ขออนุโมทนาคุณความดีท่เี กิดข้นึ ในหนังสือเล่มน ้ี แด ่ องคส์ มเดจ็ พระสมั มาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรมเจา้ ทกุ ๆ พระองค ์ พระปจั เจกพทุ ธเจา้ ทกุ ๆ พระองค์ พระอรหนั ต สาวกเจา้ ทกุ ๆ พระองค์ พระอรยิ สงฆเ์ จา้ ทกุ ๆ พระองค์ พระคณุ ของครบู าอาจารยท์ กุ พระองค์ ทกุ องค์ ทกุ ทา่ น และทา่ นผอู้ า่ นทกุ ทา่ นพรอ้ มดว้ ยพรหมเทวดา สรรพสัตว์ สรรพวิญญาณ สรรพเจ้ากรรมนายเวรท้ังหลาย จงสำเร็จ มรรคผล นิพพานในชาติปจั จุบัน โดยเร็วพลนั เทอญ
คำนำนักเขียน การนำพุทธมนต์ พระคาถาและคาถาไว้ ณ ที่นี้ ก็เพื่อประโยชน ์ ของท่านท้ังหลาย ที่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและเพื่อเป็นการ แสดงความเคารพอย่างสงู สดุ ตอ่ โบราณาจารย์โดยเฉพาะ ถ้าท่านไม่มีความเช่ือในเรื่องเหล่าน้ีและบังเอิญมาอ่านพบเข้า ขอ ให้ทำใจเป็นอุเบกขาหรือให้ข้ามไปเสีย อย่าอ่านเพราะจะเป็นการปรามาส พระอริยบุคคล ถ้าท่านอ่านและเมื่อได้อ่านแล้วก็ไม่เชื่อไม่เล่ือมใส ก็ขอให ้ วางใจเป็นกลาง ขออย่าได้ปรามาสล่วงเกินเข้าจะเป็นโทษโดยรู้เท่าไม่ถึง การณ ์
บุญกุศลท่ีเกิดขึ้นจากหนังสือเล่มนี้ขอถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สงั ฆบชู า ถวายแดอ่ งคส์ มเดจ็ พระสัมมาสมั พุทธเจา้ ทกุ พระองค์ พระปัจเจก พุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ โบราณาจารย์ ครูบาอาจารย์ทุก พระองค์ ทุกองค์ ผู้มีพระคุณและทา่ นผู้อ่านทกุ ท่าน ส่วนความผิดพลาดที่จะพึงมีในหนังสือน้ีมากน้อยเพียงใด ผ้เู ขียนขออโหสิกรรมและให้อโหสิกรรมในทุกส่งิ ท้งั ปวงท่จี ะเกิดข้นึ พรอ้ มกนั ณ ท่ีน้เี ทอญ ขอบุญรักษาทุกท่าน ชำนาญ การวเิ ศษ
คำนำสำนักพิมพ์ หนงั สือเล่มนที้ ท่ี ่านอา่ นอยูน่ ัน้ มีความโดดเดน่ อยู่ 3 ประการ คอื 1. เปน็ การรวมเคลด็ ลบั ในการสวดคาถาทไ่ี ดผ้ ล จากครบู าอาจารย ์ ชน้ั นำของเมอื งไทยทอี่ า่ นงา่ ยและสะดวกมากในการทำปฏบิ ัติ 2. มีการกล่นั กรองเลือกบทสวด พระคาถา และคาถาท่จี ำเป็นต่อ ชวี ติ จรงิ 3. เปิดเคล็ดลับการสร้างบุญ เพ่ิมบุญด้วยตัวเองเพื่อให้ทุกท่าน ไดส้ มความปรารถนาเรว็ ขึ้น เม่ือท่านเหน็ ความแตกต่างท้งั 3 ประการนีแ้ ลว้ อย่ารอช้า เลยครับ ด้วยความปรารถนาด ี บรรณาธกิ ารสำนกั พมิ พ์
สารบัญ 10 20 ประวตั แิ ละที่มาของพระพทุ ธมนต ์ 42 พระคาถาและคาถา 50 64 เคล็ดลบั ในการสวดใหไ้ ดผ้ ล 68 72 ข้นั ตอนในการสวดมนต์ ท่ไี ด้รับการพสิ ูจน์แล้วว่าดีกบั ทกุ คน 78 บทสวดท่คี วรสวดในแตล่ ะครั้ง 82 84 บทสวดบารมี 30 ทัศ พทุ ธชัยมงคลคาถา (บทพาหงุ ฯ บทสวดแหง่ ชยั ชนะทัง้ ปวง) พระคาถาชนิ บญั ชร บทสวดพระมหาจักรพรรดิ บทสวดหมวดมหาอำนาจ เรียกทรัพย์ เมตตา ความรักและสริ มิ งคลเลอื กเอาตามจรติ คาถาขอลาภจากพระสิวล ี
86 คาถาขอลาภพระอปุ คุต 89 92 คาถาบูชาพระสังกัจจายน์ 94 96 คาถามหาอำนาจของหลวงพอ่ ปาน วดั บางนมโค 100 106 คาถาเงินล้าน (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน - ฤๅษีลิงดำ) 116 126 คาถาหวั ใจเศรษฐี หมวดคาถาเมตตามหานยิ ม หมวดคาถาปอ งกันภยั ต่างๆ หมวดคาถาโชคลาภ ในชวี ิตประจำวนั และโดยทวั่ ไป เคลด็ ลับในการ เพ่ิมพลังบุญใหต้ ัวเอง Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบง่ ปันเป็ นธรรมทาน
การสวดมนตเปนนจิ นี้ มุงให้จติ แนบสนทิ ติดในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ จิตใจจะสงบเยือกเย็น เปน บณั ฑติ มคี วามคดิ สงู ทิฏฐมิ านะทง้ั หลาย กจ็ ะคลายหายไปได้ เราจะไดร้ บั อานิสงส เปนผลของตนเองอยา งนี้ จากสวดมนตเปนนิจ
10 ประวตั แิ ละทมี่ าของพระพุทธมนต ์ พระคาถาและคาถา ก่อนอ่นื น้ัน จะขอกล่าวถึงประวัติคาถาและความเป็นมาของพระ- พุทธมนต์ พระคาถาและคาถา ความหมายของคำว่า “คาถา” และวิชา อาคมในความหมายของคนปัจจุบัน การใช้ “คาถา” ให้มีความศักดิ์สิทธ์ิ เพราะคาถาเปน็ องคภ์ าวนาเพ่ือสรา้ งกระแสจิต คำว่า “พระพุทธมนต์” นั้นจริงๆ แล้วหมายถึง พระพุทธพจน์ อันเป็นพระธรรมคำส่ังสอนของพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ท่ีมีปรากฏใน พระไตรปิฏกบ้าง เป็นคำท่ีแต่งข้ึนมาภายหลังบ้าง โดยถือกันว่าพระพุทธ- มนตเ์ ปน็ คำศกั ดส์ิ ิทธ์ิ สามารถปัดป้องอนั ตรายตา่ งๆ ได้ สวดแลว้ ด ี สวดแล้วรวย
11 การสวดพระพุทธมนต์นี้ เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศลังกา ราว พ.ศ. 500 ด้วยว่าชาวลังกาท่ีนับถือพุทธศาสนาในขณะน้ัน ประสงค์ให ้ พระสงฆ์ชว่ ยเหลือตน ใหเ้ กิดสิรมิ งคลและปอ้ งกนั ภยนั ตรายตา่ งๆ ด้วยการ สวดมนตแ์ ละสวดคาถาตามแบบอยา่ งพราหมณ์ ซง่ึ มคี วามเชอ่ื วา่ ผทู้ รงเวทจะ ทำให้เกิดสริ ิมงคลและป้องกันภยันตรายแก่มหาชนได ้ ด้วยเหตุนี้พระสงฆ์ลังกา จึงได้คิดวิธีสวดพระพุทธมนต์ขึ้น โดย เลือกเอาพระสูตรหรอื คาถาท่สี รรเสริญคุณพระรัตนตรยั อนั เกดิ ข้นึ เนอ่ื งดว้ ย เหตกุ ารณต์ า่ งๆ มาสวดเปน็ มนต์ โดยการสวดครง้ั แรกๆ กข็ น้ึ กบั เหตกุ ารณ ์ ท่ไี ปสวด เช่น ไปสวดพิธีมงคลก็ใช้ มงคลสูตรสวด สวดให้คนเจ็บป่วยก็ใช้ โพชฌงคสูตร ครั้นคนนิยมมากขึ้นก็คิดค้นพระสูตรต่างๆ มาสวดเป็นพระ- พทุ ธมนตม์ ากขน้ึ เปน็ ลำดับ ตอ่ มาพระเจา้ แผน่ ดนิ ในประเทศลงั กา กไ็ ดร้ บั สง่ั ใหค้ ณะสงฆป์ รบั ปรงุ พระสูตรและคาถา ท่ีใช้สวดพระพุทธมนต์ขึ้นใหม่ให้เหมาะกับเหตุการณ ์ เพอ่ื ใชใ้ นพระราชพธิ หี ลวงโดยไดเ้ พม่ิ พระสตู รและคาถาใหม้ ากขน้ึ และเรียก ว่า “ราชปริตร” แปลว่า มนต์คุ้มครองพระเจ้าแผ่นดิน ต่อมาประชาชน ต่างก็นิยมให้มีการสวดพระปริตรในพิธีของตนบ้าง จึงเกิดเป็นประเพณีสืบ ตอ่ กนั มาจนปัจจุบันน้ี ชำนาญ การวิเศษ
12 ในพระพุทธศาสนา ซ่ึงเน้นในเรื่องการใช้ปัญญาพิจารณาเหตุผล คำว่า มนต์ หมายถึง หลักธรรม บทสอนใจมากกว่าถ้อยคำท่ีขลังหรือ ศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าจะตีความไปถึงถ้อยคำท่ีขลังหรือศักดิ์สิทธ์ิให้ได้จริงๆ ก็จะ ต้องอธิบายว่าขลังหรือศักด์ิสิทธ์ิได้ “เม่ือนำไปสอนใจ นำไปเป็นข้อปฏิบัติ” ให้เกิดผลท่ีปรารถนาได้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนั้นการทำจิตให้สงบใน บทสวดก็มคี ุณค่าเป็นอย่างมาก เมอ่ื ครง้ั สมยั พทุ ธกาลพระพทุ ธศาสนานน้ั เจรญิ รงุ่ เรอื งมาก แตห่ ลงั จาก การสงั คายนาพระพทุ ธศาสนาครง้ั ท่ี 3 (ตตยิ สงั คายนา) แลว้ พระพทุ ธศาส- นาในประเทศอินเดียเร่ิมร่วงโรยลงและต่อมาได้ย้ายไปประดิษฐานในลังกา ศาสนาพุทธกับพราหมณ์ในอินเดียสมัยนั้นได้ผสมผสานกัน จนเกิดมีลัทธ ิ พุทธตันตระ (ลัทธิพุทธศาสนาอันเกี่ยวกับการใช้คาถาอาคม พระคาถา) เกดิ ขนึ้ อกี ลัทธิหน่งึ ศาสนาพราหมณ์ในขณะน้ัน มีความมั่นคงเลื่อมใสในลัทธิไสย- ศาสตร์มาก มีการใช้เวทมนตร์ ”คาถา” เป่าพ่นปลุกเสกและลงเลขยันต์ ประกอบอาถรรพณ์ต่างๆ แม้ในทางพระพุทธศาสนาก็ใช่ว่าจะปฏิเสธเสียท ี เดียว เพราะพระพุทธศาสนาเองก็ยังมีคุณอัศจรรย์ ท่ีจัดเป็นปาฏิหาริย์ ไว้ 2 อย่าง คือ สวดแล้วดี สวดแล้วรวย
13 1. อนสุ าสนีปาฏิหารยิ ์ คำสอนทเ่ี ป็นอศั จรรย ์ 2. อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธ์ิท่ีเป็นอัศจรรย์ถึงกับพระพุทธเจ้าได้ทรง ยกยอ่ งพระโมคคลั ลานะเถระไวใ้ หเ้ ปน็ ยอดของพระภกิ ษทุ ท่ี รงอทิ ธฤิ ทธ์ิ หาก แต่พระองคไ์ ม่ทรงยกย่องอิทธปิ าฏหิ าริย์เทา่ กับอนุสาสนปี าฏหิ าริย ์ การใชเ้ วทมนตรค์ าถานน้ั ผลสำเรจ็ จะเกดิ ขน้ึ ไดก้ อ็ ยทู่ ด่ี วงจติ สำรวม เป็นสมาธิ และสมาธิน้จี ัดว่าเป็นฐานแห่งวิปัสสนาญาณ ถึงแม้หากว่าปุถุชน เราจะบรรลไุ ดอ้ ยา่ งสงู ไมเ่ กนิ ฌานสมาบตั กิ ต็ าม กระนน้ั กส็ ามารถทจ่ี ะแสดง อทิ ธฤิ ทธไ์ิ ดต้ ามภมู ขิ องตน เชน่ พระเทวทตั หนแรกทไ่ี ดร้ ปู ฌานกย็ งั สามารถ บดิ เบอื น แปลงกาย กระทำอวดใหเ้ จา้ ชายอชาตศตั รหู ลงใหลเลอื่ มใสได้ ส่วนอารมณ์ของรูปฌานน้ัน ท่านใช้กสิณบ้างใช้คาถาบริกรรมบ้าง สุดแต่นิสัยของผู้บำเพ็ญปฏิบัติโดยเฉพาะ ท่ีใช้คาถาบริกรรมนั้นผู้บริกรรม จะรู้ถึงเน้ือความของคาถาที่บริกรรมนั้นหรือไม่ก็ตาม นั่นมิใช่ส่ิงท่ีเป็น ปัญหาท่สี ำคญั เพราะความมงุ่ หมายตอ้ งการแต่จะใหเ้ ปน็ สมาธเิ ทา่ น้ัน ชำนาญ การวิเศษ
14 เพื่อผลในทางอิทธิปาฏิหาริย์ที่ตนมุ่งหวังปรารถนา พระคาถา และการทำสมาธิแบบนี้ ได้เจริญแพร่หลายมากขึ้น ได้เกิดมีคณาจารย์มุ่ง ส่ังสอนเวทมนตร์กัน และได้ดัดแปลงแก้ไขวิธีการทางไสยศาสตร์ของ พราหมณ์มาใช้ โดยคัดตัดตอนเอาเนื้อมนต์ของพราหมณ์น้ันออกเสีย บรรจุ พระพุทธมนต์แทรกเข้าไปแทน เพราะมาคิดเห็นกันว่ามนต์พราหมณ์ยัง เรอื งอานภุ าพถงึ อยา่ งนี้ ถ้าหากว่าเปน็ พุทธมนตค์ งจะยิง่ กวา่ เป็นแน ่ ฉะนั้นในการใช้เวทมนตร์คาถาที่พวกเราพุทธศาสนิกชนปฏิบัติกัน ทุกวันนี้ จึงล้วนแล้วแต่เป็นพระพุทธมนต์ที่ท่านโบราณาจารย์ ได้ดัดแปลง แก้ไขเลียนแบบอย่างวิธีทางลัทธิไสยศาสตร์เดิมมาเท่าน้ัน หาใช่เป็นลัทธ ิ ไสยศาสตร์ของพราหมณ์ ดงั ทบ่ี างท่านเข้าใจกนั ไม ่ การรวบรวมคัมภีร์พระเวทพระคาถาอย่างจริงจังเกิดข้ึนในสมัย เจ้าพระคุณพระมงคลราชมุนี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ฯ แต่เมื่อคร้ังยังดำรง สมณศักด์เิ ป็นพระศรีสัจจญาณมุนีอย่นู ้นั พระคุณท่านเป็นผ้สู นใจในศาสตร์ ประเภทน้ีอยู่มาก จึงได้พยายามรวบรวมขึ้นไว้จากสรรพตำราต่างๆ ส่วน มากเป็นของ สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ซ่ึงเป็นพระอุปัชฌาจารย์ของท่าน อันได้รับสืบต่อมาจาก สมเด็จพระวันรัต (แดง) ท่านได้ต้ังปณิธานท่ีจะให ้ วชิ าเหล่าน้ไี ด้เผยแพรต่ อ่ ไป เพราะเกรงว่าจะสาบสูญเสยี หมด สวดแลว้ ดี สวดแล้วรวย
15 ในการรวบรวมคมั ภีร์พระเวท พระคาถาเหลา่ น้ขี ้อความบางแห่งพอ ทจ่ี ะมตี น้ ฉบบั สอบทาน กไ็ ดจ้ ดั การสอบทานแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ งตามตน้ ฉบบั เดมิ ซ่ึงได้คัดลอกสืบต่อกันมา แต่ก็ยังมีอักขระพระคาถา เน้ือมนต์ท่ีบางทีก็มี ความคลาดเคลอ่ื นไปบา้ ง สำหรบั บททห่ี าตน้ ฉบบั สอบทานไมไ่ ด้ กค็ งไวต้ าม รูปเดิม ซึ่งถ้าหากได้ผ่านสายตาท่านผู้รู้ท้ังหลาย ก็ได้โปรดกรุณาแก้ไข ต่อเติมเสียให้ครบถ้วน เพ่ือจะได้เป็นตำราที่ถูกต้องบริบูรณ์ดุจต้นฉบับ ของเดมิ เพอ่ื เปน็ การเทดิ ทนู วทิ ยาการอนั ประเสรฐิ รวมทง้ั ไดด้ ำรงคงอยเู่ ปน็ แนวศึกษาของชนช้นั หลงั สืบต่อไป เปน็ การรวมพระคาถาและความหมายของคำวา่ “คาถา” นน้ั พระ- คาถา และวิชาอาคมในความหมายของคนปัจจุบันรวมถึงการใช้ “คาถา” ให้มีความศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ ใชค้ าถาเปน็ องคภ์ าวนาเพอ่ื สรา้ งกระแสจติ ในนจ้ี ะมบี ท คาถาต่างๆ ทั้งคาถาชินบัญชร คาถาทางเมตตามหานิยม คาถาทาง คงกระพันชาตรี คาถาแคล้วคลาด คาถาแผ่ส่วนกุศล คาถาแผ่เมตตา คาถากันของไม่ดี หัวใจพระคาถาต่างๆ คาถาบูชาเทพเจ้า คาถาบูชา พระพุทธรูปต่างๆ เป็นตน้ ซ่ึงคาถาต่างๆ เป็นที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ สมัยก่อนคนจะใช ้ คาถาตา่ งๆ ไดส้ มั ฤทธผิ ลกนั มาก เนอ่ื งจากมคี วามเชอ่ื ความศรทั ธาและสจั จะ เป็นสำคัญ ส่วนการท่องหรือตัวอักษรอักขระการออกเสียงต่างๆ อาจจะม ี แตกต่างกนั ไปบ้าง ชำนาญ การวิเศษ
16 สว่ นสำคญั อยทู่ ค่ี วามมน่ั ใจและความตง้ั มน่ั มากกวา่ ยกตวั อยา่ งงา่ ยๆ แค่บทสวดมนต์ต่างๆ การออกเสียงในส่วนของภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสานก็ต่างกันแล้ว แต่ทำไมถึงมีความศักด์ิสิทธิ์เหมือน กนั กเ็ พราะความตงั้ ม่ัน ไม่สงสัยในครูบาอาจารย์ทอ่ี บรมสั่งสอนมา คาถาใดๆ ก็ตาม ถา้ หากว่าเราจะตอ้ งท่องใหจ้ ำได้ กจ็ ะต้องทำใจ ให้บริสุทธิ์ อาบนำ้ ชำระล้างส่ิงโสโครกให้สะอาดเสียก่อน แล้วก็นำดอกไม ้ ธูปเทียนบูชาพระ แล้วก็ระลึกเป็นการขอพรบารมี ให้ท่องได้ง่ายจำได้แม่น แล้วก็กราบตำราน้ัน 3 คร้ัง ต่อจากนั้นก็เปิดขึ้นมาท่องจำ หนังสือน้ัน อย่าเหยียบอย่าข้าม อย่าน่ังทับ หรือนอนทับ ขณะท่องอย่านอนหลับให ้ หนงั สือทับคาอก จะทำใหป้ ญั ญาเสื่อม คาถาต่างๆ ท่ีโบราณาจารย์ทั้งหลาย ท่านถ่ายทอดให้ศิษย์โดย มุขปาฐะ” (เป็นการบอกเล่า) ท้ังนี้เนื่องจากเหตุผลหลัก 3 ประการคือ 1. คาถาท่ีถ่ายทอดให้เป็นคาถาเฉพาะสำหรับหมู่คณะหรือเฉพาะ กลุ่ม เช่น คาถาประจำตระกูล เป็นต้น ซ่ึงผู้อ่ืนนำไปใช้จะไม่บังเกิดผล (เพราะทา่ นเจ้าของคาถาท่านตั้งเจตนาไวเ้ ฉพาะเช่นนั้น) สวดแลว้ ดี สวดแล้วรวย
17 2. การใช้คาถาให้บังเกิดผลน้ัน จะต้องมีศรัทธาความเชื่อมั่นและ ความคารวะ ความเคารพเปน็ พน้ื ฐาน ดงั นน้ั ถงึ แมค้ าถานน้ั ๆ จะเปน็ สาธารณ- ประโยชน์ แตถ่ า้ ผู้นำไปใช้ไม่มศี รัทธาคารวะ คาถานั้นๆ กไ็ ม่อำนวยผล 3. คาถาจำนวนมาก มีที่มาจากองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมา- สัมพุทธเจ้าโดยตรง หรือมาจากพระอรหันต์เจ้าและพระอริยบุคคลทั้งหลาย รวมทง้ั เทพพรหมและเทพยดาทง้ั หลาย ดงั นน้ั ถา้ บอกกลา่ วกนั ไปเปน็ สาธารณะ กจ็ ะมผี ไู้ ดย้ นิ ได้ฟงั ทไ่ี ม่มีศรัทธาเลื่อมใสอยู่บา้ ง ถ้าเขาเหล่านั้นเป็นคนใจพาล ตำหนิติเตียนคาถา หรือที่มาของ คาถาเหล่าน้ีว่า ทำให้ผู้คนงมงายไร้สาระ ฯลฯ ก็เท่ากับเป็นการปรามาส พระรัตนตรยั โดยตรง ทำให้เกิดกรรมหนกั ข้นึ มาได้ ขอแนะนำว่า ถ้าท่านไม่มีความเช่ือในเร่ืองเหล่านี้ และ บังเอิญมาอ่านพบเข้า ขอให้ทำใจเป็นอุเบกขา หรือให้ข้ามไปเสีย อยา่ อา่ น ถ้าท่านอยากอ่านและเมื่อได้อ่านแล้วก็ไม่เชื่อไม่เล่ือมใส ก็ขอให ้ วางใจเป็นกลางอย่าได้ปรามาสล่วงเกินเข้าเพราะอาจด เพราะอาจจะเป็น โทษและจะทำใหท้ ่านพบกับสิง่ ท่ีไมค่ าดคดิ เร็วข้นึ ชำนาญ การวเิ ศษ
18 เหตุที่ทำให้พระคาถาเสอ่ื มหรอื สวดไมไ่ ดผ้ ล 1. มีเจตนาดูหมิ่นคาถาด้วยกิริยาต่างๆ เช่น โดยการวางหนังสือ หรอื กระดาษทบ่ี รรจบุ ทพระคาถา คาถาในทไ่ี มส่ มควร เอากระดาษทม่ี พี ระ- คาถาบรรจุอยู่ไปใช้ในกาลไม่สมควร ไปพับถุง ไปเชด็ ของสกปรก 2. เป็นผู้มีกรรมเกา่ ฝา่ ยไมด่ มี ากจนกรรมดยี ากจะเขา้ ไปแทรกได้ 3. เปน็ ผ้ไู มเ่ ล่อื มใสศรัทธาในพระคาถาและคาถาตา่ งๆ 4. เปน็ ผ้เู สื่อมศลี ธรรมเปน็ อาจิณ 5. เปน็ ผไู้ มม่ คี วามกตญั ญตู อ่ พอ่ แม่ ครบู าอาจารยแ์ ละผมู้ พี ระคณุ 6. สวดพระคาถาโดยไม่เป็นไปตามวรรคตอน สลับไปมา หรือผิด อักขระ 7. สวดแบบไมม่ สี มาธิกำกับ สวดแลว้ ด ี สวดแลว้ รวย
19 การอธิษฐานจิตเปนประจำน้ัน มุงหมายเพื่อแก้กรรม ของผู้มีกรรมจากการกระทำคร้ังอดีต ที่เรารำลึกได้และจะ แก้กรรมในปจจุบัน เพื่อสูอนาคตกอนที่จะมีเวรมีกรรม กอน อื่นใด เราทราบเราเข้าใจแล้ว โปรดอโหสิกรรมแกสตั วท้ังหลาย เราจะไมกอเวรกอกรรมกอภัยพิบัติ ไมมีเสนียดจัญไรติดตัวไป เรียกวา เปลา ปราศจากทุกข ถึงบรมสุข คือนิพพานได้ เราจะ รู้ได้วากรรมติดตามมา และเราจะแก้กรรมอยางไร ในเม่ือกรรม ตามมาทันถึงตัวเรา เราจะรู้ตัวได้อยางไร เราจะแก้อยางไร เพราะมนั เปนเร่ืองที่แล้วๆ มา ชำนาญ การวเิ ศษ
20 เคลด็ ลบั ในการสวดใหไ้ ด้ผล 1. ต้องเปน็ คนดีเสยี ก่อน เร่ืองน้ีเป็นเคล็ดลับสำคัญในการสวดพระคาศักดิ์สิทธ์ิทุกบท และ จะถอื วา่ เปน็ อนั ดบั แรกในการเตรยี มตวั ทจ่ี ะสวด เพอ่ื ใหช้ วี ติ นน้ั รงุ่ เรอื ง รำ่ รวย ใช้ได้ทัง้ ทางโลกและทางธรรม สวดแล้วดี สวดแล้วรวย
21 ในทางโลกน้ัน ด้วยพลานุภาพอันศักด์ิสิทธิ์ของพระคาถา จะทำให้ คนท่ีสวดนั้นพบกับความมหัศจรรย์ ในการนำเรื่องดีเข้ามาสู่ชีวิตไม่ขาดสาย ค้าขายก็รุ่งเรือง เงินไหลมาเทมา ครอบครัวก็เป็นสุข ช่วยในการปัดเป่า เคราะห์รา้ ยหรอื ภัยพบิ ตั ใิ นชีวิต ให้คลายตัวลงหรือหมดไปประจวบกับกรรม นั้นถึงเวลาอ่อนตัวลง และจะกลายเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เรื่องร้าย หรือ ส่งิ อปั มงคลเสนยี ดจัญไร เขา้ มาในชีวติ ไดอ้ กี บทสวดทุกบทในหนังสือเล่มนี้ได้มีการพิสูจน์มาอย่างยาวนานจาก ครูบาอาจารย์ท่ีเคยสวดมาแล้ว แต่ท่ีหลายคนสวดแล้วบอกไม่ได้ว่าจะได ้ ผลดอี ย่างแน่นอน เพราะเหตุผลสำคัญก็คือ ยงั เปน็ คนดีไม่พอ ทำไมถึงพูดเช่นนี้ เพราะการสวดมนต์น้ันเป็นการทำกรรมดี เป็น การเพม่ิ ฤทธท์ิ างใจ นอ้ มนำพลงั ฝา่ ยดเี ขา้ สตู่ วั ดว้ ยอำนาจแหง่ อกั ขระ อำนาจ ของส่ิงศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอยู่ในบทสวดมนต์นั้น แต่อำนาจเหล่าน้ีจะเข้าสู่ตัว ของผสู้ วดไมไ่ ด้เลย หากมกี รรมช่วั ภายในสกัดกั้นอย ู่ ครูบาอาจารย์หลายท่านกล่าวตรงกันว่า กรรมดีหรือกรรมขาวนั้น จะไม่สามารถเข้าไปได้เลย หากมีกรรมชั่วหรือกรรมดำอยู่ในใจ กรรมท้ัง สองส่งิ นี้อยูร่ วมกนั ไมไ่ ด้ สง่ิ ที่สะอาดกบั ส่งิ สกปรกมนั เขา้ กันไม่ได้ ชำนาญ การวเิ ศษ
22 เหมือนขวดน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มขวด แม้พยายามจะกรอกน้ำเข้าไปอีก มันก็ล้นน้ำใหม่หรือกรรมดีเข้าไปไม่ได้ เพราะนำ้ ในขวดหรือกรรมชั่วมัน ดันไมใ่ หเ้ ข้า แต่อานิสงส์ของบุญ และพลังศักด์ิสิทธ์ิของการสวดมนต์น้ันก็ยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน แต่ทว่ายังส่งผลไม่ได้ จนกว่ากรรมช่ัวหรือกรรมดำน้ันจะ ลดลงกรรมดี จงึ จะเขา้ ไปสง่ ผลกับชีวิตของเราได ้ ดังน้นั ก่อนท่จี ะสวดมนต์ ทำความดีน้นั ต้องลดละเลิกทำ ความช่ัวเสียก่อน ในทุกประเภท ถ้าอยากจะให้ชีวิตดีต้องเร่ิม ตง้ั แตว่ นิ าทีนี้ 2. หม่ันทำบุญ และอุทิศบุญเพ่ือให้ เหล่าองค์เทพและ สง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ เจ้าของพระคาถาคมุ้ ครองอวยพร คนเรานน้ั ชวี ติ จะดหี รอื จะรวยขน้ึ มาไดน้ น้ั ตอ้ งมบี ญุ เกา่ เปน็ ตวั หนนุ ไปรวมกับบุญใหม่ที่ต้องเร่งทำ บุญน้ันต้องเป็นบุญที่เราสร้างข้ึนมาเอง เพ่ือ เป็นฐานบญุ ท่สี ำคัญกอ่ นจะไปขอให้ส่งิ ศักดส์ิ ิทธ์ทิ ่านช่วยหรือไปพง่ึ บุญคนอ่นื สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง พระอริยสงฆ ์ ของเมอื งไทยทา่ นได้เคยกล่าวไวว้ ่า สวดแล้วดี สวดแล้วรวย
23 “ลูกเอ๋ย ก่อนท่ีจะเข้าไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องม ี ทุนของตัวเอง คือบารมีของตนลงทุนไปก่อน เม่ือบารมีของเจ้าไม่พอจึง คอ่ ยขอยืมบารมคี นอนื่ มาชว่ ย มฉิ ะนน้ั เจ้าจะเอาตวั ไมร่ อด เพราะหนี้สินในบุญบารมีท่ีไปเที่ยวขอยืมมาจนพ้นตัว เมื่อทำบุญ ทำกุศลได้บารมีมา ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หน้ีเขาจนหมดไม่มีอะไรเหลือติดตัว แล้วเจ้าจะมอี ะไรไวใ้ นภพหนา้ หมน่ั สรา้ งบารมไี วแ้ ลว้ ฟา้ ดนิ จะชว่ ยเอง จงจำไวน้ ะเมอ่ื ยงั ไมถ่ งึ เวลา เทพเจา้ องคใ์ ดจะคดิ ช่วยเจา้ ไม่ได้ คร้ันเม่ือถึงเวลา ท่ัวฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดา ฟ้าดนิ เมือ่ บุญเราไมเ่ คยสรา้ งไว้เลยจะมีใครทไี่ หนมาชว่ ยเจา้ ” ดังน้ันถ้าเรารู้ตัวว่าบุญน้อย ยังมีชีวิตที่ลำบากก็ต้องขวนขวายทำ ความดี หมัน่ สรา้ งบุญกศุ ล ตอ้ งทำบญุ สรา้ งบุญเพม่ิ ขอบอกเคล็ดลับสำคัญข้อหนึ่ง ที่คนรวยรู้จักดีและทำเป็นประจำ ก็คือ การให้ทานแบบทันที ตามที่ร้องขอ ตามเวลาท่ีคนมาขอความช่วย เหลือต้องการ จะเกิดโชคลาภมากมายแบบไม่คาดฝันข้ึนบ่อย จับอะไรก็ เปน็ เงินเป็นทองหมด เพราะกระแสบุญนน้ั สูงและกลบั มาสนองตอบเร็ว ชำนาญ การวิเศษ
24 และเม่ือทำบุญแล้ว เคล็ดลับสำคัญอีกข้อหน่ึงในการท ี่ จะสวดมนตค์ าถาใหไ้ ดผ้ ลนน้ั เราตอ้ งอธษิ ฐานจติ อทุ ศิ แผบ่ ญุ กศุ ล ต่างๆ ไปให้องค์เทพและส่ิงศักดิ์สิทธ์ิต่างๆ ให้ท่านดลจิตดล ใจเราไดม้ ีโอกาสสร้างพลงั บญุ มากขึน้ ไปอีก การทำบญุ อทุ ศิ ไปใหเ้ จา้ ของพระคาถานน้ั เปน็ การแสดงความกตญั ญู แสดงความเคารพและขอบพระคุณ เป็นการเชื่อมบุญระหว่างเรากับท่านให้ มั่นคงแน่นแฟ้นมากขึ้น และการท่ีเรานำบทสวดน้ันมาใช้เพื่อก่อให้เกิดผล ประโยชน์ เราต้องรู้และใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสมด้วย ในการอธิษฐาน แผ่บญุ กศุ ลน ้ี อย่างเช่น ขอถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา นั้นสำหรับ การโมทนาอุทิศบุญทุกประเภทและพระพุทธมนต์ที่มาจากพระโอษฐ์ของ พระพุทธเจา้ เพ่อื แสดงความนอบน้อมบูชาพระพทุ ธองค ์ ขออทุ ศิ บญุ โมทนาพระคณุ ความดนี น้ั ใชก้ บั พระอรหนั ต์ พระโพธสิ ตั ว์ การโมทนพระอริยสงฆ์ ที่เป็นเจ้าของพระคาถาหรือคาถา สำหรับครูบา- อาจารย์ที่เป็นฆราวาสที่เป็นผู้ค้นคิดน้ันใช้คำว่า อุทิศบุญแด่...(บอกช่ือท่าน ไป) แตถ่ า้ ไมร่ ใู้ หก้ ล่าวถึงชื่อคาถาทเี่ ราใช้สวด สวดแลว้ ดี สวดแลว้ รวย
25 การใช้คำให้ถูกน้ัน เปน็ การแสดงเจตนาในความเคารพ เหมือนกับ การจดั หง้ิ พระ ทต่ี อ้ งร้วู า่ ชน้ั ท่หี น่งึ ควรจดั พระพทุ ธรูปเปน็ ประธาน ชน้ั ทส่ี อง เป็นพระอรหันต์ ชั้นที่สามเป็นพระโพธิสัตว์หรือพระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ การอทุ ศิ แผบ่ ญุ กศุ ลนค้ี อื การเชอ่ื มบญุ กบั ทา่ นเจา้ ของบทสวด และ เป็นการขอมีส่วนร่วมในบุญของท่านท่มี ีมากมายมหาศาลจนประมาณไม่ได้ เป็นการเพมิ่ บุญใหก้ ับตวั เราเองด้วย สำหรับการสร้างบุญกุศลน้ัน เป็นเร่ืองที่ทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก ด้วยการยึดหลักการทำบุญแห่งบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการที่ถูกต้องตามที ่ พระพุทธองคป์ ระทานสง่ั สอนไว้ ไดแ้ ก ่ 1. การบรจิ าคทาน (ทานมัย) คือ การเสียสละทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติ ปัญญา ความรู้ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่ืนโดยส่วนรวม ผู้ที่ทำงานใดๆ รู้จักเสียสละกำลังกายหรือกำลังทรัพย์ ก็ถือเป็นการสร้าง บญุ ทีด่ ีทางหนงึ่ ชำนาญ การวเิ ศษ
26 2. รกั ษาศลี (สลี มยั ) คือ การต้ังใจรักษาศีลและการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล เพ่ือรักษา กาย วาจา และใจใหบ้ รสิ ทุ ธส์ิ ะอาด เพอ่ื ใหพ้ น้ จากการทำไมด่ ี ทางรา่ งกาย 4 ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้น จากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่ง ความประมาทและไปก่อโทษให้กับคนอืน่ วจีทุจริต 4 ประการ คือไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ เพื่อใหเ้ กิดความนา่ เชื่อถือ และสร้างสัมพนั ธภาพทีด่ ีใน การทำงานและสุดท้ายคือ มโนทุจริต 3 ประการ คือ ไม่หลงงมงาย ไม่ผกู พยาบาทกบั ใครและไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม ทำใหเ้ ราดำเนนิ ชีวิตด้วยการมีทัศนคติที่ดี ทั้งต่อตนเองและคนอ่ืน เป็นการสร้างบุญและ พนื้ ฐานแห่งความสำเร็จอีกมากมาย 3. การภาวนา (ภาวนามัย) คอื การอบรมจิตใจ เป็นการยกระดับจติ ใจให้สูงขึ้นโดยใช้ “สมาธิ ปัญญา” โดยการเร่ิมฝึกจากการทำใจให้สงบนิ่งก่อน แล้วหัดสวดมนต์เพ่ือ ใหจ้ ติ ใจตงั้ ม่ันอย่กู บั ส่งิ ที่ดีแลว้ จึงฝกึ ดว้ ยการเจริญภาวนา เพอ่ื จดุ มุง่ หมาย ใหเ้ ขา้ ใจถงึ ทางเจรญิ และทางเสอ่ื ม หมายความวา่ เมอ่ื รจู้ กั เจรญิ ปญั ญาแลว้ เราก็จะกลายเป็นคนท่ีแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดี ควรทำและไม่ควรทำ สวดแล้วดี สวดแล้วรวย
27 4. การประพฤติอ่อนนอ้ มถอ่ มตนต่อผใู้ หญ่ (อปจายนมยั ) เป็นการให้ความเคารพ ผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ 3 ประเภท คือ ผู้ท่ีมีวัยวุฒิกว่าได้แก่ พ่อแม่ ญาติพ่ีน้องและผู้สูงอายุ สองคือ ผู้มีคุณวุฒิ หรือคุณสมบัติได้แก่ ครูบาอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ และสามคือผู้ที่มี ชาตวิ ฒุ ไิ ดแ้ ก่ พระมหากษตั รยิ แ์ ละเชอ้ื พระวงศท์ ง้ั หลาย การใหค้ วามเคารพ แกบ่ คุ คลทีค่ วรเคารพย่อมส่งผลให้ผ้กู ระทำ เปน็ คนที่น่ารักใคร ่ 5. การทำงานในกิจการทช่ี อบ (เวยยาวจั จมยั ) คือ การกระทำส่ิงท่ีเป็นคุณงามความดี ที่เกิดประโยชน์ต่อคน ส่วนรวม หากเป็นการทำงานประกอบอาชีพใดๆ ก็คือ ตนเองได้ทำงาน ท่ีชอบแล้วยังส่งผลดีต่อตนเอง คือ เล้ียงดูครอบครัวได้ดีและช่วยเหลือ คนอื่นใหม้ ีความสุขอกี จึงเป็นพลงั บุญทีย่ ิง่ ใหญ ่ 6. การใหส้ ว่ นบญุ แก่ผ้อู ่นื (ปัตติทานมยั ) คือ การอุทิศส่วนบุญกุศล หรือการแบ่งบุญที่ได้กระทำไว้ ให้แก่ สรรพสัตว์ท้ังปวง การบอกให้ผู้อ่ืนได้ร่วมอนุโมทนาด้วย “ท้ังมนุษย์ และอมนุษย์หรือแม้แต่องค์เทพท้ังปวง ได้ทราบข่าวการบุญการกุศลที่เรา ได้กระทำไป“ ชำนาญ การวิเศษ
28 7. การอนโุ มทนาบญุ (ปัตตานโุ มทนามยั ) คือ การได้ร่วมอนุโมทนา เช่น กล่าวว่า “สาธ”ุ เพื่อเป็นการยินดี ยอมรับความดีและขอมีส่วนร่วมในความดีของบุคคลอื่น ถึงแม้ว่าเราไม่มี โอกาสได้กระทำ ก็ขอให้ได้มีโอกาสได้แสดงการรับรู้ด้วยใจปีติยินดีในบุญ กุศลน้ัน ผลบุญก็จะเกิดแก่บุคคลท่ีได้อนุโมทนาบุญนั้นเองด้วย เป็นการ สร้างบุญทีง่ า่ ยมากทางหน่งึ 8. การฟงั ธรรม (ธมั มสั สวนมัย) คือ การต้ังใจฟังธรรมรวมไปถึงเร่ืองราวดีๆ ท่ีไม่จำกัดแต่ใน พระธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน หรือที่เคยฟังแล้วก็รับฟังเพื่อได้รับความ กระจ่างมากข้ึน ให้คลายความสงสัยและทำความเห็นให้ถูกต้องย่ิงข้ึน จนเกิดปัญญาหรือความรู้ก็พยายามนำเอาความรู้ที่ดีนั้น นำไปใช้ให้เกิด ประโยชนส์ หู่ นทางเจรญิ ตอ่ ไป 9. การแสดงธรรม (ธมั มเทสนามยั ) คือ การแสดงธรรมไม่ว่าจะเป็นรูปของการกระทำ หรือการประ- พฤติปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ในทางท่ีดี หากเป็นพระภิกษุก็ย่อมเป็น การง่าย เพราะเป็นกิจของพระท่านที่ทำได้บ่อยๆ แต่สำหรับคนทั่วไป ก็คือ การให้ความรู้ให้คำสอนในด้านคุณธรรม หรือแม้กระท่ังเป็นตัวอย่าง ในการประพฤติตนที่ดี ประพฤติตนเป็นตัวอย่างให้กับบุคคลอ่ืนๆ ก็ถือเป็น การสรา้ งบุญในข้อน้เี ชน่ เดยี วกัน สวดแลว้ ดี สวดแล้วรวย
29 10. การทำความเห็นให้ตรง (ทิฏฐชุกัมม)์ คือ ความเข้าใจในเร่ือง บาป บุญ คุณ โทษ เข้าใจในสิ่งท่ีเป็น แก่นสารสาระหรือท่ีไม่ใช่แก่นสารก็ตาม ท้ังทางเจริญทางเส่ือมเพื่อให้ชีวิต แยกแยะไดว้ า่ ควรจะทำอะไร ไมค่ วรทำอะไร ตลอดจนการกระทำความคดิ ความเห็นใหเ้ ป็นทศั นคติทด่ี อี ยเู่ สมอ เครื่องมือในการสร้างบุญ ทั้ง 10 ประการนี้ หากได้ปฏิบัติอย่าง ใดอย่างหนึ่งหรือย่ิงมากจนครบท้ัง 10 ประการแล้ว “ผลบุญ” ย่อมเกิดแก ่ ผู้ได้กระทำมากตามบุญท่ีได้กระทำ ยิ่งได้มีการเตรียมกาย วาจา ใจ ให้ สะอาดบริสุทธิ์ หยุดในสิ่งที่ควรหยุดเข้าไปแล้ว ก็ย่ิงได้รับบุญมหาศาล และสามารถส่งบุญให้เหล่าส่ิงศักด์ิสิทธิ์ ท้ังหลายได้ร่วมปกป้องและอวยพร ปลอดภัย และมหี ลายข้อที่ไมต่ อ้ งใช้เงินแม้แต่บาทเดยี ว การสร้างบญุ กุศลน้นั ไม่ได้ข้ึนอยู่กับจำนวนเงินว่าจะมากน้อยเท่าใด บางคร้ังทำบุญแต่ไม่ได้บุญ กลับไดบ้ าปกม็ มี ากมาย แต่ขึน้ อยู่กบั - วตั ถุทานน้นั บริสทุ ธ์ิ ไมไ่ ดม้ าจากเบยี ดเบยี นคดโกงผูอ้ นื่ - ผู้ให้น้ันบริสุทธ์ิ มีเจตนาทำบุญไม่ได้หวังผลอื่นใด ประเภททำ รอ้ ยบาทหวงั ผลลา้ นบาทนน้ั เปน็ ไปไมไ่ ด้ มนั คา้ กำไรเกนิ ควร ตอ้ งใจบรสิ ทุ ธ ิ์ ครบท้ัง 3 กาลคอื ท้งั ก่อนให้ กำลังให้ และหลังจากการให ้ ชำนาญ การวิเศษ
30 - ผู้รับน้ันบริสุทธ์ิ หมายความว่า ยิ่งผู้รับนั้นบริสุทธ์ิหรือเรียกว่ามี เน้ือนาบุญบริสุทธ์ิ” วัดหรือดูกันที่ว่าท่านน้ันถือศีลมากข้อเท่าใด บุญ ของผู้ให้น้ันก็จะย่ิงมากขึ้นไปตามลำดับ ทำบุญกับพระสงฆ์ที่ถือศีล 227 ข้อย่อมมากกว่าคนธรรมดาที่ถือศีล 5 ทำบุญกับคนท่ีถือศีล 5 ย่อมได้ผล มากกวา่ คนไม่มีศลี ย่ิงทำกับพระโสดาบัน พระอริยะสงฆ์ย่อมได้บุญมากหลายเท่าตัว หลกั การทจ่ี ะดวู า่ พระสงฆท์ า่ นใดนน้ั มเี นอ้ื นาบญุ สงู ใหด้ ทู ว่ี ตั รปฏบิ ตั ขิ องทา่ น อย่าไปดูที่สมณะศักดิ์หรือยศพระ เพราะบางทีพระท่ีมีตำแหน่งสูงๆ ยังมี เน้ือนาบุญน้อยกว่าเณรองค์เล็กๆ เสียอีก เพราะแค่ห่มผ้าเหลืองสอน ชาวบา้ นได้ แตส่ อนตวั เองไม่ได้หลอกประชาชนไปวันๆ เทา่ นัน้ 3. แผ่เมตตาอุทิศบุญ ปรับภพภูมิเทวดารักษาตัวและดวง จิตวญิ ญาณอยูเ่ สมอ ในการทำบญุ ทกุ ครง้ั หลงั จากทไ่ี ดส้ รา้ งบญุ เสรจ็ แลว้ ควรจะอทุ ศิ บญุ ให้กับเทวดาที่รักษาตัว เพ่ือแสดงถึงความเคารพ ความกตัญญูต่อท่านและ เปน็ การเชอ่ื มบุญกบั ท่าน ให้มสี ายสมั พันธ์ท่ดี ตี ลอดเวลา สวดแล้วดี สวดแลว้ รวย
31 ทุกคนที่เกดิ มาบนโลกใบนลี้ ้วนมเี ทวดารักษาตัว เทวดารักษาตวั นัน้ คอื ดวงจติ วญิ ญาณทม่ี บี ญุ มาก อยใู่ นภพภมู ทิ ส่ี งู กวา่ โลกมนษุ ยท์ ย่ี งั คงมคี วาม หว่ งใยเรา มกี รรมทผ่ี กู พนั กนั อยู่ อาจจะเปน็ พอ่ แม่ บรรพบรุ ษุ ครบู าอาจารย์ เพ่อื น ลูก พนี่ ้องหรือบรวิ ารท่เี คยรว่ มทุกข์ร่วมสุขกันมา เทวดาเหล่าน้ี ท่านไม่ได้แฝงอยู่ในตัวเราแต่ท่านอยู่บนสวรรค์ แต่ เฝ้าคอยดูเรา คอยดลบันดาลให้เราพบกับสิ่งที่ดีในชีวิต หรือคอยเตือนเมื่อ เรามีภัยด้วยการดลบันดาลใจ ยิ่งเราอุทิศบุญส่งไปให้ท่านมากเท่าใด ท่าน ก็จะมกี ำลังบญุ บารมีมากและสามารถช่วยเหลอื เราได้มากขึ้นเท่าน้ัน และในการอทุ ิศบุญเพอ่ื ปรบั ภพภมู ิน้ี ใชไ้ ด้ท้งั แกแ้ ละป้องกันในเรอ่ื ง ดวงจติ วญิ ญาณเรร่ อ่ น ทต่ี กทกุ ขไ์ ดย้ าก พวกผที พ่ี ยายามมาแฝงในตวั เราดว้ ย เพ่ือให้เขาได้ไปสู่ภพภูมิท่ีดีไม่มารบกวนเรา เพราะเราได้ส่งเขาไปอยู่ใน ภพภูมิที่ดีข้ึน เป็นท่ีพึงพอใจของเขาและเมื่อเขาพอใจ เขาอาจจะให้คุณกับ เราไดด้ ้วย ดังนั้นหลังจากสร้างบุญไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา ทุกครั้ง ควรแผ่เมตตาจิตอุทิศบุญไปให้พวกเขาทั้งหลาย ให้ได้รับผลบุญและไปเกิด ไปจุติยังภพภูมิที่เป็นสุขคติภูมิ มีสวรรค์ พรหมและมีพระนิพพานเป็นท่ีสุด โดยมีลำดบั วธิ ีการดังน ี้ ชำนาญ การวเิ ศษ
32 3.1 การแผ่เมตตาจติ ของผ้ทู ่ไี ม่ได้ทิพยจกั ษุญาณ พึงตั้งจิตอธิษฐานระลึกถึงบุญกุศลของตัวเราเอง ต้ังเจตนาอุทิศ บุญกุศลความดีท้ังหลายให้กับทุกดวงจิต ท่ีประสบทุกข์กรรมเวียนว่าย ตกค้างอยู่ผิดภพ ผิดภูมิ ให้ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลและเราปรารถนาให้เขา ทั้งหลายได้เกิดในภพภูมิที่ดีกว่าแบบนี้ ได้ผลบ้างตามกำลังบุญกำลังสมาธ ิ ของผู้อุทิศ หากร่วมใจอุทิศกันมากๆ หลายๆ คนร่วมใจกันก็เกิดผลที่ดี ได้ไม่นอ้ ย 3.2 การอุทิศบญุ ของผู้ท่ีไดท้ ิพย์จักษญุ าณและมโนมยิทธ ิ คือ การอธิษฐานนำกายทิพย์ไปยังสถานท่ีแห่งน้ันที่เราอยากจะ แผ่ส่วนบุญ เช่น สถานที่เกิดเหตุเคยมีคนตายจำนวนมาก ศาลรกร้าง เป็นต้น จากนั้นก็ตั้งจิตแผ่บุญกุศลเป็นรัศมีจากกายทิพย์ของตนเองแผ่ไปยงั ดวงจิตและสมั ภเวสีท้งั หลายทป่ี รากฏใหเ้ หน็ ในจิตของเรา เม่ือเราแผ่เมตตาไปแล้วจะปรากฏเห็นกายของสัมภเวสี ที่มาขอ ส่วนบุญจะเปล่ียนเป็นกายท่ีสว่างและเปล่ียนสภาวะกาย อาจเป็นกายทิพย์ ของภพภูมิ ของเทวดาบ้าง พรหมบา้ งตามบญุ ท่ีเขาไดร้ บั 3.3 การตง้ั จิตอธิษฐานรวมบญุ บารมขี องเราเอง ต้ังแต่อดีตถึงปัจจุบัน และท่ีจะทำต่อไปในอนาคต ให้มารวมตัว กันก่อนแล้ว จึงแผ่อุทิศส่วนกุศลออกไปยังดวงจิตท้ังหลาย อุปมาดังที่เรา กำลงั จะยกของหนัก สวดแลว้ ดี สวดแล้วรวย
33 ต้องมีการรวบรวมแรงก่อน การแผ่เมตตาจิตแบบนี้ เราจะเห็นใน จิตได้ว่า มีผลสูงกว่าขึ้นไปอีกช่วยให้ดวงจิตดวงวิญญาณปรับภพภูมิท่ีสูง ขนึ้ ไปไดจ้ ำนวนมากข้นึ การท่ีดวงจิตต่างๆ ปรับภพภูมิไปเกิดยังท่ีที่ดีกว่าได้น้ันเป็นผลจาก โมทนามยั บญุ คอื การเสวยผลจากการยนิ ดี ในบญุ ทเ่ี ราตง้ั จติ อทุ ศิ ให้ ดงั นน้ั จะมีดวงจิตที่โมทนาและไม่โมทนา ท่านท่ีโมทนาก็ไปได้ ท่านท่ีไม่โมทนา ก็ไปไม่ไดเ้ ป็นธรรมดา 3.4 การแผ่เมตตาจิตโดยอาศัย การขออาราธนาบารมีแห่งพระ- พทุ ธเจา้ แหง่ คณุ พระรตั นตรยั พระปจั เจกพทุ ธเจา้ พระอรหนั ต์ พระโพธสิ ตั ว ์ ครบู าอาจารย์ สิง่ ศักดส์ิ ิทธ์ใิ ห้โปรดเมตตามาสงเคราะห ์ วิธีการก็คือ การตง้ั จติ ระลกึ ถงึ ขออาราธนาบารมพี ระพทุ ธเจา้ พระ- ปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ ครูบาอาจารย์ ส่ิงศักดิ์สิทธ ์ิ ทุกๆ ท่าน ทุกๆ พระองค์ ทุกองค์ให้ท่านเมตตาแผ่ฉัพพรรณรังสีไปยังทุก ดวงจติ ใหเ้ ขาได้รบั บญุ กุศลและโมทนาบุญ สำหรับวิธีน้ี เป็นวิธีท่ีปลอดภัยท่ีสุด และเกิดผลอานิสงส์สูงมากๆ หากเราสัมผัสในจิตจะพบว่ามีดวงจิต ท่ีปรับภพภูมิขึ้นสู่สุขคติภูมิแบบน้ี เป็นจำนวนมากมายอย่างรวดเร็ว รวมท้ังกายท่ีเปล่ียนไปน้ันมีแสงสว่างมาก กว่าวิธตี ้นๆ มากมายนัก ชำนาญ การวิเศษ
34 ที่แนะนำให้ใช้ก็คือ วิธีการที่ 4 นี้ ขอให้จำกันเอาไว้จงอย่าได้ใช้ กำลงั ของตนเองอย่างเดียว แต่ให้ขอออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระ- อรหันต์ พระโพธิสัตว์ ครูบาอาจารย์ และส่ิงศักดิ์สิทธิ์ขอให้ท่านช่วยในการ ทำการทุกอย่างก่อนแผ่เมตตาปรับภพภูมิ แล้วจงต้ังกำลังใจให้ถูกก่อนว่า เราทำไปก็เพ่ือปรารถนาให้ดวงจิตแห่งสรรพสัตว์ทั้งหลายไปจุติ ยังภพภูมิ อันเป็นสุขคติมสี วรรค์ มพี ระนิพพานเป็นท่สี ดุ ดว้ ยเทอญ 4. รวมสมาธใิ หแ้ นว่ แนม่ นั่ คง การสวดมนต์ท่ีไม่ได้ผลดีน้ัน สาเหตุหลักอีกประการหน่ึงคือ การ ไม่มีสมาธิในการสวดที่ดีพอ เปรียบเหมือนเครื่องรับวิทยุท่ีไม่มีกำลังหรือม ี คล่ืนแทรกอยู่ตลอดเวลา จึงรับคลื่นแห่งพลานุภาพความศักดิ์สิทธ์ินั้นไม่ได้ หรือรับได้แตน่ ้อยมากจนไมเ่ กิดผล คนท่ัวไปน้ันเวลาสวดมนต์มักไม่ทราบว่าควรจะต้องทำใจให้นิ่งเสีย ก่อน หรือถ้าจะให้ดีจริงให้ทำสมาธิเสียก่อนก็ย่ิงดีขึ้น เพ่ือรวมจิตใจให้นิ่ง ไม่กระสับกระส่าย เพ่ือทำให้จิตนั้นรวมกันเข้ากับพระคาถาศักด์ิสิทธ์ิยิ่งสวด ดว้ ยความมสี มาธมิ ากเทา่ ใด อานสิ งสจ์ ะไดร้ บั มากขน้ึ เทา่ นน้ั และเมอ่ื สวดมนต์ เสร็จแล้วควรน่ังสมาธิต่อ ก็จะได้อานิสงส์บุญเพิ่มมากขึ้น มีวิธีการทำสมาธิ ของครูบาอาจารยแ์ บบงา่ ยๆ ทีใ่ ครๆ ก็ทำได้มาฝากกันครับ สวดแลว้ ดี สวดแลว้ รวย
35 การทำสมาธสิ ามารถทำไดท้ ุกขณะอิรยิ าบถ หลวงพ่อลี (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) พระสายธุดงค์ที่มีชื่อเสียง ทา่ นหนง่ึ แหง่ ภาคอสี าน ไดเ้ คยใหค้ ำอธบิ ายวธิ กี ารทำสมาธใิ นชวี ติ ประจำวนั เวลาท่จี ะทำสมาธิน้นั ท่านได้อธิบายอย่างง่ายๆ ไว้ว่า ทำได้ท้งั ยืน เดิน น่งั และนอน ในอิริยบถทั้ง 4 น้ีเม่ือใดท่ีใจเป็นสมาธิก็ถือว่าเป็นภาวนามัยกุศล ซึ่งถือเป็นกุศลกรรมสิทธิ์เฉพาะตัว ถือว่าได้บุญด้วยอย่างหน่ึง ดังนั้นจึงพอ สรุปจากคำแนะนำของทา่ นไว้ไดด้ ังน้ีคอื การยืน ทำโดยยืนให้ตรง วางมือขวาทับมือซ้าย ควำ่ มือท้ังสอง หลับตาหรือลืมตาสุดแท้แต่จะสะดวกในการทำ แล้วเพ่งไปท่ีคำว่า “พุทโธ” จนจติ ต้ังมั่นได้ การเดิน เรียกว่าเดินจงกรม ให้กำหนดความส้ัน ความยาว ของ เส้นทางท่ีจะเดินสุดแท้แต่เราเอง ควรจะหาสถานที่และเวลาท่ีเหมาะสม ไม่อึกทึกครึกโครม ไม่มีส่ิงรบกวนจากรอบข้าง นอกจากนั้นท่ีท่ีจะเดินไม ่ ควรสูงๆ ตำ่ ๆ แต่ควรเรียบเสมอกัน เม่ือหาสถานท่ีและเวลาท่ีเหมาะสม ได้แล้วก็ตั้งสติ อย่าเงยหน้าหรือก้มหน้านัก ให้สำรวมสายตาให้ทอดลงพอ ดี วางมือท้ังสองลงข้างหน้าทับกันเหมือนกับยืน การเดินแต่ละก้าวก็ให้จิต ต้ังม่ันอยู่กับคำบริกรรมว่า “พุทโธ” โดยเดินอย่างสำรวม ช้าๆ ไม่เร่งรีบ กำหนดรู้ในใจ ชำนาญ การวเิ ศษ
36 การน่ัง คือ น่ังให้สบาย แล้วเพ่งเอาจิตไปท่ีการบริกรรมคำว่า พุทโธ ท่องภาวนาไวเ้ ปน็ อารมณใ์ ห้กำหนดรอู้ ยู่ในใจ การนอน คือ ใหน้ อนตะแคงขา้ งขวา เอามือขวาวางรองศีรษะ ยดื มือซ้ายไปตามตัว ไม่นอนขด นอนควำ่ หรือนอนหงาย แล้วก็สำรวมสติ ตง้ั มน่ั ดว้ ยการภาวนาคำวา่ “พทุ โธ” ใหต้ ง้ั มน่ั อยใู่ นอารมณเ์ ดยี วเชน่ เดยี วกนั หลักการทำสมาธินี้มีหลายวิธีท่ีครูบาอาจารย์ท่านได้ค้นพบ ล้วนแต่ เป็นของวิเศษท้ังส้ิน ขอให้เราทุกคนลองค้นคว้าศึกษาดูรายละเอียด ซึ่งมี ความแตกต่างกนั เล็กน้อย แตท่ ี่ครบู าอาจารยท์ ่านเนน้ มากทสี่ ดุ ก็คือ เม่ือออกจากสมาธิแล้วต้องอุทิศบุญกุศลในการทำสมาธ ิ ทกุ ครัง้ แผ่เมตตาและกล่าวคำขออโหสกิ รรมดว้ ย ถ้าเราจะใช้การสวดมนต์แนะนำว่า ให้ทำสมาธิแบบน่ังจะ ดีที่สุดเพราะจะไดส้ วดมนตต์ ่อเนอื่ งไปไดเ้ ลย สวดแล้วดี สวดแลว้ รวย
37 สวดมนตถ์ กู เคลด็ จะได้บารมี 10 ทัศในครัง้ เดียว - ขณะท่เี ราสวดมนต์เสร็จ เราทำทาน โดยเอาเงินท่ใี ส่ขันสำหรับ เก็บไวบ้ รจิ าค ทำบุญ ถอื วา่ เป็น ทานบารม ี - ขณะท่ีเราสวดมนต์ เราไม่ได้ทำส่ิงที่ไม่ดีหรือทำบาปกับใคร มีศีลขณะสวดมนต์ ถือวา่ เปน็ ศลี บารม ี - ขณะที่เราสวดมนต์ จิตปราศจากสิ่งรบกวนใจ ถือว่าเป็น เนก- ขัมมะบารมี (การบวชจิตหรอื บวชใน) - ขณะท่ีเราสวดมนต์ เราทำด้วยความศรัทธาด้วยปัญญา ให้เกิด สตแิ ละมีสมาธิ ถอื ว่าเป็น ปัญญาบารม ี - ขณะท่ีเราสวดมนต์ หากเราไม่มีความเพียร เราก็ทำไม่ได้ดังน้ัน เราต้องมคี วามเพยี ร ถอื วา่ เปน็ วริ ยิ ะบารม ี - ขณะที่เราสวดมนต์ หากมีความเพียร แต่ไม่มีความอดทนความ เพยี รกต็ ั้งอยูไ่ มไ่ ด้ ดงั น้ันตอ้ งมีความอดทนด้วย ถอื วา่ เปน็ ขันติบารมี - ขณะทเ่ี ราสวดมนต์ มคี วามเพยี ร ความอดทนแลว้ กต็ อ้ งมคี วาม จรงิ ใจในการปฏบิ ตั ิด้วย ถือวา่ เปน็ สัจจะบารม ี - เมอ่ื สวดมนตเ์ สรจ็ ทำสมาธิ ตง้ั จติ อธษิ ฐาน ถอื วา่ เปน็ อธษิ ฐาน บารม ี - จากนั้นก็แผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล การแผ่เมตตาถือว่า เป็น เมตตาบารม ี ชำนาญ การวเิ ศษ
38 - ในขณะที่แผ่เมตตา ก็ต้องทำใจให้เมตตา เจริญพรหมวิหาร 4 มีอเุ บกขา วางเฉยและอโหสกิ รรมกบั บคุ คล สรรพสตั วท์ ง้ั หลายทเ่ี คยลว่ งเกนิ ไว้ ไม่โกรธเกลียดใคร ทำใจให้นง่ิ ทำจติ ให้สงบโดยวางจิตป็นอุเบกขา ถือ วา่ เป็น อุเบกขาบารม ี อานสิ งส์ของการสวดมนต์ 1. สวดมนต์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเป็นบุญท่ีได้กล่าวคำศักด์ิสิทธิ์ ท่พี ระพทุ ธเจา้ บญั ญตั ิไว้ บทสวดพุทธมนต์นั้น มาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าท่ีได้ทรง สอนสง่ั สาวก มกี ารจำและทอ่ งสบื กนั มา จนถงึ มกี ารจดบนั ทกึ ไวใ้ นพระไตรปฎิ ก ผู้ท่ีได้มีโอกาสสวดมนต์ในชีวิต เป็นการเปล่งคำศักดิ์สิทธิ์ถวายพุทธเจ้า เปน็ การบชู าพระพทุ ธเจา้ โดยตรงและย่อมไดบ้ ญุ กุศลมาก 2. เกดิ ผลดีตอ่ ร่างกาย คนท่ีสวดมนต์เป็นประจำน้ัน ทางการแพทย์สมัยใหม่รับรองแล้วว่า การสวดมนต์ทำให้เกิดความสุขได้จริงในจิตใจ ส่งผลต่อร่างกายให้หล่ังสาร ความสุขออกมาร่างกายก็จะแข็งแรง ใบหน้าสดใส ครูบาอาจารย์ในสมัย โบราณถึงปัจจุบันทราบถึงเคล็ดลับอันสำคัญนี้ ให้สังเกตว่าท่านจะมีอาย ุ ยนื มาก และบรรพบุรษุ ของเรานนั้ ทา่ นสวดมนตเ์ ปน็ ประจำ อายุของทา่ นจึง ยนื ยาว ไมเ่ หมือนคนในปจั จุบันท่ีหา่ งเหนิ การสวดมนต์มาก อายุจึงส้นั สวดแลว้ ดี สวดแล้วรวย
39 3. เปน็ การบำเพญ็ ภาวนาอยา่ งหน่ึง ทำใหม้ สี มาธิ จิตใจแจม่ ใส การสวดมนต์เป็นการสร้างสมาธิวิธีการหนึ่ง เมื่อจิตมีสมาธิย่อม แจ่มใส มีกำลัง คิดอ่านแก้ไขปัญหาอะไรก็จะทำได้ง่ายเพราะมีสติกำกับอย่ ู 4. เปน็ ท่โี ปรดโปรนของเหล่าเทพเทวดาและดวงจติ วญิ ญาณทง้ั ปวง แม้ผู้ใดไม่ว่าจะเป็นพรหมเทพเทวดา สรรพสัตว์ท้ังหลาย ดวงจิต วิญญาณทง้ั หลาย เมอ่ื ไดย้ ินบทสวดน้นั จะพบกับความเยน็ สบาย คลายทุกข์ ทำใหน้ ยิ มชมชอบคนทส่ี วดดว้ ย และเมอ่ื ไดย้ นิ กจ็ ะชว่ ยปกปอ้ งรกั ษาคนทส่ี วด 5. เกดิ บุญจากการแผ่เมตตา เมื่อสวดมนต์เสร็จสิ้น มีการแผ่เมตตาแก่ตนเองและเหล่าสรรพสัตว์ ย่อมเกิดอานิสงสบ์ ุญเกิดข้นึ 6. ได้รบั พรจากสิ่งศักดิ์สิทธ ์ิ คนท่ีสวดมนต์เป็นประจำน้ันย่อมได้รับการอวยพรจากส่ิงศักด์ิสิทธ ์ิ เสมอ เพราะเปน็ ผสู้ รา้ งกรรมดจี ากการสวดมนต์และแผเ่ มตตา 7. สร้างสิริมงคลต่อตนเองและครอบครัว ช่วยปัดเป่าภัยพิบัติและ โรครา้ ยได้จรงิ ทุกบทสวดมนต์นั้นมาจากอักขระที่ศักดิ์สิทธ์ิ มีอำนาจดลบันดาล ให้ส่ิงอัปมงคลน้ันหลุดออกไปจากชีวิต และสร้างสิริมงคลให้กับคนท่ีสวด ยง่ิ สวดมากกจ็ ะมสี ิริมงคลมากขึ้น ทำอะไรก็สำเร็จโดยง่าย ชำนาญ การวิเศษ
40 8 สามารถแผบ่ ุญไปชว่ ยผ้อู ่นื ทเ่ี ดอื ดร้อนได้ บทสวดมนต์ทุกบทนั้น สามารถแผ่บุญกุศลไปช่วยผู้อ่ืนท่ีเดือดร้อน ไดท้ ุกเรื่อง ยิง่ เปน็ สายเลือดเดียวกันจะย่ิงเร็วข้นึ อานิสงส์ดังที่กล่าวมาข้างต้น คงพอจะทำให้ทุกท่านเข้าใจเร่ือง อานิสงส์หรือประโยชน์ท่จี ะได้รับจากการสวดมนต์ไหว้พระ น่งั สมาธิ ตลอด จนการแผ่เมตตาเป็นอย่างดีแล้ว อย่างไรก็ดีที่ยกมานั้นเป็นเพียงประโยชน์ เบอ้ื งตน้ เทา่ นน้ั ความจรงิ แลว้ มอี านสิ งสท์ จ่ี ะไดร้ บั ทางออ้ มทางลกึ อกี มากมาย กวา่ น้ีนัก แตเ่ ป็น “ปัจจัตตัง” หรอื รู้ได้เฉพาะตัวของแต่ละคนไป โปรดจำไว้เสมอว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นต้องปฏิบัต ิ เองถงึ จะได ้ 9. เปน็ พ้ืนฐานกอ่ นไปสกู่ ารปฏิบัตวิ ิปัสสนากรรมฐานชนั้ สูงต่อไป การสวดมนต์น้ันเป็นพ้ืนฐานในการที่จะไปปฏิบัติธรรมช้ัน สูงต่อไป โดยเฉพาะการวิปัสสนากรรมฐาน ท่ีต้องอาศัยจิตที่ม ี กำลังมาก สวดแล้วด ี สวดแลว้ รวย
41 การอโหสิกรรม หมายความวา เราไมโกรธ ไมเกลียด เรามีเวรกรรมตอกันก็ให้อภัยกัน อโหสิกันเสีย อยางท่ีทานมา อโหสิกรรม ณ บัดน้ี ให้อภัยซ่ึงกันและกัน พอให้อภัยได้ ทานก็ แผเ มตตาได ้ ถา้ ทา นมอี ารมณค า้ งอยใู นใจ เสยี สจั จะ ผกู ใจโกรธ อิจฉาริษยา อาสวะไมสิ้น ไหนเลยละทานจะแผเมตตาออกได ้ เราจงึ ไมพน้ เวรพ้นกรรมในขอ้ น้ ี การอโหสกิ รรมไมใ ชทำงาย ชำนาญ การวเิ ศษ
42 ขนั้ ตอนในการสวดมนต ์ ทไ่ี ดร้ ับการพิสจู นแ์ ล้ววา่ ดีกับทกุ คน การสวดมนตน์ ัน้ ต้องเริม่ จากการชำระร่างกายให้สะอาด ทำจิตใจ ให้สงบด้วยการทำสมาธิให้จิตนั้นนิ่ง เม่ือจิตน้ันรวมกันแล้ว ก็เร่ิมสวดต้อง เรม่ิ ตั้งแต่กราบพระ 3 ครั้ง กราบครงั้ ท ่ี 1 ใหร้ ะลกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ กราบครงั้ ท่ ี 2 ใหร้ ะลกึ ถึงพระธรรมคุณ กราบครงั้ ที่ 3 ให้ระลึกถึงพระสงั ฆคณุ (การกราบนั้นแม้ไม่มีพระพุทธรูปก็กราบได้ ขอให้น้อมจิตกำหนด ภาพพระพทุ ธรปู หรอื ครบู าอาจารย์ที่ทา่ นเคารพไว้) สวดแล้วด ี สวดแลว้ รวย
43 และถา้ ตอ้ งการใหก้ ารสวดมนตน์ น้ั ศกั ดส์ิ ทิ ธย์ิ ง่ิ ขน้ึ ควรสวดบทชมุ นมุ เทวดา เพ่ืออัญเชิญเหล่าเทวดาท้ังหลายให้ท่านมาร่วมชุมนุมเป็นสักขีพยาน และร่วมอนุโมทนาบุญร่วมกัน แต่ถ้าหากสวดตามปกติธรรมดาแล้วแต่ตาม ทท่ี า่ นตอ้ งการ และควรไลเ่ ลยี งกนั ดงั น้ี (เปน็ การสวดมนตต์ ามโบราณาจารย์ ในอดตี กาล แลว้ แต่ท่านพิจารณา) บทบวงสรวงและชมุ นุมเทวดา ปุรมิ ญั จะ ทิสัง ราชา ธะตะรัฏโฐ ปะสาสะต ิ คนั ธพั พานงั อาธิปะติ มะหาราชา ยะสัสส ิ โส ปตุ ตาป ิ ตสั สะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อทิ ธมิ นั โต ชตุ มิ ันโต วัณณะวันโต ยะสสั สโิ น โมทะมานา อฏั ฐงั สุฯ ทักขณิ ญั จะ ทิสัง ราชา วิรฬุ โห ตปั ปะสาสะต ิ กุมภณั ฑานัง อาธปิ ะติ มะหาราชา ยะสสั ส ิ โส ปุตตาปิ ตสั สะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อทิ ธิมนั โต ชุติมนั โต วณั ณะวันโต ยะสสั สิโน โมทะมานา อฏั ฐงั สุฯ ปจั ฉิมญั จะ ทิสัง ราชา วริ ปู กั โข ปะสาสะต ิ นาคานัง อาธิปะติ มะหาราชา ยะสสั สิ โส ปุตตาป ิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อทิ ธมิ นั โต ชุตมิ นั โต วัณณะวันโต ยะสสั สิโน โมทะมานา อฏั ฐังสฯุ ชำนาญ การวเิ ศษ
44 อตุ ตะรญั จะ ทิสงั ราชา กุเวโร ตัปปะสาสะต ิ ยักขานัง อาธปิ ะติ มะหาราชา ยะสสั สิ โส ปตุ ตาปิ ตสั สะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อทิ ธิมันโต ชุตมิ ันโต วณั ณะวนั โต ยะสสั สิโน โมทะมานา อฏั ฐังสุฯ ปรุ มิ ะทิสัง ธะตะรัฏโฐ ทักขิเณนะ วริ ุฬหะโก ปัจฉเิ มนะ วริ ปู ักโข กุเวโร อตุ ตะรงั ทิสงั จตั ตาโร เต มะหาราชา สะมันตา จะตโุ รทิสา ททั ทลั ละมานา อฏั ฐงั สฯุ สัคเค กาเม จะ รูเป คิริสขิ ะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน ทเี ป รฏั เฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวสิ ะเม ยกั ขะคนั ธพั พะนาคา ติฏฐันตา สันตเิ ก ยัง มุนิวะระวะจะนงั สาธะโว เม สุณันตุ, ธมั มสั สะวะนะกาโล อะยมั ภะทนั ตา ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา ธัมมสั สะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา สวดแลว้ ดี สวดแล้วรวย
45 คำบชู าพระ อิมินา สกั กาเรนะ ตงั พทุ ธงั อะภิปูชะยาม ิ อิมินา สกั กาเรนะ ตัง ธมั มงั อะภิปูชะยามิ อมิ ินา สักกาเรนะ ตัง สังฆงั อะภิปูชะยาม ิ คำนมัสการพระรตั นตรัย อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธังภะคะวันตัง อภิวาเทมิ (กราบ) สะวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ธมั มงั นะมสั สามิ (กราบ) สปุ ะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ สงั ฆงั นะมามิ (กราบ) คำนมสั การพระพุทธเจ้า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพทุ ธัสสะ (3 จบ) คำขอขมาพระรัตนตรัย นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะฯ (วา่ 3 จบ) สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตงั สพั พงั อะปะราธงั ขะมะถะ เม ภนั เต อกุ าสะ ขะมามิ ภนั เตฯ ชำนาญ การวิเศษ
46 (ถา้ หลายคนวา่ .... ขะมะถุ โน ภนั เต, ฯลฯ,.... ขะมะถุ โน ภนั เต, อกุ าสะ ขะมามะ ภันเตฯ) ไตรสรณคมณ์ พุทธงั สะระณัง คจั ฉาม ิ ธัมมัง สะระณงั คัจฉามิ สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉาม ิ ทตุ ิยัมปิ พุทธัง สะระณงั คัจฉามิ ทตุ ยิ ัมปิ ธมั มัง สะระณงั คจั ฉามิ ทตุ ิยัมปิ สังฆัง สะระณงั คจั ฉาม ิ ตะตยิ มั ปิ พทุ ธงั สะระณงั คัจฉามิ ตะติยัมปิ ธมั มัง สะระณงั คจั ฉาม ิ ตะตยิ มั ปิ สงั ฆัง สะระณงั คัจฉาม ิ คำอาราธนาศีล 5 มะยงั ภนั เต วสิ งุ วสิ ุง รักขะนตั ถายะ ติสะระเณนะสะหะ ปญั จะ สีลานิยาจามะ ทตุ ิยมั ปิ มะยงั ภันเต วสิ ุง วสิ งุ รักขะนตั ถายะ ตสิ ะระเณนะสะหะ ปญั จะ สลี านิยาจามะ ตะตยิ มั ปิ มะยงั ภนั เต วสิ งุ วสิ ุง รักขะนตั ถายะ ตสิ ะระเณนะสะหะ ปญั จะ สลี านยิ าจามะ สวดแล้วดี สวดแลว้ รวย
47 คำสมาทานศีล 5 ปาณาตปิ าตา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ าม ิ อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยาม ิ กาเมสมุ จิ ฉาจารา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทิยาม ิ มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยาม ิ สรุ าเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ าม ิ หลังจากน้ีให้สวดบทสวดมนต์อื่นๆ ตามที่ต้องการปรารถนา ขอ แนะนำว่าให้ท่านได้สวดบทสวดเพ่ือเพิ่มพลังบารมีให้กับตนเองก่อนท่ีจะ ไปถึงเร่ืองต่างๆ ท่ีต้องการ เช่น พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก คาถา ชินบัญชรของสมเด็จโตวัดระฆัง คาถาพาหุงฯ หรือคาถาชัยมงคล คาถา มงกฎุ พระพทุ ธเจ้า คาถาอติ ปิ โิ ส 8 ทิศ ฯลฯ การสวดมนต์นั้นเป็นการดีทุกประการ และทุกคร้ังในการสวดมนต์ องคเ์ ทพทอ่ี ยใู่ นตวั จะรว่ มสวดและอนโุ มทนาดว้ ยและเหลา่ เทพเทวดาทง้ั หลาย ก็จะมาร่วมอนุโมทนาด้วยเช่นกัน ขอให้สวดด้วยความเชื่อความศรัทธาและ ดว้ ยความเคารพ ชำนาญ การวเิ ศษ
48 ข้อสำคัญที่หลายท่านยังไม่ทราบ เม่ือสวดเสร็จแล้ว ทุก ครง้ั ทา่ นตอ้ งแผเ่ มตตาใหแ้ กต่ นเองกอ่ น ถงึ จะแผเ่ มตตาใหแ้ กผ่ อู้ น่ื เพราะท่านต้องเพ่ิมบุญบารมีให้กับตัวเองก่อน เพ่ือท่ีจะมีบุญไป แผเ่ มตตาใหแ้ กผ่ อู้ ่นื คำแผเ่ มตตาให้แกต่ นเอง อะหัง สุขิโต โหม ิ ขอให้ขา้ พเจ้าจงมคี วามสขุ อะหงั นิททกุ โข โหมิ ขอให้ข้าพเจา้ จงปราศจากทุกข ์ อะหัง อเวโร โหมิ ขอใหข้ ้าพเจ้าจงปราศจากเวร อะหงั อัพยาปัชโฌ โหม ิ ขอใหข้ ้าพเจา้ จงปราศจากความลำบาก อะหงั อะนีโฆ โหม ิ ขอให้ข้าพเจา้ จงปราศจากอุปสรรค สวดแลว้ ดี สวดแล้วรวย
49 สุขี อตั ตานงั ปะรหิ ะรามิ จงรักษาตนให้มีความสุขตลอดกาลนานเทอญ คำแผเ่ มตตาให้แกผ่ ู้อ่นื สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายท้ังปวง ที่เป็นเพ่ือนทุกข์ เกิด แก ่ เจบ็ ตาย ด้วยกันทง้ั หมดท้งั สน้ิ อะเวรา โหนตุ จงเปน็ สขุ เปน็ สขุ เถดิ อยา่ ไดม้ เี วรแกก่ นั และกนั เลย อพั ยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสขุ เป็นสุขเถดิ อย่าได้เบียดเบยี น ซึ่งกันและกนั เลย อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิดอย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจรักษาตนให้พ้น จากทกุ ข์ภัยทัง้ หมดท้ังสน้ิ เถิด ชำนาญ การวเิ ศษ
50 บทสวดท่ีควรสวด ในแต่ละคร้งั ขอแนะนำว่าควรสวดไล่เลียงกันไปเพ่ือสร้างความสิริมงคลสู่ชีวิต ไมม่ ตี กตำ่ ดว้ ยอานภุ าพของบทสวดนน้ั มคี วามศกั ดส์ิ ทิ ธย์ิ ง่ิ นกั ครอบจกั รวาล และทำตามเคลด็ ที่กำกบั ไว้ในทกุ บทสวด ยอดพระกณั ±์พระไตรปฎก ก่อนสวดยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฏก พึงคุกเข่าพนมมือตั้งใจบูชา พระรัตนตรัย นมัสการพระรัตนตรัย นมัสการพระพุทธเจ้า นมัสการพระ- พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขอให้ต้ังจิตมั่นในบทสวดมนต์จะมีเทพยดา อารักษ์ทั้งหลายร่วมอนุโมทนาสาธุการ อย่าได้ทำเล่นจะเกิดโทษแก่ตัว ให้ สวดอยา่ งประณีต ทุกตวั อักขระจะเกิดอานุภาพมาก สวดแล้วดี สวดแลว้ รวย
51 บทสวด 1. อติ ิปิ โส ภะคะวา อะระหัง วัจจะโส ภะคะวา อิตปิ ิ โส ภะคะวา สมั มาสัมพทุ โธ วจั จะโส ภะคะวา อติ ิปิ โส ภะคะวา วชิ ชาจะระณะสมั ปันโน วัจจะโส ภะคะวา อิตปิ ิ โส ภะคะวา สคุ ะโต วจั จะโส ภะคะวา อติ ิปิ โส ภะคะวา โลกะวทิ ู วจั จะโส ภะคะวา 2. อะระหัง ตงั สะระณงั คจั ฉามิ อะระหัง ตัง สิระสา นะมามิ สมั มาสัมพทุ ธงั สะระณงั คจั ฉาม ิ สมั มาสมั พุทธงั สิระสา นะมามิ วิชชาจะระณะสัมปันนงั สิระสา นะมามิ สคุ ะตัง สะระณงั คัจฉามิ สุคะตัง สิระสา นะมาม ิ โลกะวิทงั สะระณงั คจั ฉาม ิ โลกะวิทงั สริ ะสา นะมามิ ชำนาญ การวเิ ศษ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135