บาลี เคยได้ยินคาว่า สันสกฤต บาลี สนั สกฤต เอ.๊ ....คลา้ ย ๆ เคยไดย้ ินนะ บ้างไหม ? เพือ่ น ถา้ เคยได้ยินคาบาลีและสนั สกฤตมาบา้ งแลว้ ต่อไปนี้เราจะไดร้ ู้จกั ภาษาบาลีและสนั สกฤตว่ามี หลกั สังเกตอยา่ งไรและมีความแตกต่างกนั อยา่ งไร
ตารางเปรียบเทียบภาษาบาลีและสนั สกฤต ภาษาบาลี ภาษาสนั สกฤต 1. ๑. มีสระ ๘ ตัวคือ อะ อา อิ อี 1. มีสระ ๑๔ ตวั คือ อะ อา อิ อี อุ อุ อู เอ โอ อู เอ โอ อา ไอ เอา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ๒. ๒. มีพยัญชนะ ๓๒ ตัว ไม่นบั ๒. มีพยญั ชนะ ๓๔ ตัวไมน่ บั นิคหิต นิคหิต ๓. นิยมใชต้ วั อักษร ฑ ฒ เชน่ ๓. ๓. นิยมใช้ตัวอกั ษร ฬ เช่น จุฬา กรีฑา จุฑา กีฬา ๔. นิยมคาควบกล้าและอกั ษรนา ๔. ๔. ไม่นิยมคาควบกลา้ และ เช่น มัตสยา วิทยา ประถม อักษรนา เชน่ มัจฉา วิชชา ปฐม
ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ๕. ๕. มีหลกั เกณฑ์การใชต้ วั สะกด ๕. หลกั ตวั สะกดตวั ตามไมแ่ นน่ อน ตัวตามแนน่ อน ๖. ใช้ ร และ รร เชน่ อารย จรย ๗. ใช้ ฤ เชน่ อมฤต ตฤน ปฤจฉา ๖. ใช้ ริ เชน่ อริย จริย ๗. ใช้ อะ อิ อุ เช่น อมตะ ฤดู ปจุ ฉา ๘. ใช้ ส เมือ่ ตวั ตามเปน็ ติณ อตุ ุ พยญั ชนะวรรค ตะ (ต ถ ท ธ น) ๘. ใช้ ส เท่านน้ั เชน่ สตรี พสั ดุ สถิติ เปน็ ต้น
เราไดศ้ ึกษามาหลายกรอบแลว้ ถ้าไมเ่ ข้าใจก็ให้ ยอ้ นกลับไปศึกษาใหม่ แตถ่ ้าใครเขา้ ใจดีแลว้ ก็ ศึกษาตอ่ ไป แตอ่ ยา่ ทอ้ แทน้ ะเพือ่ น ๆ ทกุ คนมี ความสามารถในการศึกษาหาความรู้ เราขอเป็นกาลงั ใจ
เราสามารถศึกษาหลกั ท่ัวไปของภาษาบาลีไดจ้ าก ตาราง อักษรสังโยคดงั ต่อไปนี้ พยัญชนะวรรค แถวที่ ๑ แถวที่ แถวที่ ๓ แถวที่ ๔ แถวที่ ๕ ๒ วรรค กะ กขคฆง วรรค จะ จ ฉ ช ฌญ วรรค ฏะ ฎ ฐ ฑ ฒณ วรรค ตะ ตถท ธน วรรค ปะ ปผพ ภม เศษวรรค ย ร ล ว ส (ศ ษ) ห ฬ อ
ในการใชก้ ฎเกณฑข์ องภาษาบาลี เราต้องใช้ตาราง สังโยค ดงั นี้ พยัญชนะวรรค แถวที่ ๑ แถวที่ แถวที่ ๓ แถวที่ ๔ แถวที่ ๕ ๒ วรรค กะ กขคฆง วรรค จะ จ ฉ ช ฌญ วรรค ฏะ ฎ ฐ ฑ ฒณ วรรค ตะ ตถท ธน วรรค ปะ ปผพ ภม เศษวรรค ย ร ล ว ส (ศ ษ) ห ฬ อ
ในกรอบนี้เราจะมาศึกษาลักษณะทวั่ ไปของภาษา สนั สกฤต ซึง่ จะงา่ ยกว่าภาษาบาลี เพราะไม่มี กฎเกณฑต์ ายตวั ตัวสะกดและตัวตามจะอยตู่ า่ งวรรค กัน และนิยมใช้ อักษรควบเป็นตัวสะกด เช่น จักร อัคร บตุ ร และมักจะมีตวั ษ และ รร อยใู่ นคาน้นั ๆ เช่น อกั ษร บษุ บา ราษฎร์ ฤๅษี ภรรยา เป็นตน้ นอกจากนีแ้ ลว้ ยังนิยมใช้ตวั ฑ เชน่ ครฑุ กรีฑา เป็นตน้
นิคหติ (ป. นิคฺคหตี ) หรือ นฤคหิต (ส. นิคฺฤหีต) หรือ หยาดนา้ ค้าง (-) มีลักษณะเป็นวงกลมเล็กๆ ใช้ประสมสระ อึ และ อำ ในกำรเขียนภำษำบำลี ภำสันสกฤตและภำษำเขมรด้วย อักษรไทยใช้นิคหิตเติมเหนือพยญั ชนะแทนเสียง ง และ ม เช่น จหัน อ่ำนว่ำ จงั หัน ช˚ุ นุ˚ อ่ำนว่ำ ชมุ นมุ นอกจำกนี้ในภำษำสนั สกฤตจะใช้นิคหิตแทนเสียง อะ,อิ,อุ อีกด้วย เช่น อมตะ -> อมฺฤต , นิคหิต -> นฤคหิต , ปจุ ฺฉำ -> ปฤจฉฺ ำ
นิคหติ (ป. นิคคฺ หตี ) หรือ นฤคหติ (ส. นิคฤฺ หีต) หรือ หยาดนา้ ค้าง (-) มีลกั ษณะเปน็ วงกลมเลก็ ๆ ใช้ประสมสระ อึ และ อำ ในภำษำสันสกฤตเรียกว่ำ อนุสวาร อนสุ วำร (อนุ + สฺวำร) หมำยถึง เสียงข้ำงหลงั ) เปน็ เครื่องหมำยทีใ่ ช้กำกบั เสียงนำสิก กำรออกเสียงข้ึนกบั สระที่อย่ขู ้ำงหน้ำ เช่น ผล ออกเสียง ผะลัม, ปรุ ิ˚ ออกเสียง ปุริม, เป็นต้น
การประสมรูป การประสมรูป ปรากฏ ใช้เปน็ สระ สทั อักษรสากล /ã/ (พยัญชนะตน้ ) + นิคหิต – องั , อมั (ภาษา /am/, /aːm/ บาล)ี /ɯʔ/, /ɯ/ (พยญั ชนะตน้ ) + นิคหิต + ลากข้าง –ำ อา (พยัญชนะต้น) + พินทอ์ุ ิ + นิคหิต –ึ อึ
สาหรบั หน่วยนีก้ จ็ บบรบิ ูรณ์ ไมม่ ี อะไรยากเกนิ กวา่ ความสามารถของคน นกั เรยี นเป็ นคน นกั เรยี นก็ตอ้ งมี ความสามารถทจี่ ะทาอะไร ๆ ไดเ้ สมอ สว่ นผลจะดหี รอื ไมน่ น้ั ไมเ่ ป็ นไร เพราะ เราสามารถทาไดอ้ กี ถา้ เราไมเ่ ขา้ ใจ ไมป่ ระสบผลสาเร็จ เราก็พยายามทา ใหมอ่ กี ครงั้ เพอื่ ความเป็ นคนทส่ี มบรู ณ์ อยา่ ลมื ทาแบบฝึ กหดั นะจะ๊
โครงสรา้ ง พระไตรปิ ฎก
โครงรา่ งเนอื้ หาสาระ » ทมี่ าของพระไตรปิ ฎก » การแบง่ หมวดหมู่ พระไตรปิ ฎก » รายละเอยี ดแตล่ ะหมวดหมู่
ทมี่ าของพระไตรปิ ฎก การจารกึ พระไตรปิ ฎกครง้ั แรก • เพอื่ ป้ องกนั การผดิ พลาดจากการทอ่ งจาสบื ตอ่ กนั ไป • จงึ เรมิ่ มกี ารจารกึ พุทธวจนะลงในใบลาน ในชว่ งปี พ.ศ. ๔๓๓ ในรชั สมยั พระเจา้ วฏั ฏคา มณีอภยั (ลงั กา)
ทม่ี าของพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ใด เรมิ่ มกี ารแบง่ หมวดหมเู่ ป็ น ๓ หมวด หรอื ท่ี เรยี กวา่ พระไตรปิฎก ในการสงั คายนาครัง้ ที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๔) การสงั คายนาครัง้ ที่ ๑ และ ๒ กไ็ ดม้ กี ารชาระ ทงั้ ธรรม และวนิ ัยครบ ๓ หมวดเชน่ กนั หากแตไ่ ด ้ รวมพระ สตุ ตันตปิฎก และพระอภธิ รรมปิฎกไวใ้ น หมวดเดยี วกนั คอื หมวดธรรม รวมเรยี กทงั้ หมดวา่ “ธรรม และ วนิ ัย”
ทมี่ าของพระไตรปิ ฎก พระไตรปิ ฎกในประเทศไทย พ.ศ. ๒๐๒๐ – จารกึ ในใบลาน สมยั พระเจา้ ตโิ ลก ราช (เชยี งใหม่) พ.ศ.๒๔๓๑ – จดั พมิ พเ์ ป็ นเลม่ หนังสอื ครงั้ แรก ใน รชั กาลที่ ๕ พ.ศ.๒๔๓๖ – ตพี มิ พเ์ สรจ็ เรยี บรอ้ ย และฉลองงาน รชั ดาภเิ ษก พระไตรปิ ฎกรวม ๓๙ เลม่ พ.ศ. ๒๔๖๘ - ตพี มิ พใ์ หม่เป็ นฉบบั ทสี่ มบูรณ์
การแบ่งหมวดหมู่ พระไตรปิ ฎก หลักในกำรจดั หมวดหม่ขู องพระไตรปิฎก ปัจจุบันใช้รูปแบบกำรแบง่ หมวดหมเู่ ชน่ เดียวกบั ที่ใชใ้ นกำรสังคำยนำครงั้ ที่ ๓ พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก พระสุตตนั ตปิฎก พระวนิ ัยปิ ฎก พระวนิ ัยทง้ั หมดของภกิ ษุและภกิ ษุณี สงั ฆกรรม พรสตุ ตนั ตปิ ฎก ประวตั คิ วาม เป็ นมาภกิ ษุณี และประวตั กิ ารสงั คายนา ครง้ั ที่ ๑ และ ๒ พระสตู รขนาดยาวและขนาดกลาง พระสตู รประมวล เป็ นเรอื่ งๆ หรอื เป็ นขอ้ ๆ พรอ้ มเรอื่ งราวประกอบของ แตล่ ะพระสตู ร รวมถงึ ภาษติ สาวก และชาดก พระอภธิ รรมปิ ฎก ขอ้ ธรรมลว้ นๆ แบง่ เป็ นหมวดๆ เป็ นขอ้ ๆ แบง่ ตามธาตุ ธรรมะเป็ น คๆู่ การบญั ญตั บิ คุ คล ถาม-ตอบกถาวตั ถุ
การแบ่งหมวดหมู่พระไตรปิ ฎก โครงสรา้ งพระวนิ ัยปิฎก
การแบ่งหมวดหม่พู ระไตรปิ ฎก โครงสรา้ งพระวนิ ัยปิ ฎก เลม่ ที่ ๑ มหาวภิ งั ค ์ เลม่ ที่ ๒ มหาวภิ งั ค ์
การแบง่ หมวดหมูพ่ ระไตรปิ ฎก โครงสรา้ งพระวนิ ัยปิฎก เลม่ ที่ ๓ ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค์ เลม่ ที่ ๔ มหาวรรค
การแบ่งหมวดหม่พู ระไตรปิ ฎก โครงสรา้ งพระวนิ ัยปิ ฎก เลม่ ที่ ๕ มหาวรรค เลม่ ที่ ๖ จฬู วรรค
การแบง่ หมวดหม่พู ระไตรปิ ฎก โครงสรา้ งพระวนิ ัยปิฎก เลม่ ท่ี ๗ จฬู วรรค เลม่ ท่ี ๘ ปรวิ าส
การแบ่งหมวดหมู่พระไตรปิ ฎก โครงสรา้ งพระสตุ ตนั ตปิฎก ที ม สงั องั ข.ุ
การแบง่ หมวดหมพู่ ระไตรปิฎก โครงสร้ำงพระสุตตนั ตปฎิ ก ๑. ทีฆนิกาย ๓ เล่ม (ชมุ นุมพระสตู รขนำดยำว) เล่ม ๙ สีลขนั ธวรรค มีพระสูตรขนำดยำย ๑๓ สูตร เริ่มด้วย พรหมชำล สูตร (หลำยสูตรกล่ำวถึงควำมถึงพร้อมด้วยสีลขนั ธ์ ซึง่ บำงทีก็จำแนกเปน็ จลุ ศีล มชั ฌิมศีล มหำศีล จึงเรียกว่ำ สีลขนั ธวรรค) เลม่ ๑๐ มหำวรรค มีพระสูตรขนำดยำว ๑๐ สูตร ส่วนมำกชือ่ เริ่มด้วย “มหำ” เช่น มหำปรินิพพำนสูตร มหำสมยสูตร มหำสติปฏั ฐำนสตู ร เปน็ ต้น เลม่ ๑๑ ปำฏิกวรรค มีพระสตู รขนำดยำว ๑๑ สูตร เริ่มด้วยปำฏิกสตู ร หลำยสตู รมีชื่อเสียง เช่น จกั กวตั ติสูตร อัคคญั ญสตู ร สิงคำลกสตู ร และ สังคีติสูตร
การแบง่ หมวดหมพู่ ระไตรปิฎก โครงสร้ำงพระสุตตันตปิฎก ๒. มัชฌมิ นกิ าย ๓ เลม่ (ชุมนมุ พระสตู รขนำดกลำง) เลม่ ๑๒ มูลปัณณำสก์ (ป้นั ต้น) มพี ระสตู รขนำดกลำง ๕๐ สตู ร บำงสตู รอำจจะคนุ้ ชือ่ เชน่ ธรรมทำยำทสูตร สัมมำทิฏฐิสูตร สติปัฏฐำนสตู ร รถวินีตสูตร วีมงั สกสูตร เลม่ ๑๓ มชั ฌิมปณั ณำสก์ (บั้นกลำง) มพี ระสูตรขนำดกลำง ๕๐ สูตร ที่อำจจะคุ้นชื่อ เชน่ เสขปฎิปทำสูตร ชวี กสูตร อปุ ำลวิ ำทสตู ร อภยรำชกมุ ำรสูตร มำคณั ธยิ สตู ร รัฏฐปำล สูตร โพธริ ำชกมุ ำรสตู ร องั คุลมิ ำลสูตร ธรรมเจดียสตู ร วำเสฎฐสูตร เลม่ ๑๔ อุปริปณั ณำสก์ (บ้ันปลำย) มพี ระสูตรขนำดกลำง ๕๒ สตู ร มเี นือ้ หำแตกต่ำง กันหลำกหลำย เชน่ เทวทหสตู ร โคปกโมคคลั ลำนสูตร สัปปรุ ิสสตู ร มหำจัตตำรสี กสตู ร อำ นำปำนสติสูตร กำยคตำสติสตู ร ภัทเทกรตั ตสูตร จูฬกรรมวภิ ังคสูตร สัจจวิภงั คสตู ร ปณุ โณวำทสูตร สฬำยตนวิภงั คสตู ร อินทรียภำวนำสตู ร
การแบง่ หมวดหมพู่ ระไตรปิฎก โครงสร้ำงพระสตุ ตนั ตปิฎก ๓. สงั ยตุ ตนหิ าย ๕ เล่ม (ชุมนุมพระสูตรทีเ่ กี่ยวกับหัวเรือ่ งเดียวกนั ๆ คือ ชมุ นมุ พระสูตร ทีจ่ ัดรวมเข้ำเปน็ กลุ่ม ๆ เรียกว่ำสังยตุ ต์หนึ่ง ๆ ตำมเรือ่ งทีเ่ นือ่ งกัน หรือตำมหัวข้อหรือ บคุ คลที่เกย่ี วข้อง รวม ๕๖ สงั ยตุ ต์ มี ๗,๗๖๒ สูตร) เล่ม ๑๕ สคำถวรรค รวมคำถำภำษติ ทีต่ รสั และกล่ำวตอบบุคคลต่ำง ๆ เช่น เทวดำ มำร ภิกษณุ ี พรำหมณ์ พระเจ้ำโกศล เปน็ ต้น จัดเปน็ กลมุ่ เรือ่ งตำมบคุ คลและสถำนทีม่ ี ๑๑ สงั ยุตต์ เลม่ ๑๖ นิทำนวรรค ครึ่งเลม่ วำ่ ด้วยเหตแุ ละปจั จยั คือ หลกั ปฎจิ จสมุปบำท นอกน้ัน มเี รือ่ งธำตุ กำรบรรลธุ รรมสงั สำรวฎั ลำภสักกำระ เปน็ ต้น จัดเปน็ ๑๐ สังยตุ ต์ เลม่ ๑๗ ขันธวำรวรรค ว่ำดว้ ยเรื่องขนั ธ์ ๕ ในแง่มุมต่ำง ๆ มีเรือ่ งเบ็ดเตลด็ รวมทั้ง เรือ่ ง สมำธิ และทิฎฐติ ่ำง ๆ ปะปนอยู่บำ้ ง จัดเป็น ๑๓ สังยตุ ต์
การแบง่ หมวดหมพู่ ระไตรปิฎก โครงสร้ำงพระสตุ ตันตปฎิ ก ๓. สังยตุ ตนิหาย ๕ เล่ม เล่ม ๑๘ สฬำยตนวรรค เกือบครึง่ เล่มว่ำด้วยอำยตนะ ๖ ตำมแนวไตร ลักษณ์ เรื่องอื่นมีเบญจศีล ข้อปฏิบัติให้ถึงอสังขตะ อนั ตคำหิกทิฏฐิ เลม่ ๑๙ มหำวำรวรรค ว่ำด้วยโพธิปกั ขิยธรรม ๓๗ แต่เรียงลำดบั เป็น มรรค (พร้อมท้งั องค์ธรรมก่อนมรรค) โพชฌงค์ สติปฏั ฐำน อินทรีย์ สัมมปั ปธำน พละ อิทธิบำท รวมท้งั เรื่องที่เกีย่ วข้อง เช่น นิวรณ์ สังโยชน์ อริยสัจจ์ ฌำน ตลอดถึงองค์คุณของพระโสดำบันและอำนิสงส์ของกำรบรรลุ โสดำปตั ติผล จดั เป็น ๑๒ สงั ยตุ ต์
การแบง่ หมวดหมพู่ ระไตรปิฎก โครงสรา้ งพระสตุ ตนั ตปิฎก ๔. องั คตุ ตรนกิ าย ๕ เลม่ (ชมุ นุมพระสตู รทเ่ี พมิ่ จานวนขน้ึ ทลี ะหน่วย คอื ชมุ นุมพระสตู รทจ่ี ัดรวมเขา้ เป็ นหมวด ๆ เรยี กวา่ นบิ าตหนงึ่ ๆ ตามลาดบั จานวนหวั ขอ้ ธรรม รวม ๑๑ นบิ าต หรอื ๑๑ หมวด ธรรมมี ๙,๕๕๗ สตู ร) เลม่ ๒๐ เอก-ทกุ -ตกิ นบิ าต วา่ ดว้ ยธรรม หมวด ๑ (เชน่ ธรรมเอกท่ี ฝึกอบรมแลว้ เหมาะแกก่ ารใชง้ าน ไดแ้ ก่ จติ , องคค์ ณุ ภายในอนั เอกที่ เป็ นไปเพอื่ ประโยชนย์ งิ่ ใหญ่ ไดแ้ กค่ วามไมป่ ระมาท ฯลฯ รวมทงั้ เรอื่ ง เอตทคั คะ) หมวด ๒ (เชน่ สขุ ๒ สบิ สามชดุ , คนพาล ๒, บณั ฑติ ๒, ปฎิ สนั ถาร ๒, ฤทธ์ิ ๒ ฯลฯ) หมวด ๓ (เชน่ มารดาบดิ ามฐี านนะตอ่ บตุ ร ๓ อยา่ ง, ความเมา ๓, อธปิ ไตย ๓, สกิ ขา ๓ ฯลฯ) เลม่ ๒๑ จตกุ กนบิ าต วา่ ดว้ ยธรรม หมวด ๔ (เชน่ อรยิ ธมั ม์ หรอื อารย ธรรม ๔, พทุ ธบรษิ ัท ๔, ปธาน ๔, อคติ ๔, จักร ๔, สงั คหวตั ถุ ๔ ฯลฯ )
การแบง่ หมวดหมพู่ ระไตรปิฎก โครงสรา้ งพระสตุ ตนั ตปิฎก ๔. องั คตุ ตรนกิ าย ๕ เลม่ เลม่ ๒๓ สตั ตก-อฎั ฐก-นวกนบิ าต วา่ ดว้ ยธรรม หมวด ๗ (เชน่ อรยิ ทรัพย์ ๗, อนุสยั ๗, อปรหิ านยิ ธรรม ๗, สปั ปรุ สิ ธรรม ๗,) เลม่ ๒๘ ชาดก ภาค ๒ รวมคาถาอยา่ งในภาค ๑ นัน้ เพม่ิ อกี แตเ่ ป็ นเรอ่ื งอยา่ งยาว ตงั้ แตเ่ รอ่ื งมี ๕๐ คาถา (ปัญญาสนบิ าต) ถงึ เรอื่ งมคี าถามากมาย (มหานบิ าต) จบลงดว้ ยมหาเวสสนั ดรชาดก ซง่ึ มี ๑,๐๐๐ คาถา ภาคนี้ มี ๒๒ เรอ่ื ง บรรจบทงั้ สองภาค เป็ น ๕๔๗ ชาดก
การแบง่ หมวดหมพู่ ระไตรปิฎก โครงสรา้ งพระสตุ ตนั ตปิฎก เลม่ ๒๙ มหานทิ เทส ภาษิตของพระสารบี ตุ รอธบิ ายขยาย ความพระสตู ร ๑๖ สตู ร ในอฎั ฐกวรรคแหง่ สตุ ตนบิ าต เลม่ ๓๐ จฬู นทิ เทส ภาษิตของพระสารบี ตุ รอธบิ ายขยาย ความพระสตู ร ๑๖ สตู รในปารายนวรรคและขคั ควสิ าณสตู รในอรุ ควรรคแหง่ สตุ ตนบิ าต เลม่ ๓๑ ปฏสิ มั ภทิ ามรรค ภาษิตของพระสารบี ตุ รอธบิ ายขอ้ ธรรมทลี่ กึ ซง้ึ ตา่ ง ๆ เชน่ เรอ่ื งญาณ ทฏิ ฐิ อานาปาน อนิ ทรยี ์ วโิ มกข์ เป็ นตน้ อยา่ งพสิ ดาร เป็ นทางแหง่ ปัญญาแตกฉาน เลม่ ๓๒ อปทาน ภาค ๑ บทประพันธร์ อ้ ยกรอง (คาถา) แสดงประวัตพิ ระอรหนั ต์ โดยเฉพาะในอดตี ชาติ เรมิ่ ดว้ ยพทุ ธอป ทาน (ประวตั ขิ องพระพทุ ธเจา้ ) ปัจเจกพทุ ธอปทาน (เรอ่ื งราว ของพระปัจเจกพทุ ธเจา้ ) ตอ่ ดว้ ยเถรอปทาน (อตั ตประวัตแิ หง่ พระอรหนั ตเถระ) เรมิ่ แตพ่ ระสารบี ตุ ร พระมหาโมคคลั ลานะ พระ มหากสั สปะ พระอนุรทุ ธ ฯลฯ พระอานนท์ ตอ่ เรอื่ ยไปจนจบภาค
การแบง่ หมวดหมพู่ ระไตรปิฎก โครงสรา้ งพระสตุ ตนั ตปิฎก เลม่ ๓๓ อปทาน ภาค ๒ คาถาประพันธแ์ สดงอัตตประวัตพิ ระ อรหนั ตเถระตอ่ อกี จนถงึ รปู ท่ี ๕๕๐ ตอ่ นัน้ เป็ นเถรอี ปทานแสดงเรอื่ งราวของพระอรหันตเถรี ๔๐ เรอื่ ง เรม่ิ ดว้ ยพระเถรที า่ มค่ นุ ้ นาม ๑๖ รปู ตอ่ ดว้ ยพระเถรที สี่ าคญั คอื พระมหาปชาบดโี คตมี พระเขมา พระอบุ ลวรรณา พระปฏาจา รา ฯลฯ พระยโสธรา และทา่ นอนื่ ๆ ตอ่ ไปจนจบ เลม่ ๒๖ วมิ ารวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรคี าถา เลา่ ประสบการณ์ ความรสู ้ กึ และคตขิ องคนดี คนชว่ั ตลอดจนพระ คอรวหามันรตสู ้ วกึ าสวกงั เทวจ่ีชะเเตป็อืนนตใวั จอยแา่ลงะเ/ราแ้ กบาบลองั ยใา่จงใสหาลห้ ะรคับวเาราม้ ใชหวั่ เ้ กทดิ า ความดี และเพยี รบาเพ็ญอรยิ มรรค เลม่ ๒๗–๒๘ ชาดก แสดงคตธิ รรมทส่ี ง่ั สอนและเรา้ เตอื น ใหก้ าลงั ใจจากการบาเพ็ญบารมขี องพระพทุ ธเจา้ เอง เลม่ ๓๒–๓๓ อปทาน พทุ ธวงส์ จรยิ าปิฎก เป็ นบทรอ้ ยกรอง บรรยายประวัติ ปฎปิ ทา และจรยิ า ของพระพทุ ธเจา้ พระปัจเจก
การแบง่ หมวดหมพู่ ระไตรปิฎก โครงสรา้ งพระอภธิ รรมปิฎก สงั ว ธา ปุ ก ย ป
การแบง่ หมวดหมู่ พระไตรปิ ฎก โครงสรา้ งพระอภธิ รรมปิฎก เลม่ ที่ ๓๔ ธมั มสงั คณี เลม่ ท่ี ๓๕ ภวิ งั ค์
การแบง่ หมวดหมพู่ ระไตรปิฎก โครงสรา้ งพระอภธิ รรมปิฎก เลม่ ที่ ๓๖ ธาตกุ ถา และ ปคุ คลบญั ญตั ิ เลม่ ที่ ๓๗ กถาวตั ถุ
การแบง่ หมวดหมพู่ ระไตรปิฎก โครงสรา้ งพระอภธิ รรมปิฎก เลม่ ท่ี ๓๘ ยมก เลม่ ท่ี ๓๙ ยมก ๒
การแบง่ หมวดหมพู่ ระไตรปิฎก โครงสรา้ งพระอภธิ รรมปิฎก เลม่ ๔๐ ปัฏฐาน คมั ภรี ป์ ัฏฐาน เลม่ ๔๑ ปัฏฐาน อนุโลมตกิ ปัฏฐาน เลม่ ๔๒ ปัฏฐาน อนุโลมทกุ ปัฏฐาน เลม่ ท่ี ๔๓ อนุโลมทกุ ปัฏฐาน เลม่ ๔๔ ปัฏฐาน อนุโลมปัฏฐาน เลม่ ๔๕ ปัฏฐาน ปัจจนยี ปัฏฐาน
โครงสรา้ งของพระไตรปิฎก ทงั้ ๓ หมวด
โครงสรา้ งบาลพี ระวนิ ัยปิฎก สตุ ต พระวนิ ัยปิ ฎก (๕ บรวิ าร วภิ งั ค ์ คมั ภรี ์ ) ขนั ธกะ มหาวรร จฬู วรรค ค มหา ภกิ ขนุ ี ค(กณรงุ าเจทาพรมยห์ มาหนวาควภิ รทิ :งยั ไาคทลยยั ์ รมาหยาวจนั ฬุ กาาลรงพกมิ รวพณภิ,์ ร๒างั ช๕คว๕ทิ ๓์ ย)า, ลยั , พระไตรปิ ฎกศกึ ษา,
โครงสร้ำงบำลีพระสตุ ตนั ตปิฎก พระสุตนั ตปิฎก (๕คัมภีร์ ) ทฆี มชั ฌมิ นิกาย นิกาย สงั ยตุ ต องั คตุ ตร นิกาย ขทุ ทกนิกาย(๑๕ นิกาย (๑)ขุททกปาฐะ (๒) ธมั มปท (๓ค)มั อภุทารี น)์ (๔) อิติวตุ ตกะ (๕) สตุ ต นิบาต (๖) วิมานวัตถุ (๗) เปตวตั ถุ (๘) เถรคาถา (๙) เถรีคาถา (๑๐) ชาตก (๑๑) นิทเทศ (๑๒) ปฏิสัมภิทามรรค (๑๓) อปทาน (๑๔) พุทธ วงศ์ (๑๕) จริยาปิฎก คณาจารย ์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎกศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพมิ พ,์ ๒๕๕๓), หนา้ ๒๔.
โครงสรา้ งบาลพี ระอภธิ รรม ปิ ฎก พระอภิธรรมปิฎก (๕คมั ภีร์) สงั คณี วภิ งั ค ์ ธาตกุ ถา ปคุ คล บญั ญตั ิ กถาวตั ถุ ยมก ปัฏฐาน
พระพทุ ธศาสนา พระไตรปิฎก เปน็ หลักฐำนช้ันที่ ๑ เรียกว่ำ บำลี เปน็ หลกั ฐำนช้ันที่ ๒ เปน็ คำอธิบำย อรรถกถำ เป็นหลกั ฐำนช้ันที่ ๓ เปน็ คำอธิบำยอรรถกถำ พระไตรปิฎก ฎีกำ อนฎุ ีกำ เปน็ หลักฐำนชั้นที่ ๔ เปน็ คำอธิบำยฎีกำ สชุ ีพ ปุญญำนภุ ำพ, พระไตรปิฎกฉบบั สาหรบั ประชาชน, พิมพ์ครงั้ ที่ ๑๗, (กรงุ เทพมหำนคร : โรงพิมพ์ มหำมกุฏรำชวิทยำลัย, ๒๕๕๐), หน้ำ ๒๓.
วธิ กี ารแบง่ อรรถกถา ● แบ่งตำมผ้แู ต่ง พทุ ธสงั วัณณิตะ (พทุ ธกถา) – พระพุทธเจ้ำอธิบำยพุทธพจนเ์ อง อนพุ ทุ ธสงั วัณณิตะ (อนุพทุ ธกถา) - พระสำวกอธิบำยพุทธพจน์ ● แบ่งตำมภำษำ มคธอรรถกถา – แต่งด้วยภำษำมคธ (บำลี) สิงหลอรรถกถา – แต่งด้วยภำษำสิงหล
วธิ กี ารแบง่ อรรถกถา (ตอ่ ) ● แบง่ ตามยคุ โบราณอรรถกถา – อรรถกถารนุ่ เกา่ อภนิ วอรรถกถา – เรยี บเรยี งขน้ึ ใหม่ (วสิ ทุ ธมิ รรค, คัมภรี ญ์ าโณทัย) - วติ ถารอรรถกถา – เนอ้ื หาตามลาดบั บทบาลี ในพระไตรปิ ฎก - สงั คหอรรถกถา – อธบิ ายเฉพาะบทบาลที ่ี ซบั ซอ้ น คณาจารย ์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎกศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพมิ พ,์ ๒๕๕๓), หน้า ๔๐-๔๕.
วธิ กี ารแบง่ อรรถกถา (ตอ่ ) ● แบ่งตำมสำยคมั ภีร์ ปจั จุบันนิยมใช้แบบนี้ อรรถกถาสายพระวินัยปิฎก – อธิบำยขยำยควำมพระวินัยปิฎก อรรถกถาสายพระสตุ ตนั ตปิฎก – อธิบำยขยำยควำมพระสุตตนั ตปิฎก อรรถกถาสายพระอภิธรรมปิฎก – อธิบำยขยำยควำมพระอภิธรรมปิฎก คณาจารย ์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎกศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพมิ พ,์ ๒๕๕๓), หนา้ ๔๖-๔๗.
อรรถกถาพระวนิ ัยปิฎก มหี ลากหลายคมั ภรี ์ ยกตวั อย่างที่ ใชก้ นั ทว่ั ไปคอื ผลงานของทา่ น พระพุทธโฆษาจารย ์ สมนั ตปาสาทกิ า - อธบิ ายความพระวนิ ัย ปิ ฎก ทง้ั ๕ คมั ภรี ์ กงั ขาวติ รณี (มา ตกิ ฏั ฐกถา) - อธบิ ายสาระแหง่ ปาฏิคณาจารย ์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎกศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพมิ พ,์ ๒๕๕๓),
อรรถกถาพระสตุ ตนั ตปิฎก ยกตวั อยา่ งทใี่ ชก้ นั ทว่ั ไปคอื ผลงานของทา่ นพระ พุทธโฆษาจารย ์ ๑. สุมงั คลวลิ าสนิ ี - อธบิ าย ความในทฆี นิกาย ๒. ปปัญจสูทนี - อธบิ ายความใน มชั ฌมิ นิกาย ๓. สารตั ถปกาสนิ ี - อธบิ ายความ ในสงั ยุตตนิกาย ๔. มโนรถปูรณี - อธบิ ายความใน ๕อ.งั คปตุ รตมรตั นถิกโาชยตกิ า - อธบิ ายความในข ททกนิกาย ๖. ชาตกฏั ฐกถา - อธบิ ายความในขุ คณาจารย ์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาทลยัท, กพนระิไกตารยปิ ฎกศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั
อรรถกถาพระอภธิ รรมปิฎก ๑. อฏั ฐสาลนิ ี - อธบิ ายความ ใ๒น.ธสมั มมั โสมงั คหณวโิี นทนี - อธบิ าย ความในวภิ งั ค ์ ๓. ปรมตั ถทปี นี – อธบิ ายความ ใน ๕ คมั ภรี ์คอื ธาตกุ ถา, ปคุ คล บญั ญมตัหี ,ิลกากถหาวลตั าถยค,ุ ยมั มภกรี .์ ยปกัฏตฐวั าอนย่างที่ ใชก้ นั ทว่ั ไปคอื ผลงานของท่านพ คณาจารรยะ์ มพหุทาวธทิ โยาฆลษยั มาหจาจาฬุ ราลยงก์ รณราชวทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎกศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพมิ พ ์
พระอรรถกถาจารย์ ●พระพทุ ธโฆษาจารย์ ● พระธรรมปาละ ●พระอปุ เสนะ ● พระมหานามะ ●พระพทุ ธทตั ตะ คณาจารย ์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎกศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพมิ พ,์ ๒๕๕๓), หนา้ ๕๖.
คมั ภรี อ์ นุ ฎกี า คมั ภีร์ฎกี ำเถรวำทยคุ แรกหมำยถึงเฉพำะคมั ภีร์ทีอ่ ธิบำยอรรถกถำแต่ยุคหลังหมำยควำม รวมถงึ คัมภีร์ทีอ่ ธิบำยควำมหมำยของคัมภีรอ์ ืน่ ๆด้วย เช่น ฎกี ำพงศำวดำรบำลี เป็นต้น แบ่งตำมสำยคัมภีร์ ● ฎีกาอรรถกถาพระวินยั ปิฎก – อธิบำยขยำยควำมอรรถกถำพระวนิ ัยปิฎก (รวม ๒๑ คมั ภีร)์ ● ฎีกาอรรถกถาพระสตุ ตนั ตปิฎก – อธิบำยขยำยควำมอรรถกถำพระสตุ ตันตปิฎก (รวม ๑๑ คัมภีร์) ● ฎีกาอรรถกถาพระอภธิ รรมปิฎก – อธิบำยขยำยควำมอรรถกถำพระอภิธรรมปิฎก (รวม๔๒ คัมภีร์) คณาจารย ์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎกศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพมิ พ,์ ๒๕๕๓), หนา้ ๙๐-๙๓.
คมั ภรี อ์ นุฎกี า แบ่งตามสายคมั ภรี ์ ในภาษาบาลเี รยี กวา่ อภนิ วฎกี า แปลว่า ● อนุฎีกาพระวินยั ปฎิ ก ใหม่ 1. วินยลกั ขำฎกี ำคมั ภีรใ์ หม่ 2. ขุททกสิกขำฎกี ำคัมภีรใ์ หม่ (พระสมุ ังคลปสำทนฎี กี ำ) 3. มูลสิกขำฎกี ำคัมภีร์ใหม่ ● อนุฎกี าพระสตุ ตันตปฎิ ก 1. ผลงำนพระสำรีบุตรชำวศรีลงั กำ ๑๑ คัมภีร์ 2. ผลงำนพระอนุฎกี ำจำรย์รูปอืน่ ๆ ๒ คมั ภีร์ ● อนุฎกี าพระอภิธรรมปิฎก 1. ผลงำนพระอำนันทะ ๖ คัมภีร์ 2. ผลงำนพระสมุ งั คละ ๖ คมั ภีร์ คณาจารย ์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราช 3. ไม่ปรำกฏผู้แตง่ ๕ คมั ภรี ์ วทิ ยาลยั , พระไตรปิ ฎกศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยรายวนั การพมิ พ,์ ๒๕๕๓), หนา้ ๙๔-๙๘.
Search