Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้วิทย์พัฒนาธุรกิจ2

ใบความรู้วิทย์พัฒนาธุรกิจ2

Published by tamcomed50, 2020-11-27 14:22:48

Description: ใบความรู้วิทย์พัฒนาธุรกิจ2

Search

Read the Text Version

วิทยาศาสตร์ เพือ่ พัฒนาอาชพี ธรุ กจิ และบรกิ าร รหสั วชิ า ๒๐๐๐๐ - ๑๓๐๓

หนว่ ยที่ ผลิตภณั ฑย์ างและพอลิเมอร์

160 พอลิเมอร์ (Polymer) หมายถึง สารทม่ี โี มเลกุลขนาดใหญ่ เกิดจากโมเลกุลพนื้ ฐานเรียกว่า มอนอ เมอร์ (Monomer) จานวนมากเช่ือมต่อกันด้วยพันธะโควาเลนต์ พอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ ชนิด เดยี วกันเรียกว่า โฮโมพอลิเมอร์ เช่น พอลิไวนิลคลอไรด์ (PVC) แต่บางชนิดมมี อนอเมอรห์ ลายชนิด เรียกว่า โค พอลิเมอรห์ รือพอลิเมอรร์ ่วม เช่น ไนลอน เป็ นตน้

161 โดยท่วั ไปแบง่ ออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ พอลิเมอรธ์ รรมชาติ และพอลเิ มอรส์ งั เคราะห์ พอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เช่น โปรตีน แป้ ง ไกลโคเจน ยาง ธรรมชาติ เส้นใยธรรมชาติ DNA และ RNA และเซลลูโลส พอลิเมอรธ์ รรมชาตเิ หล่านี้ เกดิ จากมอนอเมอรห์ ลาย ๆ หน่วยมารวมกัน

161 สามารถแบ่งออกได้เป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ โฮโมพอลิเมอร์ (Homopolymer) และโคพอลิเมอร์ (Copolymer) เป็ นพอลเิ มอรท์ เ่ี กิดจากมอนอเมอรช์ นิดเดยี วกันมาตอ่ กัน เช่น แป้งไกลโคเจน และเซลลูโลส การจัดเรียงตัว ของมอนอเมอรอ์ าจเป็ นโซก่ งิ่ ก็ได้ โฮโมพอลิเมอรม์ ที ง้ั พอลเิ มอร์ ธรรมชาตแิ ละพอลิเมอรส์ ังเคราะห์ เป็ นพอลิเมอรท์ เ่ี กดิ จากมอนอเมอรห์ ลายชนดิ มาต่อกัน เช่น โปรตนี เป็ นโคพอลิเมอรข์ องกรดอะมโิ นหลาย ชนดิ DNA และ RNA เป็ นพอลิเมอรข์ องนวิ คลีโอไทดห์ ลายชนดิ เป็ นต้น การจัดเรียงตวั ของมอนอเมอรม์ ี ลักษณะแตกตา่ งกัน เช่น เรียงตัวแบบตาข่าย จานวนมอนอเมอรไ์ มเ่ ทา่ กัน โคพอลเิ มอรม์ ที งั้ พอลิเมอรธ์ รรม ชาตแิ ละพอลิเมอรส์ ังเคราะห์

โฮโมพอลิเมอร์ (Homopolymer) โคพอลิเมอร์ (Copolymer) มอนอเมอรแ์ บบท่ี 1 ปฏกิ ริ ิยาพอลเิ มอรไ์ รเซชัน มอนอเมอรแ์ บบท่ี 2 โฮโมพอลิเมอร์ (Homopolymer)

163 เกิดจากโมเลกุลของมอนอเมอรท์ มี่ พี นั ธะคู่ระหว่างคารบ์ อนอะตอม เช่น เอทลิ นี ไวนิลคลอไรด์ และสไตรีน ทาปฏกิ ิริยาต่อกันบริเวณพันธะคู่ไดผ้ ลิตภณั ฑเ์ ป็ นพอลิเมอรโ์ ดยไมม่ สี ารโมเลกุลเล็ก ๆ เกิดขึน้ +++ สภาวะทเ่ี หมาะสม มอนอเมอรท์ กุ หน่วยมาตอ่ กัน พอลิเมอร์ เกดิ จากมอนอเมอรท์ มี่ หี ม่ฟู ังกช์ ันมากกว่า 1 หมู่ ทาปฏกิ ิริยากันเป็ นพอลิเมอรแ์ ละได้สารโมเลกุล ขนาดเลก็ เช่น นา้ แอมโมเนยี แก๊สไฮโดรเจนคลอไรด์ และเมทานอลเกิดขนึ้ ดว้ ย สภาวะทเ่ี หมาะสม + H2O ++ มอนอเมอรต์ ่างชนดิ มหี มฟู่ ังกช์ ันต่างกัน พอลเิ มอรแ์ บบควบแน่น

164 พอลเิ มอรแ์ บบเส้น พอลิเมอรแ์ บบกิ่ง พอลเิ มอรแ์ บบร่างแห เป็ นพอลเิ มอรท์ เ่ี กิดจากมอนอเมอร์ สร้างพนั ธะโควาเลนตเ์ ป็ นโซ่ยาว จะเรียงชิดกันมากกว่าโครงสร้าง แบบอื่น ๆ จึงทาให้มีความหนาแน่นและจุดหลอมเหลวสูง มีลักษณะแข็ง ขุ่น และเหนียวมากกว่า โครงสร้างชนดิ อื่น ๆ

164 เป็ นพอลเิ มอรท์ เี่ กดิ จากมอนอเมอรย์ ึดกันแตกกิ่งก้านสาขาเป็ นชนิดโซ่ส้ันและโซ่ยาวแตกออกไปจากโซ่หลัก ทาให้โซ่พอลิเมอรไ์ ม่สามารถจัดเรียงตัวชิดกันได้ พอลิเมอรช์ นิดนีม้ ีความหนาแน่นและจุดหลอมเหลวต่า ยืดหยุ่นได้ เช่น พอลิเอทลิ ีนชนิดความหนาแน่นต่า Lightly Branched Highly Branched เป็ นพอลิเมอรท์ เ่ี กดิ จากมอนอเมอรต์ ่อเช่ือมกันเป็ นร่างแห พอลเิ มอรช์ นิดนีม้ คี วามแข็งแกร่งและ เปราะหกั งา่ ย เช่น เบกาไลต์ (พอลิฟี นอลฟอรม์ าลดไี ฮด)์ และเมลามนี (พอลเิ มลามนี ฟอรม์ าลดไี ฮด)์ ใช้ทาถ้วยชามและภาชนะใส่อาหารตา่ ง ๆ เป็ นต้น

165 ผลิตภณั ฑจ์ ากพอลเิ อทลิ ีน ผลิตภณั ฑจ์ ากพอลิโพรพลิ ีน ผลติ ภณั ฑจ์ ากพอลิไวนิลคลอไรด์ ผลติ ภณั ฑจ์ ากเมลามนี ฟอรม์ าลดไี ฮด์ ผลติ ภัณฑจ์ ากพอลิสไตรีน ผลติ ภัณฑจ์ ากพอลิเตตระฟลูออโรเอทลิ ีน

171 เส้นใยและผลิตภัณฑจ์ ากเส้นใยปอกระเจา เส้นใยและผลติ ภณั ฑจ์ ากเส้นใยผักตบชวา

172 เสน้ ใยและผลิตภัณฑจ์ ากเส้นใยมะพร้าว เส้นใยป่ านศรนารายณ์

172 ผลติ ภณั ฑเ์ ส้นใยไหม ผลิตภัณฑเ์ ส้นใยจากขนแกะ

175

176 นา้ ยางธรรมชาตจิ ากตน้ ยางพารา

177 ยางแผ่นรมควัน (Ribbed Smoked Sheet : RSS) หมายถึง การนายางแผ่นทผี่ ่านการรีดดอกเรียบแล้ว ไปรมควันใน โรงรมโดยมวี ัตถุประสงคเ์ พอื่ ใหย้ างแผ่นทรี่ มควันนั้นแหง้ สนิท ยางแผ่นทผี่ ่านการรมควันแล้ว เรียกว่ายางแผ่นรมควัน ยางแทง่ (Standard Thai Rubber) คอื ยางทผี่ ่านการย่อยเป็ นชิน้ เล็ก ๆ และอบให้แห้งด้วยความร้อน แล้วจึงอัดเป็ น แทง่ ส่เี หลี่ยมใหม้ นี า้ หนักตามตอ้ งการ

179 ยางเครป (Crepe Rubber) เป็ นยางทไี่ ดจ้ ากการนาเศษยางไปรีดดว้ ยเคร่ืองรีดยางสองลูกกลิง้ โดยท่วั ไปเรียกว่าเคร่ืองเครป ใช้น้าในการทาความสะอาดในระหว่างการรีดเพ่อื นาสิ่งสกปรกออกจากยางในขณะรีดยาง เน่ืองจากยางทใ่ี ช้โดยมากเป็ น ยางทม่ี มี ลู ค่าตา่ มสี ่งิ สกปรกเจือปนค่อนข้างมาก ยางแผ่นผึ่งแหง้ ออกได้เป็ น 2 ประเภท คือ ยางแผ่นรมควัน และผ่ึงลม

180 นา้ ยางข้น (Concentrated Latex) หมายถงึ นา้ ยางธรรมชาตทิ ผี่ ่านกระบวนการเพม่ิ ความเข้มข้น โดยนา้ ยาง ธรรมชาตทิ ผ่ี ่านกระบวนการเพมิ่ ความเข้มข้นแล้ว จะมปี ริมาณเนือ้ ยางประมาณร้อยละ 55–65 ซง่ึ สูงกว่านา้ ยางสดทม่ี ปี ริมาณ เนอื้ ยางประมาณร้อยละ 25–30 ทาใหง้ ่ายต่อการรักษาและสามารถขนส่งไดง้ ่ายขนึ้

184 ลนิ้ หวั ใจ ฟันปลอม ถุงใส่เลือด พลาสตกิ ปพู นื้ สระนา้ ตาข่ายกันแมลงสาหรับปลูกผักปลอดสารพษิ

185 ใช้ปฏกิ ิริยาทางชีวเคมดี ว้ ยการใช้พลาสตกิ ทจี่ ุลนิ ทรียย์ ่อยสลายไดง้ ่าย ใช้สมบตั กิ ารละลายนา้ พลาสตกิ จะชนื้ เมอื่ ถูกกับนา้ เพอื่ ใหพ้ ลาสตกิ ถูกทาลายได้งา่ ย ใช้ แสงแดดเติมหมู่ฟั งก์ชันท่ีว่องไวต่อแสงในโซ่พอลิเมอร์ของพลาสติกจะทาให้หมู่ฟั งก์ชันพร้ อม พลาสตกิ น้ันถูกทาลายดว้ ยแสง ใช้แสงแดดเผาพลาสตกิ ใหเ้ กดิ CO2 และ H2O นากลับมาใช้ใหม่ โดยนาพลาสตกิ ทใี่ ช้แล้วมาผ่านกระบวนการผลติ ใหม่ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชนอ์ ย่างคุ้มค่า

หน่วยที่ สารชวี โมเลกุลในอาหาร

200 สารชีวโมเลกุล (Biomolecule) เป็ นสารอินทรียท์ ม่ี ธี าตคุ ารบ์ อนและไฮโดรเจนเป็ นองคป์ ระกอบ ซงึ่ มโี มเลกุลขนาด ใหญ่มากเมอื่ เทยี บกับโมเลกุลของสารโดยท่วั ไป พบอยู่ในสงิ่ มชี ีวติ ท่วั ๆ ไป มคี วามสาคัญต่อการดารงชีวติ เช่น คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ไขมัน และกรดนิวคลอี กิ เป็ นตน้ Carbohydrate Lipids Protein

202 ประกอบดว้ ยกรดอะมโิ นจานวนมากมาต่อกนั มี ธาตุหลกั ได้แก่ C H O N ธาตุรองไดแ้ ก่ S P

204 Amine group Carboxylic acid group H2N HO C C OH R ‘R’group โปรตนี ประกอบด้วยหน่วยยอ่ ย เรียกวา่ กรดอะมิโน (Amino Acid) เช่ือมตอ่ กนั ดว้ ยพันธะเปปไทด์ พนั ธะเพปไทด์ พันธะเพปไทด์ R1 R2 R3 Rn NH CH COOH H2N CH C NH NH CH C NH NH CH C NH OO O กรดอะมิโน 1 กรดอะมโิ น 2 กรดอะมิโน 3 กรดอะมิโน n

207 โครงสรา้ งปฐมภมู ิ (Primary Structure) โครงสรา้ งตตยิ ภูมิ (Tertiary Structure) โครงสรา้ งทุตยิ ภมู ิ (Secondary Structure) โครงสรา้ งจตุรภูมิ (Quaternary Structure)

207 แบง่ โปรตนี ตามลักษณะการจัดเรียงตวั ในโครงสรา้ ง 3 มิติ แบ่งไดเ้ ป็ น 2 ประเภท ดังนี้ โปรตีนก้อนกลม (Globular Protein) ทาหน้าทเี่ ก่ยี วกับกระบวนการเมทาบอลิซมึ ต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ขนึ้ ภายในเซลล์ เช่น เอนไซม์ ฮอรโ์ มนอินซลู นิ ฮโี มโกลบนิ และ โกลบลู ินในพลาสมา เป็ นต้น โปรตนี เสน้ ใย คอลลาเจน (Fibrous Protein) ทาหน้าที่เป็ นโครงสร้างของโปรตีนเพราะมีความแข็งแรงและ ยืดหยุ่นสูง เช่น ไฟโบรอินในเส้นไหม อีลาสตินในเอ็น และ คอลลาเจนในเนือ้ เยื่อเก่ียวพัน เคราตินในผม ขน เล็บ สัตว์ และ ไมโอซนิ ในกล้ามเนือ้ เป็ นต้น

Substrates 209 Active site Product Enzyme Enzyme–substrate complex Enzyme เอนไซมเ์ ป็ นโปรตีนทที่ าหน้าทเี่ ป็ นตัวเรง่ ปฏกิ ริ ยิ าในเซลลส์ ง่ิ มชี วี ติ โดยการลดพลงั งานก่อกัมมนั ต์ แล้วทาใหอ้ นุภาคของสารตงั้ ตน้ รวมตวั กับเอนไซมไ์ ด้อยา่ งเหมาะสม มีผลทาใหเ้ กิดปฏิกริ ิยาเร็วขนึ้

212 คารโ์ บไฮเดรตเป็ นสารอาหารที่มีความสาคัญและจาเป็ น ต่อชีวิต เป็ นแหล่งของพลังงานและให้พลังงาน คารโ์ บไฮเดรตทา หน้าที่เป็ นองคป์ ระกอบของเซลลต์ ่าง ๆ และเป็ นส่วนประกอบของ ผนังเซลล์ โดยท่วั ไปคารโ์ บไฮเดรตพบในพืชและสตั วใ์ นรูปของน้าตาล แป้ง และเซลลโู ลส เป็ นตน้ โครงสรา้ งของคารโ์ บไฮเดรตแบ่งไดเ้ ป็ น 3 ประเภท ดงั นี้ เป็ นคารโ์ บไฮเดรตทม่ี ีโมเลกุลเล็กมาก ประกอบดว้ ยคารบ์ อน 3 ถึง 8 อะตอม เช่น กลโู คส ฟรกั โตส เพนโทส กาแลกโตส เป็ นต้น สตู รโครงสร้างทางเคมแี บบเสน้ สูตรโครงสร้างทางเคมแี บบวง

212 นา้ ตาลโมเลกุลเดี่ยว ซูโครส แล็กโตส มอลโตส เกิดจากการรวมตวั ของมอนอแซก็ คาไรด์ 2 โมเลกุล เชน่ ซโู ครส เกิดจากกลูโคสรวมตวั กับฟรักโทสอยา่ งละ 1 โมเลกุล โดยพันธะไกลโคซดิ ิกเช่ือมตอ่ ระหวา่ งมอนอแซก็ คาไรดท์ งั้ 2 โมเลกุล ปฏิกริ ยิ าการแยกสลายดว้ ยนา้ เพือ่ สงั เคราะหน์ า้ ตาลมอลโตส + Glucose Glucose Maltose ปฏกิ ริ ยิ าการแยกสลายดว้ ยนา้ เพอื่ สงั เคราะหน์ า้ ตาลซโู ครส + Glucose Fructose Sucrose

212 เป็ นคารโ์ บไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ประกอบดว้ ยมอโนแซ็กคาไรดห์ ลาย ๆ โมเลกุลเชื่อมต่อกัน พอลิแซก็ คาไรด์ มีความสาคญั ต่อสิง่ มีชีวติ ไดแ้ ก่ แป้ง เซลลูโลส และไกลโคเจน แป้งพบในมันฝร่ัง ข้าวโพด ขา้ ว และข้าวสาลี ไกลโคเจนทพี่ บในเนือ้ เยอื่ ของสัตวเ์ ชน่ ในตบั และในกลา้ มเนือ้ สว่ นเซลลูโลสเป็ นโครงสรา้ งของพืช แป้ง : 1–4 linkage of a glucose monomer เซลลโู ลส : 1–4 linkage of b glucose monomer

215 ลิพิดหรือไขมัน (Lipid) เป็ นสารชีวโมเลกุลที่ไม่ ละลายน้า แต่ละลายได้ดีหรือถูกสกัดออกจากเซลลแ์ ละ เนื้อเยื่อได้โดยตัวทาละลายไม่มีขั้ว เช่น คลอโรฟอรม์ อี เธอร์ เบนซิน อะซโี ตน และแอลกอฮอล์ เป็ นต้น ลิพิดพบ ในธรรมชาติทั้งในพืชและสัตว์ พบได้ในสถานะท่ีเป็ น ของแข็งและของเหลว สถานะทเ่ี ป็ นของแขง็

Hydrophilic head (Polar) Nitrogen Phosphorus Oxygen Carbon Hydrogen Hydrophobic tail (Non polar)

215 เป็ นสารอาหารทรี่ า่ งกายขาดไมไ่ ด้ เพราะใหพ้ ลงั งานสงู ช่วยป้องกันการ ถ่ายเทความร้อนและใหค้ วามอบอุ่นแก่ ร่างกาย เป็ นสารประกอบประเภทเอส เทอรท์ เ่ี กดิ จากกรดไขมนั กบั แอลกอฮอลบ์ างชนิดทอี่ ุณหภมู ิ 25 o ไขมันมสี ถานะเป็ นของแข็งเรยี กว่า ไขมนั แตถ่ ้ามสี ถานะเป็ นของเหลว เรยี กว่า นา้ มนั Lipid Cholesterol Protein Carbohydrate หน้าทส่ี าคัญของไขมันเป็ นโครงสรา้ งของเยอ่ื หมุ้ เซลลแ์ ละเป็ นแหลง่ พลงั งานของสง่ิ มีชวี ิต

216 ไขมันและนา้ มนั เป็ นสารประกอบทเี่ รียกว่า ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) เกิดจากการรวมตัวทางเคมี ของกรดไขมนั (Fatty Acids) 3 โมเลกุล กบั กลเี ซอรอล (Glycerol) 1 โมเลกุล ไตรกลเี ซอไรดม์ ีอย่ทู ่วั ไป ในนา้ มนั พชื และนา้ มนั สตั ว์ กรดสเตยี ริก(Stearic acid) Carboxyl group Carboxyl group

กรดโอเลอิก (Oleic acid) 216 Carboxyl group Carboxyl group

หลอดเลอื ดแดง 219 อาหารแหล่งคอเลสเตอรอล คอเลสเตอรอล

หลอดเลือดแดงปกติ หลอดเลือดแดงเกดิ การอุดตนั ช่องทางการไหลเวยี นของเลอื ด มีไขมันอุดตนั ในเส้นเลอื ด

220

221 กรดนิวคลีอกิ (Nucleic Acid) มขี นาดใหญ่คล้ายโปรตีน ประกอบด้วยธาตคุ ารบ์ อน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส ร่างกายสามารถสร้างกรดนิวคลอี กิ ไดจ้ ากกรดอะมิโนและคารโ์ บไฮเดรต ทาหน้าทถี่ ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม

221 ชนดิ ทมี่ นี า้ ตาลไรโบส ชนดิ ทม่ี นี า้ ตาลดอี อกซไี รโบส เบสทแี่ ตกตา่ งกันของกรดทงั้ สองชนิด

มลี ักษณะเป็ นเกลียวคู่ ประกอบด้วย สายพอลินิวคลีโอไทด์ 222 2 สายเชอ่ื มตอ่ กันดว้ ยเบสคู่ทเี่ หมาะสมดว้ ยพนั ธะไฮโดรเจน โดยเบสไทมีนจะจับกับเบสอะดีนีน ส่วนเบสไซโตซีนจะจับ ไทมนี + อะดนิ ีน กับเบสกวานีน ไซโตซนี + กวานีน ไทมนี อะดนิ ีน นา้ ตาลดอี อกซไี รโบส นา้ ตาลดอี อกซไี รโบส ไซโทซนี กวานนี นา้ ตาลดอี อกซไี รโบส นา้ ตาลดอี อกซไี รโบส

223 RNA เป็ นพอลเิ มอรท์ มี่ กี ารเชอื่ มต่อของนิวคลีโอไทดภ์ ายใน สายกรดนิวคลีอิกคล้ายกับ DNAแต่โครงสร้างของ RNA ประกอบด้วยสายพอลินิวคลีโอไทดเ์ พียงสายเดียวและมี เบสอะดนี ีน กวานีนไซโตซนี และยรู าซิล เทา่ นั้น

หน่วยท่ี คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า

234 คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Wave) หมายถึง คล่ืนต่าง ๆ ทมี่ ีความถหี่ รือความยาวคลน่ื ต่างกัน แต่มี ความเร็วคลื่นเท่ากัน ได้แก่ คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นรังสีอัลตราไวโอเลต คล่ืนรังสีเอกซ์ คล่ืนรังสี แกมมา และคล่ืนรังสีอินฟราเรด เป็ นต้น โดยคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้ าเหล่านี้มีความสาคัญต่อชีวิตประจาวัน ของมนุษยอ์ ย่างมาก

234 เจมส์ เคลิรก์ แมกซเ์ วลล์ นักฟิ สิกสช์ าวสก็อต ได้ศึกษาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า กล่าวว่า “คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเกิด จ า ก ก า ร เ ห น่ี ย ว น า ร ะ ห ว่ า ง ส น า ม ไ ฟ ฟ้ า แ ล ะ ส น า ม แ ม่ เ ห ล็ ก ท่ี เปล่ียนแปลงอย่างต่อเนื่อง เป็ นผลให้การเหนี่ยวนาสนามไฟฟ้า และแม่เหล็กแผ่ออกไปเป็ นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซ่ึงการเหน่ียวนา ไม่จาเป็ นต้องอาศัยตัวกลาง โดยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ามีอัตราเร็ว สูงสุดในสุญญากาศและแผ่ออกไปด้วยความเร็วเท่ากับ 3×108 เมตร/วินาที ซึ่งเท่ากับความเร็วของแสง” ดังนั้นแมกซเ์ วลลไ์ ด้ สรุปว่าแสงเป็ นคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า เจมส์ เคลริ ก์ แมกซเ์ วลล์ (James Clerk Maxwell)



237 มคี วามถีอ่ ยู่ในช่วง 104–109 เฮริ ตซ์ การสง่ คลน่ื วิทยุจะตอ้ งใชไ้ มโครโฟน ทาหน้าทเ่ี ปล่ียนเสยี งใหเ้ ป็ นสญั ญาณไฟฟ้า

239 มีความถอ่ี ยใู่ นช่วง 108 – 1012 เฮิรตซ์ การใช้สถานีถ่ายทอดเป็ นระยะ การถ่ายทอดผ่านดาวเทยี ม

239 มคี วามถอ่ี ยใู่ นช่วง 1011–1018 เฮิรตซ์ ภาพถ่ายโดยใช้รังสอี นิ ฟาเรด

240 มีความถป่ี ระมาณ 1014 เฮริ ตซ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook