Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นิทรรศมานุษยวิทยา

นิทรรศมานุษยวิทยา

Published by วนิดา สกุลเตียว, 2021-10-07 10:40:26

Description: นิทรรศมานุษยวิทยา

Search

Read the Text Version

ภาพ 6.2 Coming of age in Samoa: a psychological study of primitive youth for western civilization (1928) งานศกึ ษาเชงิ จติ วทิ ยาดา้ นเพศและการกลายเปน็ ผใู้ หญใ่ นกลมุ่ เดก็ สาว ชาวชนเผ่าดั้งเดิมบนเกาะซามัว ใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิค สถานที่ศึกษา ภาคสนามคร้งั แรกในชวี ติ ของมี้ด ขณะทก่ี ำ�ลงั ศกึ ษาปริญญาดา้ นมานุษยวทิ ยา อยู่ ณ มหาวทิ ยาลัยโคลมั เบยี โดยมฟี รานซ์ โบแอสเป็นอาจารยท์ ี่ปรกึ ษา ภาพ 6.3 Growing up in New Guinea: a comparative study of primitive education (1930) / 49 มานุษยวทิ ยา พฒั นา-กาล

ภาพ 6.4 Sex and temperament in three primitive societies (1935) ภายใตค้ �ำ แนะน�ำ ของโบแอส ม้ีดจงึ ออกเดนิ ทางไปยงั เกาะ Samoa โดยในปี ค.ศ. 1925 ขณะทม่ี ด้ี อายุ 23 ปี เธอไดท้ �ำ การศกึ ษา สงั เกตและ สัมภาษณ์เดก็ สาวชาวเกาะ Samoa จ�ำ นวนทั้งส้นิ 68 คน ในชว่ งอายรุ ะหวา่ ง 9 ถงึ 20 ปี โดยศกึ ษาต้งั แต่ชีวิตประจำ�วนั การศกึ ษา พิธีกรรม บทบาทหน้าที่ ต่อสังคม และกิจกรรมต่างๆ ท่ีเก่ยี วข้องกนั ซ่ึงภายหลังการเกบ็ ขอ้ มูลมาเปน็ เวลา 9 เดือนด้วยกัน ม้ดี ไดส้ รุปผลวา่ การกลายเปน็ ผูใ้ หญ่ของเดก็ สาวชาวเกาะ ซามัวน้ันแตกต่างไปจากการกลายเป็นผู้ใหญ่ในสังคมอเมริกันค่อนข้างมาก พวกเธอไม่ได้มคี วามกงั วลและความเครยี ดเหมือนทีเ่ ดก็ สาวในสงั คมอเมริกนั มี มี้ดสันนิษฐานวา่ เปน็ เพราะข้อจำ�กัดในสังคมซามวั ท�ำ ให้พวกเธอไมม่ ี ความแตกตา่ งกันทางความคิดมากนัก ส�ำ หรับเด็กสาว Samoa การแต่งงานคอื อนาคตเดียวที่รอพวกเธออยู่ มี้ดอธิบายว่าช่วงเวลาก่อนแต่งงานที่พวกเธอ ไมต่ อ้ งมคี วามรบั ผดิ ชอบใดๆ และสามารถใชช้ วี ติ ไดอ้ ยา่ งเปน็ อสิ ระนน้ั เปน็ ชว่ งเวลา ทดี่ ที ่ีสดุ ของชีวติ ขณะท่ีในสงั คมอเมรกิ ัน เด็กวยั รนุ่ แต่ละคนมีทางเลอื กและ ความเป็นไปได้ในอนาคตที่ไม่จำ�กัด พวกเขาจึงต้องทนแบกรับความคาดหวัง จากท้ังครอบครวั เพื่อน และสังคมรอบตวั เอาไว้ สง่ิ เหลา่ นส้ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ ชวี ติ ของวยั หนมุ่ สาวและแบบแผนการด�ำ เนนิ ชีวิตของพวกเขาไม่จำ�เป็นต้องมีรูปแบบเดียวกันและไม่ได้มีความเป็นสากล เหมอื นอยา่ งทส่ี งั คมอเมรกิ นั เคยเชอ่ื ซง่ึ มด้ี ไดก้ ลา่ วทง้ิ ทา้ ยไวอ้ ยา่ งนา่ สนใจวา่ เมอ่ื เรา ไดเ้ รยี นรถู้ งึ ความแตกตา่ งหลากหลายทางวฒั นธรรมแลว้ เราจะปลอ่ ยใหล้ กู หลาน ของเราเปน็ อสิ ระหรอื เราจะเลอื กชะตาชวี ิตใหพ้ วกเขาตอ่ ไปอกี ด?ี 50 \\

ภาพ 6.5 Cooperation and Competition among Primitive Peoples (1966) การร่วมมือกนั (Cooperation) และการแขง่ ขันกนั (Competition) ในกลมุ่ สมาชกิ ของชนเผา่ นน้ั จะตอ้ งแสดงออกใหเ้ หน็ ทางพฤตกิ รรม โดยประเด็น ทส่ี นใจศกึ ษามีตง้ั แต่ด้านเศรษฐกจิ เน้นศกึ ษาความสอดคลอ้ งกันขอพฤตกิ รรม และปัจจยั ทางดา้ นเศรษฐกิจท่ีมีผลตอ่ สมาชกิ ในกล่มุ เช่น ผู้หญิงมอี าชีพรองรับ เทยี บเทา่ กับผชู้ ายหรือไม?่ หรอื มีการแบ่งปนั อาหารกนั อยา่ งไร? ทางด้านการ จดั ระเบยี บทางสงั คม เน้นศกึ ษาระบบเครอื ญาติ (Kinship System) เชน่ มี ปัจจัยใดบ้างที่ทำ�ให้เกิดการจัดลำ�ดับข้ันความสัมพันธ์และมีวิธีการแสดงออก ที่แสดงให้เห็นความแตกต่างของแต่ละลำ�ดับขั้นความสัมพันธ์อย่างไร? หรือ ชื่อเรียกของแต่ละความสัมพันธ์มีความหมายว่าอะไรบ้าง? ด้านโครงสร้าง ทางการเมอื ง เนน้ ศึกษารปู แบบอ�ำ นาจของผ้นู �ำ ว่ามีท่ีมาอยา่ งไร? แสดงออก มาในรูปแบบใด? และอำ�นาจดงั กล่าวมีอทิ ธพิ ลกับสังคมมากแคไ่ หน ทางดา้ น โครงสรา้ งทางสังคม ศกึ ษาลกั ษณะพฤติกรรมในแต่ละชว่ งอายุ เพศ อาชีพ กล่มุ พฤตกิ รรมท่ีแสดงให้เหน็ ความขดั แย้งและการประนีประนอมเปรยี บเทียบ สมาชิกในสังคมแต่ละสมาชิกว่ามีพฤติกรรมเป็นอันหน่ึงอันเดียวกับสังคมหรือ มคี วามขดั แย้งกนั อยา่ งใดบ้าง ทางด้านมมุ มองในการด�ำ เนนิ ชีวิต เนน้ ศึกษา แรงจูงใจในการดำ�เนินชีวิตทั้งของสมาชิกและสังคม ความคิดเห็นเกี่ยวกับ สิ่งแวดลอ้ มรอบตวั ธรรมชาติ อ�ำ นาจ ทักษะ และครอบครัว พฤติกรรมใดบา้ ง ทไ่ี ดร้ บั และไมไ่ ดร้ บั การยอมรบั ในสงั คม เปา้ หมายสงู สดุ ของชวี ติ คอื อะไร การตาย ความเชอ่ื เหนือธรรมชาติและพฤติกรรมท่เี ป็นผลจากความเชือ่ น้นั / 51 มานษุ ยวทิ ยา พฒั นา-กาล

ภาพ 6.6 Male and female, a study of the sexes in a changing world. (2001) มด้ี ตง้ั ค�ำ ถามวา่ ความเปน็ ชาย (Maleness) มไี ดแ้ คใ่ นรปู แบบเดียว (หรือมีความเป็นสากล – สังคมทั่วโลกใช้เฉพาะรูปแบบนั้นๆ ในการอธิบาย ความเปน็ ชาย) จรงิ หรอื ฉะนั้นแลว้ หากสังคมอน่ื ๆ มผี ูช้ ายที่มคี วามเปน็ ชาย แตกต่างกันออกไป สังคมแต่ละสังคมมีรูปแบบและค่านิยมในการให้นิยาม ความเป็นชายและความเปน็ หญงิ ทแ่ี ตกต่างกนั ออกไปเท่านั้นเอง ภาพ 6.7 And keep your powder dry : ภาพ 6.8 Letters from the field (1977) a( 1n94a2n)thropologist looks at America ส่วนหน่ึงของงานการศึกษาวัฒนธรรมสังคมตะวันตกร่วมสมัยซ่ึงม้ีด ได้ทำ�การศึกษาทั้งในวัฒนธรรมระดับโลกและระดับวัฒนธรรมของประเทศ ต่างๆ เชน่ สหรฐั อเมรกิ า ฝรั่งเศส และรัสเซยี 52 \\

มด้ี ในฐานะทเ่ี ปน็ นกั มานษุ ยวทิ ยาชาวอเมรกิ นั ไดว้ เิ คราะหว์ า่ สหรฐั อเมรกิ า เปน็ ประเทศทถ่ี กู ขบั เคล่อื นจากรุ่นสรู่ ่นุ ม้ีดให้คำ�นยิ ามชนชาวอเมรกิ าทมี่ ชี ีวิต อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1942 ว่าเป็น “รุ่นที่3” โดยในขณะนั้นประเทศกำ�ลังเข้าสู่ ภาวะสงคราม อเมรกิ าตอ้ งเผชญิ หนา้ กบั กองกำ�ลงั ทหารจากประเทศมหาอ�ำ นาจ ทง้ั ในทวปี ยโุ รปและทวีปเอเชีย มด้ี วิเคราะห์วา่ อเมรกิ นั ชนรุน่ ที่ 3 นี้หา่ งเหนิ กับรากเหงา้ ความเป็น ยโุ รปในอดีตของตนเอง ในขณะเดียวกนั ชาวอเมรกิ นั ก็ให้คุณค่ากบั ความส�ำ เรจ็ และฐานะเงนิ ทองมากเกนิ ไป สงั คมชนชน้ั กลางเพม่ิ จ�ำ นวนมากขน้ึ และปริมาณ ความรกั ที่พอ่ แม่มีใหก้ บั ลกู หลานแปรผลตามความสามารถที่ลูกมี และอเมริกนั ยังเปน็ สงั คมท่เี ชือ่ ในพระเจา้ เช่ือว่าการท�ำ ดีตอ้ งไดร้ ับสิง่ ตอบแทน สังคมอเมริกันเป็นสังคมที่ไม่รู้จักการหยุดพัก พวกเขารู้จักแต่การ เดนิ หนา้ ตอ่ และการลงมอื ท�ำ อะไรสกั อยา่ ง ดว้ ยลกั ษณะนสิ ยั ดงั กลา่ ว มด้ี มองว่า หากสามารถเข้าไปควบคุมพฤติกรรมของชาวอเมริกันได้ก็จะทำ�ให้ชัยชนะใน สงครามมาถึงในเรว็ วัน ภาคสนามเปน็ วิธีวิทยาหลกั ในการเกบ็ ขอ้ มลู ดา้ นมานษุ ยวทิ ยา มีด้ ให้ ความสำ�คัญกับการศึกษาพ้ืนทีภ่ าคสนามมาก โดยเฉพาะการศึกษาในเดก็ และ ประเด็นทางเพศภายใต้สังคมชนเผ่าด้ังเดิมเพ่ือนำ�ไปเปรียบเทียบกับวัฒนธรรม ในสงั คมตะวนั ตก นอกจากนน้ั มีด้ ยังนำ�กลอ้ งถา่ ยรปู มาใช้ในการศึกษาพน้ื ท่ีภาคสนาม อีกด้วย ดว้ ยสาเหตุเหล่านี้เองจงึ ท�ำ ให้ Letters from the field (1977) กำ�เนิดขึ้น โดยหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเป็นงานเขียนบางส่วนของมี้ดนับตั้งแต่ ต้นปี ค.ศ. 1925 มาจนถงึ ปี ค.ศ. 1975 ซงึ่ มีท้ังงานเขยี นในประเดน็ ท่กี �ำ ลงั ศกึ ษาอยู่ บนั ทึกประจำ�วนั ของเธอ จดหมายจากมี้ดถงึ เพอ่ื น ครอบครวั และ ภาพถา่ ยในขณะท่ีก�ำ ลงั ลงพืน้ ท่ศี ึกษาภาคสนาม / 53 มานษุ ยวทิ ยา พฒั นา-กาล

ภาพ 6.9 Margaret Mead: the making of an American icon (2008) บทบาท นกั ศกึ ษา - ภรรยา - แม่ และคณุ ยาย ของนกั มานษุ ยวทิ ยา ตลอดชว่ งชีวิตของมด้ี เธอประสบความส�ำ เรจ็ ทัง้ ในฐานะภรรยา แม่ และยาย เธอท�ำ หนา้ ที่ของนักศกึ ษามหาวิทยาลยั ท่มี ีความใสใ่ จต่อบทบาทของ มนษุ ย์ในสังคมได้อย่างไมม่ ขี ้อบกพร่อง ม้ีดได้เรียบเรียงความทรงจำ�ต้ังแต่เม่ือครั้งยังเด็กผ่านช่วงเวลาแห่ง การเรยี นรแู้ ละการออกไปสโู่ ลกทน่ี อ้ ยคนจะได้สมั ผัส มด้ี บันทึกเรื่องราวเหล่าน้ี ไว้ประกอบกับภาพถ่ายส่วนตัวท่ีเธอยินดีแบ่งปันให้โลกได้รับชมควบคู่ไปกับ บทกวแี ละการแสดงทศั นะของเธอทม่ี ีต่อเหตกุ ารณท์ เี่ กิดกบั ชวี ิตในขณะนั้น ม้ีดบอกเล่าถึงชีวิตส่วนตัวว่าเธอผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสามครั้ง เคยหยา่ ร้าง และมลี ูกมีหลาน มี้ดแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ต่อค่านิยมของสังคมที่ทำ�ให้ ผหู้ ญงิ ไม่สามารถใช้ชวี ติ ในแบบท่ีตนเองตอ้ งการ เธอกลายมาเป็นตัวแทนของ ผหู้ ญิงรุ่นใหม่ท่ีมอี ิสรภาพทางความคิด สามารถดแู ลตนเองและประกอบอาชพี เชน่ เดยี วกบั ผชู้ ายได้ และสะทอ้ นใหเ้ หน็ บทบาทของมด้ี ตง้ั แตย่ งั เปน็ เดก็ นกั ศกึ ษา ภรรยา แม่ และคณุ ยาย รวมถึง ฉายชดั ใหเ้ ห็นภาพของหญิงสาวทอี่ ุทศิ ช่วงวัย แห่งความงดงามของตนไปกับการใช้ชีวิตอยู่กับสังคมชนเผ่าด้ังเดิมในดินแดนที่ หา่ งไกลเพียงเพอื่ ความร้คู วามเข้าใจในความเป็นมนษุ ยเ์ ท่าน้ันเอง 54 \\

ภาพ 6.10 มาร์กาเรต มด้ี (Margaret Mead) (ในชดุ พ้นื เมอื ง) กบั สาวชาวซามัวสองคน ภาพ 6.11 มารก์ าเรต ม้ีด (Margaret Mead) แบกเดก็ หญิงชาวมานัส( Manus) ขนึ้ หลงั / 55 มานษุ ยวทิ ยา พฒั นา-กาล

มานุษยวิทยาในสงั คมไทย การศกึ ษาในเชงิ มานษุ ยวทิ ยาเกย่ี วกบั สงั คมไทยเพม่ิ ขน้ึ อยา่ งเปน็ ระบบ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปรากฏให้เห็นคนไทยที่ศึกษาด้านมานุษยวิทยาบ้าง คอื หมอ่ มเจา้ สนทิ รงั สติ (M.C. Sanidh Rangsit) ซง่ึ ศกึ ษาในประเทศเยอรมนั และวิจัยวัฒนธรรมของชาวลัวะในภาคเหนือในช่วงปี พ.ศ. 2480-2481 “Monument Forms and Sacrificial Sites of the Lawa” ใน Zeitschrift fur Ethnologie (1939) ชาวลวั ะเปน็ กลุ่มชนดงั้ เดิมสามารถรกั ษา ความเป็นชาติพันธุ์มาได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ภายใต้อิทธิพลของอำ�นาจรัฐ ลา้ นนามานานดว้ ยการสบื ทอดผา่ นแกน่ แกนของวฒั นธรรมหนิ ตง้ั (Megalithic Culture) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่มีรากเหง้ามาจากความเชื่อในการนับถือผีของ ผู้ก่อต้ังชุมชนต่อมาในระยะหลังหินตั้งก็ได้เปลี่ยนลวดลายและกลายเป็นเสาไม้ ทีป่ กั ไวใ้ จกลางชมุ ชนซึง่ ใชเ้ ป็นสถานท่ีทำ�พิธีเซ่นไหว้บูชาผีจนถึงปัจจบุ นั 56 \\

ยคุ บกุ เบกิ ของวชิ าการมานษุ ยวทิ ยาไทย เกดิ ขน้ึ ในชว่ งหลงั จากปี พ.ศ. 2500 ผลงานวจิ ยั ของนกั มานษุ ยวทิ ยาไทย เริ่มทยอยออกมา งานวิจัยที่เป็นวิทยานิพนธ์เหล่านี้มักจะจับประเด็นหลักอยู่ 3 ประเดน็ คือ ชาตพิ นั ธ์ุ การจัดระเบยี บทางสังคม และการเปลย่ี นแปลงไปสู่ ความทนั สมัย อาทิ พทั ยา สายหู (2502 และ 2517) ศกึ ษาไทยใหญ่ และชาวมาเลยใ์ นภาคใต้ สนทิ สมัครการ (2531) ศกึ ษาชาวพวน สุเทพ สุนทรเภสัช (2520) ศึกษาชาวมุสลิมในเชียงใหม่ ยคุ เตบิ โตของวชิ ามานษุ ยวทิ ยา ชว่ งระหวา่ งปี พ.ศ. 2515 - 2525 เปน็ ยคุ เตบิ โตของวชิ ามานษุ ยวทิ ยา มีนกั มานษุ ยวิทยาส�ำ เร็จการศึกษาในระดับปริญญาโทและเอกจากต่างประเทศ จ�ำ นวนมาก และกระจายอยตู่ ามมหาวิทยาลัยตา่ งๆ อาทิ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ อมรา พงศาพชิ ญ์ ฉววี รรณ ประจวบเหมาะ ปรีชา ควุ นิ พันธุ์ ปรติ ตา เฉลิมเผา่ กออนนั ตกลู สุภางค์ จันทวานิช สมุ ติ ร ปติ พิ ัฒน์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม ่ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร ฉลาดชาย รมติ านนท ์ ศรศี กั ร วัลลิโภดม นฤธร อทิ ธิจริ ะจรัส ปรานี วงษเ์ ทศ / 57 มานุษยวิทยา พัฒนา-กาล

ยคุ กา้ วหนา้ แหง่ การวจิ ยั ทางมานษุ ยวทิ ยา ชว่ งปี พ.ศ. 2525 จนถงึ ปัจจุบนั การวิจัยทางมานุษยวิทยาไดพ้ ัฒนา กา้ วหนา้ มากขน้ึ ถอื ไดว้ า่ มบี ทบาทอยา่ งสงู ในความพยายามพฒั นาและสงั เคราะห์ องคค์ วามรเู้ ปน็ แนวทางทฤษฎี ตลอดจนการมสี ว่ นในกระบวนการพฒั นาสงั คม มากขึ้น อาทิ อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ (2527) ศกึ ษาการปรบั ตวั ของชาวนาในดา้ นการผลติ ต่อกระบวนการเปลยี่ นแปลงเข้าสรู่ ะบบทนุ นยิ ม ไพฑูรย์ มีกุศล (2527) และชลธิรา สัตยาวฒั นา (2534) เปน็ การศกึ ษา ในเชงิ ประวัติศาสตร์ท้องถิน่ และชาติพนั ธ์ุ การศกึ ษาปญั หาความขดั แยง้ ในการพฒั นาทางเศรษฐกจิ และการเมอื ง และศกั ยภาพขององคก์ รชาวบา้ น การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรแ์ ลภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ และชาตพิ ันธุ์ อาทิ ศุลีมาน นฤมล (2529) ศกึ ษากลุ่มหมอนวด งานวิจัยของนักมานุษยวิทยารายบุคคลมีการตีพิมพ์เพ่ิมข้ึนหลายชิ้น เป็นตัวอย่างให้กับงานศกึ ษาวจิ ัยตอ่ มา อาทิ ยศ สนั ตสมบตั ิ เรื่อง “ชุมชนกับการค้าประเวณ”ี (2534) การศกึ ษาในแนวชาตพิ นั ธ์ุวรรณนา สุรินทร์ ภู่ขจรและคณะ (2531) เกย่ี วกับกลมุ่ มลาบร ี นอกเหนือจากการวิจัยเพ่อื รับปริญญามีการพัฒนางานวิจัยของตัวเอง จะเลือกประเด็นศึกษาท่มี ีนัยยะสำ�คัญต่อสังคมมากข้นึ มีประสบการณ์การวิจัย ภาคสนาม มงี านในลกั ษณะวิพากษว์ ิจารณ์งานวิจัยของนักวจิ ยั ชาวตา่ งประเทศ สามารถเหน็ ไดใ้ นการประเมนิ สถานภาพของวชิ ามานษุ ยวทิ ยาหลายๆ ครง้ั อาทิ ชยันต์ วรรธนะภูติ (2529) วิธีวทิ ยาศึกษาสังคมไทย 58 \\

ภาพ 7.1 : ชาวเขาในภาคเหนือของไทย (ศาลากลางหมู่บา้ นลซี อ) / 59 มานษุ ยวทิ ยา พฒั นา-กาล

มานษุ ยวิทยาเปน็ ศาสตรท์ ม่ี คี วามเห็นอกเหน็ ใจตอ่ เพ่ือนมนุษย์มากท่สี ุด “ ”และมคี วามเป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุดในด้านมนุษยศาสตร์ อลั เฟรด แอล. โครเบอร์ (2419-2503) “Anthropology is the most humanistic of sciences ” and the most scientific of the humanities. Alfred L. Kroeber (1876-1960) 60 \\

ภาพรวมของสาขาวชิ ามานษุ ยวทิ ยายคุ แรกเรม่ิ สนใจในวฒั นธรรมสังคม ทง้ั ทเ่ี ปน็ โลกตะวนั ตกและไมใ่ ชต่ ะวนั ตก เปน็ การศกึ ษาภาพรวมของมนษุ ยชาติ นบั จากอดตี จนถงึ สมยั ใหม่ นกั มานษุ ยวทิ ยาพยายามกา้ วพน้ จากอทิ ธพิ ลความคดิ เหตผุ ลของวทิ ยาศาสตรธ์ รรมชาตใิ นวงวชิ าการของโลกตะวนั ตก ดว้ ยการสถาปนา องค์ความรู้ความเข้าใจในศาสตร์ของตนเองขึ้น นำ�เสนอข้อมูลประวัติศาสตร์ ภาษา และชาตพิ นั ธวุ์ ทิ ยาของคนกลุ่มอืน่ ที่ไมใ่ ชช่ าวยุโรป น�ำ มาซึง่ สาขาวิชา มานษุ ยวิทยาสังคมและวัฒนธรรมและขยายผลการศกึ ษาคน้ คว้ากลมุ่ คนหลาก วฒั นธรรมทว่ั โลก เพอ่ื พสิ จู นต์ รวจสอบ และโตแ้ ยง้ แนวคดิ ทฤษฎวี วิ ฒั นาการนยิ ม นำ�ไปสู่รากฐานระเบียบวิธีวิจัยทางมานุษยวิทยาเพื่อศึกษามนุษย์แบบองค์รวม ให้ความสำ�คัญกับงานภาคสนามอย่างจริงจังและเคร่งครัด นักมานุษยวิทยา สมัยใหม่จึงมุ่งศึกษาภาคสนามถือเป็นขนบทางมานุษยวิทยา กระทั่งปัจจุบัน จากมานษุ ยวทิ ยาแรกเรม่ิ งานภาคสนาม นกั มานษุ ยวทิ ยาสตรี มานษุ ยวทิ ยาไทย ก้าวไปสมู่ านษุ ยวิทยาแนวโครงสร้างนิยม และหลังสมยั ใหม่ / 61 มานษุ ยวิทยา พฒั นา-กาล

ภาพ 8.1 : เดก็ ๆ แหง่ เกาะโทรเบียนดก์ �ำ ลังท�ำ มือเป็นกลอ้ งถ่ายรปู เลยี นแบบทา่ ทาง คนทกี่ ำ�ลังถา่ ยภาพพวกเขา (เงาคนปรากฏอยมู่ ุมล่างขวา) 62 \\

แหลง่ ขอ้ มลู ภาพถา่ ย ภาพ 3.4 https://www.elibron.com/product/10030145/ ภาพ 4.3 หนงั สอื Malinowski’s Kiriwina: fieldwork photography, 1915-1918 น.54 ภาพ 4.8 http://4.bp.blogspot.com/--ed9BU4BXls/T7IpoPmmHwI/AAAAAAAACps/LgeZtEAu- KOk/s1600/malinowski+6.jpg ภาพ 5.8 https://www.pinterest.com/pin/522417625501029436/ ภาพ 6.10 https://www.loc.gov/exhibits/mead/images/mm0050as.jpg ภาพ 6.11 https://www.loc.gov/exhibits/mead/images/mm110s.jpg ภาพ 7.1 ฐานข้อมลู จดหมายเหตมุ านษุ ยวิทยา ศนู ยม์ านษุ ยวทิ ยาสริ นิ ธร (องค์การมหาชน) http://www.sac.or.th/databases/anthroarchive/collection_PC/20081119173654.jpg ภาพ 8.1 หนังสือ Malinowski’s Kiriwina: fieldwork photography, 1915-1918 น.208 / 63 มานุษยวิทยา พัฒนา-กาล




Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook