Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore energy

energy

Published by อาลิษา เมืองพระฝาง, 2019-03-14 23:09:24

Description: energy

Search

Read the Text Version

พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ในกลางศตวรรษที่ 20 จนถงึ ปัจจบุ นั พลังงานหลักที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆล้วนมาจาก นา้ มันและแก๊สธรรมชาติ แต่ เนอื่ งจาก น้ามันถือวา่ เปน็ ทรพั ยากรท่จี า้ กัด และมีแตจ่ ะหมดไป ซึง่ มีการพยากรณ์ไว้ว่าประมาณ 50 ปี น้ามันจะเป็นพลงั งาน ราคาแพง จนไมค่ มุ้ ท่จี ะเปน็ พลังงานหลกั ในการผลติ สนิ คา้ อีกต่อไป ทา้ ให้เราตอ้ งหาแหลง่ พลงั งานใหมท่ ี่มีราคาถูกกวา่ น้ามนั มาทดแทนน้ามนั 1. ปัญหาการใช้พลังงานในประเทศไทย ในช่วงเวลา 40 ปีทผ่ี ่านมา การผลิตไฟฟา้ ดว้ ยนา้ มนั และพลังนา้ มีสัดสว่ นลดลงโดยล้าดับเนอ่ื งจากข้อจา้ กดั ของ แหลง่ พลงั งาน และราคาทีส่ ูงขึน รูป 1 แสดงสัดส่วนการใชเ้ ชอื้ เพลงิ ในการผลิตไฟฟา้ ของโลก น้ามนั จะเปน็ ทรัพยากรท่จี า้ กดั และมีแตจ่ ะหมดไป โดยมีการคาดการณไ์ วว้ า่ ประมาณ 50 ปี นา้ มันจะเปน็ พลงั งานราคาแพง (ไมห่ มดไปเน่อื งจากไม่คุ้มท่ีจะน้ามาใช้งาน) จนไม่คุ้มทจ่ี ะเปน็ พลังงานหลักในการผลติ สนิ ค้าอีกต่อไป ตาราง 1 การคาดการณพ์ ลงั งานสารอง พลังงานสารองท่วั โลก พลงั งานสารองในประเทศไทย น้ามนั 41 ปี นา้ มัน - กา๊ ซธรรมชาติ 19 ปี กา๊ ซธรรมชาติ 63 ปี ถา่ นหนิ 61 ปี ถา่ นหนิ 150 ปี ประเทศไทย มีอัตราการเจริญเตบิ โตการใชไ้ ฟฟา้ ค่อนขา้ งสงู ความต้องการในชว่ ง 5 ปี ทผ่ี ่านมา เพมิ่ ขนึ ปีละ 6-8 % หรือ ประมาณปีละ 1,000-1,200 เมกะวัตต์ จากการพยากรณค์ วามตอ้ งการไฟฟา้ ในระยะ 15 ปขี า้ งหน้า (ป2ี 549-2564) ความตอ้ งการไฟฟ้าจะเพ่ิมขนึ เฉล่ียร้อยละ 5.5 หรือ 1,500-2,000 เมกกะวัตต์ต่อปี 1

ตาราง 2 กาลังผลติ ตดิ ตั้งแยกตามประเภทโรงไฟฟา้ ทใ่ี ชใ้ นประเทศไทย ปี 2553 ประเภทโรงไฟฟ้า รวมทัง้ ระบบ แยกตามภาค กาลงั ผลิต รอ้ ยละ ภาคกลาง อสี าน ภาคใต้ ภาคเหนือ 313.29 1,288.57 1. พลังนา้ 3,424.18 11.07 1,078.11 744.21 315.00 2,180.00 2. พลงั ความรอ้ น 4,699.00 15.20 2,204.00 - 3. พลงั ความรอ้ นร่วม 6,866.00 22.21 5,506.00 650.00 710.00 - 4. กงั หันแกส๊ - - --- - 5. ดีเซล 4.40 0.01 --- 4.40 6. พลงั งานทดแทน 4.54 0.01 0.02 3.51 0.19 0.82 7. ซือจากต่างประเทศ 1,588.00 5.14 - 1,288.00 300.00 - 8. ซือจากในประเทศ 14,333.89 46.36 13,364.99 92.30 29.00 29.50 รวม 30,920.01 100 22,153.12 2,778.02 2,485.58 3,503.29 หมายเหตุ ขอ้ มลู สนิ สดุ วนั ท่ี 31 ธนั วาคม 2553 หนว่ ยเป็นเมกะวตั ต์ เมื่อนาขอ้ มูลการผลติ ไฟฟ้าในปี 2553 ตาม ตาราง 2 มาเปรียบเทียบกับการคาดการณค์ วามต้องการใช้พลังงานไฟฟา้ ทีเ่ พ่มิ ขึนประมาณปีละ 1500 – 2000 เมกะวตั ต์ นนั แสดงว่าจะต้องมกี ารนา้ เขา้ ไฟฟ้าเพม่ิ ขนึ หรอื มีการสร้างโรงไฟฟ้าเพ่ิมขึนในประเทศไทยจึงจะเพียงพอตอ่ ความต้องการปรมิ าณ ไฟฟา้ นี 2. พลังงานลม ลมเกดิ จากการที่พืนท่ีตา่ ง ๆ บนโลก มีความสามารถการดดู กลนื ความรอ้ นจากแสงอาทติ ย์ไดไ้ ม่เท่ากัน บริเวณที่มี อณุ หภมู สิ งู กว่า อากาศจะขยายตัว ทา้ ใหม้ คี วามหนาแนน่ น้อยกว่า และลอยขึนไปข้างบน จากนนั อากาศในบรเิ วณทีเ่ ยน็ กวา่ ซึ่งหนาแนน่ กวา่ หนกั กว่า จะเข้ามาแทนที่ และเกดิ เปน็ ลม เชน่ ลมบก-ลมทะเล เกิดจากในตอนกลางวนั น้าทะเลมี ความสามารถในการรบั ความร้อนได้มากกวา่ พืนดิน ท้าใหอ้ ากาศเหนือน้าทะเลมีอุณหภมู ติ ่้ากวา่ บนบก ซึ่งจะขยายตวั เน่อื งจาก ความร้อน ทา้ ให้เกิดลมพดั จากทะเลเข้าหาฝัง่ ส่วนตอนกลางคนื นา้ ทะเลจะคายความรอ้ นออกมา ท้าใหอ้ ากาศเหนอื น้าทะเล มอี ณุ หภูมิสูงกว่าบนบก อากาศเหนือน้าทะเลจะขยายตัวออก ท้าให้เกดิ ลมท่พี ัดออกจากบกลงทะเล ปรากฏการณ์นยี งั เกิดขนึ บนพืนทีท่ ี่เป็นภูเขา เราเรียกว่า ลมภเู ขา และลมหบุ เขา เน่ืองจากลมเกดิ ขนึ ได้ตลอดเวลา ท้าใหม้ นษุ ย์พฒั นาเทคโนโลยีขนึ เพือ่ ใชป้ ระโยชน์จากกระแสลม 2.1 ประวัติการใช้ประโยชน์จากพลังงานลม ในยุโรปโรงสีขา้ วพลังงานลมไดร้ บั การพฒั นาสมรรถนะอย่างตอ่ เนือ่ ง โดยเฉพาะระหว่างช่วงศตวรรษที่ 12 และ ศตวรรษที่ 19 ในปี ค.ศ. 1800 ในประเทศฝรง่ั เศสมีโรงสขี า้ วพลงั งานลมแบบยโุ รปใช้งานอยู่ประมาณ 20,000 เครอื่ ง ใน ประเทศเนเธอร์แลนดพ์ ลังงานที่ใช้ในอุตสาหกรรม ในช่วงเวลานนั มาจากพลงั งานลมถงึ รอ้ ยละ 90 ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โรงสขี ้าวพลังงานลมมีขนาดเสน้ ผา่ ศูนย์กลางแกนหมุน 25 เมตร ตวั อาคารมีความสูงถงึ 30 เมตร ตวั อย่างโรงสีลมขา้ ว 2

พลังงานแบบยโุ รปดังแสดงในรปู 2 โรงสขี ้าวพลงั งานลมแบบยุโรป ซง่ึ ในช่วงเวลานนั การใช้พลงั งานลมไม่ไดม้ ีเพียงแค่การสี ข้าวแตย่ ังมกี ารประยุกตใ์ ช้ส้าหรับการสูบน้าอีกด้วย ตอ่ มาในยคุ ปฏิวัติอุตสาหกรรมโรงสีขา้ วพลงั งานลมเริม่ มกี ารใชง้ านลดลง อยา่ งไรกต็ ามในปี ค.ศ. 1904 การใช้พลังงานจากลมยังมีอตั ราสว่ นถงึ ร้อยละ 11 ของพลงั งานในภาคอตุ สาหกรรมของประเทศ เนเธอร์แลนด์ และในประเทศเยอรมันยังมโี รงสีขา้ วชนิดนตี ิดตังอยกู่ วา่ 18,000 เครื่อง รูป 2 โรงสขี า้ วพลงั งานลมแบบยโุ รป ประเทศทม่ี ีกงั หันลมมากทสี่ ดุ ในปัจจบุ ันคือ ประเทศเยอรมนั โดยขอ้ มลู เมื่อปี ค.ศ. 2001 เยอรมนีผลิตกระแสไฟฟ้า จากพลงั งานลมถึง 8,754 เมกะวัตต์ รองลงมาคอื สหรัฐอเมริกาผลติ ได้ 4,200 เมกะวตั ต์ สเปนผลติ ได้ 3,300 เมกะวตั ต์ และเดนมารก์ ผลิตได้ 2,400 เมกะวตั ต์ จากข้อมลู จะเหน็ ไดว้ า่ ยุโรปเปน็ กลุ่มประเทศทีก่ ้าวหนา้ มากทสี่ ุดในการใช้พลังงานจาก ลมมาผลิตกระแสไฟฟ้า โดยมีการผลติ กระแสไฟฟา้ จากพลังงานลมได้รวมทังสินประมาณ 14,000 เมกะวัตต์ และมีการตังเปา้ ว่าภายในปี พ.ศ. 2010 จะต้องผลติ กระแสไฟฟา้ จากพลงั งานลมให้ได้ 60,000 เมกะวตั ต์ และเมื่อมองยอ้ นหลังไปเม่ือปี ค.ศ. 1988 เยอรมนีผลติ กระแสไฟฟา้ จากกงั หนั ลมไดเ้ พียง 137 เมกะวตั ต์ 2.2 ประเทศไทยกับการใช้พลังงานลม ในปัจจบุ นั ประเทศไทยมีการผลิตไฟฟา้ จากพลังงานลมและจ่ายเข้าระบบสายส่งในปรมิ าณที่น้อยมากหากเทยี บกับ แหล่งพลงั งานอนื่ ๆ โดยมีการติดตงั กงั หันลมผลิตไฟฟ้าขนาด 150 กโิ ลวตั ต์ ซึ่งผลติ โดยบรษิ ัทนอรด์ แทงก์ ประเทศเดนมาร์ก ในพืนทสี่ ถานีผลิตไฟฟ้าจากพลงั งานทดแทนของการไฟฟ้าฝา่ ยผลติ ณ แหลมพรหมเทพ จงั หวัดภเู ก็ต ตังแต่ปี พ.ศ. 2539 เพื่อสาธติ การผลิตไฟฟา้ จากกงั หันลมรว่ มกบั แผงเซลลแ์ สงอาทติ ย์ขนาด 10 กโิ ลวตั ต์ อทิ ธิพลของลมท่ีมศี กั ยภาพในการผลติ ไฟฟ้าของประเทศไทย ประเทศไทยแบ่งทศิ ทางของลมออกไดเ้ ปน็ ลมมรสุม ตะวันออกเฉยี งเหนือในชว่ งเดอื น พฤศจกิ ายน – เมษายน และลมมรสุมตะวนั ตกเฉยี งใต้ ในช่วงเดือน พฤษภาคม – ตุลาคม ดงั รปู 3 3

ลมมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนอื พฤศจกิ ายน – เมษายน ลมมรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ พฤษภาคม – ตุลาคม รูป 3 แสดงศักยภาพของพลงั งานลมในประเทศไทย การไฟฟา้ ฝา่ ยผลิตไดเ้ กบ็ ขอ้ มลู ความเรว็ ลมเฉล่ียท่ใี นสถานผี ลติ กระแสไฟฟา้ สามแห่งดังนี ท่ีแหลมพรหมเทพจงั หวดั ภเู ก็ต ประมาณ 5 เมตรต่อวินาที ที่อา่ งพกั นา้ ตอนบนล้าตะคองจังหวดั นครราชสมี าประมาณ 6 เมตรต่อวินาที และท่ีอา่ วไผ่จงั หวัด ชลบุรีประมาณ 5 เมตรตอ่ วินาที ท่ีแหลมพรหมเทพได้มกี ารติดตังกังหนั ลมเพอ่ื ผลิตกระแสไฟฟา้ ก้าลงั การผลติ 200 กิโลวตั ต์ สว่ นทล่ี า้ ตะคองได้มีการติดตงั กังหนั ลมขนาด 1.25 เมกะวัตต์ จา้ นวน 2 ตวั ใชง้ บประมาณในการกอ่ สร้าง 145 ลา้ นบาท 2.3 ประเภทของกังหันลม 1. กงั หันลมท่ีมีแกนเพลาอย่ใู นแนวนอน กงั หนั ลมทม่ี แี กนเพลาอย่ใู นแนวนอน (horizontal–axis type wind turbine, HAWT) เป็นกงั หนั ลมท่ีมแี กนหมนุ วางตัวอยใู่ นทิศขนานกบั ทิศทางของลม โดยมีใบเป็นตัวตงั ฉากรับแรงลมดงั รูป 4 กังหันลมประเภทนไี ด้รบั การพัฒนาอย่าง ตอ่ เนือ่ งและมีการนา้ มาใช้งานมากในปจั จุบนั เน่อื งจากมีประสิทธิภาพในการเปล่ยี นพลังงานสงู แตต่ อ้ งตดิ ตงั บนเสาทม่ี ีความ สงู มาก และมีชุดควบคุมให้กงั หันลมหันหนา้ เข้ารบั แรงลมไดท้ ุกทิศทางในแนวนอนตลอดเวลา 2. กงั หันลมทีม่ ีแกนเพลาอยใู่ นแนวต้งั เป็นกังหนั ลมท่ีมีแกนหมนุ ตังฉากกบั ทิศทางของลมดงั รปู 5 ซึง่ สามารถรบั ลมได้ทุกทิศทางและติดตังอยูใ่ นระดบั ต้่า ได้ กังหนั ลมแบบนีที่รจู้ ักกันดคี อื กังหนั ลมแบบแดรเ์ รียส (darrieus) ซ่ึงออกแบบโดยวศิ วกรชาวฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1920 ขอ้ ดี ของกงั หันลมแกนตังคือ สามารถรับลมได้ทุกทศิ ทาง มีชดุ ปรับความเร็ว (gear box) และเครื่องกา้ เนดิ ไฟฟ้า สามารถติดตังอยู่ ทีร่ ะดบั พนื ลา่ งได้ นอกจากนีตวั เสาของกงั หันลมยังไม่สงู มากนัก แต่มีข้อเสียคอื ประสทิ ธิภาพต้า่ เม่อื เทยี บกบั กังหนั ลมทม่ี ี แกนเพลาแบบแกนนอน ดังนันในปจั จุบนั จงึ มกี ารใชง้ านอยนู่ ้อย 4

รปู 4 กงั หนั ลมท่ีมเี พลาอยู่แนวแกนนอน รูป 5 กังหันลมท่มี แี กนเพลาอยใู่ นแนวตง้ั 3. หลกั การทางานของกังหันลม สา้ หรบั หลักการท่วั ไปในการน้าพลังงานลมมาใช้คอื เม่ือมีลมพดั มาปะทะกบั ใบพัดของกงั หันลม กังหันลมจะท้า หนา้ ทีเ่ ปลย่ี นพลังงานลมที่อยใู่ นรูปของพลงั งานจลน์ไปเปน็ พลังงานกลโดยการหมุนของใบพดั แรงจากการหมุนของใบพัดนจี ะ ถูกสง่ ผ่านแกนหมุนท้าให้เฟอื งเกยี รท์ ต่ี ิดอยกู่ บั แกนหมนุ เกิดการหมนุ ตามไปด้วย พลงั งานกลที่ไดจ้ ากการหมุนของเฟอื งเกียร์ นเ่ี องทีถ่ กู ประยกุ ต์ใชป้ ระโยชนต์ ามความตอ้ งการเช่น ในกรณีทีต่ ้องการใชก้ งั หันลมเพ่ือการผลิตไฟฟ้าจะตอ่ เคร่อื งกา้ เนิดไฟฟา้ เข้าไป ซง่ึ เม่อื เฟอื งเกยี รข์ องกังหนั ลมเกิดการหมุนจะไปขับเคลื่อนใหแ้ กนหมุนของเคร่ืองกา้ เนิดไฟฟา้ หมุนตามไปด้วย ด้วย หลกั การนเี คร่อื งกา้ เนดิ ไฟฟ้าก็สามารถผลิตกระแส ไฟฟ้าออกมาได้ ส่วนในกรณขี องการใช้กงั หนั ลมในการสบู น้าหรือสีข้าว สามารถน้าเอาพลังงานกลจากการหมนุ ของเฟอื งเกียรน์ ีไปประยุกตใ์ ชไ้ ด้โดยตรง 4. ส่วนประกอบของกังหันลม กังหนั ลมโดยท่ัวไปจะประกอบด้วยสว่ นประกอบหลักๆ คือ ใบพัด ระบบถา่ ยทอดกา้ ลังจากใบพัด ชุดควบคุมการ บงั คบั ทิศทางของใบพดั และเสาหรือหอคอย อยา่ งไรก็ตามในส่วนรายละเอยี ดของสว่ นประกอบของกังหันลมจะขึนอยกู่ ับ วัตถุประสงค์การใช้งานของกงั หันลมนัน เช่น ถา้ เปน็ กังหันลมทม่ี ีวัตถุประสงค์เพ่อื การผลิตไฟฟ้ากจ็ ะมีส่วนประกอบ รายละเอยี ด และเทคโนโลยที ี่ซบั ซอ้ นกว่ากังหนั ลมทีใ่ ชส้ า้ หรบั การสบู น้า 5

5. กังหันลมสาหรบั ผลิตไฟฟ้า สว่ นประกอบส้าคัญๆ ของระบบกังหันลมทวั่ ๆ ไปอาจแบง่ ได้ดังนี 1. ใบพดั เปน็ ตัวรับพลงั ลมและเปล่ียนให้เปน็ พลงั งานกล ซึ่งยึดตดิ กับชุดแกนหมนุ และสง่ แรงจากแกนหมุนไปยงั เพลาแกนหมนุ 2. เพลาแกนหมนุ ซึ่งรบั แรงจากแกนหมุนใบพดั และส่งผา่ นระบบกา้ ลงั เพือ่ หมุนและปน่ั เครอ่ื งก้าเนดิ ไฟฟา้ 3. ห้องส่งกาลัง ซงึ่ เปน็ ระบบปรับเปล่ียนและควบคมุ ความเร็วในการหมุน ระหว่างเพลาแกนหมุนกบั เพลาของเค รอ่ิ งกา้ เนิดไฟฟา้ 4. หอ้ งเครือ่ ง ซึ่งมีขนาดใหญแ่ ละมีความส้าคญั ตอ่ กังหันลม ใชบ้ รรจุระบบต่างๆ ของกังหนั ลม เชน่ ระบบเกยี ร์ เครือ่ งก้าเนดิ ไฟฟา้ เบรก และระบบควบคุม 5. เคร่ืองกาเนิดไฟฟา้ ทา้ หน้าทเี่ ปล่ยี นพลงั งานกลเปน็ พลงั งานไฟฟ้า 6. ระบบควบคมุ ไฟฟา้ ซ่ึงใชร้ ะบบคอมพวิ เตอรเ์ ปน็ ตัวควบคมุ การท้างาน และจา่ ยกระแสไฟฟา้ เขา้ สูร่ ะบบ 7. ระบบเบรค เป็นระบบกลไก เพอ่ื ใช้ควบคุมการหยดุ หมนุ ของใบพัดและเพลาแกนหมนุ ของกงั หัน เมอื่ ไดร้ ับ ความเรว็ ลมเกนิ ความสามารถของกังหนั ท่ีจะรับได้ และในระหวา่ งการซ่อมบา้ รงุ รักษา 8. แกนคอหมุนรับทิศทางลม เปน็ ตวั ควบคมุ การหมุนห้องเครอื่ ง เพ่ือให้ใบพดั รบั ทศิ ทางลมโดยระบบ อเิ ลคทรอนคิ ส์ ท่เี ช่อื มตอ่ ให้มีความสมั พันธ์ กบั หางเสือรบั ทิศทางลมที่อยู่ด้านบนของเครือ่ ง 9. เครอื่ งวดั ความเร็วลมและทศิ ทางลม ซ่ึง เชือ่ มต่อสายสัญญาณเขา้ สรู่ ะบบคอมพิวเตอร์ เพอื่ เปน็ ตัวชีขนาด ของความเร็วและทิศทางของลม เพ่ือทคี่ อมพวิ เตอร์จะได้ควบคมุ กลไกอนื่ ๆ ได้ถกู ตอ้ ง 10. เสา ซึ่งตงั อยูท่ พี่ ืนที่ทท่ี า้ การกอ่ สรา้ งอยา่ งถกู วิธี ตามหลกั วศิ วกรรม และเป็นตวั แบกรับส่วนทเ่ี ป็นตัวเคร่ืองที่ อยู่ข้างบน รูป 6 สว่ นประกอบของกังหนั ลมในการผลิตกระแสไฟฟ้า หลักการท้างานของกังหนั ลมผลิตไฟฟา้ นนั เมอ่ื มลี มพดั ผ่านใบกงั หัน พลังงานจลนท์ เ่ี กิดจากลมจะ ทา้ ใหใ้ บพัดของ กังหนั เกิดการหมุน และได้เป็นพลังงานกลออกมา พลงั งานกลจากแกนหมุนของกงั หันลมจะถกู เปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยเครื่องก้าเนดิ ไฟฟ้าทเ่ี ช่ือมตอ่ อยกู่ บั แกนหมุนของกงั หนั ลม จ่ายกระแสไฟฟ้าผา่ นระบบควบคุมไฟฟ้า และจ่ายกระแสไฟฟ้า เข้าสรู่ ะบบตอ่ ไป โดยปริมาณไฟฟ้าทผ่ี ลติ ไดจ้ ะขนึ อยูก่ ับความเรว็ ของลม ความยาวของใบพัด และสถานทต่ี ดิ ตังกังหนั ลม 6

เน่อื งจากความไมส่ ม้่าเสมอของความเรว็ ลมที่แปรผนั ตามธรรมชาติ และความตอ้ งการพลงั งานทส่ี มา้่ เสมอเพือ่ ให้ เหมาะสมกับการใช้งานแล้ว จะต้องมีตวั กักเก็บพลังงานและใช้แหลง่ พลังงานอ่ืนท่ีเชือ่ ถอื ได้เปน็ แหล่งสา้ รอง หรอื ใช้รว่ มกับ แหลง่ พลงั งานอน่ื ก . ตัวกกั เกบ็ พลงั งานมีอยหู่ ลายชนิด สว่ นมากขนึ อยกู่ ับงานทจ่ี ะใช้ เช่น ถา้ เปน็ กังหนั เพอ่ื ผลิตไฟฟา้ ขนาดเลก็ มักนยิ มใชแ้ บตเตอรี่เป็นตวั กักเกบ็ ข. การใช้แหล่งพลงั งานอ่ืนทเี่ ปน็ ตวั หมุน ระบบนีปกตกิ งั หันลมจะท้าหน้าที่จ่าย พลังงานใหต้ ลอดเวลาที่มีความเรว็ ลม เพยี งพอ หากความเรว็ ลมตา้่ หรือลมสงบ แหล่ง พลังงานชนดิ อ่นื จะทา้ หน้าที่จ่ายพลังงานทดแทน (ระบบนีกังหันลมจ่าย พลังงานเป็นตวั หลกั และแหลง่ พลังงานส่วนอืน่ เปน็ แหลง่ สา้ รอง ) ค . การใช้รว่ มกับแหล่งพลงั งานอื่น อาจเปน็ เครือ่ งจักรดีเซล หรือพลังงานนา้ จากเขอ่ื น ฯลฯ ระบบนปี กตมิ แี หลง่ พลงั งาน ชนิดอื่นจา่ ยพลงั งานอยู่กอ่ นแลว้ กังหันลมจะชว่ ยจ่ายพลังงานเม่อื มีความเรว็ ลมเพียงพอ ซงึ่ ในขณะเดียวกนั ก็ลดการจ่าย พลงั งานจากแหลง่ พลังงานอ่นื เช่น ลดการใชน้ ้ามนั ดีเซลของเครื่องยนต์ดีเซล (ระบบนี แหล่งพลงั งานอน่ื จ่ายพลังงานเป็น หลัก สว่ นกงั หนั ลมท้าหน้าทคี่ อยเสริมพลังงานจากต้นพลงั งานหลัก) 6. กงั หันลมเพอ่ื สบู น้า กงั หันลมสูบน้า เปน็ กังหันลมท่มี ีแกนเพลาอยู่ในแกนนอน มีสว่ นประกอบและความซับซ้อนของเทคโนโลยไี มม่ ากนกั กงั หนั ลมแบบนไี ด้รับการพัฒนาขนึ เพอ่ื ชว่ ยเหลือเกษตรกรทีท่ า้ การเกษตรหรือปศุสัตว์ ซงึ่ สว่ นใหญ่จะอยใู่ นพืนท่ีท่ีห่างไกลใน เขตชนบทและไม่มีไฟฟา้ ใช้สา้ หรับการสบู น้า ตัวอยา่ งกังหนั ลมเพ่อื การสบู นา้ และส่วนประกอบทส่ี า้ คญั ของกังหนั ลมสูบน้า ซ่ึง กรมพฒั นาพลงั งานทดแทนและอนุรักษพ์ ลงั งานไดด้ ้าเนนิ การสรา้ งและทดลองใช้งานมีดังนี 1. ใบพดั ทา้ หน้าที่รับแรงจากพลังงานลมแล้วเปล่ยี นเปน็ พลงั งานกลและส่งต่อไปยงั เพลาประธานหรอื เพลาหลัก 2. ตัวเรือน ประกอบไปด้วยเพลาประธานหรือเพลาหลัก ชุดตัวเรอื นเพลาประธาน ซ่ึงเป็นตวั หมนุ ถ่ายแรงกลเข้า ตวั ห้องเคร่ืองภายในห้องเครอ่ื งจะเป็นชดุ ถ่ายแรงและเกียรท์ ี่เป็นแบบข้อเหวีย่ งหรือแบบเฟอื งขบั เพอื่ เปลีย่ น แรงจากแนวราบเปน็ แนวดิ่งเพ่ือดึงก้านชกั ขึนลง 3. ชุดแพนหาง ประกอบไปด้วยใบแพนหางท้าจากเหล็กแผ่น ท่ีทา้ หนา้ ที่บงั คับตวั เรือนและใบพดั เพื่อให้หันรับ แรงลมในแนวราบไดท้ ุกทศิ ทาง 4. โครงเสา ทา้ ด้วยเหลก็ ประกอบเป็นโครงถัก (truss structure) ความสงู ของกงั หนั ลมสูบนา้ มีความส้าคัญอยา่ ง มากในการพิจารณาตดิ ตงั กังลมเพือ่ ให้สามารถรับลมไดด้ ี กังหนั ลมแบบนีมีความสูงประมาณ 12-15 เมตร และมีแกนกลางเปน็ ตวั บังคับกา้ นชกั ให้ชักขนึ ลงในแนวดง่ิ 5. กา้ นชักทาด้วยเหลก็ กลมตนั ส้าหรับรับแรงชกั ขึนลงในแนวดงิ่ จากเฟืองขบั ท่อี ยู่ในตวั เรือน เพอื่ ทา้ หน้าทีป่ ัม้ อัดกระบอกสูบน้า 6. ปั้มน้า ลูกสบู ของกงั หันลมสบู นา้ ใชว้ สั ดุสว่ นใหญเ่ ปน็ ทองเหลืองหรอื อาจเปน็ สแตนเลส ซ่งึ มคี วามคงทนต่อ กรดและดา่ งสามารถรับแรงดดู และแรงสง่ ไดส้ งู มีหลายขนาดแต่ทใ่ี ช้ทว่ั ไปมีขนาด 4.5-6 นิว 7. ทอ่ น้า ส่วนใหญ่มกั ใชท้ ่อ พวี ีซี หรอื ท่อเหล็ก ทม่ี ขี นาดประมาณ 2 นิว 7

รูป 7 ส่วนประกอบของกังหนั ลมทใ่ี ชใ้ นการสูบนา้ 2.4 ผลกระทบของการใช้กังหันลม 1. ดา้ นพืนท่ี กงั หนั ลมจะต้องตดิ ตงั อยหู่ า่ งกนั หา้ ถึงสบิ เทา่ ของความสูงกังหนั เพ่อื ทก่ี ระแสลม จะไดล้ ดความ ปน่ั ป่วนหลงั จากท่ีผ่านกังหนั ลมตัวอ่นื มา 2. ด้านทัศนะวสิ ัย สา้ หรบั ผลกระทบทางด้านสายตา หรอื การมองเหน็ ของระบบกงั หันลมผลติ ไฟฟา้ นัน ยงั ไมไ่ ด้มี การประเมนิ ผลออกมาอย่างชัดเจน กังหนั ลมขนาดใหญ่จะมคี วามสูงมากกว่า 50 เมตรขึนไป ท้าใหส้ ามารถมองเห็นได้จาก ระยะไกล กังหนั ลมที่ตดิ ตงั อย่ตู ามท่งุ หญ้า สร้างความสวยงาม สร้างจินตนาการ และความคิดตา่ งๆ ให้กับผ้พู บเห็น 3. ด้านเสียง ของกังหันลมเกิดจากการหมุนของปลายใบพดั ตดั กับอากาศ จากการทใ่ี บพดั หมนุ ผ่านเสากงั หนั จาก ความปั่นปว่ นของลมบรเิ วณใบกงั หนั ลม และจากตวั เครอื่ งจกั รกลภายในตัวกังหันลมโดยเฉพาะส่วนของเกยี ร์ เสยี งดงั ของ กงั หนั ลมผลิตไฟฟา้ เปน็ ตวั แปรที่ส้าคญั ประการหนง่ึ ท่ีแสดงถึงประสิทธิภาพของกังหันลม 4. ความยง่ั ยนื ปจั จุบนั กระแสในเรือ่ งความย่ังยนื (sustainable) และเทคโนโลยีที่ปลอดมลพิษ (zero-emission technology) กา้ ลงั เปน็ ท่ีสนใจของนักวิทยาศาสตร์ นกั วิจยั หรือแมแ้ ต่นักการเมอื ง การทา้ งานของกังหันลมผลติ ไฟฟ้าไม่ ก่อให้เกดิ มลพิษ สามารถใช้เปน็ เทคโนโลยีหนึง่ เพอื่ การผลิตไฟฟา้ ทดแทนการใชพ้ ลังงานจากเชือเพลงิ ซากดึกดา้ บรรพ์ 3. พลังงานแสงอาทิตย์ แสงอาทติ ยเ์ ปน็ พลงั งานท่ีไดฟ้ รจี ากดวงอาทิตยแ์ ละมกี ารน้ามาใช้ประโยชนม์ าแตส่ มัยโบราณ เชน่ การตาก หรอื อบ สนิ ค้าเกษตร การท้าใหน้ า้ อุ่น เป็นต้น ได้พยายามนา้ พลงั งานแสงอาทิตยม์ าท้าให้เกิดกระแสไฟฟ้า แสงอาทิตย์ตกกระทบพนื โลก เฉลยี่ ประมาณ 4-5 กโิ ลวัตต์-ชว่ั โมง ต่อตารางเมตรตอ่ วนั ถ้าเซลลแ์ สงอาทิตย์มีประสทิ ธิภาพในการแปลงพลงั งานร้อยละ 15 แสดงว่าเซลล์แสงอาทติ ย์ 1 ตารางเมตรสามารถผลติ พลงั งานไฟฟา้ ได้ประมาณ 650 – 750 วัตต์-ชวั่ โมงตอ่ ตารางเมตรตอ่ วนั ประเทศไทยมคี วามตอ้ งการพลังงานไฟฟ้าประมาณ 250 ล้านกิโลวัตต์-ชัว่ โมงต่อวนั เราสามารถใช้พืนท่ีประมาณ 1,500 ตารางกโิ ลเมตร รอ้ ยละ 0.3 ของพนื ทป่ี ระเทศไทย ก็จะผลิตไฟฟ้าได้ตามที่ตอ้ งการ 8

3.1 การนาแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ ในปัจจบุ นั ไดม้ ีการน้าพลังงานแสงอาทติ ยม์ าใช้เพ่ือลดต้นทนุ การผลิตหลายแนวทางด้วยกนั 1. การทา้ นา้ ให้อุน่ ด้วยพลังงานแสงอาทติ ย์ โดยสูบน้าขึนไปผา่ นเครือ่ งทา้ นา้ อนุ่ จากพลังงานแสงอาทติ ย์ แลว้ นา้ น้า มาเก็บในถงั กกั อุณหภูมิ ซ่ึงวิธีนถี ้าหากตอ้ งการเพยี งแค่น้าอุน่ อณุ หภมู ิไม่เกนิ 70 องศาก็สามารถนา้ นา้ มาใชไ้ ด้เลย แต่ถา้ หาก ต้องการน้าร้อน ก็น้าน้าอนุ่ นไี ปเข้าเครื่องทา้ น้ารอ้ นอีกทีหน่ึง (สามารถประหยัดพลงั งานในการทา้ นา้ ใหร้ อ้ นได้ประมาณ 30 องศา) 2. ใชแ้ สงอาทิตยฆ์ ่าเชือโรค เน่ืองจากในแสงอาทติ ยม์ คี ล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ ทีห่ ลากหลายความถ่ี ซง่ึ ความถ่ี UV เปน็ ความถท่ี ่ีสามารถฆ่าเชือแบคทเี รยี ไดด้ ี ในปจั จุบนั ได้ใช้วธิ นี ีในการฆ่าเชือในน้าประปา 3. การท้าเตาอบพลงั งานแสงอาทิตย์ สา้ หรับสนิ คา้ เกษตรทเี่ พยี งแตต่ ้องการลดความชนื ของสนิ ค้า กเ็ พียงแต่ ออกแบบเตาอบพลังงานแสงอาทติ ย์ใหเ้ หมาะสมกับสินคา้ ชนิดนนั ๆ ซ่ึงท้าใหไ้ ม่ตอ้ งใชถ้ า่ นหนิ หรือไฟฟ้าในการใหค้ วามร้อน 4. การใช้ เซลล์แสงอาทติ ย์ ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ในปจั จบุ นั มีการใช้เพียงกรณีทคี่ ่าตงั สายส่งมีราคาสูงมาก ๆ เชน่ หมู่บ้านที่หา่ งไกล เนื่องจากประสิทธภิ าพในการแปลงพลังงานของเซลล์แสงอาทิตยย์ ังต่้าอยู่เม่ือเทียบกับราคาของเซลล์ แสงอาทติ ย์ 3.2 เซลล์แสงอาทิตย์ เซลล์แสงอาทิตย์ (Solar cell) เปน็ สงิ่ ประดษิ ฐ์ท่สี ร้างขึนเพ่ือเป็นอปุ กรณ์สา้ หรบั การเปลย่ี นพลงั งานแสงให้เป็น พลังงานไฟฟา้ โดยการน้าสารกงึ่ ตวั น้า เชน่ ซลิ ิคอน ซึ่งมรี าคาถูกทีส่ ุดและมีมากท่ีสุดบนพืนโลก(คือทราย) นา้ มาผ่าน กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ผลิตใหเ้ ปน็ แผ่นบางบริสุทธิ์ และในทันทที ี่มีแสงตกกระทบบนแผน่ เซลล์ รังสีของแสงทม่ี ีอนุภาค ของพลังงานประกอบ ทีเ่ รียกว่า Photon จะถ่ายเทพลงั งานใหก้ ับ Electron ในสารก่ึงตัวน้า จนมพี ลังงานมากพอทีจ่ ะกระโดด ออกมาจากแรงดงึ ดูดของ Atom และสามารถเคล่อื นทไ่ี ดอ้ ยา่ งอิสระ ดังนนั เม่ือ Electron มกี ารเคลื่อนท่ีครบวงจรกจ็ ะท้าให้ เกิดไฟฟ้ากระแสตรงขนึ เซลลแ์ สงอาทิตยถ์ กู สร้างขึนมาครังแรกในปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) โดย แชปปิน (Chapin) ฟูลเลอร์ (Fuller) และเพียสนั (Pearson) แห่งเบลลเ์ ทลเลโฟน (Bell Telephon) โดยทัง 3 ทา่ นนไี ดค้ ้นพบเทคโนโลยกี ารสรา้ งรอยตอ่ พ-ี เอน็ (P- N) แบบใหม่ โดยวธิ ีการแพร่สารเข้าไปในผลึกของซิลกิ อน จนไดเ้ ซลลแ์ สงอาทติ ยอ์ นั แรกของโลก ซ่ึงมปี ระสทิ ธภิ าพเพียง 6% ซึง่ ปัจจบุ นั นเี ซลลแ์ สงอาทติ ย์ไดถ้ ูกพฒั นาขึนจนมีประสทิ ธิภาพสงู กว่า 15% แล้ว ในระยะแรกเซลล์แสงอาทติ ยส์ ว่ นใหญจ่ ะใช้ ส้าหรับโครงการด้านอวกาศ ดาวเทียมหรอื ยานอวกาศทส่ี ง่ จากพนื โลกไปโคจรในอวกาศ กใ็ ช้แผงเซลลแ์ สงอาทติ ย์เปน็ แหล่งก้าเนดิ พลงั ไฟฟ้า ต่อมาจึงได้มีการนา้ เอาแผงเซลลแ์ สงอาทิตยม์ าใช้บนพืนโลกเช่นในปัจจบุ นั นี เซลลแ์ สงอาทติ ยใ์ นยุค แรกๆ สว่ นใหญ่จะมีสีเทาด้า แตใ่ นปจั จบุ ันนไี ดม้ กี ารพฒั นาให้เซลล์แสงอาทติ ย์มสี ตี า่ ง ๆ กันไป เชน่ แดง น้าเงนิ เขยี ว ทอง เป็นตน้ เพ่ือความสวยงาม เซลล์แสงอาทติ ยแ์ บ่งได้เปน็ 2 ชนดิ ใหญ่ๆ คือ 1. เซลลแ์ สงอาทิตย์ทที่ า้ จากซิลิคอน แบง่ ตามลกั ษณะของรปู ผลกึ ไดเ้ ป็น 3 รปู แบบ คอื แบบผลกึ เดีย่ ว (Single Crystalline) แบบผลึกรวม (Polycrystalline) และแบบไมม่ รี ูปผลกึ (Amorphous) ซง่ึ บางครังอาจเรยี กวา่ เซลล์แสงอาทิตย์ แบบฟิลม์ บาง (Thin Film Solar Cell) 9

รูป 8 เซลลแ์ สงอาทติ ยแ์ บบผลึกเด่ยี ว รปู 8 เซลล์แสงอาทิตย์แบบผลกึ เดยี่ ว (Single Crystalline) ท้าจากแทง่ ซิลคิ อนบริสทุ ธ์ิ 99.99 % มรี ปู รา่ งเปน็ วงกลมเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 5 นวิ ขึนไป มีขันตอนในการผลิตยงุ่ ยากซบั ซอ้ น ท้าให้มรี าคาสงู รูป 9 เซลล์แสงอาทติ ย์แบบ Polycrystalline รูป 9 เซลลแ์ สงอาทิตย์ แบบ Polycrystalline Silicon มีรูปร่างเปน็ แผ่นสเี่ หลี่ยมจตั ุรัสดา้ นละ 5 นวิ ขึนไป มีการ พฒั นาการผลติ จนมีประสทิ ธภิ าพสงู กวา่ 14% มรี าคาถกู กวา่ แบบผลึกเดีย่ ว อายุการใชง้ านนานกวา่ 20 ปี เปน็ ที่นิยมใชม้ าก ที่สดุ ในขณะนี รปู 10 เซลลแ์ สงอาทิตย์แบบ Amorphous รูป 10 เซลลแ์ สงอาทิตย์แบบ Amorphous Silicon มขี ันตอนการผลติ ง่ายกว่าและถูกกวา่ แบบอื่น ๆ ใช้ในทม่ี แี สง นอ้ ยไดด้ ี นยิ มใช้ในเครือ่ งคดิ เลข มีลกั ษณะสีม่วงน้าตาล มคี วามบาง เบา ผลติ ให้เป็นพืนทีเ่ ล็กหรือใหญห่ ลายตารางเมตรได้ ใช้ ธาตซุ ลิ ิคอน ทา้ ใหเ้ ป็นฟลิ ม์ บางเพยี ง 0.5 ไมครอน มีประสิทธิภาพสูงกว่า 14 % อายกุ ารใช้งานนานกว่า 10 ปี 2. เซลลแ์ สงอาทิตยท์ ่ีท้าจากสารประกอบ เช่น สารประกอบแกลเลย่ี มอาเซไนด์ แคดเมียมเทลเลอไรด์ คอปเปอร์ อนิ เดียมไดอาเซไนด์ เป็นต้น ซ่ึงมที ังแบบผลึกเดย่ี ว และผลึกรวม สว่ นใหญม่ ปี ระสิทธภิ าพสงู ข้อเสยี ของเซลล์ชนดิ นคี อื มี ราคาแพง บางชนิดท้าจากสารทีเ่ ป็นพษิ ตอ่ สภาวะแวดล้อม และยังมีปัญหาเร่อื งอายุการใชง้ านอกี ดว้ ย 10

ในปัจจุบนั ไดม้ กี ารวิจัยพัฒนา เพอ่ื เพิ่มประสทิ ธิภาพ ของเซลลแ์ สงอาทติ ย์ ให้สงู ขึน เชน่ การเคลอื บวัสดลุ ดการ สะทอ้ นแสงท่ผี ิวหน้า การท้าพนื ผวิ ของเซลลแ์ สงอาทิตย์ ให้ขรขุ ระเพอื่ เพิม่ พนื ที่รับแสง และการสร้างเซลลแ์ สงอาทิตยแ์ บบ ซ้อนกนั (Tandem Solar Cell) ซงึ่ มผี ลใหเ้ ซลล์แสงอาทิตย์ มปี ระสิทธิภาพขึนกวา่ เดิมอกี ร้อยละ 2-5 3.3 การผลิตไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์ สว่ นประกอบที่ส้าคัญในการผลิตกระแสไฟฟา้ ด้วยเซลลแ์ สดงอาทติ ยป์ ระกอบด้วย 1. Solar cell module เป็นการนา้ เซลล์มาต่อขนานกนั เพือ่ ใหก้ ระแสไฟฟ้ามาก หรืออนกุ รมเพอื่ ให้ไดแ้ รงดันไฟฟ้า สูงขึน มักจะถกู ออกแบบให้อยู่ในกรอบอลมู ิเนียมสี่เหลี่ยม ท่เี รียกวา่ Photovoltaic Module เพอื่ ให้ง่ายต่อการติดตงั ใชง้ าน การตดิ ตังแผงเซลล์ควรติดตังในที่โล่ง ไม่อยูใ่ กลท้ ี่เกิดฝุน่ ควรตงั เอยี งประมาณ 10- 15 องศาจากแนวราบ โดยหันหน้าไปทาง ทิศเหนอื หรอื ใต้ 2. Charge controller เปน็ อุปกรณค์ วบคุมการประจไุ ฟฟ้าที่ได้จากเซลล์แสงอาทติ ยไ์ ปเก็บไว้ในแบตเตอร่ีในช่วง กลางวนั แลว้ น้าไฟฟ้าไปใช้งานในชว่ งเวลากลางคืน อาจมีคณุ สมบตั ิอื่น ๆ เพ่ิมเติม เชน่ หยดุ การประจไุ ฟฟ้าเม่ือแบตเตอรี่เตม็ หรือระบบจะตัดการจ่ายไฟเมอ่ื แรงดนั ไฟฟา้ ตา่้ กว่าท่ีตงั ไว้ ระบบเปิดปดิ อัตโนมัติ (เมอ่ื มีแสงอาทติ ย์จะตดั สวิตช)์ ระบบป้องกัน ความเสียหายเม่ือวงจรควบคุมมีอุณหภูมิสูง หรือมีหลอดไฟแสดงสถานะภาพการทา้ งานของระบบ 3. Inverter แปลงไฟฟ้ากระแสตรงให้เปน็ กระแสสลับตามขนาดท่ีเคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าตอ้ งการ มีทงั แบบ Standalone แบบ Grid connected แบบ Grid connected with battery backup ตอ้ งเลอื กใชใ้ ห้เหมาะกบั งาน โดยค้านึงถึงขนาดและ ประสทิ ธิภาพดว้ ย 4. Battery เป็นอปุ กรณเ์ ก็บพลังงานไฟฟา้ กระแสตรงไวใ้ ชใ้ นเวลาที่ตอ้ งการ เช่นในชว่ งกลางคืน การผลิตไฟฟ้าดว้ ยเซลล์แสงอาทิตย์ การผลติ กระแสไฟฟ้าดว้ ยเซลล์แสงอาทิตย์ แบ่งออกเปน็ 3 ระบบ คือ 1. การผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์แบบอสิ ระ (PV Stand alone system) เป็นระบบผลิตไฟฟา้ ท่ไี ดร้ ับการออกแบบส้าหรับใชง้ านในพืนทช่ี นบทที่ไมม่ ีระบบสายส่งไฟฟ้า อุปกรณ์ระบบที่ สา้ คัญประกอบด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ อปุ กรณค์ วบคมุ การประจุแบตเตอร่ี แบตเตอร่ี และอปุ กรณเ์ ปลีย่ นระบบไฟฟ้า กระแสตรงเปน็ ไฟฟ้ากระแสสลบั แบบอสิ ระ 11

รูป 11 การผลติ กระแสไฟฟา้ ด้วยเซลล์แสงอาทติ ย์แบบอิสระ 2. การผลิตกระแสไฟฟา้ ด้วยเซลล์แสงอาทิตย์แบบต่อกบั ระบบจาหน่าย (PV Grid connected system) เปน็ ระบบผลิตไฟฟา้ ทถ่ี ูกออกแบบสา้ หรับผลิตไฟฟ้าผ่านอุปกรณ์เปลยี่ นระบบไฟฟ้ากระแสตรงเป็นไฟฟา้ กระแสสลบั เข้าสรู่ ะบบสายส่งไฟฟา้ โดยตรง ใชผ้ ลติ ไฟฟ้าในเขตเมือง หรอื พืนทีท่ ่ีมีระบบจ้าหนา่ ยไฟฟ้าเขา้ ถงึ อุปกรณร์ ะบบทส่ี า้ คญั ประกอบด้วยแผงเซลล์แสงอาทติ ย์ อปุ กรณ์เปล่ียนระบบไฟฟา้ กระแสตรงเปน็ ไฟฟ้ากระแสสลบั ชนดิ ตอ่ กบั ระบบจ้าหนา่ ยไฟฟา้ 12

รปู 12 การผลิตกระแสไฟฟา้ ดว้ ยเซลล์แสงอาทติ ย์แบบต่อกบั ระบบจาหนา่ ย 3. การผลิตกระแสไฟฟ้าดว้ ยเซลล์แสงอาทิตย์แบบผสมผสาน (PV Hybrid system) เป็นระบบผลติ ไฟฟ้าที่ถกู ออกแบบส้าหรบั ทา้ งานรว่ มกับอุปกรณ์ผลติ ไฟฟา้ อื่นๆ เช่น ระบบเซลลแ์ สงอาทติ ย์กบั พลังงานลม และเครอื่ งยนต์ดเี ซล ระบบเซลล์แสงอาทติ ยก์ ับพลงั งานลม และไฟฟ้าพลังนา้ เป็นต้น โดยรูปแบบระบบจะขนึ อยู่ กับการออกแบบตามวัตถุประสงค์โครงการเป็นกรณเี ฉพาะ รปู 13 การผลติ กระแสไฟฟ้าด้วยเซลลแ์ สงอาทติ ยแ์ บบผสมผสาน 13

ประเทศไทยได้เรม่ิ มกี ารใช้งานจากเซลล์แสงอาทิตย์ เมือ่ ปี พ.ศ. 2519 โดยหนว่ ยงานกระทรวงสาธารณสขุ และ มูลนธิ ิแพทยอ์ าสาฯ มจี า้ นวนประมาณ 300 แผง แตล่ ะแผงมขี นาด 15/30 วัตต์ และนบั เปน็ ครังแรกทไี่ ดม้ นี โยบายและแผน ระดบั ชาตดิ า้ น เซลล์แสงอาทิตย์ บรรจุลงใน แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520-2524) การตดิ ตังแผงเซลลแ์ สงอาทติ ย์ ได้ ตดิ ตัง ใชง้ าน อย่าง จริงจัง ในปลายปขี อง แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) โดยมี กรมพฒั นาและสง่ เสรมิ พลงั งาน กรมโยธาธกิ าร การไฟฟ้าสว่ นภูมภิ าค และการไฟฟา้ ฝา่ ยผลติ แหง่ ประเทศไทย ที่เปน็ หนว่ ยงานหลกั ในการน้าเซลล์ แสงอาทติ ยใ์ ชผ้ ลิตพลงั งานไฟฟา้ เพ่อื ใช้งานในด้านแสงสวา่ ง ระบบโทรคมนาคม และเคร่ืองสูบนา้ ปี พ.ศ. 2540 มีหนว่ ยงาน ต่างๆ ได้ติดตงั เซลล์ ขึนสาธิตใช้งานในลักษณะตา่ งๆ รวมกันแลว้ ประมาณ 3,734 กิโลวัตต์ ลกั ษณะการใช้งาน จะเป็นการ ติดตังใชง้ านใน พนื ทีท่ ห่ี า่ งไกล เป็นสถานีเติม ประจุแบตเตอรี่ 39% ระบบสอ่ื สารหรือสถานีทวนสัญญาณ ของ องคก์ ารโทรศพั ท์แหง่ ประเทศไทย 28% ระบบสูบนา้ ด้วย พลงั งานแสงอาทิตย์ 22% ระบบไฟฟ้าหม่บู ้านที่หา่ งไกล 5% และ สัดสว่ นทเี่ หลือจะตดิ ตงั ใน โรงเรียนประถมศึกษา สาธารณสุข และ ไฟสญั ญาณไฟกระพริบ การไฟฟ้าฝา่ ยผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ตดิ ตงั เซลล์แสงอาทิตย์ มาตงั แต่ปี พ.ศ. 2521 เพ่อื ใช้งานในกจิ การ ต่างๆ ของ กฟผ. ปจั จุบนั ติดตังใชง้ านไปแลว้ ประมาณ 70 กิโลวัตต์ โดย กฟผ. ไดท้ า้ การสาธติ การผลติ ไฟฟ้า โดยใช้ เซลล์ แสงอาทิตย์ รว่ มกบั พลังงานชนดิ อ่นื ๆ เชน่ พลังนา้ พลงั งานลม แลว้ ส่งพลงั งานท่ผี ลติ ได้เขา้ ระบบจ้าหนา่ ยของการไฟฟา้ ภมู ภิ าคตอ่ ไป กฟผ. ยังได้สาธิตการผลติ ไฟฟา้ จากเซลลแ์ สงอาทติ ย์ โดยไม่ใชแ้ บตเตอรี่ คณุ สมบัติและตวั แปรทีส่ ้าคัญของเซลลแ์ สงอาทิตย์ ตวั แปรทสี่ ้าคัญท่มี สี ่วนทา้ ให้เซลล์แสงอาทิตยม์ ปี ระสทิ ธภิ าพการท้างานในแต่ละพืนทีต่ ่างกนั และมีความส้าคัญใน การพิจารณาน้าไปใชใ้ นแต่ละพนื ที่ ตลอดจนการนา้ ไปค้านวณระบบหรอื คา้ นวณจา้ นวนแผงแสงอาทิตยท์ ่ีตอ้ งใชใ้ นแต่ละพืนท่ี มีดังนี 1. ความเขม้ ของแสง กระแสไฟ (Current) จะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความเขม้ ของแสง หมายความว่าเม่ือความเขม้ ของแสงสงู กระแสทไ่ี ด้ จากเซลลแ์ สงอาทติ ยก์ ็จะสูงขนึ ในขณะท่แี รงดันไฟฟา้ หรือโวลต์แทบจะไม่แปรไปตามความเขม้ ของแสงมากนัก ความเข้มของ แสงที่ใชว้ ัดเป็นมาตรฐานคือ ความเขม้ ของแสงที่วัดบนพืนโลกในสภาพอากาศปลอดโปรง่ ปราศจากเมฆหมอกและวัดที่ ระดบั น้าทะเลในสภาพท่แี สงอาทติ ยต์ งั ฉากกับพืนโลก ซ่ึงความเข้ม ของแสงจะมีคา่ เทา่ กับ 100 mW ตอ่ ตร.ซม. หรอื 1,000 W ตอ่ ตร.เมตร ซึง่ มคี า่ เทา่ กับ AM 1.5 (Air Mass 1.5) และถ้าแสงอาทติ ย์ทา้ มุม 60 องศากับพืนโลกความเขม้ ของแสง จะมี คา่ เทา่ กบั ประมาณ 75 mW ตอ่ ตร.ซม. หรือ 750 W ตอ่ ตร.เมตร ซ่งึ มคี า่ เท่ากับ AM2 กรณขี องแผงเซลลแ์ สงอาทติ ยน์ นั จะ ใชค้ ่า AM 1.5 เปน็ มาตรฐานในการวดั ประสิทธิภาพของแผง 2. อณุ หภูมิ กระแสไฟ (Current) จะไม่แปรตามอุณหภมู ทิ ี่เปล่ียนแปลงไป ในขณะท่แี รงดนั ไฟฟ้า (โวลท์) จะลดลงเมอ่ื อุณหภูมิ สูงขนึ ซง่ึ โดยเฉลยี่ แล้วทุกๆ 1 องศาทเ่ี พม่ิ ขึน จะทา้ ใหแ้ รงดันไฟฟา้ ลดลง 0.5% และในกรณขี องแผงเซลลแ์ สงอาทิตย์ มาตรฐานท่ีใชก้ ้าหนดประสิทธภิ าพของแผงแสงอาทติ ย์คือ ณ อุณหภมู ิ 25 องศา C เชน่ กา้ หนดไวว้ ่าแผงแสงอาทติ ย์มี แรงดันไฟฟา้ ท่วี งจรเปดิ (Open Circuit Voltage หรอื V oc) ที่ 21 V ณ อุณหภูมิ 25 องศา C กจ็ ะหมายความว่า 14

แรงดันไฟฟา้ ทีจ่ ะไดจ้ ากแผงแสงอาทิตย์ เมอ่ื ยงั ไมไ่ ดต้ อ่ กับอุปกรณ์ไฟฟา้ ณ อุณหภมู ิ 25 องศา C จะเทา่ กบั 21 V ถา้ อณุ หภมู ิ สูงกว่า 25 องศา C เช่น อุณหภูมิ 30 องศา C จะท้าใหแ้ รงดนั ไฟฟา้ ของแผงแสงอาทติ ยล์ ดลง 2.5% (0.5% x 5 องศา C) นน่ั คือ แรงดันของแผงแสงอาทิตยท์ ี่ V oc จะลดลง 0.525 V (21 V x 2.5%) เหลือเพยี ง 20.475 V (21V – 0.525V) สรุป ไดว้ ่า เมอ่ื อณุ หภูมสิ ูงขึน แรงดันไฟฟา้ กจ็ ะลดลง ซ่ึงมผี ลทา้ ให้กา้ ลงั ไฟฟา้ สงู สุดของแผงแสงอาทติ ยล์ ดลงด้วย จากข้อกา้ หนดดงั กล่าวข้างต้น กอ่ นทผ่ี ใู้ ชจ้ ะเลือกใช้แผงแสงอาทิตย์ จะต้องค้านงึ ถึงคณุ สมบัติของแผงที่ระบุไว้ใน แผงแต่ละชนิดด้วยวา่ ใชม้ าตรฐานอะไร หรือมาตรฐานท่ใี ช้วดั แตกต่างกนั หรือไม่ เชน่ แผงชนิดหนึ่งระบวุ า่ ให้ก้าลงั ไฟฟ้าสงู สุด ได้ 80 วัตต์ ที่ความเขม้ แสง 1,200 W ต่อ ตร.เมตร ณ อณุ หภมู ิ 20 องศา C ขณะทอ่ี กี ชนดิ หนง่ึ ระบวุ า่ ใหก้ า้ ลงั ไฟฟา้ สงู สดุ ได้ 75 วตั ต์ ที่ความเข้มแสง 1,000 W ต่อ ตร.เมตร และอณุ หภมู ิมาตรฐาน 25 องศา C แลว้ จะพบวา่ แผงทรี่ ะบวุ า่ ใหก้ า้ ลงั ไฟฟา้ 80 W จะใหก้ ้าลังไฟฟ้าต้า่ กว่า จากสาเหตุดงั กล่าว ผทู้ ีจ่ ะใช้แผงจึงตอ้ งคา้ นึงถึงขอ้ ก้าหนดเหลา่ นใี นการเลอื กใช้แผงแต่ละชนิด ดว้ ย 4. พลังงานนิวเคลียร์ นบั ตังแต่ออ๊ ตโต ฮาฮน์ (Otto Hahn)และฟรทิ ซ์ สตรัสสม์ ันน์ (Fritz Strassmann)คน้ พบการแตกตวั ของยเู รเนียมด้วย การยิงยเู รเนียมด้วยนวิ ตรอนจากต้นกา้ เนิดรงั สี เรเดียม-เบริลเลยี ม ในปี พ.ศ.2481 ความหวังของมนุษย์ทจ่ี ะกา้ วสยู่ ุคปรมาณู ไดเ้ รม่ิ เป็นจรงิ ปัจจบุ นั มนษุ ยช์ าตไิ ด้ใชป้ ระโยชนจ์ ากพลงั งานนิวเคลียร์ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในการผลติ พลงั งานไฟฟา้ และใน อตุ สาหกรรม รวมทงั พลังงานในการขบั เคล่ือนเรือเดินสมทุ รและเรือดา้ น้าที่เคล่ือนไหวในมหาสมทุ รตา่ งๆ พลงั งานนวิ เคลียร์ คือ พลงั งานทไ่ี ดจ้ ากการท่ีนิวเคลยี สแตกตวั ขณะทน่ี ิวเคลียสแตกตัว ปล่อยอนุภาคออกมา จะเกิด นิวเคลียสธาตุใหมพ่ รอ้ มทังพลงั งานนิวเคลยี รม์ คี ่ามากมายมหาศาล นักวทิ ยาศาสตร์แบง่ ปฏิกิรยิ านิวเคลยี ร์ ออกเป็น 2 ชนดิ คอื ปฏกิ ิรยิ าฟิชชั่น(Fission)หรือปฎิกิรยิ าแตกตวั และ ปฏิกิริยาฟิวชน่ั (Fusion)หรือ ปฎกิ ิรยิ าหลอมตวั ปัจจบุ ันพลังงานนิวเคลียร์ทสี่ ามารถน้ามาใชป้ ระโยชน์ในทางสันติ โดยเฉพาะ อย่างย่งิ ในการผลติ พลงั งานไฟฟา้ ไดจ้ ากปฎิกิริยาแตกตวั ปฏิกริ ยิ าฟิชชนั่ (Fission) ปฏิกริ ิยานิวเคลียร์ท่ีเกดิ จากการใชอ้ นภุ าคนิวตรอนหรอื อนภุ าคอ่ืนยิงไปท่ีนวิ เคลียสของธาตุหนัก แล้วท้าให้ นิวเคลียส แตกตวั เป็นนิวเคลียสใหมส่ องนวิ เคลียสทมี่ ีมวลใกลเ้ คียงกันและมพี ลังงานยึดเหนี่ยวต่อนิวคลอี อนสูงกว่านวิ เคลยี ส ของธาตุเดิม ขบวนการฟิชชนั่ ที่เกิดขนึ นีจะมี นิวตรอนอสิ ระเกิดขึนดว้ ย นวิ ตรอนอสิ ระนจี ะไปชนนิวเคลียสอืน่ ของยเู รเนียมก็ จะเกิดฟิชช่ันต่อไปเรยี กว่า “ปฏกิ ิริยาลกู โซ่” ซงึ่ เกดิ ต่อเน่ืองกันไปไม่หยุดยังและ จะเกิดพลังงานมหาศาล แนวความคิดนีถกู น้าไปใช้ในเตาปฏกิ รณ์นวิ เคลียร์ สมการดังกลา่ วแสดงตัวอยา่ งของอันตรกิรยิ าท่ีเกดิ ขึนเนือ่ งจากการแตกตวั ของนวิ เคลยี สของยเู รเนยี ม ซึ่งใหผ้ ลิตผล จากการแตกตวั สองหรือสามชิน ซงึ่ ในสมการ คอื ครปิ ทอน-89 และแบเรียม-144 พร้อมทงั การปลดปลอ่ ย 2 ถงึ 3 นิวตรอน 15

(โดยเฉลีย่ 2.5 ตวั ) ถา้ ปล่อยใหก้ ารแตกตัวเกิดขึนในลกั ษณะดังกล่าวโดยปราศจากการควบคมุ การแตกตวั จะเพมิ่ ขึนเป็น ทวคี ณู ตราบเท่าที่ยงั มนี วิ เคลยี สของยเู รเนียม-235 พรอ้ มทจ่ี ะแตกตวั ตอ่ ไปได้ การแตกตัวในลักษณะเขน่ นีเรยี กว่า “ปฏกิ ริ ยิ า ลกู โซท่ ีไ่ ม่มกี ารควบคุม” (uncontrolled chain reaction) ซึ่งเป็นปฏกิ ิริยาลูกโซใ่ นระเบิดนวิ เคลยี ร์ ในกรณีที่ตอ้ งการนา้ พลังงาน ไปใชใ้ นทางสันติจ้าเป็นต้องควบคมุ ปฏกิ ิริยาลูกโซด่ งั กล่าว เพื่อให้การแตกตวั อยู่ในระดบั ทพ่ี อเหมาะกบั ก้าลงั งานทต่ี ้องการ การควบคมุ ดงั กล่าวกระท้าไดด้ ้วยตวั หน่วงความเร็ว (moderator) โดยปกติจะนิยมใช้แกรไฟต์และนา้ ชนิดหนักเป็นตัวหนว่ ง ความเร็วนิวตรอน (สาเหตทุ ไี่ ม่ใช้น้าธรรมดาเพราะ มคี วามสามารถในการดูดกลนื นวิ ตรอนค่อนขา้ งสูง) น้าธรรมดาจะใช้เป็นตวั ระบายความรอ้ นจากแกนปฏิกรณไ์ ปสูอ่ ปุ กรณ์ถ่ายเทความร้อน อปุ กรณท์ ่ีสามารถใชค้ วบคุมปฏิกิริยานิวเคลยี ร์ให้สามารถปลดปล่อยพลงั งานความร้อนออกมาตามทต่ี ้องการเรยี กว่า เคร่อื งปฏิกรณ์นวิ เคลยี ร์หรือเครื่องปฏกิ รณป์ รมาณู (Nuclear reactors) หรือท่ีนิยมเรยี กวา่ เตาปฏิกรณ์ฯ หรือเตาปรมาณู พลงั งานนิวเคลียรจ์ ากสารกัมมันตรงั สี สารกัมมันตรังสี หรือสารรังสี (Radioactive material) คือสารท่อี งค์ประกอบสว่ นหนง่ึ มี ลกั ษณะเปน็ ไอโซโทปที่มี โครงสร้างปรมาณูไม่คงตัว (Unstable isotope) และจะสลายตวั โดย การปลดปลอ่ ยพลงั งานสว่ นเกินออกมาในรปู ของรังสอี ลั ฟา รังสเี บตา รังสแี กมมา หรอื รังสเี อกซ์ รปู ใดรปู หนึ่ง หรอื มากกว่าหนง่ึ รูปพร้อมๆกัน ไอโซโทปทีม่ คี ุณสมบตั ิดังกลา่ วนี เรียกว่า ไอโซโทปกัมมนั ตรงั สี หรือ ไอโซโทปรังสี (Radioisotope) คณุ สมบตั ิทส่ี ้าคญั อีกประการหน่งึ ของไอโซโทปรงั สี คืออัตราการ สลายตวั ดว้ ยคา่ คงตวั ที่เรยี กว่า “ ครง่ึ ชวี ิต (Half life) ” ซงึ่ หมายถึง ระยะเวลาทไี่ อโซโทปจ้านวนหนึ่ง จะสลายตวั ลดลงเหลือ เพียงครึง่ หนง่ึ ของจ้านวนเดมิ การใช้พลงั งานนวิ เคลยี ร์ในประเทศไทย สา้ นกั งานพลงั งานปรมาณูเพอื่ สันติ ได้ถกู จดั ตงั ขึนเม่อื พ.ศ. 2504 เรียกย่อวา่ พปส เปน็ หน่วยงานในสังกดั ของ กระทรวงวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และส่งิ แวดล้อม ไดเ้ ร่ิมเดินเครื่อง ปฏกิ รณ์ปรมาณู เมอื่ วนั ที่ 27 ตลุ าคม พ.ศ. 2505 ใชใ้ น การผลติ ไอโซโทปบางชนิด ซง่ึ เป็นสารกมั มนั ตภาพรงั สี เชน่ 131I , 99Tc ใชใ้ นทางการแพทยเ์ พอ่ื วนิ ิจฉยั และบาบดั โรค 32P ใชใ้ นการเกษตร นอกจากน้ี ยงั วเิ คราะหธ์ าตุโดยใชเ้ ทคนิคทางนิวเคลยี ร์ (Neutron activation analysis) เป็น การหาชนดิ และปรมิ าณของธาตุตา่ ง ๆ ทม่ี อี ยใู่ นสาร ประโยชน์ของพลงั งานนวิ เคลียร์ในเชิงการแพทย์ - ด้านการตรวจและวินจิ ฉัยโรค เช่น การถ่ายเอกซเรย์ เพื่อตรวจความผดิ ปกตขิ องอวัยวะ การตรวจการทา้ งานระบบ อวยั วะ โดยใหผ้ ู้ป่วยรบั ประทานหรือฉีดสารกัมมันตรงั สเี ขา้ ไปในร่างกาย แลว้ ท้าการถา่ ยภาพอวยั วะ อาทิ ใช้ไอโอดีน-131 ตรวจความผดิ ปกติของตอ่ มไทรอยด์ - ดา้ นการบา้ บดั รกั ษาโรค โดยทั่วไปใชร้ ังสีในการรักษาโรคมะเร็งและเนอื งอก เชน่ ใช้ฟอสฟอรัส-32 ในการรกั ษา ภาวะที่มีเมด็ เลอื ดแดงมากเกนิ ไป 16

- ดา้ นการท้าให้ปลอดเชือของผลติ ภัณฑ์ทางการแพทย์ เชน่ ใชร้ ังสีแกมมาจากโคบอลต์-๖๐ ในการท้าให้ผลติ ภัณฑท์ ี่ ไมท่ นความร้อนมรี ูปรา่ งสลบั ซบั ซอ้ น หรืออยู่ในภาชนะบรรจขุ ันสุดทา้ ยปลอดเชือ วธิ ีนีจะชว่ ยป้องกันการปนเป้ือนท่ีเกดิ จาก การบรรจหุ บี หอ่ มีความปลอดภยั ต่อผู้ปฏิบัติงานและคนไข้ การใชป้ ระโยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์ในด้านอุตสาหกรรม - อตุ สาหกรรมด้านพลังงาน เชน่ การผลิตเรอื สินคา้ เรือตัดน้าแข็ง การสรา้ งโรงไฟฟ้านวิ เคลยี ร์ - อุตสาหกรรมการฉายรังสี เช่น การฉายรังสอี าหารและผลิตผลการเกษตร การทา้ ใหผ้ ลิตภัณฑท์ างการแพทยป์ ลอด เชอื โรค การผลิตสารพวกพอลิเมอร์ต่างๆ - การตรวจวดั และควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรมโดยการใชเ้ ทคนคิ นิวเคลียร์ ดว้ ยการใช้วสั ดกุ ัมมันตรังสแี ละเทคนิค ทางรงั สี ซึง่ เรยี กวา่ “เทคนิคนวิ เคลียร์” มาใชป้ ระโยชน์ในระบบวดั และควบคมุ ของโรงงานอุตสาหกรรม การใชป้ ระโยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์ทางด้านการเกษตร สง่ เสริมการเกษตรเพอื่ เพิ่มปริมาณเพม่ิ คุณภาพผลผลติ ทางการเกษตร เชน่ ปรับปรุงพนั ธ์ุพชื การถนอมอาหารด้วย รังสี ศึกษาเกีย่ วกบั การดูดซึมแร่ธาตุและปุ๋ยของต้นไมแ้ ละพืชเศรษฐกิจตา่ งๆ เพ่อื ปรบั ปรุงการใช้ปยุ๋ ให้มีประสทิ ธภิ าพยงิ่ ขนึ การใชป้ ระโยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์ด้านการศกึ ษาวจิ ัยทางวทิ ยาศาสตร์ เช่น การวเิ คราะหธ์ าตุปรมิ าณน้อยและ สารพิษในส่ิงแวดลอ้ ม การศึกษาอายุของวตั ถโุ บราณ ศกึ ษาวัฏจักรหรอื วงชวี ติ ของพืชและสัตวบ์ างชนิด การศกึ ษาการเคล่อื นที่ ของนา้ ใต้ดินและน้าผิวดนิ ศกึ ษาแหล่งพลงั งานความร้อนใตพ้ ิภพ ศึกษาการสะสมการเคลอื่ นท่ีของตะกอนในเขอ่ื น แม่น้า ล้า คลอง และแหลง่ น้าตา่ งๆ นอกจากนียงั มกี ารใช้รังสเี พือ่ การกา้ จดั นา้ เสยี การผลติ ปุ๋ยธรรมชาติ การพฒั นาท่ดี ินทางการเกษตร กิจกรรมทางป่าไมแ้ ละอทุ กวิทยา เป็นตน้ บทความเร่ือง ความเป็นไปได้ในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย โดย รศ. ดร. ธัชชัย สมุ ิตร อดีตอธกิ ารบดี จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั อดีตนายกสมาคมนวิ เคลยี รแ์ ห่งประเทศไทย ความเป็นไปไดใ้ นการใช้พลังงานนวิ เคลียร์ เพือ่ ผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยนนั ขึนอยกู่ ับปจั จัยหลายอย่าง อาทิ ความ พรอ้ มในการใชเ้ ทคโนโลยชี นั สูง และการพฒั นาบุคลากรท่เี กยี่ วข้อง การกา้ หนดนโยบาย และการตัดสนิ ใจ การออก กฎระเบยี บและกฎหมายท่เี กี่ยวข้อง การออกใบอนุญาต และการควบคุมดูแล ความเป็นไปได้ในการขจัด หรอื จัดการกาก เชือเพลงิ นวิ เคลียร์ภายในประเทศ ความพร้อมทางด้านเศรษฐกจิ และการลงทนุ การยอมรบั จากประชาชน ฯลฯ ในช่วงทีผ่ า่ นมาการจัดหาพลังงานตน้ เพอื่ นา้ มาผลิตไฟฟา้ ใช้แหล่งเชือเพลิงในประเทศเป็นส่วนใหญ่ เชน่ พลังนา้ ถ่านลิกไนต์ และก๊าซธรรมชาติ ในระยะนแี หล่งพลังงานในประเทศเร่มิ รอ่ ยหรอลง ท้าใหก้ ารน้าเข้าพลังงานเชน่ นา้ เข้าพลังงาน ไฟฟ้าจากประเทศเพอ่ื นบ้าน นา้ เขา้ กา๊ ซธรรมชาติ หรือถา่ นหนิ เร่ิมจะมีมากขนึ และในอนาคตข้างหนา้ คงจะเหลอื ทางเลอื ก อยู่ 2 ทางหลัก ที่ตอ้ งตัดสนิ ใจ คือ น้าเข้าถา่ นหิน หรอื นา้ เข้าเชอื เพลิงนวิ เคลียรห์ รอื ทังสองอยา่ งเมอื่ ดเู ผนิ ๆ การเลอื กใชถ้ า่ น หินอาจจะดงู า่ ยกวา่ การเลอื กใช้พลงั งานนวิ เคลยี ร์ เพราะดู ไม่นา่ กลัวเท่า แตผ่ ลกระทบตอ่ สงิ่ แวดล้อม และภาระท่ีตามมานนั มี มาก จงึ จา้ เป็นต้องคดิ ใหด้ กี ่อนน้ามาใช้เพม่ิ ในปริมาณมากๆ ถา่ นหนิ นันเมอ่ื เผาไหม้แล้ว จะก่อใหเ้ กิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซงึ่ จะไปท้าใหเ้ กิดภาวะเรอื นกระจก มีผลท้าให้บรรยากาศของโลกรอ้ นขนึ เปน็ ผลกระทบในระดับท่วั โลก และอาจมีผลทา้ ให้ เกิดอทุ กภัย คือ นา้ ทะเลท่วมสงู บริเวณชายฝงั่ พชื และสตั วห์ ลายชนดิ อาจสูญพันธ์ุ ดงั นนั ประเทศตา่ งๆ รวมทังประเทศไทย จงึ ได้ตกลงกนั ท่ีเมืองรโิ อเดจาเนโร ประเทศบราซลิ เมอ่ื ปี พ.ศ. 2535 วา่ จะไมเ่ พ่มิ ปรมิ าณกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ 17

และจะพยายามลดให้น้อยลงหากเปน็ ไปได้ ดังนัน การมโี รงไฟฟ้าท่ีปลอ่ ยก๊าซชนิดนมี ากๆ จะทา้ ให้การจัดการ เพือ่ ใหเ้ ป็นไป ตามข้อตกลงนันยากขึน หรอื เป็นไปไม่ได้เลย นอกจากนนั โรงไฟฟา้ ชนดิ นี ยังปล่อยก๊าซที่ทา้ ให้เพ่ิมสภาพความเปน็ กรดใน สิ่งแวดล้อม คอื ซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ โลหะหนัก ขีเถ้าและฝนุ่ ละอองอีกมากมาย ซึ่งลว้ นแต่เปน็ อันตรายตอ่ สขุ ภาพของคนและสัตว์ อกี ทงั ยังมผี ลเสียตอ่ พชื ด้วย จึงตอ้ งกา้ จดั และปลอ่ ยออกจากโรงไฟฟ้าใหน้ ้อยที่สดุ เท่าที่จะท้าได้ สว่ นโรงไฟฟา้ นวิ เคลยี ร์นัน ดนู า่ กลัวกวา่ โรงไฟฟา้ ถา่ นหนิ มาก เพราะมีโอกาสเกิดอุบตั เิ หตรุ ุนแรง ที่มีผลกระทบสูงได้ เช่น อุบัติเหตุที่เกดิ จากโรงไฟฟ้าเชอร์โนบลิ (ประเทศยูเครน) ถึงแม้วา่ อุบัตเิ หตุระดับนัน เกือบไม่มโี อกาสเกิดขึนเลย กบั โรงไฟฟา้ รนุ่ ท่ใี ช้ในโลกตะวนั ตกในปจั จบุ นั กต็ าม แต่ประชาชนโดยท่ัวไปยังโยงความคิดระหว่างโรงไฟฟ้านิวเคลยี ร์ และ อบุ ตั ิเหตเุ ชอร์โนบลิ หรือระเบดิ ปรมาณูเมอ่ื สมยั สงครามโลกครังทส่ี อง ท้าใหบ้ ดบงั ข้อดขี องโรงไฟฟ้านิวเคลยี ร์ในสว่ นท่ี ทา้ ให้ เกิดผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อมต้า่ และทา้ ให้การควบคุมกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ทา้ ไดง้ ่ายขนึ ออกไป ประเดน็ เรื่องความเข้าใจ และการยอมรับของประชาชนนีเป็นประเดน็ ทสี่ ้าคญั ทีส่ ุด สว่ นประเด็นอ่ืนๆ ทสี่ ้าคัญไดแ้ ก่ นโยบายและการออกกฎหมาย กฎระเบยี บ ขอ้ บังคับตา่ งๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ความพร้อมทจี่ ะใชเ้ ทคโนโลยีนวิ เคลียร์ ความเป็นไปไดใ้ นการจดั การกากกัมมนั ตรังสี ภายในประเทศ การพฒั นาบุคลากรทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ความพร้อมทางดา้ นเศรษฐกจิ และการลงทุน ฯลฯ สิง่ ทีต่ ้องคา้ นงึ ถึงในการสรา้ งโรงไฟฟ้านวิ เคลียร์เพ่ือใชใ้ นประเทศมีดังต่อไปนี 1. ความพร้อมทางด้านเศรษฐกจิ และการลงทนุ โครงการสรา้ งโรงไฟฟ้านวิ เคลียรเ์ ป็นโครงการที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง มาก และตอ้ งลงทุนลว่ งหน้าเปน็ เวลานาน กว่าจะเร่มิ มีรายไดจ้ ากการขายไฟฟา้ แตโ่ ดยทปี่ ระเทศได้พัฒนาไปมากและมี ฐานเศรษฐกจิ ท่ีดพี อสมควร ความพรอ้ มในแง่การลงทุนจงึ ไมน่ า่ มปี ญั หา เพยี งแต่วา่ นโยบายการใชพ้ ลังงานนิวเคลยี ร์และการ ตัดสินใจใชพ้ ลังงานในรูปนี จะตอ้ งมีความแนน่ อนมากจึงจะท้าให้การลงทนุ มอี ัตราเสย่ี งต้า่ เพราะถา้ ลงทนุ ไปแล้วเกิดมีการ เปลีย่ นใจ เปลี่ยนนโยบาย และยกเลกิ ไม่ใชพ้ ลังงานนิวเคลียร์ ดังเชน่ ในบางประเทศแลว้ การลงทุนนันจะเป็นการลงทุนที่สญู เปล่าทนั ที 2. ความพร้อมในการใชเ้ ทคโนโลยชี ั้นสูง สบื เนอ่ื งมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจและอตุ สาหกรรมอย่างตอ่ เนอ่ื งเป็น เวลากว่าสิบปี ทา้ ให้มีการพัฒนาเทคโนโลยสี ูงขึนมาโดยล้าดับ จากอุตสาหกรรมทีป่ ระกอบผลิตภณั ฑเ์ พียงอย่างเดียว ไปเปน็ อุตสาหกรรมที่ต้องมกี ารผลิตชนิ ส่วนและทดสอบคณุ ภาพมากขึน หลายอุตสาหกรรม เปน็ อุตสาหกรรมทไี่ ดม้ าตรฐานระดบั สากล และหลายอุตสาหกรรมกก็ ้าลงั ก้าวไปสจู่ ุดนนั จงึ อาจกล่าวไดว้ ่า ประเทศไทยมคี วามพรอ้ มในการใชเ้ ทคโนโลยีชนั สงู มาก ขึนพอสมควร บุคลากรจ้านวนไมน่ ้อยมคี ุณภาพดีขนึ ถงึ แมว้ ่าจะมีความขาดแคลนอยา่ งหนัก หากมีการใชเ้ ทคโนโลยีนิวเคลียร์ เพอื่ ผลติ พลังงานไฟฟา้ ขึนในประเทศ จะเกดิ ความตอ้ งการใชเ้ ทคโนโลยีขนั สงู เพิ่มขึนอกี มาก ไม่ว่าจะเปน็ การก่อสรา้ งทตี่ ้องมี คณุ ภาพสงู การทดสอบแบบไมท่ ้าลาย เทคโนโลยีเพ่อื ปอ้ งกันการกัดกรอ่ น การประกนั คณุ ภาพ เทคโนโลยอี ิเล็กทรอนกิ ส์ และ เทคโนโลยีสารสนเทศ ฯลฯ ดงั นนั การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนึ จะเปน็ การกระต้นุ ใหม้ กี ารพฒั นาเทคโนโลยีชนั สูงในหลาย สาขา เพราะโรงไฟฟ้านิวเคลยี ร์ ต้องใช้เทคโนโลยีทมี่ ีคุณภาพสงู ซ่ึงจะเป็นการยกระดบั เทคโนโลยใี ห้สูงขนึ โดยรวม และจะเป็น ประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมอ่ืนโดยปรยิ าย การใชเ้ ทคโนโลยชี นั สงู นจี ะตอ้ งมกี ารพฒั นาบคุ ลากรท่เี หมาะสม แตก่ ็จะเป็น ประโยชนต์ อ่ อุตสาหกรรมอน่ื ๆ ดว้ ย 3. นโยบายการออกกฎหมาย กฎระเบยี บ ใบอนุญาต และการควบคมุ ดแู ล ในแง่ของประเทศ การก้าหนด นโยบายเก่ียวกับการพฒั นา และการใชพ้ ลงั งานเปน็ เรอ่ื งทีส่ ้าคัญ เช่น ถา้ นโยบายชชี ัดว่า ประเทศจะตอ้ งใชพ้ ลังงานนิวเคลยี ร์ แน่ ถงึ แมจ้ ะเปน็ อกี 20 ปีข้างหน้ากแ็ ล้วแต่ การเตรยี มตวั ของฝา่ ยตา่ งๆ ทเี่ กี่ยวข้องคงจะดีกว่า ฝา่ ยผลติ ไฟฟ้าและดา้ เนนิ การ ฝา่ ยอุตสาหกรรมทเี่ กยี่ วขอ้ ง ฝ่ายการศกึ ษาและผลติ บุคลากร ฝา่ ยกิจการสาธารณะ และประชาสมั พันธ์ เป็นต้น แต่ถ้านโยบาย 18

ชชี ดั ว่า ไม่ใช้พลังงานนิวเคลียร์แน่ การเตรียมตัวคงจะเป็นอกี แบบหนงึ่ คอื เปน็ แบบทไ่ี มม่ ่งุ เน้นการใชพ้ ลงั งานนิวเคลียรใ์ นการ ผลติ ไฟฟา้ บุคลากรท่ีมีอย่ปู จั จุบนั จะไดห้ ันไปทา้ งานทางดา้ นอนื่ และไมจ่ า้ เป็นตอ้ งจัดหาหรือผลติ บุคลากรอื่นมาทดแทนหรือ เสริมใหม้ ากขนึ เพ่ือเปน็ การใช้ทรัพยากรมนุษย์ ท่ีมีน้อยอยู่แลว้ ให้คมุ้ คา่ ขนึ แต่การใชพ้ ลงั งานนวิ เคลียร์ทางดา้ นอืน่ เช่น การแพทย์ การเกษตร อตุ สาหกรรม วทิ ยาศาสตรข์ นั พืนฐานจะยงั คงต้องมอี ยู่ แตก่ ารใชน้ โยบายท่เี ป็นแบบรอดูท่าทีไปกอ่ น เรอ่ื ยๆ เชน่ ปจั จบุ ัน ท้าให้ต่างฝ่ายตา่ งหยดุ คุมเชงิ อยู่ แตไ่ ม่มีการพัฒนาใดๆ ทมี่ คี วามหมายเกิดขนึ อย่างจรงิ จัง การก้าหนดนโยบายทช่ี ดั เจนเปน็ เรอื่ งทีย่ าก ต้องอาศยั ความรู้ การมองการณไ์ กล เหตผุ ลท่ีแท้จริงและความกล้าหาญ เม่ือตัดสนิ ใจอย่างหนง่ึ อย่างใดลงไปแลว้ ตอ้ งมีความมนั่ คงและพรอ้ มท่ีจะอธบิ าย รวมทังยนื ยันในส่งิ นันได้ ประเทศเราไม่สจู้ ะมี ความสามารถในเรื่องนมี ากนัก จึงท้าให้เกดิ ปัญหาขึนมากมาย ต้องตามแกป้ ญั หาย้อนหลังกนั อย่ตู ลอดเวลา ท้าให้เกิดความ เสยี หาย และสินเปลืองเงินทองเกินความจ้าเป็น ดงั จะเห็นไดจ้ ากระบบสาธารณะ และสาธารณปู โภคตา่ งๆ เช่น ระบบขนส่ง มวลชน ประปา เขือ่ น สนามบนิ ท่าเรอื การคมนาคมสื่อสาร การปอ้ งกันนา้ ท่วม การปอ้ งกันอคั คภี ัย และการบรรเทาสาธารณ ภยั ฯลฯ การออกกฎระเบยี บและกฎหมายทีร่ องรบั และควบคุมการใชพ้ ลงั งานนวิ เคลียร์ในขณะนียงั ไม่พรอ้ มเพียงพอ เน่อื งจากยงั ไมม่ ีนโยบายทแี่ น่ชดั จงึ ทา้ ให้เกดิ ความรสู้ กึ วา่ ยังไมร่ บี ด่วน แตห่ ากไม่ท้า และรอให้เกิดโครงการโรงไฟฟา้ นวิ เคลียร์ ขึนกอ่ น อาจจะมีปัญหาตามมาอีกหลายประการ และไม่ก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยทัว่ ไปได้ 4. การขจัด หรอื จัดการกากกัมมันตรังสี ในการด้าเนนิ การตามปกติ โรงไฟฟ้านิวเคลยี รเ์ ป็นโรงไฟฟา้ ทกี่ ่อให้เกิด ผลกระทบตอ่ ส่ิงแวดลอ้ มน้อยที่สุด เม่ือเทยี บกับโรงไฟฟา้ พลังความรอ้ นแบบอืน่ ๆ เพราะไมม่ กี ารปล่อยของเสียออกขณะ เดนิ เครือ่ ง กากทเี่ กดิ ขนึ จะอยใู่ นแท่งเชอื เพลิงจนกวา่ จะเอาออก แตต่ ามความเข้าใจของคนทัว่ ไปนนั มักจะเขา้ ใจว่าโรงไฟฟ้า นวิ เคลียร์ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง เพราะไปเข้าใจว่ากากเชือเพลิงนิวเคลยี รเ์ ป็นสารกัมมันตรังสี ซ่ึงมีอายุยนื ยาว และจะกระจายไปทว่ั ท้าใหเ้ กิดกัมมันตรงั สี และอาจมอี ันตรายตอ่ ส่ิงมชี ีวิตได้ จึงตอ้ งมกี ารจดั การทีเ่ หมาะสม โดยความรู้และเทคโนโลยีปจั จุบนั การจดั การกากกัมมันตรงั สีมักจะท้าเปน็ หลายๆ ระยะ เพ่ือความสะดวก ปลอดภัย และประหยดั กล่าวคอื กากท่ีอยูใ่ นเชือเพลงิ นวิ เคลยี รใ์ นระยะแรก มักปลอ่ ยให้อยูใ่ นแทง่ เชอื เพลิงและเก็บแท่งเชอื เพลงิ ทีใ่ ช้ แลว้ นไี ว้ในบ่อนา้ ซึ่งอย่ภู ายในตัวโรงไฟฟ้าเอง เพ่ือให้สารกัมมันตรังสสี ่วนใหญ่สลายตัวหรือทีเ่ รียกตามภาษาสามญั วา่ ปล่อยให้ เยน็ ลง ขันตอนนเี ปน็ การเกบ็ กากกัมมนั ตรงั สีไว้ภายใต้การดูแลที่เข้มงวดภายในโรงไฟฟ้าเอง ในระยะนี สารกัมมนั ตรงั สจี ะ สลายตัวลงอยา่ งรวดเรว็ หลังจากเก็บไว้ 3 เดือน กมั มันตรงั สจี ะลดลงไปแลว้ ครงึ่ หนึ่ง พอถึง 1 ปี กัมมันตรงั สีจะลดลงไปถึง 80 เปอร์เซน็ ต์ และถ้าปลอ่ ยทิงไว้ 10 ปี จะสลายตวั ไปแล้ว ถงึ 90 เปอรเ์ ซ็นต์ แต่ทเี่ หลอื 10 เปอรเ์ ซ็นต์นันมอี ายุยืนยาวเป็น พนั ปี จงึ จะตอ้ งมีการเกบ็ อย่างถาวรด้วย เพ่ือไม่ให้มีโอกาสเป็นอันตรายต่อส่งิ มีชีวติ ได้ การเก็บกากกมั มนั ตรังสอี ยา่ งถาวรนนั จนถงึ บัดนยี งั ไมม่ ผี ใู้ ดปฏบิ ัติ เน่ืองจากยังไม่ถงึ เวลาอนั ควร แต่ก็ไมไ่ ดม้ ีการศกึ ษา ออกแบบ และทดสอบกันมานานพอสมควร แล้ว จนสรุปวา่ วิธีการที่แน่นอนที่สุด คอื การเก็บไว้ใตด้ นิ ในที่ซึง่ สภาพทางธรณวี ทิ ยามคี วามคงตวั สูง และในแต่ละประเทศทมี่ ี การใช้พลงั งานนวิ เคลียร์ ก็มกั มีการพิจารณาเลือกสถานทใ่ี นเบืองต้นไวแ้ ล้วเปน็ สว่ นใหญ่ ในโลกปจั จบุ นั เปน็ ทีย่ อมรับว่าใครเป็นผู้ท้าให้เกิดขยะหรือของเสียผู้นนั จะตอ้ งเป็นผรู้ บั ผดิ ชอบ ไมว่ า่ จะเปน็ ขยะจาก ครวั เรอื น หรือสารเคมที ี่มีพษิ หรือกากกมั มนั ตรังสี หรอื อน่ื ๆ จะยกไปให้ประเทศอื่นรับผดิ ชอบไมไ่ ด้ ยกเวน้ ว่าเขาจะรับทา้ เปน็ อาชีพ ดังนัน ถา้ ประเทศไทยจะเลอื กใช้พลังงานนวิ เคลยี ร์เพ่ือผลิตไฟฟา้ ในอนาคต กค็ วรทจ่ี ะเรมิ่ ดูในเร่อื งของสถานทีเ่ กบ็ กาก ถาวร ภายในประเทศดว้ ย ว่ามีความเปน็ ไปไดม้ ากน้อยเพียงไรและควรจะเตรยี มตัวทา้ อะไรบ้าง เพอ่ื ใหป้ ระชาชนอนุ่ ใจวา่ ถา้ จะมกี ากกมั มันตรงั สจี ากโรงไฟฟ้าเกดิ ขนึ แล้วจะมีทีเ่ ก็บที่ปลอดภัย และประชาชนยอมรบั ได้ภายในประเทศ โดยปกตแิ ล้ว สถานท่ที ป่ี ระเทศต่างๆ เลือกไว้ มกั จะมสี ภาพธรณวี ทิ ยาท่เี ป็นชันหนิ แกรนิตหรอื เปน็ เหมอื งเกลือ ส้าหรบั ในประเทศไทยเรา อาจเลือกเปน็ ชันดินเหนียวหรือดินดานหรือหินแบบอน่ื กไ็ ด้ แตอ่ าจจะต้องมีการศกึ ษาวิจัยเพิ่มเติม จากทีเ่ คยมีการท้ามาแลว้ ใน ประเทศอ่นื 19

5. การพัฒนาบคุ ลากร ประเด็นส้าคญั ประการหนึง่ ท่จี ะทา้ ให้การใชพ้ ลงั งานนวิ เคลียร์มีความปลอดภัยคือ ต้องมี บุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถสงู ในเรื่องตา่ งๆ ทเี่ กีย่ วข้อง ตงั แต่การออกกฎหมาย การตรวจสอบ ควบคุม และออก ใบอนุญาตตา่ งๆ การกอ่ สร้าง เดนิ เครอื่ ง ซ่อมบ้ารุงอปุ กรณ์ และระบบบุคลากรทางดา้ นความปลอดภัยทางรงั สี การวดั รังสี ส่ิงแวดล้อม การศึกษาออกแบบ ดูแลระบบจัดการกาก ความพรอ้ มในการบรรเทาสาธารณภยั รวมทงั การปอ้ งกัน บ้าบดั รกั ษา พยาธิสภาพท่เี นื่องมาจากรังสี การวจิ ัยทเ่ี กี่ยวข้องและอนื่ ๆ อนั ที่จริง น่าจะได้เรม่ิ เตรยี มความพรอ้ มของบคุ ลากรเหลา่ นแี ตเ่ นิ่นๆ บางส่วน เชน่ บุคลากรทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การออก กฎ ระเบียบ ใบอนญุ าต วิเคราะหค์ วามเป็นไปได้ของโครงการ การจัดการกากกัมมันตรงั สี ฯลฯ อาจจะต้องลงทุนเตรียมพร้อม ไว้ ให้มีจา้ นวนมากพอทจี่ ะสามารถท้างานได้ผล ดีกวา่ ท่จี ะรอใหโ้ ครงการเร่ิมแล้วจงึ เรม่ิ เตรียมซ่งึ จะไม่ทัน จะต้องฟงั ความเห็น ของบรษิ ทั วศิ วกรท่ปี รึกษาจากต่างประเทศเพียงอยา่ งเดียว แต่ถ้าโครงการนีไมเ่ กิด บุคลากรคุณภาพสูงเหลา่ นี ก็น่าจะทา้ ประโยชน์ให้กับสังคมได้ในเรือ่ งอ่ืนๆ สา้ หรับบคุ ลากรที่จะทา้ งานเก่ยี วกับการเดินเครอื่ ง การบา้ รงุ รกั ษาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นนั อาจจะยังมเี วลาพอและรอ ใหโ้ ครงการมีความแน่นอนกอ่ นจงึ จะเรม่ิ พฒั นา 6. การยอมรบั จากประชาชน ในขณะนี ยังไมแ่ น่ชดั ว่าประชาชนคนไทยจะยอมรับการใช้พลงั งานนวิ เคลยี ร์เพื่อผลิต ไฟฟา้ หรือไม่ แต่การหย่ังเสยี งทันทีทนั ใด คงจะไม่เกิดประโยชน์ เพราะก่อนท่จี ะมีการลงความเหน็ ใดๆ ของชนหมู่มากนัน ควร ท่ีทุกฝา่ ยจะได้ใหค้ วามรู้ ข้อมูล เหตุผล และผลท่ีจะเกิดขึนจากการตัดสินใจเลอื กใช้ กจ็ ะมีผลทีต่ ามมาทงั ในทางดีและไม่ดี แต่ การตัดสนิ ใจไมใ่ ช้ กจ็ ะมีผลที่ตามมาทงั ในทางดีและไมด่ เี ช่นกนั จึงนา่ ที่ทุกคนจะไดใ้ ส่ใจในขอ้ นีและพยายามทา้ ใหส้ ังคมของเรา มีความรู้ และมคี วามรับผดิ ชอบที่จะกา้ วไปข้างหน้าได้อยา่ งม่นั คง การสรา้ งโรงไฟฟา้ นิวเคลยี รข์ ึนในประเทศไทยนนั มปี ัจจัยเกือหนนุ หลายประการ แตจ่ ะเปน็ ไปไดม้ ากนอ้ ยหรอื รวดเร็วเพียงใดนัน ขนึ อยู่กบั วา่ รัฐบาลเรามคี วามพรอ้ มแคไ่ หน ในการก้าหนดนโยบายระยะยาว การตัดสินใจและด้าเนนิ การ ตามขันตอนที่เหมาะสม การให้ความรแู้ ก่ประชาชนทังในสว่ นดีและส่วนไม่ดี ทีส่ ามารถทา้ ให้เขา้ ใจผลท่จี ะตามมา จากการใช้ หรอื ไม่ใช้พลังงานนิวเคลยี ร์ ปัจจัยเรื่องการยอมรบั จากประชาชนนีเป็นปัจจยั ทสี่ า้ คัญทสี่ ดุ คอื จะตอ้ งได้รับการยอมรบั จาก ประชาชน ถงึ ระดบั หนง่ึ แล้วเทา่ นนั จงึ จะสามารถดา้ เนนิ โครงการได้ แผนพลังงานทดแทนของประเทศไทย ความเป็นมาของโครงการนี ตามแผนพฒั นากา้ ลงั ผลติ ไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2547-2558 (PDP 2004) ก้าหนดวา่ ในการกอ่ สรา้ งโรงไฟฟา้ ใหม่จะต้องมโี รงไฟฟา้ พลงั งานหมนุ เวยี น (Renewable Portfolio Standard ; RPS) ร้อยละ 5 คณะรฐั มนตรีมมี ติเห็นชอบแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของ กฟผ. และอนุมตั ิใหด้ ้าเนนิ การเม่อื 30 ตุลาคม 2550 ซึ่งประกอบด้วย 1. โรงไฟฟา้ กงั หนั ลม 2 เมกะวตั ต์ 2. โรงผลิตไฟฟา้ จากพลังงานแสงอาทิตย์ 1 เมกะวตั ต์ 3. โรงไฟฟ้าพลังนา้ ขนาดเลก็ 78.7 เมกะวตั ต์ ซ่งึ จะได้ก้าลงั ไฟฟา้ รวมจากโครงการเหลา่ นที งั สิน 81.7 เมกะวตั ต์ 20

ส้าหรบั โรงไฟฟา้ พลังนา้ นนั กฟผ. จะดา้ เนินการสรา้ งโรงไฟฟ้าท่ีผลติ จากพลังนา้ ทา้ ยเขอ่ื นชลประทาน เช่น เขอ่ื นป่า สกั ชลสทิ ธิ์ เขือ่ นขุนดา่ นปราการชล เขอ่ื นเจ้าพระยา เขื่อนนเรศวร เป็นต้น ซึ่งจะได้ก้าลงั ผลติ รวม 78.7 MW. นอกจากนียังมี แผนการลงทุนพฒั นาพลังงานทดแทน 15 ปี ของ กฟผ. (พ.ศ.2551-2565) ประกอบไปด้วยพลงั งานลม พลังงานแสงอาทติ ย์ พลังงานขยะ และพลังงานน้าขนาดเลก็ ซ่งึ ได้มีการประเมนิ ศกั ยภาพของพลงั งานทดแทนตา่ งๆ ในแตล่ ะภูมภิ าคของประเทศ ไทยไวด้ งั รูป 14 รูป 14 ศักยภาพและแผนการพฒั นาพลังงานแบ่งตามเขตภูมิภาค นอกจากนียังไดม้ กี ารคาดการณ์ ความต้องการพลังงานและศกั ยภาพของพลังงานทดแทนไว้ เพื่อท้าการพฒั นาการใช้พลังงาน ทดแทน และการอนุรกั ษพ์ ลงั งานโดยกระทรวงพลงั งาน 21


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook