทาํ ความเขาใจหลักกรรมของเราใหถ กู ตอ ง อยา ปนกับนิครนถ ในศาสนาของนิครนถ เขาถอื ลทั ธิกรรมเกา สขุ ทุกขอ ะไร เราจะไดร ับอยางไรก็เพราะกรรม เกาทงั้ ส้ิน เขาจงึ สอนใหท ํากรรมเกา น้นั ใหหมดไปเสีย แลวไมทาํ กรรมใหม ทนี ี้ กรรมเกาจะหมดไปไดอ ยา งไร ? กรรมเกา จะหมดไปไดกด็ วยการบําเพ็ญตบะ พวกน้ีก็เลยบําเพญ็ ทกุ รกิรยิ า ทําอตั ตกิลมถานุ โยคท่ีพระพุทธองคก็เคยทรงไปบาํ เพ็ญเม่อื กอ นตรสั รู มาบําเพ็ญอยถู ึง ๖ ป จนแนพ ระทัยแลว ก็ทรงประกาศวา เปน ขอ ปฏิบัติทผี่ ิดไมไ ดผลอะไรพวกนคิ รนถไ มตอ งการทํากรรมใหม กรรม เกาก็หมดไปดว ยตบะ ขอใหเทียบหลักนี้ กับคาํ สอนในทางพุทธศาสนาในสฬายตนวรรค สังยุต ตนกิ าย พระไตรปฎ ก เลม ๑๘ มพี ุทธพจน วาดวยเร่อื งกรรมไวใ นแงหน่ึง พระองคตรสั วา \"เราจะแสดงกรรมเกากรรมใหม ความดับกรรม และทางดบั กรรม\" แลว พระพุทธองคกต็ รัสวา \"กรรมเกา คอื อะไร ?\" จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน นี้ชือ่ วา กรรมเกา อะไรที่ชอ่ื วากรรมใหม ? การกระทาํ ที่เราทาํ อยูในบดั นี้ นแ่ี หละช่ือวา กรรมใหมแ ลว อะไรคือความดบั กรรม ? ทานบอกวา ความดบั กรรมแหง กายกกรรม วจกี รรม มโนกรรมน้นั ช่อื วาความดับกรรมอะไร เปน ทางดับกรรม ? มรรคมีองค ๘ ประการอนั ประะเสรฐิ คอื สัมมาทฐิ ิ เปน ตน สัมมาสมาธิเปน ปรโิ ยสาน นเี่ รียกวา ทางดับกรรมอันนี้จะตรงกับลัทธินิครนถอ ยางไร ? ในลทั ธินคิ รนถ เขาสอนวา ทางดับกรรม คอื ดับกกรรมเกา โดยบาํ เพ็ญตบะกบั ดับกรรมใหม โดยไมทาํ พุทธศาสนาดับกรรม โดยมรรคมอี งค ๘ เราจะเห็นวา ทว่ี าดับกรรมน้นั ไมใ ชไ มท ํา อะไร ทําทีเดียวแหละ แตว า ทําอยา งดอี ยางมีเหตุมผี ล ทาํ อยา งมหี ลกั มีเกณฑ ทาํ ดวยปญญา คือทาํ ตามหลกั มัชฌมิ าปฏิปทา หรือมรรคมีองค ๘ ประการ

ตอ งทาํ กันจริงๆ ตามหลกั ดับกรรมในที่นี้ ไมใชไ มทํามรรคมอี งค ๘ ประการตอ งใชค วาม เพียรพยายามเปน อยา งมากตอ งพยายามเพือ่ ใหม ีสัมมาทิฐิ มคี วามเห็นทถ่ี ูกตอ งเพอื่ ใหม ีสมั มา สงั กัปปะ มคี วามดํารคิ วามคดิ ทีถ่ ูกตอง ใหม ีสัมมาวาจาใชคาํ พดู ท่ีถูกตอ งใหมีสมั มากมั มันตะ การกระทาํ ท่ีถูกตอ งทางกาย สมั มาอาชีวะมีการเลี้ยงชวี ติ โดยสมั มาชีพสมั มาวายามะ มคี วาม พยายามทถ่ี กู ตอง สมั มาสติมีสตทิ ี่ถูกตอ งสมั มาสมาธิ บําเพญ็ ปลกู ฝงสมาธทิ ่ีถกู ตอ ง หลักดบั กรรมในพทุ ธศาสนา คอื ทํากนั ใหญเลย ไมใ ชไ มทํา ตอ งทําจริงจงั โดยนยั นี้ ถา เรามองดหู ลัก กรรมทีพ่ ุทธศาสนาสอนไวในทีต่ างๆ แลวจะเห็นวา มุงหมายใหเกิดการกระทาํ และที่พระ พทุ ธเจาปฏิเสธหลกั รรมในศาสนาเกา ก็เพราะหลกั กรรมในศาสนาน้ัน ไมสง เสรมิ ใหเกดิ ฉนั ทะ ความเพยี รพยายามในการกระทํา เพราะฉะน้ัน ถา หลักกรรมของเราไดสอนกันไปแลว ทาํ ใหไมเ กิดฉนั ทะความเพียรพยายาม ก็มเี กณฑตัดสนิ ไดอ นั หนึ่งวา การสอนคงจะคลาดเคลอื่ นเสียแลวเปนอันวา ในท่นี เี้ ราจะตอง แกความคลาดเคลื่อนออกไปเสยี กอ น อนั น้เี ปนจดุ ท่ีอาตมภาพตองการชี้วา เราควรจะแกไข เพอ่ื ทาํ ความเขา ใจกันใหถกู ตอง หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ท่ี ๒๖ : ทําอยา งไรจะใหเ ช่อื เรอื่ งกรรม ( ๘ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ โฺ ต ) ข้นั ตอ ไป คือเราควรจะทาํ ความเขาใจกันใหถกู ตอ งในหลักกรรมของเราอยา งไร ? ประะการแรก เราจะตองศึกษาความหมายใหช ัดเจน อยาเพิ่งไปเชื่อ หรือยดึ ถอื ตามที่เขาใจ กนั วา พูดกนั อยา งนนั้ กเ็ ปนอันถกู ตอ ง อยา เพ่ิง ตองศกึ ษาใหเ หน็ ชัดเจนใหเ ขา ใจแจม แจงวา พระพทุ ธเจาตองการอะไรกันแน เม่ือกเี้ ราจะเห็นวา ความเช่ือของเราในปจ จบุ นั นี้ คลา ยกบั ลทั ธิ กรรมเกามากอยางไร แตในทางตรงกันขาม ก็อาจเกิดความของใจวา เอ พทุ ธศาสนาน้ีไมเ ชื่อ กรรมเกาเลยหรืออยา งไร ก็ไมใ ชอยางนัน้ จะตอ งทําความเขาใจขอบเขตใหถูกตองวา กรรมเกา แคไ หน กรรมใหมแ คไ หน ถา วาโดยสรุปกค็ อื พทุ ธศาสนาถือหลักแหงเหตแุ ละผล ถือวาส่ิงทั้งหลายเปน ไปตามเหตปุ จ จัย ผลที่จะเกิดขึ้นตองมีเหตุ และเม่อื เหตเุ กดิ ขึ้นแลว ผลก็ยอ มเปนไปโดยอาศยั เหตปุ จ จยั นน้ั มัน สอดคลอ งกันอยูใ นเรอื่ งกรรมน้กี เ็ ชนเดยี วกนั กรรมเปนเรื่องของหลกั เหตุผล ทีเ่ ก่ยี วกับการ

กระทาํ ของมนุษยเ มือ่ มันเปนหลักของเหตุผลแลว มันกต็ อ งมีทั้ง ๓ กาลนน่ั แหละ มันตอ งมีทั้ง อดีต ทง้ั ปจ จบุ นั ท้ังอนาคต เพราะฉะน้ัน ก็ไมไดปฏเิ สธกรรมเกา แตท ีผ่ ดิ ก็คือ ไปฝงจิตฝงใจวา อะไรๆตอ งเปน เพราะ กรรมเกาไปหมด น่ีมันเปน ขอ เสยี พุทธศาสนาถอื วา กรรมเกานัน้ มันเสร็จไปแลว เรายอ นกลับไป ทาํ หรือไมท ําอกี ไมไ ด \"กตสสฺ นตฺถิ ปฏิการ\"ํ การกระทาํ ท่ที าํ ไปแลว เราไปหวนกลบั ใหกลาย เปนไมไ ด ทําไมได ทีนปี้ ระโยชนทเ่ี ราจะไดจ ากกรรมเกามีอะไร มนั เปน เหตปุ จจัยอยูในกระบวน การของวงจร ปฎจิ จสมปุ บาท มันเกดิ ขนึ้ มาแลว มันเปนเหตเุ ราปฏเิ สธไมไ ดต ามหลกั ของเหตุ ผล การกระทําในอดีต ก็คือการกระทาํ ทท่ี ําไปแลว มนั ยอ มตอ งมผี ล ขอ สําคัญอยูท ่วี า เราควร จะไดประโยชนจากอดีตอยางไร ทําไปแลว แกใหกลายเปน ไมท าํ นะ ไมไ ด แตวา เรามีทางใช ประโยชนจากมนั ไดคอื ในแงท ี่จะทําใหเ กิดเปน บทเรยี นแกตนเองอยางหนง่ึ และการท่ีจะรูจัก พิจารณาไตรตรองมองเหน็ เหตผุ ล และทําใหเ ปนคนรูจักผิดชอบตนเองไมมวั โทษผอู ่นื อยู เรอ่ื ยๆ อกี อยา งหน่ึง ใหรจู ักพจิ ารณาวา ผลที่เกดิ กบั ตนเอง เกี่ยวของกับการกระทาํ ของตัว เราอยา งไร ไมใ ชมวั รอรบั แตผ ลของกรรมเกา เมื่อพจิ ารณาเห็นเหตผุ ลแลว กจ็ ะเปนบทเรยี น สําหรับคดิ แกไ ข ปรบั ปรงุ ตนเองตอ ไป จดุ ที่พระพทุ ธเจาตอ งการที่สดุ กค็ อื เรอ่ื งปจ จุบัน เพราะวาอดีตเราไปทําแกค ืนไมไดแต ปจจุบันนเ้ี ปนส่งิ ทเ่ี ราทาํ ได เรามอี สิ รภาพมากทีเดยี วในปจ จบุ ัน ที่จะกระทําการตางๆเพราะ ฉะนัน้ เราจะตองสรา งทัศนคตทิ ่ถี กู ตองตอ กรรมแตล ะอยา งวากรรมเกาเราควรจะวางความ รสู ึกอยางไร เอามาใชประโยชนอ ยา งไร กรรมใหมเราควรจะทาํ อยา งไร น่ขี ดี วง แยกกนั ให ถูกตองแลว จงึ จะไดผ ลดีข้ึนมา หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๗ : ทาํ อยางไรจะใหเ ชอ่ื เรอ่ื งกรรม ? ( ๙ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) \"เราควรทําความเขา ใจเกย่ี วกับวตั ถุประสงคในการสอนเรอื่ งกรรมของพระพทุ ธเจา วาเดิมที เดยี วที่พระพุทธเจาทรงสอนเรื่องกรรมข้ึนมานี้ พระองคม วี ัตถปุ ระสงค หรือตองการอะไร ? มีความมุงหมายอยางไร ? ในการปฏิบตั ธิ รรมนี้สง่ิ สําคญั ทส่ี ดุ อนั หนงึ่ คอื ตอ งเขาใจวัตถุ ประสงคความมุง หมายแลว การปฏิบตั ิธรรมจะไขวเขวเลือ่ นลอยเม่อื เลอ่ื นลอยไปพกั หนง่ึ แลว กจ็ ะเขาใจผิดที่เราเขาใจผดิ เรือ่ งสันโดษเรือ่ งอุเบกขาอะไรน่ี เพราะวาโดยมากสอนแตความ หมาย ทาํ ความเขาใจแตความหมายแลวไมไ ดคาํ นึงถงึ วตั ถปุ ระสงคห รือความมุง หมายวาใน

การปฏิบัติธรรมขอน้ี ทานมุงหมายเพื่ออะไรอยา ง สนั โดษน่ีเราปฏบิ ตั เิ พอ่ื อะไร ? ถาจะซักถามในแงวัตถุประสงคขนึ้ มา บางทกี ช็ ักอดึ อัดกันทีเดียว นี่จะตองการอะไรแนจะ ปฏบิ ัตธิ รรม ปฏบิ ตั ศิ ีล เรามกั จะศึกษาเฉพาะในแงความหมายแตถ าจะถามวา ศลี น่ีเราปฏบิ ัติ เพอื่ อะไร ตอนนีบ้ างทชี ักงง ไมช ัดบางทีก็ตอบโพลง ทเี ดยี ว บอกเพอ่ื พระนิพพานตอบอยางนี้ คลุมเครอื ตอบขา มไปหาวัตถปุ ระสงคใหญจ ริงอยู วัตถปุ ระสงคข องพระพุทธศาสนาข้นั สงู สดุ เพือ่ พระนพิ พาน แตว าไมใชปฏิบตั ิศลี อยางเดียวไปนิพพานได มันตอ งมเี ปนขั้นเปน ตอนเพราะ ฉะนน้ั นอกจากวัตถุประสงคใหญแ ลว ยงั ตอ งมวี ัตถปุ ระสงคเฉพาะ วาน้เี พ่อื อะไรจะตอบวาเพ่ือ สมาธิ หรอื เพอื่ อะไร ก็ตอ งตอบมาใหเห็นสันโดษกเ็ ชนเดียวกนั กรรมก็เชนเดยี วกนั ถา เราเขาใจ ความมงุ หมายในการสอน ในการปฏบิ ตั คิ วามหมายของธรรมน้ัน กจ็ ะชดั เจนขึ้นดว ย และกเ็ ปน การปฏบิ ตั ิอยา งมหี ลกั เกณฑ ไมใ ชเลอ่ื นลอย ไขวเขว สับสน\" หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๒๘ : ทาํ อยา งไรจะใหเชือ่ เรอื่ งกรรม ( ๑๐ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยตุ โฺ ต ) \"ลองมาดคู วามมุงหมายของพระพุทธเจา ทที่ รงสอนเรื่องกรรมศกึ ษาในแงน้ีจะเหน็ วามี หลายความมงุ หมายเหลือเกนิ พระพุทธองคทรงสอนเร่อื งกรรมน้ี อยางแรกกค็ ือเพอ่ื ขจัดความ เช่ือถือ และการประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นสังคมของศาสนาพราหมณเดมิ เกยี่ วกบั เรอ่ื งวรรณะวรรณะ คอื การแบง ชนเปน ชนั้ ตา งๆ ตามชาติกําเนิดศาสนาพราหมณถ ือวา คนเราเกดิ มาเปนลกู กษัตริย กเ็ ปน กษัตรยิ เปนลูกพราหมณกเ็ ปน พราหมณ เปน ลูกแพศยก เ็ ปนพอคา เปน ลูกศทู รกเ็ ปน กรรมกร คนรับใชกต็ อ งเปน คนวรรณะน้ันตลอดไปแลวแตชาติกาํ เนดิ แกไ ขไมได อนั นี้เปน คาํ สอนเดมิ เขาสอนอยางนนั้ คร้ันมาถงึ พระพุทธเจา พระองคท รงเนน เรอื่ งกรรม เกย่ี วกบั วรรณะนัน้ วา คนเราน้ัน \"น ชจจฺ าวสโล โหต,ิ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ\" บอกวา คนเราไมไ ดเปน คนถอ ยคนตํ่าทราม เพราะชาตกิ ําเนิด และก็ไมไ ดเ ปน พราหมณ คอื คนสงู เพราะชาติกําเนดิ แต \"กมมฺ นุ า วสโล โหต,ิ กมฺมนุ า โหติ พฺราหมฺ โณ\"จะเปน คนทรามกเ็ พราะกรรม และเปนพราหมณก ็เพราะกรรม อันน้ี ถา เรามองกรรมเปนกรรมเกา มนั กเ็ ขาไปเปนอันเดียวกับคาํ สอนเดิมเขา คือเปน พราหมณ เขาก็บอกวา ออ ! ชองทานก็เหมือนกัน ทา นบอกเพราะกรรม น่ีกเ็ พราะกรรมเกาสิ จึงเกดิ มา เปน พราหมณเกิดมาเปน คนถอ ยกอ็ นั เดยี วกนั คอื ตามชาตกิ าํ เนิดเหมอื นกนั ทจี่ รงิ ไมใชอ ยา งน้ัน

กรรม ในทีน่ ี้ หมายถึงการกระทํา ในความหมายหยาบท่ีสดุ กห็ มายถงึ อาชีพการงานอยาง ในพทุ ธพจนนี้ กม็ ขี ยายตอไป เชนวา ใครไปทาํ นาทาํ ไร คนนั้นก็เปน ชาวนา ไมใ ชเปนพราหมณ ถาคนไหนไปลกั ขโมยเขา คนน้ันก็เปน โจร คนไหนไปปกครองบา นเมือง คนน้นั กเ็ ปน ราชา ดังน้ี เปน ตน น่ีพระองคขยายความเรื่องกรรม หมายความวา การกระทําทปี่ ระกอบกันอยนู ี้ ความ ประพฤติที่เปน ไปอยูนี้แหละ เปน หลกั เกณฑส าํ คัญทจ่ี ะวดั คน พทุ ธศาสนาไมต องการใหมวั ไป วัดกันดวยชาติกาํ เนิด แตใหวดั กันดว ยการกระทาํ ความประพฤตทิ ่ีบคุ คลนั้นประกอบ และเปน ไปอยางไร ตั้งแตค ุณธรรมในจติ ใจออกไปน้ีกเ็ ปนแงห นึ่ง ท่ีพระพุทธเจาทรงเนนมาก ถา เรา อา นในพระไตรปฎ กจะเห็นวามพี ระสตู รตา งๆ ท่พี ยายามนําหลักกรรมมาแกไ ขเร่ืองการแบง ชนั้ วรรณะโดยชาติกําเนิดนม้ี ากมาย\" หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๒๙ : ทําอยา งไรจะใหเ ชื่อเร่อื งกรรม ( ๑๑ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) \"ความเพียรพยายามในการพ่ึงตนเอง และรูจกั แกไ ขปรบั ปรงุ ตนเอง อนั น้ีก็เปน ขอ สําคัญ ท่ี พระพทุ ธเจาทรงสอนย้าํ บอยๆ อยางหลัก อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ...ตนเปน ทีพ่ งึ่ แหง ตน หรือ อยาง ตมุ เฺ หหิ กจิ ฺจํ อาตปปฺ . ...ความเพียร ทา นท้งั หลายตองทําเอง และ อกฺขาตาโร ตถาคตา ...ตถาคตทั้งหลาย เปนผบู อก เปน ผชู ้ีทางให ก็เปน เรื่องทพี่ ยายามใหคนเรามคี วามเพยี ร พยายามในการกระทํา อยาไปมัวหวังพงึ่ ปจจัยภายนอกอยู เพราะปจ จยั ภายนอกน้นั มนั ไมยงั่ ยนื และมันไมอยกู ับตัวเอง มันไมแ นน อน และถึงอยา งไรก็ตาม ตัวเรานีก้ ็จะตองทําถาจะใหเกดิ ผล สําเร็จแทจ ริงแลว จะตอ งทํา จะตองพง่ึ ตวั เองใหมากที่สดุ พระพุทธเจาทรงสอนเรือ่ งน้ีอยู เสมอ พยายามใหเ ราหันมาพึง่ ตัวเองใหม ากขึ้น ลดการพึ่งปจ จัยภายนอก ความเช่อื ถือในเรอ่ื ง สงิ่ ท่จี ะมาอํานวยผลประโยชนโดยทางลัด ใหม นั นอ ยลงไปๆ อนั นี้กเ็ ปนแงหน่งึ \" \"พระพุทธเจามวี ตั ถปุ ระสงคห ลายอยางในการสอนเร่ืองกรรม แตหลกั ใหญๆ ก็มีอยางนจ้ี ึงขอ ยกมาเพยี ง 2 อยางนกี้ อ นการทาํ ความเขาใจในวตั ถุประสงคท ่กี ลา วมาน้ีจดุ สําคญั กค็ อื ตองการ ใหเรามีความเพียรพยายามในการทจ่ี ะประพฤตทิ ําความดีแกไ ขปรับปรงุ ตนเองขน้ึ ไป อันน้ี แหละเปนหลักสําคญั มากใน พุทธศาสนาซึง่ ถอื วา จดุ มงุ หมายจะบรรลไุ ด ก็โดยท่ตี วั เราตองทํา ศาสดาครูอาจารยเ ปนเพียงผแู นะ ผบู อกทางใหเทา น้ัน ไมใ ชวาชว ยเราไมไ ดเลย ชวยแบบทวี่ า สง เราไปสวรรค สงเราไปนรก สงเราไปนพิ พานนั้น สงไปไมไ ด แตบอกทางใหชีท้ างให แนะ นาํ พรา่ํ สอนกนั ได เปนกัลยาณมติ รให แตถงึ ตอนทาํ เราจะตองทาํ อนั นเี้ ปนแงว ัตถุประสงค\"

หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๓๐ : ทาํ อยางไรจะใหเ ชื่อเรือ่ งกรรม ( ๑๒ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) \"ตอ ไป จะพูดถงึ ตวั แทของหลกั กรรมเอง ซึง่ ก็จะตอ งทําความเขาใจใหถ ูกตองตามความ เปนจรงิ เหมือนกนั หลกั กรรม เปน หลกั ธรรมทลี่ ึกซ้ึงพอพูดถงึ ความหมายท่ลี ึกซงึ้ กก็ ลายเปน เรื่องเกี่ยวกันเขาไปถงึ หลกั ใหญๆ โดยเฉพาะปฏจิ จ--สมุปบาทจะตองระลึกไวว า กรรมนไี้ มใช แตเ พยี งเรื่องภายนอก ไมใ ชการกระทาํ ทแี่ สดงออกมาทางกาย ทางวาจาเทา นนั้ ตองมองเขา ไปถงึ กระบวนการทํางานในจิตใจ ผลทเ่ี กดิ ขนึ้ ในจติ ใจแตละขณะๆทเี ดยี ว ความหมายท่ีแท จริงของกรรม มงุ เอาที่นั่น คือ ความเปน ไปในจติ ใจของแตละคน แตละขณะกรรมทจี่ ะแสดง ออกมาทางกายทางวาจา อะไรๆก็ตองเรม่ิ ขึน้ ในใจกอนท้งั น้นั ทีนีจ้ ุดเรม่ิ แรก ในกระบวนการ ทํางานของจติ เปนอยางไร ? เกิดขึ้นโดยมีเหตมุ ผี ลอยางไร ? แลวแสดงออกทางบุคลิกภาพ อยางไร ? ในขน้ั ลึกซง้ึ จะตอ งศกึ ษากนั อยา งนี้ถาทาํ ความเขาใจกันในเรื่องนใี้ หชดั แจงแลว เราก็มองเห็น วา กรรมเกยี่ วพันกบั ชีวิตของเราอยางชดั เจนอยตู ลอดเวลาทกุ ขณะแตความเขา ใจในข้ันน้เี ปน ขน้ั ที่ยากอยา งไรก็ตาม ถาเราตอ งการใหเช่อื หลกั กรรม หรือเขา ใจหลักกรรม รูหลักกรรมทแ่ี ท จริงแลว กจ็ าํ เปนตองศึกษาเรือ่ งน้ี ท้ังๆทย่ี ากนั่นแหละ ถา ไมอยางนั้นกไ็ มมีทาง ถา เราไม สามารถศึกษาใหเขาใจชัดเจน ถงึ กระบวนของกรรม ในขนั้ จติ ใจ ตงั้ ตน แตความคดิ ออกมา จนชดั เจนได เราก็ไมม ีทางท่จี ะมาสอนกันใหเ ขาใจหรอื ใหเชือ่ หลักกรรมไดความคิดที่มผี ลตอ บุคลกิ ภาพออกมาแตละขณะๆนนั่ แหละคอื กรรมกรรมน้ี ความจริงก็คือเรือ่ งของกฎธรรมชาติ เรอ่ื งของขอเท็จจริง ความจรงิ ปญ หาของเรา ไมใชวา ทาํ อยา งไรจึงจะเช่อื กรรมเมอื่ หลกั กรรมเปน กฎธรรมชาติ เปนหลกั แหง ความจริง มันก็ไมใชเรอื่ งทที่ าํ อยางไรจะเชือ่ แตกลายเปน วา ทาํ อยางไรจึงจะรู จะเขาใจเราจะเช่อื หรือไมเชอื่ ไมม ีผลตอหลักกรรม หลักกรรมเปน ความจริง มนั ก็คงอยอู ยาง นัน้ เราจะเชอ่ื เราจะไมเชือ่ มันก็เปน ความจรงิ ของมันอยู เขาหลักอยา งทีพ่ ระพุทธเจาตรัส อยา ง เรอ่ื งธรรมนยิ าม วา อุปฺปาทา วา ภกิ ขฺ เว ตถาคตานํ อนปุ ฺปาทา วา ตถาคตานํ...... ตถาคตทัง้ หลายจะอบุ ัตหิ รอื ไมอุบัตกิ ็ตาม หลักความจรงิ น้นั มนั กต็ องเปนความจริงอยูอ ยา งน้ันแมแต พระพุทธเจาไมอุบัติ มันกเ็ ปน ความจรงิ ของมนั ขอสําคญั อยูท ี่วา ทาํ อยา งไร จะศกึ ษาใหเ ขาใจ ชดั เจนเพราะฉะน้นั ไปๆกลายเปนวาจะตองเปล่ยี นหวั เรอื่ งที่ตัง้ ไวแตตน ทีว่ า ทาํ อยา งไร จะ ใหเชอ่ื เรอื่ งกรรมกลายเปน วาทาํ อยางไรจึงจะรูหรอื เขาใจเรอื่ งกรรม เช่ือหรือไมเ ช่อื กแ็ ลวแต

มันเปนความจริง คุณจะยอมรบั หรือไมย อมรบั ชวี ิตของคณุ กต็ องเปนไปตามกรรม ถาหากวาเราทําไดถึงข้ันน้ี แลว เราไมง อ คนเชื่อ เพราะฉะน้ัน อาตมภาพวาสําคญั ทน่ี ่ี สําคญั ทจี่ ะตองศึกษาใหเขาใจชดั เจน แสดงใหเห็นตวั ความจริงไดแลว เราไมง อ คนเชื่อเราบอกวา อนั น้ีเปน กฎธรรมชาติ เปน ความ จริงของมนั อยูเ อง คุณจะเชอื่ หรือไมเชอ่ื ฉนั ไมง อ ตอ งทาํ ถงึ ขนั้ น้นั นั่นแหละทีนป้ี ญ หาวา ทาํ อยางไรจึงจะเขาใจหรือรหู ลักกรรม มนั กลายเปน เรอ่ื งยากขนึ้ มาเรือ่ งกรรมนเี้ ราพดู กนั มาก แตก็พดู กนั เพยี งแคภ ายนอก โดยมากมุงผลหยาบๆท่แี สดงแกช วี ิตของคนเราถา เปนผลในแง ดี กม็ องไปที่ ถกู ลอตเตอร่ี หรือร่ํารวยไดยศศักดิ์อยางใหญๆเปนกอนใหญๆ จึงเกดิ ความรูสกึ วา อันนีค้ งจะเปน ผลของกรรมดใี นแงร ายเรากม็ องไปถึง เกดิ ภยั พบิ ตั ิ เกดิ อนั ตรายใหญโ ต ไปอยางน้ัน จึงจะรูสกึ เรอ่ื งกรรมแตใ นแงน ้ัน ยังไมถึงหัวใจแทจริงของกรรมถา ศกึ ษาใหเขาใจ ชัดเจนจะตองเริ่มตง้ั แต กระบวนการของจติ ใจภายในนีเ้ ปนตน ไป แลวจะกลายเปน เรือ่ งยาก ขนึ้ มาศกึ ษาแตด านภายนอก ใหม องเหน็ กรรมทแี่ สดงออก เปนเหตุการณืใหญๆ นนั้ ไมพอ ตอง หนั มาศกึ ษาเรื่องลึกซึ้งดวย อันนอี้ าตมภาพกเ็ ปนแตเพยี งมาเสนอแนะ เราจะมาพูดถงึ เนื้อแท ของหลักกรรมในแงล กึ ซงึ้ อยา งเดียวก็คงไมไหว ในที่ประชมุ นี้ เปนเร่ืองใหญท เี ดยี ว เปน แต บอกวา ควรจะเปนอยางนีเ้ ทานนั้ หั ว ข อ เ รื่ อ ง ท่ี ๓๑ : ทําอยางไรจะใหเชอ่ื เรือ่ งกรรม ( ๑๓ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ โฺ ต ) \"ทําอยา งไร จะใหคําตอบเรอื่ งกรรมน้ี เปนผลขน้ึ มาในทางปฏิบตั ิ อาตมภาพคิดวาการท่ีทา น ตง้ั ชื่อเร่อื งวา ทําอยางไรจะใหเ ชอ่ื เร่อื งกรรมน้ี ทานคงมุงผลวา ทําอยา งไรจะไดผ ลในทาง ปฏบิ ัติ คือเดก็ ก็ตาม คนหนมุ คนสาวก็ตาม คนผูใหญท ัว่ ไปในสังคมกต็ าม จะประพฤติปฏิบตั ิ ทําแตก รรมดี ไมทําชัว่ เพราะกลัวผลช่ัวอะไรทํานองน้ี ทานคงมุงหมายอยา งนน้ั เปน เกณฑ คือ ทาํ อยางไรจะประพฤตกิ รรมดี แลว กห็ ลีกเวน กรรมช่วั อันนี้จะพูดถึงในแงท เ่ี ขาเรียกกันใน ปจ จบุ นั คนสมยั น้ี เขามีศัพทท ี่ใชก นั อันหนง่ึ เรยี กวา คานยิ ม โดยเฉพาะคานิยมในทางสงั คม อนั นีก้ ระทบกระเทอื นตอหลกั กรรมมาก ในขณะที่เรายงั ไมสามารถศึกษา ชแ้ี จงออกมา ใหเ หน็ ชดั กันในเรอ่ื งหลักกรรม โดยใหเปน เร่อื งแพรหลายทส่ี ดุ ไดน้ี เราจะตอ งมาแกป ญหาเฉพาะหนา เรื่องนี้กอ นจะแกไ ดอยา งไรคา นิยม ของสงั คมที่ยกยองในทางวัตถุมาก อันน้ีจะมากระทบกระเทือนตอหลักกรรมคา นิยมอยา งนี้

มองเหน็ ไดจากคําพูด ทเ่ี กี่ยวกับกรรมน่นั เองเวลาเราพูดวาทําดไี ดด ี ทําชั่วไดชัว่ คนสว นมาก มักนึกถึงคานิยมในทางวัตถุ ทําดไี ดด ี คาํ วา\"ดี\"ในน้ัน ทาํ ดีก็ตาม ไดดกี ็ตาม ยงั ไมไดบอกชัด เลยวา อะไรดีแตตามหลักความจริง โดยเหตผุ ลน้นั ทําดกี ็ยอมไดด ี ทาํ ชว่ั กย็ อ มไดช่วั เปนหลกั ธรรมดาตามธรรมชาตถิ า หากวา มนั ผิด กแ็ สดงวา คนตองมีความไมซ ่อื ตรงเกดิ ขึ้นในเรื่องนี้ เพราะวาตามกฎธรรมดาน้ี เหตอุ ยางไร ผลอยางน้ันเปนหลกั ท่ัวไป ไมวา ใครกต็ อ งยอมรบั เพราะฉะน้ันที่วา ทําดไี ดด ี ทําชั่วไดช่วั นเี่ ปน หลกั สามญั เปนหลักธรรมดาถา คนไปเห็นวาหลัก นี้ผิด แสดงวา ตองมคี วามไมซ่อื ตรงเกดิ ขึน้ คดโกงกนั ในหลักกรรมนแ่ี หละคดโกงในกฏ ธรรมชาติเขาคดกันอยา งไร ? ทําดีไดดี ยงั ไมแ จงออกไป อะไรดี บอกวา ทําดีไดดถี าเราขยายวา ทําดี ดตี วั นั้นเปนกรรม ทํา ความดี ผลตอ งไดค วามดี ทําความช่วั ไดความชัว่ นี่ตองตามหลักความดนี ี่ คนชักงงอีกแลว ความดีนี่ บางทีไปนกึ เปนความดีความตามหลักชอบไปอีกแลว เอาอีกแลว เลยเถดิ ไปอีกเหมือน กนั ความดีนี่ คอื ตัว คณุ ธรรม ก็ไดตัวคณุ ธรรม ทําตวั ความดี ไดตวั ความดีเม่อื เราสรางเมตตา ขนึ้ ในใจ เรากไ็ ดเมตตา อันนีไ้ มม ปี ญ หาทีนค้ี นจะคดโกงกับหลักน้ีอยางไร ขยายทาํ ดีไดดีออก ไปทําความดีไดความดี คนไมคิดอยา งนั้น ทําความดไี ดของช่ัว ทําความชว่ั ไดของดี ทํานองนี้ มันกลับไปเสียอยางนี้ เปน อยา งไร ทาํ ความดไี ดของดี ? ฉันประพฤตคิ วามดี ฉนั ขยัน ฉันใหข องอนั นี้ไป ทําทาน อนั น้ี ฉันจะตอ งถูกลอตเตอรี่ ความดีในทน่ี ้ี ไมใชต ัวความดเี สียแลว ลอตเตอรีเ่ ปนของดีอันนี้ ไมตรงแลว บอกทําความดีไดข องดี คนไปกลบั หลกั เสีย น่ไี มซ่ือตรงแลว ผดิ ตอ กฎธรรมชาติ ฉะนั้น ความคลาดเคลอ่ื นก็เกิดจากความที่คนเราท้ังหลายไมซ่ือตรงนัน่ เอง ไมใชหลักการ ผิดพลาดคลาดเคล่ือนอะไร คนเราไมซ ื่อตรงตอ กฎธรรมชาติเอง เราเขาใจกันไป สรา งความ หมายทีเ่ ราตองการเอาเอง อะไรทถี่ ูกใจเรา เราตองการใหเ ปนอยา งน้ันเม่ือไมไดอ ยางใจเรา เราก็โกรธ เราก็หาวา หลกั นัน้ ผิดเราบอกวาเราทําดีแลว ทาํ ไมมนั ไมถ กู ลอตเตอรี่ มนั จะไปเกย่ี ว อะไรกนั โดยตรง มันไมเก่ียวโดยตรงมันเก่ยี วโดยออม ผลอยา งน้ไี มใชผ ลโดยตรง ไมใ ชค วาม ซื่อตรงในหลักกรรมแลว น้ีกอ็ นั หนง่ึ เปน เร่ืองสาํ คญั เก่ยี วกบั คา นยิ ม คําที่วา นี้ แสดงคานิยมใน ทางวัตถขุ องมนษุ ยในสงั คม\" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๒ : ทําอยา งไรจะใหเ ชือ่ เร่ืองกรรม ( ๑๔ )

โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) \"ปจจุบนั สิ่งที่ดี สง่ิ ที่ประสงคใ นใจของมนษุ ยน้นั มุงไปท่ผี ลไดท างวตั ถุเปนสาํ คัญความ สะดวกสบายทางวตั ถุ ความมีทรพั ยส มบตั ิ ก็กลายเปน เครอื่ งวัดทส่ี าํ คญั ไปความสุขความทุกข ของมนุษย ก็มาวดั ทีว่ ัตถุ คนเรากน็ ิยมวตั ถุมากทีนี้ในเมือ่ นยิ มวัตถมุ าก ความนยิ มในทางจิตใจ กน็ อ ยลง ความหมายกไ็ มมแี มแตเ กยี รติทใ่ี หก นั ในทางสงั คม มนั ก็มงุ ไปทางวัตถุมากข้ึน ในเมอื่ สังคมนิยมเกยี รตทิ ว่ี ดั กนั ดว ยวตั ถอุ ยางนีแ้ ลว มนั กเ็ ปนการคลาดเคลื่อนตอความหมาย คือคนเรานี้ไมซื่อตรงตอหลกั หรือกฎเกณฑข องธรรมชาติ เม่ือนยิ มอยา งใด กเ็ ปน ธรรมดาอยู เองท่ีเราจะตองการใหไดผลอยา งน้ันข้ึนมา แตผลท่ไี มตรงตอ เหตุ มันก็เปน อยา งทเี่ ราตอ งการ ไมไ ดในเมอื่ ไมไ ด เราก็หาวา หลกั นั้นไมถกู ตอง แลวเราก็วา ไมเชอ่ื บาง อะไรบางก็ตามแตอันนก้ี ็ ชอื่ วา เปนผลของกกรรมทค่ี นทํากกรรมในสงั คมนนั่ เอง คอื กรรมของกาารทเี่ รามคี า นิยมทาง วตั ถมุ าก มาเอาความดี ความเจริญ ความกาวหนา ความสุข กันอยูแตทว่ี ตั ถุ เลยหลงลมื คณุ คา ทางจิตใจ ในเม่อื หลกั ธรรม เปน เรอื่ งเก่ียวกบั จติ ใจอยูม าก เราไมใหความสาํ คญั ในทางจิตใจ หรือทางคณุ ธรรมเสียแลว หลักธรรมมนั ก็หมดความหมายลงไปสาํ หรบั เราเปนธรรมดาถา หาก วา เราตองการใหค นมาประพฤติตามหลักกรรม เรากต็ องชว ยกันเชดิ ชูคณุ คาทางจิตใจหรือคุณ คาทางฝายคุณธรรมใหมากข้ึนเราจะตอ งรูจกั ขอบเขตคุณคา ทางวตั ถุ เราจะตองวดั กันดว ยวตั ถุ ใหนอยลง อันน้เี ปน เร่ืองสาํ คัญเหมือนกนั ถาหากวา สังคมเรานยิ มยกยอ งวตั ถุกันมาก มันกเ็ ปนธรรมดาอยเู องทจี่ ะตอ งวัดดี ( วัดความดแี ละผลดี ) กนั ดวยวัตถกุ ารทีส่ ังคมไปนยิ ม ยกยองวตั ถมุ าก ไมใ ชกรรมของคนท่อี ยใู นสังคมนั้นหรือกรรมในทน่ี ้ี หมายถงึ การกระทํา ซง่ึ รวมถึงพดู และคดิ ความคิดทน่ี ิยมวตั ถนุ ้ันเปนกรรมใชห รือไม ?ในเมือ่ แตล ะคนทํากรรมอันน้ี คือ หมายความวา มคี วามโลภในวตั ถุมาก อันนเ้ี ปน กุศลกรรม หรอื อกุศลกรรมเมื่อเปน อกุศล ก็กลาย เปน วา คนในสังคมนั้นทําอกศุ ลกันมากเม่ือทําอกุศลกนั มาก วบิ ากที่เกิดแกคนในสงั คม ก็คอื ผล รายตางๆฉะนนั้ มนษุ ยจะตองมองใหเขาใจความสัมพันธอ นั น้ี จะตองเขา ใจวา สงั คมที่เดือด รอ นวนุ วายกนั อยู มีความไมปลอดภัย มภี ัยอันตรายเกิดขนึ้ ในทต่ี างๆมากมาย ไปไหนกไ็ ม สะดวกสบายน้ัน มันเกดิ จากกรรมของเราแตล ะคนดวยเราจะตอ งมองใหเหน็ ความสัมพนั ธถ งึ ขนาดนจี้ งึ จะไดถ าไมอยางน้ันแลว เราจะไมเขาใจซง้ึ ถึงเรือ่ งกรรมหรอก มนั สมั พนั ธอ ยางไร เอ ! ก็ทีม่ นั เกดิ ภัยอนั ตราย โจรผรู า ยมากมาย คนไมค อ ยประพฤติศีลธรรมเปนกันมากมาย ไม เหน็ เก่ยี วกบั เราเลย คนอ่ืนทําท้งั นนั้ น่แี หละ เราซัดความรับผดิ ชอบละ ท่ีจรงิ เปนกรรมของแต

ละคน ท่ีชว ยกันสรา งข้ึน ต้ังแตค า นิยมทอี่ ยใู นใจเปน ตนไปเพราะเรานยิ มเรอ่ื งนม้ี ากใชไ หม ผล มนั จงึ เกดิ ในแงน้ี อาตมภาพวาพอจะเชื่อมไดอยูลองศึกษาใหดีเถิดมคี า นิยมอยา งน้ี คนก็แสวง แตเ รอ่ื งน้ี ความสุขความอะไรวดั กนั ดวยวัตถอุ ยา งเดยี ว คนกต็ องพยายามแสวง แสวงดาน เดยี วไมม ียัง้ เม่อื แสวงไปแบบนั้น มันก็อาจจะกอไปในรูปอาชญากรรม ความประพฤตเิ สอ่ื มเสีย ตา งๆ ความแยงชิงอะไรตอ อะไรกนั มาก ก็คอื ความนยิ มทีเ่ ปนมโนกรรมอยูในจติ ใจของแตละ คนน้นั เปนเหตใุ หเกดิ สง่ิ เหลา นข้ี นึ้ มาในระยะยาว ถาสามารถมองจนเหน็ วา เหตรุ า ยภยั พิบัติ ความเส่อื มเสียตางๆ ทเี่ กดิ ในสังคมนี้ เปน ผลวบิ าก เกิดแตกรรมของเราท้ังหลายน้นั เองแสดง วาพอจะทําความเขาใจในเร่อื งกรรมกนั ไดบ าง แตชัน้ แรก ตองใหเหน็ ความสมั พนั ธกนั กอ น ประการตอไป วาถงึ ในระยะยาวจะทาํ อยางไร ? เร่ืองกรรมนเ่ี ปน เร่ืองใหญ เปนเรอื่ งคณุ คา ทางนามธรรมท่ีมองเห็นไดยาก จะตอ งศกึ ษา ใชส ติปญญากนั ไมใชน อยการท่จี ะใหคนประพฤติ ปฏิบัตกิ ันจริงจังไดผลในระยะยาว จะตองอบรมปลูกฝง กนั จนเปน นิสยั จะตอ งใหก ารศึกษา ตามแนวทางท่มี คี วามเขาใจในหลกั กรรมเปนพ้ืนฐานคอื ตองฝกฝนอบรมตัง้ แตเ ดก็ ใหป ระพฤติ ดวยสาํ นึกรบั ผดิ ชอบตอการกระทําของตนจนเคยชิน ถา ไมทําอยางนี้ไดผลยากการศึกษาให เขา ใจความหมายที่ลึกซงึ้ นัน้ เปน เร่อื งยาก แมจะเปน ความจริงกต็ าม แตส่ิงทีจ่ ะทาํ ไดใ นทาง การศกึ ษากค็ อื สิ่งใดตกลงแนว าดวี า งามแลว เราจะตอ งฝกอบรมคนใหใสใจรับผดิ ชอบตง้ั แต เล็กแตน อยไป เมือ่ เราตองการใหส ังคม เปน สังคมท่ีนับถือหลกั กรรม กต็ องฝกอบรมกนั ตง้ั แตเ ดก็ ปลูกฝง ผูท ่จี ะมาเปน สมาชิกของสงั คมนนั้ ใหมแี นวความคดิ และความประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ ่ีซอื่ ตรงตอกฎ ธรรมชาตใิ นเร่อื งของกรรม ตัง้ ตน แตว า ตองปลูกฝงคานยิ ม ซึ่งมองเหน็ คุณคา ทางจิตใจสงู ข้ึน ไมว ดั กันดว ยวตั ถุใหม ากนัก เขาใจความหมายขอบเขตแหง คณุ คา และความสําคัญของ วตั ถุตามความจรงิ ตามควร หั ว ข อ เ รื่ อ ง ท่ี ๓๓ : ทาํ อยางไรจะใหเ ชอ่ื เรื่องกรรม ( ๑๕ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) \"ในเรื่องวตั ถุนน้ั ไมใชว า พระพุทธศาสนาจะปฏเิ สธคณุ คา ไมเ หน็ ความจําเปน ของวัตถุเลย พทุ ธศาสนาเหน็ ความสาํ คัญมากเหมือนกัน วตั ถุเปนสิ่งจาํ เปน ปจ จยั ๔ คือสิ่งอดุ หนุน ใหช ีวิต เราดาํ รงอยไู ด สพั เพ สตั ตา อาหารฏั ฐิตกิ า..สตั วท้ังปวงตองดํารงชีวติ อยูด วยอาหารถึงทอ่ี ยู อาศยั เครื่องนุงหม ยารกั ษาโรค ก็เปนปจจยั สําคัญของชีวิต พุทธศาสนาเห็นวา แมแ ตพระสงฆ

เอง ซ่งึ ตอ งการวัตถุนอยท่ีสดุ ก็ยังตอ งอาศัยส่ิงเหลาน้ี ขาดไมได เพราะฉะน้ัน ไมใ ชว าไมส าํ คัญ แตความสําคัญน้นั กม็ ีขอบเขตของมันเหมือนกนั คุณคาของวัตถุน้นั เราอาจจะแยกออกได 2 สวน ขอใหท านลองคดิ ดูอยางงายๆ มี ๒ สว น คือคณุ คาแท หรือคุณคา ขัน้ ตน กับคณุ คา รอง < ตวั อยา ง ปจ จัย ๔ น้เี ปน ตน > เส้อื ผาน้ี คุณคาตน หรอื คณุ คาแทข องมันคอื อะไร ?.... คือเพ่ือปกปดกายปองกนั ความละอาย แกค วามหนาว ความรอน เปน ตน น่คี ือประโยชนแท หรือคุณคาแทของมันแตสําหรับมนษุ ย ปถุ ชุ นแลว มนั ไมแคนัน้ มันจะมคี ุณคารองอกี คณุ คารองนี้คืออะไร ? คือความที่จะใหเกดิ ความรูสกึ สวยงาม โก หรหู รา อวดกัน วัดกัน อะไรตางๆเปน ตน นค้ี ือคุณ คารอง เรยี กอีกอยางวา เปน คุณคาเทียมอยางเราใชร ถยนต มนั ก็จะมีคณุ คา แทส วนหนึง่ และ สําหรับบางคนกจ็ ะมคี ุณคารองอกี สว นหน่งึ คณุ คาแท คืออะไร ? คณุ คาแทกค็ ือใชเปน ยานพาหนะ นําเราไปสทู ี่หมายดว ยความรวดเรว็ แนวความคิดทีค่ วบกบั คุณคานกี้ ็คอื พยายามใหสะดวกและปลอดภยั ทนทานทสี่ ดุ คุณคา รองก็ คือวา เราจะตอ งใหโ ก เปนสิ่งแสดงฐานะอะไรตา งๆเปนตน ความคิดท่ีควบกับคณุ คาแบบนี้ก็คือ ตอ งพยายามใหส วย ใหเ ดนทส่ี ุด ถึงสงิ่ อื่นๆ ก็เหมอื นกัน ท่ีอยูอาศยั กม็ คี ุณคาแท คอื ใหเ ปนที่พกั พิงหลบภัย และเปนทเ่ี ราจะได ดํารงชีวิตสว นเฉพาะ ของเรา ในครอบครวั ของเราใหมคี วามสุข หรอื อะไรก็ตามแตแ ตก ็ มคี ณุ คารองอกี เหมือนกนั ในความหมายของปุถชุ น เชนการแสดงฐานะ แสดงความหรูหรา หรืออะไรก็ตามแตสิง่ ทั้ง หลายท่เี กี่ยวขอ งกบั ชีวิตของเราทางวัตถนุ ้ี ปถุ ชุ นมกั จะมีคุณคาอยู ๒ คอื คุณคา แท กบั คณุ คา รองพุทธศาสนายอมรบั คณุ คาแท คุณคาแทนแ่ี หละสําคญั พระบวชมา ทานจะใหพ จิ ารณา ปฏสิ ังขาโย เชน เวลาฉนั บิณฑบาต ใหพจิ ารณาบอกวา ปฏิสงั ขา โยนโิ ส ปณ ฑปาตัง ปฏเิ สวาม.ิ . ขาพเจาไดพ ิจารณาโดยแยบคาย จึงฉันอาหาร อยา งนเี้ ปน ตน พิจารณาอยางไร ? ทา นก็บอกตอ ไปวา ฉนั เพ่อื อะไร?.. ใหเรารูวา ที่เราฉนั น้ี ฉนั เพ่ือใหม ีกําลงั กายจะไดม ีชวี ิตเปน ไป แลว เราจะไดทําหนาท่ขี องเรา อะไรตอ อะไรได เปน อยสู บายนีค่ อื คณุ คาแทต อไปคุณคารอง กค็ ือ เอรด็ อรอ ย ตอ งมีเครื่องประดบั เสริมตองไปนั่งในภตั ตาคารใหห รูหราอาจจะเปนมื้อละพนั หรอื มอ้ื ละหมืน่ กม็ แี ตวา คณุ คา ทางอาหาร บางทกี ็เทากับมือ้ ละ ๑๐ บาท หรอื ๕ บาท แตว าม้อื

ละพันหรือมอื้ ละ ๕ บาท คุณคา ที่จําเปน คณุ คา แทตอชวี ติ เทากัน คุณคา รอง หรือคณุ คาเทียม ไมเทา กนั ในชีวติ ของปุถุชนนี้ คุณคา รองเปนเรื่องสาํ คัญ แลว คณุ คารองน้ีแหละ ท่ีทาํ ใหเ กิด ปญ หาแกม นษุ ยม ากท่สี ุด ปญ หาอาชญากรรมท่เี กดิ จากความแรน แคนยากจน อนั เปนสาเหตทุ าง เศรษฐกิจ เปน ปญหาสําคัญมากพทุ ธศาสนายอมรับ แตความช่ัวรายในสังคมท่เี กดิ จากคุณคา รองหรือคุณคา เทียม ของส่งิ ทั้งหลายนน้ั มากมายกวา คนเรานี้แสวงหาคณุ คา รองกันมากมาย เหลอื เกินแลว ปญ หามนั ก็เกดิ ขน้ึ นานาประการทีเดยี ว เปน ปญ หาขนาดใหญ และมีผลกวา งไกล กวา ปญ หาทีค่ นยากจนสรา งข้ึน เปนตวั การสําคัญซอนอยูเ บอื้ งหลงั การเกิดปญ หาเศรษฐกิจที่ รา ยแรง เพราะฉะนัน้ สําหรบั พระจงึ ตองพยายามมุงคุณคาแทใ หค งอยู สว นฆราวาสนัน้ ขอให ตระหนักไว อยาเพลิน อยาลืม อยา ประมาท อยาหลงเกนิ ไป ฆราวาสเปนไปไมไ ดท จี่ ะอยอู ยาง พระ แตว า อยาหลงลืม อยา มัวเมา ตองพยายามคาํ นงึ คอยตระหนักถงึ คุณคาแทไวดวย วาเราใช ส่ิงน้ี เพ่อื ประโยชนท ่แี ทจ รงิ คอื อะไร อยาลมื ตวั จนเกินเลยไป อนั คณุ คา ของวัตถุที่มี ๒ ช้นั น้ี เปน เร่อื งสาํ คัญมาก วตั ถนุ ัน้ เปนสิ่งไมเที่ยงแท เมอ่ื เทียบ กบั นามธรรม หรอื คณุ ธรรมแลว วัตถุเปน สง่ิ ไมเท่ยี งแท มสี ภาพของความเส่ือมสลาย ทรุดโทรมอยา งเดยี ว จะเปน เสือ้ ผา เครื่องนงุ หม บา นทอ่ี ยูอ าศัย มนั อยูไดช ัว่ คราว ชว่ั ระยะกาลหนึ่ง ๕ ป ๑๐ ป ส้นั กวา ยาวกวาบา ง เสร็จแลว มนั กต็ องแตกสลายทรดุ โทรมไป เปน หลักธรรมดา นี้เปน ความไมเ ทยี่ งแทของตัววัตถเุ อง สว น คณุ คาของมันกไ็ มเ ที่ยง เหมือนกัน ไมเ ท่ียงอยา งท่อี าตมภาพกลาวแลว มนั อยูที่คานยิ มท่คี น สรา งกันขึน้ เทานั้นคานิยมทีว่ า เปน กรรม อยูในใจของเเรานี้ เราสรา งมนั ขน้ึ ขอใหค ิดดู สําหรับเราอาจจะนึกถึงวา ตอ งใสเส้ือนอกใหเรียบรอย ตอ งซกั ตอ งรีด รูส กึ วามนั ใหค วามมศี รี สงา เปน สิ่งสําคญั ในทางสงั คม อะไรตออะไร มภี ูมฐิ าน และอาจจะตองไป น่งั ในหองแอรค อน ดชิ นั่ น่ังสบาย ทํางานอยางภาคภูมิ แตม าถงึ อกี สมยั หนึ่ง คนอกี รุน หนึ่งอาจจะเหน็ วา เอ! พวก ผใู หญท ่มี ัวไปใสเสอื้ นอก ตองรดี เสื้อผาใหเรยี บรอ ย ไปนง่ั ทาํ งานในหอ งแอรคอนดชิ ่ัน ทําโตะ ใหสะอาด แหมมนั ไมไดม คี วามสุขเลย ไมไดเ ปนสาระอะไรเลย ตอ งไปน่ังลาํ บาก นัง่ ตองระวัง เสือ้ ผา ของตนเอง ตองระมัดระวังทาทางอะไรอยา งน้ี สูป ลอ ยตัวขะมกุ ขะมอมไมไดส บายดกี วา นอนกลางดนิ กินกลางทราย จะนั่ง จะกม จะกลิ้ง อยา งไรกไ็ ด แลวมนั กจ็ ริงของเขาอยเู หมอื นกนั ถา วากนั ไปแลว ใครจะสบายกวากัน คนหนง่ึ ปลอยตัวขะมุกขะมอม เสื้อผาก็ไมต อ งรีด ไมตอ ง เอาใจใสมนั ปลอยไป ทกี่ ็แลว แตจ ะไปนอนท่ไี หน อะไรตออะไรไดทัง้ น้ัน เขาก็วา ของเขามัน สบาย

นีแ่ หละ สงั คมมนั ไมแน คณุ คาทว่ี ากนั ไว มันขึน้ กับความนิยม สมัยหนงึ่ เราอาจเห็นวา อยา งนี้ดี มีศกั ด์ิ มีศรี มภี มู ิ มฐี านคนอกี สมัยหนึ่ง มนั นานเขา เหน็ ความเจรญิ ทางวัตถุมาก เบอื่ หนา ยเสยี แลว บอกวา อยา งน้ไี มไดความหรอก หาความทกุ ขใ หกับตัวเองสรางระเบียบสรางอะไรตออะไร มาใหตัวเองลําบาก อยูกันดวยระเบยี บ อยูกนั ดว ยมารยาทางสังคม ไมม ีดี เปนทุกข สไู มต องเอ้อื เฟอ ตอสิ่งเหลา นี้ อยูสบายกวาเขาอาจจะคิดขนึ้ มาอยา งน้ันกไ็ ดในระยะยาว คนอยใู นเมืองนานๆ อาจจะคดิ อยูป าขึน้ มาบางกไ็ ด หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๓๔ : ทาํ อยางไรจะใหเช่ือเรอื่ งกรรม ( ตอนจบ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตโฺ ต ) ในเมอ่ื คุณคาของวัตถมุ นั ไมเทย่ี งไมแท อยูทีก่ ารสมมติ สรา งคานิยมกันข้ึนคา นิยมก็เรม่ิ ใน จติ ใจของเราน่ีเอง นี้แหละจึงเปน กรรมอนั หนึ่งของสังคม สงั คมจะเอาอยางไรเปน เร่อื งของ สังคม ในระยะยาว อาตมภาพจึงวา จะตอ งปลกู ฝงกันตงั้ แตเ ด็กจะตอ งการคานยิ มแบบไหน วางกนั ไว เริ่มกนั แตมโนกรรม คอื คา นิยมนี้ เมอ่ื กําหนดไดว า อันน้ถี ูกตองแลว เราจะไดปลูกฝง คนของเรา ใหสรางความรสู ึกนิยมในคานิยมน้ี ตัง้ แต เล็กแตน อ ย เมื่อเปนความนิยมท่ีดีทงี่ าม ถูกตองแลว เขาก็พอใจ ในระยะยาวก็ไดผล โดยเฉพาะคานยิ มในเรอื่ งความซื่อตรงตอ กฎธรรม ชาติ อนั เปนความสมดลุ ทางวตั ถกุ ับ ทางจิตใจเมื่อปลูกฝงกนั มา คนในสงั คมนั้นมคี า นิยมอยา ง นี้ ตอไปกป็ ระพฤตกิ นั ได เพราะวากรรมมนั เริ่มจากมโนกรรม มคี วามใฝความชอบข้ึนกอ น มิ ฉะนัน้ พระพุทธเจา จะไปตรสั ทาํ ไมวา \"ในกรรมทง้ั หลาย กายกรรม กต็ าม วจีกรรมกต็ าม มโนกรรมกต็ ามมโนกรรมสําคญั ท่ีสดุ \" ในลทั ธินิครนถเ ขาบอกวา กายกรรมสําคัญกวา เพราะกายกรรมนี้แสดงออกในภายนอก เอามีด มาฟน คณุ ก็ตาย ถาคุณมาเพยี งแตใ จแลว ทําใหฉ ันตายไดไ หมทาํ นองน้ีแตอยา ลืมวา นเ่ี ขามอง แคบ สัน้ เกินไปในระยะยาว เรอื่ งปลกู ฝง กนั ทางจติ ใจน่ีสําคัญกวา สังคมจะเปน อยางไร กเ็ ริ่ม แตมโนกรรมนีไ่ ป เพราะฉะน้ันถาเราปลกู ฝงเด็กของเรา ใหม คี า นยิ มอยางนี้ ใหประพฤติตามแนวแหงหลักกรรม ตอ ไปในระยะยาวกจ็ ะไดผ ลอันน้ี กลาวยา้ํ อีกครั้ง อยางสนั้ ที่สุดวา จะตองปลกู ฝงมโนกรรมสว น ทีข่ อเรยี กวาคานิยมแหง ธรรม หรอื คา นิยมแหง ความซื่อตรงตอกฎธรรมชาติ ใหมขี ้ึนในสังคม ใหไ ด โดยเฉพาะในหมูอนชุ นของสังคมนน้ั และขอนจี้ ะตอ งถอื วา เปน ภารกิจสําคญั ย่ิงอยา ง

หนง่ึ ของการศึกษาเพราะวา ท่ีจรงิ แลว มนั เปน สวนเนือ้ หาสาระของการศึกษาทเี ดยี ว อาตมภาพ เพียงเสนอความคดิ เห็นไว จะเปนสง่ิ ที่มีประโยชนเ พียงไร กส็ ุดแตทานพิจารณาในฐานะท่สี วน มาก ทานกเ็ ปน ผูสนใจใฝธ รรมกนั มาแลว ไดศึกษาธรรมกนั อยู ทีอ่ าตมภาพพูดมานี้ กเ็ ปนการพดู ในฐานะนกั ศึกษาธรรมอีกผูหนง่ึ นําขอ คิดเหน็ ในการทไี่ ด ศกึ ษาเลาเรยี นมาเสนอแกทาน เปน การประกอบความคดิ การพิจารณาถาหากวา จะไดป ระโยชน อยา งไร แมแ ตจะเปนประโยชนสกั เลก็ นอย กข็ ออนโุ มทนายนิ ดี เรอื่ ง กรรมนเี้ ปนเร่อื งของความ จรงิ มนุษยนน้ั กอ็ ยูกับความจรงิ และหนคี วามจรงิ ไปไมพ น แตมนุษยน้ันก็ไมคอ ยชอบนักท่ีจะ เผชิญกับความจริง ทง้ั ๆที่ตัวจะตอ งอยูกบั ความจรงิ อยูในความจรงิ ยังพยายามสรางสงิ่ เคลอื บ แฝง มาทําใหรูส กึ วา มรี ส มคี วามสนกุ เพลิดเพลินย่ิงขนึ้ เหมอื นอยางในเรื่องคณุ คา ท่ีวา มนษุ ย เราใชปจ จยั ๔ มคี ณุ คา แทก ับคุณคา รองนี้ ความจรงิ คอื คุณคาแทน ้ี ปฏิเสธไมไ ด แตเ พราะ มนุษยมกั ไมค อ ยพอใจอยูกับความ จรงิ เพียงหาสิ่งที่มาเปน เครื่องประกอบเคลือบแฝง ทาํ ให รูสกึ มีความอรอ ย มีความสนุกสนานขึ้น เกิดเปนคุณคารอง เปน ทางใหมนษุ ยเกิดปญ หาไดม าก ยง่ิ ข้นึ เรอื่ งกรรมเปน เรื่องความจริง ความจริงน้ันปฏเิ สธไมได และเกี่ยวกบั ชวี ติ เราทุกคนตอ งยอม รบั ความจริง แตใ นเม่ือมนั เปนความจรงิ แลว มันเปนเรอื่ งยาก ไมส นกุ สนานเอร็ดอรอ ย การที่จะ ศกึ ษาใหเ ขาใจชดั เจนกต็ าม การจะปลูกฝง กนั ขึ้นมากต็ าม เปนเรอ่ื งยากเรื่องใหญ จะตองทาํ ความพยายามอยางทวี่ า คือตองปลกู ฝงกนั มา ต้งั ตนแตคา นยิ ม จะมาเอาปุบปบ ข้นึ มาไมไดม ัน กไ็ มสนุกสนานอะไรเทาไร เพราะฉะน้นั ก็ยาก เปน เรอ่ื งยาก อยางที่วามานี้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook