กรรม หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑ : หลกั กรรมสําหรับคนสมัยใหม โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) การบรรยายในวันนี้ ทานกาํ หนดใหพ ดู เรอ่ื งกรรม เรอ่ื งกรรม เปน หลกั ธรรมทีส่ าํ คญั มากใน พระพุทธศาสนานอกจากสําคญั แลว ก็เปน หวั ขอ ทม่ี ีคนมักมคี วามสงสยั เขาใจกันไมช ัดเจนใน หลายแง หลายอยา ง บางครงั้ ก็ ทาํ ใหนกั เผยแผพระพุทธศาสนาประสบความยากลําบากใน การที่จะช้แี จง อธบิ าย หรอื ตอบปญหา ไขขอสงสยั แนวการอธิบาย เรอ่ื งกรรมการ อธิบาย เรือ่ งกรรมนนั้ โดยทวั่ ไปมักจะพูดกนั เปน ๒ แนว แนวทไี่ ดย ินกนั มากคอื แนวทีพ่ ูดอยางกวา งๆเปน ชว งยาวๆ เชนพดู วา คนนี้ เมอ่ื สมัยกอ นเคยหักขาไกไ ว แลว ตอมาอีก ๒๐ ถึง ๓๐ป โดนรถชนขาหัก ก็ บอกวา เปน กรรมทไี่ ปหกั ขาไกไ ว หรอื คราวหนง่ึ หลายสิบปแ ลวไปเผาปา ทาํ ใหสัตวตาย ตอ มา อีกนานทีเดยี ว อาจจะแกเ ฒา แลวมเี หตุการณเ ปน อุบตั ภิ ัยเกิดขน้ึ ไฟไหมบ าน แลวถูกไฟ คลอกตาย นี้เปน การอธิบาย เลาเรอ่ื ง หรอื บรรยายเกยี่ วกับกรรมแบบหนง่ึ ซึ่ง มักจะไดย นิ กนั บอ ยๆการอธิบายแนวน้ีมคี วามโลดโผน นาตื่นเตน นาสนใจ บางทีกอ็ า นสนกุ เปนเครือ่ งจูง ใจคนไดป ระเภทหน่ึง แต คนอีกพวกหนง่ึ กม็ องไปวา ไมเห็นเหตผุ ลชดั เจน การไปหกั ขาไกไ ว กบั การมาเกดิ อบุ ัตเิ หตุรถชน ในเวลา ตอ มาภายหลังหลายสิบปน ้นั มีเหตผุ ลเช่อื มโยงกนั อยาง ไร ผูทเ่ี ลา ก็ไมอ ธบิ ายชีแ้ จงใหเห็นทําใหเขาเกดิ ความสงสัย คนท่ีหนกั ในเรอื่ งเหตุผล เม่ือไม สามารถช้ีแจง เหตุปจจยั เช่อื มโยงใหเ ขามองเห็นชดั เจน เขาก็ไมยอมเชือ่ ยง่ิ สมยั นีเ้ ปนสมัยที่ ถอื วา วทิ ยาศาสตรเจริญ คนตอ งพดู จากันใหม ีเหตุผล อธบิ ายใหเ หน็ จรงิ เห็นจังไดว าเรื่องโนน กับเร่อื งน้สี มั พันธก ันอยางไร เมือ่ เราไมช แ้ี จงเหตุผล เชอื่ มโยงใหเขาเห็นเขาก็ไมยอมเช่อื ก็เปน ปญหาเกิดขน้ึ และ เราก็ชอบอธบิ ายกนั ในแงน ีด้ ว ย เพราะฉะน้ัน จงึ ไมสามารถนอมใจ คนจาํ นวนมิใชน อ ย ทถ่ี อื ตนวาเปนคนมเี หตผุ ลหรอื เปน ผู มีลกั ษณะจิตใจ หรือ มที าทแี บบวทิ ยาศาสตร การอธิบายแบบที่ ๒ ก็คืออธิบายในแงของเหตุ ปจจยั ที่เชื่อมโยงใหเหน็ ชดั ซึง่ กลายเปนเรอื่ งละเอยี ดลกึ ซึง้ เปน เรือ่ งทีย่ ากอยจู ะตอ งอาศยั การ พินิจพิจารณาและ การศึกษาหลกั วิชามาก การอธิบาย ในแนวแยกแยะเหตผุ ลน้บี างทเี ปนเร่อื ง ทหี่ าถอยคํามาพูด ใหม องเห็นชัดเจน ไดย าก จึงเปนวธิ ีทไ่ี มคอ ยมีผูใ ชห รือ เราไมค อยมเี วลาท่ี
จะอธบิ าย เพราะคนสวนใหญจ ะมาพบกันในท่ีประชุมเพยี งชว่ั เวลา ช่ัวโมง ๒ ช่ัวโมง ซ่งึ จะพดู กนั ไดกแ็ ต เร่ืองในขนั้ ตัว อยางหยาบๆ มองชวงไกลๆเทา นั้น สําหรับเรอ่ื งทจ่ี ะพดู กัน ในวันนี้ คดิ วา เราควรจะมาหาทาง พจิ ารณาในแงว ิเคราะห หรอื แยกแยะความเปนเหตุ เปนผล เทา ที่ จะเปนไปได ขอใหล องมาพจิ ารณาดูกนั วา จะอธิบายไดอ ยา งไรโปรดตดิ ตามตอ ..... หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒ : หนช้ี ีวติ โ ด ย : ท.เลยี งพบิ ูลย เรื่องน้เี ปนเรอ่ื งจริง ซึง่ ท.เลียงพบิ ูลย ไดเ คยรวบรวมเอาไว เปนเร่ืองที่เกิดขน้ึ กอ นสงคราม โลกครัง้ ที่ ๒ ไมน านนักเปนเร่ืองราวของผูท รงอิทธิพลคนหนงึ่ ช่ือ \"กาํ นนั แตม\" แตเดิมกาํ นนั แตม เปน คนที่ฉลาดแกมโกง หากินกบั การรับจํานองที่ท่มี ีคนเอาไปจํานอง เน่ืองจากเดือดรอ น เร่ืองการเงนิ และในไมช า ท่ที างเหลาน้นั ก็จะตกไปเปนของเขาหมด และเขากจ็ ะจัดการขับไล เจาของเดิมออกไป โดยไมม ีความเห็นใจใดๆท้ังสิ้น ถา ใครถกู ไลแ ลว ไมไป ก็จะถูกอทิ ธพิ ลมืด คกุ คาม จนเปนทห่ี วาดเกรงของคนในยา นนั้น วนั หน่ึง กํานันแตม ไดโดยสารเรอื เมลจะกลับบา น ระหวางทางเกดิ พายุใหญ ทาํ ใหเ รอื ลม กํานนั แตมลอยคออยกู ลางนํา้ โดยอาศยั เกาะทอนไม ทอ นหน่งึ พยุงตวั เอาไว และแลว ไมน านนัก...แรงกค็ อยๆหมด ทอ นไมก ็คอยๆหลุดออกไป จากมอื ในขณะที่แกกําลังจะจมนํา้ น้ัน ก็พอดมี สี องพอ ลูกพายเรอื ผา นไปเห็น และไดช ว ยชวี ิตไว ทนั สองพอ ลูกทีว่ าน้นั ก็คือคนท่ีกํานันแตมเคยริบบา นชอ งไรนาและขับไลเขาออกไปนัน่ เอง แต สองพอ ลกู หาไดผ กู ใจเจ็บตอ กาํ นนั แตมไม นอกจากจะชว ยชีวติ แลว แถมยงั ใหข าวปลาอาหาร และทพี่ กั แกก าํ นนั แตม อีกดวย ทาํ ใหกํานนั แตม รสู ึกซาบซึ้งในความมนี ้ําใจของสองพอลกู เปน ยิ่งนัก \"ถงึ แมเขาจะจนเงนิ แตเขาก็ไมจนน้ําใจ... เราเสยี อกี รวยเงนิ แตแลงนาํ้ ใจตอเพอื่ นมนุษย ดว ยกนั \" นับจากน้ัน นิสัยของกํานันแตม กไ็ ดเ ปลี่ยนจากหนามอื เปน หลงั มือ เหมอื นเปนคนละคน จาก ที่เคยเปนคนเค็ม เห็นแกไ ด ไมเ คยเหน็ ใจใคร กก็ ลบั เปนคนมเี มตตา ชวยเหลือทกุ คนท่ี เดือด รอน ครอบครวั ใดที่กาํ นนั แตม เคยทําใหเ ขาเดือดรอนมากอ น กก็ ลับใหก ารชว ยเหลอื ทาํ ให ครอบครัวเหลา นัน้ ไดรบั ความสขุ สบายตามควรแกอัตภาพดวยเหตนุ ้ี \"กาํ นันแตม \" จงึ กลายเปน ทรี่ ักของทกุ ๆคนในหมูบ า น แตอ ยูต อ มา กํานนั แตมกล็ มปว ย เขา โรงพยาบาล สองพอ ลูกที่เคย ชว ยชวี ติ กํานันแตม เอาไว เมื่อรูข า ว กจ็ ะไปเยี่ยมในตอนเชา วันนนั้ ขณะท่ี สองพอลูกกาํ ลังจะ จะกาวขึ้นรถโดยสาร กไ็ ดเหน็ กาํ นันแตมนัง่ อยูในรถโดยสารอกี คันหนึ่งซึ่งว่ิงสวนทางมาพอมา ถึงตรงสองพอ ลกู กาํ นนั แตม กช็ ะโงกหนาออกมา แลวโบกไมโบกมอื คลายจะบอกวาไมต อ ง
ไปสองพอลูกคดิ วา กํานันแตมหายปวยแลว กจ็ ึงลงจากรถโดยสารคันนั้นตอนบา ยจึงไดทราบ ขา ววา รถโดยสารคันทจี่ ะขึ้นไปน้นั ไดประสบอุบตั ิเหตุ มีผูโ ดยสารเสยี ชีวิตและบาดเจบ็ เปนจํา นวนมากโชคดีทส่ี องพอ ลกู ผูมใี จเมตตา ไมไ ดไปกับรถคนั นน้ั ดวย สองพอลกู รูสกึ เปน หน้ีชวี ิต กาํ นันแตม ทม่ี าโบกไมโบกมอื หา มเอาไว ไมใหไปกับรถคนั นนั้ กําลังคดิ ท่ีจะไปขอบคณุ กาํ นนั แตมที่บาน แตกตอ งสะดุง เมื่อลกู สาวของกํานนั แตม มาบอกกบั สองพอ ลกู วา \"กํานนั แตมได ถึงแกกรรมแลว เม่อื เชา นีเ้ อง\" นนั่ แสดงวา กาํ นันแตม ที่สองพอ ลกู เหน็ เม่อื เชา นนั่ ก็คงเปน วญิ ญาณของกํานันแตมที่มาบอกเตือนสองพอ ลูกลวงหนา คนใจดมี ีเมตตาอยางสองพอ ลูก ขนาดผยี งั คุมครอง ใหแคลวคลาดปราศจากภัย สาธ.ุ .. สมควรแลว สาํ หรบั กรรมดี ทสี่ องพอ ลูกไดก ระทาํ หั ว ข อ เ รื่ อ ง ท่ี ๓ : กรรมของคนอกตญั ู โ ด ย : หลานสมเด็จ เรือ่ งน้เี กดิ ขึ้น ท่ีเขตอําเภอปอมปราบ ในตระกูลพอ คาทีม่ ี ความมั่งมมี พี อ แมและลกู ชาย คนหนง่ึ จากการทต่ี ามใจลกู มา ตง้ั แตเ ด็กจนเปนหนมุ ลกั ษณะและอปุ นสิ ัยของลกู ชายนั้น นสิ ยั ข้โี มโห โกรธงาย เพราะถูกพอแมเลย้ี งมาแบบเอาใจมาก เลยทําใหนิสัยเสยี จึงเปน คนแข็งกราว ชอบเอาแตใจตวั เองเปน ใหญ พอพอ แมอ ายุยางเขา ๖๐ ป ก็ไดม อบทรพั ยสมบัติและ กจิ การ ตา งๆ ใหเปน ของลกู โดยใหล กู เปน ผูดูแลทั้งสิน้ เมื่อไดรับ มรดกดังกลาวแลว ลูกชายคนนก้ี ็ยิ่ง มคี วามหยิ่งจองหองและปากเปราะมาก บางคร้งั แมของตัวเองจะทานขาว จะไปธุระ หรือจะ ไปนอน ตวั เองซง่ึ เปนลูกชาย ไมเคยท่ีจะมาดูแลทุกขส ุขแตอ ยางใด บางครัง้ แมจะขอเงินบางสว นไปทาํ บญุ ปลอ ยนก ปลอ ยสัตว ลูกชายก็ตะคอกใส โดยไมค าํ นึง วา ผูน้ันเปน ผบู ังเกดิ เกลา ของเขาโดยไมก ลวั บาป และบางครง้ั แมพูดผิด หรือทาํ ของหกหลน เปน ทไ่ี มพอใจลูกก็ดา วา โดยไมมีการใหอภยั เปนเร่ืองทบ่ี าปมากทส่ี ุด จนบานใกลเ รือนเคยี งรสู ึก มคี วามหดหูใจตอบตุ รชายที่เนรคุณตอผูมพี ระคุณครั้นตอ มาเม่ือแมข องตวั เองไดส ิ้นบุญลง กิจการตางๆกเ็ ริ่มทรดุ ลงตาม สาํ หรับตวั เองก็เสเพลด่ืมเหลา เท่ยี วผหู ญิง แลว กเ็ ลน การพนนั เพียงไมเกิน ๕ ป กิจการตา งๆ ก็ลม ละลาย และภายในครอบครวั ก็มีเร่ืองแตกแยกกนั สภาพ การเงินก็เลวลงกวา ท่เี ปนอยู จนตัวเอง คิดมากและสขุ ภาพไมแขง็ แรงปว ยเปนสารพดั โรคทาํ ให ตนเองจากที่เคยขีร่ ถเบ็นซ ก็กลายเปน ตองมาขี่จักรยาน ๒ ลอ แทน และไปทํางานบริษทั ในหนา ทีเ่ ดก็ เดินหนงั สอื ไมถ ึง ๒ เดอื น กถ็ กู ไลอ อก เพราะนสิ ัยเดิม ทเ่ี ปนคนมุทะลุ โกรธงายจองหอง
จงึ เปนเหตุใหท ํางานไมได ผลสุดทายตองไปนั่งขอทานตามสะพาน ตามศาลเจาตางๆ เรื่องน้ีเปน อุทาหรณใ หเ ห็นวา ผูบ ังเกดิ เกลาเปน สงิ่ ทเ่ี ราตอ งยกยอ งนับถือ และเทอดทูนเหนือ ส่งิ อ่นื ใด และตอ งไมเนรคณุ ลบหลูตอ ทานอยา งเด็ดขาด มฉิ ะนน้ั แลว กรรมจะตามสนองเหมอื น อยา งนี้ และฟา ดนิ จะตอ งลงโทษอยา งหนกั หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๔ : อาจคลาดเคล่อื น ตอ งเตอื นใหร ะวงั ( ๑ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ. ปยตุ โฺ ต ) ลกั ษณะของหลักกรรมน้ี เปน เรื่องท่นี าพจิ ารณา เพราะกรรมเปนหลักใหญใ นพระพุทธศาสนา จะตองมกี ารเนนอยูเสมอ หลักการของศาสนานั้น ก็เหมอื นกับหลักการปฏิบัตทิ ่ัวไปในหมูมนุษย เม่อื เผยแพรไปในหมูมนษุ ยวงกวาง ซ่ึงมีระดบั สติปญ ญาตางกัน มีความเอาใจใสตางกัน มี พ้นื เพภมู หิ ลังตางๆกนั นานๆเขา ก็มีการคลาดเคลือ่ นเลือนลางไปได จึงจะตองมกี ารทําความ เขา ใจกันอยูอยางสม่ําเสมอ เรอ่ื งกรรรมน้ีก็เหมือนกัน เม่ือเผยแพรไ ปในหมชู นจาํ นวนมากเขา กม็ ีอาการท่ีเรียกวา เกดิ ความ คลาดเคลอื่ น มีการเฉไฉ ไขวเขวไปได ทัง้ ในทางการปฏบิ ตั ิและความเขาใจ หลักกรรมในพระ พุทธศาสนานี้ ทา นสอนไวเ พอ่ื อะไร ทเี่ ราเหน็ ชัดก็คือ เพอ่ื ไมใหแ บงคนโดยชาติกําเนิด ใหแ บง โดยความประพฤติ โดยการกระทํา น่ีเปนประการแรก ดังท่พี ระพทุ ธเจาตรสั วา ประพฤตดิ งั ที่ พระพุทธเจาตรสั วา \"กมฺมนุ า วสโล โหติ กมฺมนุ า โหติ พฺราหมฺ โณ\" คนไมใ ชต่ําทรามเพราะชาตกิ าํ เนิด แตคนจะเปนคนต่าํ ทราม กเ็ พราะกรรมคอื การกระทาํ คน มิใชจ ะเปนพราหมณเพราะชาติกําเนิด แตเ ปนพราหมณ คอื ผูบริสทุ ธ์ิ คอื คนดคี นประเสรฐิ ก็ เพราะกรรมคอื การกระทาํ ตามหลักการน้ี พระพทุ ธศาสนายึดเอาการกระทาํ หรือความประพฤติ มาเปนเครื่องแบง แยกมนุษย ในแงของความประเสรฐิ หรือความเลวทราม ไมใหแบง แยกโดย ชาตกิ ําเนิด ความมงุ หมายในการเขาใจหลกั กรรมประการทีส่ องท่ที า นเนน ก็คอื การรบั ผิดชอบ ตอ ตนเอง คนเราน้ันมักจะซดั ทอดส่ิงภายนอกซดั ทอดปจ จัยภายนอก ไมรบั ผดิ ชอบตอการ กระทาํ ของตนเอง เวลามองหาความผดิ ตองมองไปทีผ่ อู ื่นกอน มองท่ีส่ิงภายนอกกอน แมแต เดินเตะกระโถน กต็ อ งบอกวาใครเอากระโถนมาวางซุมซาม ไมว า ตนเดินซุมซา ม เพราะฉะนน้ั จงึ เปน ลักษณะของคนที่ชอบซดั ทอดปจ จยั ภายนอก แตพระพุทธศาสนาสอนใหร ับผิดชอบการ กระทาํ ของตนเองใหม กี ารสํารวจตนเองเปนเบ้อื งตน กอน
ประการตอ ไป ทา นสอนหลกั กรรม เพอื่ ใหรจู กั พึ่งตนเอง ไมฝากโชคชะตาไวก บั ปจจัยภาย นอก ไมใหห วังผลจากการออ นวอนนอนคอยโชค ใหห วังผลจากการกระทํา หลักกรรมในพระ พุทธศาสนาสอนวา \"ความสําเรจ็ เกดิ ข้ึนจากการกระทําตาม ทางของเหตุผล\" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๕ : ทาํ ไมเกิดมาไมเ หมอื นกัน ? โ ด ย : สชุ ีพ ปญุ ญานุภาพ การทค่ี นเกดิ มาไมเหมอื นกัน เชน บางคนฉลาด บางคนโง บางคนรูปรางงามบางคนตรงกนั ขาม บางคนเกิดในตระตูลตา่ํ บางคนเกิดในตระกลู สงู เมือ่ ถามวา ทําไมจึงเปนเชน น้ี ? ถา ตอบ แบบวทิ ยาศาสตร กต็ อบวา การท่ฉี ลาดหรือโง รา งกายสมประกอบหรอื ไม จนหรือมงั่ มีก็ เพราะไปเกิดในมารดาบดิ าทม่ี เี หตุแวดลอ มดีเลวผิดกัน ความเปนไปจงึ ผดิ กันเปนอันวาบิดา มารดาถายทอดส่ิงตางๆ ใหดว ย เหตุแวดลอ มประกอบดวย จึงเปน เชน น้ัน จึงเปนอันวา ตอบ ดวยหลักพนั ธกุ รรมและเหตุแวดลอม คราวน้ีถาถามตอไปวา เหตไุ ฉนเลาจึงไปเกิดเปนลกู ของ คนมีบา ง จนบาง มีสว นประกอบทางกายและจติ ใจสมบรู ณบ า งบกพรอ งบาง ทําไมจึงตางๆ กันไป ทาํ ไมจงึ ไมเ กดิ ในทีด่ ีๆ เหมือนกนั หมด ? ในท่ีสุดก็จะตอ งซดั ใหความบงั เอิญ แตใ น ปจจบุ นั เราเลกิ ทฤษฎีบังเอญิ กนั แลว ทุกสงิ่ ตองมีเหตผุ ล ไมใชบ ังเอิญ บังเอิญเปนคําทเี่ ราใช กันในเมือ่ ยงั หาเหตผุ ลไมไ ดเทา นนั้ ทางพระพุทธศาสนาสอนวา กรรม คือการกระทาํ ในชาตกิ อน ไดจดั สรรเสรจ็ ใหไ ปเกิดใน ฐานะนั้นๆ ไดร ับการถา ยทอดทางกายดีหรอื เลว ไดประสบสิ่งแวดลอ มดีหรอื เลว แลวแตกรรม นําไป ไมใ ชพ ระเจาสราง ทุกคนสรางตวั เองดว ยการกระทําของตนในกรณีเชน นี้ เราจะไมไ ป โทษคนโนน คนนี้วาสรางเราไมด ี แตเ ราจะสรา งตัวเราใหมใ นชาตินี้ดวยการทําดี อบรมใหเกดิ อปุ นสิ ยั ใจคอท่ีดงี ามไดต ามประสงคอาจมีผแู ยง จะใหเห็นดว ยตาตามเคยวา กรรมรูปรา ง เปน อยา งไร จึงจัดสรรได และตดิ ตามคนได ? ขอ น้เี ปรียบดวยพลังงานซ่งึ ติดไปกับลูกศร เวลายงิ ไปในอากาศ ลูกศรแลน ไปเรอ่ื ยๆน้นั เรา เหน็ พลังงานหรือเปลา ? หรอื ผูท่ไี ดรับสถาปนาเปนพระมหากษตั ริยถ าไมแสดง พระองคเ สด็จ ปะปนไปในทต่ี างๆ และเราไมร มู ากอน มอี ะไรตดิ ตามไป เปนเครื่องแสดงใหเห็นบา งวา ทาน ผูน ้ีเปนพระราชา เพราะพระองคก ม็ ีอวัยวะรางกายเหมอื นคนธรรมดาทกุ อยา ง แตท านก็คง เปนพระราชาอยนู น่ั เอง การท่ีกรรมตดิ ตามคนนน้ั ทา นเปรยี บเหมือนเงาของคน จะขหู รอื
ปลอบไมใ หต ดิ ตามกไ็ มไ ด พระพทุ ธศาสนาเปรยี บกรรมวา เปน เนอ้ื ท่ี วญิ ญาณเปน พชื แสดง วา กรรมกบั วญิ ญาณมสี ว นสมั พันธก ัน เนอ้ื ท่ดี ี พชื ก็งอกงามดี คนเราจะดีเลว เพราะการกระ ทําของตนเชนน้ี จึงควรอยา งยิ่งที่จะเลอื กทําแตก รรมดี ละเลิกความชัว่ เสยี เมลด็ ทุเรยี น เก็บ ความสามารถในการเปน ตน มใี บดอก และลูกทเุ รยี นไวไ ดใ นตัวเอง เม่อื ถงึ คราวก็เจริญเติบโต เปนตนทเุ รยี นฉนั ใด วิญญาณก็มกี รรมติด ไปดว ย อยา งซอนเรน ไมเหน็ ตัว แตเมื่อปรากฏตวั ออกมา กป็ รากฏตามลักษณะทกี่ ําหนดของกรรมนั้นๆ หั ว ข อ เ รื่ อ ง ท่ี ๖ : กรรมทท่ี ําใหห ยารา ง ( ตอน ๒ ) โดย:ธรรมะไทย เมอ่ื สัปดาหทแ่ี ลว ไดเลาคางเอาไว เกย่ี วกบั เรอ่ื งราวของพระภิกษุณรี ปู หนง่ึ ทม่ี นี ามวา \"อิสิ ทาส\"ี ทา นกําลังจะเลา ถึงวบิ ากกรรม ที่ทําใหทา นตองหยา รางจากสามีคนแลว คนเลา วิบาก กรรมที่ทาํ เอาไวเ ปน อยางไร เราลองมาฟงจากการบอกเลาของทา น \"ดฉิ นั จะเลาวบิ ากแหงกรรมนน้ั ใหท า นฟง ขอทานจงมีใจเปนหนงึ่ ตัง้ ใจฟงวิบากแหงกรรม น้ันเถดิ ในสมยั น้นั ดฉิ ันเกดิ เปน นายชางทอง มที รัพยส มบตั มิ าก อยูใ นนครเอรกกจั นะ เปนคน มวั เมาลมุ หลงดวยความเปน หนมุ จึงไดค บชกู ับภรรยาของชายอนื่ ครัน้ เม่อื ดฉิ ันไดจุติ ( ตาย ) จาก ชาติน้นั แลว ตอ งหมกไหมอ ยใู นนรกตลอดกาลนานเมื่อพนจากนรกแลว กไ็ ดไปเกิดในทอ ง ของนางวานร พอคลอดได ๗ วนั วานรใหญทีเ่ ปน หวั หนาฝูงกไ็ ดก ดั อวัยวะสืบพันธุของดิฉนั เสยี นีเ่ ปนผลกรรมเกา ของดิฉันท่ีไดคบชูกบั ภรรยาของชายอ่ืน เม่ือดิฉันตายจากกําเนิดวานร นน้ั แลว ก็ไดไปเกิดในทองนางแพะตาบอด อยูในแควนสนิ ธู เมือ่ มอี ายุได ๑๒ ป ก็ถูกเด็กตัด อวยั วะสบื พันธทุ ้งิ เสีย ตอมาก็เปนโรค ถูกหมูหนอนฟอนเฟะทอ่ี วยั วะสบื พันธุ น่เี พราะโทษท่ี ดิฉนั ไดค บชกู บั ภรรยาของชายอื่น ดฉิ นั จตุ ิจากกาํ เนดิ แพะน้ันแลว ก็ไดไ ปเกดิ ในทองแมโ คของ พอคา คนหนึ่ง เปนลูกโคมีขนสแี ดง เหมือนสคี รั่ง พอมีอายไุ ด ๑๒ เดือนก็ถกู ตอน ดฉิ ันถูก เขาใชเทยี มไถและเข็นเกวียน ตอ มาเปน โรคตาบอด เปน โคกระจอก เปน โคขี้โรค... น่ีกเ็ พราะโทษท่ีดฉิ ันไดคบชูกบั ภรรยาของชายอื่นดิฉันจตุ ิจากกาํ เนิดโคนน่ั แลว ก็ไปเกิดใน เรอื นของนางทาสี จะเปนหญิงกไ็ มใช จะเปนชายกไ็ มเชิงนกี่ ็เพราะโทษท่ีดฉิ นั ไดค บชูกบั ภรรยาของชายอน่ื ดิฉันมีอายไุ ด ๓๐ ปกต็ าย แลว มาเกิดเปนลกู หญงิ ในสกลุ ของชา งสานเสอ่ื เปน สกลุ ขดั สน มที รพั ยน อย ถูกแตเจา หนีร้ ุมทวงอยูเ ปนนิตยตอมาเม่ือเปนหนม้ี ากข้ึน พอ คา เกวียนคนหน่ึงมารบิ ทรพั ยส มบัติแลว ก็ฉดุ เอาดิฉันลงจากเรอื นไปภายหลังทดี่ ิฉนั มีอายุครบ ๑๖
ป บุตรของพอ คา เกวยี นน้ัน มชี ื่อวา \"คิรทิ าส\" ไดเ ห็นดิฉนั เปนสาว กําลงั รุน มจี ิตปฏิพทั ธรกั ใคร ขอไปเปนภรรยา แตว า นายคิรทิ าสนั้น มภี รรยาอยกู อนแลวคนหนึง่ ซ่ึงเปนคนมศี ีล ทรง คณุ สมบตั ิ ทั้งมยี ศ รักใครส ามีเปนอยางดยี ง่ิ ดิฉันไดบ งั คับนายคิริทาส ใหข ับไลภ รรยาของ ตนไป... นก่ี เ็ ปนตน เหตุ ทาํ ใหส ามีตองหยา รา งกับ ดิฉัน ผไู ดบาํ รงุ สามเี หมือนทาสีไป น่ีเปน ผลแหง การคบชกู ับภรรยาของชายอ่ืน และไดบ งั คับสามีใหขับไลภ รรยาเกา ของเขาไปที่สดุ ผล แหงบาปกรรมนัน้ ดิฉันกไ็ ดทาํ เสรจ็ แลว \" ท้งั หมดน้ี เปนคําบอกเลาของพระอิสิทาสเี ถรี ปรากฏอยใู นอสิ ทิ าสีเถรคี าถา พระไตรปฎก เลม ที่ ๒๒ หนา ๕๐๐ เหน็ วานา จะเปน ประโยชน จึงไดนํามาถายทอด เลาสกู ันฟง หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๗ : พทุ ธบพุ กรรม ( ตอน ๑ ) โดย:ธรรมะไทย พุทธบุพกรรม หมายถึง กรรมเกา ทีพ่ ระพทุ ธเจาไดเคยกระทําไวในสมยั ที่บารมยี ังออ นอยู บางภพบางชาติ พระองคก เ็ คยประมาทพลาดพลงั้ ทาํ กรรมอันเปนบาปไว และพอมาชาตินี้ หลังจากทไี่ ดตรสั รเู ปน พระสมั มาสัมพทุ ธเจาแลว เศษกรรมนนั้ กย็ ังตามมาใหผ ล หลายคร้งั หลายหนดวยกัน ซึง่ เรอ่ื งทัง้ หมดนี้ มีปรากฏอยูใ น พระสุตตันตปฎก เลมท่ี ๒๔ ขุททกนิกาย พุทธาปทาน ปุพพกรรมปโลติที่ ๑๐ ขอ ๓๙๒ แสดงไววา ขณะทีพ่ ระพทุ ธเจาประทบั อยูท่สี ระใหญอ โนดาต ไดต รัสเลาถงึ อกุศลบุพกรรมโดยมีใจความ วา \"ภิกษุท้ังหลาย เธอจงฟง กรรมท่เี ราไดทาํ แลวในอดตี ในกาลกอ น เราเปนนายโคบาล ตอน โคไปเล้ียง เห็นแมโ คกําลังด่มื นาํ้ ขนุ มวั จึงหา มมัน ดว ยวบิ ากแหงกรรมนั้น มาในชาตนิ ้ี แมเรา กระหายน้าํ กไ็ มไดดม่ื ตามความปรารถนา\" เหตุการณตอนน้ัน ก็คอื ตอนทพี่ ระพทุ ธเจากาํ ลงั จะเสด็จ เพ่ือไปปรนิ ิพพานทเี่ มอื งกุสินารา ระหวางทาง รูส ึกกระหายน้าํ เปน กําลงั จงึ มีรับสง่ั ใหพระอานนทไ ปตกั นา้ํ ที่ลาํ ธารมาให แตกไ็ ม สามารถไดด ม่ื ในทันทีทันใด เน่อื งจากเกวียน ๕๐๐ เลม เพ่ิงผา นลําธารไป ทาํ ใหน าํ้ บรเิ วณนนั้ ขนุ เราดเู หตทุ สี่ รา งไว เราอาจจะคดิ วา เปนเหตุเพยี งเลก็ นอย แตขนึ้ ชื่อวา บาปกรรมแลว แม เพยี งเลก็ นอย กใ็ หผลเปนความทกุ ขความเดือดรอนเสมอ...
หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๗ : ทํากรรมรวมกนั มา โ ด ย : พระธรรมกิตติวงศ ( ทองดี ) คําวา กรรมรว มกนั มาแตอดตี ชาติ หมายความวาอยางไร เพราะบางคนพอ แมดี แตลูกไมด ี บางคนครอบครัวดี แตมบี ริวารนาํ ความเดือดรอนมาให บางคนลูกดีแตบ พุ พการีไมด ี ถา จะ ถอื วาชาตกิ อนมคี วามสัมพันธกับชาตินี้ ก็จะตองหมายความวา พอ แม พ่ี นอ ง เพ่ือนฝูง ทเ่ี คย พัวพนั กันมา จะตองไปพบกันทุกชาตเิ ชนนัน้ หรือ จงึ มีการกลาวถึงคําวา \"ทํากรรมรว มกันมา\" คาํ วา \"กรรมรวมกันมาแตอ ดตี ชาติ\" เปน คําทห่ี มายถงึ คนสองคน หรือสองฝา ยเคยทําอะไร รว มกันมา จะเปน ทางดกี ไ็ ด ทางไมด ีก็ได เชนเคยทาํ บญุ รวมกนั มา เคยรว มปลนฆาคนมาดวย กนั เปนตน การกระทําท่ที าํ รว มกันอยา งนแ้ี หละ ทเ่ี รียกวา “กรรมรว มกนั มา” ถาเปน กรรมใน ชาตกิ อ นๆ กเ็ รียกวา เปน กรรมในอดตี ชาตคิ วามจริงมิใช เพราะกรรมเทา นนั้ ทจ่ี ะสง ผลใหมา พบกันในชาติน้ี แมเวรทฝ่ี า ยใดฝายหนงึ่ ผกู กันไว หรือผูกไวท ้ังสองฝาย กเ็ ปนเหตสุ ง ใหมา พบกนั ในชาตินไ้ี ดเ หมือนกนั ดังนนั้ เราจึงมักพดู ติดตอกันวา \"กรรมเวร\" ความเขาใจทว่ี า ถา ถอื วาชาติกอ นมีความสัมพนั ธก บั ชาตนิ ้ี ก็จะตองหมายความวา พอแม พ่นี อ งเพื่อนฝงู ที่เคย พัวพันกันมาจะตองไปพบกันทุกชาตินั้น ยังเปน ความเขาใจทไ่ี มถ กู ตองทัง้ หมด อนั ท่ีจรงิ ชาติ กอ นมคี วามสมั พันธก บั ชาตนิ ีจ้ ริง ในฐานะเปน ชาติท่ีเปน เหตุใหเ กดิ มีชาตินขี้ ึน้ แตพ อแมพน่ี อ ง ญาติมิตรในชาติกอนน้ัน หาไดเกดิ พบกนั ทุกชาตไิ มทั้งนีก้ ็ข้นึ กับเงื่อนไขท่ีวา เมอื่ พอ แมพ ี่นอง ญาติมติ รนน้ั ๆ ไดทํากรรมจะดหี รอื ไมกต็ าม หรอื ไดมเี วรตอกนั มา กรรมและเวรอันนนั้ แหละ ก็จะสง ผลใหเกดิ มาพบกนั ในชาตติ อ ไป แตจ ะทุกชาตหิ รือไม กแ็ ลวแตก รรมเวรที่จะกอใหมอกี นยั ตรงขา ม หากพอ แม พี่นอ ง ญาติมิตร มีความผูกพันกันเพียงสายเลอื ดซ่งึ เปน เรื่องของ ธรรมชาติ หาไดท ํากรรมดีกรรมช่ัว หรือผูกเวรกันไวไม อยางนก้ี ็ไมมสี าเหตอุ นั ใดทีจ่ ะทาํ ให ไปเกดิ พบกนั อกี คือไมมีกรรมเวรรว มกันนั่นเอง เรอ่ื งกรรมเรอ่ื งเวร เปน เร่ืองลึกซึ้งและละเอยี ด ออนมาก ยากทจี่ ะอธบิ ายใหเ ห็นแจง ดว ยหนากระดาษเพียงเทานไ้ี ด แตผสู นใจในเรื่องนี้ศกึ ษา ไดจ ากตําราและจากการสงั เกตชวี ติ จริงของตนและของคนอ่ืน จะชวยความเขา ใจไดม าก เราอาจแบงบุคคลในกรณีนี้ ได ๓ ประเภทดว ยกัน คอื ๑. ประเภทดดี วยกนั คอื ท้งั สองฝายหรือทั้งหมด ไดเคยทาํ บญุ ทาํ ความดี สรา งบารมรี ว มกนั
มา เรียกวา มดี เี ทา กันวา ง้ันเถอะ ประเภทนก้ี ม็ ักจะเกดิ มาดีดวยกนั ไดด พี อๆกันเชนตาํ นานเร่อื ง มฆมาณพสรา งถนนสรา งศาลามาดวยกัน กับพวกอีก ๓๒ คน ตายไปแลวไดเ สวยสุขอยูบน สวรรคชัน้ ดาวดึงส เปน ตน ประเภทน้ี ความดีมีเทา กนั จงึ ไดดี ไดพ บความดีมีสขุ และเสวย ความดีอยูดวยกันได เรยี กอีกอยางหน่ึงวา ผมู ีคุณธรรมเสมอกนั นน่ั เองท่เี ห็นงา ยๆ ในประเทศ น้ีกค็ อื ถา เปนสามีภรรยากัน สามกี ็ดี ภรรยากด็ ี ไมท ะเลาะเบาะแวง กนั เห็นอกเห็นใจกนั เรยี กวา ดีท้งั คูถาเปนพอ แมล กู กัน ก็ดีทั้งพอ ทงั้ แม ท้ังลูกพอแมกร็ กั ลกู ทําเพ่ือลกู และเปนผนู าํ ทีด่ ีของ ลกู ฝายลูกก็เปน ลูกที่ดขี องพอ แม เชือ่ ฟงตัง้ อยูในโอวาท รกั เคารพพอ แมด วยใจจรงิ ถาเปนเพื่อน กเ็ ปนเพื่อนทีด่ ตี อกนั ชว ยเหลอื กนั ดว ยนํ้าใจ ไมชักชวนกนั ไปในทางเสยี หาย เปน ตน ๒. ประเภทเสียดวยกัน คือท้ังสองฝายเคยทาํ บาปทํากรรมรวมกันมา มคี วามช่ัวพอๆกัน ชอบ เร่อื งรา ยๆพอกันอยา งน้ีกเ็ กิดมาพบกันอกี และอยดู วยกันได แมจ ะลมุ ๆดอนๆก็ไมค อยแยกกนั ถึงคราวสุขก็สขุ ดวยกัน ถึงคราวทกุ ขกท็ ุกขด วยกนั ไดป ระเภทนกี้ เ็ ชนกัน ถา เปนสามีภรรยากัน ก็ประเภทหญิงรายชายเลวนัน่ แหละ หรืออยางพวกนกั เลงเท่ียว นกั เลงพนนั นักเลงสุรา จน กระท่ังนักเลงปลน จ้ี เปนตน คือชอบอยางเดียวกนั ยอ มไปดว ยกนั ได ๓. ประเภทมเี วรตอ กัน คือประเภททอ่ี กี ฝายหน่ึงอาจดี แตอ ีกฝายอาจเสีย ฝา ยดีกจ็ ะถกู ฝาย เสยี คอยรบกวน คอยรงั ควาน คอยทาํ ลายอยูเร่ือย ไมโ ดยตรงกโ็ ดยออมอยางกรณีท่ยี กตวั อยาง มา เชน บางรายพอ แมดี แตล กู ไมด ี บางรายครอบครวั ดี แตบ ริวารนาํ ความเดอื ดรอนมาใหนนั่ แหละ กรณอี ยา งนเ้ี กดิ ข้ึน เพราะท้งั สองฝา ย หรือฝายใดฝายหน่ึง ยังผูกเวรจองกรรมไว จึง ตอ งมาพบกัน คอยขัดขวางกนั อยูรํ่าไปไมตอ งอ่ืนไกลหรอก แมแ ตพ ระพุทธองคยงั ทรงมมี าร คอยผจญ มีพระเทวทตั คอยทําลาย และมนี ักบวชตางศาสนาคอยลา งผลาญเลยน่ีแหละอาํ นาจ ของเวรละ ลองไดก อ ไว หรือถูกกอ ไว ก็เปนไดต ามผจญกันไมสิน้ สดุ สกั ที ประดจุ เวรของงกู บั พังพอน เวรของกากับนกเคา และเวรของมนษุ ยผูถอื ตวั จดั ในเร่อื งศาสนากับผวิ ในปจจุบัน พระ พทุ ธเจาจงึ สอนใหล ะเวรเสยี อยา งนอ ยกด็ ว ยการรกั ษาศีล ตง้ั มนั่ อยใู นศีล เพราะศลี เปน เวรมณี เปน ขอปฏิบตั ทิ ที่ าํ ใหห มดเวรได แมอยางกรรมก็เชนกนั ไมวาจะทาํ คนเดยี ว หรอื รว มทาํ กับ ใคร หากเปนกรรมชวั่ กรรมเสียแลว ทา นวา ไมควรทาํ ทั้งน้นั หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๗ : หลกั กรรมสําหรับคนสมยั ใหม ( ๔ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ โฺ ต )
จากนี้ เราก็มาแบง ประเภทของกรรมออกไป เม่อื วาโดยทางแสดงออกถา แสดงออกทางกายทาํ โนน ทาํ น่ี ก็ เปน กายกรรม ถาแสดงออกทางวาจา โดยพดู ออกมา กเ็ ปน วจีกรรม ถา แสดงออกทางใจ อยูในระดับ ความคิด คิดปรุงแตงไปตางๆ ก็เปน มโนกรรม และกรรมโดยทวั่ ไปนน้ั เมอ่ื จําแนกโดยคณุ ภาพ ก็แบง เปน ๒ อยา ง คือ เปน กรรมดี เรยี กวา กศุ ลกรรม เปนกรรมช่วั เรียกวา อกุศลกรรม ในบางแหง ทานจาํ แนกออกไปเปนหลายอยางมากกวา น้ีอกี เชน กรรมที่ ๑. เปนกรรมดาํ กรรมท่ี ๒. เปนกรรมขาว กรรมที่ ๓. เปนกรรมทง้ั ดาํ ทงั้ ขาว กรรมที่ ๔. กรรมไมด าํ ไมข าว เปนไปเพ่อื ความสิ้นกรรม เปนการอธบิ ายละเอียดข้นึ ไปอีก กรรมดําคืออะไร ? ยกตวั อยางเชน อกุศลกรรมบถ มองใหเ ห็นหยาบๆ ก็คอื การกระทาํ ทเ่ี ปน การ เบียดเบียน ทําใหผอู นื่ เดือดรอ น กรรมขาว ก็คือกรรมทตี่ รงขามกับกรรมดาํ น้นั ไมท ําใหผ อู ื่นเดอื ดรอ น ไมเปน การเบยี ดเบียนแตเ ปนการ ชว ยเหลือสง เสริม ทาํ ใหผอู ่นื มีความสขุ และกรรมท้งั ดาํ ท้งั ขาว กค็ ือกรรมทป่ี ะปนกนั มีทั้งการกระทําท่เี ปนไปเพื่อความเบยี ดเบียนและไม เปนไปเพ่อื ความเบียดเบยี น สดุ ทา ย มาถึงกรรมไมดาํ ไมขาวเปนไปเพ่ือความส้ินกรรม ยกตวั อยางเชน โพชฌงค ๗ มรรค มีองค ๘ ซ่งึ บางทีกเ็ รียกวา กรรมเหมือนกนั แตเปนกรรมทไี่ มดาํ ไมข าว และเปนไป เพือ่ ความสิ้นกรรมกลับทาํ ใหเ ราสิน้ กรรมไปดว ยซํ้า เม่อื มองละเอยี ดถึงความหมายที่แยกประเภทอยา งนี้ เราก็เห็นชดั ข้ึนมาวา กรรมนนั้ อยทู ี่ตัวเราทกุ ๆคน ที่ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิดําเนนิ ชีวิตอยทู กุ เวลานเ่ี อง เริ่มตงั้ แตความรสู ึกนึกคิด ขอ ปฏิบตั ติ างๆ แมแ ตการปฏบิ ตั ิ ธรรมชน้ั ใน ไมวาจะเปน การปฏบิ ัตติ ามมรรคมอี งค ๘ การเจรญิ โพชฌงค ๗ ก็เปน กรรมทงั้ นน้ั ไมพน เรื่องกรรมเลย จะเห็นวา กรรมในความหมายน้ี ละเอียดกวา กรรมทีเ่ คยพูดในเร่ืองไปหกั ขาไก เผาปาครอก สัตว หรืออะไรทํานองนั้น ตองแยกแยะกนั ใหล ะเอยี ดอยา งนี้ เมือ่ มาถึงข้ันนีแ้ ลว จะอธิบายกนั อยา งไรให เหน็ วา มันจะออกเปน ผลกรรมได
ทาํ ไมการกระทําจึงออกผลอยางนนั้ อยา งน้ไี ด นีเ่ ปน เรือ่ งทเี่ ราจะตองพิจารณา น้ถี ือวาเปน ความเขาใจ พนื้ ฐานขัน้ ตน ท่วี าจะตอ งพดู กนั ในเรื่องความหมายของกรรมใหชัดเจนเสยี กอ นวากรรมคอื อะไร ? หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๗ : หลักกรรมสําหรับคนสมยั ใหม ( ๔ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยุตโฺ ต ) พระพุทธเจาตรสั ไวว า ใครก็ตามทย่ี ึดถอื วา อะไรๆทุกอยา ง ลว นเปน ผลเกิดมาจากกรรมท้ัง ส้นิ นั้น เปน คนทถี่ ือผิดเชน ในเรื่องโรคภัยไขเ จบ็ พระองคก ็ตรัสไว มพี ทุ ธพจนแ หง หน่ึงวา โรคบางอยา งเกดิ จากการบรหิ ารกายไมส มาํ่ เสมอก็มี เกิดจากอตุ ุคอื สภาพแวดลอ มเปนสมฏุ ฐาน ก็มี เกิดจากเสมหะเปน สมุฏฐานกม็ เี กดิ จากดเี ปนสมฏุ ฐานก็มี เกิดจากสมฏุ ฐานตางๆประกอบ กนั ก็มี เกดิ จากกรรมกม็ แี ปลวา โรคบางอยางเกิดจากกรรม แตหลายอยางเกดิ จากอตุ ุเกิดจาก การแปรปรวนของรางกาย การบรหิ ารรา งกายไมส มา่ํ เสมอ เชน พกั ผอนนอยเกินไป ออกกําลังมากเกินไปเปนตน กรรมน้ี เปน เพียงเหตหุ นงึ่ เทานั้น จะโทษกรรมไปทกุ อยางไมไ ด ยกตัวอยา ง คนเปน แผลในกระเพาะ อาหาร โรคชนิดนบ้ี างทเี ปนเพราะฉันแอสไพรนิ หรอื ยาแกไ ขแ กปวดในเวลาทที่ องวาง พวก ยาแกไ ขแกป วดเหลา นี้มันเปน กรด บางทีมันกก็ ัดกระเพาะทะลุ อาจจะทําใหถึงกับมรณภาพ ไปเลย พวกยาแกไขแ กป วดนีม้ ีอนั ตรายมาก เขาจึงหามฉันเวลาท่ีทอ งวาง ตอ งใหม อี ะไรใน ทอ งจงึ ฉนั ได บางคนเลือดไหลในกระเพาะ ไมร ูวา เปน เพราะเหตใุ ด ทีแ่ ทเ ปน เพราะฉันยาแก ไขแ กป วดนี่เอง นกี้ ็เปน เหตอุ นั หน่งึ แตบางคนเปนแผลในกระเพาะอาหาร เพราะเปน โรควิตก กังวล คิดอะไรตา งๆ ไมส บายใจ กลมุ ใจมาก กลมุ ใจบอ ยๆ คับเครยี ดจิตใจอยเู สมอเปนประจํา จึงทําใหมีกรดเกิดขึ้นในกระเพาะอาหาร แลวกรดนนั้ มันก็กัดกระเพาะของตวั เองเปนแผล จน กระทัง่ เปนโรครา ยแรง ถึงกับตอ งผาตดั กระเพาะท้ิงไปครง่ึ หนงึ่ ก็มี จะเห็นวาผลอยา งเดียวกัน แตเ กิดจากเหตคุ นละอยาง ท่ฉี นั แอสไพริน หรอื ยาแกป วดแกไ ข แลวกระเพาะทะลุ เปน อุตนุ ยิ ามแตท ่ีคดิ วิตกกังวล กลมุ ใจอะไรตอ อะไรแลวเกิดแผลในกระเพาะ เปนกรรมนยิ าม จติ ใจไมดีมอี กุศลมากก็ทําใหโรคเกิดจากกรรมไดม ากมาย แตอยางไรก็ตาม เราตองเอาหลกั เรอื่ งนิยาม ๕ มาวนิ จิ ฉัย อยา ไปลงโทษกรรมทุกอยา ง แลว บางอยา งก็เกดิ จาก นยิ ามตา งๆ หลายนยิ ามมาประกอบกนั เปนอนั วา เราควรรูจ ักนยิ าม ๕ ไว เวลาสอนชาวบา นจะ ไดใ หพ จิ ารณาเหตุผลโดยรอบคอบ นีอ้ นั หน่งึ
หั ว ข อ เ รื่ อ ง ท่ี ๗ : หลกั กรรมสาํ หรับคนสมัยใหม ( ๘ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ โฺ ต ) แงต อไป คอื จะตอ งแยกหลักกรรมออกจากลัทธิผิดๆ ที่พระพทุ ธเจา ตรัสไวเรยี กวา ตติ ถายตนะ แปลวา ประชมุ แหงลัทธเิ ดยี รถยี ซ่งึ มีอยู ๓ ลทั ธิ ลทั ธทิ ี่ ๑ ถือวา บุคคลจะไดสขุ กด็ ี จะไดทุกขกด็ ี มิใชส ุขมใิ ชทกุ ขก ด็ ี ลวนเปน เพราะกรรม ทีท่ ําไวแ ตป างกอ นทงั้ สิ้น ฟง ใหด นี ะ ระวงั นะ จะสับสนกบั พระพุทธศาสนา ลทั ธินเ้ี รยี กวา บพุ เพกตวาท ลัทธิท่ี ๒ บอกวา บุคคลจะไดส ุขกด็ ี จะไดท ุกขก ็ดี ไดไมส ุขไมทกุ ขก ็ดี ลว นเปนเพราะเทพผู ย่ิงใหญ บนั ดาลใหทั้งสนิ้ คอื พระผูเปน เจา บันดาลใหเปน ลทั ธินีเ้ รยี กวา อศิ วรนริ มิตวาท หรือ อสิ สรนมิ มานเหตวุ าท ลทั ธทิ ่ี ๓ ถอื วา บคุ คลจะไดส ุขกด็ ี ไดทกุ ขก ด็ ี ไดไมส ุขไดไมทกุ ขก็ดี ลว นแตเปน เรอ่ื งบังเอิญ เปนไปเองลอยๆ แลวแตโ ชคชะตา ไมม ีเหตปุ จ จยั ลัทธินเ้ี รยี กวา อเหตวุ าทหลักเหลาน้มี มี าใน พระคัมภรี ท งั้ น้นั ติตถายตนะทัง้ ๓ ทานกลาวไวทั้งในพระสูตรและในอภธิ รรม ในพระอภธิ รรมทานเนนไว แตใ นพระสูตรก็มมี าในองั คตุ ตรนกิ าย ตกิ นบิ าต แตเ รามักไมเอามาพูดกันสวนนยิ าม ๕ น้นั อยู ในคมั ภีรฝา ยอภธิ รรม ซง่ึ อธิบายถึงเรื่องกฎเกณฑของความเปนเหตุปจ จัยนยิ าม ๕ นัน้ สาํ หรับ เอาไวพิจารณาความเปนเหตปุ จจยั ใหร อบคอบ อยา ไปเอาอะไรเขา กรรมหมดสวนตติ ถายตนะ หรอื ประชมุ ลัทธิ ๓ พวก กผ็ ิดหลักพระพุทธศาสนา ๑. บุพเพกตวาท ถอื วา อะไรๆ ก็เปน เพราะกรรมทที่ ําไวป างกอน ๒. อศิ วรนริ มติ วาท ถอื วาจะเปน อะไรๆ กเ็ พราะเทพผยู ง่ิ ใหญบันดาล หรือพระผเู ปน เจาบันดาล ๓. อเหตวุ าท ถือวา สง่ิ ทั้งหลายอะไรจะเกิดขึ้น ไมมีเหตปุ จจยั แลวแตความบังเอิญ เปนไป ลทั ธิ โชคชะตา ๓ ลัทธินี้ พระพุทธเจาตรสั วา เปน ลทั ธิท่ผี ิด เหตผุ ลคือ
เพราะมันทําใหค นไมมฉี นั ทะ ไมม คี วาม เพียรที่จะทําอะไร เพราะสิง่ ทั้งหลายเปน ไปอยา ง ไมม ีหลกั เกณฑ หรือไมข ึน้ ตอตวั การภายนอกท่เี ราควบคมุ ไมได ไมข นึ้ กับการกระทาํ ของเรา โดยเฉพาะลัทธิท่ี ๑ นนั้ ถอื วา อะไรๆกแ็ ลวแตก รรมปางกอน มันจะเปนอยางไร ก็จะเปน ไป เรา จะทําอะไรก็ไมมีประโยชน กรรมปางกอ นมันกาํ หนดไวห มดแลว แลวเราจะไปทําอะไรได ก็ ตอ งปลอย แลวแตมนั จะเปนไป พระพุทธเจาตรัสวา ลัทธินีเ้ ปนลทั ธขิ องพวกนิครนถ หวั หนา ชื่อวานคิ รนถนาฏบตุ รใหไป ดู พระไตรปฎก เลม ๑๔ พระสูตรแรก เทวทหสตู ร ตรสั เรื่องนี้โดยเฉพาะกอนเลย ในอังคตุ ตรนกิ าย ติกนิบาต ตรัสเร่อื งนี้ไวรวมกนั ๓ ลัทธแิ ลว แตใ นเทวทหสตู ร พระไตรปฎ กเลม ๑๔ มัชฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณ ณาสก กต็ รัสเฉพาะเรื่องลทั ธทิ ่ี ๑ ไมตรสั ลทั ธอิ ่ืนเลย ลทั ธินคิ รนถน ้ีถอื วา อะไรๆกเ็ ปน เพราะกรรมท่ที าํ ไวในชาติกอน เพราะฉะนั้นเราจะตองทาํ ให ส้ินกรรม โดยไมทํากรรมใหม และเผากรรมเกาใหหมดสน้ิ ไป ดว ยการบาํ เพ็ญตบะลัทธิน้ีตอ ง แยกใหดจี ากพุทธศาสนา ตอ งระวังตัวเราเองดว ย วา จะผลุนผลนั ตกลงไปใน ๓ ลทั ธินโ้ี ดย เฉพาะลัทธิกรรมเกา ทีถ่ อื วา แลว แตกรรมเกา เทาน้นั คําวา กรรม นีเ้ ปนคํากลางๆ เปนอดตี กไ็ ด ปจจุบันกไ็ ด อนาคตก็ได พทุ ธศาสนาเนน ปจจุบนั มาก กรรมเกาไมใ ชไ มม ผี ล มีผลสาํ คญั แตมนั เปน เหตเุ ปน ปจจยั ใหเกิดผลในปจจบุ ัน ซึ่งเราจะตองทาํ กรรมทดี่ ี และแกไขปรบั ปรงุ ตวั เพือ่ ใหเกิดผลทด่ี ีตอ ไปภายหนา นี่พูดกนั ท่ัวๆไป โดยหลกั การกค็ อื ตอ งพยายามแยกใหถ กู ตอง มี ๓ ลทั ธินี้ ที่จะตองทําความเขาใจ เสียกอน เปนเบอ้ื งตน หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๑๒ : หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ( ๑๑ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) ความหมายของคําวา กุศล ก็ใหเขาใจตามลกั ษณะที่วา มานี้ สว นทเ่ี ปนอกศุ ลกต็ รงกนั ขา ม ดงั ไดย กตัวอยางไปแลว เชน เมื่อเมตตาเกดิ ขน้ึ ในใจเปนอยางไร โทสะเกิดขน้ึ เปนอยางไร ลักษณะกจ็ ะผิดกนั ใหเหน็ ชัดๆวา ผลมนั เกดิ ทันที อยางทเ่ี รยี กวา เปน สนั ทิฏฐโิ ก เหน็ เอง เหน็ ทันตาคาํ ที่เนื่องกนั อยู กับคําวา \"กุศล\" และ \"อกุศล\" กค็ ือคําวา \"บญุ \" และ \"บาป\" บุญกบั กุศล และ บาปกบั อกุศล ตางกันอยา งไร ?
ในทห่ี ลายแหงใชแ ทนกนั ได อยางในพทุ ธพจนที่ตรสั ถึงเรอ่ื ง ปธาน คือความเพียร ๔ กจ็ ะ ตรัสคาํ วา \"อกศุ ล\" กับคําวา \"บาป\" ไปดว ยกัน อยใู นประโยคเดยี วกัน คอื เปน ขอความทช่ี วย ขยายความซ่งึ กันและกัน เชน วา.... ภิกษยุ ังฉันทะใหเ กดิ ข้ึน ระดมความเพยี ร เพอ่ื ปด กนั้ บาปอกศุ ลธรรม ซงึ่ ยังไมเ กิด มิใหเ กดิ ขน้ึ นี้เรียกวา สังวรปธานแสดงใหเห็นวา บาปกบั อกศุ ลมาดวยกนั แตสาํ หรบั บุญกบั กุศล ทาน บอกวา มนั มคี วามกวางแคบกวากนั อยหู นอ ย คือกุศลน้ัน ใชไ ดท้ัง โลกยี ะ และ โลกตุ ตระ เปน คํากลางๆ และเปน คําที่ใชใ นทางหลกั วิชาการมากกวา บางทีก็ระบุวา โลกยิ กศุ ล โลกตุ ตรกุศล แตถ า พดู เปน กลางๆ จะเปนโลกยิ ะกไ็ ด เปน โลกตุ ตระกไ็ ด สว นคําวา บุญ น้ัน นิยมใชใ นระดบั โลกิยะ แตกไ็ มเ สมอไป มบี างแหงเหมือนกนั ที่ทานใชใ น ระดบั โลกุตตระ อยา งที่แยกเรยี กวา โอปธกิ ปญุ ญะ แปลวาบญุ ทเี่ น่อื งดวยอปุ ธแิ ละ อโนปธกิ ปุญญะ ไมเนอื่ งดว ยอปุ ธิ เปนตน หรือบางทใี ชต รงๆวา โลกตุ ตรปุญญะบญุ ในระดบั โลกตุ ตระ แตโ ดยทว่ั ไปแลว บญุ ใชในระดับโลกิยะ สวนกุศล เปน คาํ กลางๆใชไดทง้ั โลกยิ ะและโลกุตตระ นีเ่ ปน ความกวางแคบกวากนั นิดหนอย ระหวา งบุญกบั กศุ ลในแงรปู ศพั ท ซึง่ ก็อาจเอาไปชวย ประกอบเวลาอธบิ ายเรอื่ งกรรมได แตเ ปน เรือ่ งเกร็ดไมใ ชเปน ตวั หลกั แทๆ บุญ นัยหนงึ่ แปลวา เปน เคร่ืองชาํ ระสนั ดาน เปน เครอื่ งชาํ ระลางทาํ ใหจติ ใจสะอาด ในเวลาทเ่ี ปนเคร่ืองชาํ ระสัน ดาน เปน เคร่ืองชําระลา งทาํ ใหจิตใจสะอาด ในเวลาทสี่ ง่ิ ซงึ่ เปนบุญเกิดขึ้นในใจ เชนมเี มตตา เกิดขน้ึ กช็ าํ ระจติ ใจ ใหสะอาดบริสุทธิห์ รอื ศรทั ธาเกดิ ข้นึ จติ ใจกผ็ อ งใส ทําใหห ายเศราหมอง หายสกปรกความหมายตอไป พวกนกั วเิ คราะหศ ัพท แปลบญุ วา นาํ มาซ่ึงการบูชา หรือทาํ ให เปน ผูควรบูชา คอื ใครกต็ ามท่ีส่ังสมบญุ ไว สง่ั สมความดี เชนสั่งสมศรทั ธา เมตตา กรุณา มทุ ิตา ผูน ้ันก็มแี ตคณุ ธรรมมากมาย ซ่งึ ทําใหเปน ผูควรบูชา ฉะนัน้ ความหมายหนง่ึ ของบุญกค็ อื ทาํ ใหเ ปน คนนาบชู า และอกี ความหมายหนึง่ ก็คือ ทําให เกดิ ผลทน่ี า ชน่ื ชม เพราะวาเม่ือเกดิ บุญแลว กม็ วี บิ ากท่ีดงี ามนาชน่ื ชม จึงเรยี กวา มีผลอันนา ช่นื ชม ใกลก ับพทุ ธพจนท ว่ี า \"สุขสฺเสตํ อธิวจนํ ยยทิ ํ ปฺุญานิ\" ซึง่ แปลวา ภกิ ษุทง้ั หลาย คําวา บุญ น้ี เปนช่อื ของความสุขเม่ือบญุ เกดิ ขึน้ ในใจแลว จติ ใจกส็ บายมีความเอบิ อ่ิมผองใส บญุ กจ็ งึ เปน ชอื่ ของความสขุ นเ้ี ปน อยา งๆ ท่อี ธบิ ายเก่ยี วกับเรอื่ งบญุ สวนบาปนัน้ ตรงกันขาม
บาปนัน้ โดยตัวอกั ษร หรือโดยพยัญชนะแปลวา สภาวะทีท่ ําใหถึงทคุ ติ หรือทําใหไปในท่ีช่ัว หมายถงึ ส่งิ ทีท่ ําใหจ ติ ตกต่าํ พอบาปเกดิ ข้นึ ความคดิ ไมด ีเกดิ ข้ึน โทสะ โลภะ เกิดขึน้ จิตกต็ ก ตาํ่ ลงไป และนําไปสทู คุ ตดิ วย และทานยงั ใหความหมายโดยพยัญชนะอีกอยางหนึ่งวาเปนสิง่ ที่คนดี พากันรักษาตน ใหปราศจากไป หมายความวา คนดที ั้งหลายจะรกั ษาตนเองใหพนไป จากสง่ิ เหลา น้ี จงึ เรยี กส่ิงเหลาน้วี าเปนบาป เปนสงิ่ ท่คี นดีละทิ้ง พยายามหลีกหลบเลีย่ งหนี ไมอยากเกย่ี วของดว ย นเี่ ปน ความหมายประกอบ ซึ่งอาจจะเอาไปใชอ ธบิ ายเปนเกรด็ ได ไมใ ช ตัวหลักแทๆ เอามาพูดรวมไวดวยในแงตางๆ ท่ีเราจะตองทําความเขาใจเกยี่ วกบั เร่ือง \"กรรม\" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ท่ี ๑๓ : หลักกรรมสาํ หรับคนสมยั ใหม ( ๑๔ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) \"...แมแตส งั คมมนษุ ยทีจ่ ะเปน ไปอยา งไร กเ็ ริ่มมาจากมโนกรรม อยางทป่ี จจุบนั นี้ ชอบเรียกวา คา นยิ ม สังคมมีคานิยมอยางไร กจ็ ะชักนาํ ลกั ษณะการดําเนินชวี ิตของมนษุ ยใ นสังคมน้นั ใหเ ปน อยา ง นั้นยกตวั อยางเชน คนในสงั คมหน่งึ ถอื วา ถาเรารักษาระเบียบวินัยไดเ ครง ครัด กเ็ ปน คนเกง ความเกง กลา สามารถ อยทู ่ีทําไดตามระเบียบแบบแผนการนิยมความเกงในแงนี้ กเ็ รียกวา เปน คานยิ ม ทีจ่ ะรกั ษาระเบียบ คนพวกนี้กจ็ ะพยายามรกั ษาระเบยี บวนิ ัยให เครง ครัด จนอาจทาํ ให ประเทศน้ัน สงั คมน้ันมรี ะเบียบวนิ ัยดี สว นในอกี สงั คมหนงึ่ คนอาจจะมองอีกอยา งหนึ่ง มคี า นิยมอกี แบบหนง่ึ โดยมคี วามชืน่ ชมวา ใครไมต อ งทําตามระเบียบได ใครฝนระเบียบได ใครมีอภสิ ทิ ธ์ิ ไมตองทําตามกฎหมายได เปน คนเกง ในสงั คมแบบนี้ คนก็จะไมมรี ะเบียบวนิ ยั เพราะถือวา ใครไมตอ งทําตามระเบียบได คนน้นั เกง ขอใหลองคดิ ดูวา สังคมของเรา เปนสังคม แบบไหน มคี านยิ มอยา งไร นเี่ ปนตัวอยา งทีแ่ สดงใหเหน็ วา ความใฝ ความชอบ อะไรตา งๆ ท่อี ยูในใจ เปนตวั นําเปนเครื่องกาํ หนดวิถชี ีวิตของบคุ คล และเปน เครอื่ งชี้นําชะตากรรมของ สงั คม สงั คมใดมีคานิยมทดี่ ีงาม เอื้อตอการพฒั นา สังคมนน้ั ก็มีทางที่จะพัฒนาไปไดดี สังคม ใดมีคานยิ มตา่ํ ทราม ขดั ถว งการพัฒนา สงั คมนน้ั ก็มแี นวโนม ทจ่ี ะเสอ่ื มโทรม พฒั นาไดยาก จะประสบปญ หาและอปุ สรรคในการพฒั นาอยางมากมาย ถาจะพัฒนาสงั คมนีใ้ หกาวหนา ถาตองการใหสังคมเจริญ พัฒนาไปไดด ี กจ็ ะตองแกคานยิ ม ท่ีผิดพลาดใหได และตองสรา งคานิยมทถ่ี กู ตองใหเ กดิ ข้นึ ดวย เรือ่ งคา นิยมนเ้ี ปน ตัวอยางเดน
ชดั อยา งหนึ่งของ มโนกรรม มโนกรรม เปนสิ่งสาํ คัญมาก มีผลระยะยาวลกึ ซง้ึ และกวางไกล ครอบคลุมไปทัง้ หมด พระพทุ ธศาสนาถือวา คานยิ มนเ้ี ปน สง่ิ สําคญั มาก และมองท่ีจิตใจเปน จดุ เริม่ ตน เพราะฉะนัน้ ในการพิจารณาเรือ่ งกรรม จะตองใหเขาใจถึงหลักการของพระพทุ ธ ศาสนา ท่ถี อื วา มโนกรรมสาํ คัญท่ีสดุ และใหเ ห็นวา สาํ คญั อยา งไร นคี้ อื จุดทห่ี นงึ่ \" หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๑๔ : หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ( ๑๕ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตโฺ ต ) \"... สืบเน่ืองจากเร่อื งมโนกรรมนนั้ ก็ทาํ ใหตองมาศกึ ษาเรือ่ งจิต จิตใจของคนเรานี้ คิดนึก อะไรตอ อะไร สิง่ ท่พี ดู และทาํ กเ็ ปนไปตามจติ ใจ แตจ ิตใจเปนเรอื่ งละเอียดซบั ซอ น บางครั้งและในเรื่องบางอยา ง เราบอกไมถ ูกดว ยซํา้ วา ตวั เราเองเปนอยางไร บางทีเราทําอะไรไปสักอยา ง เราบอกไมถ กู วา ทาํ ไมเราจึงทําอยางนี้ เพราะ วา จติ ใจนั้น มคี วามสลับซบั ซอนมากตามหลักพทุ ธศาสนาน้นั มีการแบง จติ เปน ๒ ระดบั คอื จติ ระดับวถิ ี กับ จิตระดบั ภวงั ค จติ ระดบั ภวงั ค เปนจิตท่เี ปน องคแ หง ภพ เปนระดับท่เี ราไมรตู วั เรียกวา จติ ไรสาํ นึกภพจะ เปนอยางไร ชีวติ แทๆ ทก่ี รรมออกผลจะเปน อยา งไรนนั้ อยูท ีภ่ วังค แมแตจุติ-ปฏิสนธกิ เ็ ปน ภวังคจิตฉะน้ัน เราจะมาพจิ ารณา เฉพาะจติ ในระดบั ท่เี รารูสํานึกกันนี้ไมไ ด การพิจารณาเรื่องกรรมน้ี จะตอ งลึกลงไปถงึ ข้ันจิต ต่าํ กวา สาํ นกึ ลงไป อยา งท่ีเราใชศัพทวา ภวงั ค ในจิตวทิ ยาสมัยน้ี กม็ ีหลายสาขา หลายสํานัก ซง่ึ มกี ลมุ สําคัญ ที่เขาศึกษาเรื่องจิตแบบ นเ้ี หมือนกนั เขาแบง จิตเปน จิตสํานึก กับ จิตไรส าํ นึก จิตสํานกึ กค็ อื จิตทีร่ ูตัว ท่ีพูดสิ่งตา งๆ ทาํ ส่งิ ตา งๆ อยางทีร่ ๆู กนั อยู เรยี กวา \"จติ สํานึก\" แตม จี ิตอกี สวนหน่ึง เปนจติ ไรส าํ นึก ไมร ตู วั จติ ทีไ่ รส ํานกึ นี้ เปน จติ สวนใหญข องเราเขาเทยี บ เหมอื นภูเขานํ้าแขง็ ท่ีอยใู นนาํ้ นํา้ แขง็ สว นทอ่ี ยใู ตน าํ้ มีมากกวา และมากกวาเยอะแยะดว ย สวนท่ี โผลม ามีนดิ เดยี ว คอื จิตสํานึกทเี่ รารูตัวกันอยูพดู จากนั อยูน้ี แตสวนท่ีไมรูสํานกึ หรอื ไรสาํ นึกนั้น เหมอื นกอ นนาํ้ แขง็ ท่ีอยูใตพ้ืนนาํ้ ซึง่ มีมากกวา เยอะแยะ เปน จติ สว นใหญของเราการศึกษาเรือ่ ง จิตนัน้ จะตองศึกษาไปถึงขั้นจิตไรส าํ นกึ ที่เปนจิตสว นใหญมิฉะนั้นแลวจะรนู ดิ เดียวเทา น้นั เอง
การพจิ ารณาเรอื่ งกรรมกจ็ ะตอ งเขาไปใหถ ึงจดุ นี้ ในเรอื่ งไรส าํ นกึ นี้ มแี งท เี่ ราควรรูอะไรบาง ? แงค วรรทู ่หี นึง่ คอื ที่บอกวา สงิ่ ทเ่ี ราไดร ับรเู ขามาทาง ตา หู จมกู ล้ิน กาย เหลา น้ี จติ จะบันทึก เก็บไวหมด ไมมลี มื เลย นี้เปน แงที่หนงึ่ ตามทเี่ ขาใจกันธรรมดาน้ีเราลืมสง่ิ ทั้งหลายทีไ่ ดป ระสบ น้ัน เราลมื เยอะแยะ ลืมแทบทัง้ หมด จาํ ไดน ิดเดียวเทา น้ันเอง น่เี ปน เรอื่ งของจติ สํานกึ แตต าม ความเปน จริง ความจําเหลา น้นั ยงั คงอยูในจติ ไรสาํ นกึ สิ่งท่ปี ระสบทราบคิดนกึ ทกุ อยาง ตัง้ แตเ กดิ มา มนั จําไวหมด แลว ถา รูจกั ทาํ ดๆี กด็ ึงเอามันออกมาไดดวยนักจติ วิทยาบางสมัยสนใจ เรอ่ื งการสะกดจติ มาก เพราะเหตุผลหลายอยา งเหตุผลอยา งหนงึ่ ก็คอื เมื่อสะกดจติ แลว ก็ สามารถทจี่ ะทาํ ใหคนนั้นระลกึ เอาเร่ืองราวเกาๆ สมยั เดก็ เชน เมอ่ื ๑ ขวบ ๒ ขวบ เอาออกมาได ซึ่งแสดงวา ประสบการณเหลา น้นั ไมไดหายไปไหน ยงั อยูห มด นีเ้ ปนแงท่หี นึง่ \" เมือ่ เราพอเขา ใจเก่ียวกับความหมายของคําวา \"จติ ไรสํานึก\" แลว หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ท่ี ๑๕ : หลกั กรรมสาํ หรับคนสมยั ใหม ( ๒๑ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตโฺ ต ) ทานกาํ ลงั จะพูดถึงเงอื่ นไขสําคัญ ซ่งึ ทาํ ใหการทําดี ไดผลดสี มดังปรารถนาเงื่อนไขท่วี า น้ัน ทา นเรียกวา สมบัติ ๔ เกี่ยวกบั เรือ่ งน้ี ทานเจาคณุ พระธรรมปฎ ก ( ป.อ. ปยตุ โฺ ต ) ทา นไดใ ห คาํ อธิบายไววา \"พระพุทธเจา ทรงใหหลักอกี หลักหนง่ึ ดงั ทปี่ รากฏในอภิธรรม บอกไววาการท่ีกรรมจะให ผลตอไป จะตองพจิ ารณาเรือ่ งสมบัติ ๔ และวบิ ัติ ๔ ประกอบดวยคอื ตอนไดมะมวง แลว จะ รวยหรือไม ตอ งเอาหลักสมบตั ิ ๔ วิบตั ิ ๔ มาพจิ ารณาสมบตั ิ คือองคประกอบท่อี ํานวยชวย เสรมิ กรรมดี สมบตั ิน้มี ี ๔ อยา ง เรยี กวา คติ อุปธิ กาล ปโยค ๑. คติ คือถน่ิ ที่ ทางไปตางๆ เกี่ยวกับสถานที่ เทศะ ๒. อปุ ธิ คือรา งกาย ๓. กาล คอื กาลเวลา ยุคสมยั ๔. ปโยค คือการประกอบ หรอื การลงมือทํา น้ีเปน ความหมายตามศพั ท ฝายตรงขา ม คือวิบัติ กม็ ี ๔ เหมอื นกนั คือถาคติ อุปธิกาลปโยค ดี ชว ยสงเสรมิ ก็เรียกวา เปนสมบัติ ถาหากไมดี มาทําลาย ก็เรยี กวาเปน วิบตั ลิ องมาดูวา หลัก
๔ น้ี มผี ลอยา งไร ? สมมติวา คุณ ก. กับ คณุ ข. มวี ชิ าดเี ทา กัน ขยนั นิสยั ดีท้ังคู แตเขาตองการรับคนงานที่เปน คนตอนรบั ปจ จบุ นั เรยี ก Receptionist ทาํ หนา ที่รับแขก ปฏสิ นั ถาร คุณ ก. ขยนั มนี ิสัยดี ทําหนาทรี่ ับผิดชอบดี แตห นาตาไมส วย คุณ ข. หนา ตาสวยกวา เขาก็ตอ งเลอื กเอาคุณ ข. แลว คณุ ก. จะบอกวา ฉนั ขยัน อุตสา หทําดี ไมเ ห็นไดด เี ลย เขาไมเ ลอื กไปทาํ งาน... แสดงวา \"ตัวเองมอี ุปธวิ ิบัติ เสียหายดา นรางกาย\" หรืออยา งคน ๒ คน ตา งก็มคี วามขยนั หมั่นเพียร มคี วามดี แตว าคนหนึ่งรา งกายไมแข็งแรง มีโรคออดๆแอดๆ เวลาเลือก คนขีโ้ รคกไ็ มไดรบั เลือก นีเ้ รยี กวา อปุ ธวิ บิ ัติในเร่ืองคติ คือที่ไป เกิด ถนิ่ ฐาน ทางดําเนนิ ชีวิต ถาจะอธิบายแบบชวงยาว ขา มภพขา มชาติ กเ็ ชนวา คนหนงึ่ ทาํ กรรมมาดมี ากๆ เปนคนทส่ี ง่ั สมบารมีมาตลอดแตพ ลาดนดิ เดียว ไปทํากรรมชั่วนดิ หนอ ย แลว เวลาจะตาย จิตไปประหวัดถึงกรรมชว่ั นั้น กลายเปน อาสนั นกรรม ทําใหไปเกดิ ในนรก สมมติ อยา งน้ี พอดชี วงนั้น พระพทุ ธเจามาตรสั ทั้งท่ีแกส่ังสมบญุ มาเยอะ ถาไดฟ ง พระพทุ ธเจาตรสั แกมีโอกาสมาก ที่จะบรรลธุ รรมขนั้ สูงได แตแกไปเกดิ อยูในภพทไี่ มมโี อกาสเลย กเ็ ลยพลาด น่ีเรยี กวา คติวิบัติทีน้ี พดู ชว งสนั้ ในชวี ิตประจาํ วัน สมมตวิ าทา นเปน คนมีสตปิ ญ ญาดี แตไปเกิดในดงคนปา แทนท่จี ะเปนนักวิทยาศาสตรท ี่ เกง กลา สามารถ อยางไอนส ไตน ก็ไมไดเปน อาจจะมปี ญญาดีกวา ไอนสไตนอีก แตเ พราะไป เกิดในดงคนปา จงึ ไมม ีโอกาสพฒั นาปญ ญาน้นั นี่เรยี กวา คตเิ สีย ก็ไมไ ดผลน้ขี นึ้ มา นีค่ ือเร่อื ง คติบัติ หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๑๖ : หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ( ๒๒ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) \"ขอตอไป กาลวิบตั ิ เชนทานอาจจะเปน คนเกงในวชิ าการบางอยา ง ศลิ ปะบางอยาง แตทา น มาเจริญเตบิ โตอยใู นสมยั ทเ่ี ขาเกิดสงครามกนั วุนวาย และในระยะทเ่ี กิดสงครามน้ี เขาไมตอ ง การใชว ชิ า-การหรือศิลปะดานนนั้ เขาตอ งการคนทีร่ บเกง มกี ําลังกาย กลา หาญเกง กลาสามารถ แข็งแรง และคนมวี ชิ าท่ีตอ งใชในการทาํ สงครามทานก็ไมไดรบั การยกยองเชดิ ชู วชิ าการและ ศิลปะพวกน้ี เขากไ็ มเอามาพูดถึงกัน เขาก็พูดถึงแตค นทร่ี บเกง สามารถทําลายศตั รไู ดม ากเปน
ตน นีเ่ รยี กวา กาลวบิ ัติ สําหรบั ทา น หรอื นายคนน้ี ขอสดุ ทา ยคอื ปโยควิบตั ิ มีตัวอยา งเชน ทา นเปน คนว่งิ เรว็ ถา เอาการวงิ่ มาใชในการแขงขัน กีฬา ทานกอ็ าจมีช่อื เสยี ง เปน ผูชนะเลิศในทีมชาติหรือระดับโลก...แตท านไมเ อาความเกง ใน การวง่ิ มาใชใ นทางดี ทานเอาไปวิ่งราว ลกั ของเขาก็ไดรบั ผลราย เลยเสยี คนไปเลย นเ้ี ปน ปโยควิบัติ วาท่ีจรงิ ถา ไมมุงถงึ ผลภายนอก หรือผลขางเคยี งสืบเนอื่ ง การเปน คนดี มีความ สามารถ การเปน คนปา ทมี่ สี ตปิ ญญาดี การมศี ลิ ปะวชิ าการท่ีชาํ นาญอยางใดอยา งหนงึ่ ตลอด จนการวิง่ ไดเ ร็ว มันกม็ ผี ลดีโดยตรงของมนั อยแู ลว และผลดอี ยา งน้ัน มีอยใู นตวั ในทนั ที ตลอดเวลา แตทานบอกวา ในการที่จะไดร บั ผลตอ เนอ่ื งอีกข้นั หนง่ึ นั้น เราจะตอ งเอาหลักวบิ ตั สิ มบตั ิ เขา ไปเกย่ี วของ เหมอื นปลกู มะมวง ผลทีแ่ นน อน คอื ทา นปลูกมะมวง ทา นไดมะมว ง น้ีตรงกัน เปนระดับผลกรรมขัน้ ตน สวนในขัน้ ตอมา ถาตองการใหป ลูกมะมวง แลวรวยดว ย ทานจะ ตอ งรจู ักทาํ ใหถ กู ตอ งตามหลกั สมบัติวบิ ตั ิ เหลานีด้ วยตอ งรูจ กั กาละ เปน ตน วา กาลสมัยนี้ คนตองการมะมว งมากไหม? ตลาดตอ งการมะมวงไหม? มะมว งพันธุอะไรทคี่ นกําลงั ตอ งการ ? สภาพตลาดมะมว งเปน อยา งไร ? มมี ะมว งลน ตลาดเกนิ ความตอ งการไหม ? จะประหยัดตนทุนในการปลกู และสง ถึงตลาดไดอยา งไร ? เราควรจะจดั ดําเนินการในเรื่อง เหลานใ้ี หถ ูกตอ งดวย ไมใชคดิ แตเ พยี งวา ฉันขยนั หม่นั เพียร แลวก็ทาํ ไป ตองพิจารณาเรอ่ื งสมบัติ วิบัติ ๔ นี้เขามาประกอบ สถานที่แหลง น้ีเปนอยางไร ? กาลสมยั น้ีเปน อยางไร ? การประกอบการของเรา เชน การจดั การขายสงตา งๆนี้ เราทาํ ไดถูกตองดไี หม ? ฉะน้ัน ถา เราปลกู มะมวง ไดม ะมว งดแี ลว แตเ ราปลกู ไมถกู กาลสมัย เราไมร จู ักประกอบการใหถกู ตอ ง อยา งนอ ยก็มกี าลวบิ ตั ิ ปโยควบิ ตั ิ ข้ึนมา เราก็ขาย ไมออกก็ขาดทุน ถึงขยนั ปลกู มะมว งกไ็ มรวย หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๑๗ : หลกั กรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ( ๒๓ )
โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) \"เปนอนั วา ถา ชาวพทุ ธเราจะฉลาดรอบคอบในการทํากรรม ก็จะตอ งทําใหถกู ทั้ง ๒ ชนั้ ช้นั ท่ี ๑ ตัวกรรมน้ัน ตอ งเปนกรรมดี ไมใ ชก รรมช่วั แลวผลดชี ั้นที่ ๑ ก็เกิดข้นึ คือจิตใจของ เราก็ดี ไดร บั ผลดีท่ีเปนความสุข มีความสขุ เปน วิบากเบื้องตน ผลดีทีอ่ อกมา ทางวถิ ชี วี ติ ทวั่ ๆ ไป เชนความนยิ มนบั ถอื ตา งๆ ก็มดี ี มเี ขามาในตวั อยแู ลว แตใ นชนั้ ท่ี ๒ เราจะใหการงานกิจการ ของเราไดผลดีมาก ดีนอย เรากต็ องพิจารณาเร่อื งคติ อปุ ธิ กาล ปโยค เขามาประกอบดว ย ตองพจิ ารณา ๒ ชั้น ไมใ ชคิดจะทาํ ดีก็ทาํ ดดี ุมๆ ไปเฉยๆอยางไรก็ตาม คนบางคนอาจจะเอา เรือ่ ง คติ อุปธิ กาล ปโยค เขา มาใช โดยวิธฉี วยโอกาส เชนกาลสมบตั ิ ฉวยโอกาสวา กาลสมัยน้ี คนกาํ ลังตองการส่งิ น้ี ฉันก็ทาํ สิ่งทีเ่ ขาตอ งการ โดยจะดหี รอื ไมกช็ า งมนั ใหไ ดผ ลท่ตี องการก็ แลว กัน นีเ้ รยี กวา มุง แตผลชัน้ ที่ ๒ แตผ ลช้ันท่ี ๑ ไมค ํานึง ก็เปนสิ่งที่เสียหายในทางธรรม ฉะนน้ั ในฐานะท่ีเปน ชาวพุทธ ก็จะตอ งมองผลชั้นท่ี ๑ กอ น คือจะทําอะไรกห็ ลกี เลีย่ งกรรม ชั่วและทาํ กรรมดีไวกอน เม่ือไดพน้ื ฐานดนี ้ีแลว ก็คาํ นงึ ถึงช้ันที่ ๒ เปน ผลภาย นอก ซึ่งขนึ้ ตอ คติ อปุ ธิ กาล ปโยค ดวย ก็จะทาํ ใหงานของตนนนั้ ไดผลดโี ดยสมบูรณ เปน อันวา การสอน เรื่องกรรมตอนนี้ มี ๒ ชน้ั คือตวั กรรมท่ีดที ่ีช่ัวเอง และองคป ระกอบเร่ือง คติ อุปธิ กาล ปโยค ถา เราตองการผลภายนอกเขา มารวม เราจะตองใหชาวพุทธรจู กั พจิ ารณา และมคี วามฉลาดใน เรือ่ ง คติ อปุ ธิ กาล ปโยค ดวย สมมตวิ า คน ๒ คนทํางานอยา งเดียวกนั โดยมคี ณุ สมบัติเหมอื น กนั ดีเหมือนกันทั้งคู ถารางกายคนหนงึ่ ดี อกี คนหนึง่ ไมด ี คนท่รี างกายไมดียอมเสยี เปรียบ กต็ อ งยอมรับวา ตัวเองมี อุปธิวิบัติ เมอื่ รูอ ยางน้ีแลว ก็ตอ งแกไ ขปรบั ปรงุ ตวั ถา แกท ีร่ างกายไมได กต็ อ งเพ่ิมพูนคณุ สมบตั ทิ ี่ดี ให ดยี ่ิงขึน้ เมอ่ื ดยี ิง่ ขนึ้ คนที่รา งกายไมด ี แตม คี ุณสมบตั ิอืน่ เชนในการทํางาน มีความชํานชิ าํ นาญ กวาจนกระทง่ั มาชดเชยคุณสมบตั ิในดา นรา งกายดีของอีกคนหน่ึงไปได แมตวั เองจะรา งกาย ไมด ี เขาก็ตอ งเอา เพราะเปนคนมคี วามสามารถพิเศษ นก้ี ็เปนหลักทมี่ าชวย น้คี ือเรอ่ื งการใหผ ลของกรรมในแงตา งๆ นํามาแสดงใหเ ปน แงคดิ เพ่ือใหเห็นวา เรื่องกรรม นี้ตองคดิ หลายๆแง หลายๆดาน แลวเราอาจจะเห็นทางออกในการอธิบายไดดยี ิง่ ข้ึน มคี วาม รอบตอ งการเชอ่ื มโยงใหเ ห็นความเปน เหตุเปนปจจัย เพอ่ื เราจะไมใชพูดแตเพียงวามเี หตอุ ันน้ี เกดิ ขน้ึ ในท่ีแหง หนง่ึ ในเวลาหนึง่ นานมาแลว สกั ๒๐ - ๓๐ ป ตอมาเกดิ ผลดอี นั หนึง่ แลวเรา
ก็จับมาบรรจบกนั โดยเช่อื มโยงเหตปุ จ จยั ไมไ ด ซึ่งแมจ ะเปน จรงิ แตก ม็ ีนาํ้ หนกั นอย ไมค อ ยมี เหตุผลใหเห็น คนกอ็ าจจะไมค อ ยเชื่อเราจงึ ควรพยายามศกึ ษา สบื สาวเหตุปจ จัยใหล ะเอยี ดย่งิ ขน้ึ ถึงแมวามันจะยังไมชัดละเอยี ดออกมา ไมป รากฏออกมาเตม็ ที่ แตมันก็พอใหเ หน็ ทางเปนไป ไดคนสมยั นี้กต็ องยอมรับในเรอื่ งความเปน ไปได เพราะมนั เขา ในแนวทางของเหตุปจจัยแลว \" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๑๘ : หลักกรรมสาํ หรบั คนสมยั ใหม ( ตอนจบ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยุตโฺ ต ) \"มีปญ หาทีท่ า นถามมาหลายขอดว ยกนั ปญ หาหนึง่ เกีย่ วกบั เรื่องบุพเพกตวาทเปนเร่อื งท่ี ถามในหลกั นี้ นา จะตอบ ถามวา ทารกทคี่ ลอดมา บางครง้ั มโี รคที่หาสาเหตุไมไ ด หรือถอื กําเนดิ ในครอบครัวทล่ี ําบาก ขาดแคลน ถา ไมอธบิ ายในแนวบพุ เพกตวาทแลว เราควรอธิบาย อยางไรใหเขาใจงาย ในการตอบปญหาน้ี ตอ งพูดใหเ ขาใจกนั กอ นวา การปฏิเสธบพุ เพกตวาทไมไ ดหมายความวา เราถือวากรรมเกาไมมผี ล แตลทั ธบิ พุ เพกตวาท ถอื วาเปน อะไรๆกเ็ พราะกรรมเกาทง้ั สิน้ เอาตวั กรรมเกาเปนเกณฑตัดสินโดยส้ินเชิง ฉะนัน้ ทาํ อะไรก็ไมมีความหมาย เพราะแลว แตกรรมเกา ตอ ไปจะเปนอยางไร กรรมเกา ก็ใหเปนไป ทาํ ไปกไ็ มมีประโยชน น้คี อื ลัทธกิ รรมเกา แตใ นทาง พระพทุ ธศาสนา กรรมเกานนั้ ทา นก็ถือวา เปนกรรมอยา งหนึง่ ทีเ่ กดิ ขึ้นแลว มีผลมาถึงปจ จุบนั ทีนม้ี าถงึ เรื่อง ท่เี ด็กคลอดออกมา มโี รคที่หาสาเหตไุ มไ ด เกดิ ในครอบครวั ที่ลําบากขาดแคลน นีเ้ ราสามารถอธบิ ายดวยเรอ่ื งกรรมเกา ตามหลกั กรรมนยิ มไดด วย และอธบิ ายตามหลักนยิ าม อื่นๆ ดว ย เชน ในดา นพชี นยิ ามวา พอแมเ ปนอยางไรในสว นกรรมพนั ธุ เพราะกรรมพันธเุ ปน ตวั กาํ หนดไดดว ย ถา พอ แมม ีความบกพรองในเร่ืองบางอยาง เชน เปน โรคเบาหวาน ลูกกม็ ีทาง เปน ไปไดเ หมอื นกัน นพ้ี ชี นยิ ามสว นกรรมนิยาม ถา จะอธบิ ายออกมาในรูปที่วา ความเหมาะสม ของคนท่จี ะมาเกิด กับคนทจ่ี ะเปนพอแม มนั เหมาะกัน ในแงก รรมก็สงเคราะหตรงนี้ ทําใหมา เกดิ เปน ลูกของคนนี้ และมคี วามบกพรอ งตรงน้ี โดยมพี ชี นิยามเขามาประกอบชว ยกําหนด สาํ หรับกรณีทมี่ าเกิดในครอบครัวท่ีลาํ บากขาดแคลน ถาเราจะยกใหเ ปน เร่ืองกรรมเกา กต็ ัด ตอนไป ในเมือ่ เขาเกิดมาแลวในครอบครวั อยา งน้ี เรากต็ ามไมเห็น แตก ็ตอ งตดั ตอน ไปวาทาํ กรรมเกาไมดี จึงมาเกิดในครอบครวั ขาดแคลนแตเมือ่ เกดิ แลวตามกรรม ทถี่ ูกตองก็ตองคดิ ไป อีกวา เพราะเหตทุ เี่ กิดในครอบครัวขาดแคลน แสดงวา เรามที นุ เกาที่ ดมี านอ ย กย็ ง่ิ จะตอ ง พยายามทาํ กรรมดีใหมากขนึ้ เพอื่ จะใหผ ลตอไปขา งหนาดี ไมใ ชค ิดวา ทาํ กรรมมาไมดกี ็ตอง
ปลอยแลว แตกรรมเกา จะใหเ ปน ไป ถาคิดอยางนี้กไ็ มถ ูก แตใ นทางที่ถกู จะตองคํานึงใหครบท้ังกรรมเกาและกรรมใหม ในเมื่อกรรมเดิมมมี าไมด ี กย็ ิง่ ทําใหจ ะตอ งมกี ําลงั มีความเพยี รพยายามแกไขปรับปรุงเชน ถา หากคนที่เขาเกดิ มาร่ํารวยแลว เขามคี วามเพยี รพยายามเพยี งเทาน้ี เขาก็สามารถประสบความสาํ เรจ็ กาวหนาได เราเกิดมาใน ตระกลู ที่ขาดแคลนเราก็ตองย่งิ มีความเพยี รพยายามใหมากกวาเขาอีกมากมาย เราจึงจะมชี ีวติ ท่ีเจริญกาวหนาได ตองต้ังจิตอยา งนี้จงึ จะถกู ตอ งในสว นท่เี ปน กรรมเกา น้พี ระพุทธเจาตรสั ไว อยา งนีว้ า \"ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ นี้ ชือ่ วา กรรมเกา\" กรรมเกา กค็ ือ สภาพชีวิตที่เรามอี ยใู นปจ จบุ นั ขณะนี้ สภาพชวี ิตของเรากค็ อื ตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ ทเ่ี ปน อยู มีอยูนี้ คอื กรรมเกา คือผลจากกรรมเทา ท่เี ปน มากอนหนาเวลานที้ ั้งหมด ไมว าจะ ไดทาํ อะไรมา สง่ั สมอะไรมา กร็ วมอยทู ี่น้ีกรรรมเกามีเทา ไร ก็เรียกวามีทุนเทา นน้ั จะทํางาน อะไรกต็ าม จะตอ งมองดูทนุ ในตวั กอ น เมอ่ื รวมทุน รูกําลงั ของตวั ถูกตองแลว กเ็ ริ่ม งานตอ ไป ได ถา เรารูวา ทุนของเรานอย แพเขา เรากต็ อ งพิจารณาหาวธิ ที ี่จะลงทุนใหไดผ ลดีบางคนทุน นอย แตม วี ิธีการทาํ งานดี รูจักลงทุนอยา งไดผล กลับไดประสบความสาํ เร็จดีกวาคน ทมี่ ีทุน มากกม็ ี ฉะน้นั แมวากรรมเกา อาจจะไมด ี คือรางกาย ตลอดจนสภาพชีวิตทั้งหมดของเราไมดี แตเรา ฉลาดและเขมแขง็ ไมท อถอย เรากพ็ ยายามปรบั ปรงุ ตัว หาวธิ ีการท่ีดีมาใช ถงึ แมท นุ ไมค อยดี มีนอย กท็ าํ ใหเกดิ ผลดีได กลับบรรลผุ ลสําเรจ็ กาวหนา ยง่ิ กวา คนที่ทนุ ดดี วยซาํ้ ไป สวนคนที่ทุน ดนี ัน้ หากรจู ักใชท นุ ดีของตัว ก็ย่ิงประสบความสาํ เร็จมากข้ึน บางคนทุนดี แตไ มร ูจ ักใช มัวเมา ประมาทเสยี ก็หมดทนุ กลบั ยิ่งแยลงไปอกี ดงั น้ัน การปฏบิ ัติท่ีถูกตอ ง จึงไมใชมัวทอ แท ทอถอย อยกู ับทนุ เกา หรือกรรมเกา กรรมเกานี้ ถือเปนทนุ เดิม ซงึ่ จะตองกําหนดรู แลว พยายามแกไข ปรบั ปรงุ สง เสริมเพ่ิมพูนใหด ี ใหก าวหนา ยง่ิ ๆ ขนึ้ ไป\" หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๑๙ : ทาํ อยางไรจะใหเชือ่ เรอ่ื งกรรม โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ โฺ ต )
เพราะเปน ที่เขาใจในหมูพุทธศาสนิกชนอยูท ่วั ไปแลว วา เปนหลักใหญของพระพุทธศาสนา ความจริง หลักธรรมใหญม อี ยหู ลายหลกั เชน เรอื่ ง อรยิ สจั เร่ืองปฏิจจสมปุ บาท เร่อื งไตรลักษณ เปน ตน ซึ่งธรรมะ แตล ะขอๆเหลา นั้น ลวนแตเปน หลักใหญ หลกั สาํ คญั ทั้งสิ้น แตส าํ หรบั หลกั กรรม น้ี ประชาชนทว่ั ไปมคี วามรูสกึ วา เกยี่ วของกบั ชีวิตของตนเอง ใกลช ดิ มาก เพราะฉะนั้น ความ คุน เคยกับคาํ วากรรมนี้ กอ็ าจจะมมี ากกวา หลักธรรมอน่ื ๆ อยา งไร ก็ดี เปนอนั รวมความในที่น้วี า กรรมเปน หลกั ธรรมสาํ คญั และเปนเรอื่ งที่พทุ ธศาสนิกชน สนใจมาก และเปนเรอ่ื งทม่ี ีความของ ใจ กนั อยมู ากดว ย ท่ีของใจนนั้ กเ็ กิดจาก ความที่ ยังคลางแคลง สงสยั ในแงมมุ ตา งๆ ไมเขา ใจ ชดั เจน เหตทุ ี่ หลกั กรรม เปนปญหาแก เรามากนั้น ไมใชว า เพราะเปนหลักธรรมใหญ หรอื สาํ คญั อยา งเดยี ว แตเ ปน เพราะวา ไดมีความเขา ใจคลาด เคลือ่ น และสบั สนเกิดข้นึ เกยี่ วกับ หลกั กรรมอยมู าก เพราะฉะน้ัน ใน การทําความเขา ใจเรอ่ื งกรรมนอกจากจะทําความเขาใจใน ตวั หลกั เองแลว ยงั มีปญ หาเพิม่ ขึน้ คือจะตอง แกความเขา ใจคลาดเคล่ือนสบั สนในเรือ่ งกรรม นนั้ ดว ย เพราะฉะนนั้ อาตมภาพจงึ รสู กึ วา ในการพูดทาํ ความเขาใจเรอ่ื งกรรมนนั้ ถาเราจะมาแก ความ เขาใจ คลาดเคลือ่ นสับสนออกไปเสยี กอ น อาจจะทําใหความเขาใจงายข้ึน คลายกบั วา หลักกรรม นไี้ มมี เฉพาะตวั หลักเองเทานั้น แตมขี องอะไรอน่ื มาปด บงั มาเคลือบคลุมอีกชัน้ หนงึ่ ดว ย ถาหากวา เราจะทาํ ความเขา ใจเน้ือใน เราจะตอ งเปล้อื งสง่ิ ที่ปดบงั นอี้ อกไปเสียกอ น\" หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๒๐ : ทาํ อยางไรจะใหเช่อื เรอ่ื งกรรม ( ๒ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) พระเดชพระคณุ พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) กําลงั จะพูดถงึ ความคลาดเคล่อื นสับสนใน เร่อื งกรรม เรอ่ื งแรก คอื ความสับสนคลาดเคลอื่ นในความหมาย \"หลกั กรรมน้ี มีอะไรทีเ่ ปน ความสบั สน คลาดเคล่อื น เขามาปดบังคลมุ อยู ขอใหท านท้ังหลาย ลองมาชวยกันพิจารณาดู อาตมภาพวา มหี ลายอยางทีเดียวในความเขาใจของคนไทยทว่ั ๆไป หรือแมแตจาํ กัดเฉพาะในหมูพุทธ ศาสนกิ ชนพอพูดถงึ คําวากรรม ก็จะเกดิ ความเขาใจในความคดิ ของแตล ะทาน ไมเหมือนกนั แลว กรรมในแงข องคนท่ัวๆไป อาจจะมีความหมายอยา งหนงึ่ และกรรมในความหมายของ นักศึกษาชน้ั สูง ก็อาจจะเปนไปอกี อยางหน่ึง ไมตรงกนั แทท ีเดียว ตวั อยา งเชน ในสํานวนภาษา ไทย เราพดู กันบอ ยๆวา \"ชาตนิ ี้มกี รรม\"หรือวา \"เราทํามาไมดี ก็กม หนา รบั กรรมไปเถิด\"
หรือวา \"อะไรๆ ก็สุดแตบ ุญกรรมก็แลว กนั \" อยางน้เี ปนตน สาํ นวนภาษาเหลา นี้ แสดงถึงความเขา ใจ คําวา \"กรรม\" ในความคดิ ของคนทัว่ ไป และขอให ทานทง้ั หลายมาชวยกันพจิ ารณาดูวา ในคาํ พูดซึ่งสอถึงความเขา ใจ มนั มอี ะไรถูกตอ ง หรอื คลาดเคลือ่ นไปบา ง จากคําท่ีอาตมภาพไดย กมาอา งนั้น ก็พอมองเหน็ ความเขา ใจของคนทั่วไป เก่ยี วกับกรรมวา ประการแรก คนโดยมากมองกรรมไปในแงต วั ผล คอื เปนผลของการกระทาํ เพราะฉะนนั้ เรา จึง พดู วา กมหนารบั กรรม คาํ วา กรรม ในท่นี ้เี ปน ผล หรอื วา เราไปเหน็ คนไดรับภัยพิบตั หิ รอื เหตุรา ย ประสบทกุ ขย ากตา งๆ เราบอกวาน่นั กรรมของสตั ว เทา กับบอกวา กรรมก็คือความทกุ ข ยากอะไรตอ อะไรทเ่ี ปน ผลซง่ึ เขาไดรับอยนู ัน้ ประการตอ ไป เราพูดถึงกรรมโดยมงุ เอาแงช ่วั แง ไมด ี เรอื่ งรายๆ อยา งทวี่ า กม หนารบั กรรม หรอื วา กรรมของสตั ว กห็ มายถงึ แงไมด ที ั้งน้ัน คอื เปนเรอ่ื งรา ยๆ เปน เร่ืองทุกข เรอื่ งโศก เรอ่ื งภัยอนั ตราย ความวิบัติเหตรุ า ยนานา นอกจากนนั้ ก็มงุ ไปในอดตี โดยเฉพาะมุงเอาชาติกอนเปนสําคญั คาํ ทว่ี ามา โดยมากก็มีความหมายสอ งท่ีเดยี วไปหมดท้งั ๓ แงค ือมุงเอาในแงเ ปนเร่ืองรา ยๆ และ เปน ผลของการกระทาํ ในอดีตชาติ ฉะนน้ั กมหนารับกรรมชาตนิ ้มี ีกรรม กรรมของสัตว สดุ แตบญุ แตก รรม อะไรทาํ นองนร้ี วมแลวกเ็ ปน เรอ่ื งไมดี เปนเรอ่ื งรา ยๆ เปน เรอื่ งผล และเปน เรื่องเก่ียวกบั ในชาติกอ นท้ังนนั้ พูดงา ยๆวา คนทว่ั ไปมองความหมาย ของคําวา กรรม ในแง ของผลรา ยของการกระทาํ ช่ัวในอดตี ชาติ ทนี ล้ี องมาพิจารณาวา ความหมายทเ่ี ขาใจกันนัน้ ถูก หรือไม ? อาจจะถกู แตวา ถกู ไมหมด ไดเ พียงสวนหนึ่งเทาน้ัน ตามหลักธรรมะท่ีแทจ รงิ เพียงหลกั ตน ๆ ทานกบ็ อกไวแ ลววา กรรมกค็ อื การกระทาํ น่นั เองงายทส่ี ดุ การกระทาํ อนั นี้ ไมไ ดหมายถงึ ตัวผล แตเ ปนตวั การกระทาํ หมายถงึ ในแงเปน เหตุมากกวา เปนผล จะมุงถึงกาลเปนอดตี กไ็ ด ปจจบุ นั กไ็ ด อนาคตกไ็ ด ไมเ ฉพาะตอ งเปนอดีตอยา งเดยี ว คือปจ จบุ นั ที่ทาํ อยูน ้ีก็เปนกรรม แลว จะมอง ในแงล กั ษณะวา ดหี รอื ชวั่ ก็ไดท งั้ สองขาง คอื กรรมดกี ม็ ี กรรมช่วั ก็มี แลวแสดงออกไดทงั้ กาย ทง้ั วาจา ทั้งใจ และทีพ่ ดู ถึงกรรมอยา งน้ัน อยา งนี้ ดูเหมอื นวา เปนเรอ่ื งใหญ เรอ่ื งรนุ แรง ความ จรงิ น้นั กรรมก็มตี งั้ แตเ รื่องเลก็ ๆนอ ยๆ ในความคิดแตล ะขณะ ทกุ ๆทานทน่ี ง่ั อยใู นขณะนี้ ก็ กาํ ลงั กระทาํ กรรมดวยกนั ท้ังนัน้ อยางนอ ยก็กาํ ลงั คดิ เพราะอยูในท่ีประชมุ น้ี ไมสามารถแสดง
ออกในทางอ่ืนไดม าก ไมม โี อกาสจะพดู หรือจะทาํ อยา งอนื่ กค็ ดิ การคดิ น้กี เ็ ปนกรรม เพราะ ฉะน้นั ในความหมายท่ีถูกตองแลว กรรมกห็ มายถึงการกระทําท่ีประกอบดว ยเจตนา จะแสดง ออกทางกายก็ตาม วาจาก็ตาม หรอื อยูในใจกต็ ามเปนอดีตกต็ าม ปจจุบันก็ตาม อนาคตก็ตาม ดีก็ตาม ช่ัวกต็ าม เปน กรรมทง้ั นน้ั ฉะนนั้ ความหมายที่พดู กันทวั่ ไปน้ัน จงึ ทาํ ใหเ กิดความสบั สนคลาดเคล่อื นข้ึนมาไดอ ยางหนงึ่ จะตองทําความเขาใจใหถกู ตง้ั แตตน เปนอันวา ภาษาสามญั ทคี่ นทั่วไปใชพ ดู กนั น้ัน มขี อ คลาด เคลือ่ นอยบู าง ซึง่ จะตองทําความเขาใจใหถ ูกตองอันนเี้ ปน แงทีห่ นงึ่ \" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๑ : ทําอยางไรจะใหเชือ่ เรอื่ งกรรม ( ๓ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตโฺ ต ) คลาดเคลือ่ นประเดน็ ท่ี ๒ คอื ความคลาดเคลอื่ นในทศั นคติ ซึง่ แบง ออกเปน ๒ คอื ทัศนคตติ อ ตนเอง กบั ทศั นคตติ อ ผูอื่น ทศั นคตติ อตนเอง \"พอพดู ถึงกรรม ทศั นคตขิ องคนทว่ั ไป ก็มักจะเปน ไปในแงของการทอด ธรุ ะหรอื ไมมีความรบั ผิดชอบ ทอดธุระอยางไร ? อนั นี้อาจจะแบง ไดเปน ๒ สวนมองในแง ตัวเองอยางหน่ึง กบั มองในแงผ อู ่ืนอยางหนึ่ง มองในแงต วั เองความรสู กึ ทอดธุระ คือรสู กึ วายอทอ ยอมแพ ถดถอย และไมค ิดปรบั ปรงุ ตนเอง เชน ในประโยควา \"ชาตนิ มี้ กี รรม\" หรือ วา \"เราทาํ มาไมด ี กมหนารบั กรรมไปเถิด\" อนั นม้ี แี งทพ่ี ิจารณาไดทั้งดีและไมดี คือเวลาทา นพดู อยางน้ี เดิมกค็ งมุงหมายวา ในเมื่อเปน การกระทาํ ของเราเองทําไวไ มดี เราก็ตองยอมรับผลของการกระทาํ น้นั น่คี อื ความรสู ึกรับผดิ ชอบตอ ตนเอง ยอมรับความผดิ ทีต่ นเองกอ ขึ้นแตการทพี่ ูดอยา งนี้ ทานไมตองการใหเ ราหยดุ ชะงกั แคนัน้ ไมไ ดต อ งการใหเราหยดุ เพยี งวา งอมืองอเทาหยดุ อยแู ลว ไมตอ งคิดปรบั ปรงุ ตน เอง แตท านตองการตอ ไปอกี ดว ยวา เมอื่ เรายอมรบั ผดิ จากการกระทําของเราแลว ในแงตัวเรา เอง เราสํานึกความผดิ แลว เราจะตอ งแกไ ขปรับปรุงตัวเองใหด ี ตอ ไปดว ย แตในตอนท่เี ปนการ ปรับปรงุ นีม้ กั ไมคอ ยคดิ ก็เลยทาํ ใหความรสู กึ ตอ กรรมนน้ั หยดุ ชะงกั แคการยอมรบั แลว ก็เปน คลายกบั ยอมแพ แลวกห็ ยุด แลวกท็ อ ถอย ไมค ิดปรับปรุงตนใหก า วหนาตอ ไป เพราะฉะนั้น เราจะตองรจู กั แยกใหครบ ๒ ตอน คือความรูสึกรบั ผิดชอบตอตนเองตอนหนึ่ง
การท่จี ะคิดแกไ ขปรบั ปรงุ ตนตอ ไปตอนหนงึ่ ความรสู กึ ตอ กรรมควรจะมีตอตนเองทั้ง ๒ ดา น คอื ๑. เราจะตองมีความรับผดิ ชอบตอ การกระทาํ ของตนเอง ๒. ในเม่อื ยอมรับสวนท่ผี ดิ แลว จะตอ งคิดแกไ ขปรบั ปรุงตนเอง เพือ่ ใหถกู ตองตอไปดวย ไมใ ชห ยุดเพยี งยอมรบั ผดิ แลวก็เสรจ็ กันไปเทานั้น ถา หากวา เราใชความหมายของกรรม เพยี งในแงของการยอมรับ และเสรจ็ ส้ินไปเทาน้ัน ก็ แสดงวาเราไมไ ดใชป ระโยชนต ามหลกั คาํ สอนเกี่ยวกับกรรมอยา งถกู ตองสมบูรณ และอาจจะ ใหเกิดผลเสยี ได\" หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ท่ี ๒๒ : ทําอยา งไรจะใหเ ช่อื เรือ่ งกรรม ( ๔ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) ทศั นคติตอผูอืน่ \"ในแงความคลาดเคลื่อนของทศั นคตติ อผูอ่นื กเ็ ชน เดียวกนั เวลาเราไปเหน็ คนไดรับทกุ ขภ ัย พบิ ัตอิ ันตรายตางๆ บางทเี ราก็พูดกันวา นน่ั เปนกรรมของสตั วพ อวาเปน กรรมของสัตว เรากป็ ลงเลย แลวก็ชา งเขา บางทานก็เลยไปกวานอ้ี กี บอกวาพทุ ธศาสนาน่ี สอน ใหว างอเุ บกขา ทาํ เฉยๆ หมายความวา ใครจะไดทุกขไดร อ น เราก็ปลงเสยี วา กรรมของสัตว เขาทํามาไมดี เขาจึงไดร บั ผลอยางน้ันเรากว็ างอเุ บกขา อันนก้ี ็เปนแงท ีไ่ มถ ูก ตองระวงั เหมอื น กนั ในแงต อ ผูอื่น ทัศนคตกิ จ็ ะตองมี ๒ ดานเหมือนกัน จริงอยู คนอ่ืนเขาไดรับภยั พิบัตเิ หตุราย อะไรขนึ้ มา เราควรพิจารณาวา อันนนั้ เปน ผลของการ กระทําของเขา เชนคนท่ีไปประพฤติช่ัว ถูกจับมาลงโทษ อนั นนั้ อาจจะพิจารณาไดว า กรรมของสัตวจริงทีจ่ ริงไมใชเราพดู ในแงผ ล หรอก กรรมของสตั วน ้ัน เราพดู เลยไปถึงอดตี วาเพราะการกระทําของเขาท่ไี มด แี ตกอ น เขา จงึ มาไดร บั ผลที่ไมดีในบัดนี้ ถาจะพดู ใหเ ตม็ นา จะบอกวา อันนีเ้ ปน ผลของกรรมของสัตว ไมใ ชกรรมของสัตว แตพ ูดยอๆ กเ็ ลยบอกวา กรรมของสัตว น้กี ถ็ กู อยชู ัน้ หนึ่ง วาเราเปนคนรจู ักพจิ ารณาเหตุผล คอื ชาวพุทธ เปนคนมเี หตุมีผล เมื่อเห็นผล หรือส่ิงใดปรากฏขน้ึ มา เราก็คิดวา น่ตี องมีเหตุ เมือ่ เราไดประสบ ผลรา ย ไดถ กู ลงโทษอะไรอยา งน้ี มันกต็ อ งมเี หตุ ซงึ่ อาจจะเปนการกระทาํ ไมด ีของเขาเอง อันนี้ แสดงถึงความมเี หตมุ ีผลในเบอื้ งตน คือวางใจเปนกลาง พจิ ารณาใหเหน็ เหตผุ ลตามความเปน จรงิ เสียกอ น อยางนี้ก็เปนการแสดงอุเบกขาท่ีถูกตองอเุ บกขาท่ีถกู ตอ งน้นั ก็เพ่ือดาํ รงธรรมไว รงธรรมอยา งไร ?
การวางใจเปนกลาง ในเมอ่ื เขาสมควรไดรับทุกขโทษนั้น ตามสมควรแกก ารกระทําของตน เราตองวางอเุ บกขา เพราะวาจะไดเ ปนการรักษาธรรมไว อนั นีเ้ ปน การถกู ในทอ นที่หนง่ึ คอื อุเบกขาเพ่ือดาํ รงความเปน ธรรม หรอื รักษาความยตุ ธิ รรมไวแตอกี ตอนหนึ่งท่หี ยุดไมไดก็คือ วา นอกจากมีอเุ บกขาแลว ในแงข องความกรุณาก็ตองคิดดว ยวาเมอื่ เขาไดร ับทกุ ขภ ยั พิบตั แิ ลว เราควรจะชวยเหลอื ะไรบา ง บางทีพุทธบริษทั ก็พิจารณาปลอ ยทิง้ ไปเสียหมด ไปเห็นคนยากคน จน อะไรตออะไร ก็กรรมของ สตั วห มด เลยไมไ ดค ิดแกไขปรบั ปรงุ หรอื ชว ยเหลอื กัน ทาํ ให ขาดความกรุณาไป แทนทีจ่ ะเนน เรือ่ งความกรุณากนั บาง กเ็ ลยไปมัวเนนเรื่องอุเบกขาเสีย ทีจ่ รงิ ธรรมเหลา นี้ ตอ งใชใ หตรงเร่อื งเหมาะเจาะแมแตกรณที คี่ นไดร ับโทษ เราวางอุเบกขากับคนที่ เขาไดรับโทษนัน้ เรากต็ อ งมีกรณุ าอยูในตัวเหมอื นกัน เราอเุ บกขากบั คนท่เี ขาไดร ับโทษ เพราะ เรามคี วามกรณุ า เรามีเมตตาตอ สตั วท ั้งหลายเหลา อ่นื บุคคลผนู ไี้ ดรบั โทษ เพอื่ ใหคนทง้ั หลายเหลาอนื่ จํานวน มากไดม ีความสขุ อยดู วยความสงบเรยี บรอ ย หรอื แมแ ตเปน ความกรุณาและ เมตตาตอตวั ผูได รับโทษเองวา ผูน้ี เมือ่ เขาไดรบั โทษอยางนี้ แลว เขาจะไดสํานึกตน ประพฤตติ นเปนคนดตี อไป จากนนั้ กต็ อ งคิดตอไปอีกวาเมือ่ เขาไดรบั ทกุ ขโทษของเขาแลว เราจะชว ยเหลือเขาใหพ นจาก ความทกุ ขนั้น และพบความสุขความเจริญได อยางไร อนั น้ีก็มีความเมตตากรณุ าแฝงอยูในนั้น ไมใ ชเปน สกั แตวา อุเบกขาอยา งเดยี ว อันนจ้ี ึงเปน เร่ืองสาํ คญั เหมือนกนั ทาทีของความรูสกึ ตอ เร่ืองกรรมทไี่ มครบถว นบางทีกท็ าํ ใหมผี ลเสียได ถา อยา งไรก็ควรจะมใี หครบทกุ อยาง เปน อัน วา ทศั นคตนิ ี้ บางทกี ค็ ลาดเคล่ือนในแงท้งั ตอ ตนเองและตอคนอนื่ ตอ ตนเองน้นั ... ๑. ตองมคี วามรบั ผดิ ชอบ ๒. ตองมคี วามคดิ แกไขปรับปรุงอยดู ว ยพรอมกัน และในแงตอ ผอู น่ื ก็ไมใ ชเ อาแตอเุ บกขาอยา ง เดยี ว จะตองมีเมตตากรุณาดวย ในสวนใดท่คี วรวางอุเบกขาก็วางดว ยเหตผุ ล เพือ่ รักษา ความเปนธรรม หรือดํารงธรรมของสงั คมไวแ ละในแงของความเมตตากรณุ า ก็เพอื่ ประ โยชนของบุคคลน้ันเอง และเพอ่ื ประโยชนคนสว นใหญด ว ยตองมี และมไี ปไดพรอมกนั อัน นเ้ี ปน แงทัศนคติ ซึง่ บางทกี ็ลืมยา้ํ ลมื เนนกันไป\" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๓ : ทําอยา งไรจะใหเ ชอื่ เรอื่ งกรรม ( ๕ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต )
\"ประการที่ ๓ เปน ความคลาดเคลอ่ื นสับสนในตัวหลกั ธรรม อนั นรี้ สู กึ วา เปน เรือ่ งใหญใ นใจ ของพุทธศาสนกิ ชนนน้ั เวลานึกถงึ กรรม ก็คลา ยกับความหมายท่อี าตมภาพไดพดู มาขางตน คือมกั จะพดู ถงึ เรอื่ งเกา ไมค อ ยนึกถึงกรรมทีก่ ระทาํ ในปจ จุบัน โดยมากเอาอดตี ชาติเปนเกณฑ ทีนห้ี ลักกรรมในพทุ ธศาสนา มแี งห น่ึงท่ีเราควรพยายามศึกษาใหเกิดความเขาใจชัดเจน คอื แง ทจ่ี ะตอ งแยกจากหลักคาํ สอนในศาสนาอ่ืน พุทธศาสนานนั้ เกิดในชมพทู วีป คือประเทศอินเดยี เมอ่ื ประมาณ ๒,๕๐๐ ปม าแลว ในสมยั น้ัน ศาสนาตา งๆในอนิ เดยี มีคาํ สอนเร่อื งกรรมอยู เหมือนกันศาสนาฮินดูก็มคี าํ สอนเร่อื ง กรรม ศาสนานิครนถ หรือทเี่ รารยี กวา ศาสนาเชน หรอื มหาวรี ะ ทา นก็มีคําสอนเเรื่องกรรมเหมือนกนั และก็เนน คาํ สอนเร่อื งกรรมน้ีไวเปนหลักสําคัญ มาก ในเมอื่ พทุ ธศาสนาอบุ ัติข้นึ พระพุทธองคก ไ็ ดทรงทราบคําสอนของศาสนาเหลา น้แี ลว และ ไดทรงพจิ ารณาเห็นวา เปน ความเขาใจทยี่ งั คลาดเคลอื่ น ไมส มบรู ณพระองคจ ึงไดทรงสอน หลกั กรรมของพุทธศาสนาขน้ึ ใหม เปนหลกั กรรมซ่ึงเกดิ จากการทีพ่ ระพุทธองคตอ งการแกไข ความเชอื่ ที่ผิดในหลักกรรมเดิม แสดงวา หลักกรรมใหมน้จี ะตอ งผิดกบั หลักกรรมเกาทส่ี อน กนั แตเ ดิมในศาสนาพราหมณ ฮินดู และนิครนถ เปนตน เร่อื งหลกั กรรมในศาสนาของเรา ถา แยกแยะออกไปโดยศึกษาเปรยี บเทียบกบั คําสอนในศาสนาเดมิ เราจะเขา ใจชดั เจนยิ่งขึ้นหลัก กรรมในศาสนาฮินดู หรอื ในศาสนานคิ รนถน ้นั เม่อื เทียบกับพระพทุ ธศาสนาในสายตาของคน ตา งประเทศ โดยเฉพาะพวกฝรง่ั ท่ีมาศึกษามกั เขาใจวาเหมือนๆกัน พทุ ธศาสนากส็ อนเรือ่ งกรรม ฮนิ ดู นคิ รนถ ก็สอนเรื่องกรรมทั้งนั้น กเ็ ขา ใจวาคาํ สอนใน ศาสนาเหลา น้ีเหมือนกนั ทจี่ รงิ ไมเหมือนในศาสนาฮนิ ดู เขามีหลกั กรรมเหมอื นกนั ทว่ี าในตัว คนแตล ะคนมอี าตมนั บุคคคลแตละคนกระทํากรรม กรรมเปน เคร่อื งปดบังอาตมัน ดว ยอาํ นาจ กรรมน้ี บุคคลจึงตองเวียนวายตายเกิด ไปจนกวาจะบริสทุ ธหิ์ ลุดพนอนั นี้ ดูเผนิ ๆกค็ ลายกบั ของ พุทธศาสนา แตศ าสนาฮินดสู อนหลักกรรมเพื่อเปน ฐานรองรับการแบง แยกวรรณะ สว นพระ พทุ ธศาสนาสอนหลักกรรมเพ่อื หักลางเรือ่ งวรรณะ หลักกรรมของศาสนาท้ังสอง จะเหมอื น กนั ไดอยา งไรตรงกนั แตช ือ่ เทา นั้น สว นในศาสนานคิ รนถ ก็มีความเชือ่ ในสาระสําคญั ของกรรม คลายกนั อยางน้ี พระพุทธเจาเคยตรัสเลาความเชอ่ื เร่ืองกรรมของนิครนถ หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ท่ี ๒๔ : ทาํ อยางไรจะใหเ ชอ่ื เรือ่ งกรรม ( ๖ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต )
\"พระพุทธองคตรัสวา ภิกษทุ งั้ หลาย สมณพราหมณพวกหนง่ึ มีวาทะมีทฐิ ิอยางน้ีวาสขุ ก็ดี ทุกขก ็ดี อยา งหนึง่ อยางใดที่ไดเ สวย ทั้งหมดนัน้ เปน เพราะกรรมท่ตี ัวไดท าํ ไวในปางกอ นโดย นยั ดงั น้ี เพราะกรรมเกาหมดสนิ้ ไปดว ยตบะ ไมท ํากรรมใหมกจ็ ะไมถกู บงั คับตอ ไปเพราะไม ถูกบงั คับตอไปกส็ ้ินกรรม เพราะสิ้นกรรมก็สิน้ ทกุ ขเ พราะส้นิ ทุกข กส็ ิน้ เวทนา เพราะสน้ิ เวทนา กเ็ ปน อนั สลดั ทกุ ขไดห มดสิ้น ภกิ ษทุ ั้งหลาย พวกนคิ รนถ มีวาทะอยางน้ี อนั น้ีมาในเทวทหสูตร พระไตรปฎ กเลม ๑๔ มชั ฌิมนิกายอุปรปิ ณณาสก พทุ ธพจนท่ียกมาอางน้ี แสดงลัทธนิ คิ รนถ หรือศาสดามหาวีระ นิครนถนาฏบตุ ร ท่เี ขา เรียกกนั ท่วั ไปวา ศาสนาเชน ศาสนาเชน วา ปุพเพกตวาท เมือ่ พูดถงึ เรอ่ื งนี้แลว อาตมภาพกเ็ ลยอยากจะพูดถงึ ลทั ธิที่ จะตอ งแยกออกจากหลักกรรมให ครบทัง้ หมด ขอใหกําหนดไวในใจทเี ดยี ววา เราจะตอ งแยกหลกั กรรมของเราออกจากลัทธทิ ี่ เกย่ี วกับเรือ่ งสขุ ทกุ ขข องมนษุ ยท ไี่ ดรับในปจจบุ ัน ๓ ลทั ธใิ นสมยั พทุ ธกาลน้นั มคี ําสอนสําคญั อยู ๓ ลัทธิ ที่กลา วถึงทุกขสุขทีเ่ ราไดร ับอยูใ นขณะนถ้ี ึงปจจุบนั นี้ ลทั ธิศาสนาทงั้ หมดเทา ท่มี ี ก็สรุปลงไดเทา น้ี ไมมีพนออกไปพระพุทธเจาเคยตรัสถึงลัทธิเหลา น้ี และบอกวา คาํ สอนของ พระองคไ มใชคาํ สอนในลทั ธิเหลานล้ี ทั ธเิ หลาน้ัน เปนคาํ สอนประเภท อกริ ยิ า อกิรยิ า คอื หลักคําสอน หรอื ทัศนะแบบทที่ ําใหไมเ กิดการกระทาํ เปน มจิ ฉาทฐิ อิ ยางรายแรง อาตมภาพจะอานลัทธมิ ิจฉาทิฐิ ๓ ลทั ธนิ ้ี ตามนยั พุทธพจนท่ีมาใน องั คตุ ตรนกิ าย ตกิ นบิ าต พระสุตตนั ตปฎกบาลี เลม ๒๐ และในคัมภีรวิภังค แหง อภิธรรมปฎ ก พระพุทธองคตรัสวา \"ภกิ ษทุ ้ังหลาย ลัทธเิ ดียรถยี ๓ ลัทธเิ หลานี้ ถกู บณั ฑิตไตถ ามซักไซรไ ลเ ลยี งเขายอมอางการ ถอื สืบๆกันมา จัดเขาในพวกอกริ ิยา คือ ๑. สมณพราหมณพวกหน่งึ มวี าทะ มีทฐิ ิอยา งน้ีวา สขุ ก็ดี ทุกขก ็ดี มิใชส ขุ มิใชท ุกขก ็ดี อยาง หนึง่ อยา งใดกต็ าม ทีค่ นเราไดเ สวยท้ังหมดน้นั ลว นเปนเพราะกรรมทก่ี ระทาํ ในปางกอน ลัทธิ นี้เรยี กวา ปุพเพกตเหตุ ( ปพุ เพกตวาท ) ๒. สมณพราหมณพวกหนึ่งมวี าทะ มีทิฐิอยางน้ีวา สขุ กด็ ี ทกุ ขก ็ดี มใิ ชสขุ มิใชทกุ ขก็ดี อยาง หนงึ่ อยางใดก็ตาม ท่ีคนเราไดเ สวยทั้งหมดน้นั ลวนเปนเพราะการบันดาลของพระผเู ปนเจา เรยี กวา อิสสรนมิ มานเหตุ ( อศิ วรนริ มติ วาท )
๓. สมณพราหมณพวกหน่ึงมวี าทะ มีทฐิ ิอยา งน้ีวา สขุ ก็ดี ทกุ ขก ด็ ี มใิ ชส ขุ มใิ ชท กุ ขกด็ อี ยา ง หนงึ่ อยา งใดก็ตาม ทค่ี นเราไดเ สวยท้ังหมดน้นั ลวนหาเหตหุ าปจ จัยมิได เรยี กวา อเหตอุ ปจ จยะ ( อเหตุวาท ) ลทั ธทิ งั้ ๓ น้ี ทานพทุ ธศาสนิกชนฟงแลว อาจจะของใจขึ้นมา เอ ลทั ธิที่หนง่ึ ดคู ลา ยกบั หลัก กรรมในพทุ ธศาสนาของเรา บอกวา สขุ กด็ ี ทกุ ขก ็ดี มใิ ชส ุขมิใชทุกขก ด็ ี ทเี่ ราไดรบั อยูใ น ปจ จุบันนี้ เปน เพราะกรรมทีก่ ระทําไวใ นปางกอน เอ ดูเหมอื นกนั เหลือเกิน นแ่ี หละเปนเรือ่ ง สําคญั ถาหากวา เราไดศ กึ ษาเปรยี บเทียบเสยี บาง บางทีจะทําใหเราเขาใจ หลักกรรมของเรา ชดั เจนยิ่งขึ้น ถา ไมระวัง เราอาจจะนาํ เอาหลักกรรมของเรานี้ ไปปรบั ปรงุ เปนหลักกรรมของ ศาสนาเดิม ทพี่ ระพทุ ธเจาตอ งการแกไข โดยเฉพาะคือลัทธิของทานนิครนถนาฏบุตรเขากไ็ ด เพราะฉะน้ัน อาตมภาพ จงึ เหน็ วาเปนเรื่องสาํ คัญ ทีนี้ ทําไมพระพุทธเจา จึงไดท รงตาํ หนลิ ัทธิ ทงั้ ๓ นเ้ี ลา ? พระพทุ ธองคไ ดทรงแสดงโทษของการนับถอื ลทั ธิ ๓ ลัทธินไ้ี ว อันนจ้ี ะขออานตามนัยพทุ ธ พจนเหมือนกนั พระพทุ ธองคต รัสวา \"ภกิ ษุทั้งหลาย กเ็ มอ่ื บคุ คลมายดึ เอากรรมท่ีทาํ ไวใน ปางกอนเปนสาระ ฉนั ทะกด็ ี ความพยายามกด็ ี วา ส่งิ น้ีควรทํา ส่ิงนไ้ี มค วรทาํ ก็ยอมไมม ี\" สวนเรอื่ งของอีก ๒ ลทั ธกิ เ็ ชนเดียวกัน เมอ่ื นับถอื พระผเู ปนเจา หรอื ความบงั เอิญ ไมมีเหตุ ปจจยั แลว ฉนั ทะกด็ ี ความเพยี รพยายามกด็ ี วา อันนี้ควรทํา อนั นไี้ มค วรทาํ ก็ยอ มไมม ี เมื่อ ถือวา ผลอะไรที่เราจะไดรบั มันก็แลวแตก รรมทที่ าํ ไวแ ตปางกอน มันจะสุขทุกขอยางไรกแ็ ลว แตก รรมที่ทาํ ไวในชาติกอน เรากจ็ ะไมเ กดิ ฉนั ทะความเพียรพยายาม วาเราควรจะทําอะไรถึง เร่ืองพระผูเปนเจา ก็เหมือนกนั ออ นวอนเอาก็แลวกนั หรือวาแลวแตพระองคจะโปรดปรานท่ี จะมาคดิ เพียรพยายามทําดวยตนเองก็ไมมี ผลท่ีสดุ กต็ องสอนสําทับเพ่มิ เขาไปอีกวา พระเจา จะชวยเฉพาะคนที่ชวยตนเองกอนเทานนั้ ไปๆมาๆกเ็ ขาหลักกรรม ความบงั เอิญ ไมม ีเหตุปจ จยั กเ็ ชน เดยี วกนั ก็เราจะตองไปทําอะไรทาํ ไม ทาํ ก็ไมไดผลอะไร เพราะไมมเี หตไุ มม ีปจจัย บังเอญิ ไปก็ตองเปนอยางนน้ั ไมตองทําอะไร ผลจะเกิดก็เกิดเอง แลวแตโ ชครวมความวา ๓ ลทั ธนิ ้ี ขอเสียหรือจุดออนกค็ ือ ทําใหไ มเกิดความเพียรพยายาม ในทางความประพฤตปิ ฏิบัติ ไมเ กดิ ฉนั ทะในการกระทาํ สวนหลักกรรมในพระพุทธศาสนา มองเทยี บแลว กค็ อื วา จะตอ งใหเกิดฉันทะ เกดิ ความเพยี รทจ่ี ะทาํ ไมห มดฉนั ทะ ไมห มด ความเพียร อนั น้เี ปน หลักตัดสนิ ในแงท างปฏบิ ตั \"ิ
หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ท่ี ๒๕ : ทําอยางไรจะใหเ ช่อื เร่ืองกรรม ( ๗ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) \"เมอ่ื เขาใจหลักกรรม โดยการเปรยี บเทยี บกับ ๓ ลทั ธทิ ่ีวา มาน้ีแลว อาตมภาพเหน็ วากจ็ ะแก ไขขอคลาดเคล่ือนสับสนขางตนใหหมดเหมอื นกนั คือความคลาดเคลื่อนในแงความหมาย ของศพั ทอยางทเ่ี ขา ใจกันทว่ั ไปกต็ าม หรือความคลาดเคลือ่ นในแงท ศั นคตกิ ็ตาม อันนแ้ี กไข ไดห มดเพราะฉะนน้ั เราจะตองทาํ ความเขาใจหลักกรรมของเราใหถ กู ตอ ง อยา ปนกับนิครนถ ในศาสนาของนิครนถ เขาถอื ลทั ธิกรรมเกา สขุ ทุกขอ ะไร เราจะไดร ับอยางไรก็เพราะกรรม เกาทงั้ ส้ิน เขาจงึ สอนใหท ํากรรมเกา น้นั ใหหมดไปเสีย แลวไมทาํ กรรมใหม ทนี ี้ กรรมเกาจะหมดไปไดอ ยา งไร ? กรรมเกา จะหมดไปไดกด็ วยการบําเพ็ญตบะ พวกน้ีก็เลยบําเพญ็ ทกุ รกิรยิ า ทําอตั ตกิลมถานุ โยคท่ีพระพุทธองคก็เคยทรงไปบาํ เพ็ญเม่อื กอ นตรสั รู มาบําเพ็ญอยถู ึง ๖ ป จนแนพ ระทัยแลว ก็ทรงประกาศวา เปน ขอ ปฏิบัติทผี่ ิดไมไ ดผลอะไรพวกนคิ รนถไ มตอ งการทํากรรมใหม กรรม เกาก็หมดไปดว ยตบะ ขอใหเทียบหลักนี้ กับคาํ สอนในทางพุทธศาสนาในสฬายตนวรรค สังยุต ตนกิ าย พระไตรปฎ ก เลม ๑๘ มพี ุทธพจน วาดวยเร่อื งกรรมไวใ นแงหน่ึง พระองคตรสั วา \"เราจะแสดงกรรมเกากรรมใหม ความดับกรรม และทางดบั กรรม\" แลว พระพุทธองคกต็ รัสวา \"กรรมเกา คอื อะไร ?\" จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน นี้ชือ่ วา กรรมเกา อะไรที่ชอ่ื วากรรมใหม ? การกระทาํ ที่เราทาํ อยูในบดั นี้ นแ่ี หละช่ือวา กรรมใหมแ ลว อะไรคือความดบั กรรม ? ทานบอกวา ความดบั กรรมแหง กายกกรรม วจกี รรม มโนกรรมน้นั ช่อื วาความดับกรรมอะไร เปน ทางดับกรรม ? มรรคมีองค ๘ ประการอนั ประะเสรฐิ คอื สัมมาทฐิ ิ เปน ตน สัมมาสมาธิเปน ปรโิ ยสาน นเี่ รียกวา ทางดับกรรมอันนี้จะตรงกับลัทธินิครนถอ ยางไร ? ในลทั ธินคิ รนถ เขาสอนวา ทางดับกรรม คอื ดับกกรรมเกา โดยบาํ เพ็ญตบะกบั ดับกรรมใหม โดยไมทาํ พุทธศาสนาดับกรรม โดยมรรคมอี งค ๘ เราจะเห็นวา ทว่ี าดับกรรมน้นั ไมใ ชไ มท ํา อะไร ทําทีเดียวแหละ แตว า ทําอยา งดอี ยางมีเหตุมผี ล ทาํ อยา งมหี ลกั มีเกณฑ ทาํ ดวยปญญา คือทาํ ตามหลกั มัชฌมิ าปฏิปทา หรือมรรคมีองค ๘ ประการ
ตอ งทาํ กันจริงๆ ตามหลกั ดับกรรมในที่นี้ ไมใชไ มทํามรรคมอี งค ๘ ประการตอ งใชค วาม เพียรพยายามเปน อยา งมากตอ งพยายามเพือ่ ใหม ีสัมมาทิฐิ มคี วามเห็นทถ่ี ูกตอ งเพอื่ ใหม ีสมั มา สงั กัปปะ มคี วามดํารคิ วามคดิ ทีถ่ ูกตอง ใหม ีสัมมาวาจาใชคาํ พดู ท่ีถูกตอ งใหมีสมั มากมั มันตะ การกระทาํ ท่ีถูกตอ งทางกาย สมั มาอาชีวะมีการเลี้ยงชวี ติ โดยสมั มาชีพสมั มาวายามะ มคี วาม พยายามทถ่ี กู ตอง สมั มาสติมีสตทิ ี่ถูกตอ งสมั มาสมาธิ บําเพญ็ ปลกู ฝงสมาธทิ ่ีถกู ตอ ง หลักดบั กรรมในพทุ ธศาสนา คอื ทํากนั ใหญเลย ไมใ ชไ มทํา ตอ งทําจริงจงั โดยนยั นี้ ถา เรามองดหู ลัก กรรมทีพ่ ุทธศาสนาสอนไวในทีต่ างๆ แลวจะเห็นวา มุงหมายใหเกิดการกระทาํ และที่พระ พทุ ธเจาปฏิเสธหลกั รรมในศาสนาเกา ก็เพราะหลกั กรรมในศาสนาน้ัน ไมสง เสรมิ ใหเกดิ ฉนั ทะ ความเพยี รพยายามในการกระทํา เพราะฉะน้ัน ถา หลักกรรมของเราไดสอนกันไปแลว ทาํ ใหไมเ กิดฉนั ทะความเพียรพยายาม ก็มเี กณฑตัดสนิ ไดอ นั หนึ่งวา การสอนคงจะคลาดเคลอื่ นเสียแลวเปนอันวา ในท่นี เี้ ราจะตอง แกความคลาดเคลื่อนออกไปเสยี กอ น อนั น้เี ปนจดุ ท่ีอาตมภาพตองการชี้วา เราควรจะแกไข เพอ่ื ทาํ ความเขา ใจกันใหถกู ตอง หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ท่ี ๒๖ : ทําอยา งไรจะใหเ ช่อื เรอื่ งกรรม ( ๘ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ โฺ ต ) ข้นั ตอ ไป คือเราควรจะทาํ ความเขาใจกันใหถกู ตอ งในหลักกรรมของเราอยา งไร ? ประะการแรก เราจะตองศึกษาความหมายใหช ัดเจน อยาเพิ่งไปเชื่อ หรือยดึ ถอื ตามที่เขาใจ กนั วา พูดกนั อยา งนนั้ กเ็ ปนอันถกู ตอ ง อยา เพ่ิง ตองศกึ ษาใหเ หน็ ชัดเจนใหเ ขา ใจแจม แจงวา พระพทุ ธเจาตองการอะไรกันแน เม่ือกเี้ ราจะเห็นวา ความเช่ือของเราในปจ จบุ นั นี้ คลา ยกบั ลทั ธิ กรรมเกามากอยางไร แตในทางตรงกันขาม ก็อาจเกิดความของใจวา เอ พทุ ธศาสนาน้ีไมเ ชื่อ กรรมเกาเลยหรืออยา งไร ก็ไมใ ชอยางนัน้ จะตอ งทําความเขาใจขอบเขตใหถูกตองวา กรรมเกา แคไ หน กรรมใหมแ คไ หน ถา วาโดยสรุปกค็ อื พทุ ธศาสนาถือหลักแหงเหตแุ ละผล ถือวาส่ิงทั้งหลายเปน ไปตามเหตปุ จ จัย ผลที่จะเกิดขึ้นตองมีเหตุ และเม่อื เหตเุ กดิ ขึ้นแลว ผลก็ยอ มเปนไปโดยอาศยั เหตปุ จ จยั นน้ั มัน สอดคลอ งกันอยูใ นเรอื่ งกรรมน้กี เ็ ชนเดยี วกนั กรรมเปนเรื่องของหลกั เหตุผล ทีเ่ ก่ยี วกับการ
กระทาํ ของมนุษยเ มือ่ มันเปนหลักของเหตุผลแลว มันกต็ อ งมีทั้ง ๓ กาลนน่ั แหละ มันตอ งมีทั้ง อดีต ทง้ั ปจ จบุ นั ท้ังอนาคต เพราะฉะน้ัน ก็ไมไดปฏเิ สธกรรมเกา แตท ีผ่ ดิ ก็คือ ไปฝงจิตฝงใจวา อะไรๆตอ งเปน เพราะ กรรมเกาไปหมด น่ีมันเปน ขอ เสยี พุทธศาสนาถอื วา กรรมเกานัน้ มันเสร็จไปแลว เรายอ นกลับไป ทาํ หรือไมท ําอกี ไมไ ด \"กตสสฺ นตฺถิ ปฏิการ\"ํ การกระทาํ ท่ที าํ ไปแลว เราไปหวนกลบั ใหกลาย เปนไมไ ด ทําไมได ทีนปี้ ระโยชนทเ่ี ราจะไดจ ากกรรมเกามีอะไร มนั เปน เหตปุ จจัยอยูในกระบวน การของวงจร ปฎจิ จสมปุ บาท มันเกดิ ขนึ้ มาแลว มันเปนเหตเุ ราปฏเิ สธไมไ ดต ามหลกั ของเหตุ ผล การกระทําในอดีต ก็คือการกระทาํ ทท่ี ําไปแลว มนั ยอ มตอ งมผี ล ขอ สําคัญอยูท ่วี า เราควร จะไดประโยชนจากอดีตอยางไร ทําไปแลว แกใหกลายเปน ไมท าํ นะ ไมไ ด แตวา เรามีทางใช ประโยชนจากมนั ไดคอื ในแงท ี่จะทําใหเ กิดเปน บทเรยี นแกตนเองอยางหนง่ึ และการท่ีจะรูจัก พิจารณาไตรตรองมองเหน็ เหตผุ ล และทําใหเ ปนคนรูจักผิดชอบตนเองไมมวั โทษผอู ่นื อยู เรอ่ื ยๆ อกี อยา งหน่ึง ใหรจู ักพจิ ารณาวา ผลที่เกดิ กบั ตนเอง เกี่ยวของกับการกระทาํ ของตัว เราอยา งไร ไมใ ชมวั รอรบั แตผ ลของกรรมเกา เมื่อพจิ ารณาเห็นเหตผุ ลแลว กจ็ ะเปนบทเรยี น สําหรับคดิ แกไ ข ปรบั ปรงุ ตนเองตอ ไป จดุ ที่พระพทุ ธเจาตอ งการที่สดุ กค็ อื เรอ่ื งปจ จุบัน เพราะวาอดีตเราไปทําแกค ืนไมไดแต ปจจุบันนเ้ี ปนส่งิ ทเ่ี ราทาํ ได เรามอี สิ รภาพมากทีเดยี วในปจ จบุ ัน ที่จะกระทําการตางๆเพราะ ฉะนัน้ เราจะตองสรา งทัศนคตทิ ่ถี กู ตองตอ กรรมแตล ะอยา งวากรรมเกาเราควรจะวางความ รสู ึกอยางไร เอามาใชประโยชนอ ยา งไร กรรมใหมเราควรจะทาํ อยา งไร น่ขี ดี วง แยกกนั ให ถูกตองแลว จงึ จะไดผ ลดีข้ึนมา หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๒๗ : ทาํ อยางไรจะใหเ ชอ่ื เรอ่ื งกรรม ? ( ๙ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) \"เราควรทําความเขา ใจเกย่ี วกับวตั ถุประสงคในการสอนเรอื่ งกรรมของพระพทุ ธเจา วาเดิมที เดยี วที่พระพุทธเจาทรงสอนเรื่องกรรมข้ึนมานี้ พระองคม วี ัตถปุ ระสงค หรือตองการอะไร ? มีความมุงหมายอยางไร ? ในการปฏิบตั ธิ รรมนี้สง่ิ สําคญั ทส่ี ดุ อนั หนงึ่ คอื ตอ งเขาใจวัตถุ ประสงคความมุง หมายแลว การปฏิบตั ิธรรมจะไขวเขวเลือ่ นลอยเม่อื เลอ่ื นลอยไปพกั หนง่ึ แลว กจ็ ะเขาใจผิดที่เราเขาใจผดิ เรือ่ งสันโดษเรือ่ งอุเบกขาอะไรน่ี เพราะวาโดยมากสอนแตความ หมาย ทาํ ความเขาใจแตความหมายแลวไมไ ดคาํ นึงถงึ วตั ถปุ ระสงคห รือความมุง หมายวาใน
การปฏิบัติธรรมขอน้ี ทานมุงหมายเพื่ออะไรอยา ง สนั โดษน่ีเราปฏบิ ตั เิ พอ่ื อะไร ? ถาจะซักถามในแงวัตถุประสงคขนึ้ มา บางทกี ช็ ักอดึ อัดกันทีเดียว นี่จะตองการอะไรแนจะ ปฏบิ ัตธิ รรม ปฏบิ ตั ศิ ีล เรามกั จะศึกษาเฉพาะในแงความหมายแตถ าจะถามวา ศลี น่ีเราปฏบิ ัติ เพอื่ อะไร ตอนนีบ้ างทชี ักงง ไมช ัดบางทีก็ตอบโพลง ทเี ดยี ว บอกเพอ่ื พระนิพพานตอบอยางนี้ คลุมเครอื ตอบขา มไปหาวัตถปุ ระสงคใหญจ ริงอยู วัตถปุ ระสงคข องพระพุทธศาสนาข้นั สงู สดุ เพือ่ พระนพิ พาน แตว าไมใชปฏิบตั ิศลี อยางเดียวไปนิพพานได มันตอ งมเี ปนขั้นเปน ตอนเพราะ ฉะนน้ั นอกจากวัตถุประสงคใหญแ ลว ยงั ตอ งมวี ัตถปุ ระสงคเฉพาะ วาน้เี พ่อื อะไรจะตอบวาเพ่ือ สมาธิ หรอื เพอื่ อะไร ก็ตอ งตอบมาใหเห็นสันโดษกเ็ ชนเดียวกนั กรรมก็เชนเดยี วกนั ถา เราเขาใจ ความมงุ หมายในการสอน ในการปฏบิ ตั คิ วามหมายของธรรมน้ัน กจ็ ะชดั เจนขึ้นดว ย และกเ็ ปน การปฏบิ ตั ิอยา งมหี ลกั เกณฑ ไมใ ชเลอ่ื นลอย ไขวเขว สับสน\" หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๒๘ : ทาํ อยา งไรจะใหเชือ่ เรอื่ งกรรม ( ๑๐ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยตุ โฺ ต ) \"ลองมาดคู วามมุงหมายของพระพุทธเจา ทที่ รงสอนเรื่องกรรมศกึ ษาในแงน้ีจะเหน็ วามี หลายความมงุ หมายเหลือเกนิ พระพุทธองคทรงสอนเร่อื งกรรมน้ี อยางแรกกค็ ือเพอ่ื ขจัดความ เช่ือถือ และการประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นสังคมของศาสนาพราหมณเดมิ เกยี่ วกบั เรอ่ื งวรรณะวรรณะ คอื การแบง ชนเปน ชนั้ ตา งๆ ตามชาติกําเนิดศาสนาพราหมณถ ือวา คนเราเกดิ มาเปนลกู กษัตริย กเ็ ปน กษัตรยิ เปนลูกพราหมณกเ็ ปน พราหมณ เปน ลูกแพศยก เ็ ปนพอคา เปน ลูกศทู รกเ็ ปน กรรมกร คนรับใชกต็ อ งเปน คนวรรณะน้ันตลอดไปแลวแตชาติกาํ เนดิ แกไ ขไมได อนั นี้เปน คาํ สอนเดมิ เขาสอนอยางนนั้ คร้ันมาถงึ พระพุทธเจา พระองคท รงเนน เรอื่ งกรรม เกย่ี วกบั วรรณะนัน้ วา คนเราน้ัน \"น ชจจฺ าวสโล โหต,ิ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ\" บอกวา คนเราไมไ ดเปน คนถอ ยคนตํ่าทราม เพราะชาตกิ ําเนิด และก็ไมไ ดเ ปน พราหมณ คอื คนสงู เพราะชาติกําเนดิ แต \"กมมฺ นุ า วสโล โหต,ิ กมฺมนุ า โหติ พฺราหมฺ โณ\"จะเปน คนทรามกเ็ พราะกรรม และเปนพราหมณก ็เพราะกรรม อันน้ี ถา เรามองกรรมเปนกรรมเกา มนั กเ็ ขาไปเปนอันเดียวกับคาํ สอนเดิมเขา คือเปน พราหมณ เขาก็บอกวา ออ ! ชองทานก็เหมือนกัน ทา นบอกเพราะกรรม น่ีกเ็ พราะกรรมเกาสิ จึงเกดิ มา เปน พราหมณเกิดมาเปน คนถอ ยกอ็ นั เดยี วกนั คอื ตามชาตกิ าํ เนิดเหมอื นกนั ทจี่ รงิ ไมใชอ ยา งน้ัน
กรรม ในทีน่ ี้ หมายถึงการกระทํา ในความหมายหยาบท่ีสดุ กห็ มายถงึ อาชีพการงานอยาง ในพทุ ธพจนนี้ กม็ ขี ยายตอไป เชนวา ใครไปทาํ นาทาํ ไร คนนั้นก็เปน ชาวนา ไมใ ชเปนพราหมณ ถาคนไหนไปลกั ขโมยเขา คนน้ันก็เปน โจร คนไหนไปปกครองบา นเมือง คนน้นั กเ็ ปน ราชา ดังน้ี เปน ตน น่ีพระองคขยายความเรื่องกรรม หมายความวา การกระทําทปี่ ระกอบกันอยนู ี้ ความ ประพฤติที่เปน ไปอยูนี้แหละ เปน หลกั เกณฑส าํ คัญทจ่ี ะวดั คน พทุ ธศาสนาไมต องการใหมวั ไป วัดกันดวยชาติกาํ เนิด แตใหวดั กันดว ยการกระทาํ ความประพฤตทิ ่ีบคุ คลนั้นประกอบ และเปน ไปอยางไร ตั้งแตค ุณธรรมในจติ ใจออกไปน้ีกเ็ ปนแงห นึ่ง ท่ีพระพุทธเจาทรงเนนมาก ถา เรา อา นในพระไตรปฎ กจะเห็นวามพี ระสตู รตา งๆ ท่พี ยายามนําหลักกรรมมาแกไ ขเร่ืองการแบง ชนั้ วรรณะโดยชาติกําเนิดนม้ี ากมาย\" หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๒๙ : ทําอยา งไรจะใหเ ชื่อเร่อื งกรรม ( ๑๑ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) \"ความเพียรพยายามในการพ่ึงตนเอง และรูจกั แกไ ขปรบั ปรงุ ตนเอง อนั น้ีก็เปน ขอ สําคัญ ท่ี พระพทุ ธเจาทรงสอนย้าํ บอยๆ อยางหลัก อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ...ตนเปน ทีพ่ งึ่ แหง ตน หรือ อยาง ตมุ เฺ หหิ กจิ ฺจํ อาตปปฺ . ...ความเพียร ทา นท้งั หลายตองทําเอง และ อกฺขาตาโร ตถาคตา ...ตถาคตทั้งหลาย เปนผบู อก เปน ผชู ้ีทางให ก็เปน เรื่องทพี่ ยายามใหคนเรามคี วามเพยี ร พยายามในการกระทํา อยาไปมัวหวังพงึ่ ปจจัยภายนอกอยู เพราะปจ จยั ภายนอกน้นั มนั ไมยงั่ ยนื และมันไมอยกู ับตัวเอง มันไมแ นน อน และถึงอยา งไรก็ตาม ตัวเรานีก้ ็จะตองทําถาจะใหเกดิ ผล สําเร็จแทจ ริงแลว จะตอ งทํา จะตองพง่ึ ตวั เองใหมากที่สดุ พระพุทธเจาทรงสอนเรือ่ งน้ีอยู เสมอ พยายามใหเ ราหันมาพึง่ ตัวเองใหม ากขึ้น ลดการพึ่งปจ จัยภายนอก ความเช่อื ถือในเรอ่ื ง สงิ่ ท่จี ะมาอํานวยผลประโยชนโดยทางลัด ใหม นั นอ ยลงไปๆ อนั นี้กเ็ ปนแงหน่งึ \" \"พระพุทธเจามวี ตั ถปุ ระสงคห ลายอยางในการสอนเร่ืองกรรม แตหลกั ใหญๆ ก็มีอยางนจ้ี ึงขอ ยกมาเพยี ง 2 อยางนกี้ อ นการทาํ ความเขาใจในวตั ถุประสงคท ่กี ลา วมาน้ีจดุ สําคญั กค็ อื ตองการ ใหเรามีความเพียรพยายามในการทจ่ี ะประพฤตทิ ําความดีแกไ ขปรับปรงุ ตนเองขน้ึ ไป อันน้ี แหละเปนหลักสําคญั มากใน พุทธศาสนาซึง่ ถอื วา จดุ มงุ หมายจะบรรลไุ ด ก็โดยท่ตี วั เราตองทํา ศาสดาครูอาจารยเ ปนเพียงผแู นะ ผบู อกทางใหเทา น้ัน ไมใ ชวาชว ยเราไมไ ดเลย ชวยแบบทวี่ า สง เราไปสวรรค สงเราไปนรก สงเราไปนพิ พานนั้น สงไปไมไ ด แตบอกทางใหชีท้ างให แนะ นาํ พรา่ํ สอนกนั ได เปนกัลยาณมติ รให แตถงึ ตอนทาํ เราจะตองทาํ อนั นเี้ ปนแงว ัตถุประสงค\"
หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๓๐ : ทาํ อยางไรจะใหเ ชื่อเรือ่ งกรรม ( ๑๒ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) \"ตอ ไป จะพูดถงึ ตวั แทของหลกั กรรมเอง ซึง่ ก็จะตอ งทําความเขาใจใหถ ูกตองตามความ เปนจรงิ เหมือนกนั หลกั กรรม เปน หลกั ธรรมทลี่ ึกซ้ึงพอพูดถงึ ความหมายท่ลี ึกซงึ้ กก็ ลายเปน เรื่องเกี่ยวกันเขาไปถงึ หลกั ใหญๆ โดยเฉพาะปฏจิ จ--สมุปบาทจะตองระลึกไวว า กรรมนไี้ มใช แตเ พยี งเรื่องภายนอก ไมใ ชการกระทาํ ทแี่ สดงออกมาทางกาย ทางวาจาเทา นนั้ ตองมองเขา ไปถงึ กระบวนการทํางานในจิตใจ ผลทเ่ี กดิ ขนึ้ ในจติ ใจแตละขณะๆทเี ดยี ว ความหมายท่ีแท จริงของกรรม มงุ เอาที่นั่น คือ ความเปน ไปในจติ ใจของแตละคน แตละขณะกรรมทจี่ ะแสดง ออกมาทางกายทางวาจา อะไรๆก็ตองเรม่ิ ขึน้ ในใจกอนท้งั น้นั ทีนีจ้ ุดเรม่ิ แรก ในกระบวนการ ทํางานของจติ เปนอยางไร ? เกิดขึ้นโดยมีเหตมุ ผี ลอยางไร ? แลวแสดงออกทางบุคลิกภาพ อยางไร ? ในขน้ั ลึกซง้ึ จะตอ งศกึ ษากนั อยา งนี้ถาทาํ ความเขาใจกันในเรื่องนใี้ หชดั แจงแลว เราก็มองเห็น วา กรรมเกยี่ วพันกบั ชีวิตของเราอยางชดั เจนอยตู ลอดเวลาทกุ ขณะแตความเขา ใจในข้ันน้เี ปน ขน้ั ที่ยากอยา งไรก็ตาม ถาเราตอ งการใหเช่อื หลกั กรรม หรือเขา ใจหลักกรรม รูหลักกรรมทแ่ี ท จริงแลว กจ็ าํ เปนตองศึกษาเรือ่ งน้ี ท้ังๆทย่ี ากนั่นแหละ ถา ไมอยางนั้นกไ็ มมีทาง ถา เราไม สามารถศึกษาใหเขาใจชัดเจน ถงึ กระบวนของกรรม ในขนั้ จติ ใจ ตงั้ ตน แตความคดิ ออกมา จนชดั เจนได เราก็ไมม ีทางท่จี ะมาสอนกันใหเ ขาใจหรอื ใหเชือ่ หลักกรรมไดความคิดที่มผี ลตอ บุคลกิ ภาพออกมาแตละขณะๆนนั่ แหละคอื กรรมกรรมน้ี ความจริงก็คือเรือ่ งของกฎธรรมชาติ เรอ่ื งของขอเท็จจริง ความจรงิ ปญ หาของเรา ไมใชวา ทาํ อยา งไรจึงจะเช่อื กรรมเมอื่ หลกั กรรมเปน กฎธรรมชาติ เปนหลกั แหง ความจริง มันก็ไมใชเรอื่ งทที่ าํ อยางไรจะเชือ่ แตกลายเปน วา ทาํ อยางไรจึงจะรู จะเขาใจเราจะเช่อื หรือไมเชอื่ ไมม ีผลตอหลักกรรม หลักกรรมเปน ความจริง มนั ก็คงอยอู ยาง นัน้ เราจะเชอ่ื เราจะไมเชือ่ มันก็เปน ความจรงิ ของมันอยู เขาหลักอยา งทีพ่ ระพุทธเจาตรัส อยา ง เรอ่ื งธรรมนยิ าม วา อุปฺปาทา วา ภกิ ขฺ เว ตถาคตานํ อนปุ ฺปาทา วา ตถาคตานํ...... ตถาคตทัง้ หลายจะอบุ ัตหิ รอื ไมอุบัตกิ ็ตาม หลักความจรงิ น้นั มนั กต็ องเปนความจริงอยูอ ยา งน้ันแมแต พระพุทธเจาไมอุบัติ มันกเ็ ปน ความจรงิ ของมนั ขอสําคญั อยูท ี่วา ทาํ อยา งไร จะศกึ ษาใหเ ขาใจ ชดั เจนเพราะฉะน้นั ไปๆกลายเปนวาจะตองเปล่ยี นหวั เรอื่ งที่ตัง้ ไวแตตน ทีว่ า ทาํ อยา งไร จะ ใหเชอ่ื เรอื่ งกรรมกลายเปน วาทาํ อยางไรจึงจะรูหรอื เขาใจเรอื่ งกรรม เช่ือหรือไมเ ช่อื กแ็ ลวแต
มันเปนความจริง คุณจะยอมรบั หรือไมย อมรบั ชวี ิตของคณุ กต็ องเปนไปตามกรรม ถาหากวาเราทําไดถึงข้ันน้ี แลว เราไมง อ คนเชื่อ เพราะฉะน้ัน อาตมภาพวาสําคญั ทน่ี ่ี สําคญั ทจี่ ะตองศึกษาใหเขาใจชดั เจน แสดงใหเห็นตวั ความจริงไดแลว เราไมง อ คนเชื่อเราบอกวา อนั น้ีเปน กฎธรรมชาติ เปน ความ จริงของมนั อยูเ อง คุณจะเชอื่ หรือไมเชอ่ื ฉนั ไมง อ ตอ งทาํ ถงึ ขนั้ น้นั นั่นแหละทีนป้ี ญ หาวา ทาํ อยางไรจึงจะเขาใจหรือรหู ลักกรรม มนั กลายเปน เรอ่ื งยากขนึ้ มาเรือ่ งกรรมนเี้ ราพดู กนั มาก แตก็พดู กนั เพยี งแคภ ายนอก โดยมากมุงผลหยาบๆท่แี สดงแกช วี ิตของคนเราถา เปนผลในแง ดี กม็ องไปที่ ถกู ลอตเตอร่ี หรือร่ํารวยไดยศศักดิ์อยางใหญๆเปนกอนใหญๆ จึงเกดิ ความรูสกึ วา อันนีค้ งจะเปน ผลของกรรมดใี นแงร ายเรากม็ องไปถึง เกดิ ภยั พบิ ตั ิ เกดิ อนั ตรายใหญโ ต ไปอยางน้ัน จึงจะรูสกึ เรอ่ื งกรรมแตใ นแงน ้ัน ยังไมถึงหัวใจแทจริงของกรรมถา ศกึ ษาใหเขาใจ ชัดเจนจะตองเริ่มตง้ั แต กระบวนการของจติ ใจภายในนีเ้ ปนตน ไป แลวจะกลายเปน เรือ่ งยาก ขนึ้ มาศกึ ษาแตด านภายนอก ใหม องเหน็ กรรมทแี่ สดงออก เปนเหตุการณืใหญๆ นนั้ ไมพอ ตอง หนั มาศกึ ษาเรื่องลึกซึ้งดวย อันนอี้ าตมภาพกเ็ ปนแตเพยี งมาเสนอแนะ เราจะมาพูดถงึ เนื้อแท ของหลักกรรมในแงล กึ ซงึ้ อยา งเดียวก็คงไมไหว ในที่ประชมุ นี้ เปนเร่ืองใหญท เี ดยี ว เปน แต บอกวา ควรจะเปนอยางนีเ้ ทานนั้ หั ว ข อ เ รื่ อ ง ท่ี ๓๑ : ทําอยางไรจะใหเชอ่ื เรือ่ งกรรม ( ๑๓ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยตุ โฺ ต ) \"ทําอยา งไร จะใหคําตอบเรอื่ งกรรมน้ี เปนผลขน้ึ มาในทางปฏิบตั ิ อาตมภาพคิดวาการท่ีทา น ตง้ั ชื่อเร่อื งวา ทําอยางไรจะใหเ ชอ่ื เร่อื งกรรมน้ี ทานคงมุงผลวา ทําอยา งไรจะไดผ ลในทาง ปฏบิ ัติ คือเดก็ ก็ตาม คนหนมุ คนสาวก็ตาม คนผูใหญท ัว่ ไปในสังคมกต็ าม จะประพฤติปฏิบตั ิ ทําแตก รรมดี ไมทําชัว่ เพราะกลัวผลช่ัวอะไรทํานองน้ี ทานคงมุงหมายอยา งนน้ั เปน เกณฑ คือ ทาํ อยางไรจะประพฤตกิ รรมดี แลว กห็ ลีกเวน กรรมช่วั อันนี้จะพูดถึงในแงท เ่ี ขาเรียกกันใน ปจ จบุ นั คนสมยั น้ี เขามีศัพทท ี่ใชก นั อันหนง่ึ เรยี กวา คานยิ ม โดยเฉพาะคานิยมในทางสงั คม อนั นีก้ ระทบกระเทอื นตอหลกั กรรมมาก ในขณะที่เรายงั ไมสามารถศึกษา ชแ้ี จงออกมา ใหเ หน็ ชดั กันในเรอ่ื งหลักกรรม โดยใหเปน เร่อื งแพรหลายทส่ี ดุ ไดน้ี เราจะตอ งมาแกป ญหาเฉพาะหนา เรื่องนี้กอ นจะแกไ ดอยา งไรคา นิยม ของสงั คมที่ยกยองในทางวัตถุมาก อันน้ีจะมากระทบกระเทือนตอหลักกรรมคา นิยมอยา งนี้
มองเหน็ ไดจากคําพูด ทเ่ี กี่ยวกับกรรมน่นั เองเวลาเราพูดวาทําดไี ดด ี ทําชั่วไดชัว่ คนสว นมาก มักนึกถึงคานิยมในทางวัตถุ ทําดไี ดด ี คาํ วา\"ดี\"ในน้ัน ทาํ ดีก็ตาม ไดดกี ็ตาม ยงั ไมไดบอกชัด เลยวา อะไรดีแตตามหลักความจริง โดยเหตผุ ลน้นั ทําดกี ็ยอมไดด ี ทาํ ชว่ั กย็ อ มไดช่วั เปนหลกั ธรรมดาตามธรรมชาตถิ า หากวา มนั ผิด กแ็ สดงวา คนตองมีความไมซ ่อื ตรงเกดิ ขึ้นในเรื่องนี้ เพราะวาตามกฎธรรมดาน้ี เหตอุ ยางไร ผลอยางน้ันเปนหลกั ท่ัวไป ไมวา ใครกต็ อ งยอมรบั เพราะฉะน้ันที่วา ทําดไี ดด ี ทําชั่วไดช่วั นเี่ ปน หลกั สามญั เปนหลักธรรมดาถา คนไปเห็นวาหลัก นี้ผิด แสดงวา ตองมคี วามไมซ่อื ตรงเกดิ ขึน้ คดโกงกนั ในหลักกรรมนแ่ี หละคดโกงในกฏ ธรรมชาติเขาคดกันอยา งไร ? ทําดีไดดี ยงั ไมแ จงออกไป อะไรดี บอกวา ทําดีไดดถี าเราขยายวา ทําดี ดตี วั นั้นเปนกรรม ทํา ความดี ผลตอ งไดค วามดี ทําความช่วั ไดความชัว่ นี่ตองตามหลักความดนี ี่ คนชักงงอีกแลว ความดีนี่ บางทีไปนกึ เปนความดีความตามหลักชอบไปอีกแลว เอาอีกแลว เลยเถดิ ไปอีกเหมือน กนั ความดีนี่ คอื ตัว คณุ ธรรม ก็ไดตัวคณุ ธรรม ทําตวั ความดี ไดตวั ความดีเม่อื เราสรางเมตตา ขนึ้ ในใจ เรากไ็ ดเมตตา อันนีไ้ มม ปี ญ หาทีนค้ี นจะคดโกงกับหลักน้ีอยางไร ขยายทาํ ดีไดดีออก ไปทําความดีไดความดี คนไมคิดอยา งนั้น ทําความดไี ดของช่ัว ทําความชว่ั ไดของดี ทํานองนี้ มันกลับไปเสียอยางนี้ เปน อยา งไร ทาํ ความดไี ดของดี ? ฉันประพฤตคิ วามดี ฉนั ขยัน ฉันใหข องอนั นี้ไป ทําทาน อนั น้ี ฉันจะตอ งถูกลอตเตอรี่ ความดีในทน่ี ้ี ไมใชต ัวความดเี สียแลว ลอตเตอรีเ่ ปนของดีอันนี้ ไมตรงแลว บอกทําความดีไดข องดี คนไปกลบั หลกั เสีย น่ไี มซ่ือตรงแลว ผดิ ตอ กฎธรรมชาติ ฉะนั้น ความคลาดเคลอ่ื นก็เกิดจากความที่คนเราท้ังหลายไมซ่ือตรงนัน่ เอง ไมใชหลักการ ผิดพลาดคลาดเคล่ือนอะไร คนเราไมซ ื่อตรงตอ กฎธรรมชาติเอง เราเขาใจกันไป สรา งความ หมายทีเ่ ราตองการเอาเอง อะไรทถี่ ูกใจเรา เราตองการใหเ ปนอยา งน้ันเม่ือไมไดอ ยางใจเรา เราก็โกรธ เราก็หาวา หลกั นัน้ ผิดเราบอกวาเราทําดีแลว ทาํ ไมมนั ไมถ กู ลอตเตอรี่ มนั จะไปเกย่ี ว อะไรกนั โดยตรง มันไมเก่ียวโดยตรงมันเก่ยี วโดยออม ผลอยา งน้ไี มใชผ ลโดยตรง ไมใ ชค วาม ซื่อตรงในหลักกรรมแลว น้ีกอ็ นั หนง่ึ เปน เร่ืองสาํ คญั เก่ยี วกบั คา นยิ ม คําที่วา นี้ แสดงคานิยมใน ทางวัตถขุ องมนษุ ยในสงั คม\" หั ว ข อ เ รื่ อ ง ที่ ๓๒ : ทําอยา งไรจะใหเ ชือ่ เร่ืองกรรม ( ๑๔ )
โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยุตฺโต ) \"ปจจุบนั สิ่งที่ดี สง่ิ ที่ประสงคใ นใจของมนษุ ยน้นั มุงไปท่ผี ลไดท างวตั ถุเปนสาํ คัญความ สะดวกสบายทางวตั ถุ ความมีทรพั ยส มบตั ิ ก็กลายเปน เครอื่ งวัดทส่ี าํ คญั ไปความสุขความทุกข ของมนุษย ก็มาวดั ทีว่ ัตถุ คนเรากน็ ิยมวตั ถุมากทีนี้ในเมือ่ นยิ มวัตถมุ าก ความนยิ มในทางจิตใจ กน็ อ ยลง ความหมายกไ็ มมแี มแตเ กยี รติทใ่ี หก นั ในทางสงั คม มนั ก็มงุ ไปทางวัตถุมากข้ึน ในเมอื่ สังคมนิยมเกยี รตทิ ว่ี ดั กนั ดว ยวตั ถอุ ยางนีแ้ ลว มนั กเ็ ปนการคลาดเคลื่อนตอความหมาย คือคนเรานี้ไมซื่อตรงตอหลกั หรือกฎเกณฑข องธรรมชาติ เม่ือนยิ มอยา งใด กเ็ ปน ธรรมดาอยู เองท่ีเราจะตองการใหไดผลอยา งน้ันข้ึนมา แตผลท่ไี มตรงตอ เหตุ มันก็เปน อยา งทเี่ ราตอ งการ ไมไ ดในเมอื่ ไมไ ด เราก็หาวา หลกั นั้นไมถกู ตอง แลวเราก็วา ไมเชอ่ื บาง อะไรบางก็ตามแตอันนก้ี ็ ชอื่ วา เปนผลของกกรรมทค่ี นทํากกรรมในสงั คมนนั่ เอง คอื กรรมของกาารทเี่ รามคี า นิยมทาง วตั ถมุ าก มาเอาความดี ความเจริญ ความกาวหนา ความสุข กันอยูแตทว่ี ตั ถุ เลยหลงลมื คณุ คา ทางจิตใจ ในเม่อื หลกั ธรรม เปน เรอื่ งเก่ียวกบั จติ ใจอยูม าก เราไมใหความสาํ คญั ในทางจิตใจ หรือทางคณุ ธรรมเสียแลว หลักธรรมมนั ก็หมดความหมายลงไปสาํ หรบั เราเปนธรรมดาถา หาก วา เราตองการใหค นมาประพฤติตามหลักกรรม เรากต็ องชว ยกันเชดิ ชูคณุ คาทางจิตใจหรือคุณ คาทางฝายคุณธรรมใหมากข้ึนเราจะตอ งรูจกั ขอบเขตคุณคา ทางวตั ถุ เราจะตองวดั กันดว ยวตั ถุ ใหนอยลง อันน้เี ปน เร่ืองสาํ คัญเหมือนกนั ถาหากวา สังคมเรานยิ มยกยอ งวตั ถุกันมาก มันกเ็ ปนธรรมดาอยเู องทจี่ ะตอ งวัดดี ( วัดความดแี ละผลดี ) กนั ดวยวัตถกุ ารทีส่ ังคมไปนยิ ม ยกยองวตั ถมุ าก ไมใ ชกรรมของคนท่อี ยใู นสังคมนั้นหรือกรรมในทน่ี ้ี หมายถงึ การกระทํา ซง่ึ รวมถึงพดู และคดิ ความคิดทน่ี ิยมวตั ถนุ ้ันเปนกรรมใชห รือไม ?ในเมือ่ แตล ะคนทํากรรมอันน้ี คือ หมายความวา มคี วามโลภในวตั ถุมาก อันนเ้ี ปน กุศลกรรม หรอื อกุศลกรรมเมื่อเปน อกุศล ก็กลาย เปน วา คนในสังคมนั้นทําอกศุ ลกันมากเม่ือทําอกุศลกนั มาก วบิ ากที่เกิดแกคนในสงั คม ก็คอื ผล รายตางๆฉะนนั้ มนษุ ยจะตองมองใหเขาใจความสัมพันธอ นั น้ี จะตองเขา ใจวา สงั คมที่เดือด รอ นวนุ วายกนั อยู มีความไมปลอดภัย มภี ัยอันตรายเกิดขนึ้ ในทต่ี างๆมากมาย ไปไหนกไ็ ม สะดวกสบายน้ัน มันเกดิ จากกรรมของเราแตล ะคนดวยเราจะตอ งมองใหเหน็ ความสัมพนั ธถ งึ ขนาดนจี้ งึ จะไดถ าไมอยางน้ันแลว เราจะไมเขาใจซง้ึ ถึงเรือ่ งกรรมหรอก มนั สมั พนั ธอ ยางไร เอ ! ก็ทีม่ นั เกดิ ภัยอนั ตราย โจรผรู า ยมากมาย คนไมค อ ยประพฤติศีลธรรมเปนกันมากมาย ไม เหน็ เก่ยี วกบั เราเลย คนอ่ืนทําท้งั นนั้ น่แี หละ เราซัดความรับผดิ ชอบละ ท่ีจรงิ เปนกรรมของแต
ละคน ท่ีชว ยกันสรา งข้ึน ต้ังแตค า นิยมทอี่ ยใู นใจเปน ตนไปเพราะเรานยิ มเรอ่ื งนม้ี ากใชไ หม ผล มนั จงึ เกดิ ในแงน้ี อาตมภาพวาพอจะเชื่อมไดอยูลองศึกษาใหดีเถิดมคี า นิยมอยา งน้ี คนก็แสวง แตเ รอ่ื งน้ี ความสุขความอะไรวดั กนั ดวยวัตถอุ ยา งเดยี ว คนกต็ องพยายามแสวง แสวงดาน เดยี วไมม ียัง้ เม่อื แสวงไปแบบนั้น มันก็อาจจะกอไปในรูปอาชญากรรม ความประพฤตเิ สอ่ื มเสีย ตา งๆ ความแยงชิงอะไรตอ อะไรกนั มาก ก็คอื ความนยิ มทีเ่ ปนมโนกรรมอยูในจติ ใจของแตละ คนน้นั เปนเหตใุ หเกดิ สง่ิ เหลา นข้ี นึ้ มาในระยะยาว ถาสามารถมองจนเหน็ วา เหตรุ า ยภยั พิบัติ ความเส่อื มเสียตางๆ ทเี่ กดิ ในสังคมนี้ เปน ผลวบิ าก เกิดแตกรรมของเราท้ังหลายน้นั เองแสดง วาพอจะทําความเขาใจในเร่อื งกรรมกนั ไดบ าง แตชัน้ แรก ตองใหเหน็ ความสมั พนั ธกนั กอ น ประการตอไป วาถงึ ในระยะยาวจะทาํ อยางไร ? เร่ืองกรรมนเ่ี ปน เร่ืองใหญ เปนเรอื่ งคณุ คา ทางนามธรรมท่ีมองเห็นไดยาก จะตอ งศกึ ษา ใชส ติปญญากนั ไมใชน อยการท่จี ะใหคนประพฤติ ปฏิบัตกิ ันจริงจังไดผลในระยะยาว จะตองอบรมปลูกฝง กนั จนเปน นิสยั จะตอ งใหก ารศึกษา ตามแนวทางท่มี คี วามเขาใจในหลกั กรรมเปนพ้ืนฐานคอื ตองฝกฝนอบรมตัง้ แตเ ดก็ ใหป ระพฤติ ดวยสาํ นึกรบั ผดิ ชอบตอการกระทําของตนจนเคยชิน ถา ไมทําอยางนี้ไดผลยากการศึกษาให เขา ใจความหมายที่ลึกซงึ้ นัน้ เปน เร่อื งยาก แมจะเปน ความจริงกต็ าม แตส่ิงทีจ่ ะทาํ ไดใ นทาง การศกึ ษากค็ อื สิ่งใดตกลงแนว าดวี า งามแลว เราจะตอ งฝกอบรมคนใหใสใจรับผดิ ชอบตง้ั แต เล็กแตน อยไป เมือ่ เราตองการใหส ังคม เปน สังคมท่ีนับถือหลกั กรรม กต็ องฝกอบรมกนั ตง้ั แตเ ดก็ ปลูกฝง ผูท ่จี ะมาเปน สมาชิกของสงั คมนนั้ ใหมแี นวความคดิ และความประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ ่ีซอื่ ตรงตอกฎ ธรรมชาตใิ นเร่อื งของกรรม ตัง้ ตน แตว า ตองปลูกฝงคานยิ ม ซึ่งมองเหน็ คุณคา ทางจิตใจสงู ข้ึน ไมว ดั กันดว ยวตั ถุใหม ากนัก เขาใจความหมายขอบเขตแหง คณุ คา และความสําคัญของ วตั ถุตามความจรงิ ตามควร หั ว ข อ เ รื่ อ ง ท่ี ๓๓ : ทาํ อยางไรจะใหเ ชอ่ื เรื่องกรรม ( ๑๕ ) โ ด ย : พระธรรมปฎ ก ( ป.อ.ปยตุ ฺโต ) \"ในเรื่องวตั ถุนน้ั ไมใชว า พระพุทธศาสนาจะปฏเิ สธคณุ คา ไมเ หน็ ความจําเปน ของวัตถุเลย พทุ ธศาสนาเหน็ ความสาํ คัญมากเหมือนกัน วตั ถุเปนสิ่งจาํ เปน ปจ จยั ๔ คือสิ่งอดุ หนุน ใหช ีวิต เราดาํ รงอยไู ด สพั เพ สตั ตา อาหารฏั ฐิตกิ า..สตั วท้ังปวงตองดํารงชีวติ อยูด วยอาหารถึงทอ่ี ยู อาศยั เครื่องนุงหม ยารกั ษาโรค ก็เปนปจจยั สําคัญของชีวิต พุทธศาสนาเห็นวา แมแ ตพระสงฆ
เอง ซ่งึ ตอ งการวัตถุนอยท่ีสดุ ก็ยังตอ งอาศัยส่ิงเหลาน้ี ขาดไมได เพราะฉะน้ัน ไมใ ชว าไมส าํ คัญ แตความสําคัญน้นั กม็ ีขอบเขตของมันเหมือนกนั คุณคาของวัตถุน้นั เราอาจจะแยกออกได 2 สวน ขอใหท านลองคดิ ดูอยางงายๆ มี ๒ สว น คือคณุ คาแท หรือคุณคา ขัน้ ตน กับคณุ คา รอง < ตวั อยา ง ปจ จัย ๔ น้เี ปน ตน > เส้อื ผาน้ี คุณคาตน หรอื คณุ คาแทข องมันคอื อะไร ?.... คือเพ่ือปกปดกายปองกนั ความละอาย แกค วามหนาว ความรอน เปน ตน น่คี ือประโยชนแท หรือคุณคาแทของมันแตสําหรับมนษุ ย ปถุ ชุ นแลว มนั ไมแคนัน้ มันจะมคี ุณคารองอกี คณุ คารองนี้คืออะไร ? คือความที่จะใหเกดิ ความรูสกึ สวยงาม โก หรหู รา อวดกัน วัดกัน อะไรตางๆเปน ตน นค้ี ือคุณ คารอง เรยี กอีกอยางวา เปน คุณคาเทียมอยางเราใชร ถยนต มนั ก็จะมีคณุ คา แทส วนหนึง่ และ สําหรับบางคนกจ็ ะมคี ุณคารองอกี สว นหน่งึ คณุ คาแท คืออะไร ? คณุ คาแทกค็ ือใชเปน ยานพาหนะ นําเราไปสทู ี่หมายดว ยความรวดเรว็ แนวความคิดทีค่ วบกบั คุณคานกี้ ็คอื พยายามใหสะดวกและปลอดภยั ทนทานทสี่ ดุ คุณคา รองก็ คือวา เราจะตอ งใหโ ก เปนสิ่งแสดงฐานะอะไรตา งๆเปนตน ความคิดท่ีควบกับคณุ คาแบบนี้ก็คือ ตอ งพยายามใหส วย ใหเ ดนทส่ี ุด ถึงสงิ่ อื่นๆ ก็เหมอื นกัน ท่ีอยูอาศยั กม็ คี ุณคาแท คอื ใหเ ปนที่พกั พิงหลบภัย และเปนทเ่ี ราจะได ดํารงชีวิตสว นเฉพาะ ของเรา ในครอบครวั ของเราใหมคี วามสุข หรอื อะไรก็ตามแตแ ตก ็ มคี ณุ คารองอกี เหมือนกนั ในความหมายของปุถชุ น เชนการแสดงฐานะ แสดงความหรูหรา หรืออะไรก็ตามแตสิง่ ทั้ง หลายท่เี กี่ยวขอ งกบั ชีวิตของเราทางวัตถนุ ้ี ปถุ ชุ นมกั จะมีคุณคาอยู ๒ คอื คุณคา แท กบั คณุ คา รองพุทธศาสนายอมรบั คณุ คาแท คุณคาแทนแ่ี หละสําคญั พระบวชมา ทานจะใหพ จิ ารณา ปฏสิ ังขาโย เชน เวลาฉนั บิณฑบาต ใหพจิ ารณาบอกวา ปฏิสงั ขา โยนโิ ส ปณ ฑปาตัง ปฏเิ สวาม.ิ . ขาพเจาไดพ ิจารณาโดยแยบคาย จึงฉันอาหาร อยา งนเี้ ปน ตน พิจารณาอยางไร ? ทา นก็บอกตอ ไปวา ฉนั เพ่อื อะไร?.. ใหเรารูวา ที่เราฉนั น้ี ฉนั เพ่ือใหม ีกําลงั กายจะไดม ีชวี ิตเปน ไป แลว เราจะไดทําหนาท่ขี องเรา อะไรตอ อะไรได เปน อยสู บายนีค่ อื คณุ คาแทต อไปคุณคารอง กค็ ือ เอรด็ อรอ ย ตอ งมีเครื่องประดบั เสริมตองไปนั่งในภตั ตาคารใหห รูหราอาจจะเปนมื้อละพนั หรอื มอ้ื ละหมืน่ กม็ แี ตวา คณุ คา ทางอาหาร บางทกี ็เทากับมือ้ ละ ๑๐ บาท หรอื ๕ บาท แตว าม้อื
ละพันหรือมอื้ ละ ๕ บาท คุณคา ที่จําเปน คณุ คา แทตอชวี ติ เทากัน คุณคา รอง หรือคณุ คาเทียม ไมเทา กนั ในชีวติ ของปุถุชนนี้ คุณคา รองเปนเรื่องสาํ คัญ แลว คณุ คารองน้ีแหละ ท่ีทาํ ใหเ กิด ปญ หาแกม นษุ ยม ากท่สี ุด ปญ หาอาชญากรรมท่เี กดิ จากความแรน แคนยากจน อนั เปนสาเหตทุ าง เศรษฐกิจ เปน ปญหาสําคัญมากพทุ ธศาสนายอมรับ แตความช่ัวรายในสังคมท่เี กดิ จากคุณคา รองหรือคุณคา เทียม ของส่งิ ทั้งหลายนน้ั มากมายกวา คนเรานี้แสวงหาคณุ คา รองกันมากมาย เหลอื เกินแลว ปญ หามนั ก็เกดิ ขน้ึ นานาประการทีเดยี ว เปน ปญ หาขนาดใหญ และมีผลกวา งไกล กวา ปญ หาทีค่ นยากจนสรา งข้ึน เปนตวั การสําคัญซอนอยูเ บอื้ งหลงั การเกิดปญ หาเศรษฐกิจที่ รา ยแรง เพราะฉะนัน้ สําหรบั พระจงึ ตองพยายามมุงคุณคาแทใ หค งอยู สว นฆราวาสนัน้ ขอให ตระหนักไว อยาเพลิน อยาลืม อยา ประมาท อยาหลงเกนิ ไป ฆราวาสเปนไปไมไ ดท จี่ ะอยอู ยาง พระ แตว า อยาหลงลืม อยา มัวเมา ตองพยายามคาํ นงึ คอยตระหนักถงึ คุณคาแทไวดวย วาเราใช ส่ิงน้ี เพ่อื ประโยชนท ่แี ทจ รงิ คอื อะไร อยาลมื ตวั จนเกินเลยไป อนั คณุ คา ของวัตถุที่มี ๒ ช้นั น้ี เปน เร่อื งสาํ คัญมาก วตั ถนุ ัน้ เปนสิ่งไมเที่ยงแท เมอ่ื เทียบ กบั นามธรรม หรอื คณุ ธรรมแลว วัตถุเปน สง่ิ ไมเท่ยี งแท มสี ภาพของความเส่ือมสลาย ทรุดโทรมอยา งเดยี ว จะเปน เสือ้ ผา เครื่องนงุ หม บา นทอ่ี ยูอ าศัย มนั อยูไดช ัว่ คราว ชว่ั ระยะกาลหนึ่ง ๕ ป ๑๐ ป ส้นั กวา ยาวกวาบา ง เสร็จแลว มนั กต็ องแตกสลายทรดุ โทรมไป เปน หลักธรรมดา นี้เปน ความไมเ ทยี่ งแทของตัววัตถเุ อง สว น คณุ คาของมันกไ็ มเ ที่ยง เหมือนกัน ไมเ ท่ียงอยา งท่อี าตมภาพกลาวแลว มนั อยูที่คานยิ มท่คี น สรา งกันขึน้ เทานั้นคานิยมทีว่ า เปน กรรม อยูในใจของเเรานี้ เราสรา งมนั ขน้ึ ขอใหค ิดดู สําหรับเราอาจจะนึกถึงวา ตอ งใสเส้ือนอกใหเรียบรอย ตอ งซกั ตอ งรีด รูส กึ วามนั ใหค วามมศี รี สงา เปน สิ่งสําคญั ในทางสงั คม อะไรตออะไร มภี ูมฐิ าน และอาจจะตองไป น่งั ในหองแอรค อน ดชิ นั่ น่ังสบาย ทํางานอยางภาคภูมิ แตม าถงึ อกี สมยั หนึ่ง คนอกี รุน หนึ่งอาจจะเหน็ วา เอ! พวก ผใู หญท ่มี ัวไปใสเสอื้ นอก ตองรดี เสื้อผาใหเรยี บรอ ย ไปนง่ั ทาํ งานในหอ งแอรคอนดชิ ่ัน ทําโตะ ใหสะอาด แหมมนั ไมไดม คี วามสุขเลย ไมไดเ ปนสาระอะไรเลย ตอ งไปน่ังลาํ บาก นัง่ ตองระวัง เสือ้ ผา ของตนเอง ตองระมัดระวังทาทางอะไรอยา งน้ี สูป ลอ ยตัวขะมกุ ขะมอมไมไดส บายดกี วา นอนกลางดนิ กินกลางทราย จะนั่ง จะกม จะกลิ้ง อยา งไรกไ็ ด แลวมนั กจ็ ริงของเขาอยเู หมอื นกนั ถา วากนั ไปแลว ใครจะสบายกวากัน คนหนง่ึ ปลอยตัวขะมุกขะมอม เสื้อผาก็ไมต อ งรีด ไมตอ ง เอาใจใสมนั ปลอยไป ทกี่ ็แลว แตจ ะไปนอนท่ไี หน อะไรตออะไรไดทัง้ น้ัน เขาก็วา ของเขามัน สบาย
นีแ่ หละ สงั คมมนั ไมแน คณุ คาทว่ี ากนั ไว มันขึน้ กับความนิยม สมัยหนงึ่ เราอาจเห็นวา อยา งนี้ดี มีศกั ด์ิ มีศรี มภี มู ิ มฐี านคนอกี สมัยหนึ่ง มนั นานเขา เหน็ ความเจรญิ ทางวัตถุมาก เบอื่ หนา ยเสยี แลว บอกวา อยา งน้ไี มไดความหรอก หาความทกุ ขใ หกับตัวเองสรางระเบียบสรางอะไรตออะไร มาใหตัวเองลําบาก อยูกันดวยระเบยี บ อยูกนั ดว ยมารยาทางสังคม ไมม ีดี เปนทุกข สไู มต องเอ้อื เฟอ ตอสิ่งเหลา นี้ อยูสบายกวาเขาอาจจะคิดขนึ้ มาอยา งน้ันกไ็ ดในระยะยาว คนอยใู นเมืองนานๆ อาจจะคดิ อยูป าขึน้ มาบางกไ็ ด หั ว ข อ เ ร่ื อ ง ที่ ๓๔ : ทาํ อยางไรจะใหเช่ือเรอื่ งกรรม ( ตอนจบ ) โ ด ย : พระธรรมปฎก ( ป.อ.ปยุตโฺ ต ) ในเมอ่ื คุณคาของวัตถมุ นั ไมเทย่ี งไมแท อยูทีก่ ารสมมติ สรา งคานิยมกันข้ึนคา นิยมก็เรม่ิ ใน จติ ใจของเราน่ีเอง นี้แหละจึงเปน กรรมอนั หนึ่งของสังคม สงั คมจะเอาอยางไรเปน เร่อื งของ สังคม ในระยะยาว อาตมภาพจึงวา จะตอ งปลกู ฝงกันตงั้ แตเ ด็กจะตอ งการคานยิ มแบบไหน วางกนั ไว เริ่มกนั แตมโนกรรม คอื คา นิยมนี้ เมอ่ื กําหนดไดว า อันน้ถี ูกตองแลว เราจะไดปลูกฝง คนของเรา ใหสรางความรสู ึกนิยมในคานิยมน้ี ตัง้ แต เล็กแตน อ ย เมื่อเปนความนิยมท่ีดีทงี่ าม ถูกตองแลว เขาก็พอใจ ในระยะยาวก็ไดผล โดยเฉพาะคานยิ มในเรอื่ งความซื่อตรงตอ กฎธรรม ชาติ อนั เปนความสมดลุ ทางวตั ถกุ ับ ทางจิตใจเมื่อปลูกฝงกนั มา คนในสงั คมนั้นมคี า นิยมอยา ง นี้ ตอไปกป็ ระพฤตกิ นั ได เพราะวากรรมมนั เริ่มจากมโนกรรม มคี วามใฝความชอบข้ึนกอ น มิ ฉะนัน้ พระพุทธเจา จะไปตรสั ทาํ ไมวา \"ในกรรมทง้ั หลาย กายกรรม กต็ าม วจีกรรมกต็ าม มโนกรรมกต็ ามมโนกรรมสําคญั ท่ีสดุ \" ในลทั ธินิครนถเ ขาบอกวา กายกรรมสําคัญกวา เพราะกายกรรมนี้แสดงออกในภายนอก เอามีด มาฟน คณุ ก็ตาย ถาคุณมาเพยี งแตใ จแลว ทําใหฉ ันตายไดไ หมทาํ นองน้ีแตอยา ลืมวา นเ่ี ขามอง แคบ สัน้ เกินไปในระยะยาว เรอื่ งปลกู ฝง กนั ทางจติ ใจน่ีสําคัญกวา สังคมจะเปน อยางไร กเ็ ริ่ม แตมโนกรรมนีไ่ ป เพราะฉะน้ันถาเราปลกู ฝงเด็กของเรา ใหม คี า นยิ มอยางนี้ ใหประพฤติตามแนวแหงหลักกรรม ตอ ไปในระยะยาวกจ็ ะไดผ ลอันน้ี กลาวยา้ํ อีกครั้ง อยางสนั้ ที่สุดวา จะตองปลกู ฝงมโนกรรมสว น ทีข่ อเรยี กวาคานิยมแหง ธรรม หรอื คา นิยมแหง ความซื่อตรงตอกฎธรรมชาติ ใหมขี ้ึนในสังคม ใหไ ด โดยเฉพาะในหมูอนชุ นของสังคมนน้ั และขอนจี้ ะตอ งถอื วา เปน ภารกิจสําคญั ย่ิงอยา ง
หนง่ึ ของการศึกษาเพราะวา ท่ีจรงิ แลว มนั เปน สวนเนือ้ หาสาระของการศึกษาทเี ดยี ว อาตมภาพ เพียงเสนอความคดิ เห็นไว จะเปนสง่ิ ที่มีประโยชนเ พียงไร กส็ ุดแตทานพิจารณาในฐานะท่สี วน มาก ทานกเ็ ปน ผูสนใจใฝธ รรมกนั มาแลว ไดศึกษาธรรมกนั อยู ทีอ่ าตมภาพพูดมานี้ กเ็ ปนการพดู ในฐานะนกั ศึกษาธรรมอีกผูหนง่ึ นําขอ คิดเหน็ ในการทไี่ ด ศกึ ษาเลาเรยี นมาเสนอแกทาน เปน การประกอบความคดิ การพิจารณาถาหากวา จะไดป ระโยชน อยา งไร แมแ ตจะเปนประโยชนสกั เลก็ นอย กข็ ออนโุ มทนายนิ ดี เรอื่ ง กรรมนเี้ ปนเร่อื งของความ จรงิ มนุษยนน้ั กอ็ ยูกับความจรงิ และหนคี วามจรงิ ไปไมพ น แตมนุษยน้ันก็ไมคอ ยชอบนักท่ีจะ เผชิญกับความจริง ทง้ั ๆที่ตัวจะตอ งอยูกบั ความจรงิ อยูในความจรงิ ยังพยายามสรางสงิ่ เคลอื บ แฝง มาทําใหรูส กึ วา มรี ส มคี วามสนกุ เพลิดเพลินย่ิงขนึ้ เหมอื นอยางในเรื่องคณุ คา ท่ีวา มนษุ ย เราใชปจ จยั ๔ มคี ณุ คา แทก ับคุณคา รองนี้ ความจรงิ คอื คุณคาแทน ้ี ปฏิเสธไมไ ด แตเ พราะ มนุษยมกั ไมค อ ยพอใจอยูกับความ จรงิ เพียงหาสิ่งที่มาเปน เครื่องประกอบเคลือบแฝง ทาํ ให รูสกึ มีความอรอ ย มีความสนุกสนานขึ้น เกิดเปนคุณคารอง เปน ทางใหมนษุ ยเกิดปญ หาไดม าก ยง่ิ ข้นึ เรอื่ งกรรมเปน เรื่องความจริง ความจริงน้ันปฏเิ สธไมได และเกี่ยวกบั ชวี ติ เราทุกคนตอ งยอม รบั ความจริง แตใ นเม่ือมนั เปนความจรงิ แลว มันเปนเรอื่ งยาก ไมส นกุ สนานเอร็ดอรอ ย การที่จะ ศกึ ษาใหเ ขาใจชดั เจนกต็ าม การจะปลูกฝง กนั ขึ้นมากต็ าม เปนเรอ่ื งยากเรื่องใหญ จะตองทาํ ความพยายามอยางทวี่ า คือตองปลกู ฝงกนั มา ต้งั ตนแตคา นยิ ม จะมาเอาปุบปบ ข้นึ มาไมไดม ัน กไ็ มสนุกสนานอะไรเทาไร เพราะฉะน้นั ก็ยาก เปน เรอ่ื งยาก อยางที่วามานี้
Search
Read the Text Version
- 1 - 44
Pages: