บทที่ 1 ความรู้เบอื ้ งต้นเก่ยี วกบั สถิติ 1วชิ า โปรแกรมสาเรจ็ รปู สถิติเพ่ืองานวิจัย ครวู รัญญา วรรณราช แผนกวชิ าคอมพวิ เตอรธ์ ุรกจิ
บทที่ 1 ความรู้เบอื ้ งต้นเกยี่ วกบั สถิติ 2 บทท่ี 1 ความรเู้ บ้อื งตน้ เก่ยี วกบั สถิติ 1.1 ความหมายของสถิติ คาว่าสถิติ (Statistics) เป็นคาทีแปลงมาจากศพั ท์บัญญตั ใิ นภาษาเยอรมนั ว่า Statistik เปน็ คาทมี่ ีรากศพั ทม์ าจากคาวา่ “State” ซงึ่ หมายถงึ ขอ้ มูล หรอื ขาว สารซึง่ จะเป็นประโยชนต์ อ่ การบรหิ ารงานของรฐั หรอื ประเทศในด้านต่างๆ ต่อมาใน ปลายศตวรรษที่ 19 ความหมายของสถิติได้เปลยี่ นไป หมายถงึ ขอ้ มลู ทเี่ ป็นตวั เลข เกีย่ วกับการบรหิ ารงานของรฐั เชน่ การสารวจสามะโนครัว เพอื่ ทราบจานวนและความ มัง่ คัง่ ของพลเมือง จนในศตวรรษท่ี 20 “สถติ ”ิ หมายถงึ ขอ้ มูลในเรอ่ื งต่างๆซึ่งไดม้ ีการ เก็บรวบรวมแล้วนามาหาความหมาย เช่น ขอ้ มลู ทางด้านธรุ กจิ ขอ้ มลู สภาพภมู อิ ากาศ ขอ้ มลู การเดินทาง เปน็ ต้น โดยทว่ั ไปแลว้ คาว่า สถติ ิมคี วามหมายได้ 2 นัย คือ สถิตทิ ี่เป็นตัวเลขและสถติ ทิ ี่ เป็นศาสตร์ในความหมายทแี่ ตกตา่ งกันมีดงั นี้ 1. สถติ ิทเ่ี ปน็ ตัวเลข หมายถึง สถติ ทิ ี่ได้มาจากกการเก็บรวบรวมข้อมลู ดว้ ย วธิ กี ารใดๆจากขอ้ มลู จานวนมาก เช่น สถติ ขิ องผปู้ ว่ ยโรคเอดสข์ องประเทศไทยใน รอบ 10 ปี สถติ กิ ารเพมิ่ จานวนรถยนตใ์ นเขตกรุงเทพมหานคร ปี 2552 สถิติการส่งออก ของข้าวไทยในปี 2551 2. สถติ ิทีเ่ ป็นศาสตร์ หมายถึง วชิ าท่ีว่าด้วยการเก็บรวบรวมขอ้ มลู การวิเคราะห์ ขอ้ มูล การนาเสนอขอ้ มลู ชดุ ใดชดุ หน่งึ และความรเู้ กย่ี วกับอนุมานคณุ ลกั ษณะของ ประชากรเป้าหมายจากข้อมูลบางสวนทส่ี มุ่ มา1.2 ประเภทของสถิตศิ าสตร์ สถติ ศิ าสตรส์ ามารถจาแนกได้เปน็ 2 ประเภท คอื สถติ เิ ชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) และสถติ เิ ชงิ อนมุ าน (Inference Statistics) 1.2.1 สถิติเชิงพรรณนา คือ สถติ ทิ ีเกย่ี วกบั ระเบยี บวธิ ที ่ใี ช้ในการอธบิ ายหรอื บรรยายลกั ษณะของขอ้ มลู โดยเป็นการบรรยายลักษณะเฉพาะกลมุ่ ทีเก็บรวบรวมขอ้ มลู มา ไมส่ ามารถนาผลไปอ้างองิ หรอื พยากรณ์คา่ ของกล่มุ อน่ื ๆได้ สถิติประเภทนส้ี ว่ นใหญ่ จะเปน็ การบรรยายลักษณะของขอ้ มลู แบบงา่ ยๆและการจะมีการคานวณเล็กนอ้ ย การ บรรยายลกั ษณะของสถติ เิ ชิงพรรณนาอาจดาเนนิ การดว้ ยวชิ าการใดๆตอ่ ไปนี้ 1. การนาเสนอข้อมลู (Presentation)
บทท่ี 1 ความรู้เบอื ้ งต้นเก่ยี วกบั สถิติ 3 (1) การนาเสนอในรูปบทความ (2) การนาเสนอในรปู ตารางรอ้ ยละ (3) การนาเสนอในรปู ภาพหรอื ชารต์ 2. การแจกแจงความถ่ี (Frequency) (1) ตารางแจกแจงความถ่ีแบบทางเดยี ว (2) ตารางแจกแจงความถี่แบบหลายทาง 3. การวดั แนวโน้มเขา้ สสู่ ว่ นกลาง (Central of Tendency) (1) การคานวณหาค่าตวั กลางตา่ งๆ (ก) ตวั กลางเลขคณิต (ข) ตัวกลางเรขาคณิต (ค) ตัวกลางฮารโ์ มนคิ (2) การหาคา่ ฐานนยิ ม (Mode) (3) การหาตาแหน่งของขอ้ มูล (ก) มัธยฐาน (Median) (ข) ควอไทล์ (Quartiles) (ค) เดไซล์ (Decile) (ง) เปอร์เซ็นไทล์ (Percentiles) (จ) N-ไทล์ (N-tiles) 4. การวดั การกระจาย (Despersion) (1) พิสยั (Range) (2) ส่วนเบ่ียงเบนควอไทล์ (Quartile Deviation) (3) สว่ นเบ่ียงเบนเฉลย่ี (Mean or Average Deviation) (4) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) (5) ค่าความแปรปรวน (Variance) (6) สัมประสิทธ์ขิ องการกระจาย (Coeffcient of Variation) (7) การวัดเกยี่ วกบั โค้งปกติ (ก) การวดั ความเบ้ (Skewness) (ข) การวัดความโด่ง (Kurtosis)1.2.2 สถิติเชงิ อนุมาน (Inference Statistics)
บทท่ี 1 ความรู้เบอื ้ งต้นเก่ียวกบั สถิติ 4 สถิติเชิงอนุมาน คือ สถติ ิท่ีเกยี่ วกบั การนาขอ้ มลู ที่ได้จากตัวอยา่ ง (Sample) ซ่งึเปน็ การศกึ ษาจากขอ้ มลู เพยี งบางกลุ่ม หรอื บางส่วนของประชากรแลว้ นาข้อเทจ็ จริงท่ไี ด้นไ้ี ปอธิบาย หรอื สรปุ ผลลักษณะของประชากร(Population) ท้ังกลุม่ การสรปุ ผลดังกลา่ วจะใช้หลักของความนา่ จะเปน็ (Probability) มาทาการทดสอบสมมติฐานตามท่ีผ้วู จิ ยั กาหนดไว้ สถติ อิ นุมานหรือการอนมุ านทางสถิตจิ ะถูกต้องเพยี งใดน้ันขึ้นอยกู่ ับวธิ กี ารเลอื กขอ้ มลู ซึ่งจะเรียกว่า การสุม่ ตวั อยา่ ง (Random Sampling) ผวู้ ิจัยสามารถสรปุ ผลลกั ษณะของประชากรได้ถูกตอ้ ง ถ้าข้อมลู ตวั อย่างทไี่ ดม้ าบางสว่ นมีวธิ กี ารสมุ่ ท่ีดีกลา่ วคอื ได้ขอ้ มูลทเี่ ปน็ ตัวแทนของประชากร ดงั นัน้ การเก็บรวบรวมข้อมลู จากตวั อยา่ งนัน้ ผวู้ จิ ัยควรจะได้ศกึ ษาถงึ ทฤษฎกี ารสุม่ ตัวอย่าง (Sampling Theory) เพื่อจะได้ตัวอย่างขอ้ มลู ท่เี ป็นตัวแทนของประชากรและจะนาไปส่กู ารสรปุ ผลและอธิบายลักษณะของประชากรไดอ้ ย่างถกู ต้อง รปู ท่ี 1.1 สมุ่ ตัวอยา่ งเพ่ือใช้ในสถติ ิเชิงอนุมาน1.3ข้อมลู และข่าวสาร 1.3.1 ความหมายและองค์ประกอบของงข้อมูล ข้อมลู หมายถึง ข่าวสารหรือขอ้ เทจ็ จริงท่ีเกดิ ขึ้น ซงึ่ อาจเกีย่ วกบั คนหรอื ส่ิงของข้อมลู อาจจะอยใู่ นรูปของตัวเลขหรอื ขอ้ ความซงึ่ ได้จากการนับ การวดั การสงั เกต หรือการบนั ทกึ ข้อมลู ทไ่ี ด้รวบรวมไวเ้ ปน็ ชดุ มีการปรบั ปรงุ แกไ้ ขให้ตรงกบั ข้อเทจ็ จรงิ ที่เป็นอยใู่ นปัจจุบัน ซ่ึงจะเรยี กชุดนัน้ ว่าฐานขอ้ มลู (Data Base) ซึง่ ฐานข้อมลู นจ้ี ะใช้เป็นหลกั ฐานอ้างองิ เพอ่ื คน้ หาความจริงได้ ข้อมลู ในระบบฐานข้อมลู หนึง่ ๆจะมีส่วนประกอบย่อยหลายๆสว่ น ซึง่ แบ่งออกเปน็ ระดับจากระดบั ย่อยทส่ี ดุ ดงั นี้ 1.อักขระ (Character) หมายถงึ ตวั อกั ษร ตวั เลข หรอื เครอื่ งหมายตวั ใดตัวหนึง่
บทที่ 1 ความรู้เบอื ้ งต้นเกย่ี วกบั สถิติ 5 2.เขตข้อมูล (Field) หมายถึง กลมุ่ ของอักขระหรอื สญั ลักษณท์ ่ีรวมกันเพอื่แทนความหมายของตัวเลข 1 จานวน หรอื ขอ้ ความ 1 ข้อความ 3.ระเบยี น (Record) หมายถึง กลมุ่ ของเขตข้อมูลทม่ี คี วามหมายเกย่ี วขอ้ งกนั บนั ทกึ อยูด่ ว้ ยกนั เพอ่ื อา้ งอิงเรอ่ื งใดเรือ่ งหนง่ึ 4.แฟม้ ขอ้ มลู (File) หมายถงึ กลมุ่ ของระเบียนท่ีเกย่ี วขอ้ งกับเร่อื งเดยี วกนั 1.3.2 การแบง่ ลกั ษณะของขอ้ มลู การแบ่งลกั ษณะของข้อมลู แบ่งได้เปน็ 2 ประเภท ดังน้ี 1.ขอ้ มลู เชิงคณุ ภาพ (Qualitative Data) คอื ขอ้ มูลทีม่ ีคา่ ไม่ตอ่ เน่ืองและไมสามารถนาไปคานวณทางคณิตศาสตรไ์ ด้ เปน็ ลกั ษณะของขอ้ มูลทบ่ี รรยายลักษณะของสิง่ ท่ีศึกษา จึงไมอ่ ยใู่ นรปู ของตวั เลข ไมส่ ามารถบอกได้ว่ามีคา่ มากนอ้ ยเท่าไหร่ แต่สามารถกาหนดตวั เลขขน้ึ แทนลักษณะของสิง่ ทศ่ี กึ ษาได้ น่นั คอื ขอ้ มลู ในมาตรานามบญั ญัติ (Norminal Scale) และมาตราเรยี งลาดบั (Ordinal Scale) เช่น การแบ่งกล่มุขอ้ มลู นกั ศึกษาของวิทยาลยั อาชวี ศกึ ษาร้อยเอด็ ได้แก่ ระดับประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ(ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวชิ าชีพชัน้ สูง (ปวส.) และให้ 1 แทนระดับประกาศนียบตั รวชิ าชพี (ปวช.) และให้ 2 แทนระดบั ประกาศนยี บัตรวชิ าชีพช้นั สูง(ปวส.) หรอื ตวั อยา่ งการแบ่งกลุ่มคณะสีของนกั ศึกษาวิทยาลยั อาชวี ศกึ ษาร้อยเอด็ ได้แก่คณะสีแดงทบั ทมิ คณะสีเหลอื งอาพนั คณะสีนา้ เงินไพริน และคณะสีเขยี วมรกต โดยให้นักศกึ ษาทอี่ ยคู่ ณะสแี ดงทบั ทิมแทนด้วยหมายเลข 1 คณะสีเหลืองอาพนั แทนดว้ ยหมายเลข 2 คณะสีนา้ เงนิ ไพรนิ แทนด้วยหมายเลข 3 และคณะสเี ขียวมรกตแทนด้วยหมายเลข 4 เป็นตน้ 2.ขอ้ มูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) คอื ขอ้ มลู ที่มคี ่าต่อเนื่องกนั และสามารถนาไปคานวณทางคณติ ศาสตรไ์ ด้ สามารถเปรียบเทยี บความแตกตา่ งได้ เป็นขอ้ มลู ตัวเลขที่บอกค่าความมากและนอ้ ย เปรยี บเทยี บในรปู ของอัตราสวนได้ ซึง่ ก็คือขอ้ มูลในมาตราอันตรภาค (Interval Scale) และมาตราอัตราสว่ น (Ratio Scale) เช่นข้อมลู อายุ น้าหนกั ความสงู พ้ืนที่ เป็นตน้ 1.3.3 แหลง่ ข้อมลู ข้อมูลท่ีเกบ็ รวบรวมมาได้สามารถจาแนกตามแหลง่ ที่มาได้ 2 ประเภท คือ 1. ขอ้ มูลปฐมภมู ิ (Primary Data) เปน็ ขอมูลที่ไดจ้ าแหล่งขอ้ มลู โดยตรงหรอื ที่เรยี กว่าแหล่งปฐมภมู (ิ Primary Data) ซงึ่ เป็นแหลง่ ที่เกดิ ของขอ้ มูล ขอ้ มลู ปฐมภูมทิ ่ีไดม้ านถี้ อื วา่ เปน็ ข้อมลู ทีน่าเชอ่ื ถือไดม้ ากทส่ี ดุ เพราะไดจ้ ากแหลง่ ขอ้ มลู โดยตรงและยัง
บทที่ 1 ความรู้เบอื ้ งต้นเกีย่ วกบั สถิติ 6ไม่มีการเปล่ยี นรปู เปลยี่ นความหมาย เชน่ ขอ้ มลู ที่ได้จากแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบสังเกต แบบทดสอบ ฯลฯ 2. ข้อมูลทตุ ยิ ภมู ิ (Secondary Data) เป็นขอ้ มูลทไี ดจ้ ากแหล่งทมี่ ผี ้เู ก็บขอ้ มลูมาแล้ว หรือทเี่ รยี กวา่ แหลง่ ทตุ ยิ ภมู ิ (Secondary Data) ข้อมูลทไี่ ด้จากแหลง่ ทุติยภมู ิน้ีอาจมกี ารเปล่ยี นรูปหรอื เปลีย่ นความหมาย ซึง่ อาจมคี วามคลาดเคล่อื นจากความเป็นจริงได้ ในบางครัง้ ผูว้ จิ ยั ไม่สามารถนาข้อมลู จากแหล่งปฐมภูมไิ ดจ้ งึ จาเปน็ ตอ้ งใชข้ ้อมลูจากแหล่งทุตยิ ภูมิ เชน่ ขอ้ มลู ในอดตี ผวู้ ิจยั จาเป็นตอ้ งนาขอ้ มลู ทไี่ ด้จากการจดบันทกึ ไว้แล้วมาทาการวจิ ัย เป็นต้น1.4 มาตรการวดั ในการเตรียมขอ้ มลู เพอื่ การวเิ คราะห์ จะตอ้ งเขา้ ใจข้อมลู ทเี่ กบ็ มาได้ ซ่งึ ข้อมลู ท่ีเกบ็ รวบรวมมาได้นั้นอาจมลี กั ษณะตา่ งกนั เพือ่ การเลอื กใชส้ ถิติที่เหมาะสมในการประมวลผล ซึ่งสามารถจดั ระดบั ของขอ้ มลู ได้ 4 ระดับ ตามวธิ ีการวัดคา่ ตังตอ่ ไปน้ี 1.4.1 มาตรานามบัญญัติ (Norminal Scale) มาตรานามบญั ญตั ิ (Norminal Scale) เป็นระดับของขอ้ มลู ที่ได้จากวัดแบบง่ายท่ีสดุ คอื เปน็ การแบง่ แยกประชากรทจี่ ะศึกษาออกเปน็ กลุม่ หรอื เปน็ พวก โดยแตล่ ะกลมุ่ และแต่ละพวกมคี วามเทา่ เทยี มกัน เชน่ แบง่ ประชากร โดยใชเ้ พศเปน็ ตัวแบ่ง คอื ชายและหญิง แบ่งประชากร โดยใชภ้ าคเป็นตัวแบ่ง คือ ภาคเหนอื ภาคใต้ ภาคกลางภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื และภาคตะวนั ออก จะเห็นว่าแต่ละกลุ่มแยกออกจากกันและกนั แสดงถงึ ความแตกต่างของประชากร ในการนาไปใชอ้ าจกาหนดตวั เลขหรอื สญั ลกั ษณ์แทนกลุ่ม เชน่ ถ้าเปน็ เพศชาย กาหนดใหเ้ ป็น M เพศหญิง กาหนดให้เปน็ Fหรอื การกาหนดเบอรใ์ ห้กลบั นักฟตุ บอล ผรู้ กั ษาประตเู ป็น 1 กองหนา้ เปน็ 2, 3, ฯลฯ ตัวเลขหรือสญั ลกั ษณ์เหล่านเี้ ปน็เพียงชอื่ ที่แทนกลมุ่ เทา่ นั้น ไม่สามารถนามาใชใ้ นการคานวณทางคณิตศาสตรไ์ ด้ 1.4.2 มาตราเรยี งลาดบั (Ordinal Scale) มาตราเรยี งลาดบั (Ordinal Scale) เป็นระดับของขอ้ มลู ทกี่ าหนดรายละเอยี ดของการวัดเพ่ิมขนึ้ จากระดับนามบัญญตั ิ กล่าวคอื นอกจากจะแบง่ แยกขอ้ มลู อออกเป็นกลมุ่ แลว้ ยงั สามารหาระดับความแตกตา่ งระหวา่ งกล่มุ ไดด้ ้วย ซงึ่ ระบบการวัดแบบนี้ใชห้ ลกั ของความมากกวา่ ความนอ้ ยกว่า เช่น การแบ่งประชากรโดยใช้ความคดิ เหน็ ซงึ่ อาจมีระดบั ตา่ งๆ เช่น เหน็ ดว้ ยอยา่ งย่ิง เหน็ ด้วย ไมม่ คี วามเห็น ไมเ่ ห็น
บทท่ี 1 ความรู้เบอื ้ งต้นเกยี่ วกบั สถิติ 7ด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยงิ่ การแบง่ สินค้าโดยใชค้ ณุ ภาพของสนิ คา้ คอื ดี พอใช้ ตอ้ งปรับปรุง จากตวั อย่างดงั กลา่ ว สามารถบอกความแตกตา่ งของแตล่ ะกลมุ่ ขอ้ มลู ได้โดยจดั อันดบั ของขอ้ มูล แต่ไมส่ ามารถกาหนดปริมาณความนอ้ ยกว่าหรอื มากกวา่ ออกมาเป็นตวั เลขทแ่ี น่นอนได้ เช่น สามารถบอกได้ว่าสนิ ค้าท่มี ีคณุ ภาพนั้นยอ่ มจะดีกวา่ สินคา้พอใช้ แต่ไม่สามารถบอกได้วา่ ดกี วา่ เป็นตวั เลขเทา่ ไร การใชต้ วั เลขหรอื สัญลกั ษณ์ใดๆกาหนดอันดบั ความมากกว่าหรอื นอ้ ยกวา่ จะไมม่ ผี ลตอ่ ข้อมลู เช่น การให้ร้อยตรีติดดาว 1ดวง รอ้ ยโทตดิ ดาว 2 ดวง และรอ้ ยเอกตดิ ดาว 3 ดวง อาจกาหนดใหมใ่ ห้ร้อยเอกตดิ ดาว 1 ดวง รอ้ ยโทตดิ ดาว2 ดวง และรอ้ ยตรีติดดาว 3 ดวง โดยทอ่ี นั ดับก่อน และหลงั ย่อมไม่เปลย่ี นแปลง ตวั เลขท่แี ทนขอ้ มลู ระดับนย้ี งั ไมสามารถนามาคานวณทางคณติ ศาสตรไ์ ด้ 1.4.3 มาตราอนั ตรภาค (Intervel Scale) มาตราอนั ตรภาค (Intervel Scale) เปน็ ระดบั ของข้อมูลที่มคี ณุ สมบัตทิ ี่เพิ่มเติมจากการวดั ระดบั เรียงระดบั กลา่ วคอื สามารถกาหนดปริมาณของความแตกตา่ งระหวา่ งอนั ดบั ได้ เพราะการวัดแบบนีห้ นว่ ยของการวดั มีลักษณะคงที่ซง่ึ เปน็ มาตรฐานในการกาหนดคา่ เปน็ ตัวเลข เช่น ระดบั อุณหภมู ิ สามารถบอกไดว้ า่ อณุ หภมู ิ 30 องศา รอ้ นกว่าอุณหภมู ิ 20 องศา อยู่ 10 องศา แตก่ ารวดั ระดับนี้จดุ เร่มิ ตน้ ถอื วาไม่เปน็ ธรรมชาติกลา่ วคอื ไมม่ ีศนู ย์สัมบรู ณ์ (Absolute Zero) ซึง่ ความหมายของศนู ยใ์ นระดับนี้ไมไ่ ด้หมายความวา่ ไมม่ ีคา่ การวดั ระดบั นีเ้ ป็นเพยี งแตท่ ราบระดับเปรียบเทยี บเทา่ นน้ั เชน่ ในการวกั อุณหภูมิถา้ ใช้ระบบฟาเรนไฮต์จะเริม่ จาก 32 องศา แตถ่ า้ ใชร้ ะดับเซลเซียสจะเร่ิมจาก 0 จะเหน็ ไดว้ า่ การกาหนดจดุ เร่ิมตน้ นัน้ เปน็ การกาหนดตามใจชอบ ไมม่ ีจดุ เรมิ่ ตน้ ทีเปน็ ธรรมชาติ ถึงแม้วา่ การกไหนจุดเรม่ิ ต้นไมเ่ หมอื นกนั แตถ่ า้ หน่วยของการวัดมีมาตรฐานคงทีแ่ ลว้ การเปรยี บเทยี บกลบั กันก็อาจทาได้ ดงั ตารางที่ 1.1ตารางที่ 1.1 การเปรียบเทียบจานวนองศาของเซลเซยี สกับฟาเรนไฮต์ชนดิ องศา จานวนองศาเซลเซียส 0 10 30 100ฟาเรนไฮต์ 32 50 86 212ไม่ว่าจะใช้ระบบใด ผลตา่ งของการเปรยี บเทียบอัตราส่วนยังคงเปน็ 2 แมว้ า่ จดุ เร่มิ ต้นจะไม่เทา่ กนั ตวั เลขที่ได้จากการวัดระดับชนั้ สามารถนามาบวกลบกันได้1.4.4 มาตรฐานอัตราสว่ น (Ratio Scale)
บทท่ี 1 ความรู้เบอื ้ งต้นเก่ยี วกบั สถิติ 8 มาตรฐานสว่ น Ratio Scale เปน็ ระดบั ของขอ้ มูลทถ่ี อื วา่ มีความสมบรู ณท์ สี่ ุดและเปน็ การวัดระดับสูงสุดมจี ุดเร่ิมต้นเป็นธรรมชาติ คอื มศี นู ยแ์ ทท้ ี่หมายความถึงการไม่มีคา่ เชน่ นา้ หนกั สว่ นสงุ อายุ ฯลฯ ขอ้ มูลบางชนิดไม่สามารถวดั ได้ถึงระดับนี้ เชน่ขอ้ มูลทางพฤตกิ รรม ทศั นคติ ข้อมลู ในระดับนส้ี ามารถนาไปคานวณทางคณิตศาสตรไ์ ด้1.5 ระเบยี บวธิ ที างสถิติระเบยี บวธิ ที างสถติ ิ เปน็ การศึกษาถงึ ข้ันตอนวธิ กี ารดาเนินการทางสถติ ิ ซง่ึ ประกอบด้วยข้นั ตอนต่างๆ ดงั นี้ 1.5.1 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล (Collection of Data)การเก็บรวบรวมขอ้ มูล หมายถึง การเก็บรวบรวมขอ้ ความหรอื ตัวเลขท่ตี อ้ งการจากประชากรทีม่ คี ุณสมบตั สิ อดคล้องตามความตอ้ งการ เช่นจะศึกษาจานวนชาวเขาทีม่ อี ยูใ่ นจังหวดั เชยี งใหมก่ ต็ อ้ งรวบรวมตวั เลขจานวนชาวเขาทมี่ ีอยู่ในจงั หวดั เชียงใหม่ เปน็ ต้น การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จาแนกไดเ้ ป็น 4 วิธีการท่ีสาคญัดังน้ี 1.การเก็บรวบรวมจากทะเบยี นประวัติ เป็นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากแหลง่ ท่มี ีข้อมูลเหล่านอี้ ยู่ เช่น จากกองทะเบยี นกรมตารวจจากทะเบยี นประวตั คิ นไขข้ องโรงพยาบาลต่างๆ 2. การเกบ็ รวบรวมโดยวิธีการสารวจ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมลู โดยใชแ้ บบสารวจ ซง่ึ ผทู้ าการสารวจไดจ้ ัดเตรียมไวล้ ว่ งหนา้ โดยสามารถทาได้ 4 วธิ ี คอื (1) การสารวจโดยการสาสมั ภาษณ์ ผ้สู ารวจต้องออกไปสมั ภาษณ์ผู้เกยี่ วข้องกับข้อมลู (2) การสารวจโดยการสรา้ งแบบสอบถาม ผ้สู ารวจเป็นผสู้ ่งแบบสอบ การสารวจโดยการสร้างแบบสอบถาม ผสู้ ารวจเปน็ ผสู้ ่งแบบสอบถามไปยงั ผทู้ เ่ี ก่ยี วขอ้ งกบัขอ้ มูล เพอื่ ตอบคาถามแลว้ สง่ กลับคืนมายงั ผทู้ าการสารวจ (3) การเก็บรวบรวมขอ้ มลู โดยใชว้ ธิ กี ารทดลอง เป็นการเก็บรวบรวมขอ้ มลูที่เปน็ ผลจากการทดลอง เช่น การทดลองทางวทิ ยาศาสตรใ์ นโรงเรียนการสอบสมรรถภาพของนักเรยี นในดา้ นพลศกึ ษา เชน่ การวิ่ง การกระโดด การทมุ่ นา้ หนัก เป็นตน้ (4) การเก็บรวบรวมขอ้ มลู โดยวธิ กี ารสงั เกต การเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยวิธีนี้ ผ้ทู าการสารวจตอ้ งทาการบนั ทกึ ข้อมลู ทีส่ นใจจากการสังเกต เช่น จดบันทกึ รถยนตท์ ่ีผา่ นสีแ่ ยกปทุมวัน เปน็ ตน้
บทท่ี 1 ความรู้เบอื ้ งต้นเกย่ี วกบั สถิติ 9 1.5.2 การนาเสนอข้อมลู (Presentation of Data)การนาเสนอข้อมูล คือ การนาขอ้ มลู ทร่ี วบรวมมาจดั เป็นหมวดหมู่ใหเ้ รียบร้อย งา่ ยตอ่การเข้าใจและสะดวกในการวเิ คราะห์ และตคี วามหมาย วธิ ีการนาเสนอขอ้ มลู มี 2 วิธีดงั นี้ 1 การนาเสนอขอ้ มลู อยา่ งไมเ่ ปน็ แบบแผน InformaPresentation คอื การนาเสนอขอ้ มลู ไมม่ ีกฎเกณฑ์หรอื แบบอย่างแน่นอนท่ใี ชก้ นั มี 2 วธิ ี คือ (1) การนาเสนอในรปู บทความ Text Presentationเปน็ การนาเสนอขอ้ มูลแบบบรรยายรูปสน้ั ๆ ซง่ึ เหมาะสาหรบั ขอ้ มลู ทไี่ มม่ ากจนเกินไป เชน่ ปรมิ าณไม้ชนิดตา่ งๆ ท่สี าคญั ซง่ึ ผลิตไดใ้ นปี2521 จากกรมปา่ ไม้ มีดงั น้ี ไมส้ ัก ผลิตได้ 112,270 ลกู บาศก์เมตร ไมย้ าง 476,988 ลกู บาศก์เมตรไมอ้ ่ืน 019,499 ลูกบาศก์เมตร (2) การนาเสนอในรูปขอ้ ความก่งึ ตาราง Semi-Presentation เปน็ การนาเสนอขอ้ มลู โดยแยกตัวเลขและบทความ เพอื่ ให้มองเห็นการเปรยี บเทียบไดช้ ดั เจน เช่นปรมิ าณไม้ชนิดต่างๆสาคญั ซึ่งผลิตไดใ้ นปี2521 จากกรมป่าไม้ มีดงั นี้ชนดิ ของไม้ ผลผลิต (ลบ.ชม.) ไม้สัก 112,270 ไม้ยาง 476,988 ไมอ้ ืน่ ๆ 2,019,449 2. การนาเสนออยา่ งเปน็ แบบแผน FomalPresentation คือ การเสนอขอ้ มลูตามกฎเกณฑ์หรือแบบอย่างที่กาหนดไว้ ไดแ้ ก่ การนาเสนอในรูปต่างๆ ดงั นี้ (1) การนาเสนอขอ้ มลู ในรูปตาราง เปน็ การนาเสนอข้อมูลโดยจดั ข้อมลู ให้อยู่ในรูปทีอ่ า่ นความหมายได้ท้ังแนวนอน แถว หรอื Row และแนวด่ิง สดมภ์หรอื Column ท้งั น้ีเพอ่ื ให้ข้อมลู อยใู่ นรปู ทเี่ ข้าใจงา่ ยและสะดวกต่อการวิเคราะห์ องคป์ ระกอบของตารางสถิตโิ ดยทว่ั ไป มดี งั นี้ (ก) หมายเลขตารางทแี่ สดงลาดบั ตารางในกรณที ี่มตี ารางสถิติมากกวา่ หน่งึตาราง (ข) ชื่อเรอื่ ง อย่แู ถวเดยี วกับหมายเลขตาราง ชอ่ื เรือ่ งตอ้ งส้ันกะทัดรัดและได้ใจความสมบรู ณ์
บทที่ 1 ความรู้เบอื ้ งต้นเก่ยี วกบั สถิติ 10 (ค) หมายเหตุคานา เปน็ ข้อความทอ่ี ยู่ไดช้ อ่ื เรือ่ ง ซง่ึ เปน็ ขอ้ ความท่ีทาให้เขา้ ใจตารางย่ิงขึน้ (ง) ตน้ ขวั้ ประกอบด้วย หัวขวั้ และตัวขว้ั หวั ขว้ั จะอธบิ ายถงึ ตวั ขวั้ ต่างๆและตัวข้วั แตล่ ะอนั จะอธิบายถงึ ขอ้ มลู ทีป่ รากฏในแตล่ ะแถวตามแนวนอน (จ) หวั เร่ือง ประกอบดว้ ย หัวสดมภ์ จะมหี วั สดมภอ์ ันเดียวหรือหลายอนั ก็ไดแ้ ละภายในหวั สดมภแ์ ตล่ ะอนั อาจแบ่งให้ยอ่ ยลงไปอีกก็ได้หัวเรอ่ื งจะอธิบายเกยี่ วกบัขอ้ มลู ที่ปรากฏอยู่ในแตล่ ะสดมภ์ตามแนวตั้ง (ฉ) ตวั เรอ่ื ง ประกอบดว้ ย ข้อมลู ท่ีเปน็ ตวั เลข (ช) หมายเหตลุ า่ ง เป็นคาอธบิ ายขอ้ ความบางตอนในตารางใหช้ ัดเจนขน้ึ (ซ) หมายเหตุแหล่งทม่ี า เปน็ เหตทุ ่ีบอกให้ทราบวา่ ขอ้ มูลทม่ี านนั้ ได้มาจากไหน ซง่ึ จะช่วยใหผ้ ู้อา่ นสามารถค้นควา้ เพ่ิมเตมิ ได้ (2) การนาเสนอข้อมลู โดยใชแ้ ผนภูมิและแผนภาพตา่ งๆ แผนภูมิแท่ง (Bar Chart) คอื แผนภมู ทิ ป่ี ระกอบดว้ ยสีเ่ หล่ยี มผนื ผา้ ซ่งึ อาจอยใู่ นแนวต้งั กไ็ ด้ โดยเรยี กสเ่ี หลีย่ มผืนผ้าว่าแท่งความสูง และความกวา้ งของแต่ละแทง่ จะตอ้ งไดสดั สว่ นกับขนาดของข้อมลู และความกว้างของทุกๆแท่งจะตอ้ งเทา่ กนั ท้งั หมด แผนภมู แิ ท่งแบ่งออกเปน็ 6 ชนดิ คือ (ก) แผนภูมแิ ท่งเชงิ เด่ียว คอื แผนภมู แิ ทง่ ทแี่ สดงลักษณะของขอ้ มลูเพียงชุดเดียว (ข) แผนภมู แิ ทง่ เชิงซอ้ น คือ แผนภมู ทิ แ่ี สดงการเปรียบเทยี บให้เหน็ ถงึลักษณะของขอ้ มลู ตงั้ แต่ชุดข้นึ ไป (ค) แผนภูมิแทง่ สว่ นประกอบ คือแผนภมู แิ ทง่ ทใี่ ช้แสดงรายละเอยี ดส่วนยอ่ ยของข้อมลู ทน่ี าเสนอ (ง) แผนภมู ิแท่งบวก – ลบ คือ แผนภมู แิ ท่งทใี่ ชก้ ับขอ้ มูลซงึ่ มคี า่ บวกและคา่ ลบ (จ) แผนภมู ิแทง่ ซอ้ นกนั คอื แผนภมู แิ ทง่ เชิงซ้อน เพยี งแตใ่ ห้เหน็ แทง่สเี่ หลยี่ มแตล่ ะแท่งซอ้ นเหล่ยี มกัน ทั้งน้ีเพื่อประหยัดเน้อื ทีใ่ นการนาเสนอดว้ ย (ฉ) แผนภมู แิ ท่งพีระมิด คือ แผนภมู แิ ท่งเรยี งซอ้ นกันเป็นรูปสามเหล่ียม 1.5.3 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู (Analysis of Data)
บทท่ี 1 ความรู้เบอื ้ งต้นเก่ยี วกบั สถิติ 11 การวิเคราะหข์ อ้ มูล (Analysis of Data) เม่อื ขอ้ มลู ถกู นาเสนอแลว้ โดยวธิ ีใดวธิ ีหนึ่ง ซง่ึ ทาให้เกดิ ความสะดวกในการอ่านและการวิเคราะหแ์ ลว้ หลงั จากขน้ั ตอนของการวางแผนจะศกึ ษาอะไรกจ็ ะทาการวิเคราะห์ในสิ่งที่ตอ้ งการศึกษาน้ันในข้ันตอนตอนน้ี 1.5.4 การแปลความหมายของขอ้ มูล (Interpretation of Data) การแปลความหมายของขอ้ มลู (Interpretation of Data) เปน็ ขน้ั ตอนของการแปลความหมาย ผลการวเิ คราะห์ เพอ่ื ให้บคุ คลท่วั ไปเขา้ ใจและเพ่อื ใหไ้ ด้ขอ้ ยตุ ิทอี่ าจเปน็ประโยชนย์ ่ิงข้นึ ไปอา้ งองิ : มิ้น มี่ สนอดออน
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: