Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สรุปย่อกฎหมายแพ่ง1

สรุปย่อกฎหมายแพ่ง1

Published by pim, 2019-09-19 03:47:30

Description: สรุปย่อกฎหมายแพ่ง1

Search

Read the Text Version

51 1. สทิ ธิเรียกรอ งทกี่ ฎหมายมไิ ดกําหนดอายคุ วามไวโ ดยเฉพาะ สิทธิเรียกรองของรฐั ทีจ่ ะเรยี กคา ภาษีอากร และสทิ ธิเรยี กรอ งที่เกิดขึ้นโดยคําพพิ ากษาท่ีถึงทส่ี ดุ หรือโดยสญั ญาประนีประนอมยอมความมี กาํ หนดอายคุ วาม 10 ป 2. สทิ ธเิ รยี กรองดอกเบย้ี คา งชําระ เงินที่ตอ งชาํ ระผอ นคนื เปนงวด คาเชาทรพั ยสินทคี่ า งชําระ เงินเดือน เงินป เงนิ บาํ นาญ คาอุปการะเลยี้ งดู คาซื้อส่งิ ของเพือ่ ผลิตเปน สนิ คาหรือเพอ่ื ขายตอมกี าํ หนด อายุความ 5 ป 3. สิทธเิ รียกรอ งในเร่ืองทม่ี คี วามสาํ คัญไมมากนกั เชนคาซ้อื สงิ่ ของสาํ หรับใชส วนตวั หรือใน ครัวเรอื น คาเชาทพ่ี ัก คาระวาง คา จางทมี่ ิไดจา ยเปนเดอื น คา เลา เรยี น คา รกั ษาพยาบาล คา จางวาความ คาตอบแทน คา คุมงาน มกี ําหนดอายุความ 2 ป 11.3.1 สทิ ธิเรียกรอ งทมี่ อี ายคุ วาม 10 ป สทิ ธิเรยี กรอ งกรณีใดทมี่ ีอายคุ วาม 10ป สิทธเิ รยี กรองท่มี อี ายคุ วาม 10 ป มีดงั น้ี (1) สทิ ธิเรยี กรอ งท่กี ฎหมายมไิ ดก าํ หนดอายคุ วามไวโ ดยเฉพาะ (2) สทิ ธเิ รยี กรอ งของรัฐทีจ่ ะเรยี กคา ภาษอี ากร (3) สทิ ธเิ รยี กรอ งทเ่ี กดิ ขนึ้ โดยคาํ พิพากษาถงึ ท่ีสดุ หรือโดยสญั ญาประนปี ระนอมยอมความ 11.3.2 สทิ ธเิ รียกรอ งทม่ี อี ายคุ วาม 5 ป เมื่อวนั ที่ 1 มกราคม 2539 ก เชาอพารท เมนต ของ ข อยูอาศยั คา เชา เดือนละ 18,000 บาท ชาํ ระคา เชาวนั สิน้ เดอื น ก ชาํ ระคาเชา ตลอดมา แตเมือ่ ส้นิ เดือนกนั ยายน 2539 ก ไมชาํ ระคา เชา และขน ของออกจากอพารท เมนตไ ป ข จะฟองเรยี กคา เชาจาก ก ภายในวันทเ่ี ทาใด จึงจะไมขาดอายคุ วาม สิทธเิ รยี กรองคา เชาอสงั หาริมทรัพยมีอายุความ 5 ป ตามกฎหมาย ก ผดิ นัดไมช าํ ระคา เชา วนั ที่ 30 กนั ยายน 2539 อายคุ วาม 5 ป จะสิน้ สุดลงในวนั ท่ี 30 กันยายน 2544 ดงั นนั้ ข ตองฟอ งรอง ก เสยี อยางชาภายในวนั ที่ 30 กนั ยายน 2544 จึงจะไมข าดอายุความ 11.3.3 สทิ ธิเรยี กรองทม่ี อี ายุความ 2 ป ก ใชบตั รเครดติ ซ้ือตัว๋ โดยสารเครือ่ งบนิ ของบรษิ ทั การบนิ ไทย จํากดั เพื่อเดินทางไปประเทศ สหรัฐอเมริกา แลว ไมชําระคาโดยสารให ดงั นี้ บรษิ ทั การบนิ ไทย จํากัด ตองฟองรอ งบงั คบั คดีภายในอายุ ความกี่ป ตามกฎหมาย สทิ ธเิ รียกรองของผขู นสงคนโดยสารหรอื ส่ิงของเรยี กเอาคา โดยสาร คาระวาง คาธรรมเนยี มมกี าํ หนดอายคุ วาม 2 ป การขนสงคนโดยสารตามกฎหมาย รวมทงั้ การขนสง ทางบก ทางเรอื และทางอากาศยาน บรษิ ทั การบินไทย จาํ กดั ถือวา เปนผูขนสงคนโดยสารทางอากาศยาน ดังนีจ้ ะตองฟองบงั คบั คดี จาก ก ภายในกาํ หนด 2 ป แบบประเมินผล หนวยที่ 11 ระยะเวลาและอายคุ วาม มาตรา 193/1 การนบั ระยะเวลาทั้งปวง ใหบงั คับตามบทบัญญตั แิ หงลกั ษณะน้ี เวน แตจ ะมกี ฎหมาย คําส่งั ศาล ระเบยี บ ขอ บงั คบั หรอื นิติกรรมกําหนดเปน อยา งอืน่ มาตรา 193/4 ในทางคดีความ ในทางราชการ หรือทางธรุ กิจการคาและอตุ สาหกรรม วนั หมายความวา เวลาทาํ การ ตามที่ไดกําหนดขน้ึ โดยกําหมาย คําส่ังศาล หรอื ระเบยี บขอ บงั คับ หรือเวลาทําการตามปกติของกิจการนัน้ แลว แตกรณี มาตรา 193/6 ถา ระยะเวลากําหนดเปน เดอื นและวันหรือกาํ หนดเปนเดือนและสวนของเดือน ใหน บั จํานวนเดือนเต็มกอ น แลว จงึ นบั จํานวนวนั หรอื สวนของเดือนเปนวัน ถา ระยะเวลากาํ หนดเปน สวนของป ใหค าํ นวณสวนของปเ ปนเดือนกอ นหากมีสวนของเดือน ใหน บั สวนของเดอื นเปนวัน การคาํ นวณสวนของเดือนตามวรรคหนงึ่ และวรรคสอง ใหถ อื วา เดือนหนึง่ มสี ามสิบวัน มาตรา 193/7 ถา มีการขยายระยะเวลาออกไปโดยมไิ ดม ีการกําหนดวนั เรม่ิ ตน แหง ระยะเวลาท่ีขยายออกไป ใหนับวนั ที่ ตอจากวันสดุ ทา ยของระยะเวลาเดมิ เปน วันเร่มิ ตน มาตรา 193/8 ถา วนั สุดทายของระยะเวลาเปนวันหยดุ ทําการตามประกาศเปนทางการหรือตามประเพณี ใหนับวนั ที่ เร่มิ ทําการใหมตอจากวันทหี่ ยุดทําการนั้นเปนวนั สดุ ทา ยของระยะเวลา 1. ระยะเวลาท่กี ําหนดเปน นาที ตอ งนบั ในทนั ที (มาตรา 193/2 การคํานวณระยะเวลา ใหค ํานวณเปนวัน แตถา กําหนดเปนหนวยเวลาทสี่ ้นั กวาวัน กใ็ หค ํานวณตามหนวยเวลาทีก่ ําหนด นั้น ) 2. ระยะเวลาท่ตี องนับในทนั ทคี ือ ระยะเวลาทกี่ าํ หนดเปนชั่วโมงหรือนาที (มาตรา 193/3 ถากําหนดระยะเวลาเปนหนวยเวลาที่สน้ั กวาวันในเรม่ิ ตนนบั ในขณะทเี่ รม่ิ การน้ัน ถา กําหนดระยะเวลาเปน วัน สัปดาห เดอื นหรือป มิใหนับวนั แรกแหงระยะเวลานั้นรวมเขาดวยกัน เวนแตจ ะเรมิ่ การในวันนั้นเองต้ังแต เวลาท่ถี ือไดว าเปนเวลาเร่ิมตนทําการงานกันตามประเพณี ) 3. ระยะเวลาที่กําหนดเปน วัน วันแรกจะไมนบั

52 4. กาํ หนดระยะเวลาที่ไมน ับวนั แรกเขาในระยะเวลา คอื กําหนดเปน วนั กําหนดเปน สัปดาห กาํ หนดเปน เดือน และ กาํ หนดเปน ป 5. ระยะเวลาท่ีกฎหมายกาํ หนดใหใ ชส ทิ ธเิ รียกรอ งในศาลเรยี กวา อายุความ 6. สิทธเิ รียกรองทมี่ ไิ ดฟอ งคดบี ังคับภายในระยะเวลาทกี่ ฎหมายกาํ หนด จะมผี ลทาํ ให ขาดอายุความ 7. สิทธเิ รยี กรองทตี่ องมีการทวงถามกอ น อายุความเรม่ิ นบั ขณะทอี่ าจทวงถามได 8. อายคุ วามเริ่มนบั ต้งั แต ขณะทอ่ี าจบงั คบั สทิ ธิเรยี กรอ งได 9. วันท่ี 5 มกราคม 2539 ก ทาํ สัญญากเู งนิ ข เปน เงิน 200,000 บาท ไมมกี ําหนดชาํ ระคนื อายุความสทิ ธิ เรียกรองของ ข เรมิ่ นบั วนั ที่ 5 มกราคม 2539 10. ก ทําสญั ญากูเงิน ข จํานวน 200,000 บาท เมอ่ื วนั ที่ 10 มกราคม 2539 กําหนดใชคืนใน 1 เดือน อายคุ วาม สทิ ธิเรียกรอ งของ ข เร่มิ นับ ในวนั ที่ 10 กมุ ภาพนั ธ 2539 11. การท่ลี ูกหนท้ี าํ หนงั สอื รบั สภาพหนี้ใหเจาหน้ี จะมีผลตออายคุ วามในหนร้ี ายนั้นคือ อายคุ วามสะดดุ หยดุ ลง 12. การทีเ่ จา หนฟ้ี อ งคดีตอศาลเพอ่ื บงั คบั ตามสทิ ธเิ รียกรอ ง จะมผี ลตออายคุ วามของสทิ ธิเรยี กรอ งน้ี คอื อายุ ความสะดุดหยดุ ลง 13. กรณอี ายคุ วามครบกาํ หนดในวันหยดุ ราชการจะมีผลคอื อายคุ วามขยายออกไป (มาตรา 193/8 ถาวนั สดุ ทายของระยะเวลาเปนวันหยุดทําการตามประกาศเปน ทางการหรือตามประเพณี ใหนบั วันท่ีเริ่มตอ จากวนั สดุ ทายของระยะเวลาเดมิ เปนวันเริม่ ตน ) 14. กรณีอายคุ วามครบกาํ หนดในระหวา งมีเหตุสดุ วสิ ัย จะมผี ลคือ อายคุ วามขยายออกไป 15. หน้ีทขี่ าดอายคุ วามจะมผี ลตอ ลูกหนีค้ ือ ลกู หนี้ปฏเิ สธการชาํ ระหน้ี 16. ศาลจะอางอายคุ วามเปนเหตผุ ลในการยกฟอ งโจทยไดใ นกรณี ลกู หนยี้ กอายคุ วามขนึ้ ตอ สู 17. สทิ ธิเรียกรองซง่ึ กฎหมายมิไดก าํ หนดอายคุ วามไวโ ดยเฉพาะ กฎหมายใหม อี ายคุ วาม 10 ป มาตรา 193/30 อายคุ วามน้ัน ถา ประมวลกฎหมายน้หี รือกฎหมายอื่นมิไดบ ัญญตั ิไวโ ดยเฉพาะ ใหม กี ําหนด 10 ป มาตรา 193/31 สทิ ธิเรียกรองของรัฐที่จะเรียกเอาคา ภาษอี ากรใหม ีกําหนดอายุความ 10 ป สวนสทิ ธิเรยี กรอ งของรัฐท่ี จะเรียกเอาหน้ีอยางอน่ื ใหบ ังคับบทบัญญตั ใิ นลักษณะน้ี มาตรา 193/32 สิทธิเรียกรองทเ่ี กิดขึน้ โดยคาํ พพิ ากษาของศาลถึงที่สดุ หรือโดยสัญญาประนปี ระนอมยอมความ ใหมี กาํ หนดอายคุ วามสิบป ท้ังนไ้ี มว าสทิ ธิเรยี กรอ งเดิมจะมกี าํ หนดอายุความเทา ใด มาตรา 193/33 สิทธเิ รียกรองตอไปนใ้ี หมีกําหนดอายุความหา ป (1) ดอกเบี้ยคา งชาํ ระ (2) เงนิ ทต่ี องชําระเพ่อื ผอนทุนคืนเปนงวดๆ (3) คาเชา ทรพั ยสนิ คางชําระ เวนแตคา เชาสังหารมิ ทรัพยตามมาตรา 193/34 (6) (4) เงนิ คางจา ย คือ เงนิ เดอื น เงนิ ป เงนิ บํานาญ คาอปุ การะเล้ียงดแู ละเงนิ อนื่ ๆ ในลักษณะทาํ นองเดียวกบั ที่ มีการกาํ หนดจายเปน ระยะเวลา (5) สทิ ธเิ รียกรองตามมาตรา 193/34 (1) (2) และ (5) ที่ไมอ ยใู นบังคับอายคุ วามสองป 18. สทิ ธิเรยี กรอ งเงนิ คา ภาษอี ากรของรัฐ มอี ายุความ 10 ป 19. มหาวทิ ยาลยั ของรฐั หรอื เอกชนเรยี กคา ธรรมเนียมการศกึ ษาจากนักศึกษา จะตอ งฟอ งภายในกาํ หนดอายุ ความ 2 ป 20. ขา ราชการหรอื ลกู จา งบรษิ ทั เอกชนฟอ งเรยี กเงนิ เดอื นคา งจา ยตองฟองภายในกาํ หนดอายุความ 5 ป มาตรา 193/34 สิทธิเรยี กรองตอ ไปนีใ้ หมกี าํ หนดอายคุ วามสองป (๑) ผูประกอบการคาหรอื อุตสาหกรรม ผูประกอบหัตถกรรม ผูป ระกอบศิลปะอุตสาหกรรมหรือชางฝม อื เรยี กเอา คา ของทีไ่ ดส งมอบ คาการงานท่ีไดทาํ หรอื คา ดแู ลกิจการของผูอื่นรวมทงั้ เงนิ ที่ไดอ อกทดรองไป เวนแตเปน การท่ีไดทาํ เพอ่ื กิจการของฝา ยลูกหน้นี ้นั เอง (๒) ผปู ระกอบการเกษตรกรรมหรอื การปา ไม เรียกเอาคา ของท่ไี ดส ง มอบอันเปนผลติ ผลทางเกษตรหรอื ปา ไม เฉพาะท่ีใชส อยในบา นเรือนของฝายลูกหนนี้ ้นั เอง (๓) ผขู นสงโดยสาร หรอื สงิ่ ของหรือผูรับสง ขา วสาร เรียกเอาคาโดยสาร คาระวาง คา เชา คา ธรรมเนยี ม รวมทงั้ เงินทีไ่ ดอ อกทดรองไป (๔) ผปู ระกอบการธุรกิจโรงแรมหรือหอพกั ผปู ระกอบธุรกจิ ในการจาํ หนายอาหารและเคร่ืองดืม่ หรอื ผูประกอบ ธรุ กจิ สถานบริการตามกฎหมายวาดว ยสถานบรกิ ารเรยี กเอาคาที่พัก อาหารหรือเครือ่ งด่ืม คา บรกิ ารหรือคา การงานท่ีไดท ําใหแกผ ู มาพกั หรอื ใชบริการ รวมทัง้ เงินทไ่ี ดออกทดรองไป (๕) ผขู ายสลากกนิ แบง สลากกนิ รวบ หรอื สลากทค่ี ลา ยคลงึ กนั เรยี กเอาคา ขายสลาก เวน แตเ ปน การขายเพื่อการ ขายตอ (๖) ผปู ระกอบการธุรกจิ ในการใหเชา สังหาริมทรพั ย เรียกเอาคา เชา (๗) บุคคลซึ่งมไิ ด เขา อยูในประเภทท่ีระบไุ วใ น (๑) แตเปนผูประกอบธรุ กิจในการดแู ลกิจการของผูอ น่ื หรอื รับทํา การงานตางๆ เรยี กเอาสนิ จางอันจะพึงไดร ับในการนั้น รวมทั้งเงินที่ไดออกทดรองไป (๘) ลกู จา งซึง่ รับใชก ารงานสว นบุคคล เรยี กเอาคา จางหรอื สนิ จา งอื่นเพอื่ การงานท่ีทํา รวมท้ังเงินท่ีไดออกทดรอง ไป หรอื นายจา งเรียกเอาคนื ซ่ึงเงนิ เชน วานนั้ ทต่ี นไดจายลวงหนาไป (๙) ลกู จางไมว า จะเปนลูกจา งประจาํ ลกู จางชว่ั คราว หรือลกู จา งรายวัน รวมทงั้ ผูฝก หัดงาน เรยี กเอาคา จางหรอื สนิ จา งอยางอื่น รวมท้งั เงินทไี่ ดอ อกทดรองไป หรือลูกจา งเรียกเอาคนื ซงึ่ เงนิ เชนวา น้นั ท่ตี นไดจา ยลว งหนาไป (๑๐) ครสู อนผฝู ก หดั งาน เรยี กเอาคา ฝก สอนและคา ใชจายอยางอนื่ ตามทไ่ี ดต กลงกนั ไว รวมท้งั เงนิ ท่ีไดออกทด รองไป (๑๑) เจาของสถานศึกษาหรอื สถานพยาบาลเรยี กเอาคา ธรรมเนียมการเรียน และคาธรรมเนียมอ่นื ๆ หรือคา รักษาพยาบาล และคา ใชจา ยอยา งอื่น รวมท้งั เงนิ ทไ่ี ดอ อกทดรองไป (๑๒) ผรู ับคนไวเ พือ่ การบาํ รงุ เล้ยี งดูหรือฝกสอน เรียกเอาคาการงานท่ที ําให รวมท้งั เงินที่ไดออกทดรองไป (๑๓) ผรู ับเล้ยี งหรือผฝู กสอนสตั ว เรยี กเอาคา การงานท่ที ําให รวมทัง้ เงนิ ท่ไี ดอ อกทดรองไป

53 (๑๔) ครูหรืออาจารยเรียกเอาคา สอน (๑๕) ผูประกอบวชิ าชพี เวชกรรม ทันตกรรม การพยาบาล การผดุงครรภ ผปู ระกอบการบําบดั โรค หรือผูประกอบ โรคศลิ ปะ สาขาอ่ืนๆ เรียกเอาคา การงานทที่ ําใหร วมทั้งเงินท่ีไดออกทดรองไป (๑๖) ทนายความหรือผปู ระกอบวชิ าชพี ทางกําหมายรวมทง้ั พยานผูเช่ยี วชาญเรยี กเอาคา การงานท่ที าํ ให รวมทง้ั เงนิ ทไ่ี ดอ อกทดรองไป หรือคคู วามเรยี กเอาคนื ซ่ึงเงินเชน วา น้นั ทตี่ นไดจา ยลวงหนาไป (๑๗) ผูประกอบวิชาชีพวิศวกรรม สถาปตยกรรม ผูส อบบัญชี หรอื ผูประกอบวิชาชพี อิสระอน่ื ๆ เรียกเอาคา การงาน ท่ที าํ ใหรวมท้ังเงนิ ท่ีไดออกทดรองไป หรอื ผวู า จางใหประกอบการงานดังกลาวเรยี กเอาคนื ซง่ึ เงนิ เชนวา น้นั ทต่ี นไดจ ายลว งหนาไป หนวยที่ 12 สัญญา : หลักท่วั ไป 1. สญั ญาเปน เร่อื งของกฎหมายเอกชน ซง่ึ มคี วามเกีย่ วพนั กบั กฎหมายในลักษณะนิติกรรม 2. สัญญาเปน ความตกลงระหวา งบคุ คลตั้งแต 2 ฝา ยข้ึนไป ซง่ึ มีวตั ถปุ ระสงคในอันทจ่ี ะกอใหเกิด ความผกู พันในทางกฎหมาย 3. คําเสนอคอื การแสดงเจตนาของคสู ัญญาฝา ยหนึง่ ตอบคุ คลอกี ฝายหนง่ึ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคในการ ท่ีจะทําสญั ญาผูกพันกนั 4. คาํ สนองคอื การแสดงเจตนาของคสู ญั ญาอกี ฝา ยหนึ่ง ท่ีตกลงยนิ ยอมเขาทําสญั ญากับผูทําคํา เสนอ 5. คาํ เสนอทมี่ ลี ักษณะเปนคํามนั่ ซึง่ ผูกพนั ผทู าํ คําเสนอแตฝายเดยี ว อนั อาจกอ ใหเ กดิ ผลผูกพนั ในทางกฎหมายได เชน สัญญา 6. คาํ มัน่ เปน การแสดงเจตนาฝายเดียวของผูใ หค าํ ม่ันและมีผลผกู พนั ผูใ หค าํ มัน่ 12.1 ขอ ความท่ัวไป 1. สญั ญาเปนสาขาหนึ่งของกฎหมายเอกชน 2. สัญญา คอื นิติกรรมประเภทหนึง่ ซ่งึ ตองนาํ หลักกฎหมายนิติกรรมมาใชบ ังคบั แกเรือ่ งของสัญญา เทาท่ีในเรอ่ื งของสัญญามิไดบ ญั ญตั ิไวเปนพิเศษ 12.1.1 สัญญากับกฎหมายเอกชน ท่ีวา สญั ญาเปนบทบัญญตั ิของกฎหมายในสาขาเอกชนนนั้ ทา นเขา ใจวา อยา งไร บทบญั ญัตขิ องกฎหมายในเรือ่ งของสัญญา เปน บทบญั ญตั ทิ ี่วา ดว ยความผกู พนั ในทางกฎหมายท่ี เอกชนท่วั ไปทอี่ ยูในฐานะเดยี วกนั สามารถทาํ ความตกลงกอ ใหเกดิ ขึ้นได 12.1.2 ความเกยี่ วพันระหวางกฎหมายลกั ษณะสัญญากับกฎหมายลักษณะนิตกิ รรม สญั ญามีความเกย่ี วพันกับนิตกิ รรมอยางไร สญั ญาเปน นิติกรรมประเภทหนง่ึ ท่ีเกิดจากการตกลงกอความผกู พนั ในทางกฎหมายระหวา งบคุ คล ตัง้ แตสองฝา ยข้นึ ไป ดงั น้นั หลกั ทวั่ ไปในเร่อื งของการทํานิตกิ รรมจงึ ตองนาํ มาใชบ ังคบั แกก รณกี ารทาํ สัญญาดวย เวน แตในเรอื่ งของสัญญาจะไดม บี ทบญั ญตั ใิ นเรือ่ งน้ันๆ ไวเปนพิเศษ 12.2 ลักษณะทั่วไปของสัญญา สญั ญา ตอ งมีบคุ คลตงั้ แต 2 ฝายข้นึ ไปแสดงเจตนาตกลงยินยอม โดยมวี ตั ถุประสงคอ ยา งหนึ่งอยาง ใดในการกอใหเ กิดผลผกู พนั ในทางกฎหมายขึ้น 12.2.1 ความหมายของสญั ญา ทานเขา ใจคาํ วา “สัญญา” วาอยางไร การใหค วามหมายของคําสญั ญาน้ันยังแตกตา งกันอยบู า งตามแนวความคดิ สําหรบั กฎหมายไทย น้นั สัญญานนั้ มคี วามหมายคอ นขา งกวา ง เพราะหมายถึงความตกลงระหวางบคุ คลต้ังแต 2 ฝา ย ทม่ี ีความ ประสงคท จ่ี ะกอ ใหเกดิ ผลผกู พันในทางกฎหมาย หรืออกี นยั หนงึ่ หมายถงึ นติ กิ รรมท่ีแสดงการแสดงเจตนา ของบุคคลต้ังแต 2 ฝายขนึ้ ไป 12.2.2 สาระสาํ คญั ของสญั ญา ทว่ี าสญั ญาตอ งเกดิ จากการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต 2 ฝา ยไปน้นั เพราะเหตุใดจึงใชค าํ วา “สองฝา ย” แทนที่จะใชค ําวา “สองคน” แสดงเจตนาทาํ นิติกรรมและสญั ญาน้นั กฎหมายไมไ ดค ํานงึ ถึงจาํ นวนตัวบคุ คลทแ่ี สดงเจตนาวามี สองคนหรอื กคี่ น หากแตคาํ นงึ ถึงการแสดงเจตนาทีไ่ ดม กี ารกระทาํ ออกมาแตล ะการแสดงเจตนาเปน สาํ คญั เพราะฉะนัน้ การแสดงเจตนาอนั หนึ่งนั้นอาจเกดิ จากการแสดงเจตนาของบคุ คลหลายๆคน ก็ได เชน กรณีของการแสดงเจตนาของผมู กี รรมสทิ ธริ์ วมในทรพั ยอ ันหนง่ึ อนั ใด หรอื การแสดงเจตนาของหา ง หนุ สวนจํากัดซงึ่ เปนนติ บิ คุ คลประกอบดว ยบคุ คลเปนจาํ นวนมาก

54 ทีว่ า การทาํ สญั ญา บคุ คลซ่ึงแสดงเจตนาตกลงกันจะตอ งมวี ตั ถุประสงคทจ่ี ะกอใหเกิดผลผกู พัน ในทางกฎหมายนัน้ “วตั ถปุ ระสงค” เชนวาน้ันคืออะไร หมายถงึ ความประสงคห รอื ความมงุ หมายทคี่ สู ญั ญาทง้ั หลาย ทีท่ าํ สญั ญาแตล ะลักษณะของ สัญญาจะพงึ ไดรบั จากการทาํ สญั ญานั้น เชน การตกลงทาํ สัญญาซอื้ ขายไมว า จะเปน สัญญาซอ้ื ขายสิง่ ใดๆ ยอมมวี ตั ถปุ ระสงคเปนการโอนกรรมสทิ ธิใ์ นทรพั ยส นิ ของเจา ของทรัพย คอื ผขู าย ใหกบั ผซู ้อื โดยผซู ื้อ จะตอ งชาํ ระราคาของส่งิ ของท่ีซอ้ื ขายกนั นน้ั หรอื สญั ญาเชาทรพั ยยอ มมวี ัตถุประสงคท ีเ่ จา ของทรพั ยให คูส ัญญาอกี ฝา ยหนงึ่ ไดใชประโยชนในทรพั ยข องตน โดยเจา ของทรพั ยไดค าเชาใชป ระโยชนเปนการ ตอบแทน 12.3 คําเสนอ 1. คําเสนอ คือ การแสดงเจตนาท่มี ีขอความชัดเจน แนนอนเพียงพอที่จะถือวาเปน ขอผูกพันถา หาก อกี ฝา ยหน่ึงตอบตกลงตามท่ีผูเสนอไดแ สดงเจตนาไป 2. คําเสนอตอบุคคลทอี่ ยูเฉพาะหนา และคําเสนอตอ บุคคลที่อยูหา งโดยระยะทาง มผี ลผกู พนั ผทู าํ คาํ เสนอในชวงระยะเวลาตามทีก่ ฎหมายบัญญตั ิ เวนแตจ ะเปนกรณีทีผ่ ูเ สนอกําหนดระยะเวลาท่ตี นผูกพัน ไวโดยเฉพาะ 3. ผูทําคําเสนอซ่งึ ถอนคาํ เสนอกอ นที่คําเสนอของตนส้ินความผูกพันจะตองรับผิดตอ บุคคลอน่ื ซงึ่ เปน ผูรบั คาํ เสนอและตองเสียหายจากการถอนคาํ เสนอนนั้ 12.3.1 การแสดงเจตนาเพ่อื ทําสัญญาโดยท่วั ไป แผนปลวิ โฆษณาของสินคาก็ดี ประกาศประกวดราคาของทางราชการกด็ ี มีผลในทางกฎหมาย หรอื ไมอยางไร ทั้งสองกรณมี ลี กั ษณะเปนการแสดงเจตนาเชิญชวน หรอื ทาบทามผูร บั การแสดงเจตนาทส่ี นใจ เพ่อื ใหแสดงเจตนาทําคาํ เสนอกบั ตนตอ ไป 12.3.2 ความหมายและลักษณะของคําเสนอ คาํ เสนอมีความหมายอยางไร คําเสนอคอื การแสดงเจตนาของคูส ญั ญาฝา ยหนึ่งทมี่ ีขอ ความชดั เจนแนน อน เพยี งพอทถี่ ือวา จะ เปนขอผกู พนั คูกรณอี ีกฝายหนง่ึ ได ถา คสู ัญญาซงึ่ ไดรบั การแสดงเจตนาน้ันตอบตกลงตามคาํ เสนอ ซงึ่ การแสดงเจตนาทาํ คาํ เสนอน้ันอาจเปน การแสดงเจตนาตอบคุ คลใดเปนการเฉพาะตวั เชน ทาํ คําเสนอตอ นาย ก หรอื เปน แสดงเจตนาตอ บุคคลทว่ั ไป เชน การขายตว๋ั ของโรงภาพยนตร หรือการแสดงเจตนารบั ขนสง ของรถยนตโดยสารขององคการขนสง มวลชนกรงุ เทพฯ 12.3.3 การทาํ คําเสนอตอบคุ คลทอี่ ยูเ ฉพาะหนา และการทําคาํ เสนอตอบุคคลทอี่ ยหู า ง โดยระยะทาง การแสดงเจตนาทาํ คาํ เสนอตอ บุคคลท่อี ยูเฉพาะหนากับการแสดงเจตนาทาํ คําเสนอตอบุคคลท่ี อยหู า งโดนระยะทางมีลักษณะตา งกนั อยางไร การแสดงเจตนาทาํ คาํ เสนอตอ บคุ คลท่ีอยเู ฉพาะหนา น้นั ผทู าํ คาํ เสนอสามารถแสดงเจตนาทาํ ความเขา ใจกบั คกู รณอี กี ฝา ยหนงึ่ ไดท นั ที เชน คกู รณนี ั่งคยุ กันอยูหรอื อาจจะอยูกันคนละจงั หวดั แตได แสดงเจตนาทาํ คาํ เสนอโดยการโทรศพั ทต ิดตอ ตกลงกนั แตการแสดงเจตนาทําคาํ เสนอตอ บคุ คลท่อี ยหู า ง โดยระยะทางนน้ั ผูท าํ คําเสนอไมสามารถแสดงเจตนาทาํ ความเขาใจกับคกู รณอี กี ฝา ยหน่งึ ไดท นั ที ซึง่ อาจ เน่ืองจากอยูหา งไกลกนั จําเปน ตอ งเขยี นจดหมายตดิ ตอ ถงึ กัน หรืออาจจะอยูบ า นตดิ กนั แตไ ดใ ชวธิ เี ขียน จดหมายลงทะเบยี นเพอ่ื ใหม หี ลกั ฐานในการรบั แสดงเจตนาทําใหไ มสามารถทาํ ความเขา ใจกนั ไดทันที 12.3.4 ผลผูกพนั ของคาํ เสนอ คําเสนอทผี่ ูท ําคาํ เสนอไดแสดงตอ คูกรณีอกี ฝา ยหนงึ่ นนั้ มผี ลผูกพันผูทําคาํ เสนอเพยี งใด แยกพิจารณาวาถาเปนคาํ เสนอตอ บคุ คลทบี่ ง ระยะเวลาใหท าํ คําสนอง คาํ เสนอนนั้ ยอ มผกู พนั ผูทํา คาํ เสนอตลอดระยะเวลาทบี่ ง ไวใ นคาํ เสนอ ถา เปนคาํ เสนอทไ่ี มไ ดบ ง ระยะเวลาใหท ําคาํ เสนอ จะตองแยกพิจารณาวา เปน คาํ เสนอทกี่ ระทาํ ตอ บุคคลท่ีอยเู ฉพาะหนา หรอื เปนคาํ เสนอทกี่ ระทาํ ตอ บคุ คลที่อยูหา งโดยระยะทาง ในกรณแี รกคาํ เสนอยอมมี ผลผูกพันทาํ คําเสนอ ณ สถานทแี่ ละในชว่ั ระยะทมี่ กี ารทาํ คาํ เสนอนนั้ สว นในกรณีหลังคําเสนอยอ มมผี ลผกู พนั ภายในระยะเวลาอันสมควรทีผ่ รู บั คาํ เสนอจะตอบสนอง คําเสนอนั้น แตอยา งไรก็ตาม ทง้ั สองกรณจี ะตอ งคาํ นงึ ถงึ สภาพลกั ษณะของคาํ เสนอตลอดจนพฤติการณ ทว่ั ไปในการทจี่ ะตอ งใชเ วลาในการตอบสนองพิจารณาประกอบกนั

55 12.3.5 ปญ หาความรับผิดของผทู ําคาํ เสนอในกรณผี เู สนอถอนคําเสนอของตนกอ นทค่ี าํ เสนอสนิ้ ความผกู พนั ในกรณที ผ่ี ูทําคาํ เสนอถอนคําเสนอของตนกอ นทีค่ ําเสนอจะส้นิ ความผกู พันตามมาตรา 354 มาตรา 355 หรือมาตรา 356 แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยในกรณีดงั กลา วผรู ับคําเสนอยงั มไิ ด ตอบสนอง ผูทาํ คําเสนอจะตอ งรบั ผดิ ในการถอนคาํ เสนอของตนหรอื ไม เพยี งใด ถาผรู บั คาํ เสนอตอ ง เสียหายจากการตระเตรยี มอะไร เพื่อตอบสนองทําสัญญา ยังมีความเห็นแตกตา งกนั อยูบ า ง ฝายหนึง่ เห็นวา เมอื่ ยงั ไมเ กดิ สญั ญา หากมคี วามเสียหายใดๆ เกดิ ขึ้นเปน เรอ่ื งทีจ่ ะตองพจิ ารณาจากหลักกฎหมายในเรือ่ งละเมดิ แตอ กี ฝา ยหนงึ่ เหน็ วา แมส ญั ญาจะยังไม เกิดแตไ ดม นี ิติกรรมฝา ยเดยี วเกดิ ขึน้ แลว เม่อื มกี ารฝาฝน ไมปฏบิ ตั ติ ามเจตนาของตนทีไ่ ดแ สดงไว จงึ ไมใชเปน เรอื่ งความรับผดิ ทางละเมดิ อยา งนอ ยถอื วา เปนความรบั ผดิ กอ นสัญญา 12.4 คาํ สนอง 1. คาํ สนองคือการแสดงเจตนาตอบตกลงเขา ทําสญั ญากบั ผูทาํ คาํ เสนอ 2. คําสนองทไี่ มต รงกบั คําเสนอ หรอื ท่ีสงมาลวงเวลา คาํ สนองน้ันมผี ลเปน คาํ เสนอของผูทําคาํ สนองน้นั ข้ึนมาใหม 3. คําสนองลวงเวลาทม่ี ิไดเ กดิ ขึ้นเพราะความผดิ ของผสู นองเองมผี ลทําใหคําสนองน้ันเปน คําสนอง ที่มผี ลสมบรู ณได 12.4.1 ความหมายและลกั ษณะของคาํ สนอง คําสนองมีความหมายอยางไร คําสนองคอื การแสดงเจตนาของบคุ คลผไู ดรบั คําเสนอในการตอบรบั ทาํ สญั ญาตามคําเสนอโดยมี ขอความตรงคําเสนอ 12.4.2 คําสนองที่ไมต รงกับคําเสนอ คําสนองทไี่ มตรงกับคําเสนอคืออะไร มผี ลในกฎหมายอยา งไร คําสนองท่ไี มต รงกับคาํ เสนอคอื คาํ สนองทม่ี ใี จความแตกตา งเปล่ยี นแปลงไปจากคาํ เสนอไมวา จะ โดยมขี อ ความเพ่มิ เตมิ มีขอ จาํ กัดหรอื มีขอ แกไ ขไปจากคาํ เสนอท่มี มี าถงึ ตน ซ่ึงตามกฎหมายถอื วา คาํ สนองดังกลาวมผี ลเปน คาํ บอกปดไมร บั คาํ เสนอ และถือวา เปนคําเสนอขน้ึ ใหมในตัว แตท ่ีจะมผี ลเปน คาํ เสนอข้ึนใหมใ นตวั น้นั คาํ สนองน้นั จะตองเปนการแสดงเจตนาทโ่ี ดยเนือ้ หาสาระของคาํ สนองท่มี ีไปน้ันมี ลกั ษณะสมบรู ณทจ่ี ะเปน คําเสนอไดในตัวเองดว ย 12.4.3 คาํ สนองลวงเวลา คําสนองลวงเวลาหมายความวาอยางไร และมผี ลในกฎหมายอยางไร คาํ สนองลว งเวลาคอื คาํ สนองซึ่งผูทาํ คําสนองไดแ สดงเจตนาตอบตกลงทาํ สญั ญาแตม ไิ ดไปถงึ ผูทาํ คาํ เสนอภายในกาํ หนดเวลาตามทกี่ าํ หนดไวใ นมาตรา 354 มาตรา 355 หรอื มาตรา 356 แหง ประมวล กฎหมายแพง และพาณชิ ย แลว แตละกรณี กฎหมายถอื วา คําสนองที่ลว งเวลาน้ัน มีผลเปน คาํ เสนอข้นึ ใหม ในตวั ซ่งึ การท่คี าํ สนองจะมผี ลเปนคําเสนอข้ึนใหมในตวั จะตอ งมีลกั ษณะเชน เดยี วกบั คาํ สนองทไี่ มต รงกบั คาํ เสนอคอื คาํ สนองน้นั โดยเนือ้ หาสาระของคาํ สนองนนั้ มีลักษณะสมบูรณท จ่ี ะเปนคาํ เสนอไดในตวั เองดว ย คาํ สนองลว งเวลานั้นกฎหมายถอื วาเปน คําเสนอข้ึนใหมในตวั เสมอไป หรอื ไม เพียงใด คําสนองลว งเวลานัน้ กฎหมายถอื วา เปนคาํ เสนอขึ้นใหมใ นตัวน้ัน ไมเสมอไป ถา เปน คาํ สนองทสี่ ง มาลวงเวลาแตเ ปน ทปี่ รากฏชดั วา คําบอกกลา วสนองนนั้ ไดโดยสงวถิ ที างตามปกติ ซงึ่ ควรจะไดม าถงึ ภายในกําหนดเวลา แตเพราะเหตเุ ชนน้ําทว ม หรอื พนกั งานไปรษณยี จ ัดแยกจดหมายผดิ ทําใหส ง จดหมายไมไดห รอื ลา ชา กวาปกตทิ าํ ใหผ ูทาํ คาํ เสนอไมไ ดร บั คาํ สนองภายในเวลาอนั ควรไดร บั ใน กาํ หนดเวลา กฎหมายบญั ญัติใหผเู สนอตอ งบอกกลาวใหผ ูรบั คาํ เสนอน้นั ทราบโดยพลนั (หรอื อาจจะได บอกกอ นแลว เชน เมอ่ื เลยเวลาอนั ควรไดร บั คําสนอง จงึ ไดไปใหท ราบวา ไมไ ดรบั คาํ สนองภายในกาํ หนด ) ซงึ่ ถา ผทู าํ คาํ เสนอบอกกลา วเชนนีแ้ ลว คําสนองลว งเวลาน้นั จงึ จะไมม ีผลกอ ใหเ กดิ สญั ญา และถอื วา เปน คําเสนอข้ึนใหมในตัว ถา ผทู ําคําเสนอไมบ อกกลา วผทู าํ คาํ สนองโดยพลัน กฎหมายถอื วา คาํ สนองนน้ั ไม ลว งเวลา ซงึ่ หากคาํ สนองนัน้ มคี วามสมบรู ณในฐานะเปน คาํ สนองกท็ าํ ใหเกดิ สญั ญาข้ึนได 12.5 คํามั่น การแสดงเจตนาของผูทําคําเสนอซง่ึ กระทําตอบุคคลท่ัวไปในลักษณะที่ผกู พันผูทําคําเสนอแตฝ า ย เดียว ซงึ่ ไดแ ก กรณีคาํ มนั่ จะใหร างวลั ในกรณีท่มี ผี กู ระทําการอยา งหนึง่ อยา งใดไดสาํ เรจ็ ตามมาตรา 362 และคํามน่ั จะใหร างวัลในการประกวดชงิ รางวลั ตามมาตรา 365 มผี ลทําใหผูซ่ึงกระทําการไดต ามทมี่ กี าร ใหค าํ มัน่ ไว ไดรบั รางวลั อันมีผลบงั คบั ไดดั่งสัญญา

56 12.5.1 คําม่ันจะใหร างวลั ในกรณีทมี่ ีผูก ระทําการอยางหนง่ึ อยา งใดไดส าํ เร็จ คําม่ันในการใหรางวลั กับคาํ มนั่ ในการประกวดชงิ รางวลั ตา งกบั คาํ เสนอหรือไมอ ยางไร และตา ง จากคํามัน่ ประเภทอื่นๆอยา งไร คํามน่ั ตามนัยที่กลา วขางตน เปน การแสดงเจตนาอนั เปน นิติกรรมฝา ยเดยี ว ซึ่งผแู สดงเจตนา ประกาศแกบคุ คลทว่ั ไป ผูกพนั ตนเองในการทจ่ี ะใหร างวลั แกผูกระทาํ ตามท่ีไดแ สดงเจตนาประกาศ โฆษณาไว ทง้ั นแี้ มถึงวา ผกู ระทาํ การนัน้ จะไมไ ดมงุ หวงั ในรางวัลก็ตาม คํามน่ั ดงั กลา วยอ มแตกตางจากคาํ ม่ันจะซื้อจะขายซึ่งเปนเร่ืองของสญั ญาหรือนติ กิ รรมสองฝาย ซงึ่ เมอ่ื ผูไดร บั คาํ มน่ั ไดแสดงเจตนาตอบตกลงจะซอื้ หรอื จะขาย สญั ญาก็ยอ มเกดิ ขนึ้ 12.5.2 คาํ มน่ั จะใหร างวลั ในการประกวดชิงรางวลั ระหวางคาํ ม่นั จะใหร างวลั ตามมาตรา 362 กบั คําม่ันในการประกวดชงิ รางวัลตามมาตรา 365 มขี อ แตกตางในสาระสาํ คญั อยา งไร คํามั่นจะใหร างวลั น้นั ผใู หคาํ ม่ันมงุ ใหค วามสําเรจ็ ของการกระทาํ อยางใดอยางหนึ่งตามที่ตนได ประกาศโฆษณาไว เชน จบั ผรู า ยไดห รอื หากระเปาสตางคท ท่ี าํ หายไวพ บ เปน ตน แตค าํ ม่ันในการประกวด ชงิ รางวลั นัน้ ผใู หคาํ ม่ันตอ งการใหบ คุ คลหลายๆคนมาทาํ การแขงขนั กันในเรอื่ งใดเรอ่ื งหนงึ่ ซึ่งใครทมี่ ี ความสามารถหรอื ทาํ ไดด กี วา คนอ่นื ยอมมสี ิทธไิ ดร ับรางวลั เชน คาํ ท่ันในการประกวดภาพเขียน หรือ ประกวดนางงาม เปน ตน แบบประเมนิ ผล หนว ยท่ี 12 สัญญา : หลักทวั่ ไป ความหมายของสญั ญา คือ การทบี่ คุ คลสองฝา ยแสดงเจตนาทํานิติกรรมโดยมีคาํ เสนอและคาํ สนอง ซึง่ มีความ ประสงคตกลงตรงกนั ในอันทจี่ ะกอใหเ กดิ นติ ิสมั พันธอ ยางหน่งึ อยา งใดขนึ้ สัญญา เปน นิตกิ รรมซง่ึ เกิดข้ึนโดยการแสดงเจตนาของบคุ คลหลายฝายอันกอ ใหเ กิดมหี น้ี สญั ญา ไดแกก ารแสดงเจตนาระหวา งบุคคลตั้งแตสองฝา ยข้นึ ไป ซ่งึ แสดงเจตนาตอกันและกัน สัญญา เปน นติ กิ รรมสองฝายเกิดขนึ้ โดยการแสดงเจตนาของคูสญั ญา และเพอื่ ตกลงมุง ตอผลในกฎหมาย สําหรับกรณี ของสญั ญานตี้ อ งเปนชนิดท่กี อใหเ กิดหนี้ มาตรา 149 นติ กิ รรมหมายความวา การใดๆ อันทําลงไปโดยชอบดวยกําหมายและดว ยใจสมัครมุงโดยตรงตอการผูก นิติสัมพันธข ้นึ ระหวางบุคคล เพือ่ จะกอ เปลีย่ นแปลง โอน สงวน หรือระงับซง่ึ สทิ ธิ สญั ญานั้น เปนการแสดงเจตนาของบุคคลต้งั แตสองฝายขนึ้ ไปทีม่ งุ ตอการกอ ใหเ กิดผลในทางกําหมายอันไดแ กหนี้ ตามท่ีคูสญั ญาประสงค จาํ แนกสาระสาํ คัญของความหมายของสญั ญาไดเปน 3 ประการ ประการทหี่ นง่ึ สัญญาตอ งมีบคุ คลสองฝา ย สญั ญานน้ั จะตอ งเกิดข้ึนจากการแสดงเจตนาของบคุ คลตัง้ แตสองฝายขึน้ ไป เสมอ ถา ไมม คี ูส ญั ญาหรือบุคคลสองฝายแลว จะไมม ีทางเกดิ เปน สัญญาขึ้นได ประการทสี่ อง ตองมีการแสดงเจตนาอันมกี ารยนิ ยอมของบุคคลสองฝาย ท้ังสองฝายมคี วามตกลงเหน็ ชอบเปน อนั หน่ึง อันเดียวกนั ทีเ่ รียกวา มีความตกลงยนิ ยอมกัน ประการทสี่ าม ความตกลงยนิ ยอมของบคุ คลสองฝา ยแมจะเปนเรอ่ื งซ่งึ มคี วามถกู ตองตรงกัน แตความตกลงยินยอมเชน วา น้นั จะตองเปน เร่อื งซึง่ คูสัญญาทั้งสองฝายนนั้ มวี ตั ถุประสงคท ี่จะกอ ใหเกิดผลผกู พันในทางกฎหมายตามทีส่ องฝา ยตองการ คําเสนอ เปน การแสดงเจตนาของฝายหน่ึงซึ่งตอ งการจะเขาทาํ สญั ญากับอกี ฝา ยหนงึ่ เราเรียกการแสดงเจตนาของฝา ย นั้นวา เปน “คาํ เสนอ” คาํ สนอง การแสดงเจตนาของผูซ ึง่ ประสงคจะตกลงยินยอมตอบรบั เขา ทําสัญญากับฝายทีแ่ สดงเจตนาเสนอมา เรา เรยี กวา “คาํ สนอง” มาตรา 355 บุคคลทาํ คาํ เสนอไปยังผูอนื่ ซึง่ อยูห า งกันโดยระยะทาง และมไิ ดบ งระยะเวลาใหทําคําสนอง จะถอนคํา เสนอของตนเสียภายในเวลาอนั ควรคาดหมายวาจะไดรบั คาํ บอกกลาวสนองนั้น ทานวา หาอาจถอนไดไ ม มาตรา 356 คาํ เสนอทาํ แกบุคคลผอู ยูเฉพาะหนา โดยมิไดบง ระยะเวลาเวลาใหทําคําสนองนั้น เสนอ ณ ทใ่ี ดเวลาใดก็ ยอ มจะสนองรับไดแ ต ณ ทน่ี น้ั เวลาน้นั ความขอนท้ี า นใหใชต ลอดถงึ การทีบ่ ุคคลคนหนงึ่ ทําคําเสนอไปยงั บคุ คลอีกคนหนึง่ ทาง โทรศัพทดวย 1. กฎหมายวา ดว ยสญั ญาเปน สว นหนึ่งของกฎหมาย ในสาขาเอกชน 2. ความหมายของสัญญา คือ นิตกิ รรมสองฝา ยเกดิ ข้นึ โดยการแสดงเจตนาของคสู ญั ญา 3. คาํ เสนอ เปน ความหมายของการแสดงเจตนาท่มี ีขอ ความชดั เจนพอทจี่ ะถอื วา เปนความผกู พัน ถา หากอกี ฝายหน่งึ ตอบตกลงตามที่มผี ูเสนอไดแสดงเจตนาไป 4. ผลตามกฎหมายของกรณีคําสนองทไี่ มตรงกบั คาํ เสนอ ถือเปนคําสนองลว งเวลา 5. หลกั เสรภี าพในการทาํ สัญญา หมายความวา คูสญั ญาสามารถจะทาํ สญั ญาผกู พันกนั ได ภายในของ เขตทกี่ ฎหมายกําหนด 6. การโฆษณาขายสนิ คา ทางหนงั สอื พมิ พมผี ลในทางกฎหมาย ไมมผี ลในทางกฎหมาย เพราะเปน เพยี ง เจตนาเชิญชวน 7. คาํ เสนอท่ีทาํ ตอ บุคคลเฉพาะของมผี ลเมอื่ ผรู ับคาํ เสนอทราบถงึ เจตนาของผูเ สนอ 8. คาํ สนอง เปนความหมายของการแสดงเจตนาตอบตกลงเขา ทําสญั ญากบั ผูแสดงเจตนาอีกฝายหนึง่ 9. คาํ เสนอขนึ้ ใหม เปนกรณีท่คี าํ สนองไมตรงกบั คําเสนอ

57 10. ลักษณะของคํามนั่ จะใหร างวลั เปน นติ กิ รรมฝา ยเดยี วทผ่ี ใู หคาํ มน่ั แสดงเจตนาประกาศตอ บคุ คล ท่ัวไป 11. เมือ่ คําสนองตอบขอ ความถูกตอ งตรงกับคาํ เสนอและไดก ระทําภายในระยะเวลายอ ม เกิดสัญญา ใน กฎหมาย 12. เม่อื คาํ สนองตอบขอความถกู ตองตรงกบั คาํ เสนอและไดก ระทาํ ภายในระยะเวลายอ มเกิดผล เกิดสญั ญา 13. โทรศพั ททางไกลจากกรุงเทพฯ ทาํ คาํ เสนอขายบา นใหบ คุ คลทอ่ี ยเู ชียงใหม ถอื วา เปนกรณคี าํ เสนอ ตอบคุ คลอยูเฉพาะหนา (มาตรา 168 การแสดงเจตนาทกี่ ระทาํ ตอ บุคคลซึง่ อยูเฉพาะหนา ใหถ อื วามีผลนับแตผูไดร บั การแสดงเจตนาไดท ราบ การแสดงเจตนานั้น ความขอนใ้ี หใชตลอดถึงการท่บี ุคคลหน่งึ แสดงเจตนาไปยงั บุคคลอีกบคุ คลหน่งึ โดยทางโทรศัพท หรอื โดย เครื่องมือสอื่ สารอยา งอน่ื หรอื โดยวธิ อี ่ืนซึง่ สามารถติดตอถงึ กนั ไดทํานองเดียวกนั ) 14. รถประจาํ ทางวง่ิ รับสง คนโดยสาร ถือเปน คาํ เสนอ 15. สญั ญามคี วามเกี่ยวขอ งกับนติ กิ รรมคอื สญั ญาเปน นติ กิ รรมประเภทหน่ึง 16. ลกั ษณะของคาํ มั่นจะใหร างวลั เปนนติ ิกรรมฝายเดยี วท่ผี ใู หคาํ ม่ันแสดงเจตนาประกาศตอ บคุ คลทวั่ ไป หนวยที่ 13 การเกดิ การตีความและประเภทของสัญญา 1. สญั ญาเกดิ ขน้ึ เมือ่ มีความตกลงยนิ ยอมกันข้นึ ระหวางบุคคลผทู าํ คาํ เสนอและผทู ําคําสนอง 2. สัญญาตอ งตคี วามตามหลกั การตีความในเรื่องนติ ิกรรม ตามมาตรา 171 และตองพจิ ารณาตาม ความมงุ หมายของสัญญาในทางสจุ รติ โดยพเิ คราะหถ งึ ปกติประเพณีดวย คือ มาตรา 368 3. สัญญาแบงออกเปนประเภทตา งๆ ไดด ังตอไปน้ีคือ สัญญาตา งตอบแทน และสัญญาไมต า งตอบ แทน สญั ญามีคาตางตอบแทน และสญั ญาไมมีคาตา งตอบแทน สัญญาประธาน และสัญญาอุปกรณ สัญญามชี อ่ื (เอกเทศสญั ญา) และสัญญาไมมชี ่ือ สัญญาทมี่ ลี กั ษณะผูกมัดโดยเง่อื นไขท่ีผูเ สนอกําหนด สญั ญาเพ่อื ประโยชนบุคคลภายนอก 13.1 การเกดิ สญั ญา 1. สญั ญายอมเกิดข้นึ เมือ่ คําสนองตอบมขี อความถูกตองตรงกันกบั คําเสนอและไดกระทาํ ภายใน ระยะเวลา เวน แตในบางกรณที ่กี ฎหมายใหถอื วาสญั ญาเกดิ ขน้ึ ไดเ ม่อื มกี ารกระทาํ อยางหนงึ่ อยา งใดโดยมิ ตองตอบตกลงเปนคําสนอง 2. ในกรณที ี่คสู ัญญายังมไิ ดต กลงกันในขอ สาระสาํ คญั ทุกขอ หรอื ในกรณที คี่ สู ญั ญาตกลงกนั วาจะ ทาํ สญั ญาเปน หนงั สอื และยังมไิ ดม ีการทําเปนหนงั สอื กฎหมายใหสนั นษิ ฐานวาสัญญายังไมเกิดขน้ึ 13.1.1 การเกิดของสัญญาที่ทาํ ขนึ้ ระหวา งบุคคลที่อยูห างโดยระยะทาง ในกรณีการทําสัญญาตอ บุคคลทอ่ี ยหู า งโดยระยะทางนนั้ สัญญาเกิดขนึ้ เม่อื ใด สัญญายอ มเกดิ ข้ึนเม่ือคําสนองไปถงึ ผทู าํ คาํ เสนอ ซึ่งเปน ไปตามหลกั หรอื ทฤษฎีวา การแสดง เจตนามผี ลตามกฎหมายเมอื่ ใด สาํ หรบั กรณีตามทม่ี คี าํ ถาม คงเปนไปตามทฤษฎีในขอทถ่ี อื วาการแสดง เจตนาจะมีผลตามที่ตอ งการ เมอื่ ผตู อ งการจะสงการแสดงเจตนาไปถึงไดร บั การแสดงเจตนานั้นแลว อันมี ความหมายวาคําสนองที่สงไปถึงผรู บั หรอื อกี นัยหนึ่ง การแสดงเจตนานั้นอยูในอํานาจของผรู บั การแสดง เจตนาจะทราบได ทงั้ น้โี ดยไมค าํ นงึ วาผรู บั จะตองไดร บั ทราบถึงการแสดงเจตนานนั้ แลวจริงหรอื ไม ในกรณที ี่หลงั จากผูทาํ คําเสนอไดสงคําเสนอไปยังผรู ับคําเสนอ แตกอนท่กี ารแสดงเจตนาเสนอ จะไปถึงผูรบั คําเสนอ ปรากฏวา ผูทําคําเสนอตาย หรอื ศาลส่ังใหผ นู ั้นเปนคนไรค วามสามารถหรือคน เสมือนไรค วามสามารถ อยากทราบวา การแสดงเจตนาทําคําเสนอนั้นถาในที่สดุ ไปถึงผรู บั คาํ เสนอ จะมผี ล อยางไรหรอื ไม ในเรอื่ งน้ี บทบัญญตั ิของสญั ญามาตรา 360 ปพพ. ไดบญั ญัตแิ ตกตางไปจากหลักทว่ั ไปในเรอื่ ง ของนติ กิ รรม กลา วคอื โดยทั่วไปแลว คงเปน ไปตามหลกั ทบี่ ญั ญตั ิในมาตรา 169 วรรค 2 แหง ปพพ. ซึง่ เปนหลักทว่ั ไปของนิตกิ รรมซง่ึ วางหลกั ไวแ ลว ในกรณดี ังกลาวไมเ ปนเหตุใหความสมบูรณแหง การอสดง เจตนาตอ งเสอื่ มเสียไป แตใ นเร่อื งของสญั ญาน้ันมขี อ ยกเวน วา เวน เสยี แตกรณีนนั้ จะขัดกบั เจตนาทผ่ี ทู ํา คําสนองไดแสดงไว คอื ผทู ําคาํ เสนอประสงคจ ะตกลงผกู พนั แตเ ฉพาะกบั ตนซงึ่ เปนผทู าํ คาํ เสนอเทา นนั้ หรอื อกี ประการหนึง่ ถา ผรู บั คําเสนอกอ นทจี่ ะตอบสนองไดร แู ลว วา ผทู าํ คาํ เสนอตายหรอื ตกเปน ผไู ร ความสามารถ กฎหมายจงึ บญั ญตั วิ า คาํ เสนอนนั้ ไมม ีผลตามกฎหมายเปน คาํ เสนอ 13.1.2 การเกดิ ของสญั ญาทท่ี ําขนึ้ ระหวา งบุคคลท่อี ยูเฉพาะหนา การแสดงเจตนาตอบคุ คลทอี่ ยูเฉพาะหมายความวา อยางไร การแสดงเจตนาตอ บคุ คลทอ่ี ยูเฉพาะหนาหมายความวา เปน การแสดงเจตนาตอคูกรณอี ีกฝาย หน่ึงในลักษณะทีส่ ามารถทําความเขา ใจไดทันที่ โดยไมตองคาํ นงึ ถงึ ระยะทางใกล-ไกล และกฎหมายให รวมการแสดงเจตนาทางโทรศัพทได

58 13.1.3 กรณีท่สี ญั ญาเกิดข้ึนโดยไมตองมคี าํ บอกกลา วสนอง ในกรณีใดบา งท่สี ญั ญาเกดิ ข้ึนโดยไมต อ งมีคําบอกกลาว สัญญาในบางกรณอี าจเกิดไดโดยไมต อ งมีคําสนอง ซงึ่ ไดในกรณซี งึ่ ตามปกตปิ ระเพณไี ม จาํ เปนตอ งมคี าํ สนอง หรอื เปนกรณที ี่ผูเสนอไดแ สดงเจตนาไว 13.1.4 กรณีท่ีกฎหมายสันนิษฐานวา สัญญายังไมเ กดิ ขึน้ มีกรณใี ดบางท่คี สู ัญญาไดแสดงเจตนาทาํ คาํ เสนอและคําสนองถูกตองกันแลว แตกฎหมายยงั สันนษิ ฐานวาสญั ญายังไมเ กดิ ขึ้น ตามทีก่ ฎหมายบัญญัติไวจะเหน็ วา มีอยู 2 กรณี คอื กรณตี ามมาตรา 366 และกรณตี ามมาตรา 367 ซง่ึ ไดแกกรณที ค่ี ูส ัญญายงั ไมไ ดตกลงกนั ในขอ ที่คสู ญั ญาถอื วา เปน ขอสาระสาํ คญั บางขอ กบั กรณีที่ คสู ญั ญาตกลงกนั วา สัญญาท่ที าํ กนั น้ันจะตอ งทาํ เปนหนงั สอื เมอื่ ยังมิไดม กี ารทาํ เปนหนงั สอื กฎหมาย สนั นษิ ฐานวาสญั ญายงั มไิ ดเ กดิ เกิดขนึ้ 13.2 การตีความสัญญา การตีความสญั ญาน้นั ตองคนหาเจตนาทีแ่ ทจรงิ ของการแสดงเจตนาของคสู ัญญาที่ทาํ กันขึ้น และ ตอ งตีความการแสดงเจตนาหรือความตกลงนนั้ โดยคํานงึ ถึงความสุจริตของคสู ัญญา ประกอบกบั ปกติ ประเพณีท่ปี ระพฤตปิ ฏิบตั ิกนั ในเรอื่ งนน้ั ๆ ดวย 13.2.1 การตีความสัญญา กับการตีความนิติกรรม การตคี วามสญั ญามีขอแตกตางจากการตีความนิติกรรมอยางไรบา ง การตคี วามสญั ญาคงยดึ หลักในเรือ่ งการตีความนติ กิ รรมตามทบ่ี ัญญตั ิไวใ นมาตรา 368 แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย คอื เพง เล็งเจตนาแทจ ริงยิง่ กวา ถอยคาํ สาํ นวนตามตัวอกั ษร แต นอกจากนัน้ แลวในการพิจารณาถงึ ประเพณีท่ีแทจ รงิ ของคสู ญั ญาน้ัน จะตอ งพิจารณาตคี วามไปในทางท่ี สุจรติ โดยคาํ นงึ ถงึ ปกติประเพณีทคี่ สู ญั ญาพึงประพฤตปิ ฏบิ ตั ิกนั ในเรอ่ื งนั้นๆ ประกอบดว ย 13.2.2 ความหมายของความประสงคในทางสจุ ริตและปกติประเพณีกับการตคี วามสญั ญา การตคี วามสญั ญานั้นตองอาศัยหลกั เรื่องสจุ รติ ท้งั ตอ งคํานงึ ถึงปกติประเพณดี วย มคี วามหมาย อยา งไร การตคี วามสญั ญานนั้ ตองคาํ นงึ ถงึ ความตองการของคสู ญั ญาโดยสจุ ริต และตอ งคาํ นงึ ถงึ ปกติ ประเพณคี อื ขอ ปฏบิ ตั ิทว่ั ไปในทางธุรกจิ การดงั นนั้ ๆ ดวย 13.3 ประเภทตางๆ ของสัญญา 1. สัญญาตา งตอบแทน คือสัญญาซงึ่ กอใหเกิดหน้รี ะหวา งคูสัญญาทัง้ 2 ฝาย ซ่ึงจะตอ งกระทําตอบ แทนซงึ่ กันและกัน สว นสัญญาไมตา งตอบแทนนน้ั ยอมกอ ใหเ กิดหนี้จากคูส ญั ญาแตฝา ยใดฝา ยหนง่ึ แต ฝา ยเดยี ว 2. สญั ญามีตา งตอบแทน คอื สญั ญาซ่งึ มคี สู ญั ญาท้งั สองฝาย ตา งไดร บั ประโยชนในทางทรพั ยส ิน เปน การแลกเปล่ียนตอบแทนกัน สว นสัญญามามีคาตางตอบแทนน้ัน คสู ญั ญาแตฝ า ยหน่งึ ฝายเดยี วไดรบั ประโยชนในทางทรพั ยสนิ เปน การตอบแทน 3. สญั ญาอปุ กรณ เปนสัญญาซง่ึ เปน สวนประกอบ หรอื สวนหนง่ึ ของสญั ญาประธาน สัญญาประธาน คอื สัญญาซ่งึ มีความสมบูรณใ นตวั ของสัญญานัน้ เอง 4. สัญญามชี ื่อ คือสญั ญาซ่ึงประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย บรรพ 3 ไดก าํ หนดลกั ษณะการเกิด ของสัญญาน้ันๆ ไวเปน พิเศษ สวนสัญญาอืน่ ใดท่มี ิไดม ีกฎหมายบัญญัติไวโ ดยเฉพาะก็เปน สัญญาไมมีชือ่ 5. สญั ญาที่มลี กั ษณะผูกมดั โดยเง่อื นไขท่ีผูเ สนอกาํ หนด ไดแ ก สญั ญาซง่ึ คสู ญั ญาฝา ยหนึ่งได กําหนดขอตกลงไวในลักษณะเปน แบบที่ผูกพนั คสู ญั ญาอกี ฝายหนง่ึ ในลกั ษณะซึ่งคสู ัญญาอกี ฝายหน่งึ น้นั ไมม ีสวนรว มในการตอ รอง หรือเจรจารายละเอียดในการตกลงนัน้ 6. สญั ญาเพื่อประโยชนบุคคลภายนอก คือสัญญาซ่งึ บุคคลภายนอกท่ีมใิ ชเปน คสู ญั ญาไดรับ ประโยชนจากผลของสัญญาทเี่ กิดขึน้ 13.3.1 สญั ญาตางตอบแทนและสญั ญาไมต างตอบแทน สัญญาตา งตอบแทนและสัญญาไมตางตอบแทน คอื อะไร สัญญาตางตอบแทน คอื สัญญาซ่ึงกอใหเ กดิ หน้ีระหวางคูส ญั ญาทง้ั สองฝา ย ซง่ึ จะตอ งกระทาํ ตอบแทนซงึ่ กนั และกัน สว นสญั ญาไมต า งตอบแทนน้ัน ยอมกอ ใหเ กดิ หน้ีจากคูส ญั ญาแตฝ า ยใดฝา ยหนึง่ แตฝายเดยี ว 13.3.2 สัญญาท่มี คี าตา งตอบแทน และสญั ญาทไี่ มมคี าตางตอบแทน

59 สญั ญามคี า ตอบแทนและสัญญาไมม คี า ตอบแทน คอื อะไร สัญญามคี า ตา งตอบแทน คือสัญญาซ่ึงมีคูสัญญาทงั้ สองฝา ย ตา งไดรับประโยชนในทางทรพั ยส ิน เปนการแลกเปล่ียนตอบแทนกัน สวนสญั ญาไมมีคา ตอบแทนน้ัน คูสัญญาแตฝ ายหนง่ึ ฝา ยเดียวไดร ับ ประโยชนในทางทรพั ยส ินเปน การตอบแทน 13.3.3 สัญญาประธาน และสัญญาอปุ กรณ สญั ญาประธานและสัญญาอปุ กรณค อื อะไร สญั ญาอปุ กรณเ ปนสญั ญาซึง่ เปน สว นประกอบ หรอื สว นหนึง่ ของสัญญาประธาน สัญญาประธาน คอื สัญญาซง่ึ มคี วามสมบรู ณในตวั ของสัญญาน้นั เอง 13.3.4 สัญญามีช่อื (เอกเทศสัญญา) และสัญญาไมมีช่ือ สัญญามชี ่อื และสญั ญาไมม ีชอ่ื คืออะไร สัญญามีชอื่ คือสัญญาซึง่ ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย บรรพ 3 ไดก าํ หนดลกั ษณะการเกิด ของสญั ญานน้ั ๆ ไวเปน พิเศษ สว นสัญญาอน่ื ใดทีม่ ไิ ดมกี ฎหมายบัญญตั ิไวโดยเฉพาะก็เปนสญั ญาไมม ชี อื่ 13.3.5 สญั ญาท่ีมีลกั ษณะผูกมัดโดยเงือ่ นไขทีผ่ ูเสนอกําหนด (Contract of Adhesion) สัญญาทม่ี ลี ักษณะผูกพันโดยเง่ือนไขท่ีผเู สนอกําหนดคอื อะไร สญั ญาทีม่ ีลกั ษณะผกู มดั โดยเง่ือนไขทผี่ ูเ สนอกาํ หนด ไดแ ก สญั ญาซงึ่ คสู ญั ญาฝา ยหนึ่งได กาํ หนดขอ ตกลงไวในลักษณะเปน แบบทผี่ กู พนั คูสัญญาอกี ฝา ยหนง่ึ ในลักษณะซงึ่ คูส ญั ญาอกี ฝา ยหนง่ึ น้นั ไมม สี ว นรว มในการตอ รองหรอื เจรจารายละเอยี ดในการตกลงนัน้ 13.3.6 สัญญาเพอ่ื ประโยชนบ ุคคลภายนอก สญั ญาเพื่อประโยชนบ คุ คลภายนอกคืออะไร สญั ญาเพื่อประโยชนบคุ คลภายนอก คอื สญั ญาซึง่ บคุ คลภายนอกท่ีมใิ ชเ ปน คสู ญั ญาไดร ับ ประโยชนจากผลของสัญญาทเี่ กดิ ขนึ้ แบบประเมินผล หนวยที่ 13 การเกิด การตคี วามและประเภทของสญั ญา มาตรา 356 คําเสนอทําแกบ คุ คลผอู ยูเฉพาะหนา โดยมไิ ดบ งระยะเวลาใหทาํ คาํ สนองนนั้ เสนอ ณ ทใี่ ดเวลาใดก็ยอ มจะ สนองรับไดแต ณ ทีน่ ้นั เวลานัน้ ความขอ นีท้ า นใหใชต ลอดถงึ ถงึ การทีบ่ ุคคลคนหนง่ึ ทําคําเสนอไปยังบุคคลอกี คนหนงึ่ ทาง โทรศัพทดวย มาตรา 358 ถา คําบอกกลาวสนองมาถงึ ลว งเวลา แตเปน ทเ่ี ห็นประจักษว า คาํ บอกกลาวนัน้ ไดส งโดยทางการซึง่ ตามปกตคิ วรจะมาถงึ ภายในเวลากาํ หนดแลวไซร ผเู สนอตอ งบอกกลาวแกคูกรณอี ีกฝา ยหน่งึ โดยพลนั วา คําสนองนนั้ มาถึงเน่นิ ชา เวน แตจะไดบอกกลา วเชนนนั้ กอ นแลว ถาผูเ สนอละเลยไมบ อกกลา วดังวามาในวรรคตน ทา นใหถ อื วาคําบอกกลาวสนองนั้นมไิ ดลวงเวลา มาตรา 359 ถา คาํ สนองมาถึงลวงเวลา ทานใหถือวาคําสนองนน้ั กลายเปน คาํ เสนอขนึ้ ใหม คาํ สนองอนั มีขอความเพิ่มเติม มีขอจํากัด หรอื มขี อแกไ ขอยางอืน่ ประกอบดว ยนนั้ ทานใหถ ือวา เปนคําบอกปดไมรับ ทัง้ เปน คําเสนอขน้ึ ใหมดว ยในตวั มาตรา 361 อนั สญั ญาระหวางบุคคลซ่งึ อยูหางกันโดยระยะทางน้นั ยอ มเกิดเปนสัญญาขึ้นแตเวลาเมื่อคาํ บอกกลาว สนองไปถงึ ผูเ สนอ ถา ตามเจตนาอันผูเสนอไดแ สดง หรอื ตามปกติประเพณไี มจ าํ เปน จะตอ งมีคาํ บอกกลาวสนองไซร ทานวาสญั ญานนั้ เกดิ เปน สญั ญาข้ึนในเวลาเมอ่ื มกี ารอนั ใดอนั หน่ึงขน้ึ อันจะพงึ สนั นิษฐานไดวา เปน การแสดงเจตนาสนองรับ มาตรา 362 บคุ คลออกโฆษณาใหคําม่ันวาจะใหร างวัลแกผูซ ึง่ กระทําการอนั ใด ทานวาจาํ ตอ งใหรางวลั แกบุคคลใดๆ ผู ไดก ระทาํ การอนั น้ัน แมถ งึ มใิ ชวา ผนู ัน้ จะไดก ระทาํ เพราะเห็นแกร างวลั มาตรา 365 คํามน่ั จะใหรางวลั อันมคี วามประสงคเ ปนการประกวดชิงรางวัลน้ัน จะสมบรู ณก็ตอเมือ่ ไดกําหนดระยะเวลาไว ในคาํ โฆษณาดว ย มาตรา 368 สญั ญาน้ันทา นใหต คี วามไปตามประสงคในทางสุจรติ โดยพเิ คราะหถ งึ ปกติประเพณีดวย จากหลัก มาตรา 171 และมาตรา 368 เมื่อพิจารณารวมกันแลวก็จะไดห ลกั ในการตคี วามสญั ญาทส่ี ําคัญอยู 2 ประการคอื (1) ตองคน หาเจตนาอนั แทจริงของคูสัญญาทีท่ ํากนั ขนึ้ (2) ตองตคี วามการแสดงเจตนาของคูสัญญา หรือความตกลงนน้ั โดยอาศัยความสจุ รติ โดยคาํ นึงถงึ ปกตปิ ระเพณเี ปน สาํ คญั (มาตรา 171 ในการตคี วามการแสดงเจตนานั้น ใหเพงเล็งถงึ เจตนาอันแทจริงยงิ่ กวาถอยคําสํานวนหรือตวั อกั ษร) 1. หลักในการตีความสญั ญาคือ ตองการคนหาเจตนารมณอ นั แทจรงิ ของคสู ัญญา 2. ปกตปิ ระเพณีหมายถึง การประพฤตปิ ฏิบตั ใิ นกรณีทว่ั ๆไป 3. สัญญาท่เี ปนการกอหนี้ระหวา งคูสญั ญาทง้ั 2 ฝา ย โดยตอ งกระทาํ ตอบแทนซ่ึงกันและกัน คอื สญั ญามีคา ตางตอบแทน 4. สญั ญาทีเ่ ปน สญั ญาตา งตอบแทนไดแ ก สัญญาซอ้ื ขาย

60 5. สญั ญาท่ีเปนสญั ญาไมม คี า ตอบแทน ไดแก การให 6. สัญญาทเ่ี ปน สญั ญาอปุ กรณไดแก จํานอง 7. สญั ญาทเี่ ปน สญั ญาเพอ่ื ประโยชนของบุคคลภายนอกคอื ประกนั ชวี ติ 8. สญั ญาทีเ่ ปนสญั ญาไมมชี อ่ื ไดแก เลน แชรเ ปยหวย 9. คาํ เสนอตอบคุ คลผูอ ยูเฉพาะหนา เชน โทรศพั ททางไกลจากกรงุ เทพฯ ทําคําเสนอขายบา นไปถงึ บคุ คลท่อี ยเู ชียงใหม 10. คาํ เสนอที่ทาํ ตอ บุคคลเฉพาะหนา มผี ลเม่ือ ผูรับคําเสนอทราบถึงเจตนาของผูเสนอ 11. คําเสนอทีท่ ําตอ บุคคลอยหู างโดยระยะทางมผี ลเมอื่ คําเสนอนัน้ ไดส ง ไปถงึ ผรู ับแลว 12. หลักในการตีความสญั ญา คอื ตคี วามโดยอาศยั หลกั ความสจุ รติ ของคสู ญั ญา หนว ยท่ี 14 ผลแหง สญั ญา มัดจํา เบย้ี ปรับ 1. โดยหลักแลว สญั ญากอความผูกพันระหวา งคูสญั ญา ดงั นั้น จงึ ไมส ง ผลกระทบตอ บคุ คลภายนอก 2. การจะบังคบั ใหเปนไปตามสทิ ธิและหนา ทต่ี ามสัญญาอนั เปน สทิ ธิเรียกรอ ง จะตองอาศยั อํานาจ ของเจาหนาที่รัฐ มใิ ชเปนเร่อื งท่คี ูกรณีใชอ ํานาจบังคับแกก นั โดยพลการ 3. ในสัญญาตางตอบแทนนั้น คสู ญั ญาฝายหนงึ่ จะไมย อมชาํ ระหนี้จนกวาอกี ฝายหนึง่ จะชําระหนหี้ รือ ขอปฏบิ ตั กิ ารชาํ ระหนก้ี ไ็ ด แตค วามขอ น้ที า นมิใหใ ชบังคับ ถา หน้ขี องคูส ญั ญาอีกฝายหนงึ่ ยังไมถ ึงกาํ หนด (มาตรา 369) 4. เมือ่ เขาทาํ สญั ญา ถาไดใหส่งิ ใดไวเปน มดั จําทา นใหถอื วา การทใ่ี หมดั จาํ น้ันยอ มเปน พยาน หลกั ฐานวาสัญญานน้ั ไดทํากนั ขน้ึ แลว อนง่ึ มดั จาํ นี้ยอมเปน ประกันการท่ีจะปฏบิ ัตติ ามสัญญานนั้ ดวย (มาตรา 377) 5. ถาลกู หนส้ี ัญญาแกเจาหน้ีวา จะใชเ งินจาํ นวนหนงึ่ เปนเบ้ียปรบั เมอ่ื ตนไมชําระหน้กี ด็ ี หรอื ไมชาํ ระ หน้ีใหถูกตอ งสมควรก็ดี เมอื่ ลูกหน้ผี ิดนดั ก็ใหร ิบเบ้ยี ปรับ ถา การชาํ ระหน้อี ันจะพึงกระทาํ น้นั ไดแกง ดเวน การอนั ใดอันหนงึ่ หากทาํ การอนั นน้ั ฝา ฝนมลู หนเ้ี มื่อใด กใ็ หรบิ เบ้ียปรับเม่ือน้นั 14.1 ผลผูกพนั ในกฎหมายที่เกดิ จากสญั ญา 1. สัญญาน้นั มีผลระหวา งคสู ญั ญาเทา นน้ั และไมกอ ความเสียหายใหแ กบุคคลภายนอก กฎหมาย หามมใิ หคสู ัญญาตกลงกนั ไวเปน การลว งหนา ลูกหนไ้ี มตอ งรับผิด เพอื่ การชาํ ระหนท้ี เี่ กิดขน้ึ เพราะการฉอ ฉลหรอื ความประมาทเลินเลออยางรายแรงของลกู หนี้ 2. สัญญาอาจมีผลในลกั ษณะซ่งึ เปน ประโยชนแ กบ คุ คลภายนอก ซงึ่ มใิ ชคสู ญั ญาไดตามหลักเกณฑ ทีบ่ ญั ญตั ิไวใ นมาตรา 374 14.1.1 หลกั กฎหมายทว่ี าดวยสัญญากอผลผกู พนั ระหวางคสู ญั ญาเทา นั้น ทีว่ าสญั ญายอมกอใหเ กิดผลผูกพนั ระหวางคสู ัญญานั้น ทานเขาใจวาอยา งไร โดยหลกั แลว สัญญายอมมีผลแตเฉพาะในระหวางคสู ัญญาเทานั้น สญั ญายอ มไมก อ ใหเกดิ ผล ผูกพนั บุคคลอนื่ ทีไ่ มใชคูสญั ญาในลักษณะทก่ี อ ใหเ กดิ ความเสียหายแกบ คุ คลอื่น แตอาจมีผลผกู พนั ในทางท่ใี หป ระโยชนเ ปนผลดแี กบคุ คลอ่นื ทไี่ มใ ชค ูส ัญญาได อนั ไดแ กกรณขี องสญั ญาเพอื่ ประโยชน บุคคลภายนอก 14.1.2 ลกั ษณะและวธิ ีการบังคบั เพื่อใหการเปนไปตามขอตกลงในสัญญา สทิ ธแิ ละหนาท่ที ่เี กิดข้นึ จากขอตกลงในสัญญาน้นั คูสัญญาจะบงั คับใหเ ปนไปตามขอ ตกลงกนั ใน ลกั ษณะใด สทิ ธิและหนา ทีท่ ่เี กิดข้นึ จากขอ ตกลงในสัญญาโดยหลักแลว เกิดขึน้ ในลกั ษณะท่เี รยี กวา เปน บคุ คลสทิ ธิ ซึง่ คูสญั ญาจะใชส ิทธเิ รยี กรอ งตามสทิ ธดิ ังกลา วไดก แ็ ตโ ดยอาศัยอาํ นาจของเจา หนาทีข่ องรัฐ ทจ่ี ะจัดการบงั คับใหไ ดต ามสิทธินน้ั ๆ ซ่งึ ไดแ กก ารใชสทิ ธฟิ อ งรอ งดาํ เนนิ คดตี ามกฎหมายวธิ พี จิ ารณา ความแพง 14.1.3 ความตกลงยกเวน มิใหลกู หน้ตี อ งรบั ผิดเมือ่ ไมมกี ารชาํ ระหนี้ กฎหมายบัญญตั ิเร่อื งความตกลงยกเวนมิใหล กู หนต้ี องรบั ผิดเมื่อไมม กี ารชาํ ระหนไ้ี วในสาระสาํ คัญ อยางไร กฎหมายหามมิใหค ูสญั ญาตกลงกนั ไวเ ปน การลว งหนา วา ลกู หน้ไี มต อ งรับผิดเพือ่ การชําระหนีท้ ี่ เกดิ ข้นึ เพราะกลฉอฉล หรอื ความประมาทเลินเลออยา งแรงของลกู หน้ี 14.1.4 สัญญาเพื่อประโยชนบคุ คลภายนอก สัญญามีผลเพ่อื ประโยชนแกบคุ คลภายนอกซึ่งมใิ ชคูสญั ญา มไี ดห รือไม

61 สัญญาอาจมผี ลในลักษณะซงึ่ ใหป ระโยชนแกบุคคลภายนอก ซึ่งมใิ ชค สู ญั ญาตามหลกั เกณฑท ่ี บญั ญตั ไิ วในมาตรา 374 14.2 ลักษณะพิเศษของสัญญาตางตอบแทน 1. คูส ัญญามหี น้ีท่จี ะตองกระทําเปนการตอบแทนซึ่งกนั และกัน เวน แตหนขี้ องอีกฝายหนึ่งจะยังไม ถึงกําหนดชาํ ระ ตามมาตรา 369 2. หลักท่ัวไป ลกู หน้ีตอ งรับผลแหง ภยั พบิ ัติท่ีเกิดกับทรพั ยสินอันเปนวตั ถุแหงสัญญา เวน แตในกรณี สญั ญาตา งตอบแทนท่มี ีวตั ถปุ ระสงคเ ปน การกอใหเ กิดหรือโอนทรพั ยสทิ ธิ 14.2.1 การปฏบิ ตั ชิ ําระหน้ีตอบแทนของคูสญั ญา การปฏบิ ัติชําระหนตี้ อบแทนของคูส ัญญาคอื อยางไร คูส ญั ญามหี น้ีท่จี ะตองกระทาํ เปน การตอบแทนซ่ึงกนั และกนั เวน แตห นข้ี องอีกฝา ยหนึง่ จะยงั ไมถ งึ กาํ หนดชาํ ระตามมาตรา 369 14.2.2 ปญ หาเรอื่ งภยั พบิ ตั ทิ ี่เกดิ กับทรพั ยสินอนั เปน วตั ถุแหง สญั ญา ในสัญญาตางตอบแทนนั้น เม่อื ทรพั ยสนิ อนั เปน วัตถุแหง สัญญาเกิดสูญหายหรือถกู ทาํ ลายลงอนั ทําใหก ารชาํ ระหน้ีตกเปนพนวสิ ัยนนั้ อยากทราบวา จะมผี ลตอคูส ัญญานัน้ อยางไรบา ง โดยหลกั ถา การทท่ี รัพยนนั้ สูญหาย หรอื ถกู ทาํ ลายลง อนั ทาํ ใหก ารชําระหนี้ตกเปน พนวิสัย โดย มิใชความผดิ ของคูส ญั ญาฝายหนงึ่ ฝา ยใดแลว แมวา ลกู หนจี้ ะหลดุ พนจากการชาํ ระหนนี้ ั้นตามหลกั ทัว่ ไป ในเรอื่ งนต้ี ามมาตรา 219 แหงประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย บญั ญตั ิใหล กู หน้ตี อ งเปน ผรู บั บาป เคราะหใ นภัยพบิ ัตดิ งั กลาว กลาวคือ ลูกหน้ีไมมสี ิทธทิ ี่จะเรียกรอ งใหคูสญั ญาอกี ฝา ยหนงึ่ นน้ั ชําระตอบ แทนใหแกต น ในกรณที กี่ ารสญู หายหรอื ถกู ทาํ ลายนนั้ เกิดขนึ้ เพราะความผิดของเจา หน้ี ลกู หนยี้ อมมีสิทธทิ จี่ ะ ไดร ับชาํ ระหนตี้ อบแทน แตก ารไดร บั ชาํ ระหนต้ี อบแทนของลกู หนีน้ น้ั ยอมตอ งคํานงึ ประกอบดว ยวา ถา ใน พฤติการณเชน วา น้นั ลกู หนสี้ ามารถบรรเทาความเสียหายหรอื บรรเทาเหตุ ซงึ่ เกดิ จากการกระทําชาํ ระหน้ี พนวิสยั แตไมก ระทาํ การบรรเทาความเสยี หายดังกลาว การไดร บั ชาํ ระหนต้ี อบแทนของลกู หนย้ี อ มลด นอยลงไปเพราะจะเอาความเสียหายทอ่ี าจบรรเทาไดนัน้ มาหกั ออกจากความเสียหายตามสทิ ธทิ ี่ลกู หนจ้ี ะ พึงไดร บั ตามปกติดว ย สวนถา เปนกรณที ท่ี รพั ยนน้ั สญู หายหรอื ถกู ทาํ ลายลง เพราะความผดิ ของลูกหน้ี แลว นอกจากลกู หน้จี ะไมม สี ิทธทิ ี่จะเรยี กใหเจา หนชี้ าํ ระหนี้ตอบแทนแลว ยังตอ งรับผิดในการชําระหน้ีนน้ั ตอ เจา หนต้ี ามหลกั ท่ัวไปในเรื่องการชาํ ระหนี้อกี ดว ย หลกั ในเรอื่ งภยั พิบตั อิ ันเกดิ จากทรัพยอ นั เปน วัตถุแหง สัญญาสญู หายหรอื เสยี หายนน้ั มขี อ ยกเวน ซึง่ กาํ หนดเปน เงือ่ นไขพเิ ศษอยูในกรณขี องสัญญาตา งตอบแทน ซง่ึ มวี ตั ถปุ ระสงคเ ปน การกอ ใหเ กดิ หรือ โอนทรพั ยสทิ ธิ (เชน สญั ญาซอ้ื ขาย สัญญาเกี่ยวกบั สิทธเิ กบ็ เกนิ เปนตน ) โดยมที รพั ยเฉพาะส่ิงเปนวัตถุ แหงสัญญา (หรือถา มใิ ชท รพั ยเ ฉพาะสิ่งโดยสภาพกอ็ าจอยูใ นบงั คับอยา งเดียวกนั ถา ไดม กี ารทาํ ใหเ ปน ทรพั ยเ ฉพาะส่ิง ตามนยั มาตรา 195 วรรคสองแหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย) และในกรณนี ั้น สัญญาที่เกดิ ขึ้นกอ ใหเกดิ ผลเปน การกอหรอื โอนทรพั ยส ิทธดิ ว ยแลว ในกรณดี ังกลาว ถา ทรพั ยนน้ั สูญหาย หรอื เสยี หายโดยโทษลกู หนไ้ี มไดแลว กฎหมายบัญญัติใหก ารท่ีทรพั ยนนั้ สญู หรือเสียหายตกเปน พบั แก เจาหน้ี แตส ญั ญาท่ีเกิดขึน้ แมจ ะมวี ัตถปุ ระสงคเ ปน การกอ ใหเ กดิ หรอื โอนทรัพยส นิ ในทรพั ยเฉพาะสงิ่ แต เมือ่ สัญญาเกดิ ข้ึนแลวยงั ไมกอ หรือโอนทรพั ยส ทิ ธใิ นทรพั ยน้ันทันทเี น่ืองจากมเี งอ่ื นไขบงั คบั กอ น และ ทรพั ยนนั้ สูญหายหรอื ทาํ ลายลงในระหวา งท่ีเง่ือนไขยงั ไมส าํ เร็จเชน น้ี กฎหมายบญั ญตั วิ า การทที่ รพั ยน ้ัน สญู หายหรือถกู ทาํ ลายลงไมเ ปนพับแกเ จา หนี้ หรอื อกี นยั หน่งึ ถอื วา เปน พบั แกล กู หน้ตี ามหลกั ทั่วไป อยา งไรกต็ ามถา การทีท่ รัพยเ สียหายขางตนเปน เรอื่ งทโ่ี ทษเจาหน้ไี มไดดว ยแลว เม่ือเงือ่ นไขสาํ เรจ็ เจา หนี้ มที างเลอื กใหล ูกหน้ปี ฏบิ ตั อิ ยางใดอยา งหนง่ึ คอื บอกเลกิ สัญญา หรอื เรียกใหป ฏบิ ตั ิชาํ ระหนโ้ี ดยลดสว นท่ี เจาหนจ้ี ะตอ งชาํ ระหนตี้ อบแทนลงได แตถ า การทท่ี รพั ยเสยี หายนน้ั เปน ความผดิ ของลกู หนีแ้ ลว นอกจาก สิทธิดงั กลา วแลว เจา หนยี้ งั เรียกคา สินไหมทดแทนไดอ กี ดวย 14.3 ความตกลงเก่ียวกับมัดจํา 1. มัดจาํ คอื ส่งิ ของซงึ่ คสู ัญญาฝายหน่งึ มอบไวใ หแ กค สู ญั ญาอีกฝา ยหน่งึ ในขณะทาํ สญั ญาเพ่อื เปน ประกนั การปฏิบัตติ ามสญั ญา 2. มัดจํานน้ั ถามิไดต กลงกันไวเ ปน อยา งอ่ืน ทา นใหเปนไปดังจะกลาวตอ ไปนี้คือ (1) ใหสง คืน หรือจดั เอาเปน การใชเงนิ บางสวน (2) ใหร บิ ถา ฝายผูวางมดั จาํ ละเลยไมชําระหน้ี หรอื การชําระหนี้ตกเปนพนวิสัยเพราะพฤติการณ อนั ใดอันหนึง่ ซง่ึ ฝา ยน้ีตองรบั ผดิ ชอบ หรือถา มีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝา ยนัน้ (3) ใหสงคนื ถา ฝา ยทรี่ บั มดั จําละเลยไมช ําระหนี้ หรอื การชาํ ระหน้นี ีต้ กเปนพน วิสัยเพราะ พฤติการณอ นั ใดอนั หนง่ึ ซ่ึงฝายนี้ตอ งรับผดิ ชอบ 14.3.1 ความหมายและลักษณะของมดั จํา

62 ทานเขา ใจมัดจําอยา งไร มดั จําคอื การที่คูสญั ญาฝายหนึ่งมอบเงนิ หรอื สง่ิ ของอนื่ ใหไวแ กค สู ัญญาอกี ฝายหนึง่ ในขณะทาํ สญั ญาเพอ่ื เปน ประกันวา จะมกี ารปฏบิ ัตติ ามสญั ญา ทง้ั นี้เพราะถาฝา ยทว่ี างมดั จําไมป ฏิบัติชาํ ระหนี้ หรือ การชําระหนีเ้ ปน พน วสิ ัยหรอื การเลกิ สัญญาเพราะความผิดของฝา ยวางมัดจาํ กฎหมายใหค สู ัญญาอีกฝา ย หนึ่งซงึ่ รบั มัดจําไวส ามารถริบมดั จาํ นนั้ ได แตถ า อกี ฝา ยหนงึ่ รบั มดั จาํ ละเลยไมช ําระหน้หี รอื การชาํ ระหน้ี ตกเปน พน วิสยั หรอื มกี ารเลิกสญั ญาเพราะความผิดของฝา ยรบั มดั จํา กฎหมายกําหนดใหค นื มัดจําแกผู วางมดั จาํ นอกจากนัน้ การวางมดั จาํ ยงั ถอื ไดว า เปน พยานหลักฐานวา สญั ญาไดท าํ กนั ข้ึนแลว อกี ดวย 14.3.2 ผลตามกฎหมายของมดั จํา เมื่อไดใหมดั จาํ กันแลวผลในกฎหมายเปน อยางไร กรณเี ปนไปตามมาตรา 378 แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย ถา หากฝา ยทว่ี างมดั จํานนั้ ละเลยไมชําระหน้ี หรอื การชําระหน้ีตกเปน พนวิสยั เพราะพฤตกิ ารณอ ันใดอนั หน่งึ ซ่ึงฝา ยทว่ี างมัดจาํ นัน้ ตอ งรับผดิ ชอบหรอื ถา มกี ารเลกิ สญั ญาเพราะความผดิ ของฝา ยทว่ี างมดั จาํ กฎหมายบญั ญตั วิ า ใหผรู บั มดั จําน้นั ไวม สี ทิ ธทิ ่จี ะรบั มดั จาํ น้ันได สวนในอีกกรณหี นง่ึ นนั้ เปน เร่ืองซ่งึ ผรู บั มัดจาํ ไวจ ะตอ งคืนมดั จํา ซง่ึ กเ็ ปนกรณตี รงกนั ขา มกบั กรณที ีก่ ลา วแลว กลา วคือ คสู ัญญาฝา ยทีร่ บั มดั จาํ ไวน น้ั เองเปนผลู ะเลยไมช ําระหน้ี หรือชาํ ระหนีน้ ้ันตกเปน พน วิสยั เพราะพฤตกิ ารณซ งึ่ ฝา ยทรี่ ับมดั จําไวน ้ันตองรบั ผิดชอบ 14.4 ความตกลงเก่ยี วกับเบีย้ ปรบั 1. ขอตกลงซงึ่ คูสัญญาฝา ยหน่งึ ใหส ัญญาแกคสู ัญญาอีกฝายหนง่ึ วา จะใชเงนิ หรือทรพั ยสนิ อยา ง อื่นเปน เบ้ียปรบั เมื่อตนไมช าํ ระหนี้ หรอื ชําระหน้ีไมถกู ตอ งครบถวน 2. ความตกลงใหเบยี้ ปรบั แกกนั น้นั ยอ มกระทําไดท ั้งท่ีกําหนดไววา เบยี้ ปรับนั้น จะใชเ ปนจํานวนเงิน หรอื เปนทรัพยสนิ อยางอื่นท่มี ใิ ชเงนิ กไ็ ด 3. ในกรณีทีค่ สู ัญญาตกลงในเรอ่ื งเบ้ยี ปรับไวเ ปนจาํ นวนสงู เกนิ สวนศาลมีอาํ นาจทจ่ี ะลดลงเปน จํานวนพอสมควรได โดยพเิ คราะหถ ึงทางไดเ สยี ของเจา หนีป้ ระกอบดวย 4. ในกรณีลูกหนี้อา งวา ตนไดช าํ ระหน้อี ันทาํ ใหเ จาหนรี้ บิ เบ้ียปรับไมไดตามทต่ี กลงกันไวนั้น กฎหมายกาํ หนดใหลกู หนม้ี ีหนา ท่ีจะตอ งพสิ จู นวา ตนไดช ําระหน้ีนน้ั แลว 14.4.1 ความหมายและลกั ษณะของเบย้ี ปรับ ทานเขาใจเร่อื งเบ้ยี ปรับวา อยางไร เบ้ยี ปรับ คอื การทคี่ สู ัญญาฝายหนึ่งใหส ญั ญาตอคสู ญั ญาอกี ฝา ยหนง่ึ วา จะใชเงินหรอื ส่ิงของอืน่ เมอื่ ตนไมชาํ ระหน้ีนัน้ เลย หรอื ชําระหน้ใี หแ ตไ มถกู ตองครบถว น ทง้ั นโ้ี ดยไมม กี ารสง มอบเงินหรือส่งิ ของ ใหไ วแกก ันเหมือนอยา งในกรณขี องมดั จาํ 14.4.2 เบี้ยปรบั ท่ีกาํ หนดเปนจาํ นวนเงนิ การกําหนดเบีย้ ปรบั เปนเงินในกรณเี พือ่ การไมช ําระหนเี้ ลย กับเบีย้ ปรบั เพอ่ื การไมช ําระหนใี้ ห ถกู ตอ งสมควร ตา งกนั อยา งไร เบ้ียปรบั เพอ่ื การไมช ําระหนเี้ ลยน้ัน เมอื่ ไมม กี ารชาํ ระหนเ้ี กดิ ข้นึ เจา หน้ียอ มมสี ทิ ธิเรียกเอาเบย้ี ปรับนน้ั แทนการชาํ ระหน้ี ซงึ่ ถา ไดเรียกเอาเบย้ี ปรับในกรณีเชน วา แลวเจาหนจ้ี ะเรยี กใหลกู หน้ีชาํ ระหนตี้ อบ แทนอกี ไมไ ด ถาสว นเจาหน้มี ีความเสยี หายอยา งอ่ืนใดมากกวาจาํ นวนเบ้ียปรบั ดงั กลาว เจา หนย้ี อมมีสทิ ธิ พิสจู น และเรยี กคา เสยี หายนัน้ ได สว นการตกลงเบย้ี ปรับเพื่อการไมชําระหนใี้ หถกู ตอ งสมควร เมือ่ มกี ารชาํ ระหนไ้ี มถ กู ตองครบถว น ตามที่ตกลงกนั ไว เจา หนี้ยอ มมีสิทธเิ รยี กรอ งใหล กู หนชี้ าํ ระใหค รบถว นถกู ตอ งตอ ไปได และเรียกเอาเบย้ี ปรบั อกี ดว ยกไ็ ดแตการที่จะริบเบยี้ ปรับพรอ มกบั การชาํ ระหนี้จากลูกหนี้นั้น เจาหนจี้ ะกระทาํ ไดตอเมอ่ื ได บอกสงวนสทิ ธทิ ี่จะรบิ เบยี้ ปรบั นน้ั ในเวลาที่เจาหนย้ี อมรบั ชาํ ระหนจ้ี ากลกู หนีด้ ว ยแลว นอกจากน้ี เจา หนี้ยงั มสี ทิ ธิเรียกคา สินไหมทดแทนเพอ่ื ความเสียหายอยางใดๆ ทต่ี นไดร ับมากกวา เบยี้ ปรบั ทีก่ าํ หนดไวได 14.4.3 เบ้ยี ปรบั ที่กาํ หนดเปนอยางอื่นทม่ี ใิ ชจํานวนเงิน ในกรณีของการตกลงนัน้ เบย้ี ปรับเปน ส่ิงของอยา งอนื่ ท่ีมใิ ชตัวเงนิ น้ัน คงมีหลกั การเชน เดยี วกับ เบยี้ ปรับทเ่ี ปน เงนิ ใชห รอื ไม การพจิ ารณาเรอื่ งเบ้ียปรับทก่ี ําหนดเปนสง่ิ ของอยา งอื่นทมี่ ใิ ชต วั เงนิ นน้ั ยอมมหี ลกั การ เชน เดียวกบั เบ้ียปรับทีก่ าํ หนดเปน ตวั เงิน เวน แตใ นเร่อื งคาสินไหมทดแทนที่เจา หนีเ้ หน็ วา ตนไดรับความ เสียหายมากกวา เบย้ี ปรับทก่ี าํ หนดไวน้นั ถา เจา หน้ีไดต กลงทจ่ี ะเรยี กเอาเบยี้ ปรบั แลว กห็ มดสทิ ธทิ ี่จะเรียก คา สินไหมทดแทนน้ัน 14.4.4 อํานาจของศาลในการลดเบยี้ ปรับ

63 เบ้ยี ปรับที่กาํ หนดไวนั้น จะสามารถลดไดอ ยา งไร หรือไม การกาํ หนดเรอ่ื งเบี้ยปรบั นั้น โดยทส่ี ว นหน่งึ มวี ัตถุประสงคใ นการขจดั ปญ หายุงยากในการที่ จะตอ งมกี ารพิสูจนถึงความเสยี หายกันข้ึน ดงั น้นั ในกรณที ค่ี ูส ัญญาตกลงกาํ หนดกันไวเปนจาํ นวนสูง เกนิ ไป เมอื่ มกี รณีมาสูศาล ศาลยอ มสง่ั ลดจํานวนเบยี้ ปรับลงเปนจํานวนพอสมควรได โดยพิเคราะหถ งึ ทาง ไดเ สยี ของเจา หนป้ี ระกอบดวย นอกจากนน้ั โดยที่ลกั ษณะของความตกลงในเรอื่ งเบีย้ ปรบั นมี้ ลี กั ษณะเปน สัญญาอปุ กรณ ดงั นนั้ ถา การชาํ ระหนต้ี ามสญั ญาท่ีทาํ กนั ไวไมสมบรู ณ การตกลงในขอเบย้ี ปรบั ในการไม ปฏิบัตติ ามสญั ญาน้นั กย็ อ มไมสมบูรณด ว ย 14.4.5 หนาท่ีของลูกหนี้ในการพสิ จู นเ พือ่ มิใหถ ูกริบเบยี้ ปรับ ลกู หนจ้ี ะพสิ จู นเพ่อื มิใหถ กู ริบเบีย้ ปรับไดหรือไม อยา งไร ในกรณีทลี่ กู หน้อี า งวา ตนไดช าํ ระหนอี้ ันทาํ ใหเจา หนร้ี ิบเบีย้ ปรับไมไ ดต ามทตี่ กลงกนั ไวนั้น กฎหมายกําหนดใหล ูกหน้มี หี นา ทีจ่ ะตอ งพสิ จู นวา ตนไดชําระหนนี้ นั้ แลว แบบประเมนิ ผล หนว ยท่ี 14 ผลแหง สญั ญา มดั จาํ เบย้ี ปรบั มาตรา 377 เมอ่ื เขา ทาํ สัญญา ถา ไดใหสงิ่ ใดไวเปนมัดจาํ ทา นใหถือวาการท่ีใหมดั จํานัน้ ยอ มเปน พยานหลักฐานวา สญั ญานนั้ ไดท ํากันขนึ้ แลว อน่ึงมดั จํานย้ี อ มเปน ประกนั การทจี่ ะปฏิบัติตามสัญญานัน้ ดว ย มาตรา 378 มดั จํานน้ั ถา มไิ ดต กลงกนั ไวเปนอยา งอน่ื ทา นใหเ ปนไปดงั จะกลาวตอไปนี้ คือ (๑) ใหสงคืน หรือจัดเอาเปนการใชเ งนิ บางสวนในเม่ือชําระหน้ี (๒) ใหร ิบ ถาฝา ยทีว่ างมัดจาํ ละเลยไมชําระหนี้ หรือการชําระหนตี้ กเปนพนวิสยั เพราะพฤติการณอ ันใดอันหนงึ่ ซ่ึงฝาย นนั้ ตองรบั ผิดชอบ หรือถามีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝายนัน้ (๓) ใหส ง คนื ถา ฝายท่รี ับมดั จาํ ละเลยไมชําระหน้ี หรอื การชาํ ระหนต้ี กเปน พนวิสยั เพราะพฤติการณอ ันใดอนั หนึ่งซึง่ ฝาย นตี้ องรับผดิ ชอบ มาตรา 383 ถา เบ้ียปรับทรี่ ิบนัน้ สูงเกินสว น ศาลจะลดลงเปนจาํ นวนพอสมควรกไ็ ด ในการที่จะวนิ ิจฉยั วาสมควรเพียงใด นั้น ทา นใหพ ิเคราะหถ งึ ทางไดเ สยี ของเจา หนี้ทกุ อยา งอันชอบดว ยกฎหมาย ไมใ ชแ ตเ พยี งทางไดเสียในเชิงทรพั ยสิน เม่อื ไดใช เงนิ ตามเบ้ยี ปรับแลว สิทธเิ รยี กรองขอลดกเ็ ปนอันขาดไป 1. ระหวา งบุคคล คูสัญญาเทา นน้ั ทห่ี ลักกฎหมายวาดว ยสัญญากอ ความผกู พนั ดว ย 2. สญั ญาอาจมผี ลในลกั ษณะซงึ่ ใหป ระโยชนแ ก บุคคลภายนอกได 3. ลกั ษณะของสญั ญาเพื่อประโยชนบคุ คลภายนอก คือ คสู ญั ญามหี นี้ทจี่ ะตอ งชําระใหก ับบคุ คล ภายนอก 4. นาย ก จางนาย ข ใหข นสงไมส กั ไปตา งประเทศตอ มากอ นท่ีจะถึงกําหนดสงไมสัก รัฐบาลไดออกกฎหมาย หา มสง ไมส ักออกนอกประเทศ สญั ญาระหวา งนาย ก และนาย ข จะมผี ลคอื การชาํ ระหน้ีตกเปนพนวิสยั เพราะเหตุ อนั จะโทษนาย ก และนาย ข ไมได ท้ังนาย ก และนาย ข ตางจะเรยี กใหแ ตละฝา ยปฏบิ ตั ติ ามสัญญาไมไ ด 5. มดั จาํ คือสงิ่ ทคี่ สู ญั ญาฝา ยหนึง่ มอบไวใ หแ กคสู ญั ญาอกี ฝายหนง่ึ ในขณะทาํ สญั ญาเพื่อเปนประกันการ ปฏิบัตติ ามสญั ญา 6. เงนิ หรอื ทรพั ยส นิ อยา งอื่น ซงึ่ คูส ญั ญาฝายหนง่ึ ใหแ กค สู ญั ญาอีกฝา ยหนงึ่ จะใชใ หเ ม่อื ตนไมชําระหนห้ี รือ ชําระหน้ีไมถูกตองครบถวน คอื เบ้ยี ปรบั 7. ถามีการเลกิ สญั ญาเพราะความผิดของฝายรบั มดั จํากฎหมายกําหนดให คนื มดั จําแกผ ูวางมัดจําทั้งหมด 8. เบ้ยี ปรับ เปน เงนิ หรอื ทรัพยส นิ อยา งอ่นื 9. ผลในทางกฎหมายหากคสู ญั ญาไดตกลงในเร่อื งเบ้ยี ปรับไวส งู เกินสวน ศาลมีอาํ นาจลดลงเปนจํานวน พอสมควรโดยคํานงึ ถึงทางไดเ สยี ของเจา หนี้ 10. ในกรณีที่ลกู หน้พี สิ จู นไดวา ตนไดช าํ ระหนแ้ี ลว ลูกหนี้มติ องถูกรบิ เบีย้ ปรับ 11. ถา เจาหนย้ี อมรบั ชาํ ระหนแ้ี ลวจะเรยี กเอาเบีย้ ปรับไดอ กี ถาไดบ อกสงวนสทิ ธไิ วเ ชนนน้ั ในเวลาชาํ ระหนี้ 12. กรณหี ากมีการเลิกสญั ญาเพราะความผดิ ของฝา ยทรี่ ับมัดจาํ ตองคืนมัดจาํ ทัง้ หมด หนว ยท่ี 15 การเลกิ สญั ญา 1. ลูกหนม้ี สี ทิ ธิเลกิ สัญญาไดตามขอตกลงในสญั ญาทที่ ําขึน้ หรอื ตามทก่ี ฎหมายบัญญตั ิไว 2. การบอกเลิกสัญญาน้ัน ตองแสดงเจตนาตอคสู ญั ญา 3. สทิ ธิในการบอกเลกิ สัญญาของคูสัญญาฝา ยใดฝายหนงึ่ ยอมระงับไปโดยบงั เอิญของกฎหมาย 4. การบอกเลกิ สัญญายอ มมผี ลใหคกู รณีกลับสูฐานะเดมิ แตไมเปน ท่ีเสื่อมเสียสิทธขิ องบคุ คลภายนอก 15.1 สทิ ธเิ ลกิ สัญญา 1. คูสัญญาสามารถตกลงทาํ สัญญาระงับสิทธิซึ่งคสู ัญญามตี อ กนั ตามสญั ญา 2. คสู ัญญามสี ิทธิบอกเลกิ สัญญาได ในเมือ่ มีขอ ตกลงในสญั ญาใหส ทิ ธิคูส ญั ญาฝายใดฝา ยหนงึ่ ท่จี ะ บอกเลกิ สัญญานนั้ ได ซึง่ โดยปกตจิ ะเปนกรณที ค่ี สู ัญญาอีกฝายหนึ่งนนั้ ไมปฏบิ ัติตามขอตกลง หรือปฏบิ ตั ิ ฝาฝน ขอ ตกลงในสญั ญาขอ ใดขอ หนงึ่

64 3. กฎหมายใหสิทธแิ กค ูส ัญญาฝา ยใดฝายหนงึ่ ทจ่ี ะบอกเลกิ สัญญาได 2 กรณี กรณแี รกคือกรณีที่ คสู ญั ญาอีกฝายหนงึ่ ไมช าํ ระหนี้ โดยในการใชส ทิ ธิดงั กลา วจะตองบอกกลาวกาํ หนดระยะเวลาอันสมควร ใหคสู ัญญาฝายท่ีไมช ําระหนที้ ําการชําระหนีน้ ัน้ กอ น เวน แตร ะยะเวลาชําระหนีท้ ีก่ ําหนดไวนนั้ เปน ขอ สาระสาํ คญั สวนอกี กรณหี นง่ึ นน้ั เมอื่ การชําระหน้ีตกเปนพนวิสยั เพราะความผิดของคูสญั ญาฝายใดฝา ย หน่ึง คูสญั ญาอกี ฝา ยหนงึ่ มีสิทธิบอกเลิกสญั ญาได 15.1.1 สิทธเิ ลกิ สัญญาท่เี กิดจากการทําสัญญาเพ่อื เลกิ สัญญา การทาํ สญั ญาเพอื่ เลกิ หรือระงบั สัญญามีไดห รอื ไม การทาํ สัญญาเพ่อื เลิกหรอื ระงับสญั ญาทผี่ ูกพนั ระหวางคูก รณยี อ มมไี ด ซ่ึงเปนไปตามหลกั เกณฑ เรอ่ื งสญั ญาโดยปกติ คือ ตอ งมคี วามตกลงระหวางคูส ญั ญาทง้ั สองฝาย 15.1.2 สิทธเิ ลกิ สัญญาทเ่ี กดิ ขน้ึ จากขอตกลงในสัญญา ซงึ่ มหี นา ท่ี สทิ ธเิ ลกิ สัญญาท่เี กิดจากขอตกลงในสัญญาจะเกดิ ข้ึนเม่ือใด สทิ ธเิ ลิกสญั ญาทีเ่ กดิ จากขอจกลงในสญั ญาเกิดในกรณที ่ีคูสญั ญาฝา ยใดฝา ยหน่งึ จะตอ งปฏิบัตติ ามสัญญาน้ันไมปฏิบตั ิตามขอ ตกลง หรอื ขอ สัญญานน้ั 15.1.3 สทิ ธเิ ลิกสัญญาทีเ่ กดิ ข้ึนจากบทบัญญตั ขิ องกฎหมาย การใชสิทธเิ ลกิ สัญญานั้นจะมขี ึน้ ไดในกรณใี ดบา ง อาจเกิดขน้ึ ไดอ ยา งหนึ่งอยา งใดตอ ไปนี้ (1) คสู ัญญาตกลงเลิกสญั ญาทไี่ ดกระทาํ กันไวในลักษณะทเี่ ปน นติ ิกรรมสองฝา ย (สญั ญา) (2) เม่ือคูส ัญญาฝายใดฝายหน่ึงใชสิทธิบอกเลิกสัญญา ในกรณที ี่ตนมีสิทธอิ ันเกดิ จากขอ ตกลง ในสัญญาทไ่ี ดมีไวต อ กนั (3) เมือ่ คูสัญญาฝา ยใดฝา ยหน่งึ ใชส ทิ ธิบอกเลกิ สัญญาในกรณีมบี ทบญั ญตั ขิ องกฎหมายวา ไว ซ่ึงไดแก ¾ เม่อื คสู ญั ญาฝายหนึง่ ไมช าํ ระหนี้ หากคสู ัญญาอกี ฝา ยหนึ่งไดบ อกกลาวกาํ หนดเวลาโดย สมควรใหคสู ญั ญาอกี ฝา ยหนง่ึ ชาํ ระหนแ้ี ลว แตค สู ญั ญาฝายนัน้ ไมชําระหนภ้ี ายในกาํ หนดเวลาคสู ัญญาท่ี ไมไดรับชาํ ระหน้ยี อ มใชสทิ ธิบอกเลิกสญั ญาได แตถ า เปน กรณที ค่ี ูสญั ญาฝายใดจะตอ งชาํ ระหนีท้ ก่ี าํ หนด ไว โดยทร่ี ะยะเวลาชาํ ระหน้เี ปนขอสาระสําคญั เมอ่ื ไมมีการชาํ ระหน้ภี ายในกําหนดเวลาดงั กลา ว คสู ญั ญา อกี ฝา ยหน่งึ ยอ มใชส ทิ ธบิ อกเลิกสัญญาได ¾ ในกรณีทกี่ ารชาํ ระหนต้ี กเปน พนวิสยั เพราะความผดิ ของคูสญั ญาฝา ยใด คูสญั ญาอกี ฝา ยหนึง่ ยอ มบอกเลิกสัญญาได 15.2 วธิ ีการบอกเลกิ สัญญา 1. การแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาตองกระทําตอ คสู ัญญาอีกฝา ยหนึ่งซ่งึ ตนประสงคจะเลกิ สญั ญา และเมอื่ ไดแสดงเจตนาเลิกสญั ญาแลวจะกลบั ใจถอนการบอกเลิกสัญญามไิ ด 2. ในกรณีซึง่ คสู ัญญาแตละฝายประกอบดว ยบคุ คลหลายคนเปน คูสญั ญาการใชสิทธิเลกิ สัญญา หรอื ถูกบอกเลิกสัญญาจะตองกระทําโดยบคุ คลท้ังหลายเทานนั้ หรือจะกระทาํ ตอ บคุ คลทง้ั หลายเหลานั้น แลวแตกรณี 15.2.1 การแสดงเจตนาบอกเลิกสญั ญาตอ คูสญั ญา การบอกเลิกสัญญาจะตอ งกระทาํ อยา งไร การบอกเลกิ สญั ญานนั้ คสู ญั ญาฝายทใี่ ชสทิ ธิบอกเลิกสัญญาจะตองแสดงเจตนาตอ คสู ัญญาอีก ฝายหน่ึง ซงึ่ โดยหลกั ยอ มมผี ลเมื่อการแสดงเจตนาบอกเลกิ สัญญาน้นั ไดไปถงึ คสู ญั ญาอีกฝา ยหนง่ึ 15.2.2 การใชส ทิ ธิบอกเลิกสัญญาในกรณีทีค่ สู ญั ญานั้นมีบุคคลหลายคนเปนผูใชสทิ ธิ เลกิ สัญญาหรือเปน ผถู ูกบอกเลกิ สัญญา การใชสทิ ธบิ อกเลิกสญั ญาในกรณที ี่คสู ัญญาน้นั มีบคุ คลหลายคนเปนผูใชส ิทธเิ ลกิ สัญญา หรอื เปน ผูถ ูกบอกเลกิ สัญญาตองปฏบิ ตั อิ ยางไร ในกรณที บ่ี คุ คลหลายคนเปนผใู ชสิทธบิ อกเลกิ สัญญา การใชส ทิ ธบิ อกเลิกสญั ญานนั้ ผูเ ปน คสู ัญญาทกุ คนตอ งรว มกนั ใช และในกรณีทผี่ ูถกู บอกเลกิ สัญญาเปน คสู ัญญาทมี่ หี ลายคนรวมกนั การใช สทิ ธิบอกเลกิ สญั ญานั้น จะตองกระทาํ ตอคสู ัญญานั้นทกุ คน 15.2.3 กฎหมายหา มถอนการแสดงเจตนาที่ไดยอกเลกิ สัญญาแลว เมอ่ื แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาแลว จะถอนการแสดงเจตนาน้นั ไดหรือไม เม่อื ไดบ อกเลกิ สัญญาแลว คือการแสดงเจตนาบอกเลกิ สญั ญาไดไ ปถงึ คูสัญญาอกี ฝา ยหนง่ึ แลว คสู ัญญาฝา ยทีบ่ อกเลกิ สัญญาจะถอนการบอกเลกิ สัญญานน้ั มิได

65 15.3 การระงับซง่ึ สทิ ธิในการบอกเลิกสญั ญา 1. สิทธขิ องคูสัญญาในการบอกเลกิ สญั ญาตองระงบั สนิ้ ไป เมื่อคูสญั ญาอีกฝา ยหน่ึงไดบ อกกลาวให ผูม สี ิทธิบอกเลิกสัญญาใชสทิ ธนิ ั้นเสียภายในเวลาอนั สมควร แตผมู สี ิทธเิ ลกิ สัญญามไิ ดใชส ิทธิดงั กลา ว 2. สิทธขิ องคูสัญญาในการบอกเลิกสัญญา ยอมระงับสน้ิ ไป เมือ่ ผมู สี ทิ ธเิ ลกิ สัญญาไดทําใหวัตถแุ หง สญั ญาบุบสลายไปในสว นสําคญั หรอื ทําใหการคนื ทรัพยอนั เปน วตั ถุแหงสัญญากลายเปนพนวสิ ัย 15.3.1 สทิ ธิเลกิ สัญญาระงับโดยการบอกกลาวใหผ มู ีสิทธเิ ลิกสัญญาใชสิทธเิ สียในเวลา อนั สมควร กรณีใด ท่ีคูสญั ญาฝา ยหนงึ่ อาจกาํ หนดระยะเวลาพอสมควรบอกกลาวใหค ูสัญญาอกี ฝา ยทมี่ ี สทิ ธิบอกเลิกสญั ญาใชส ทิ ธนิ ้ัน ตองเปน กรณที ีส่ ญั ญานั้นไมไดกาํ หนดระยะเวลาใหใ ชส ิทธบิ อกเลกิ สัญญาเทา น้ัน 15.3.2 สิทธเิ ลิกสัญญาระงบั เพราะวัตถุแหง สัญญาสลายไปในสว นสาํ คัญ หรอื การคืน ทรัพยก ลายเปน พน วิสัย สิทธใิ นการบอกเลกิ สญั ญานนั้ มกี ารระงับส้ินไปในกรณีใดบาง สทิ ธิในการบอกเลกิ สัญญามที างระงบั สนิ้ ไปในกรณดี ังตอไปนี้ (1) เมื่อผมู สี ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญายังไมใชสิทธดิ ังกลา ว คสู ัญญาอกี ฝา ยหนงึ่ จะบอกกลา วใหผ มู ี สิทธิบอกเลกิ สญั ญาใชสทิ ธิบอกเลกิ สญั ญาเสยี ภายในเวลาอันสมควรก็ได ถาผมู สี ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญายังไม มีสิทธบิ อกเลกิ สญั ญาภายในกาํ หนดเวลาดงั กลาว สทิ ธบิ อกเลิกสญั ญานัน้ ยอ มระงบั สิ้นไป (2) เมอ่ื ผมู สี ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญาทําใหว ตั ถแุ หง สญั ญาบบุ สลายไปในสว นสาํ คัญหรอื ทาํ ใหก ารคนื ทรพั ยอันเปน วตั ถแุ หง สญั ญาน้นั พน วสิ ยั 15.4 ผลของการเลกิ สญั ญา 1. การบอกเลกิ สัญญา ยอ มมีผลทาํ ใหค สู ญั ญากลับคืนสูฐ านะเดมิ คือมผี ลยอ นหลังไปในเวลาทมี่ ี การทําสญั ญากัน 2. การกลับคนื สูฐานะเดมิ ในกรณบี อกเลกิ สัญญากบั การกลับคนื สูฐานะเดมิ ในกรณบี อกลา ง โมฆียะกรรม มีลักษณะทค่ี ลายคลงึ กัน จะแตกตางกันก็แตเฉพาะการกลับคืนสฐู านะเดิมในการบอกลาง โมฆยี ะกรรม เปนเร่อื งที่ตอ งการคมุ ครองผูไรค วามสามารถ หรอื ผูแสดงเจตนาโดยวปิ ริต แตการบอกเลิก สัญญานัน้ เปนเรื่องทค่ี สู ัญญาตอ งการระงับความผกู พันกันเอง หรอื เพราะความผดิ ของคสู ญั ญาฝายใด ฝา ยหน่งึ นอกจากน้นั ในกรณขี องโมฆยี ะกรรมซงึ่ ถูกบอกลา งในกรณีท่เี ปนการพนวสิ ยั ท่จี ะกลับสฐู านะเดิม ได กฎหมายบัญญตั ใิ หค สู ัญญาอีกฝา ยหน่งึ ไดร ับคา สนิ ไหมทดแทน แตก รณีการบอกเลิกสัญญาน้นั ผใู ช สทิ ธิเลกิ สัญญามสี ทิ ธิทจ่ี ะเรียกรองคา เสยี หายไดอ กี ทางหนงึ่ ดวย 3. การท่ีมีการเลกิ สญั ญา ไมวาขอตกลงในสญั ญา หรือโดยบทบัญญัติของกําหมาย ยอ มไมม ี ผลกระทบทีเ่ สอ่ื มเสยี สิทธิของบุคคลภายนอกซงึ่ ไดส ิทธิ หรือมสี ิทธใิ นทรัพยสินอนั เปนวตั ถุแหง สัญญา โดยทมี่ กี ฎหมายรบั รองในการไดส ทิ ธิ หรือมสี ิทธใิ นทรัพยน ัน้ 15.4.1 การกลบั คนื สูฐานะเดิม คือมผี ลยอนหลังไปในเวลาทีไ่ ดมี การบอกเลกิ สัญญาโดยท่วั ไป มีผลอยา งไรบา ง การบอกเลกิ สญั ญายอ มมผี ลทาํ ใหค สู ัญญากลบั คนื สูฐานะเดิม การทาํ สญั ญาน้นั 15.4.2 การกลับคนื สูฐ านะเดมิ ในกรณีท่ีการทไ่ี ดกระทําไปแลว เปนงานหรือการยอมให ใชท รัพย การกลับคนื สูฐานะเดมิ ในกรณที ่ีการกระทาํ ไดก ระทาํ ไปแลว เปนงาน จะตองทําอยางไร การกลบั คืนสฐู านะเดิมในกรณที ก่ี ารกระทาํ ไดก ระทําไปแลวเปน งาน กฎหมายใหม กี ารชดใชเ งนิ ตามคา ของงานทไ่ี ดท าํ ขึน้ 15.4.3 ขอเปรยี บเทยี บการกลบั สูฐานะเดิมในการเลกิ สัญญากบั การบอกลา ง โมฆยี ะกรรม อธบิ ายขอไดเ ปรียบการกลับสฐู านะเดมิ ในการเลกิ สัญญาการบอกลางโมฆียะกรรม การกลบั คนื สฐู านะเดมิ ในกรณกี ารบอกเลกิ สญั ญากลั ปก ารกลบั คืนสูฐ านะเดมิ ในกรณบี อกลา ง โมฆียะกรรม เปนเร่อื งทก่ี ฎหมายตอ งความคุมครองผหู ยอนความสามารถ หรอื ผแู สดงเจตนาโดยวปิ รติ แต การบอกเลกิ สญั ญาน้นั เปนเร่ืองท่ีคูสญั ญาตองการระงบั ความผูกพนั ระหวา งกนั หรอื เปน เพราะความผดิ ของคูสัญญาฝายใดฝา ยหน่งึ

66 นอกจากนั้น ในกรณโี มฆยี กรรมน้ีถกู บอกลา งหากเปนการพน วิสยั ทจ่ี ะกลบั สฐู านะเดิม กฎหมาย บัญญตั เิ พียงใหคูสญั ญาอกี ฝา ยหนง่ึ ไดร บั คาสินไหมทดแทน แตใ นกรณีของการบอกเลกิ สัญญานนั้ ผูใช สิทธิบอกเลิกสัญญามสี ิทธทิ ี่จะเรยี กรอ งคา เสยี หายท่ีจะพงึ มีพงึ ไดอ กี ทางหน่ึงดว ย 15.4.4 สิทธใิ นการเรียกรอ งคา เสียหายอนั เกิดจากการเลิกสัญญา สิทธใิ นการเรยี กรองคาเสยี หายอนั เกิดจากการเลิกสัญญา คืออยา งไร จากบทบญั ญตั ิในมาตรา 391 วรรคสดุ ทา ยไดบญั ญัตวิ า “การใชสทิ ธิในการเลิกสัญญานน้ั หา กระทบกระทง่ั ถงึ สิทธเิ รยี กรอ งคา เสียหายไม” สาํ หรบั ในเร่ืองน้คี อื การเลิกสัญญานนั้ เปน เรอ่ื งซง่ึ คูสญั ญา ฝายใดฝายหนง่ึ อาจจะใชสทิ ธขิ องตนตามขอ ตกลงในสัญญาหรือโดยบทบัญญตั ขิ องกฎหมาย เลกิ ความ ผกู พนั ทีม่ อี ยใู นระหวา งคูสญั ญาดว ยกนั เอง โดยการบอกเลกิ สญั ญา แตก รณที จ่ี ะกระทบถงึ สทิ ธใิ นการ เรียกรอ งคา เสียหายนน้ั กเ็ ฉพาะในกรณที ลี่ ูกหนต้ี อ งรบั ผดิ ในการไมช ําระหนี้ และจากการไมชาํ ระหนขี้ อง ลกู หนนี้ นั้ เองกอใหเกดิ ความเสยี หายแกค ูสัญญาอกี ฝา ยหนง่ึ เพราะฉะนน้ั นอกจากการที่ถกู บอกเลกิ สัญญาแลว ลกู หนีย้ งั คงจะตอ งชดใชคา เสยี หายแกเ จา หนี้อกี สว นหนึง่ ดว ย 15.4.5 การชาํ ระหน้ีของคูสญั ญาอนั เกดิ จากการเลิกสัญญา ในเรอ่ื งของการชําระหน้ีของคูสัญญาอนั เกิดจากการเลกิ สัญญาน้ัน คืออยา งไร ในเร่ืองการชาํ ระหนขี้ องคสู ญั ญาอันเกดิ จากการเลกิ สญั ญานน้ั มาตรา 392 ไดบัญญัตวิ า“การ ชาํ ระหนขี้ องคสู ญั ญาท่ีเกดิ แตก ารเลกิ สญั ญานนั้ ใหเปน ไปตามบทบญั ญตั แิ หง มาตรา369”ซ่ึงกห็ มายความ วา คูสญั ญาฝา ยหนงึ่ จะไมยอมชาํ ระหน้ี จนกวา อกี ฝา ยหนึ่งจะชาํ ระหน้ีหรือขอปฏบิ ัติชําระหนกี้ ไ็ ด ซ่ึงเปน กรณที ่ีไดกลา วมาแลว ในเรอื่ งลกั ษณะของสัญญาตา งตอบแทน 15.4.6 การเลิกสัญญากับผลกระทบที่เก่ียวกับบคุ คลภายนอก การบอกเลิกสัญญาเม่อื ไดเกิดขึ้นแลวมผี ลตอ คสู ัญญาและบุคคลภายนอกอยา งไรบา ง การบอกเลกิ สญั ญายอ มมีผลทําใหคูส ัญญาท้งั สองฝา ยกลับคืนสฐู านะเดิม แตเงนิ อันจะตอ งใชคืน นั้น กฎหมายบญั ญตั ิใหบ วกดอกเบยี้ นบั แตว ันทไี่ ดร ับไวดว ย แตถ า การทจ่ี ะตอ งคืนแกก นั เปน การเปน งาน อนั ไดทาํ ใหแกกันหรอื เปน การยอมใหใ ชท รพั ยส ิน การชดใชค นื นน้ั กฎหมายบญั ญตั ิใหท าํ ดว ย ใชเงินตาม คาแหงการทที่ าํ ใหก ันหรอื การทีไ่ ดใ ชท รัพยส นิ นนั้ นอกจากน้ันคสู ัญญาฝา ยใดฝา ยหน่ึงอาจใชสิทธเิ รียก คาเสียหายอยา งใดๆ ที่เกิดขึ้นน้ันไดด วย ในสวนทเ่ี ก่ยี วกบั บคุ คลภายนอกยอ มไดร บั ความคมุ ครองตามท่ีกฎหมายไดบ ญั ญตั ไิ ว การบอก เลกิ สัญญายอ มไมเ สือ่ มเสียสิทธิ หรอื กระทบกระเทือนสทิ ธขิ องบุคคลภายนอกผไู ดส ิทธนิ ้นั มาโดยชอบ แบบประเมินผล หนวยที่ 15 การเลิกสญั ญา 1. สิทธกิ ารบอกเลิกสญั ญาทเี่ กดิ จากบทบัญญตั ิของกฎหมายคือ กรณที ่คี กู รณอี ีกฝายหนึ่งไมช ําระหน้ี 2. การบอกเลิกสญั ญายอ มกอ ใหเกิดผลทําให คกู รณกี ลับสฐู านะเดมิ คอื มผี ลยอ นหลงั ไปในเวลาทาํ สญั ญา 3. ก ทาํ สญั ญาเชา บาน ข โดยมขี อกําหนดวา ก ตอ งไมเ อาบา นนัน้ ใหผ ูอืน่ เชา ชวง หาก ข ฝา ฝน มสี ทิ ธบิ อก เลกิ สัญญาได ดังนสี้ ทิ ธิบอกเลิกสัญญาเกิดจาก ขอตกลงในสญั ญา 4. ผลเมอ่ื ไดมกี ารบอกเลิกสัญญาไปแลว กฎหมายหา มถอนการแสดงเจตนาบอกเลกิ สัญญา 5. ก ข และ ค ทาํ สัญญาเชา หอ งของ แดง จากผใู หเ ชา คนละฉบบั โดยแตล ะคนเชาเชา แตละหอง ตอ มา ก แต ผเู ดยี ว ฝาฝน ขอ กาํ หนดในสญั ญาเอาหองแดงสว นของตนไปใหเ ชาชว ง ผใู หเชาบอกเลกิ สัญญา ได โดยบอกเลกิ สัญญาไปยงั ก แตผ ูเดยี ว 6. ก ข และ ค เปน เจา หน้รี วม ประสงคจะบอกเลกิ สัญญากับลกู หน้รี วม คอื จ และ ฉ เจา หนร้ี ว มทกุ คนบอก เลกิ สญั ญาไปยังลูกหนร้ี ว มทกุ คน 7. ก ขายแหวนทองปลอมให ข ข รับซอ้ื โดยเขา ใจวาเปนแหวนทองคาํ ตอมา ค มาซอื้ จาก ข ไปอีก 2 วัน ตอมา ค มาตอ วา ข วา ขายแหวนปลอมให ค เหตกุ ารณด ังน้ี จะบอกเลกิ สญั ญาซอื้ ขายแหวนกบั ก ไมได เพราะ ข ทาํ ใหก ารคนื ทรพั ยกลายเปน การพน วิสยั 8. การบอกเลกิ สญั ญามผี ลเหมอื นกับ การบอกลางโมฆยี ะกรรม 9. การบอกเลิกสญั ญาจะตอ งกระทํา แสดงเจตนาตอคสู ัญญา จงึ จะมีผลเปน การบอกเลิกสญั ญา 10. สิทธกิ ารบอกเลิกสญั ญา กรณีทค่ี ูก รณฝี า ยหนึ่งไมชาํ ระหน้ี เกิดจากบทบัญญตั ขิ องกฎหมาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook