การเสริมสรา้ งความสามคั คใี นสงั คมไทย Harmony Enhancement in Thai Society วนั ที่รับบทความ : 15 พฤษภาคม 2562 ทพิ วรรณ พฤฒากรณ์ 1 วันที่แกไ้ ขบทความ : 8 กรกฎาคม 2562 วนั ตอบรับบทความ : 11 กรกฎาคม 2562 บทคัดย่อ ความสามคั คีเปน็ คุณธรรมขั้นพนื้ ฐานทสี่ าคัญในการหล่อหลอมให้คนในชาติมีความเป็นอันหนึ่ง อนั เดียวกนั และทาใหบ้ า้ นเมืองมคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื ง รอดพ้นจากเพทภัยท้ังปวง ดังนั้นกล่าวได้ว่า ความ สามคั คีเป็นปจั จัยสาคัญอย่างหน่ึงในการสร้างและการดารงอยู่ของประเทศชาติ จงึ มีความจาเป็นอย่างย่ิง ทจี่ ะต้องหาวธิ เี สรมิ สรา้ งความสามัคคี การเสริมสร้างความสามัคคี เปน็ กระบวนการหล่อหลอมให้บุคคล ในสังคม มคี วามเปน็ อนั หน่งึ อันเดียวกัน ก่อให้เกิดพลังในการสร้างสรรค์ส่ิงต่าง ๆ การเสริมสร้างความ สามคั คมี หี ลายวธิ ี เช่น การขัดเกลาทางสงั คม การสร้างความปรองดอง การนาหลักการสร้างพลเมืองใน ระบอบประชาธิปไตยมาใช้ และการประยกุ ต์หลกั คาสอนทางศาสนามาปฏิบัติ เมื่อสังคมปราศจากความ ขดั แย้ง จะเกิดความสงบสุข มีความสามัคคี รักใคร่ กลมเกลยี ว อันนาไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและความ ผาสกุ ในสงั คมไทย คาสาคญั : ความสามคั คี การเสริมสร้างความสามัคคี ความเป็นอนั หนึง่ อนั เดียวกัน การขัดเกลาทางสงั คม 1 อาจารย์พิเศษประจาคณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏธนบรุ ี e-mail: [email protected]
Harmony Enhancement in Thai Society Received: May 15, 2019 Tippawan Phutakorn 1 Revised: July 8, 2019 Accepted: July 11, 2019 Abstract Harmony is one of the basic moralities for creating our national cohesion. Also, it drives our nation for growth and protects us from all disasters. From that point of view, it can be said that harmony is the key factor in building and manintaining the nation. It is vital to enhance Harmony Harmony enhancement is the process of integrating people into unity that could empwer in creating things. Harmony is enhanced by many such as socialization, reconciliation, application of democratic citizenship and adoption of religios principles. Society without conflict brought peace, harmony, love and conceasus for Thai society‘s growth and happiness. Keywords: harmony, nation cohesion, socialization. 1 Part-time Lecturer, Faculty of Humanities and Social Sciences, Dhonburi Rajabhat University e-mail: [email protected]
Academic Journal for the Humanities and 94 Tippawan Phutakorn Social Sciences Dhonburi Rajabhat University Volume 2, Issue 3, September - December 2019 บทนำ ปญั หาในการสร้างความม่ันคงของชาตทิ ีส่ าคญั อย่างหนง่ึ คอื ความขัดแย้งของคนในสังคม ความ ขดั แย้งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่นการขัดแย้งเรือ่ งผลประโยชน์ ความแตกต่างทางความคดิ ปัญหาทาง เศรษฐกิจ หรอื ความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางการเมือง ฯลฯ ความขัดแย้งดังกล่าว หากไม่ได้รับการ แก้ไข อาจนาไปสู่ความแตกแยกของคนในสังคมจนยากเกินจะแก้ไข ดังนั้นจึงควรสร้างความสามัคคี ปรองดองให้เกิดข้ึนในสังคมไทย เพ่ือธารงไว้ซ่ึงความสุขสงบร่มเย็นทาให้สังคมน่าอยู่ มีความ เออ้ื เฟื้อเผอื่ แผ่ มีมิตรภาพทีด่ ตี ่อกัน และนาไปสู่ความร่วมมือกันพัฒนาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ทดั เทียมนานาอารยะประเทศ การลดความขัดแยง้ ของคนในสังคมมีความจาเปน็ อย่างย่ิงท่ีต้องมีการเสริมสร้างความสามัคคีให้ เกดิ ขึ้น จากน้นั ความรกั ความผกู พนั จะเปน็ พลงั ยดึ โยงคนในสังคม ให้มีความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน ละ เลิกความขัดแยง้ ความบาดหมางทมี่ ีตอ่ กนั และอยู่ร่วมกันในสงั คมอย่างมีความสุข ซึ่งวิธีเสริมสร้างความ สามัคคีมีหลายวิธี เช่น การขัดเกลาทางสังคม เป็นกระบวนการขั้นพ้ืนฐานที่หล่อหลอมให้บุคคลอยู่ใน สงั คมอยา่ งมีความสุข โดยการปลกู ฝงั ระเบยี บวนิ ยั การสอนให้รู้จักบทบาทหน้าที่ เพ่ือการอยู่ร่วมกันใน สังคม หรือการใช้วธิ ีสรา้ งความปรองดองใหเ้ กดิ ข้นึ ในสงั คมเปน็ การประนปี ระนอมตกลงกันดว้ ยความไกล่ เกลี่ย ไมตรีจิต เป็นการประสานรอยร้าวที่เกิดขึ้น นอกจากน้ันยังสามารถนาหลักการสร้างพลเมืองใน ระบอบประชาธิปไตย เช่ือมโยงการสร้างความสามัคคีได้ เพราะหลักการนี้กล่าวถึงการรับผิดชอบต่อ ตนเองและผู้อ่ืน เคารพสิทธิของผู้อ่ืน เคารพความแตกต่าง เคารพความเสมอภาค และเคารพกติกา รวมถึงมคี วามรับผิดชอบตอ่ สังคมและสว่ นรวม คุณสมบัตเิ หล่าน้ี จะทาให้บคุ คลอยู่ในสงั คมได้เป็นอย่างดี และอีกหนง่ึ วธิ ีท่ีใช้เสริมสร้างความสามัคคี คือการประยุกต์หลักคาสั่งสอนทางศาสนามาปฏิบัติ นั่นคือ หลักธรรมทีส่ าคัญทัง้ 4 อย่าง คือ สาราณียธรรม 6 สังคหวัตถุ 4 พรหมวิหาร 4 สัปปุริสธรรม 7 โดย หลักธรรมทั้ง 4 อย่างน้ี กล่าวถึงการปฏิบัติตนในการเข้าสู่สังคม การคิด การพูด ความเมตตา ความ แบง่ ปนั การเสยี สละ การตอบแทนและการดูแลส่วนรวม เมอื่ บคุ คลสามารถปฏบิ ัตติ ามได้จะทาให้ทุกคน ในสังคมมีความสุข มีความรกั ความสามัคคกี ลมเกลยี ว เกดิ ความผาสกุ ในสังคมตลอดไป ควำมหมำยและควำมสำคัญของควำมสำมัคคี ควำมหมำยของควำมสำมัคคี ความสามัคคี มีความหมายท่นี ิยามกันไว้ในความหมายท่ีคล้ายคลึงกัน เช่น ความพร้อมเพรียง ความปรองดอง ความสมานฉันท์ การรวมเป็นหน่ึงเดียวกัน ความเป็นเอกภาพ โดยท่ัวไปแล้วให้ ความหมายของคาวา่ “ความสามคั คี” วา่ การทีท่ กุ คนมีความพรอ้ มกาย พร้อมใจ พร้อมความคดิ เป็นหน่งึ เดยี วกัน มีจุดมงุ่ หมายทจี่ ะปฏบิ ตั งิ านให้ประสบความสาเร็จ ความสามัคคี มดี ว้ ยกนั 2 ประการ คอื 1. ความสามคั คีทางกาย ไดแ้ ก่ การรว่ มแรงรว่ มใจกนั ในการทางาน 2. ความสามัคคีทางใจ ไดแ้ ก่ การรว่ มประชมุ กันปรึกษาหารือ ชว่ ยเหลือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
วารสารวิชาการ 95 ทิพวรรณ พฤฒากรณ์ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบรุ ี ปีท่ี 2 ฉบับท่ี 3 กนั ยายน – ธนั วาคม 2562 ความสามคั คีเป็นคุณธรรมพ้นื ฐานทีค่ นในสงั คมยอมรับว่า เป็นสิ่งสาคัญและหากท่ีใดมีความ สามคั คีต่อกนั จะอย่รู ว่ มกันอยา่ งมคี วามสุขโดยพร้อมเพรียงกัน ไม่วา่ สงั คมขนาดเลก็ เช่น ครอบครัว ไป จนถงึ สังคมขนาดใหญ่ เชน่ ประเทศ โลก หากขาดความสามัคคี ยอ่ มไม่สามารถดารงอยูไ่ ด้ ควำมสำคญั ของควำมสำมัคคี ความสามคั คีเปน็ สง่ิ สาคัญในการอยูร่ ่วมกนั อาจแบง่ ให้เห็นความสาคญั ทีช่ ดั เจนขนึ้ คอื - สามัคคีก่อให้เกิดพลงั คือ มนุษยเ์ ปน็ สัตวส์ ังคม ไมส่ ามารถอยคู่ นเดียว เมื่อได้มาอยู่รว่ มกนั จะ ทาให้อบอนุ่ ใจ มีความรัก เอื้ออาทรตอ่ กนั ผกู พนั กัน ดแู ลซ่งึ กันและกนั - สามัคคีก่อให้เกดิ ความร่วมมือร่วมใจ ความสามัคคีทาให้คนในกลุ่มหรือองค์กรน้ัน ๆ มีความ ชว่ ยเหลือเกือ้ กูล ร่วมมอื ร่วมใจในการปฏบิ ัติกจิ กรรมตา่ ง ๆ อย่างพรอ้ มเพรียงกัน เมอื่ เกิดปญั หาก็มคี วาม รว่ มมือช่วยเหลอื แก้ไขปญั หาตา่ ง ๆ ใหล้ ุลว่ งไปด้วยดี - สามัคคีก่อให้เกิดความสงบสุขในหมู่คณะหรือองค์กรน้ัน ๆ เพราะทุกคนจะมีความรัก ปรารถนาดีต่อกนั มคี วามช่วยเหลือเกื้อกูล ปรองดองกนั มีความประนีประนอม ยอมรบั ในความแตกต่าง ซึ่งกันและกนั ทาใหส้ งั คมนั้นเปน็ สงั คมแหง่ ความสขุ และมแี ตค่ วามเจริญก้าวหน้า คาวา่ “สามัคคี” เป็นคาท่ีปรากฏในพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ภูมิพลอดุลย เดชรัชกาลที่ 9 แทบทกุ ครัง้ แสดงใหเ้ หน็ ว่าความสามัคคเี ปน็ เรอื่ งสาคญั ที่พระองค์มีพระราชประสงค์จะ ปลกู ฝงั ไวใ้ นจติ ใจของพสกนกิ ร (สานกั งานคณะกรรมการวจิ ัยแห่งชาติ, 2551, หนา้ 99) เมื่อคณะบุคคล เข้าเฝา้ ในโอกาสต่าง ๆ หรอื เสด็จไปเปิดงานท่ีสาคญั ต่าง ๆ จะทรงกล่าวถึง “ความสามัคคี” ในแง่มุม ตา่ ง ๆ ดังน้ี พระรำชดำรสั พระรำชทำนแกอ่ งค์กรและคณะบุคคลเนอื่ งในโอกำสตำ่ ง ๆ “ความสามัคคปี รองดองเป็นอันหนงึ่ อันเดยี ว กับความรกั ใครเ่ ผอ่ื แผ่ช่วยเหลือกนั ฉันญาติพี่นอ้ ง สอง ประการนี้ คอื คณุ ลกั ษณะสาคญั ของไทย ท่ีช่วยใหช้ าติบา้ นเมอื งอยรู่ อดเป็นอสิ ระ และเจรญิ มั่นคง มา ตงั้ แต่อดีตจนถงึ ปจั จุบัน” (พระราชดารัส พระราชทานแกป่ ระชาชนชาวไทย เน่ืองในวนั ขน้ึ ปใี หม่ 2532) “ตา่ งคนตา่ งมหี นา้ ที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทาเฉพาะหนา้ ท่ีน้นั เพราะวา่ ถา้ คนใดทาหน้าทเี่ ฉพาะของตัว โดยไม่มองไมแ่ ลคนอ่ืน งานกด็ าเนนิ ไปไม่ได้ เพราะเหตุวา่ งานทกุ งานจะต้องพาดพิงกนั จะตอ้ งเกี่ยวโยงกนั ฉะนนั้ แตล่ ะคนจะต้องมีความรถู้ งึ งานของผูอ้ น่ื แลว้ ชว่ ยกันทา” (พระราชดารสั เนอ่ื งในโอกาสวันเฉลมิ พระชนพรรษา 4 ธนั วาคม 2533) “สามัคคี หรอื การปรองดองกนั ไมไ่ ด้หมายความวา่ คนหนึ่งพูดอย่างหนงึ่ คนอนื่ ตอ้ งพดู เหมอื นกันหมด
Academic Journal for the Humanities and 96 Tippawan Phutakorn Social Sciences Dhonburi Rajabhat University Volume 2, Issue 3, September - December 2019 ลงทา้ ยชีวิตก็ไมม่ คี วามหมาย ตอ้ งมีความแตกตา่ งกนั แต่ตอ้ งทางานใหส้ อดคลอ้ งกนั แมจ้ ะขัดกนั บา้ งก็ ต้องสอดคลอ้ งกนั ” (พระราชดารัส ในโอกาสวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2536) คนเราอยคู่ นเดียวไม่ได้ จะตอ้ งอยูเ่ ป็นหมู่คณะ และถา้ หมคู่ ณะนัน้ มคี วามสามคั คี คอื เหน็ อกเห็นใจ ซ่งึ กนั และกนั ชว่ ยเหลือในทุกเมอ่ื ชว่ ยกันคดิ ว่าส่งิ ใดควร สงิ่ ใดไมส่ มควร ส่งิ ใดทจี่ ะทาใหน้ ามาสคู่ วามเจริญ ความม่ันคง ความสขุ กท็ า สง่ิ ใดท่ีนามาซ่งึ หายนะหรอื เสยี หายกเ็ วน้ และช่วยกันปฏบิ ัตทิ งั้ หน้าทท่ี างกายทัง้ จิตใจ (พระราชดารสั ในพธิ ีพระราชทานธงประจารนุ่ ลกู เสอื ชาวบา้ น จังหวดั สระบรุ ี 16 เมษายน 2519) สามคั คี คอื การเห็นแก่บ้านเมือง และช่วยกันทุกวธิ ีทาง เพื่อทจี่ ะสรา้ งบา้ นเมืองใหเ้ ขม้ แข็ง ดว้ ยการเห็น อกเหน็ ใจซงึ่ กันและกัน ทางานด้วยความซอื่ สัตยส์ จุ ริตอย่างตรงไปตรงมา นึกถงึ ประโยชนส์ ่วนรวมนน้ั คือ ความมน่ั คงของบา้ นเมอื ง” (พระราชดารัส ในพิธปี ระดบั ยศนายตารวจชั้นนายพล 15 มกราคม 2519) “ความสามคั คนี ั้น อาจหมายความถงึ เห็นชอบเหน็ พอ้ งกนั โดยไม่แยง้ กนั ความจรงิ งานทุกอย่างหรือการอยู่ เปน็ สังคมยอ่ มต้องมีความขัดแยง้ กนั ความคดิ ตา่ งกัน ซงึ่ ไมเ่ สยี หาย แตอ่ ยู่ทจี่ ิตใจของเรา ถา้ เราใชห้ ลกั วิชา และความปรองดองดว้ ยการใช้ปัญญา การแย้งตา่ ง ๆ ยอ่ มเป็นประโยชน์ หากมรี ากฐานของความคิดอย่างเดียวกนั รากฐานของความคิดนัน้ คือ แต่ละคนจะต้องทาให้บ้านเมอื งมคี วามเปน็ ปึกแผ่น” (พระราชดารัส พระราชทานแก่ผเู้ ข้าเฝา้ ฯ มีพระราชทานเคร่ืองราชอสิ ริยาภรณ์ฯ 29 ตุลาคม 2517) จากพระราชดารัสดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า “ความสามัคคี” มีความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง ถือเป็น คุณธรรมข้ันพ้ืนฐานในการดารงอยู่ของชาติบ้านเมืองอย่างหน่ึง และกล่าวได้ว่า สังคมแห่งความ “สามคั คี” จะเป็นสงั คมทีส่ งบสุข รม่ เยน็ คนในสงั คมจะมคี วามสขุ โดยถ้วนหนา้ กนั ประเทศไทยจำกอดตี - สู่ปัจจุบนั จากบทเรยี นทผ่ี ่านมาทาให้เราเข้าใจวา่ “ความรักสามัคคี” ของคนในชาติ อีกทั้งความเสียสละ การรูจ้ ักบทบาทหนา้ ที่ ความซ่อื สัตย์ อดทน เป็นปจั จัยสาคญั ในการนาพาบ้านเมืองให้พ้นจากวิกฤติและ ศตั รูท่คี ดิ ทาร้ายเรา ในขณะเดียวกันความแตกแยก ความอิจฉาริษยา ความเห็นแก่ตัว ความไม่ซื่อสัตย์
วารสารวิชาการ 97 ทิพวรรณ พฤฒากรณ์ มนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบรุ ี ปีที่ 2 ฉบับท่ี 3 กนั ยายน – ธันวาคม 2562 กอ่ ใหเ้ กดิ อันตรายอย่างใหญ่หลวงกับประเทศไทยมาแล้ว เช่น ในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา บ้านเมืองมี ความปนั่ ปว่ น เกดิ ความแตกแยก ขาดความรกั สามคั คี อกี ทั้งมกี ารคกุ คามจากอาณาจักรขา้ งเคียง สุดท้าย กรุงศรีอยธุ ยาตอ้ งเสียกรุง สญู เสยี ผ้คู นและทรพั ยส์ นิ อาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองต้องล่มสลายไปในท่ีสุด แต่ หลงั จากนน้ั ความรักความสามคั คี ความเสียสละ ความกลา้ หาญ ก็สามารถกอบกู้เอกราชกลับมาอีกครั้ง โดยการนาของพระเจ้าตากสิน หรือ พระเจ้ากรุงธนบุรี ได้นาไพร่พลผู้มีความรักชาติ และเสียสละเพ่ือ แผ่นดิน ตีฝ่าวงล้อมข้าศึก ต่อสู้ข้าศึกศัตรูอย่างกล้าหาญ และนาชัยชนะกลับมา ทาให้ประเทศไทย กลบั มาสูค่ วามเจรญิ รงุ่ เรอื งอีกคร้ัง หรือตวั อย่างความสามัคคีของคนไทยท่ีทุกคนยังจากันได้ ยากจะลืม เลอื น เหตกุ ารณน์ า้ ท่วมใหญ่ในประเทศไทย ปลายปี พ.ศ. 2554 เปน็ ความทุกข์อยา่ งแสนสาหัสอยา่ งที่ไม่ เคยพบมากอ่ น ประชาชนประสบอุทกภัยนา้ ทว่ มหนกั ถงึ ข้ันมิดหลังคาเรือน พ้ืนที่ราบลุ่มตัดขาดจากโลก ภายนอก อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ปัจจัยส่ีทั้งหลายอยู่ในภาวะขาดแคลนอย่างหนัก บางคนถึงกับ ส้นิ เนอ้ื ประดาตัว เหลอื เพียงชวี ติ ท่หี นรี อดมาได้ ความช่วยเหลือที่เกิดข้ึนนอกจากฝ่ายรัฐบาลและทหาร ท่ีมาช่วยอย่างเต็มที่แล้ว มีการติดต่อประสานงานจากประชาชนทุกภาคส่วนได้หล่ังไหลบริจาคสิ่งของ มากมาย มที ั้ง อาหารเครอ่ื งใชต้ ่าง ๆ ถูกลาเลียงสง่ มาอยา่ งมากมายมายังพ้ืนที่ประสบภัย แม้ไม่เคยรู้จัก กนั มากอ่ น แต่คนไทยไม่เคยท้ิงกัน ยามเมอ่ื เกิดวิกฤติ “ความรักความสามคั คี” ยังอยูใ่ นหัวใจคนไทยเสมอ หรอื มอี กี หน่งึ เหตกุ ารณ์ท่ที กุ คนทวั่ โลกตา่ งประทบั ใจในความสามคั คีทเี่ กดิ ขึ้นในประเทศไทย ชว่ งปลายปี พ.ศ. 2561 ไดม้ เี หตกุ ารณ์เกดิ ขึน้ คือ มีทมี ฟตุ บอลเยาวชนทางภาคเหนือ จานวน 13 คน ไดเ้ ข้าไปสารวจ ถ้าที่ช่ือว่า “ถ้าหลวงขุนน้านางนอน” แต่น้าข้ึนสูงไม่สามารถเดินทางออกมาได้ เป็นการยากในการ ช่วยเหลอื ทุกองคก์ รภาคสว่ นในประเทศไทย ตา่ งรว่ มมอื ประสานงานกนั อย่างเต็มท่ี กาลังแรงใจของคน ไทยทัง้ ประเทศตา่ งส่งใจไปที่ “ถ้าหลวงขนุ นา้ นางนอน” ทุกคนต้องการใหเ้ ดก็ ๆ ปลอดภัย อีกทั้งมีความ ช่วยเหลือจากผู้เช่ียวชาญที่มาจากนานาประเทศทั่วโลก ในที่สุดภารกิจก็ประสบผลสาเร็จ สามารถ ชว่ ยเหลือเด็ก ๆ ทั้งหมด ออกมาได้อย่างปลอดภัย นี่เป็นเหตุการณ์สาคัญอย่างหนึ่งท่ี “ความรักความ สามคั คี” ของคนไทยและทว่ั โลก ทาให้ผ่านพน้ วกิ ฤตการณไ์ ปได้ในทส่ี ดุ ดงั น้ันจะเห็นได้ว่า “ความสามคั คี” เปน็ ปจั จัยสาคัญในการรวมจิตใจของคนในชาติให้ร่วมกนั เป็น หน่ึงเดียว ในการฝ่าฟันอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปได้ อีกทั้งความเสียสละการมีวินัย ก็เป็นองค์ประกอบท่ี สาคัญในการนามาซ่ึงความสาเร็จ ประเทศไทยผ่านเหตุการณ์ที่สาคัญท่ีจะทาให้เกิดความสูญเสีย แต่ก็ ผ่านมาได้ ด้วยความปรีชาชาญของบรู พมหากษตั ริย์ พร้อมท้งั ความรักความสามัคคีของคนในชาติ ทาให้ ประเทศผา่ นพ้นวกิ ฤติมุง่ สู่ความเจริญ และดารงอยไู่ ดม้ าจนถงึ ทุกวันน้ี ปญั หำทีส่ ่งผลให้เกิดควำมขัดแย้งในประเทศไทย แม้ในปัจจุบันปัญหาการสู้รบขยายดินแดนจะหมดไป แต่ยังมีปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม สาหรับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นน้ีเป็นเร่ืองปกติ ท่ีอาจเกิดข้ึนได้ในทุกสังคมทุกประเทศ ในประเทศไทย ความขัดแยง้ อาจเกดิ ขนึ้ ไดห้ ลายสาเหตุต่างๆ เชน่ การได้รับข้อมูลไม่เหมือนกัน หรือแหล่งข้อมูลต่างกัน ค่านิยมหรือความเช่ือที่หล่อหลอมมาแตกต่างกัน หรือการมีเป้าหมายท่ีต่างกัน รวมถึงการส่ือสารที่
Academic Journal for the Humanities and 98 Tippawan Phutakorn Social Sciences Dhonburi Rajabhat University Volume 2, Issue 3, September - December 2019 บกพร่อง กล็ ้วนแลว้ แต่สง่ ผลตอ่ ความขัดแยง้ ดว้ ยเชน่ กัน (สมคิด บางโม, 2558, หน้า 251) ปัญหาความ ขัดแย้งบางอย่าง เป็นปัญหาท่ัวไป เช่น ความแตกต่างทางความคิด ทางเศรษฐกิจ หรือเร่ื องของ ผลประโยชน์ หรือปัญหาท่ีใหญ่ เกิดขึ้นมานานและไม่มีทีท่าจะหาข้อยุติได้ คือ เร่ืองอุดมการณ์ทาง การเมือง โดยสามารถสรุปประเด็นสาคญั ได้ดังนี้ 1. ควำมเปลีย่ นแปลงทำงสังคม ความเปลย่ี นแปลงทางสังคม ทาให้มีพัฒนาการท่ีแตกต่างไปจากเดิม ก่อให้เกิดความไม่เท่า เทยี มกัน ความไมเ่ ข้าใจกนั และกอ่ ให้เกดิ ความขัดแย้งในสงั คม เช่น - คา่ นยิ ม ความคดิ ของคนร่นุ ใหมแ่ ละคนรุ่นเกา่ มคี วามแตกต่างกัน จากประสบการณ์และ การเรียนรู้ ตา่ งคนต่างมนั่ ใจในตนเอง ทาใหเ้ กดิ ความไมเ่ ข้าใจกนั ขดั แยง้ กัน - การหลง่ั ไหลของวัฒนธรรมตะวันตก เข้ามายังประเทศไทย ทั้งเรื่องเทคโนโลยีที่นาสมัย รสนิยมการกินอยู่การใช้ชีวิต ความคิดท่ีลอกเลียนจากตะวันตก ทาให้เกิดความขัดแย้งของคนนิยม ตะวนั ตกและกลุ่มนักอนรุ ักษน์ ิยมไทยดง้ั เดิม - การเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมมาสู่สังคมอุตสาหกรรม ทาให้แรงงานจากชนบท หลัง่ ไหลเข้ามาอยใู่ นเมือง และไม่สามารถปรับตัวเข้ากับการใช้ชีวิตในสังคมเมืองได้ จึงเกิดปัญหาความ แตกตา่ งตามมาเชน่ ความคดิ ทศั นคติ การใชช้ ีวิต อีกท้ังเกิดปัญหาเร่ืองเกียรติยศและศักด์ิศรีของชนช้ัน เกิดความแตกตา่ งระหว่างชนช้นั มีการแบ่งแยกชนช้ันแรงงานและชนชั้นนายทุน ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ตามมา 2. ควำมขัดแยง้ ทำงเศรษฐกจิ มีความแตกต่างกันของสังคมเมือง และสังคมชนบทอย่างชัดเจน ผลจากการพัฒนาทาให้ ชอ่ งว่างระหว่างคนจนและคนรวยขยายกวา้ งข้นึ เน่อื งจากความเจริญทางเศรษฐกิจกระจุกอยใู่ นเมือง คน เพยี งกล่มุ นอ้ ยได้รับผลประโยชน์ ตลอดจนมกี ารผกู ขาดการคา้ ในธุรกิจบางประเภท มีความไม่เป็นธรรม ในการแบง่ ปนั ทรัพยากร จงึ เกิดปัญหาต่าง ๆ (ณรงค์ โพธิ์พฤกษานันท์, 2555, หน้า 148) อันก่อให้เกิด ความขดั แย้ง 3. ควำมขดั แย้งเรื่องผลประโยชน์ กล่าวได้ว่าในสังคมใดมีเรื่องผลประโยชน์เกิดข้ึนในสังคมน้ันย่อมเกิดความขัดแย้ง เพราะ ผลประโยชน์นั้นนามาซ่ึงทรัพย์สินและช่ือเสียง การขัดแย้งผลประโยชน์มีหลายอย่าง เช่น การขัดแย้ง ผลประโยชน์ทางการค้า การขัดแยง้ ผลประโยชน์ทางการเมอื ง เม่ือผลประโยชน์ถูกจัดแบ่งไม่เท่าเทียมก็ จะกอ่ ให้เกดิ ความไม่เขา้ ใจกันเกิดความแตกแยกและขดั แย้งกัน 4. ควำมขดั แย้งของอดุ มกำรณ์ทำงกำรเมอื ง การไมล่ งตวั กันทางความคิดเห็นทางการเมอื ง มมี าตัง้ แตส่ มยั อดีตถงึ ปัจจบุ ัน และเปน็ ทุกที่ ๆ มรี ะบอบการปกครอง เพราะเปน็ ธรรมดาท่คี นเราจะมีมมุ มอง ความคดิ ทแ่ี ตกตา่ งกัน มีการแบ่งฝ่ายต่อสู้ ชงิ อานาจทางการเมอื ง โดยในประเทศไทยมคี วามคิดทแ่ี ตกต่างของอุดมการณ์ทางการเมอื ง ต้ังแตอ่ ดตี ทมี่ ี การเปลย่ี นแปลงการปกครองเป็นต้นมา ประเทศไทยไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ขาดการพัฒนาทาง
วารสารวชิ าการ 99 ทิพวรรณ พฤฒากรณ์ มนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ี ปีท่ี 2 ฉบบั ท่ี 3 กนั ยายน – ธันวาคม 2562 การเมอื ง มีความขัดแย้ง วิกฤตการณ์ รัฐประหาร การประกาศรัฐธรรมนูญ การเลือกตัง้ วนเวยี นเป็นวงจร อุบาทว์ (ลขิ ติ ธรี เวคิน, 2550, หนา้ 157) โดยหลงั ปี พ.ศ. 2548 มคี วามแตกแยกกันมากข้ึนระหว่างกลุ่ม สเี สือ้ ต่าง ๆ มกี ารแบง่ ฝ่ายสนบั สนนุ และขยายตวั เป็นวงกวา้ งเปน็ การชมุ นมุ ประท้วง นาไปสู่ความรุนแรง หลายครงั้ เสียเลือดเนือ้ เสียชวี ิต เสยี ทรัพยส์ ินของประเทศชาติ จนถงึ ปจั จุบันนี้ แม้การเมืองยังไม่รุนแรง เท่าท่ีผ่านมาแต่ก็มีความขัดแย้งทางความคิดของทั้งสองฝ่ายตลอดมา แต่ยังหวังว่าท้ังสองฝ่ายจะใช้ บทเรียนท่ีผ่านมาเรียนรู้การใช้สิทธิทางการเมืองให้อยู่ในกรอบ และใช้หลักคุณธรรมจริยธรรมในการ ปฏบิ ัติกจิ กรรมทางการเมอื ง วิธีเสริมสรำ้ งควำมสำมคั คีของประชำชน ในสถานการณ์บ้านเมอื งเกดิ ข้อขัดแย้งขึ้น ต้องมกี ารสรา้ งบรรยากาศแห่งการผูกมิตรเปิดโอกาส ใหแ้ ลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ เพ่ือปรบั ความเข้าใจกบั ทุกฝ่าย ทาให้เกิดความร่วมมือร่วมใจเกิดข้ึนในสังคม โดยทกุ ฝ่ายต้องมคี วามจรงิ ใจต่อกนั ให้อภัยเมื่อเกดิ ความผดิ พลาด จงึ จะทาให้ลดการขัดแย้งกลับสู่ภาวะ ปกติสขุ วธิ เี สรมิ สร้างความสามคั คีมหี ลากหลายวธิ ี ในที่นขี้ อกลา่ วถงึ 4 วธิ ี คือ 1. กำรขดั เกลำทำงสงั คม (Socialization) จานงค์ อดิวัฒนสิทธิ์ (2543, หน้า 43) อธิบายความหมายว่า การขัดเกลาทางสังคม เป็น กระบวนการทางสงั คมกบั ทางจิตวิทยา ซง่ึ มีผลทาใหบ้ คุ คลมบี คุ ลิกภาพตามแนวทางที่สังคมต้องการ ทา ให้เป็นสมาชิกท่ีดีของสังคม สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้ และมีความสัมพันธ์กับผู้อ่ืนเป็นอย่างดี การ ขัดเกลาทางสงั คมเปน็ กระบวนส่งั สอนโดยตรงและโดยอ้อม โดยตรงหมายถึง การฝกึ อบรมโดยครอบครัว หรือครู อาจารย์ โดยอ้อมหมายถึง การฟงั บรรยาย การดูส่อื ต่าง ๆ การฟงั วทิ ยุ 1.1 จุดมุ่งหมำยของกำรขัดเกลำทำงสังคม (Aims of socialization) ศิริรัตน์ แอดสกุล (2556, หน้า 107-108) กลา่ วถึงจุดมงุ่ หมายการขดั เกลาทางสงั คม ดังน้ี 1) การปลูกฝังระเบียบวินัย (Basic disciplines) การอยู่ร่วมกันในสังคม จาเป็นต้องมี ระเบยี บวนิ ัย เพ่อื สงั คมจะไดด้ าเนินอยา่ งมีระเบียบแบบแผน 2) การปลกู ฝังความมุ่งหวงั (Aspirations) ปลกู ฝังให้บคุ คลมีความมุง่ หวงั ในชวี ิต ทาให้มีแรง บันดาลใจ ในการคดิ และปฏบิ ัตงิ านในอนาคต 3) การสอนให้รู้จักบทบาททางสังคมและทัศนคติ (Social roles and attitudes) สอนให้ รจู้ กั บทบาททางสังคม และทศั นคตติ ่าง ๆ ในการอยรู่ วมกับผอู้ น่ื ในสังคม และรูจ้ ักบทบาทหน้าที่ของตน 4) การสอนให้เกิดทักษะ (Skills) ทาให้มีทักษะและความชานาญในด้านต่าง ๆ เป็นการ เตรียมความพรอ้ มเขา้ รว่ มกจิ กรรมทางสังคม ในดา้ นตา่ ง ๆ 1.2 องค์กรท่ีทำหน้ำท่ขี ดั เกลำทำงสังคม การขดั เกลาทางสังคมเป็นกระบวนการเรียนรู้ต้ังแต่วัยเด็ก ในการปฏิบัติในครอบครัว และ เมื่อถึงวัยอันควร ก็สามารถเข้าสังคมได้ การเรียนรู้การปรับตัวและพัฒนาการด้านต่าง ๆ มีการ
Academic Journal for the Humanities and 100 Tippawan Phutakorn Social Sciences Dhonburi Rajabhat University Volume 2, Issue 3, September - December 2019 เปล่ยี นแปลงตลอดเวลา องค์กรท่ีทาหนา้ ทขี่ ดั เกลาทางสังคม มี 6 องค์กร (จานงค์ อดิวัฒนสิทธ์ิ, 2543, หนา้ 47-49) คือ 1) ครอบครัว ครอบครวั เป็นองค์กรแรกท่ีทาหน้าท่ีขัดเกลาทางสังคมให้มนุษย์ ดูแลพัฒนาการ ต้งั แต่ทารก เมือ่ เดก็ เริม่ โตจะมกี ารอบรมส่ังสอน ตง้ั แต่เร่ืองการใช้ชีวิต และการเข้าสังคม เดก็ ที่ได้รับการ ดแู ลอบรม จะมีความเข้าใจในการใชช้ ีวิตและการอยู่ร่วมกบั ผูอ้ ่นื ในสังคมไดด้ ี จึงถือได้ว่าการขัดเกลาทาง สงั คมโดยครอบครัว เปน็ สง่ิ สาคัญตอ่ พฒั นาการทางอารมณ์ และบคุ ลกิ ภาพของบคุ คล 2) สถานศึกษา สถานศึกษาเป็นองค์กรที่ทาหน้าท่ีการขัดเกลาทางสังคมต่อจากครอบครัว โรงเรยี นจะสอนวชิ าความรู้ ศีลธรรมจรรยา และมารยาทสังคม นอกจากนั้นจะทาให้เด็กรู้จักการใช้ชีวิต สังคมกบั กลุ่มเพอ่ื นและทาความคุ้นเคยกับกฎเกณฑท์ างสงั คม เม่อื อายมุ ากขนึ้ ผา่ นการศกึ ษาจากโรงเรยี น เข้าสู่สถาบันอดุ มศึกษา การศกึ ษาและการเรยี นร้กู ็จะมีขอบเขตกวา้ งขวางซบั ซอ้ นขึน้ ตามลาดบั 3) กล่มุ เพ่ือน กลุ่มเพอ่ื นมีสว่ นเกีย่ วข้องกับกระบวนการทางสังคมทางอ้อม การท่ีบุคคลคบกัน เป็นเพอ่ื นเพราะมีสงิ่ ท่ตี ้องการรว่ มกันบางอย่าง เช่น มคี วามคิดตรงกัน รสนิยมเดียวกัน อยู่โรงเรียนหรอื ที่ ทางานท่เี ดียวกนั กลุ่มเพ่ือนเป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคมโดยอ้อม แต่เป็นส่ิงท่ีใกล้ชิดบุคคลมาก ท่สี ดุ มกี ารศกึ ษาเลียนแบบและรับพฤตกิ รรมจากเพ่อื นโดยเต็มใจไม่ร้สู ึกวา่ ถูกบงั คับ 4) สานักงานหรือองค์กรท่ีบุคคลสังกัดอยู่ หมายถึงหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานเอกชนที่ บุคคลสงั กัดอยู่หนว่ ยงานหรอื องค์กรนัน้ จะมกี ฎระเบยี บให้ปฏบิ ตั ติ าม ระเบียบของบางอาชพี ทาให้บุคคล ปฏิบัตติ ามตลอดเวลา เชน่ อาชพี ครู ต้องปฏิบตั ติ นเป็นตัวอย่างทีด่ ีแก่ศิษย์ หรือทหาร จะเป็นผมู้ ีระเบียบ วนิ ยั ท่เี ครง่ ครดั มากกวา่ อาชพี อืน่ เป็นต้น 5) สถาบันศาสนา ในสมยั กอ่ นวัดเปน็ ศนู ยก์ ลางทัง้ การศึกษา และกจิ กรรมต่าง ๆ ทาใหม้ อี ทิ ธพิ ล ตอ่ การขดั เกลาทางสงั คมเปน็ อย่างมาก แม้ในปจั จุบนั โลกมีการเปล่ยี นแปลง อาจทาให้บคุ คลห่างเหินจาก สถาบันศาสนาไปบ้าง แต่ศาสนาก็ยังเป็นที่พ่ึงทางใจเสมอ ยังมีคนจานวนไม่น้อยที่ยังนาคาสอนทาง ศาสนามาเป็นที่ยดึ เหน่ยี วทางใจ 6) ส่อื สารมวลชน การเผยแพร่ข่าวสารหรือแนวความคิดผ่านส่ือสารมวลชน เช่น หนังสือพิมพ์ วทิ ยุ โทรทศั น์ มีผลตอ่ บคุ คลอยา่ งกว้างขวางและรวดเร็ว ซึ่งส่ือต่าง ๆ มีผลต่อการขัดเกลาทางสังคมทั้ง ในทางที่ดีและไม่ดี ดังน้ันในการติดตามสื่อสารมวลชนเหล่าน้ี จึงต้องพิจารณาในการใช้ความคิดอย่าง รอบคอบ จากทกี่ ลา่ วมาทงั้ หมดน้ี ทาใหท้ ราบวา่ การขัดเกลาทางสงั คม เปน็ ด่านแรกท่ที าให้บุคคลไดเ้ รยี นรู้ การใชช้ วี ิตและการอยรู่ ว่ มกนั ในสังคมอยา่ งมรี ะเบียบแบบแผน เขา้ ใจตนเองและผ้อู ื่น เคารพกฎกตกิ าของ สงั คม อกี ทงั้ การขัดเกลาทางสังคมไดป้ ลกู ฝงั ค่านิยมท่ีดี และมีการฝึกทักษะในด้านต่าง ๆ ทาให้บุคคลมี คณุ ภาพ มคี วามพร้อมในการปฏบิ ัตงิ าน มีความคิดสร้างสรรค์และมีวิจารณญาณในเร่ืองต่าง ๆ ได้ดี อัน นาไปสคู่ วามเจรญิ ความรักสามัคคีในกลุ่มชนและความสงบสุขของสังคม ดังน้ันอาจกล่าวได้ว่า การขัด เกลาทางสงั คมเป็นพ้ืนฐานในการสร้างบุคคล ทาให้รู้รัก สามัคคี เอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทาใหส้ งั คมน่าอยู่มากยิ่งข้ึน
วารสารวชิ าการ 101 ทิพวรรณ พฤฒากรณ์ มนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบรุ ี ปที ี่ 2 ฉบบั ที่ 3 กันยายน – ธันวาคม 2562 2. กำรสรำ้ งควำมปรองดอง (Principle of Reconciliation) คาว่าปรองดอง หมายถึง ออมชอม ประนีประนอม ยอมกัน ไม่แก่งแย่งกัน ตกลงกันด้วย ความไกล่เกลี่ย ตกลงกันด้วยไมตรีจิต การสมัครสมาน การกลมกลืน การพร้อมเพรียง (สานักงาน ราชบัณฑิตยสภา, 2553) การสรา้ งความปรองดองในประเทศไทยมีความจาเป็นอย่างย่ิง เพราะจะเปน็ การประสานรอย รา้ วท่เี กดิ ขน้ึ เสรมิ สรา้ งความรักความสามัคคี จับมือกันเดินไปข้างหน้า เพื่อความสุขในการดาเนินชีวิต และการพฒั นาของประเทศให้ก้าวหน้า 2.1 หลกั กำรสรำ้ งควำมปรองดอง ชลัท ประเทืองรัตนา (2560, หนา้ 17-25) กล่าวถึงหลักการปรองดองไว้ ดังนี้ 1) ใช้แนวทางท่หี ลากหลาย แนวทางในการนาไปสู่ความปรองดองมีหลายแนวทาง ไม่มีวิธีท่ี ตายตวั การสร้างความปรองดองในแต่ละพื้นท่ีขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม ซ่ึงมีความแตกต่างและหลากหลาย ต้องมีการศึกษาวัฒนธรรมนั้น ๆ และนาวิธีการปรองดองไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพสังคมและ วฒั นธรรมเหลา่ นน้ั เช่น การสร้างความปรองดองบางแห่งการเจรจาเพยี งอยา่ งเดยี วก็สรา้ งความสาเรจ็ ได้ แต่บางแหง่ ตอ้ งมีการสรา้ งกจิ กรรมเพ่มิ เตมิ จึงจะสาเร็จได้ นัน่ หมายถงึ เราตอ้ งเลอื กใช้แนวทางทเ่ี หมาะสม ในการสร้างความปรองดอง 2) การสร้างความสัมพันธ์ภายใตบ้ รรยากาศ เวลา และสถานท่ที ีเ่ หมาะสม ในกรณีท่ีคู่ขัดแย้ง เป็นปฏิปักษ์ต่อกันเป็นความขัดแย้งท่ียืดเยื้อเร้ือรังมานาน ต้องมีกระบวนการท่ีเหมาะสม ต้องมีการ ออกแบบการพูดคยุ และเปดิ พ้ืนทีใ่ หค้ ู่ขดั แยง้ มาพบกนั แลกเปล่ยี นเรื่องราวระหว่างกัน ถ่ายทอดมุมมอง ความรูส้ กึ ความเจ็บปวดท่เี กิดขึ้น และค้นหาภาพอนาคตในการอยู่ร่วมกัน การสร้างความปรองดองใน ลกั ษณะนต้ี อ้ งคานงึ ถงึ “กาลเทศะ” คือเน้นท้งั เวลาและสถานทท่ี ี่เหมาะสม อีกทงั้ มกี ารพูดคยุ เพอื่ เยยี วยา ความรูส้ ึกคนทเี่ กิดความสูญเสยี ตอ้ งเนน้ กระบวนการเยียวยาจิตใจและปรบั เปลยี่ นมุมมองด้านลบต่อกัน ให้ได้ จงึ จะทาให้กระบวนการสร้างความปรองดองบรรลจุ ุดมงุ่ หมาย 3) เน้นหรือจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกของคน ในกรณีที่คู่ขัดแย้งมีความเกลียดชังกัน การเตรยี มการเพ่อื นามาสกู่ ระบวนการพูดคยุ จึงมีความสาคัญมาก การเจรจาพดู คยุ การเยียวยาความรู้สึก ของคนท่ีเจ็บปว่ ยจะเนน้ ทหี่ ัวใจและความคิด การเน้นที่หัวใจคือ การพูดคุยถึงอารมณ์ ความรู้สึกท่ีอยู่ลึก ในจิตใจ การเน้นท่ีความคิดคือ การกาหนดเป้าหมายของการพูดคุย และทาให้การพูดคุยดาเนินไปใน ทิศทางท่ีกาหนด การพูดคุยเจรจาของคู่กรณีอย่างเปิดอก จริงใจ จะทาให้ความขัดแย้งลดลง และเมื่อ ได้รบั การเยียวยาทางจิตใจ ก็จะเกดิ ความปรองดองในกลุ่มน้นั ๆ 4) การเข้าใจปญั หาและการตอบสนองทต่ี รงจดุ การสร้างความปรองดองทีป่ ระสบผล สาเร็จ น้ัน ต้องมีปัญหาท่ีเกิดขน้ึ อย่างถอ่ งแท้ เม่ือเข้าใจแล้วจะทาให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ตอบสนอง ความตอ้ งการคกู่ รณีไดอ้ ย่างสมบูรณ์ท่สี ดุ ดงั น้ันก่อนกระบวนการสร้างความปรองดองจะเกิดขึ้น เราต้อง
Academic Journal for the Humanities and 102 Tippawan Phutakorn Social Sciences Dhonburi Rajabhat University Volume 2, Issue 3, September - December 2019 ศกึ ษาปัญหาใหร้ อบดา้ นในทกุ ๆ มติ ิ เพอื่ การแกป้ ญั หาทย่ี ่ังยืนและตรงจุด ตอบสนองความต้องการของ คกู่ รณไี ดอ้ ยา่ งแม่นยา 5) ให้ศาสนาเป็นเคร่ืองมือในการแก้ไขความขัดแย้ง การสร้างความปรองดองต้องอยู่บน พื้นฐานของความรกั ความเมตตา ดังนั้นศาสนาจึงมีความจาเป็นอย่างย่ิงในการเยียวยาจิตใจ การเจรจา ไกล่เกล่ียเป็นแค่การเริ่มต้นในการปรองดอง แต่ความเช่ือทางศาสนาและพิธีกรรมจะทาให้การสร้า ง ปรองดองบรรลุผลสาเร็จเร็วข้ึน เพราะศาสนาเป็นแหล่งท่ีพึ่งของคนไทย ต้ังแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน การเยยี วยาจิตใจของคนทบี่ อบช้า จงึ ต้องอาศัยศาสนาเข้ามายึดเหน่ียวใจ ใหม้ สี ติ ร้คู ิด รทู้ า และสามารถ หาทางออกกบั ทุกปญั หาได้ 6) ใช้หลกั ความเปน็ ธรรมในการสรา้ งความปรองดอง ความยุติธรรมมีความสาคัญอย่างย่ิงใน การสร้างความปรองดอง เราต้องทาให้คู่กรณีท้ังสองฝ่ายรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการ สรา้ งความปรองดอง เมือ่ รู้สึกวา่ ได้รับความเป็นธรรม ทัง้ สองฝ่ายจะให้ความร่วมมือ ซ่งึ จะทาให้การสร้าง ความปรองดองสาเร็จบรรลุผลตามเป้าหมาย ในทางตรงกันข้ามถ้าปราศจากความเป็นธรรม ความ ปรองดองจะเกิดขึน้ ไดย้ าก 7) การสานเสวนาเพ่ือนาไปสู่การสร้างความปรองดอง การสานเสวนาคือการที่คู่กรณีมา ร่วมกนั สนทนาเพอื่ นาไปสู่ขอ้ ตกลง โดยมกี ารเปล่ยี นแปลงมุมมองความร้สู กึ ทม่ี ตี ่อกนั การวิเคราะหค์ วาม ขัดแย้งและปฏิสัมพันธ์เพ่ือความเข้าใจที่ชัดเจน ดังนั้นการสานเสวนาคือการพูดคุยเจรจา รับรู้รับฟัง ก่อให้เกดิ การใหอ้ ภัยและความรว่ มมือระหวา่ งกัน จากหลกั การสรา้ งความปรองดองดังกลา่ ว ทาให้เหน็ ว่ากระบวนการสร้างความปรองดองนั้น ตอ้ งอาศัย การพดู คยุ เจรจา อย่างจริงใจของคกู่ รณี และแนวทางท่ีจะนาไปสคู่ วามปรองดองมีหลากหลาย วิธขี ้ึนอยกู่ บั บริบทของสงั คมและวัฒนธรรม ของกลุ่มชนนั้น ๆ อีกท้ังคาสอนทางศาสนาก็เป็นเครื่องมือ สาคัญอย่างหน่ึงในการสร้างความปรองดอง ในส่วนของระยะเวลาในการสร้างความปรองดองนั้น ไม่ สามารถกาหนดตายตัว เพราะความขัดแย้งบางอย่างเกดิ ขึ้นมายาวนาน ไม่สามารถเยียวยาภายในเวลาอัน สน้ั ได้ เม่ือมกี ารเยยี วยาจนทาใหท้ ุกกล่มุ มีความพอใจแล้ว จงึ จะบรรลุเปา้ หมายทตี่ ง้ั ไว้ 3. กำรนำ “หลักกำรสรำ้ งพลเมืองในระบอบประชำธิปไตย” มำใช้ การจะทาใหส้ ังคมมีความสงบสขุ มคี วามรกั สามัคคีในกลุ่มชนนั้น ต้องอาศัยหลักการ กฎเกณฑ์ และหลักปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข ซึ่งหลักการของ “พลเมืองในระบอบ ประชาธิปไตย” สอดคล้องและเกี่ยวข้องกับแนวทางการเสริมสร้างความรักความสามัคคี โดยสามารถ นามาปรบั ใช้ได้ ซง่ึ จะทาให้การอยูร่ ว่ มกันในสังคมมคี วามเขา้ ใจใหเ้ กยี รตซิ งึ่ กนั และกนั และเปน็ สงั คมที่นา่ อยู่ “ความเป็นพลเมือง (Citizenship)” ของระบอบประชาธิปไตย หมายถึง การเป็นสมาชิกของ สงั คมท่ีมอี สิ รภาพ ควบค่กู ับความรบั ผิดชอบ และมีสิทธเิ สรภี าพควบคู่กบั หน้าที่ โดยสามารถยอมรับความ แตกตา่ ง และเคารพกติกาในการอยรู่ ่วมกนั และมีส่วนร่วมต่อความเป็นไปและการแก้ไขปัญหาในสังคม ของตน
วารสารวิชาการ 103 ทพิ วรรณ พฤฒากรณ์ มนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั ธนบรุ ี ปที ่ี 2 ฉบบั ที่ 3 กนั ยายน – ธนั วาคม 2562 ปรญิ ญา เทวานฤมติ รกุล (2555, หน้า 31-36) อธิบายหลัก 6 ประการของ พลเมืองในระบอบ ประชาธปิ ไตยไว้ ดังนี้ 1) รับผิดชอบตนเองและพ่ึงตนเองได้ ระบอบประชาธิปไตยประชาชนมีอานาจสูงสุดในการ ปกครองประเทศและฐานะเป็นเจ้าของประเทศ เม่ือเป็นเจ้าของประเทศจึงเป็นเจ้าของชีวิต และมีสิทธิ เสรภี าพ สามารถรบั ผดิ ชอบตนเองและพ่ึงตนเองได้ ไม่ยอมตกอยภู่ ายใต้อิทธพิ ลหรอื อานาจของใคร 2) เคารพสทิ ธิผู้อื่น ในระบอบประชาธิปไตยทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ แต่ต้องอยู่ในขอบเขต และ จะตอ้ งไม่ใช้สิทธเิ สรีภาพของตนไปละเมิดสทิ ธเิ สรภี าพของคนอืน่ 3) เคารพความแตกต่าง เมื่อประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ และทุกคนมีเสรีภาพ ดังนั้นจึงมี ความหลากหลายของประชาชน เช่น อาชีพ วิถีชีวิต ความเชื่อทางศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง ดงั น้ันเพ่อื ปอ้ งกนั การ “แตกแยก” ในระบอบประชาธิปไตย จึงต้องยอมรับและเคารพความแตกต่างของ กนั และกัน เพ่ือให้สามารถอยูด่ ้วยกันได้ 4) เคารพหลักความเสมอภาค อานาจสูงสุดเป็นของประชาชน ทุกคนจึงเป็นเจ้าของประเทศ รว่ มกนั โดยทกุ คนลว้ นมีความเทา่ เทียมกันในฐานะเปน็ เจ้าของประเทศ 5) เคารพกตกิ า ประชาธปิ ไตยใช้กติกาหรือกฎหมายในการปกครอง โดยทกุ คนมคี วามเสมอภาค ภายใตก้ ตกิ านน้ั ถา้ มปี ัญหาเกดิ ขน้ึ หรอื มีความขดั แยง้ กต็ อ้ งแกไ้ ขดว้ ย โดยใช้วิถีประชาธิปไตยและกติกา ไมเ่ ล่นนอกกติกา และไม่ใชค้ วามรนุ แรง 6) รับผดิ ชอบต่อสงั คมและส่วนรวม พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ตระหนักว่าตนเองเป็น ส่วนหนึ่งของสังคม และรับผิดชอบต่อสงั คม รวมถงึ มสี ่วนร่วมในการแกไ้ ขปญั หานนั้ จากคุณสมบัติของ “พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย” ทั้ง 6 ประการนี้ ช้ีให้เห็นว่า แนวทาง ปฏิบัตมิ ีความสอดคล้องกบั วธิ เี สรมิ สรา้ งความรกั สามัคคี โดยเป็นแนวปฏิบัติข้ันพื้นฐานในการใช้ชีวิตอยู่ ร่วมกนั ในสงั คม ดงั นน้ั เมอื่ บคุ คลเข้าใจแนวปฏิบัตขิ องพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ก็จะทาให้เข้าใจ บทบาท สิทธิ หน้าท่ี ของตน ทาใหอ้ ยู่ในสังคมได้อย่างมีระเบียบแบบแผน มีความเข้าใจผู้อ่นื เคารพความ แตกต่าง และมสี ว่ นร่วมในการแก้ไขปญั หาในสงั คม 4. กำรประยุกตห์ ลักคำสอนทำงศำสนำมำปฏบิ ัติ การอยรู่ ว่ มกันในสังคม เปน็ ธรรมดาทีจ่ ะเกิดปัญหา มีความไมเ่ ข้าใจกัน มีการกระทบกระท่ังกัน กอ่ ใหเ้ กิดความแตกแยกข้ึนในสังคม ดังนั้นการทาให้สังคมอยู่อย่างเป็นสุข คือการสร้างความสามัคคีให้ เกิดขน้ึ โดยการนาคาสอนในพระศาสนามาประยุกต์ใช้ วรี ะ อาพันสขุ (2551 หน้า 62) กลา่ วถงึ การประยุกต์ใช้หลักธรรมในการบริหารบุคคลเชื่อมโยง ไปสคู่ วามสามัคคีใชห้ ลกั ธรรมทสี่ าคญั 4 อยา่ ง คอื
Academic Journal for the Humanities and 104 Tippawan Phutakorn Social Sciences Dhonburi Rajabhat University Volume 2, Issue 3, September - December 2019 4.1 สำรำณยี ธรรม 6 สาราณยี ธรรม 6 หมายถงึ ธรรมทีเ่ ปน็ ทตี่ งั้ แห่งความระลกึ ถงึ กนั 6 ประการ เป็นคณุ ธรรมที่ ทาให้คนเราไม่เห็นแกต่ วั แตจ่ ะคดิ ถึงคนอน่ื เอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่แก่ผู้อ่ืน เข้าใจผู้อ่ืน ผูกพันเช่ือมโยงบุคคลไว้ ดว้ ยนา้ ใจ สาราณยี ธรรม ทั้ง 6 ขอ้ มีดงั นี้ 1) กายกรรม คือ การกระทาทางกายท่ีประกอบด้วยเมตตา เช่น การให้การอนุเคราะห์ ช่วยเหลอื และเอื้อเฟื้อตอ่ ผ้อู ่นื ไมร่ งั แกทาร้ายผอู้ น่ื 2) วจกี รรม คอื การมวี าจาทดี่ ี สภุ าพ ออ่ นหวาน พดู มีเหตุผล ไม่พูดให้ร้ายผู้อ่ืนทาให้ผู้อื่น เดือดร้อน 3) มโนกรรม คือ ความคิดทปี่ ระกอบด้วยเมตตาท้ังตอ่ หน้าและลับหลัง เป็นการคิดดีต่อกัน ไมค่ ดิ อจิ ฉารษิ ยาหรือไมค่ ดิ มุ่งรา้ ยพยาบาท หากทุกคนคิดแล้วปฏิบัติเหมือนกันความสามัคคีก็จะเกิดข้ึน ในสังคม 4) สาธารณโภคี คือ การรู้จกั แบง่ สง่ิ ของใหก้ ันและกนั ตามโอกาสอันควร เพ่อื แสดงความรัก ความหวังดีของผู้ที่อยใู่ นสังคมเดียวกัน 5) สีลสามัญญตา คอื ความรักใคร่สามคั คี รักษาศลี อย่างเครง่ ครัดเหมาะสมตามสถานะของ ตนมีความประพฤตสิ จุ ริตปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑข์ องหมู่คณะ ไมเ่ อารัดเอาเปรียบผู้อน่ื 6) ทิฏฐิสามัญญตา คือ การมีความเห็นร่วมกัน ไม่เห็นแก่ตัว รู้จักเคารพและรับฟังความ คดิ เหน็ ของผู้อื่น ร่วมมือรว่ มใจในการสรา้ งสรรค์สังคมให้เกดิ ความสงบ สาราณียธรรม 6 เป็นหลักคาสอนท่ีกลา่ วถึง การทาความดี การมีวาจาทีด่ ี และการคิดดี รวมถึงการใหก้ ารแบ่งปัน ความสามัคคกี ลมเกลยี ว การไมเ่ อาเปรยี บกัน การมีความคิดความเห็นร่วมกัน หากมีการประพฤติปฏิบัติตามหลักคาสอนนี้ได้ จะทาให้เกิดความผาสุกในการอยู่ร่วมกัน มีความกลม เกลียว และเกือ้ กูลต่อกนั อันนามาสู่ความรักความสามัคคีตลอดไป 4.2 สงั คหวัตถุ 4 สังคหวัตถุ 4 หมายถึง หลักธรรมที่เป็นเคร่ืองยึดเหนี่ยวน้าใจของผู้อ่ืน ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกอ้ื กูล หรือเปน็ หลกั การสงเคราะหซ์ ึง่ กันและกัน มี 4 ประการ คอื 1) ทาน การให้ การเสยี สละ การแบ่งปนั เพ่อื ประโยชนแ์ กค่ นอืน่ ช่วยปลูกฝังใหเ้ ป็นคนที่ไม่ เหน็ แก่ตัว แบ่งปันกนั 2) ปยิ วาจา การพูดจาด้วยถอ้ ยคาไพเราะออ่ นหวาน จรงิ ใจ ไมพ่ ดู หยาบคายกา้ วรา้ ว พูดใน สง่ิ ทเ่ี ปน็ ประโยชน์ เหมาะกบั กาลเทศะ พูดดีตอ่ กัน 3) อตั ถจริยา ช่วยเหลือกนั การประพฤตสิ ่ิงทเี่ ปน็ ประโยชน์กบั บคุ คลอืน่ 4) สมานตั ตา การเป็นผู้มีความสม่าเสมอ โดยประพฤติตัวให้มีความเสมอต้นเสมอปลาย วางตัวดตี อ่ กัน สงั คหวตั ถุ 4 คือ หลักธรรมของการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข ได้แก่ การให้การ แบ่งปนั การพูดจาแต่สิง่ ดี ๆ การประพฤตติ นเปน็ ประโยชน์ต่อผอู้ ่ืน การวางตนใหเ้ หมาะสม หลกั ธรรมทัง้ 4 ประการน้ี เปน็ เครอ่ื งยดึ เหนยี่ วใจผ้คู นในสังคมให้อยู่กันอยา่ งสันติ
วารสารวชิ าการ 105 ทิพวรรณ พฤฒากรณ์ มนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบรุ ี ปีที่ 2 ฉบบั ท่ี 3 กันยายน – ธนั วาคม 2562 4.3 พรหมวหิ ำร 4 พรหมวหิ าร 4 เป็นธรรมในการกากบั ความประพฤติ ให้มีชวี ติ ทง่ี ดงาม ประเสริฐและบรสิ ุทธ์ิ ปฏิบตั ติ นตอ่ มนษุ ย์และสัตวโ์ ดยชอบ มี 4 ประการ คอื 1) เมตตา ความรัก ปรารถนาแต่จะให้ผู้อ่ืนเป็นสุข จะคิด จะปรึกษาหารือ จะพูด จะ กระทาอะไร กค็ ดิ ปรึกษาหารอื พดู และกระทา ด้วยความปรารถนาดีตอ่ กัน 2) กรณุ า ความสงสาร ปรารถนาแต่จะให้ผู้มีหรือผู้ประสบกับปัญหาความทุกข์เดือดร้อน ให้เขาไดพ้ ้นจากปัญหาความทกุ ข์เดือดร้อนนัน้ 3) มทุ ติ า พลอยยินดีทีผ่ อู้ ่ืนไดด้ ีและอยูด่ มี สี ุข ไมค่ ดิ อิจฉาริษยากัน ไม่มงุ่ รา้ ยทาลายกัน 4) อเุ บกขา ความมีใจเปน็ กลาง วางเฉย เม่อื ได้รู้/เห็นผ้อู ื่นถึงซงึ่ ความวิบตั ิ อันเราช่วยอะไร ไม่ได้ พรหมวิหาร 4 เปน็ หลกั ธรรมในการประพฤติปฏิบตั ิ ที่กลา่ วถึง ความรกั ความปรารถนา ดี ความยนิ ดี ความไม่อิจฉาริษยา รวมถึงความมีใจเป็นกลาง วางเฉย คือ การไม่อิจฉาริษยาความสุขของ ผู้อ่นื และไม่ซา้ เติม ถากถางกับความทุกข์ของผู้อ่ืน หากทุกคนในสังคมปฏิบัติได้ดังนี้ จะทาให้สังคมอยู่ รว่ มกันอย่างมีความสขุ มคี วามรกั ปรารถนาดีต่อกนั 4.4 สัปปรุ ิสธรรม 7 สัปปรุ ิสธรรม 7 หมายถงึ ธรรมที่ทาใหค้ นเป็นสตั บรุ ษุ หรอื เปน็ คนดี มีคณุ ธรรม เป็นคนเก่ง มี 7 ประการด้วยกนั คอื 1) ธมั มัญญ เป็นผู้รู้จักเหตุ คือ รหู้ ลักความเป็นจริง รู้กฎเกณฑแ์ ห่งเหตุ 2) อตั ถัญญู รูจ้ ักผล คอื รคู้ วามม่งุ หมาย รู้จักผลทสี่ บื เนอื่ งมาจากการกระทา 3) อญั ตัญญู รูจ้ กั ตน คือ รจู้ กั ตวั ตนของเราเอง เช่น ฐานะ ความรู้ ความสามารถ ฯลฯ และ ประพฤตใิ ห้เหมาะสม และรู้จักแก้ไขปรบั ปรุง 4) มัตตญั ญู รจู้ ักประมาณ คอื เป็นคนรู้จักความพอดี หรือความพอเพียงทุก ๆ ด้าน รู้จัก ประมาณกาลงั ตนเอง 5) กาลญั ญตา การรจู้ ักเวลา คือ ใช้เวลาที่เหมาะสมในการทากิจอันใด จัดลาดับงานและ เวลาใหส้ มั พันกัน 6) ปรสิ ญั ญตา การรู้จกั ชมุ ชน คอื รู้จักสงั คมทอ่ี าศยั อยู่ และทาตนใหอ้ ยรู่ ว่ มกับสังคมได้ 7) ปคคโลปรปรัญญุตา การรู้จกั บคุ คล เขา้ ใจความแตกต่างระหวา่ งบุคคล รูจ้ ักเลือกคบคน สัปปรุ สิ ธรรมทั้ง 7 ขอ้ น้ี สรุปเป็นคาจากัดความง่าย ๆ คือ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ ร้กู าล รสู้ งั คม รบู้ ุคคล เป็นกุศลธรรมทท่ี าใหค้ นเป็นคนดี เปน็ มนุษย์ท่ีสมบูรณ์แบบ ซ่ึงถือเป็นสมาชิกที่ดี ของสังคมอย่างแท้จรงิ การนา “หลักคาสอนในพระพทุ ธศาสนา” มาประยุกต์ใช้ในการเสรมิ สรา้ งความรัก ความสามคั คใี หก้ บั ประชาชนเป็นอกี วธิ หี นึง่ ที่สาคญั ในหลกั คาสอนนม้ี ีความเก่ยี วข้องกับการปฏิบัติตนใน การเข้าสู่สังคม และปรับตวั เขา้ กับสงั คมอย่างมคี วามสขุ เชน่ สาราณียธรรม 6 เปน็ หลกั คาสอนท่กี ล่าวถึง
Academic Journal for the Humanities and 106 Tippawan Phutakorn Social Sciences Dhonburi Rajabhat University Volume 2, Issue 3, September - December 2019 การทา การพูด การคิด การเสยี สละแบง่ ปนั การไม่เอารดั เอาเปรยี บผ้อู ืน่ เป็นหลักธรรมท่ีสอนให้เห็นแก่ ผู้อื่น วธิ กี ารปฏบิ ัตใิ นการอย่รู ่วมสงั คมกบั ผอู้ นื่ สังคหวตั ถุ 4 เปน็ หลักคาสอนท่ีเก่ียวกับการเสียสละ การ พดู การทาตนเปน็ ประโยชนก์ บั ผู้อืน่ การประพฤตติ นเสมอตน้ เสมอปลาย เป็นหลกั ธรรมท่ยี ดึ เหนี่ยวนา้ ใจ ผู้อ่ืน ผูกไมตรีกับผู้อื่น พรหมวิหาร 4 เป็นหลักคาสอนที่กล่าวถึงความรัก ความปรารถนาดี ความยินดี และการวางตวั เปน็ กลาง เป็นหลกั คาสอนทกี่ ลา่ วถงึ การให้ความรักความเขา้ ใจกบั ผู้อ่ืน และเป็นหลกั ธรรม ในการกากบั ความประพฤติของบุคคลใหป้ ฏบิ ตั แิ ตส่ ่งิ ดงี าม สปั ปุรสิ ธรรม 7 เป็นหลกั คาสอนท่ีเกีย่ วกับการ รู้เหตุ รผู้ ล ร้ตู น รู้ประมาณ รู้กาล รสู้ งั คม รูช้ ุมชน เป็นหลกั คาสอนทท่ี าให้รูจ้ ักตนเอง รจู้ ักสังคม เขา้ ใจคน รอบขา้ ง รจู้ ักแยกแยะและเลอื กคบคน เมือ่ บคุ คลสามารถปฏิบตั ิตามหลกั คาสอนทั้ง 7 อย่างได้ จะทาให้ ทกุ คนในสังคมมคี วามสุข เกดิ ความรักความสามคั คกี ลมเกลียว เกิดความผาสุกในกลุม่ ชนตลอดไป บทสรุป การอยู่ร่วมกันในสังคม ย่อมมีความขัดแย้งกัน เพราะคนเรามีความแตกต่างทางความคิด ความรสู้ ึก การกระทาหากเกดิ ความขัดแยง้ และไม่มีการแก้ไข จะเกดิ ความแตกแยกและนาไปสู่ความเสือ่ ม ถอยของสงั คม ดงั น้นั ความสามัคคีปรองดอง จงึ เปน็ หนทางที่จะทาให้คนไทยรัก สามัคคี ผูกพันกันเป็น ปกึ แผ่นม่ันคง เพอื่ รกั ษาความเป็นไทยไว้ให้ยง่ั ยนื ในเรอ่ื งของความสามัคคหี รือการปรองดองกัน มิได้หมายความว่าทุกคนมีความคิดเห็นเป็นไปใน ทิศทางเดียวกันทุกคน แต่หมายถึงเมื่อมีความแตกต่างเกิดข้ึน สามารถเข้าใจและนาความแตกต่างมา พัฒนาให้เกิดประโยชน์ และสอดคล้องกับเป้าหมายหลักท่ีกลุ่มสังคมน้ัน ๆ กาหนดไว้ หากมีข้อขัดแย้ง หรือความแตกแยกเกิดขึ้น ตอ้ งหาวิธีประสานรอยร้าวนัน้ สร้างความรกั สามคั คีความผูกพันให้เกิดขึ้นกับ สังคมนัน้ จงึ จะสามารถนาพาบ้านเมืองฝ่าฟันอุปสรรคท้ังหลาย มุ่งสู่ความเจริญ โดยนึกถึงประโยชน์ สว่ นรวมเป็นหลัก เพราะนน่ั คอื ความม่ันคงของบา้ นเมืองน่ันเอง สังคมใดมคี วามสามัคคี รักใคร่กลมเกลียวกนั เหน็ พ้องต้องกัน มีความพร้อมเพรียงกัน สังคมน้ัน ยอ่ มมคี วามเจรญิ และสนั ติสุข แตถ่ ้าสงั คมใดแตกแยกสามคั คกี นั สังคมนัน้ หาความเจริญและสันติสุขมิได้ การเสริมสร้างความสามัคคีจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อคนไทยมีจิตสานึกสาธารณะ คานึงถึงผลประโยชน์ ส่วนรวม มคี วามเอื้อเฟื้อเผอื่ แผต่ ่อกัน ยอมรบั ความแตกต่างซ่ึงกันและกัน จับมือร่วมแรงร่วมใจกัน และ กา้ วข้ามความขดั แยง้ ทั้งหลาย หล่อหลอมให้เปน็ หน่ึงเดียว ม่งุ สูค่ วามเจรญิ กา้ วหนา้ สร้างสรรคส์ ่ิงท่ีดี และ ความสงบสุขจะกลบั คนื ส่สู งั คมไทยอีกครั้งหนึ่ง
วารสารวชิ าการ 107 ทิพวรรณ พฤฒากรณ์ มนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบรุ ี ปที ี่ 2 ฉบับที่ 3 กนั ยายน – ธนั วาคม 2562 บรรณำนุกรม จานงค์ อตวิ ฒั นสทิ ธ์ิ. (2543). สงั คมวิทยำ. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ ชลัท ประเทอื งรตั นา. (2560). กำรสรำ้ งควำมปรองดอง. กรุงเทพฯ: สถาบนั พระปกเกล้า. ณรงค์ โพธิ์พฤกษานนั ท์. (2555). สังคมกับเศรษฐกจิ . ปทมุ ธานี: พลู สวัสดพ์ิ บั ลิชช่ิง. ปรญิ ญา เทวานฤมิตรกลุ . (2555). กำรศึกษำเพือ่ สรำ้ งพลเมอื ง. กรุงเทพฯ: นานมีบุค๊ ส์พบั ลเิ คชัน่ ส์. ลิขติ ธรี เวคนิ . (2550). วิวฒั นำกำรกำรเมืองกำรปกครองไทย. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ วีระ อาพันสุข. (2551). กำรประยกุ ต์พทุ ธธรรม. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ B.E.C. ศิรริ ัตน์ แอดสกลุ . (2556). ควำมรู้เบื้องต้นทำงสังคมวิทยำ. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. สมคดิ บางโม. (2558). องคก์ ำรและกำรจัดกำร. กรงุ เทพฯ: จูนพับลชิ ช่ิง. สานักงานคณะกรรมการวจิ ัยแห่งชาติ. (2551). ธรรมนูญชวี ิต ๙ ประกำร ตำมรอยพระยุคลบำท. กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทร์พร้ินต้งิ แอนพบั ลชิ ช่งิ . สานกั งานราชบณั ฑติ ยสภา. (2553). ปรองดอง. สบื ค้นจาก http://www.royin.go.th/?knowledges
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: