Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อินเดียก่อนพุทธกาล

อินเดียก่อนพุทธกาล

Published by pim, 2020-05-22 02:35:03

Description: อินเดียก่อนพุทธกาล

Search

Read the Text Version

•ชมพทู วีป เป็ นช่อื ท่คี นท่วั ไปในสมัยโบราณ เรียก อินเดยี อนั มคี วามหมายถงึ ทวีปต้น หว้า หรือทวีปท่มี สี ัณฐานด่งั ต้น หว้า ใน ปัจจุบันได้แก่ประเทศทงั้ ๔ คอื อนิ เดีย ปากสี ถาน เนปาล และบงั คลาเทศ บางช่วง ท่กี ษัตริย์อินเดียเรืองอานาจ อัฟกานิสถาน กถ็ กู ผนวกเข้ามาด้วย ดงั เช่นสมัยพระเจ้า อโศกมหาราชหรือพระเจ้ากนิษกะ พระเจ้า หรรษวรรธนะ เป็ นต้นชมพทู วปี อย่ทู างทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือของไทย แต่คาว่าชมพู ทวีป กลับไม่เป็ นท่รี ู้จกั ในอินเดียมากนัก ยกเว้นนักการศกึ ษาเท่านัน้ พวกเขาจะรู้จัก คาว่า ภารตะมากกว่าเพราะเป็ นช่อื ท่ีมาจาก ท้าวภารตะ ปฐมวงศ์แห่งราชวงศ์ปาณฑ ปจากเร่ืองมหาภารตะ ความจริงคาท่ี เรียกช่ืออินเดีย มหี ลายช่อื เช่น ภารตะ ฮนิ ดสู ถานสนิ ธุสถาน อินเดีย คา ว่า \"อนิ เดยี \" เพยี้ นมาจากคาว่า สนิ ธุ (Sindhu) อันเป็ นช่ือ

•แม่นำ้ สำคญั ทำงภำคเหนือของอนิ เดยี ชำว เปอร์เซียพูดเพยี้ นเป็ นอนิ ดู ชำวฮอลนั ดำ เรีก อนิ ดสั และองั กฤษเรียกอนิ เดยี ตำมลำดับ อำกำศของชมพทู วปี มีต้งั แต่หนำวทส่ี ุดในเขต เหนือ โดยเฉพำะเทือกเขำหิมำลยั จนถงึ แห้ง แล้งทสี่ ุด ในเขตทรำย รัฐรำชสถำน ดงั น้นั แต่ ละภำคจงึ มีอำกำศไม่เท่ำกนั ด้วยควำมที่ ใหญ่โต จนกล่ำวได้ว่ำเป็ นทวปี เลก็ ๆ (ปSรuะเbทศcทoเี่nคยtเiจnรeิญnรุ่งtเ)รือทงวมปี ำหยนำวึ่งนอำนินเดยี เป็ น เทยี บเคยี งได้กบั อหี ยปิ ต์และจนี หลกั ฐำนทำง รำณคดที ค่ี ้นพบมีหลำยแห่งเช่น ซำก โบรำณสถำนเมืองโมเหนโจ ตำโร ท่แี คว้นสินธุ และมหัปปะที่แคว้นปัญจำปในปำกสี ถำน ซึ่งมี อำยุเก่ำแก่รำว ๓,๕๐๐ ปี ก่อนพทุ ธกำล •ชมพูทวปี ยุคก่อนและยคุ พทุ ธกำลแบ่งแคว้น ออกเป็ น ๑๖ แคว้นใหญ่ ๆ ตำมทปี่ รำกฏในอุ บำลอี ุโบสถสูตร ตกิ นิบำต องั คุตตรนิกำย คือ

•๑.องั คะ ๒.มคธะ ๓. กาสี ๔.โกศละ ๕.วชั ชี ๖.มัลละ ๗.เจตี ๘.วงั สะ ๙.กรุ ุ ๑๐.ปัญจาละ ๑๑.มจั ฉะ ๑๒.สุร เสนะ ๑๓.อสั สกะ ๑๔.อวันตี ๑๕.คนั ธาระ ๑๖.กมั โพ ชะ และมแี คว้นเลก็ ๆ อกี ๕ แคว้นคือ สักกะ โกลยิ ะ ภัคคะ วเิ ทหะ และองั คุตตราปะ •แคว้นพระบดิ าของพระพทุ ธองค์กอ็ ยู่ในแคว้นเลก็ ๆ น่ีอาณาจักรเหล่านีป้ กครองในระบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์คือพระราชามีอานาจเด็ดขาด บ้าง ระบบสามัคคธี รรม คือมสี ภาเป็ นทปี่ รึกษาบ้าง ระบบประชาธิปไตยบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็ นระบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ด้วยเหตุทพี่ ุทธศาสนาถือ กาเนิดในแผ่นดนิ อนิ เดีย จงึ ควรจะได้ศึกษาภูมหิ ลงั ของอนิ เดียในยุคก่อนการกาเนิดของพทุ ธศาสนาพอ สังเขป ดงั นี้ •ชนชาตทิ เี่ ชื่อกนั ว่า เป็ นชนชาติด่งั เดิมของอนิ เดียคือ เผ่าซานโตล (Santole) มุนดา (Mundas) โกลาเรีย (Kolaria) ตูเรเนียน (Turanians) ดราวเิ ดยี น (Dravidians) คนพวกนีเ้ ป็ นพวกผวิ ดาจาพวกหนึ่ง ปัจจุบนั พวกเขายงั พอหลงเหลืออยู่ทรี่ ัฐพหิ าร และเบงกอลของอนิ เดีย

•ตอ่ มาพวกมลิ ักขะ หรือ ดราวเิ ดยี น (Dravidian) ท่ีมีความเจริญมากกวา่ เผา่ เดมิ กไ็ ด้อพยพเข้ามาสอู่ ินเดีย ชนพวกนี ้ ได้ขยายตวั สภู่ าคใต้กลายเป็น พวก ทมฬิ (Tamil) เตุลุคุุ (Teluku) มาลาบารุ (Malabar) และ กนะริส (Kanarise) เป็นต้น คำว่ำ มิลกั ขะ แปลว่ำ เศร้ำหมอง หรือมีผิวดำ •และต่อมาเม่ือประมาณ ๔,๐๐๐ ปี มาแล้ว ชน ชาตอิ ารยัน (Aryans) ซ่งึ เดมิ กล่าวกันว่ามา จากเอเซยี กลาง กอ็ พยพเข้าสู่อนิ เดีย การ ย้ายถ่นิ ของชาวอารยนั แบ่งออกเป็ น ๒ สาย คือ สายแรกไปสู่ยุโรปกลายเป็ นชาวอารยนั ยุโรปในปัจจุบัน สายท่สี องมุ่งสู่

•ทสิ ตะวันออกเฉียงใต้ ตงั้ รกรากแถวทะเลสาบ แคชเบีย้ •ในปัจจุบนั ต่อมาพวกเขาจงึ แยกออกเป็ นสอง สาย คือสายหน่ึงไปสู่ตะวันออกกลางกลายเป็ น ชาวอารยันเปอร์เซยี และอีกเผ่ามุ่งตรงส่อู นิ เดยี ตงั้ รกรากแถวแม่นา้ สทิ ธุตอนบน ลกั ษณะท่วั ไป ของชาวอารยันคือผิวขาว ร่างกายสูงใหญ่ จมกู โด่งศรีษะค่อนข้างยาว ผมสีอ่อน หน้าตาได้ สัดส่วน หน้าตาจงึ ออกไปทางฝร่ังชาวยุโรป สังคมชาวอารยันยุคแรก ๆ ประกอบด้วยนักรบ สามญั ชน พ่อค้า นักบวช ทาส •เน่ืองจากอารยันซ่งึ แปลว่าเจริญรุ่งเรืองเป็ นชน ชาตทิ ่เี จริญมากกว่า มคี วามชานาญในการข่มี ้า ใช้หอกและดาบ เป็ นอาวุธสาหรับทาการรบ มากกว่า จงึ เอาชนะชนพนื้ เมอื งสองเผ่าเบอื้ งต้น ได้ และพลักดนั พวกเขาสู่ภาคใต้ ต่อมาพวกเขา จงึ เร่ิมเรียนรู้ท่จี ะอยู่ด้วยกันอย่างฉันมติ รและมี การแต่งงานข้ามเผ่าพนั ธ์ุ กลายมาเป็ นชน ส่วนมากของอนิ เดยี ปัจจุบัน

•แม้ในด้านการปกครองระยะนีจ้ ะตกอย่ใู น อานาจของชาวอารยนั ผู้มาใหม่ แต่ด้าน วฒั นธรรมด้านศาสนากบั มกี ารผสมผสาน กับวัฒนธรรมท้องถ่นิ พวกมลิ กั ขะเป็ นชน เผ่าท่เี คารพบชู าธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ภเู ขา ดนิ นา้ ไฟ ลม เป็ นต้น โดยถือว่ามี เทพสิงสถติ ย์อยู่ทุกแห่งหน สามารถให้ คุณให้โทษแก่ผู้อ้อนวอนบวงสรวงได้ พวก อารยัน กม็ คี วามเช่ือถือในธรรมชาติ เช่นกนั เช่นพระอาทติ ย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ท้องฟ้า เมฆหมอก พายุ เป็ นต้น โดยถือว่าส่งิ เหล่านีเ้ ป็ นพระเจ้าของตน เม่ือพวกอารยนั เข้ามาตงั้ รกราก ชนทงั้ สอง จงึ มีการผสมผสานเข้ากันกลายมา เป็ นศาสนาพราหมณ์หรือฮนิ ดดู งั เช่น ปัจจุบนั

•ลัทธิครูทงั้ ๖ เป็ นลัทธิท่มี ีมาก่อนยุคพุทธกาล เลก็ น้อยและบางท่านร่วมสมัยกบั พระพุทธองค์มี ประวตั ไิ ม่ ชัดเจนมากนัก หลักฐานท่ไี ด้มาจากพระไตรปิ ฎกิ เป็ นหลักโดยทงั้ ๖ ท่านต่างเป็ นคณาจารย์ท่มี ี ช่ือเสยี งพอสมควร แต่ท่ดี งั มากท่สี ุดจนถงึ ปัจจุบนั คอื นิครนถ์นาฏบุตร หรือมหาวรี ะ ศาสดาของศาสนาเชน ซ่งึ จะได้กล่าวย่อ ๆ แต่ ละลทั ธิดงั นี้ • ๑. ลัทธิปรู ณะกัสสปะ (Purana Kassapa) •ทา่ นนีเ้ป็นบคคลที่มีช่ือเสยี งทา่ นหนง่ึ ใน บรรดาครูทงั้ ๖ ในหนงั สือสมคั ลวิลาสนิ ี ของพระพทธโฆษาจารยปราชญผ้เู รือง นามราวพทธศตวรรษท่ี ๑๐ กลา่ วา่ ท่าน ผ้นู ีเ้กิดในตระกลู วรรณะพราหมณ โตขนึ ้ ออกบวชแบบลทั ธินิยมการนง่ ลมหม่ ฟา้

•หรือเปลือย ในวัยเดก็ เป็ นคนรับใช้ในตระกูลท่ี มีคนรับใช้ ๙๙ คน รวมบูรณะอกี คนหน่ึงเป็ น ๑๐๐ พอดี แต่มีบางมตแิ ย้งว่า คาว่าปูรณะมา จากการบรรลุโพธิญาณมากกว่า เป็ นเร่ืองยาก ท่คี นวรรณะพราหมณ์จะลดตวั มาเป็ นเดก็ รับใช้ ท่านผู้นีม้ ีคาสอนท่วี ่า \"วิญญาณน่ิงอย่เู ฉยๆ ไม่ ทางานอะไร แต่ร่างกายต่างหากทางาน วิญญาณจงึ ไม่ต้องรับผดิ ชอบต่อผลบญุ และ บาปท่รี ่างกายทาไว้และกล่าวว่า บุญไม่มี บาป ไม่มี ทาดไี ม่ได้ดี ทาช่ัวไม่ได้ช่ัว ทาเองกด็ ใี ห้ ผู้อ่นื ทากด็ ี ย่อมไม่มีผล ส่ิงใดกต็ ามท่ไี ด้ทาลง ไปแล้วดกี ต็ าม ช่ัวกต็ ามเท่ากับว่าไม่ได้ทาไม่มี บุญหรือบาปเกิดขนึ้ ทฤษฎีนีเ้ รียกว่า อก ริยทฏิ ฐิ คือการกระทาท่ไี ม่มีผล หรือไม่เช่ือไม่ เช่ือในผลของกรรม\" ซ่งึ ค้านกับคาสอนของ พระพุทธองค์ท่กี ล่าวว่า กายกับจติ เป็ นส่งิ ท่ี เน่ืองถงึ กนั แยกกนั ไม่ได้ ทากรรมเช่นใดย่อม ได้รับผลกรรมเช่นนัน้

• ๒. ลัทธิมักขลโิ คสาล (Magghalikosala) •ท่านผู้นีเ้ ป็ นบุตรพราหมณ์มกั ขลิ มารดาช่ือภทั ทา ณ หมู่บ้านสาลวัน ใกล้เมืองสาวตั ถี พระพทุ ธโฆษาจารย์ กล่าวว่า คาว่าโคสาละ แปลว่าผ้เู กดิ ในคอกวัว สมยั เป็ นเดก็ เป็ นคนรับใช้ วันหน่ึงเดนิ อุ้มหม้อนา้ มันไปตามถนน ด้วยความประมาทจงึ ล่ืนล้ม เจ้านาย จงึ กล่าวเตือนว่า มา ขลิ แปลว่า อย่า ล่ืน จงึ ได้ช่ือว่ามักขลิ ตัง้ แต่นัน้ มา แต่ ทฤษฎีนีก้ ม็ ีผู้แย้งว่าเป็ นไปได้ยากท่ที ่ี คนวรรณะพราหมณ์จะลดตัวเป็ นคน ใช้ ย่งิ ในสมัยก่อนพทุ ธกาล วรรณะ ยังเข้มข้นอยู่

•ลัทธนิ ีม้ คี วามเก่ียวเน่ืองกบั ศาสดา คอื ปารศวนาถต้นกาเนิดศาสนาเชน และเคยเป็ นอาจารย์ของนิครนถ์นาฏ บุตรมาก่อน ลัทธินีม้ ชี ีวติ อย่าง สกปรก ไม่ยอมรับอาหารท่เี ขา เจาะจงถวาย ไม่รับอาหารขณะมีสุนัข อยู่ข้าง ๆ หรือแมลงวันตอมอย่เู พราะ ถือว่าเป็ นการแย่งความสุขของผ้อู ่ืน ไม่รับประทานปลา เนือ้ ไม่ด่ืมสุรา และของมนึ เมา ไม่สะสมข้าวปลา อาหาร ยามข้าวยากหมากแพง

•ลัทธิมีคาสอนว่า \"สัตว์ท้งั หลาย ต้องฟื้ นคืนชีพ มาอีกไม่สูญหายไปจากโลกน้ีและมีภพทไี่ ม่ แน่นอนเปลี่ยนแปลงไม่ว่าภพช้ันตา่ หรือสูง สัตว์ท้ังหลายไม่มีเหตไุ ม่มีปัจจัย การกระทาไม่ มี ผลของการกระทาไม่มีการกระทาทเี่ ป็ นเหตุ เศร้าหมองไม่มี ทกุ ส่ิงทกุ อย่างขน้ึ อย่กู ับความ บังเอญิ และโชควาสนาและอานาจของดวงดาว การกระทาทกุ อย่างอย่ภู ายใต้ชะตากรรม อานาจของดวงดาวมีอานาจเหนือสง่ิ ใดใน พิภพ แม้แต่พระเจ้ายังตกอยู่ในอานาจของ โชคชะตา ด้วยคาสอนแบบนี้มักขลิโทศาลจงึ จดั เข้าในเจ้าลัทธิอเหตกุ ทฏิ ฐิ คือมีความเหน็ ว่า ส่ิงทั้งหลายไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย สงิ่ ท้ังหลาย เป็ นมาของมันเอง โดยมันเองและเพ่ือมันเอง ไม่ มีใครสร้ างและปรุงแต่ ง\" •แนวคาสอนนี้ พระพุทธองค์ตรัสว่าไร้ประโยชน์ ท่สี ุดในบรรดาลัทธิทงั้ หลาย ลัทธินีส้ ืบต่อกัน มาไม่นานก็ขาดหายไป

• ๓. ลัทธิอชิตเกสกมั พล (Ajita kesakambala) • ลัทธินีก้ ่อตงั้ โดยท่านอชิตเกสกัมพลเป็ นผู้มีชื อเสียงก่อนพุทธกาลเลก็ น้อย คาว่า เกสกมั พล แปลว่า ผู้มีผ้านุ่งผ้าห่มท่ที าด้วยผม เป็ นผ้าท่หี ยาบ และน่าเกลียด มีแนวความคิดท่รี ุนแรงคัดค้านทุก ลัทธิรวมทงั้ พุทธศาสนา • ลัทธินีส้ อนว่า \"ทกุ สง่ิ ทุกอย่างขาดสูญ ไม่มีคนไม่มี สัตว์ ไม่มีมารดา บดิ า ทาอะไรกส็ ักว่าแต่ทาเท่าน้ัน การบชู าบวงสรวงกไ็ ร้ผล การเคารพนับถอื ผู้ควร เคารพกไ็ ร้ผล โลกน้ีไม่มี โลกหน้าไม่มี สตั ว์ตาย แล้วขาดสูญ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกดิ เมอ่ื ตาย แล้วกจ็ บทปี่ ่ าช้า ไม่มีอะไรเกดิ อีก บาปบญุ คุณ โทษไม่มี การทาบญุ คอื คนโง่ การแสวงหาความสุข จงึ เป็ นสิง่ ทค่ี วรทา ความสุขทไี่ ด้มาจาก การ ปล้นสะดมภ์ ย่องเบา เผาบ้านสังหารชีวติ กค็ วร ทา\" • ลัทธินี้ หนักไปในทางวัตถุนิยมย่งิ กว่าลทั ธิใด เป็ น ลักษณะอุจเฉททฏิ ฐิ ท่เี ช่ือว่า ตายแล้วขาดสูญ

•๔. ลัทธิปกุธกัจจายนะ (Pakudha Kacchayana) •ลัทธินีก้ ่อตงั้ โดยปกุธกัจจายนะ หน่ึงใน คณาจารย์ท่มี ีช่อื เสียง เล่ากนั ว่าเกิดในตระกูล พราหมณ์ สมัยเดก็ มีความสนใจทางศาสนา เป็ นอย่างย่งิ โตขนึ้ จงึ ออกบวชแสวงหาโมกข ธรรม จนบรรลุธรรมท่มี ุ่งหวัง แล้วส่ังสอนจน กลายเป็ นอาจารย์ท่มี ีช่ือเสียง •ลัทธินีส้ อนว่า \"สภาวะทแี่ ยก หรือทาให้แปร เปล่ียนไปไม่ได้อีก มี ๗ อย่างคอื ดนิ น้า ไฟ ลม สุข ทกุ ข์ วญิ ญาณ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระทา หรือใครเนรมติ ร เป็ นสภาพทยี่ ่ังยนื ้ังม่ัน ไม่ หวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่อาจให้สุข ทกุ ข์ ผู้ฆ่า ผู้ถูกฆ่า บาปกรรมจากการฆ่าจงึ ไม่มี เป็ นแต่ เพียงสภาวะทแี่ ทรกเข้าไปวัตถุทง้ั ๗ เท่าน้ัน\" ความเหน็ ของปกุธกจั จายนะจึง จัดเป็ นสัสสตทฏิ ฐิ คอื เหน็ ว่าโลกเท่ยี ง ซ่งึ เป็ น แนวคาสอนท่ตี รงกนั ข้ามกับพทุ ธศาสนา

•๕. สัญชัยเวลัฏฐบุตร (Sanjaya Velatthaputra) •ท่านสัญชัย เป็ นคณาจารย์ท่มี ชี ่ือเสียง ท่านหน่ึงในสมัยพุทธกาล พระอคั รสาวก คือ พระโมคคลั ลานะและพระสารีบตุ รก็ เคยอยู่กับท่าน เป็ นเจ้าลัทธิของพวกปริพ พาชก ตงั้ สานักเผยแพร่ท่เี มอื งราชคฤห์ แคว้นมคธ ชาวมคธเป็ นจานวนมากต่าง นับถอื ในเจ้าลัทธินี้ •แต่เม่ือพระอคั รสาวกทงั้ สองผละหนีไป พร้อมลูกศษิ ย์เป็ นจานวนมาก จงึ กระอกั เลือดจนถงึ มรณกรรม ท่านสัญชัยมีแนว คาสอนกลับกลอก เอาแน่นอนไม่ได้ ไม่ สามารถบญั ญัตอิ ะไรตายตวั อะไรออกไป ได้ เพราะกลัวผดิ บ้าง ไม่รู้บ้าง โดยคา

•แต่เม่อื พระอคั รสาวกทงั้ สองผละหนีไปพร้อม ลูกศษิ ย์เป็ นจานวนมาก จงึ กระอกั เลือดจนถงึ มรณกรรม ท่านสัญชัยมีแนวคาสอนกลับกลอก เอาแน่นอนไม่ได้ ไม่สามารถบัญญตั อิ ะไร ตายตวั อะไรออกไปได้ เพราะกลัวผดิ บ้าง ไม่รู้ บ้าง โดยคาสอนว่า \"ผลของกรรมดกี รรมชั่วไม่ มี จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ มีกไ็ ม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง โลกนี้โลกหน้าไม่มีจะว่าไม่มีกไ็ ม่ใช่ จะว่ามีก็ ไม่ใช่ ไม่มีท้ังสองอย่าง วิญญาณไม่มี จะว่าไม่มี กไ็ ม่ใช่ มีกไ็ ม่ใช่ ไม่ใช้ทง้ั สองอย่าง\" •ทฤษฎีของท่านสัญชัยจงึ ฟังยากจะเอาแน่ เอา นอนไม่ได้ พดู ซัดส่ายเหมือนปลาไหล ในกร ตงั คสูตร จงึ กล่าวประณามว่า เป็ นลัทธิคนตา บอด ไม่สามารถนาตนและผู้อ่ืนให้เข้าถงึ ความ จริงได้ มีปัญญาทราม โง่เขลาไม่กล้าตดั สนิ ใจ ใด ๆ ได้อย่างเดด็ ขาด เน่ืองจากไม่รู้จริงอย่าง ถ่องแท้

• ๖. นิครนถ์นาฏบุตรหรือศาสดามหาวรี ะ (Mahavira) •ก่อนพทุ ธกาลราว ๔๓ ปี นิครนถ์นาฏบุตร หรือมหาวรี ะ (Mahavira) ก็ได้ก่อตงั้ ลัทธิศาสนาหน่ึงขนึ้ ซ่งึ ปัจจุบนั เรียกว่า ศาสนาเชน ท่านนิครนถ์นาฏบุตร นับเป็ น บุคคลสาคญั ท่สี ุดในบรรดาครูทงั้ ๖ ตานานกล่าวว่าเกดิ ท่กี ุณฑคาม เมอื งไว สาลี แคว้นวัชชีของพวกเจ้าลจิ ฉวี บดิ า นามว่าสิทธัตถะหรือสทิ ธารถะ เป็ น กษัตริย์ลิจฉวพี ระองค์หน่ึง มารดาช่ือ ว่าตฤศลา เน่ืองจากเป็ นคนกล้าหาญ จึง ได้ช่ือว่า มหาวีระ แปลว่า มีความแกล้ว กล้าอาจหาญ

รูปปัน้ ศาสดามหาวรี ะ เบลโกลา่ อนิ เดียภาคใต้ ครัง้ ออกบวชแสวงหาโมกขธรรม ๑๒ ปี จงึ บรรลุโมกษะ เม่ือได้บรรลุแล้วจงึ ได้นามใหม่ว่า ชนิ ะ อันหมายถงึ ผู้ชนะแล้ว ท่านเป็ นศษิ ย์ท่าน ปาร์ศวา (Parsva) ซ่งึ ถือว่าเป็ นศาสดาองค์ท่ี ๒๓ ผู้มีอายุห่างจากท่านมหาวีระเพยี ง ๒๕๐ ปี เท่านัน้ คาว่า ศาสดาในศาสนาเชนเรียกว่า ตัร ถังกร แปลว่า ผู้ถงึ ท่าคือนิพพาน โดยมหาวีระเป็ นองค์ท่ี ๒๔ ได้ส่ังสอน อยู่ ๓๐ ปี จงึ นิพพานหรือ นิรวาน (Nirvan) ก่อนพระ บรมศาสดา อย่างไรกต็ าม มีสาวกของมหาวีระ หรือนิครนถ์นาฏบุตรเป็ นจานวนมากท่ีเปล่ียน กลับมาเป็ นพุทธสาวก

•เชนนับเป็ นศาสนาท่ถี อื หลักการไม่เบยี ดเบยี น หรืออหงิ สาอย่างเอกอุ และท่มี ีแนวคิดใกล้คยี ง กันกับพุทธศาสนา แม้แต่การสร้างพระพุทธรูป ถ้าดอู ย่างผวิ เผนิ ก็ไม่เหน็ ความแตกต่างจาก พระพุทธรูปเท่าใด ยกเว้นจะเปลือยกายและมี ดอกจนั ทน์ท่หี น้าอกเท่านัน้ •ปัจจุบนั มเี ชนศาสนิกชนประมาณ ๖ ล้านคน ท่วั อนิ เดยี โดยมากมฐี านะดี เพราะเป็ นพ่อค้า เสียส่วนใหญ่ จดุ ประสงค์ของลัทธินีก้ เ็ พ่อื จะ หลุดพ้นจากสังสารวัฏ โดยเรียกว่าโมกษะ คอื ต้องสาเร็จเกวลัชญาณก่อน โดยสอนว่า \"การที่ จะนาไปสู่โมกษะได้นั้นคือแก้ว ๓ ดวงคอื มี ความเหน็ ชอบ มีความรู้ชอบ มีความประพฤติ ชอบ เท่านั้น พระเจ้าเป็ นเรื่องเหลวไหล พระ เจ้าไม่สามารถบันดาลทกุ ข์สุขให้ใครได้ ทกุ ข์ สุขเป็ นผลทสี่ ืบเนืองมาจากกรรม การอ้อนวอน กเ็ ป็ นส่ิงทไี่ ร้ประโยชน์ไม่มีสาระ\"

•ลัทธินีถ้ ือว่าการบาเพญ็ ตนให้ลาบาก คอื อตั ตกลิ มถานุโยค ถอื เป็ นทางนาไปสู่ การบรรลุธรรมท่เี รียกว่า โมกษะ ผู้ท่ี ฝึ กฝนดแี ล้ว ย่อมไม่หว่ันไหวทกุ ส่งิ ทุก อย่างท่เี กดิ ทางกาย วาจา ใจ •กล่าวกนั ว่า ท่านมหาวรี ะบาเพญ็ ขนั ติ ธรรมนานจนไม่ขยับเขยอื้ นไปไหน จน เถาวลั ย์ขึน้ พนั รอบกายท่าน •นอกจากนีน้ ักบวชเชนยังต้องรักษาศลี ๕ ข้อย่างเคร่งครัด คอื ๑. เว้นจาการฆ่าส่งิ ท่มี ีชีวติ รวมทงั้ พชื ด้วย ๒.เว้นจาการพดู เทจ็ ๓. เว้นจาการถอื เอาส่งิ ของท่เี จ้าของ ไม่ได้ให้ ๔. เว้นจาการประพฤตผิ ดิ ในกาม ๕. ไม่ยนิ ดใี นกามวตั ถุ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook