สีขั้นที่ 2 (SECONDARY COLOURS) คือ สีที่เกิดจากการผสมกันเป็นคู่ๆ ระหว่างแม่สี 3 สี จะได้สีเพิ่มขึ้นอีก 3 สี 50
สีขั้นที่ 3 (TERTIARY COLOURS) คือ สีที่เกิดจากการผสมกันเป็นคู่ๆ ระหว่างแม่สี 3 สี กับสีขั้นที่ 2 จะได้สีเพิ่มขึ้นอีก 6 สี สีแดง ผสมกับสีส้ม ได้สี ส้มแดง สีแดง ผสมกับสีม่วง ได้สีม่วงแดง สีเหลือง ผสมกับสีเขียว ได้สีเขียวเหลือง สีน้ำเงิน ผสมกับสีเขียว ได้สีเขียวน้ำเงิน สีน้ำเงิน ผสมกับสีม่วง ได้สีม่วงน้ำเงิน สีเหลือง ผสมกับสีส้ม ได้สีส้มเหลือง 51
52
วรรณะสี (TONE) วรรณสี แบ่งเป็นสองวรรณะ ได้แก่ วรรณสีร้อนกับวรรณสีเย็น โดยสามารถใช้วรรณะสีในการออกแบบให้ได้ความรู้สึกร้อนและเย็นได้ ดังนี้ 53
54
วรรณะสี (TONE) วรรณะสีร้อน (WARM TONE) ประกอบ ด้วย สีเหลือง สีส้มเหลือง สีส้ม สีส้มแดง วรรณะสีร้อน (WARM TONE) สีม่วงแดงและสีม่วง สีใน วรรณะร้อนนี้จะ 55 ไม่ใช่สีสดๆ ดังที่เห็นในวงจรสีเสมอไป เพราะสีในธรรมชาติย่อมมีสีแตกต่างไปกว่า สีในวงจรสีธรรมชาติอีกมาก ถ้าหากว่าสีใด ค่อนข้างไปทางสีแดงหรือสีส้ม เช่น สี น้ำตาลหรือสีเทาอมทอง ก็ถือว่าเป็นสี วรรณะร้อน
วรรณะสี (TONE) วรรณะสีร้อน (WARM TONE) 56
วรรณะสี (TONE) วรรณะสีเย็น (COOL TONE) วรรณะสีเย็น (COOL TONE) ประกอบด้วย สีเหลือง สีเขียว เหลือง สีเขียว สีเขียวน้ำเงิน สีน้ำเงิน สีม่วงน้ำเงิน และสี ม่วง ส่วนสีอื่นๆ ถ้าหนักไปทางสีน้ำเงินและสีเขียวก็เป็นสี วรรณะเย็นดังเช่น สีเทา สีดำ สีเขียวแก่ เป็นต้น จะสังเกต ได้ว่าสีเหลืองและสีม่วงอยู่ทั้งวรรณะร้อนและวรรณะเย็น ถ้า อยู่ในกลุ่มสีวรรณะร้อนก็ให้ความรูสึกร้อนและถ้า อยู่ในกลุ่ม สีวรรณะเย็นก็ให้ความรู้สึกเย็นไปด้วย สีเหลืองและสีม่วงจึง เป็นสีได้ทั้งวรรณะร้อนและวรรณะเย็น 57
สีคู่ตรงข้าม คือ สีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงสีธรรมชาติ เป็นคู่สีกันคือ สีคู่ที่ตัดกันหรือต่าง จากกันมากที่สุด เช่น สีแดงกับสีเขียว สีม่วงกับสีเหลือง สีส้มกับสีน้ำเงินเมื่อนักเรียน ผสมแม่สีจนได้สีขั้นที่ 3 แล้วจัดเรียงเป็นวงสี นักเรียนจะพบว่ามีสีที่อยู่ตรงข้ามกันหลายคู่ 58
7. ลักษณะผิว (TEXTURE) ลักษณะภายนอกของวัตถุที่เรามองเห็นและสัมผัสได้ ภาพที่มี ลักษณะพื้นผิวที่แตกต่างกันจะให้ความรู้สึกสนุกสนานตื่นเต้นและ มีชีวิตชีวา พื้นผิวสามารถก่อให้เกิดความรู้สึกในลักษณะต่าง ๆ กันเช่น หยาบ ละเอียด มันวาว ด้าน และขรุขระ เป็นต้น 59
60
ในงานที่มีลักษณะ 3 มิติ ศิลปินสามารถสร้างสรรค์พื้นผิวได้ด้วยเทคนิค และวิธีกาต่างๆมากมาย เช่นในงานประติมากรรมสามารถพอก ปั้ น ขูด เจาะ ขุด ให้เกิดผิวที่มีลักษณะแตกต่างกัน ได้มาก ในงานสื่อผสมสามารถใช้เทคนิคสร้าง ผิวโดยตรงเหมือนงานประติมากรรม หรือใช้การสร้าง พื้นผิวชนิดลวงตาแบบ งานจิตรกรรม หรือใช้วัสดุที่มีลักษณะผิวอันหลากหลายมาผูก มัด ตัด ต่อ ปะ ติด ได้อย่างมากมายตามจินตนาการของศิลปิน 61
62
63
การสัมผัสที่รับรู้ได้จากลักษณะผิว โดยปกติความรู้สึกที่มีต่อลักษณะผิวจะเกิดจากการสัมผัสทางกายหรือจับต้องผิว (TACTILETEXTURE) กับวัตถุโดยตรง เพื่อที่จะทราบว่าวัตถุนั้นมีผิวหยาบ ละเอียด ขรุขระ มัน หรือด้าน แต่การสัมผัสที่ให้ความรู้สึกอีกทางหนึ่งคือการสัมผัสทางการเห็น (VISUAL TEXTURE) ซึ่งเป็นการสัมผัสที่ให้ค่าความรู้สึกในระดับที่สูงกว่า ลักษณะผิวแบ่งตามการ สัมผัสได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. ผิวที่เกิดจากเทคนิคการลวงตา (ARTIFICIAL TEXTURE) หมายถึงผิวที่ศิลปินหรือนักออกแบบได้ใช้เทคนิค ต่างๆ สร้างสรรค์ขึ้นบนผิวระนาบเพื่อลวงตาให้เห็นว่าวัตถุหรือรูปทรงในภาพมีลักษณะผิว หยาบ ขรุขระ มัน ด้าน ทำให้ผู้พบเห็นเกิดความรู้สึกคล้อยตามหรือเกิดอารมณ์พอใจ ประทับใจ หรือน่าเกลียด น่ากลัวขึ้นได้ เช่น ลักษณะผิวในงานจิตรกรรม ภาพพิมพ์ และงานออกแบบ 2 มิติ 2. ผิวที่เกิดจากความเป็นจริงเชิงกายภาพ (REAL TEXTURE) หมายถึงผิวที่เกิดจากวัสดุธรรมชาติหรือวัตถุ จริง เช่น ผิวขรุขระ กระด้างหยาบของหิน ผิวเรียบมันของกระจกและโลหะ ผิวด้านของไม้ ผิวนุ่มอ่อนโยนของ ขนสัตว์บางชนิดหรือวัสดุสังเคระห์บางอย่าง ที่ศิลปินนำมาใช้ออกแบบสร้างสรรค์งานประเภทประติมากรรม สถาปัตยกรรมและสื่อผสม 3 มิติ 64
ตัวอย่างงานทัศนศิลป์ ใช้รูปทรงอิสระตาม จินตนาการ 65
66
67
ค่าน้ำหนักของสี 68
Search