ประวัตแิ ละแหลอ่ งท่องเทย่ี ว เมอื งตรงั จัดทาโดย นางสาวณัชชา ชติ ชลธาร รหสั นกั ศึกษา 5806510057 TH2 เสนอ อาจารย์ ฐานนั ท์ ต้งั รจุ ิกลุ
ประวตั ศิ าสตรจ์ งั หวัดตรงั (ฉบับย่อ)ประวัติศาสตรจ์ ังหวดั ตรัง (ฉบบั ยอ่ ) ตรงั เปน็ จงั หวัดหนึ่งทางภาคใตข้ องประเทศไทยด้านฝ่ังทะเลตะวันตกมีหลักฐานความเป็นมาท่ียาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ส่วนการแบ่งยุคหรือสมัยประวัติศาสตร์ของตรังในที่นี้พิจารณาจากเหตุการณ์ภายในของเมืองตรังเป็นหลัก โดยเฉพาะเร่ืองที่ต้ังเมืองซ่ึงเปลี่ยนแปลงไปตามศนู ย์อานาจ แบ่งได้ดังนี้๑.สมัยกอ่ นประวัติศาสตร์ (ประมาณกอ่ นพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓-๑๔) บรรพบุรุษของชาวตรังส่วนหน่ึงพัฒนาจากมนุษย์ถ้าท่ีหาของป่าล่าสัตว์ มารู้จักปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ สร้างบ้านเรือนท่ีอยู่อาศัย อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม กลายเป็นหมู่เขา และหมู่นาหรือหมู่ทุ่ง แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งยังคงวิถีดั้งเดิมเป็นที่รู้จักกันในนามหมู่ซาไก รวมท้ังกลุ่มท่ีเร่ร่อนไปในทะเลก็สร้างที่อยู่ถาวรตามชายฝ่ัง ยังชีพด้วยการประมงจนกลายเป็น
หมู่เลในท่ีสุด นับเป็นการเข้าสู่สังคมเกษตรกรรมและพัฒนาเร่ือยมาจนเกิดชมุ ชนใหญร่ ิมแมน่ า้ ตรงั ต่ อ ม า เ มื่ อ แ ม่ น้ า ต รั ง เ ป็ น เ ส้ น ท า ง ข้ า ม ค า บ ส มุ ท ร ไ ป สู่ เ มื อ ง ท่ า ฝ่ั งตะวันออก มีการกล่าวถึงช่ือ “ตะโกลา” เมืองท่าฝั่งตะวันตกท่ีปรากฏในแผนท่ปี โตเลมี ราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ทาให้นักวิชาการบางกลุ่มกล่าวว่าเมืองตรังน่าจะเป็นที่ตั้งของตะโกลา แต่ก็เป็นเพียงข้อถกเถียงที่ยังไม่ยุติ๒.สมัยประวตั ศิ าสตร์ (ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ -๑๔ ถึงปัจจุบนั ) หลักฐานรุ่นแรก ๆ ได้แก่ จารึกเขาช่องคอย ที่พวกศาสนาฮินดูหรือพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย จารึกไว้ขณะใช้เส้นทางแม่น้าตรังแล้วแยกเข้าคลองกะปาง ผ่านหุบเขาช่องคอยไปยังนครศรีธรรมรา ชจากนั้นก็มีโบราณวัตถุ ได้แก่ พระพิมพ์ดินดิบ อายุประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ พบที่ถ้าต่าง ๆ ในแถบอาเภอห้วยยอด แสดงถึงการผ่านเข้ามาของพุทธศาสนานิกายมหายาน ที่เข้าสู่ชุมชนตามแนวแม่น้าตรังต่อมามีตานานเมืองนครศรีธรรมราช ตานานนางเลือดขาว และตานานท้ อ ง ถ่ิ น ต รั ง เ ร่ื อ ง ก า ร ส ร้ า ง วั ด ส ร้ า ง พ ร ะ ท่ี เ ชื่ อ ม โ ย ง กั บ พ ร ะ บ ร ม ธ า ตุนครศรีธรรมราช บ่งบอกถึงการรับพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ทาให้เห็นความเป็นปึกแผ่นของชุมชนคนตรังหมู่เขา ในแถบชายเขา และหมู่ทุ่งในแถบลุ่มน้าที่เช่ือมต่อกับแม่น้าตรัง มีศาสนาสถานและศาสนาวัตถุเป็นศูนย์กลาง ขณะน้ันคงมีการปกครองในลักษณะเมืองแล้ว เพราะตานานเอ่ยชื่อเจ้าเมืองตรัง หน่ึงในเมือง ๑๒ นักษัตร ของนครศรีธรรมราช ว่าเป็นเมืองตราม้าประจาปีมะเมีย แตท่ ตี่ ง้ั เมืองคงจะอยู่ทางเหนือขึ้นไป เม่ือกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีได้ไม่นานนัก ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ก้าวสู่ยุคใหม่ ด้วยประเทศตะวันตกท่ีเข้ามาเพ่ือแสวงหาดินแดนท่ีอุดมด้วยทรัพยากร เริ่มจากโปรตุเกสเข้ายึดครองมะละกาและตั้งสถานีการค้าเป็นชาติแรก จากนั้นฮอลันดาและชาติอ่ืน ๆ
ตามมาเป็นลาดับ ดินแดนแหลมมลายูจึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างชาติตะวันตกและตะวันออก ทาให้เมืองท่าการค้าหลายแห่งรุ่งเรืองขึ้น เช่น สงขลา ปัตตานี สิงคโปร์ เคดะห์ ขณะท่ีอาณาจักรไทยซ่ึงเคยแผ่อานาจไปถึงมะละกาก็ยอมรับในการเข้ามาของชาวตะวันตกดังในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี ๒ โปรตุเกสเป็นฝรั่งชาติแรกที่เข้ามาติดต่อกับไทย ถึง ๒ ครั้ง ใน พ.ศ.๒๐๕๔ และ พ.ศ.๒๐๕๖ โดยผ่านท่าเรือเมืองตรัง ความเป็นท่าเรอื หมายถึงการมีชุมชนในบริเวณนั้น และคงจะต่อเน่ืองจากสมัยการเข้ามาของพระพิมพ์ดินดิบ จากนั้นจึงมีหลกั ฐานชดั เจนถึงที่ตงั้ เมอื งตรงั ซึ่งแบง่ เปน็ ชว่ งสมัย ดงั นี้ ๒.๑ สมัยตั้งเมืองที่เขาสามบาตร (ก่อน พ.ศ.๒๐๕๔ – ต้นรตั นโกสนิ ทร)์ การเขา้ มาของโปรตเุ กสแสดงว่าชาวยุโรปรู้จักเมืองตรังแล้วในฐานะเมืองท่าปากประตูสู่อาณาจักรไทย แต่ไม่สามารถหาหลักฐานศูนย์กลางที่ต้ังเมืองว่าอยู่ ณ จุดใด จนกระทั่งเวลาผ่านมาอีกร้อยปี จึงมีจารึกเขาสามบาตร หรือเขาสะบาป พ.ศ.๒๑๕๗ ที่ตาบลนาตาล่วง อาเภอเมืองตรังปัจจบุ นั เป็นหลักฐานว่าทตี่ งั้ เมืองอยู่ตรงบริเวณนั้นมาก่อนจารึกและต่อเน่อื งมาอกี ยาวนาน ในสมัยธนบุรี พ.ศ.๒๓๑๙ มีช่ือเมืองตรังปรากฏในแผนท่ีโบราณในสมุดภาพไตรภมู ิฉบบั กรุงธนบุรี และในปเี ดียวกนั นี้สมเด็จพระเจ้าตากสนิ โปรดเกลา้ ฯ ใหย้ กหวั เมืองทั้งหมดของนครศรีธรรมราชไปขึ้นกับกรุงธนบุรี ยกเว้นเมืองท่าทองทางฝั่งทะเลตะวันออก และเมืองตรังทางฝั่งทะ เ ล ตะ วั น ต ก ฐ า น ะข อ ง เ มือ ง ต รั งจึ ง ยั ง เป็ น เ มื อง ใ น ก ากั บ ข อ งนครศรีธรรมราชเม่ือเริ่มสมัยรัตนโกสินทร์ ที่ตั้งเมืองคงอยู่ที่เขาสามบาตร และบางช่วงที่ต้ังบ้านผู้ว่าราชการอยู่ที่บ้านนาแขก ตาบลหนองตรุด ช่วงนั้นปรากฏว่ามีเมืองภูราอีกเมืองหนึ่ง จนถึง พ.ศ.๒๓๓๐ พระภักดีบริรักษ์ผู้ว่าราชการเมือง ได้ขอรวมเมืองตรังทางฝั่งตะวันตกแม่น้าตรังกบั เมอื งภูราทางฝง่ั ตะวันออก เป็นเมืองตรงั ภูรา
๒.๒ สมัยตั้งเมืองที่เกาะลิบง(ต้นรัตนโกสินทร์ก่อน พ.ศ. ๒๓๔๗ -๒๓๕๔)โต๊ะปังกะหวาปลัดเมืองซึ่งอยู่ที่เกาะลิบงได้เลื่อนตาแหน่งเป็นพระยาลิบง ผู้ว่าราชการเมือง เกาะลิบงจึงเป็นที่ตั้งเมืองตามท่ีอยู่ของผู้ว่าราชการและเป็นท่าเรือค้าขาย ทั้งเป็นศูนย์กลางระหว่างเมืองทางทะเลหน้านอก เช่น ถลาง ปีนัง ต่อมาพระยาลิบงเกิดไม่ลงรอยกับเจ้าพระยานครฯ(พัด)รัชกาลท่ี ๑ จึงให้เมืองตรังภูรามาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ใน พ.ศ.๒๓๔๗ เมื่อส้ินพระยาลิบง หลวงฤทธิสงครามได้ว่าราชการต่อมา แต่ไม่สันทัดการบริหารบ้านเมือง รัชกาลที่ ๒ จึงให้ข้ึนต่อสงขลา เมื่อหลวงฤทธิสงครามถึงแก่กรรม เมืองตรังภูราถูกยกกลับมาขนึ้ ตอ่ นครศรีธรรมราชอกี ครั้งหนึ่ง ๒.๓ สมัยตั้งเมอื งที่ควนธานี (พ.ศ.๒๓๕๔ – ๒๔๓๖)พ.ศ.๒๓๕๔ พระบริรักษ์ภูเบศร์(น้อย)ได้เล่ือนเป็นผู้สาเร็จราชการเมืองนครฯ ได้ปรับปรุงตาแหน่งกรมการเมือง มีชื่อหลวงอุภัยราชธานีเป็นผู้พยาบาลเมืองตรัง ต้ังเมืองท่ีควนธานี เมืองตรังยังคงฐานะเป็นเมืองท่าหนา้ ด่านของนครศรธี รรมราช เจา้ พระยานครฯ(น้อย)เขา้ มาจัดการเมืองตรัง ใ ห้ เป็น เมื อง ท่าค้ าข าย และ ฐา นทั พเรื อเ พื่อ ควบ คุม หัว เมือ งม ลา ยูสินค้าออกท่ีสาคัญ ได้แก่ ช้าง และดีบุก เมืองตรังเป็นท่ีต้องรับทูตอังกฤษจากปีนังถึง ๒ คร้ัง และถูกโจรสลัดหวันมาลีเข้าตีเมืองเม่ือ พ.ศ.๒๓๘๑ หลงั จากน้นั ไม่คอ่ ยปรากฏหลกั ฐานเกี่ยวกบั เมอื งตรังเมื่อถึงต้นรัชกาลท่ี ๕ หัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตกมีความสาคัญยิ่งขึ้นในฐานะเปน็ แหล่งดบี กุ ทางส่วนกลางจงึ สง่ ข้าหลวงใหญ่ฝ่ายทะเลตะวันตกมาประจาท่ีภูเก็ตตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๑๘ ต่อมาพวกกรรมกรจีนก่อจลาจลข้าหลวงฯ จึงมาประจาอยทู่ เี่ มอื งตรังคือท่คี วนธานี ฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรสี ุริยวงศ์ (ช่วง บนุ นาค)อดีตผ้สู าเร็จราชการในรัชกาลที่ ๕ ก็ออกมาปรับปรุงเมืองตรัง และให้เมืองตรังขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ แต่สมเด็จเจ้าพระยาฯ ถึงแก่พิราลัยเสียก่อน เมืองตรังถูกปกครองโดยข้าหลวงฯจากภูเก็ต จนถึง พ.ศ.๒๔๓๑ พระยาตรังคภูมาภิบาล (เอี่ยม) ได้เป็นผู้ว่า
ราชการเมือง ต่อมารัชกาลท่ี ๕ เสด็จฯ เมืองตรัง ใน พ.ศ. ๒๔๓๓ ทรงเห็นว่าบ้านเมืองทรุดโทรม จึงโปรดเกล้าฯ แต่งต้ังผู้ว่าราชการเมืองคนใหม่ คือพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี(คอซิมบี๊)ซ่ึงได้ย้ายที่ต้ังเมืองไปยังตาบลกันตงั สาเรจ็ เรยี บร้อยใน พ.ศ.๒๔๓๖๒.๔ สมัยต้ังเมืองทก่ี นั ตงั (พ.ศ.๒๔๓๖-๒๔๕๘) พระยารัษฎาฯ เริ่มงานพัฒนา ได้แก่ การวางผังเมือง ก่อสร้างสถานท่ีราชการ ตัดถนนเพ่ิมระหว่างอาเภอและจังหวัดใกล้เคียง เปิดการค้ากับต่างประเทศอย่างเป็นระบบ และนาพันธ์ุยางพารามาส่งเสริมใหร้ าษฎรปลูกท่ีเมืองตรังเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ระหว่างน้ันเมืองตรังเป็นส่วนหน่ึงของมณฑลภูเก็ต ต่อมา พ.ศ.๒๔๕๓ โครงการทางรถไฟสายใต้ได้กาหนดสายแยกจากทุ่งสงมาสุดปลายทางที่ท่าเรือกันตังจนเปิดการเดินรถได้ใน พ.ศ.๒๔๕๖ การพัฒนาทุกด้านทาให้เมืองตรังก้าวส่คู วามเจริญอยา่ งรวดเร็ว จนมีชื่อกนั ตงั เปน็ เมอื งทา่ ในแผนทีโ่ ลก๒.๕ สมัยต้งั เมืองท่ีทบั เทย่ี ง (พ.ศ.๒๔๕๘ – ปัจจุบนั ) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เสด็จฯ เมืองตรังในปีพ.ศ.๒๔๕๘ ซ่ึงอยู่ระหว่างสงครามโลกคร้ังท่ี ๑ ทรงเห็นว่าท่ีกันตังไม่ปลอดภัยในยามสงคราม ท้ังเป็นท่ีลุ่มมักทาให้เกิดโรคระบาด และยากแก่การขยายเมือง ส่วนที่ตาบลทับเท่ียง อาเภอบางรักหรืออาเภอเมืองตรังในปัจจุบัน เป็นที่ชุมชนมากกว่า ภูมิประเทศก็เหมาะสม จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายท่ีตั้งเมืองไปท่ีตาบลทับเที่ยง ต้ังแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๘ และเปน็ ทตี่ ้ังเมอื งมาจนถึงปัจจุบนั
ประวัตศิ าสตรจ์ ังหวัดตรงั ( ฉบบั ใช้เป็นความนา ) ตรังเป็นเมืองท่าโบราณที่มีประวัติยาวนานนับพันปี สามารถย้อนกลับไปได้ถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ท่ีผู้คนยังไม่รู้จักส่ือสารด้วยตวั อักษร มีหลักฐานตามถา้ เขาตา่ ง ๆ ว่าบรรพบุรุษของชาวตรังอาศัยอยู่บนแผน่ ดินนมี้ าไม่นอ้ ยกวา่ ๕,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐ ปี ต่อมาเม่ือเข้าสู่สมัยความรุ่งเรืองของอาณาจักรโบราณในภาคใต้เช่น ตามพรลิงค์ ศรีวิชัย แม่น้าตรังเป็นหน่ึงในเส้นทางข้ามคาบสมุทรของผู้คนจากอนิ เดีย อาหรับ ตลอดจนยุโรป อ้างอิงได้จากโบราณวัตถุที่ยังหลงเหลืออยู่และตานานท้องถ่ิน เช่น พระพิมพ์ดินดิบที่ถ้าในเขตอาเภอห้วยยอด ตานานนางเลือดขาวท่ีกล่าวถึงการสร้างวัดพระศรีสรรเพชญพุทธสิหิงค์ หลักฐานเหล่าน้ีแสดงให้เห็นว่าท่าเรือเมืองตรังเป็นประตูทางผ่านศาสนา การค้าและการทูตจากต่างแดนตั้งแต่เร่ิมอาณาจกั รโบราณในภาคใต้ โดยเมอื งตรังมีชื่อในฐานะเป็นหน่ึงในเมือง๑๒ นักษัตร ของนครศรีธรรมราชที่ตั้งเมืองแต่เดิมเข้าใจว่าอยู่ทางต้น ๆของแม่น้าตรัง เพ่ิงมีหลักฐานชัดเจนในสมัยอยุธยาว่าอยู่ท่ีเขาสามบาตร
ตาบลนาตาล่วง แล้วมกี ารย้ายทีต่ ้งั อีกหลายครง้ั จนในท่สี ุดมาต้ังท่ีตาบลทบั เทีย่ ง ใ น อ ดีต เมื อ งต รั งมั ก จะ ถู กก ล่ าว ช่ื อใ น ฐา น ะส่ ว นห น่ึ งข อ งนครศรีธรรมราชมาตลอด จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงได้เปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหน่ึงของหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตก และต่อมาเม่ือมีระบบมณฑลเทศาภิบาล ตรงั อยู่ในการปกครองของมณฑลภูเก็ต หลังการประกาศยุบเลิกระบบมณฑลเทศาภิบาล ตรังเป็นจังหวัดหน่ึงของประเทศไทยมาจนปัจจบุ ัน ของดีเมืองตรงั 1.หมูย่างเมอื งตรัง
2.เค้กทา่ บาป แหลง่ ทอ่ งเท่ียวจงั หวดั ตรงั1. ถ้ามรกต เกาะมุก ถ้ามรกต คือ ถ้ากลางท้องทะเลซ่ึงตั้งอยู่ทางฝ่ังทิศตะวันตกของเกาะมุก อ.กันตัง จ.ตรัง ในเขตพ้ืนที่ความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ถ้าแห่งน้ีได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งท่องเท่ียว Unseen Thailand ท่ีมีช่ือเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของ จ.ตรังเพราะไมว่ า่ ใครที่ต้องการจะเดนิ ทางเข้าไปช่ืนชมความงดงามอันเป็นปริศนาภายในถ้ามรกต ต่างก็ล้วนแล้วแต่จาเป็นต้องสวมใส่เสื้อชูชีพแล้ววา่ ยน้าผ่านโถงถ้าอันมืดมิดเป็นระยะทางยาวกว่า 80 เมตรเข้าไปค้นหาความลกึ ลับที่ซุกซ่อนอยภู่ ายใน
2. อทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจา้ ไหม อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม มีเนื้อที่ท้ังหมดประมาณ 144,292.35ไร่ หรือ 230.87 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมท่ีดินป่าคลองไหโละ ป่าคลองปอ และป่าคลองกันตัง ในท้องที่ตาบลไม้ฝาด อาเภอสิเกาตาบลบ่อน้าร้อน ตาบลบางสัก อาเภอกันตัง จังหวัดตรัง ได้รับการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2524นับเป็นอุทยานแห่งชาติลาดับท่ี 36 ของประเทศไทย ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาหินปูนสูงชัน มีเทือกเขาสาคัญอย่างเทือกเขาจองจนั ทร์ เทือกเขาควนเม็ดจนู เทอื กเขาควนแดง เปน็ แหล่งต้นน้าลาธารหลายสายท่ไี หลมารวมกนั เป็นคลองบางสกั
3.เกาะกระดาน เกาะกระดาน จังหวัดตรัง ได้ช่ือว่า เกาะที่มีชายหาดสวยที่สุดในทะเลตรัง พ้ืนที่บนเกาะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมและส่วนของเอกชน พ้ืนที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตความรับผิดชอบของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมท่ี 3(เกาะกระดาน) ทางด้านตะวันออกเป็นสวนยาง สวนมะพร้าว และรีส อ ร์ ท ข อ ง เ อ ก ช น ด้ ว ย ค ว า ม ที่ อ ยู่ ไ ก ล จ า ก ช า ย ฝ่ั ง จึ ง ท า ใ ห้ เ ก า ะกระดานมีน้าทะเลเขียวใส มีแนวชายหาดเกือบรอบเกาะเหมาะกับการเล่นน้า จึงเคยถูกเลือกให้เป็นสถานที่จัดงานวิวาห์ใต้สมุทรของจังหวัดตรัง เกาะกระดานอยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะมุก และเกาะลิบง โดยใช้เวลาเดินทางจากปากเมง ประมาณ 1 ชั่งโมง 40 นาที หรือ
จากท่าเรือควนตุงกู (เรียกอีกชื่อว่า ท่าเรือเกาะมุกต์) โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: