Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือปลูกถั่วเขียวพันธุ์ดี ด้วยความรู้ ให้ผลผลิตสูง รายได้งาม

คู่มือปลูกถั่วเขียวพันธุ์ดี ด้วยความรู้ ให้ผลผลิตสูง รายได้งาม

Published by Thalanglibrary, 2023-02-02 07:35:41

Description: สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.). (2566). คู่มือปลูกถั่วเขียวพันธุ์ดี ด้วยความรู้ ให้ผลผลิตสูง รายได้งาม, 25 มกราคม 2566.

Search

Read the Text Version

คม‹ู อื ปลูกถ่ัวเขย� วพนั ธุดี ดวŒ ยความรŒู ใหผŒ ลผลติ สงู รายไดงŒ าม



คูม‹ ือ ปลกู ถวั่ เขย� วพันธดุ ี ดวŒ ยความรŒู ใหผŒ ลผลติ สงู รายไดงŒ าม

“ปลูกถัว่ เข�ยวพันธุดดี วŒ ยความรูŒ ใหผŒ ลผลติ สงู รายไดŒงาม” ISBN 978-616-584-093-4 พมิ พค รงั้ ที่ 1 (พฤศจิกายน 2565) จำนวน 2,000 เลม สงวนลขิ สทิ ธ์ิ พ.ศ. 2560 ตาม พ.ร.บ. ลขิ สิทธ์ิ (ฉบบั เพ่ิมเติม) 2558 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหง ชาติ ไมอนญุ าตใหคัดลอก ทำซำ้ และดัดแปลง สว นใดสวนหน่งึ ของหนงั สือเลม น้ี นอกจากจะไดร ับอนุญาตเปนลายลักษณอ ักษรจากเจา ของลขิ สทิ ธ์ิเทา นนั้ สถาบันการจดั การเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมเกษตร. ปลูกถ่วั เขียวพันธุด ดี ว ยความรู ใหผลผลิตสงู รายไดงาม.— กรงุ เทพมหานคร : วาย.ซีเอช.มเี ดีย, 2565. 44 หนา. 1. ถั่วเขียว 2. การปลกู พืช 3. สำนักงานพฒั นาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยแี หงชาต.ิ I. ชื่อเรือ่ ง. 635.65 ISBN: 978-616-584-093-4 ขอ มลู โดย รศ.ดร.ประกจิ สมทา | ผศ.ดร.กนกวรรณ เท่ยี งธรรม ภาควิชาพชื ไรนา คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร นางสาวณฎิ ฐา คุม โต นกั วชิ าการอาวโุ ส ฝา ยถา ยทอดเทคโนโลยี สถาบนั การจดั การเทคโนโลยีและนวตั กรรมเกษตร (สท.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยแี หงชาติ (สวทช.) เรียบเรยี งโดย ฝายถา ยทอดเทคโนโลยี | ฝายจดั การความรแู ละสรา งความตระหนัก สถาบนั การจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) จดั ทำโดย สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท.) สำนกั งานพัฒนาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยแี หง ชาติ (สวทช.) 111 อุทยานวิทยาศาสตรประเทศไทย ถนนพหลโยธนิ ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จงั หวัดปทุมธานี โทรศัพท 0 2564 7000 โทรสาร 0 2564 7004 www.nstda.or.th/agritec อเี มล [email protected] พมิ พที่ หางหนุ สว นจำกดั วาย.ซีเอช.มเี ดยี 1626/61 ซอยตึกคฟู า ถ.ดนิ แดง แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400 โทร. 089 6968338

“ถั่วเขียว” เปนพืชหลังนาท่ีไมเพียงชวยบำรุงดินใหสมบูรณสำหรับการเพาะปลูกในฤดูกาลถัดไป หากยังสราง รายไดเ สรมิ ใหเ กษตรกร ขณะเดยี วกนั ในดา นเศรษฐกจิ ของประเทศ ถวั่ เขยี วเปน วตั ถดุ บิ สำคญั ทใ่ี ชใ นอตุ สาหกรรม อาหาร ทง้ั วนุ เสน ไสข นม ขนมหวาน และโดยเฉพาะอยา งยง่ิ กบั อาหาร Plant-Based ทผี่ บู รโิ ภคทว่ั โลกมแี นวโนม บรโิ ภคโปรตนี จากพืชมากขนึ้ ซ่งึ ถัว่ เขยี วมโี ปรตีนสงู จึงเปนวัตถุดิบตั้งตน ทส่ี ำคญั ของอาหารแหง อนาคตนี้ สำนกั งานพฒั นาวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยแี หง ชาติ (สวทช.) ไดส นบั สนนุ ทนุ วจิ ยั ให ศ. ดร.พรี ะศกั ด์ิ ศรนี เิ วศน และ รศ. ดร.ประกิจ สมทา จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร วิจัยและพัฒนาพันธุถั่วเขียว จนไดสายพันธุ KUML#1-5 และ 8 ท่ีมีเมล็ดขนาดใหญ สุกแกเร็ว ใหผลผลิตไดสูงถึง 300 กก./ไร ตานทานโรคราแปงและ ใบจดุ ขณะเดยี วกนั สถาบนั การจดั การเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมเกษตร (สท.) หนว ยงานภายใต สวทช. ยงั ไดร ว มมอื กบั มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร วทิ ยาเขตกำแพงแสน ขยายผลการผลติ ถวั่ เขยี ว KUML ดว ยความรดู า นวทิ ยาศาสตร และเทคโนโลยีใหเกษตรกรทั่วประเทศ เพ่ือพัฒนากลุมผูผลิตถ่ัวเขียวใหมีผลผลิตสูงและมีคุณภาพตรงกับความ ตองการของตลาดถ่ัวเขียวทั้งในและตางประเทศ โดยใชกลไกตลาดนำการผลิต (Inclusive Innovation) และ เพ่อื พฒั นาพ้นื ท่ีตน แบบการเรียนรกู ารผลิตถว่ั เขียวตามหลกั วิชาการแบบครบวงจรในระดบั ชุมชน คูมือ “ปลูกถั่วเขียวพันธุดีดวยความรู ใหผลผลิตสูง รายไดงาม” เปนอีกหน่ึงส่ือความรูภายใตโครงการ การพฒั นาและยกระดบั เครอื ขา ยเกษตรกรผผู ลติ ถวั่ เขยี ว KUML แบบครบวงจร ของ สท. จดั ทำขน้ึ เพอ่ื ใหเ กษตรกร ใชเ ปน แนวทางการเพาะปลกู ถวั่ เขยี วพนั ธดุ อี ยา ง KUML ใหไ ดท งั้ คณุ ภาพและปรมิ าณ ไมว า จะผลติ เปน เมลด็ ถวั่ เขยี ว (grain) หรอื ผลติ เปน เมลด็ พนั ธุ (seed) ซง่ึ ตอ งใชท ง้ั ความรแู ละความใสใ จของเกษตรกร ใหไ ดผ ลผลติ ทพ่ี รอ มเปน วัตถุดิบคุณภาพสูการใชประโยชนในดานตางๆ ผลผลิตที่ไดไมเพียงเสริมรายไดหลังการทำนาใหเกษตรกร หากยงั เสรมิ ความแขง็ แกรง ดานเศรษฐกจิ ใหประเทศอีกดว ย โครงการการพัฒนาและยกระดับเครอื ขายเกษตรกรผผู ลติ ถัว่ เขียว KUML แบบครบวงจร สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวตั กรรมเกษตร (สท.)

สารบญั รูจŒ กั ถ่วั เข�ยว 6 8 KUML ถั่วเข�ยวสายพนั ธุดี ผลผลติ สูง ตŒานทานโรค 10 12 ปลูกถ่ัวเข�ยว ตอŒ งรู…Œ 16 20 ลงมอื ปลกู ดูแลรักษา 24 28 โรคและแมลงศตั รทู ส่ี ำคัญ 30 เกบ็ เก่ยี ว-จัดการหลงั การเกบ็ เกย่ี ว เร�อ่ งตŒองรŒูเกีย่ วกบั เมลด็ พนั ธุถ ั่วเข�ยว ถั่วเข�ยว ถั่วงอกคอนโด บันทึกการปลกู



ถ่ัวเขียวเปนพืชวงศถ่ัวในสกุล Vigna สกุลยอย Ceratotropis มีถ่ินกำเนิดในประเทศอินเดีย เปนพืชท่ีมีความสำคัญทางเศรษฐกิจของทวีปเอเชียและประเทศไทย ท้ังโลกมีพื้นท่ีปลูกถั่วเขียว รวมกันมากกวา 50 ลานไร โดยประเทศอินเดีย พมาและจีน มีพื้นท่ีปลูกถ่ัวเขียวมากท่ีสุดตามลำดับ สำหรับประเทศไทยมีพ้ืนท่ีปลูกถ่ัวเขียวประมาณ 7.9-8.3 แสนไร มีผลผลิตถ่ัวเขียวประมาณ 90,000-100,000 ตัน อยางไรก็ตามผลผลิตถ่ัวเขียว (grain) ที่ผลิตไดในประเทศยังไมเพียงพอ ตอความตองการใชภายในประเทศ ซึ่งมีความตองการประมาณปละ 120,000-130,000 ตัน สงผลใหตองนำเขาจากตางประเทศ จึงเปนโอกาสของเกษตรกรที่จะสรางรายไดจากการผลิต ถั่วเขยี วทัง้ แบบเมล็ด (grain) และเมล็ดพนั ธุ (seed) โปรตีน รŒอยละ 21-28 (ขนึ้ อยูก ับพนั ธุและสภาพแวดลอ มทปี่ ลกู ) คารโบไฮเดรต รŒอยละ 65-75 (ขึน้ อยูก ับพันธุและสภาพแวดลอ มทปี่ ลกู ) ไขมนั รŒอยละ 2.1-2.7 แร‹ธาตุ มีธาตเุ หลก็ 5.9-7.6 มิลลิกรัม/100 กรัม ว�ตามิน มวี �ตามินโทโคฟร� อล (tocopherols) ประมาณ 12.5 มลิ ลิกรัม/100 กรมั สารสำคญั อ่นื ๆ เชน‹ ในเปลอื กหมŒุ เมลด็ มีไวเทก็ ซนิ (vitexin) และไอโซไวเทก็ ซนิ (isovitexin) ซึง่ อยู‹ในกลุม‹ ฟลาโวนอยดท ท่ี ำหนŒาท่ีตŒานอนมุ ลู อิสระ 6

ถั่วงอก เพาะไดจากเมล็ดถั่วเขียว ใชบริโภคเปนผัก ถัว่ ซกี เปนผลติ ภัณฑท่ไี ดจ ากเมลด็ ถ่ัวเขียวทีน่ ำเอาเปลอื กหุม เมล็ดออกแลว กะเทาะเปนซีก นิยมใชทำขนม ไสขนมและสวนประกอบของอาหารหรือ นำไปใชแปรรปู แป‡งถว่ั เขย� ว (flour) ใชท ำผลิตภัณฑไดหลายชนดิ เชน พาสตา คกุ กี้ ขนม สตารช (starch) ใชท ำทำคุกกี้ วุนเสนหรือซาหร่มิ กากทเี่ หลือจากข้นั ตอน ทำสตารช นำไปใชเ ปนอาหารสตั ว โปรตีนเขมŒ ขนŒ (protein concentrate) เปน ผลพลอยไดจ ากการผลติ สตารช มีโปรตนี รอยละ 70-75 นิยมนำไปทำโปรตนี เกษตรและเนื้อเทยี ม โปรตนี ไอโซเลท (protein isolate) เปนผลพลอยไดจากการผลิต สตารช มีโปรตนี สูงถึงรอ ยละ 80-85 มไี ขมันและน้ำตาลนอย นำไปแปรรูป หรือเปนสวนประกอบในผลิตภัณฑอาหาร เชน เน้อื เทียม ไขเ ทียม ชีส โยเกริ ต พาสตา 7

สำนกั งานพฒั นาวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยแี หง ชาติ (สวทช.) ไดส นบั สนนุ ทนุ วจิ ยั ให ศ. ดร.พรี ะศกั ด์ิ ศรีนิเวศน และรศ. ดร.ประกิจ สมทา ภาควิชาพืชไรนา คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร พฒั นาพนั ธถุ วั่ เขยี ว จนไดถ วั่ เขยี วสายพนั ธดุ ี 6 สายพนั ธุ (KUML 1–5 และ 8) สกุ แกเ รว็ ทใี่ หผ ลผลติ สงู ถงึ 300 กก./ไร เมลด็ ขนาดใหญ (1,000 เมลด็ นำ้ หนกั มากกวา 75-80 กรมั ) ตา นทาน ตอ โรคราแปง และใบจุด KUML 1 ลกั ษณะเด‹น อายเุ ก็บเก่ยี ว ผลผลติ เฉลีย่ (กก./ไร‹) ลำตน สีมวง ฝก กลมยาว สุกแกเรว็ 200 ฝกแกม สี ีน้ำตาลแกถ ึงสีดำ ประมาณ เมล็ดโตและสเี ขียวเขม 70 วัน KUML 2 ลกั ษณะเดน‹ อายเุ กบ็ เกีย่ ว ผลผลิตเฉลี่ย (กก./ไร)‹ ลำตนสีเขียว ฝก กลมยาว สุกแกเ ร็ว 215 ปลายฝก แหลมโคงงอ และสมำ่ เสมอ ฝก แกมสี นี ้ำตาลแกถ งึ สีดำ ประมาณ 65-70 วนั เมลด็ โตและสเี ขียวเขม หมายเหตุ การปลูกสายพันธุ KUML 1, 2, 4, 5 และ 8 สามารถใหผลผลิตมากกวา 300 กก./ไร ขึ้นอยูกับสภาพพื้นท่ี 8

KUML 3 ลักษณะเดน‹ อายเุ กบ็ เกี่ยว ผลผลติ เฉลี่ย (กก./ไร)‹ ลำตน สเี ขียว ฝกกลมยาว สุกแกเร็ว 200 ปลายฝก แหลมโคงงอ และสมำ่ เสมอ ฝก แกม สี ีน้ำตาลแกถ งึ สีดำ ประมาณ 65 วัน KUML 4 ลกั ษณะเด‹น อายุเกบ็ เกี่ยว ผลผลิตเฉล่ยี (กก./ไร‹) ลำตนสเี ขียว ฝกกลมยาว สุกแกเ รว็ 230 ปลายฝก แหลมโคง งอ และสมำ่ เสมอ ฝกแกมีสีนำ้ ตาลแกถ งึ สดี ำ ประมาณ 65-70 วนั เมลด็ โตและสเี ขยี วเขม KUML 5 ลักษณะเด‹น อายุเกบ็ เกี่ยว ผลผลติ เฉลย่ี (กก./ไร‹) ลำตนสเี ขยี ว ฝกกลมยาว สกุ แกเร็ว 210 ปลายฝกแหลมโคง งอ และสม่ำเสมอ ประมาณ 65-70 วนั ฝกแกส ฟี างขาว เมลด็ โตและสีเขียวสด KUML 8 ลักษณะเดน‹ อายเุ ก็บเกยี่ ว ผลผลติ เฉลย่ี (กก./ไร‹) ลำตน สีมว ง ใบขนาดใหญ สกุ แกสนั้ 200 สีเขยี วเขม ฝกกลมยาว และสม่ำเสมอ ปลายฝกแหลมโคง งอ ประมาณ 65 วนั ฝก แกมีสนี ้ำตาลเขม ถึงดำ เมลด็ โตและสเี ขียวเขม 9

ดิน เจริญเตบิ โตในดนิ เกอื บทกุ ชนดิ ยกเวนดนิ ทราย จัดและดนิ เหนยี วจดั ดนิ ทเี่ หมาะสมทีส่ ุด คอื ดนิ รว นซุย ระบายน้ำดี มีคา pH 5.5-7.0 มีอนิ ทรยี วตั ถุสูง หลีกเลี่ยงดนิ ท่ีเปน กรดจัด ดินเค็มและดนิ ดา ง สภาพอากาศ แสง ตองการแสงแดดจดั อุณหภูมิ ปลูกไดทั้งป อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดคือ 25-30 องศาเซลเซียส ถั่วเขียวไมชอบอุณหภูมิต่ำ หลีกเลี่ยง การปลกู อุณหภูมิต่ำกวา 15 องศาเซลเซียส เน่อื งจากจะทำให ถว่ั เขยี วเจรญิ เตบิ โตชา และแคระแกรน็ แตห ากอณุ หภมู สิ งู กวา 35 องศาเซลเซียส จะทำใหถ่ัวเขียวดอกรวง ติดฝกและ เมลด็ ลดลง ปรม� าณนํ้าฝน ไมนอยกวา 500 มิลลิเมตร/ป แมเ ปน พชื อายุสั้นและใชน ้ำนอ ย แตตองการน้ำในชวงงอกและออกดอก (โดยท่ัวไปตลอดฤดูปลูก ตอ งการปริมาณนำ้ 300-350 มิลลเิ มตร) 10

ฤดูปลูก ฤดูฝน ตนฤดูฝน (กอนนาปหรือกอนปลูกพืชไร) เริ่มปลูกในเดือนพฤษภาคม- มิถุนายน และเก็บเกย่ี วในเดอื นกรกฎาคม-สงิ หาคม ถวั่ เขยี วทีป่ ลกู ในฤดูนี้ จะเจริญเติบโตดี ใหผลผลิตสูง แตคุณภาพเมล็ดไมดี เพราะมักกระทบฝน ในชว งสกุ แก ปลายฤดฝู น (หลงั ปลกู พชื ไร) เรมิ่ ปลกู ในเดอื นสงิ หาคม-กนั ยายน บนทดี่ อน ตามหลังพืชหลัก เชน ขาวโพด ถ่ัวเขียวจะแกพรอมเก็บเก่ียวไดในเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน เมลด็ ทไ่ี ดม คี ณุ ภาพดี ฤดูแลŒง ฤดูแลง (หลังนา) ปลูกในนาหลังเก็บเกี่ยวขาว ชวงเดือนพฤศจิกายน- กุมภาพันธ และเก็บเกี่ยวในเดือนมกราคม-เมษายน เมล็ดที่ไดมีคุณภาพดี เหมาะสำหรับผลิตเมล็ดพนั ธุ ท่ีดอน/ฤดูฝน ที่นา/ฤดูแลŒง การเลือกใชพŒ นั ธุถั่วเขย� ว เจริญเติบโตดี เหมาะกับชนิดของดนิ และสภาพภมู ิอากาศ ใหผลผลติ สูง มีคณุ ภาพตรงตามความตองการของตลาด ตานทานหรอื ทนทานตอ โรคและแมลง 11

เตร�ยมเมลด็ พันธุ มาจากแหลง ผลติ เมล็ดพนั ธทุ ีเ่ ช่อื ถอื ได ตรงตามพนั ธุ อตั ราความงอกไมต ่ำกวารอ ยละ 80 ไมม รี อ งรอยการทำลายของโรคและแมลง อตั ราการใชเ มล็ดพนั ธุ 5-7 กก./ไร ขึ้นอยกู บั ขนาดของเมล็ด ควรคลกุ เชอื้ ไรโซเบยี มกบั เมลด็ กอ นปลกู * เชอ้ื ไรโซเบยี มสำหรบั ถว่ั เขยี ว 1 ถงุ (200 กรัม) ใชคลุกเมล็ดพันธุถั่วเขียวได 5-7 กก. (อัตราปลูกสำหรับ 1 ไร) *การคลกุ เชอ้ื ไรโซเบยี ม ใชใ นพน้ื ทป่ี ลกู ทดี่ นิ มคี วามอดุ มสมบรู ณต ำ่ เปน พนื้ ที่ เปด ใหม หรอื พนื้ ทที่ ไี่ มเ คยปลกู ถว่ั เขยี วมากอ น ซง่ึ เชอื้ ไรโซเบยี มทดแทนการ ใชป ยุ เคมไี นโตรเจนไดม ากกวา รอ ยละ 50 การใชเŒ มลด็ พันธุทด่ี ี ลักษณะเมลด็ พันธุท่ดี ี ความงอกสูง สมำ่ เสมอ ตรงตามพันธุ ไดจากแปลงผลติ ไมมีพนั ธปุ น สุกแกส มำ่ เสมอ เมลด็ พนั ธทุ ี่กำจัดพันธุปนในระยะ ผลผลิตสงู คุณภาพดี ตนกลา ระยะออกดอกและกอ น เกบ็ เกี่ยว มเี ปอรเ ซนตค วามงอก และความแขง็ แรงสงู มคี วามบรสิ ทุ ธส์ิ งู ส่ิงเจอื ปนไมเ กินรอ ยละ 2 วธ� ีทดสอบความงอก เกษตรกรควรประเมนิ ความงอกเบอื้ งตน กอ นปลกู เพอื่ เปน ขอ มลู สำหรบั พจิ ารณาอตั ราการใชเ มลด็ พนั ธุ โดยสุมเมล็ดถ่ัวเขียวประมาณ 20-50 เมล็ดมาเพาะ วางเรียงบนกระดาษทิชชู 2 ช้ัน ปดทับดานบน ดวยกระดาษทิชชูอีก 1 ช้ัน และประเมินความงอกที่ 1.5–2 วันหลังเพาะ หรือทดสอบดวยทราย (รายละเอยี ดหนา 26) 12

เตรย� มดนิ ไถบุกเบิกครั้งเดียวดวยผาล 3 หรือผาล 7 แลวไถพรวน พรอมท้ังปรับหนา ดินดวยไถจอบหมนุ หากดินเปนกรด ควรใสปูนขาวหรือหินฟอสเฟต 100-200 กก./ไร ไถผาล 3 คราดเกบ็ เศษซากของวชั พชื ตากดนิ หวาน หรอื ผาล 7 ออกจากแปลง ปรับหนาดนิ 5-7 วัน แลว พรวนหรือ จำนวน 1 คร้งั ใหสมำ่ เสมอ หรือใหแ ปลง ลึก 25-35 ซม. มคี วามลาดเอยี งเลก็ นอ ย คราดกลบ กรณปี ลูกโดยอาศยั ความชืน้ ในดนิ หลงั เก็บเก่ยี วขาŒ ว ตรวจสอบความช้ืนดินใหเหมาะสม โดยดินตองไมแฉะหรือแหงเกินไป เม่ือใชจอบขุด ลงไปในดินประมาณ 10-15 ซม. ตองมีความช้ืนอยู ความช้ืนดินที่เหมาะสม เมื่อไถ พรวนกอนข้ีไถตองหักได ดินไมเหนียวแฉะเปนโคลน หรือเมื่อใชมือกำดินแลวบีบ ตองไมมีน้ำไหลออกตามงามนิว้ หากความชน้ื ไมเพยี งพอ ใหปลอ ยน้ำเขา ทว มและระบายออกทนั ที ทงิ้ ไวจ นดนิ มีความ ชนื้ เหมาะสม แลวไถเตรียมดิน 13

ปลกู ปลกู แบบหวา นสภาพไร ปลกู หลงั เกบ็ เกย่ี วพชื ไรโ ดยอาศยั นำ้ ฝน ใชเ มลด็ ถวั่ เขยี ว 5-7 กก./ไร หวา นและพรวนดนิ กลบ ทันที ควรขดุ รองระบายนำ้ เพ่อื ปอ งกนั นำ้ ขัง ปลูกแบบสภาพนา ปลูกหลังนาโดยอาศัยความชื้นในดิน ใชเมล็ดถัว่ เขียว 5-7 กก./ไร ไถลมตอซงั ดนิ หลงั เกบ็ เกย่ี วยังมคี วามชน้ื ไถดะ 1 คร้ัง ไถพรวนดนิ ใหมีขนาดเล็ก หวานหรือหยอดแลวไถพรวนหรือคราดกลบ แถวเด่ียว แถวคูบนสนั รอ ง ปลูกแบบเปนแถว ใชเ มลด็ ถั่วเขียว 4-5 กก./ไร แถวเดี่ยว (สภาพไร) ระยะแถว 50 ซม. ระยะหลุม 10 ซม. จำนวน 2 ตน ตอ หลมุ ไดจ ำนวน 64,000 ตน ตอ ไร แถวคบู นสนั รอ ง (สภาพนา) ระยะแถว 50 ซม. ระยะหลมุ 10 ซม. จำนวน 2 ตน ตอ หลมุ ไดจ ำนวน 64,000 ตน ตอ ไร หวาน หยอดหลุม ไถบกุ เบกิ คร้งั เดยี วดวยผาล 3 หรอื ผาล 7 ไถดะดว ยผาล 3 หรอื ผาล 7 ไถพรวนพรอมท้งั ปรบั หนาดนิ ดว ยไถ ไถพรวนพรอ มรถหยอด จอบหมุน ระยะระหวา งแถว 50 ซม. หวานเมล็ดพนั ธใุ หส ม่ำเสมอ หยอดหลมุ หา ง 20-25 ซม. ไถพรวนหรือคราดกลบอีกครัง้ หลมุ ละ 2-3 เมล็ด อัตราเมล็ดพนั ธุทใี่ ชค อื 5-7 กก./ไร ใชเมลด็ พนั ธุ 3-5 กก./ไร วิธกี ารเตรียมดนิ และวิธกี ารปลกู ขึน้ อยกู บั ความเหมาะสมของแตละพืน้ ที่ 14

ปย‰ุ ปยุ รองพื้นสูตร 12-24-12 อัตรา 20-30 กก./ไร หรือสตู ร 16-20-0 อตั รา 20-25 กก./ไร ควรใสปุยพรอ มการเตรียมดิน หากปลกู เปนแถวอาจใสป ยุ หลงั ถั่วเขียวงอกแลว 15-20 วัน โดยโรยขา งแถวแลว ใหน ำ้ ใหŒน้ํา ในฤดแู ลง (น้ำชลประทาน) ควรใหน ำ้ ทันทีหลงั ปลูก หลังจากนน้ั ใหนำ้ ทุก 10-14 วนั ขน้ึ อยกู ับสภาพอากาศและชนดิ ของดิน ไมควรปลอ ยใหถ ่วั เขียวขาดนำ้ ในระยะงอก ออกดอกและตดิ ฝก ควรหยดุ ใหน ำ้ เมื่อฝก แรกเปล่ยี นเปนสีดำ ถา กอ นเรม่ิ ปลกู ดนิ ไมม คี วามชนื้ หรอื มนี อ ยมาก การใหน้ำถั่วเขียว 3 ครัง้ ก็พอเพียง โดยให ครั้งแรกหลังปลูกเพื่อใหเมล็ดงอกสม่ำเสมอ ครั้งที่ 2 ประมาณ 15-20 วนั ตอมา ครัง้ ที่ 3 ประมาณ 30-40 วันหลังปลูก ควบคมุ วัชพช� สารท่ีนิยมใชควบคุมวัชพืชใบแคบและใบกวางหลังงอก คือ ฟลูอะซิฟอป-พี-บิวทิล (fluazifop-p-butyl) และโฟมีซาเฟน (fomesafen) ผสมรวมและฉีดพนพรอมกันได หลังถั่วเขียวงอกแลว 20-25 วัน อัตราที่ใชกับถ่ัวเขียวควรใชอัตราตามคำแนะนำของ ผูผ ลติ 15

โรคราแป‡ง (powdery mildew) เชือ้ สาเหต:ุ เช้ือรา Erysiphe polygoni DC. เกดิ จดุ ขนาดเลก็ สขี าวหรอื สเี ทาบนใบจากสปอรข องเชอื้ รา เจรญิ และขยายพน้ื ทปี่ กคลมุ ใบอยา งรวดเรว็ อาการมกั เรมิ่ จากใบดา นลา งของตน ในชว งทอี่ ณุ หภมู ติ ำ่ (15-20 องศา- เซลเซยี ส) และความชนื้ ตำ่ พบไดท กุ ระยะการเจรญิ เตบิ โต ของถ่ัวเขียว โดยเฉพาะชวงถั่วเขียวเร่ิมออกดอก ทำให ผลผลิตลดลงไดร อ ยละ 20-40 ปองกันกำจดั : ใชพันธุตา นทาน | ฉดี พน ดวยสารเบโนมลี (benomyl) หรือทอปซิน (topsin) โรคใบจ�ด (cercospora leaf spot) เชอื้ สาเหต:ุ เชอื้ รา Cercospora canescens Ellis and G. Martin ใบมจี ดุ หรอื แผลรปู รา งทรงกลมหรอื รสี นี ำ้ ตาลหรอื สเี ทาขนาด 1-5 มลิ ลิเมตร รอบๆ จุดมสี นี ำ้ ตาลแดง จดุ จะเพ่ิมจำนวน และขนาด หากอาการรนุ แรงใบจะเปลยี่ นเปน สเี หลอื งหรอื สนี ำ้ ตาลและหลดุ รว ง อาการมกั เรม่ิ จากใบดา นลา งของตน พบในฤดูฝนท่ีอากาศรอนและความช้ืนสูง ทำใหผลผลิต ลดลงไดรอ ยละ 20-60 ปอ งกันกำจัด: ใชพันธุตานทาน | ฉีดพนดวยสารเบโนมีล (benomyl) หรือทอปซนิ (topsin) 16

โรคเน‹าดํา (charcoal rot) เช้อื สาเหตุ: เชอื้ รา Macrophomina phaseolina (Tassi) Goid เขา ทำลายถวั่ เขยี วทเี่ รม่ิ งอก ลำตน จะเนา ดำและตายในทส่ี ดุ หากเขา ทำลายในชว งทตี่ น โต ใบเหลอื งซดี ใบเหยี่ วและแหง กรอบเปนสีน้ำตาล กานใบแหงคาตน พบการระบาดมาก หากมีฝนตกชุกในชวงปลูกและแหงแลงในชวงเก็บเก่ียว ระบาดผานเมล็ด ดินและอากาศ ยังไมมีพันธุถ่ัวเขียวที่ ตานทานตอโรคนี้ ปองกันกำจดั : คลุกเมล็ดกอนปลูกดวยสารเบโนมิลหรือ ไธโอฟาเนท เม็ททิล (thiophanate methyl) หรือไธอา- เบนดาโซล (thiabendazole) ตากเมล็ดถ่ัวเขียวบนพ้ืน สะอาด มีผาใบรอง โรคไวรัสใบด‹างเหลือง เชอ้ื สาเหต:ุ เชอ้ื ไวรสั yellow mosaic virus โดยมแี มลงหวี่ ขาวยาสบู (white fly หรอื Bemisia tabaci Gennadius) เปนพาหะ พบทใ่ี บและฝก ระยะแรกใบมจี ดุ สเี หลอื งขนาดเลก็ และแผ กระจายท่ัวใบจนเปล่ียนเปนสีเหลืองจัด ยอดท่ีแตกใหม มอี าการดา งเหลอื ง ตน แคระแกรน็ ไมอ อกดอกและไมต ดิ ฝก แตถ า เกดิ ในชว งระยะตดิ ฝก ฝก จะเปน สเี หลอื ง มขี นาดเลก็ สนั้ ผดิ ปกติ บิดงอ ไมต ดิ เมลด็ หรอื เมล็ดลีบเลก็ กวาปกติ ปองกันกำจัด: ใชเมล็ดพันธุจากแหลงท่ีนาเชื่อถือได | ฉีดพนกำจัดแมลงหวี่ขาวยาสูบดวยสารอิมิดาโคลพริด (imidacloprid) หรือไบเฟนทรนิ (bifenthrin) 17

หนอนแมลงวันเจาะลําตŒน (bean flies) แมลงตัวเต็มวัยวางไขตั้งแตถ่ัวเขียวมีใบจริงคูแรก ตัวหนอนฟกออก จากไขและชอนไชลำตน ของตนกลา ถวั่ เพ่อื เขา ดักแดใ นดนิ หรอื บรเิ วณ โคนตน ทำใหตนกลาออนตาย ความเสียหายจะมากข้ึนเมื่อปลูก ในชวงฤดแู ลง ปอ งกนั กำจดั : ใชส ารกำจดั แมลงอมิ ดิ าโคลพรดิ (imidacloprid) คลกุ เมลด็ กอ นปลกู หรือพนดวยสารไตรอะโซฟอส (triazophos) หรือฟโพรนิล (fipronil) พน 2 ครั้ง หา งกนั 7 วนั พน ครงั้ แรกเมอ่ื ใบจรงิ คแู รกคลเ่ี ตม็ ท่ี หรอื อายปุ ระมาณ 7-10 วนั หลงั งอก (หากใช ไตรอะโซฟอส งดพนกอนการเก็บเกี่ยว 21 วัน) กลุ‹มหนอนกัดกินใบ ไดŒแก‹ หนอนกระทูŒ (cutworms) และหนอนมŒวนใบ (leaf rollers) เม่ือหนอนเพ่ิงฟกออกจากไขจะอยูรวมกันเปนกลุม เม่ือโตข้ึนจะแยก ออกจากกลมุ และออกมากัดกนิ ใบ ถา ระบาดในระยะตน ออ นจะทำให ตน ตายได แตถ า ตน ถวั่ โตแลว หรอื อยใู นระยะออกดอกและฝก จะชะงกั การเจริญเติบโต ดอกและฝกถูกทำลาย ทำใหผ ลผลิตลดลง หนอนกระทูหอมด้ือตอสารกำจัดแมลงเกือบทุกชนิด ยกเวนสารประเภทควบคุมการลอกคราบ เชน ฟลูเฟนอกซูรอน (flufenoxuron) เทบูฟโนไซด (tebufenozide) และคลอรฟลูอะซูรอน (chlorfluazuron) พน เมอื่ พบกลมุ ไข 0.5 กลมุ ตอ แถวถวั่ เขยี วยาว 2 เมตร หรอื พบหนอน 1 ตวั ตอ ตน หนอนเจาะฝ˜กมารูค‹า (pod borers; Maruca testularis) ระบาดมากในแปลงที่ปลูกปลายฤดูฝนและฤดูแลง ตัวเต็มวัยของ หนอนเปนผีเสื้อกลางคืนชอบวางไขบนกลีบเล้ียงและฝกออนถ่ัวเขียว หลังจากฟกออกจากไข หนอนจะไชชอนเขาไปกัดกินภายในดอก ชอ ดอกหรอื ฝก ออ น ทำใหด อกและฝกรว ง เมลด็ เสียหาย 18

ปอ งกันกำจัด: ฉดี พน ดวยไตรอะโซฟอส (triazophos) หรอื แลมบด า-ไซฮาโลทรนิ (lambda-cyhalothrin) เม่อื ฝกถกู ทำลายประมาณรอยละ 30 ในระยะ ถั่วออกดอกถึงติดฝกออน หรือดอกและฝกถูกทำลายประมาณรอยละ 20 เมื่อถ่ัวอายุ 40 วัน หรือดอกและฝกถูกทำลายประมาณรอยละ 10 เมอ่ื ถ่ัวอายุ 50 วันขน้ึ ไป กลุ‹มเพลี้ย ไดŒแก‹ เพล้ียไฟ (Megalurothrips usitatus) เพลี้ยอ‹อนถั่ว (Aphis sp.) และไรแดง (Tetranychus spp.) สรางความเสียหายไดทุกระยะ โดยเฉพาะชวงฤดูแลง เพล้ียไฟจะดูด น้ำเล้ียงดานใตใบ ทำใหใบหงิก หรืออาศัยอยูบนชอดอกและฝก แลวใชปากเข่ียดูดน้ำเลี้ยงที่ชอดอก ทำใหติดฝกนอย และดูดน้ำเลี้ยง ทฝ่ี ก ออ น ทำใหฝ ก และเมลด็ ลบี บางครงั้ ถา ฉดี พน สารกำจดั แมลงไมท นั อาจเกิดความเสยี หายไดเกือบ 100% ปองกันกำจัด: ฉีดพนดวยสารไตรอะโซฟอส (triazophos) แลมบดา- ไซฮาโลทริน (lambda-cyhalothrin) เมทิโอคารบ (methiocarb) โพรไทโอฟอส (prothiofos) อะมีทราซ (amitraz) หรือคลุกเมล็ดกอน ปลกู ดวยอิมดิ าโคลพริด (imidacloprid) กลุ‹มมวน ไดŒแก‹ มวนเขย� วขŒาว (Nezara viridula) และมวนเข�ยวถว่ั (Piezodorus hybneri) ดดู กินนำ้ เล้ียงจากดอกและฝก ทำใหดอกและฝก รวง หรอื เมลด็ ลบี ผลผลิตลดลง ปอ งกนั กำจดั : ฉดี พน ดว ยสารกำจดั แมลง เชน บโู พรเฟซนิ (buprofezin) ฟโพรนิล (fipronil) อิมิดาโคลพริด (imidacloprid) ไดโนทีฟูแรน (dinotefuran) ไตรอะโซฟอส (triazophos) แลมบดา-ไซฮาโลทริน (lambdacyhalothrin) ไทอะมีทอกแซม (thiamethoxam) เปนตน 19

เกบ็ เกี่ยวช‹วงไหน ระยะท่ีฝ˜กเปล่ยี นสี ระยะสุกแกเ‹ ต็มที่ พันธุ KUML 1-5 และ 8 ระยะที่ฝกเปล่ยี นเปน สดี ำ นำ้ ตาล สุกแกท ีร่ ะยะประมาณ หรอื สฟี างขาว (ขน้ึ อยกู ับพนั ธ)ุ 15-20 วันหลังดอกบาน ประมาณรอ ยละ 80-90 ของพ้ืนที่ หรอื ประมาณ 65-70 วัน หลงั ปลูก หากเกบ็ เกยี่ วดว ยมอื ควรทยอยเกบ็ ถวั่ เขยี วครงั้ แรกเมอื่ ฝก สกุ แกร อ ยละ 70-80 ของพน้ื ที่ และเกบ็ เกย่ี ว คร้งั ท่ี 2 หลงั จากเกบ็ เกี่ยวครั้งแรกประมาณ 15-20 วัน แตห ากตองการเกบ็ เกีย่ วครัง้ เดยี ว ใหเก็บเกี่ยวทอี่ ายุ 70-75 วนั (ข้ึนอยกู ับสภาพอากาศ) เก็บเก่ยี วอย‹างไร ใชแ รงงานคน ไดเมล็ดถ่ัวท่ีมีคุณภาพ เหมาะสำหรับทำเมล็ดพันธุหรือเพาะถั่วงอก ตนทุนการผลิตสูง ใชเคร่อื งเกีย่ วนวด เกบ็ เกย่ี วไดร วดเรว็ ประหยดั แรงงาน ชว ยลดตน ทนุ การผลติ แตเ มลด็ มกั จะเสยี หาย และมสี ่ิงเจอื ปนมากกวาการใชแ รงงานคน 20

การจัดการหลังเก็บเก่ยี ว คอื กระบวนตา งๆ หลงั การเกบ็ เกยี่ วเพอื่ ปรบั ปรงุ และรกั ษาคณุ ภาพของเมลด็ ถว่ั เขยี วใหม คี ณุ ภาพสงู เกบ็ รกั ษาไดน าน โดยมีขน้ั ตอนตา งๆ ดังนี้ ลดความชืน้ ฝ˜ก นวด กะเทาะ ลดความชน้ื เมลด็ ทาํ ความสะอาดเมลด็ เก็บรักษา ลดความชืน้ ฝก˜ เกบ็ เก่ยี วดวยมือ หลังจากเก็บเก่ียวฝกที่สุกแกเต็มที่แลว นำฝกมาตากแดด 1-2 วนั บนลาน ท่ีรองดวยตาขายไนลอนหรือผาพลาสติก ใหความชื้นเมล็ดเหลือประมาณ 13-15% รอยละ 13-15 เพ่ือใหฝกแหงนวดกะเทาะไดงาย หากเมล็ดมีความช้ืนมาก เกินไปฝกจะนวดกะเทาะไมแตก และเมล็ดจะบอบช้ำจากการนวดกะเทาะ แตห ากเมลด็ แหงเกนิ ไปเมลด็ จะแตกหักเสยี หายไดงายจากการนวดกะเทาะ ใชร ถเกย่ี วนวด ตอ งปลอ ยใหฝ ก สกุ แกเ ตม็ ที่รอ ยละ 80-90 ของพนื้ ทป่ี ลกู ความชนื้ จะคอ ยๆ ลดลงขณะอยูในแปลง นวดกะเทาะเมลด็ ใชแ รงงานคน อาจใชไมท ุบฝก หรือใชรถแทรกเตอร ใชเ คร่อื งกะเทาะ ควรทำความสะอาดเครือ่ ง ขนาดเล็ก ปลอยลมยางใหอ อ น ย่ำกองฝกถวั่ เขียว กอนเพ่ือปองกันการปะปนของพันธุอ ืน่ ท่กี องหนาประมาณ 25 เซนตเิ มตร 21

ลดความชน้ื เมลด็ ลดความชนื้ เมลด็ อกี ครงั้ ใหเ หลอื ประมาณ รอ ยละ 10-11 เพอื่ ปอ งกนั แมลงเขา ทำลายและทำให เก็บรักษาไดนานข้นึ นำมาตากแดด นำมาตากแดดบนลานทรี่ องดว ยตาขา ยไนลอ นหรอื ผา พลาสตกิ ระหวา งตากแดด ใชค ราดกลบั เมลด็ บอยๆ โดยเฉพาะในชวง แดดจดั (11.00 น.-15.00 น.) ใชเครือ่ งอบ ใชเคร่ืองอบลดความชื้นในการผลิตเมล็ดพันธุ ไมควรใชอุณหภูมิเกิน 43 องศา- เซลเซียส หากใชอุณหภูมิสูงกวาน้ีจะสงผลกระทบตอความมีชีวิตหรือความงอก ของเมล็ดพนั ธุ *ประเมนิ ความชนื้ เมลด็ ดว ยเครอื่ งวดั ความชนื้ เมลด็ จะใหค วามแมน ยำมากขนึ้ ทาํ ความสะอาดเมลด็ ใชตะแกรงรอนหรอื กระดง ใชเครอื่ งทำความสะอาดเมลด็ เมลด็ กลวงทมี่ ขี นาดเทา กบั เมลด็ ดี ฝด สงิ่ เจอื ปนออกจากเมล็ด โดยใชล มเปา แยกสิง่ เจือปนทม่ี ี แตนำ้ หนกั เบากวา สามารถแยก นำ้ หนักเบาออก และใชต ะแกรง รอ นแยกสง่ิ เจอื ปนขนาดใหญ ออกดวยเคร่ืองคัดแยกเมลด็ และเลก็ กวาเมล็ดทต่ี อ งการออก โดยอาศัยความถวงจำเพาะของ เมล็ดที่ตา งกัน 22

เก็บรกั ษา ในภาชนะทปี่ ด สนทิ ควรมีพาเลทหรือไมรอง สถานท่แี หง สะอาด กระสอบยกสูงจากพื้น อากาศถายเทดี 10 ซม. และมชี อ งระบาย ความชนื้ ของเมลด็ กอน อากาศระหวา งกอง บรรจใุ นภาชนะทปี่ ด หากตองเก็บรักษาเมล็ด ไมค วรเกินรอ ยละ 10 พันธุปริมาณมากในระยะ ยาว ควรรมยากำจดั แมลง ในโรงเก็บโดยผเู ช่ียวชาญ ทุก 3 เดอื น ดวงถ่ัวเขียว แมลงศตั รทู ่พี บในโรงเก็บ ดวงถ่ัวเหลือง มี 2 ชนิด คือ ดว งถั่วเขยี ว (Callosobruchus maculatus) และดวงถวั่ เหลือง (C. chinensis) ตัวเต็มวัยวางไขต้ังแตถ่ัวเขียวติดฝกในแปลง ตัวหนอนฟกออกจากไข เจาะเมล็ดและกัดกินเมล็ด เจริญเติบโตอยูภายในเมล็ด เม่ือถึงชวง เกบ็ เกยี่ วและเกบ็ รกั ษา ตวั หนอนกลายเปน ดว งตวั เตม็ วยั และออกจาก เมล็ด ผสมพันธุในโรงเก็บและวางไขบนผิวเมล็ด ไขฟกเปนตัวหนอน เขาทำลายเมลด็ จนเสียหาย ปอ งกนั กำจดั : ลดความชน้ื ของเมลด็ ใหแ หง สนทิ โดยตากแดด 4-5 วนั | เก็บรักษาเมล็ดในถุงปดสนิทที่ปองกันการผานเขาออกของอากาศ และความชื้นได | ใชสารรม (fumigant) เชน อะลูมิเนียมฟอสไฟด (aluminium phosphide) และเม็ทธลิ โบรไมด (methyl bromide) ขอŒ คาํ นงึ การจดั การเมลด็ พนั ธุ เมลด็ พนั ธเุ ปน สง่ิ มชี วี ติ การจดั การหลงั การเกบ็ เกยี่ วตอ งไมก ระทบกระเทอื นการมชี วี ติ ของเมลด็ เมล็ดท่ีมีความชื้นสูง ทำใหอายุการเก็บรักษาส้ัน เนื่องจากมีเช้ือราและแมลงเขาทำลายไดงาย ตอ งลดความชืน้ เมลด็ ใหต่ำในระดบั ทเ่ี หมาะสมกอนเก็บรักษา สภาพแวดลอมในการเกบ็ รักษามีผลตออายุการเก็บรกั ษา ตองเก็บเมลด็ ในทแี่ หง 23

๒๕๑๘ เปน เมลด็ พนั ธุควบคุม เมลด็ พนั ธคุ วบคมุ เปน พนั ธพุ ชื ตอ งมีความงอก ตามพระราชบัญญัตพิ ันธพุ ืช ทผี่ ปู ระกอบการเพอ่ื การคา ไมตำ่ กวา รอยละ 75 จะตอ งมใี บอนญุ าต โดยมี และความบริสุทธ์ิ พ.ศ. 2518 ประกาศกระทรวงเกษตร ไมต ่ำกวารอ ยละ 98 และประกาศเพิม่ เติม และสหกรณ กาํ หนด มาตรฐานคณุ ภาพดา นอตั รา ความงอกและความบรสิ ทุ ธ์ิ ของเมลด็ พนั ธุ 1 สม‹ุ ตวั อย‹างเมลด็ 3 ทดสอบความงอก นำ้ หนักสงู สดุ ของถว่ั เขียว ทำได 2 วธิ ี คอื ใชก ระดาษเพาะ ตอ หนงึ่ กอง (ลอ ต) คือ 30 ตนั หรอื ใชท ราย สุมเมลด็ ถ่ัวเขยี วอยา งนอ ย ทดสอบ 4 ซ้ำๆ ละ 50 เมลด็ 1 กิโลกรัม 2 ตรวจสอบความบรส� ทุ ธ์ิ ใชตวั อยา งถ่วั เขยี วอยางนอย 120 กรัม คดั แยกองคประกอบเปนเมลด็ บริสุทธ์ิ เมลด็ พชื อ่ืน สงิ่ เจือปน คำนวณแตละองคป ระกอบเปนรอ ยละ 24

การตรวจสอบคุณภาพเมล็ดพนั ธุ ตัวอย‹างเมล็ดพันธุข ้ันตŒนทนี่ าํ มาตรวจสอบตอŒ งมาจาก การสม‹ุ จากกองเมลด็ หร�อภาชนะบรรจ� ซงึ่ เปšนไปตามหลักมาตรฐานสากล ดังเชน‹ การสมุ จากกองเมลด็ หรอื ภาชนะบรรจไุ มเกนิ 500 กโิ ลกรัม จะสุม เก็บตัวอยางขั้นตนไมน อยกวา 5 ตัวอยา ง การสมุ จากภาชนะบรรจุ (ถงุ หรือกระสอบ) 16-30 ภาชนะบรรจุ จะสมุ เกบ็ ทัง้ หมด 15 ตวั อยา ง “หลาว” เปน อปุ กรณท ี่ใชส ุมเมล็ดพนั ธุข น้ั ตน เพอื่ นำมาตรวจสอบคณุ ภาพ 25

การทดสอบโดยใชทŒ ราย ใชท รายละเอียด หากใชท รายเกาตองรอนแยกส่ิงเจอื ปนออก และนำไปอบหรอื ตากแดดฆา เชื้อกอ น นำทรายผสมนำ้ สะอาดจนมคี วามชน้ื เหมาะสม (ประมาณ 50-60%) หรอื ทราย 2.5 กก. ตอ นำ้ 0.5 กก. สามารถปน เปน กอ นได บรรจุทรายลงกลอ งเพาะ เจาะรูลกึ ประมาณ 1 ซม. เพื่อหยอดเมล็ดกลอ งละ 50 เมลด็ ตอ 1 ซ้ำ หยอดเมลด็ ลงรูและปดทรายทับบางๆ ปดฝากลอง เปดฝาเมือ่ ตนกลาเริ่มดันฝากลอง รดนำ้ เมอ่ื ทรายแหง ตรวจผลการงอก เมลด็ แขง็ เมล็ดทีไ่ มย อดดูดน้ำ เมลด็ ทด่ี ดู นำ้ แตเ นา เละ ตรวจวดั ผลครงั้ แรกที่ 5 วนั และครงั้ สุดทายที่ 8 วัน มีเชื้อราเขาทำลาย นบั เฉพาะตน กลาปกติ มใี บเลีย้ ง ใบจรงิ และตน สมบรู ณ ประเมนิ ตŒนกลาŒ มยี อด มตี น มรี ะบบรากสมบรู ณ ยอดออนหาย ตน เนา ตน บดิ เกลยี ว รากไมส มบูรณ 26

ตัวอย‹างตารางคาํ นวณการงอก ซ้ำท่ี วันที่ จำนวน จำนวน จำนวน จำนวน รวม ตรวจนบั ตนกลาปกติ ตนกลา เมลด็ แข็ง เมล็ดตาย จำนวน ผิดปกติ 5 วัน 20 - - - 20 1 8 วัน 25 3 1 1 30 รวม 45 3 1 1 30 ความงอก = จำนวนตน กลาท่งี อกปกติ + จำนวนเมลด็ แขง็ ความงอกซำ้ ที่ 1 = 45+1 = 46 เมล็ด % ความงอก = 92% ซ้ำที่ จำนวน จำนวน จำนวน จำนวน รวม รวมตน เปอรเ ซนต ตน กลา ปกติ ตน กลา เมลด็ แขง็ เมลด็ ตาย กลา งอก ความงอก ผดิ ปกติ 1 45 3 1 1 50 46 92 2 48 2 0 0 50 48 96 3 46 1 1 2 50 47 94 4 44 3 2 1 50 46 92 % ความงอก = (ความงอกซำ้ ที่ 1+2+3+4)/4 % ความงอก = (92+96+94+92)/4 = 93.5% 27

เมล็ดถั่วสารพัดชนิดท่ีงอกรากออกมาจากเมล็ด ไมวาจะเปนถ่ัวเขียว ถ่ัวแขก หรือถ่ัวเหลือง มักเรียกรวมๆ วา “ถัว่ งอก” (Bean sprouts) ซ่งึ เปน ตน ออ นท่งี อกจากเมลด็ ถวั่ ภายในเวลา 2-3 วนั ถ่ัวเขียว (Mung bean) เปนพืชตระกูลถ่ัว อยูในวงศ Fabaceae ช่ือวิทยาศาสตร Vigna radiata L. ถือเปนพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ซ่ึงถั่วเขียวแบงเปน 4 ประเภท ไดแก ถั่วเขียวผิวมัน ถ่ัวเขียว เมลด็ ดาน ถว่ั เขยี วสีทองและถว่ั เขียวผวิ ดำ สารอาหารและประโยชนข องถ่วั เข�ยว วิตามิน เกลือแร โปรตีน คารโบไฮเดรต สารตานอนุมูลอิสระ เสรมิ สรางภูมคิ มุ กันโรค เพมิ่ การไหลเวยี นของเลอื ด บำรุงสมองและประสาท บำรุงฟนและกระดูก ฯลฯ Beans - Peas ความเหมอื นทแ่ี ตกตา‹ ง Beans Peas ลักษณะเมล็ดยาว เชน มลี กั ษณะเมล็ดกลม เชน ถั่วเขียว ถัว่ เหลือง ถัว่ แดง ถ่ัวแขก เปน ตน ถว่ั พู ถ่วั ลนั เตา ถั่วลูกไก เปนตน รบั ประทานเมลด็ แหง รบั ประทานสดท้ังฝก ยืดขยายส‹วนลำตŒน ใบจร�ง ยืดขยายสว‹ นลำตนŒ ใบจร�ง ใตŒใบเลย้ี ง ใบเล้�ยง เหนอื ใบเล้ียง ลําตŒนเหนอื ใบ ลาํ ตนŒ เหนอื ใบ ลาํ ตนŒ เหนือใบ เปล�อกหมุŒ เมล็ด ใบเล�ย้ ง ลาํ ตŒนใตŒใบเล�ย้ ง ลําตŒนใตŒใบเล�ย้ ง เมลด็ เมลด็ รากแรก ราก รากแรก ใบเล�้ยง ราก ลาํ ตนŒ ใตŒใบเล�้ยง จาก “ถั่วเข�ยว” ส‹ู “ถ่วั งอกคอนโด” การเพาะถวั่ เขยี วเพอ่ื ทำถวั่ งอกใชห ลกั การการเพาะในทมี่ ดื เรยี กวา Etiolation คอื เมอ่ื ตน กลา ไมไ ดร บั แสง ปริมาณออกซิน (Auxins) ท่ียอดสรางข้ึนถูกทำลายนอยลง ทำใหสวนของลำตนใตใบเลี้ยง (Hypocotyl) ยืดยาวได และทำใหถั่วงอกมีสีขาว เพราะไมไดรับแสง 28

หลกั การชว ยเพม่ิ นำ้ หนกั โดยการกดทบั ดา นบน เพอื่ ใหเ กดิ ภาวะความเครยี ด (Stress) ผลจากความเครียดจะกระตุนใหพืชสังเคราะหฮอรโมนเอทิลีน (Ethylene) ซ่ึงจะ กระตุนใหเกิดการขยายของลำตนใตใบเล้ียงทางดานกวาง (Radial expansion) ทำใหถ ว่ั งอกมีลักษณะท่อี วบข้ึน วัสดแุ ละอปุ กรณ ถงั พลาสตกิ ทึบขนาด 55 ลติ ร เมล็ดถว่ั เขยี ว ตาขา ยพลาสติก กระสอบปาน ตัดเปนวงกลม บัวรดน้ำแบบหวั ฝอย เจาะรทู ก่ี น ถัง ตดั เขปนกน าับวดถงังก3พลมลมลิ าขลสนิเตามิกดตพรอดี ขเนพเยาือ่ ดบ็ กพขาออรดใบชกีกง ับราะถนสงั ทอพี่นบลาปานสาขนตึ้นกิ เตร�ยมเมล็ด ว�ธเี พาะ 12 1 ลางทำความสะอาดเมลด็ ชนั้ ท่ี 4 และนำไปแชน ำ้ ทอ่ี ุณหภูมิ ช่งั เมล็ดถว่ั เขียว แชเมล็ดถ่ัวเขียว ชั้นที่ 3 350 กรัม ตอ 1 ถัง 50 องศาเซลเซียส ในน้ำอุน 8 ชว่ั โมง ช้ันท่ี 2 นาน 8 ชวั่ โมง ชัน้ ที่ 1 2 (นำ้ เดือด 1 สวน : น้ำธรรมดา 2 สว น) วธ� เี กบ็ เกย่ี ว 3 ชน้ั ท่ี 1 วางตาขา ยพลาสตกิ รองทก่ี น ถงั ทบั ดว ย กระสอบปานแชน้ำ วางตาขายพลาสติกซอน แบง เมล็ดถว่ั เขียว อีกคร้ัง โรยเมล็ดถ่ัวเขียวสวนที่ 1 เกล่ียเมล็ด ทีแ่ ชน ำ้ แลวเปน 4 สว น ไมใ หซอนทบั กนั ปด ทบั ดว ยกระสอบปา นแชน ้ำ ยกตาขายพลาสตกิ ออกทีละชนั้ ใชมดี โกนหรอื รดนาํ้อยา‹ งนอŒ ยวันละ 3วันท่ี 4 มีดคัดเตอรค มๆ ตัดตรงโคนตนถวั่ งอกทีต่ ดิ กบั ตาขา ยพลาสตกิ 5 ครัง้ หลังเพาะหรอ� ครบ ช้ันท่ี 2-4 ทำเหมือนกบั นำถัว่ งอกทีต่ ัดแลว ไปลางนำ้ ใหสะอาด ผึง่ ใหแ หง 72 ชัว่ โมง ขอ 3 โดยชัน้ ที่ 4 ปดทับ กอ นนำไปบรโิ ภคหรอื บรรจุถงุ จำหนา ย ทกุ ๆ 2 หรอ� 3 ช่วั โมง ดวยกระสอบปาน 2 ช้ัน สามารถตัดบร�โภค หรอ� จําหน‹ายไดŒ แลวรดน้ำ ตŒนทุน ผลผลิต ราคา - ถังพลาสตกิ 80 บาท ถัว่ เขยี ว 1 กโิ ลกรัม ถ่ัวงอกขายขดี ละ 6 บาท ขอŒ มูลโดย - ตาขายพลาสติก ไดถ่วั งอก 6-8 กโิ ลกรมั กิโลกรัมละ 30-40 บาท ตารางเมตรละ 30 บาท 1 ถัง ไดถว่ั งอก 2-3 กิโลกรมั อาจารยทวีป เสนคำวงศ - กระสอบปาน 35 บาท ดร.สเุ ทพ วชั รเวชศฤงคาร - เมล็ดถว่ั เขียว คดิ คำนวณ สาขาพชื ผกั คณะผลติ กรรมการเกษตร กโิ ลกรัมละ 40 บาท มหาวิทยาลัยแมโจ 29

บนั ทกึ การปลูก ช่อื เจาของแปลง ไร ตำบล /ไร พกิ ดั แปลง พื้นทปี่ ลกู จงั หวัด /ไร หมูที่ บา น พน้ื ท่ปี ลูก วัน/เดือน/ปท ่ีปลกู /ไร อำเภอ พนื้ ทป่ี ลกู ไร อัตราเมลด็ พันธทุ ่ใี ช พน้ื ท่ปี ลกู รวม ไร อตั ราเมล็ดพนั ธุท่ีใช สายพนั ธุ ไร อตั ราเมล็ดพนั ธุท ี่ใช สายพันธุ สายพันธุ 30

วธ� ีปลูก ไถหยอด หวา นตอซัง ไถหวาน ปริมาณ ลติ ร/ไร ปริมาณ ลิตร/ไร ใหนŒ าํ้ ปริมาณ ลติ ร/ไร ครั้งท่ี 1 วนั ท่ี ครง้ั ที่ 2 วันท่ี คร้ังท่ี 3 วนั ท่ี ใสป‹ ‰ยุ ครั้งท่ี 1 วนั ท่ี สูตร อัตรา กก./ไร กก./ไร ครง้ั ท่ี 2 วนั ที่ สตู ร อตั รา กําจัดวัชพช� ชนดิ สารท่ีพน ชนิดสารทีพ่ น ครง้ั ท่ี 1 วันที่ ครง้ั ท่ี 2 วันที่ 31

โรคพ�ช/แมลงศตั รูพช� วนั ที่พบ ช่ือโรค/ชื่อแมลงศัตรู จัดการโดย วันท่ีพบ ชื่อโรค/ชอ่ื แมลงศตั รู จดั การโดย วันทพ่ี บ ชื่อโรค/ชอ่ื แมลงศตั รู จัดการโดย งอกวนั ท่ี ออกดอกวนั ที่ ฝก แกวันท่ี เก็บเกีย่ ววนั ท่ี เกบ็ ดว ยมือ เก็บดว ยรถเก่ยี ว 32

ผลผลติ รวมทเ่ี ก็บได กก. สายพันธุ กก./ไร สายพันธุ กก./ไร สายพันธุ กก./ไร คิดคาํ นวณตŒนทนุ การผลิต (ต‹อไร)‹ ไถเตรยี มดนิ เมล็ดพันธุ ไรโซเบียมสำหรับถ่วั เขียว ปุย สารปองกนั กำจัดวัชพชื โรคพชื และแมลงศตั รูพชื (รวมคาจางฉดี ) เกบ็ เก่ยี ว -คาแรงเกบ็ เกี่ยว (เกบ็ มอื ) -ใชร ถเกย่ี ว คาแรงตัวเอง (ตองคิดๆ) รวมตนทนุ การผลิต/ไร 33

เมล็ดถ่ัวเขยี ว (Grain) องคความรแŒู ละ สวทช. ม.เกษตรศาสตร หนว ยงานในพื้นท่ี 1. สายพันธุถั่วเขียว บรษิ ทั ผูรับซอ้ื 2. ปลกู ถวั่ เขยี วใหไ ดค ณุ ภาพ 3. ปอ งกนั กำจดั โรคพืชและ ประเมนิ คัดเลอื กพืน้ ท่เี พ่อื ถา ยทอดเทคโนโลยี 4. แปรรปู ถ่วั เขยี ว วางแผนการบริหารจดั การกลุมผา นกลไก “ตลาดนำการผลิต” ถายทอดองคค วามรูแ ละเทคโนโลยี รูปแบบการ สนบั สนนุ เมลด็ พนั ธ-ุ ไรโซเบยี มเพอื่ ใชผ ลติ เปน สตอ คชมุ ชน 1. อบรมเชิงปฏบิ ตั กิ าร 2. จัดทำแปลงสาธติ ตดิ ตาม ใหคำแนะนำ (online-onsite) 3. ชุดสอ่ื ความรู จัดตัง้ กลมุ แกนนำเพื่อบรหิ ารจดั การ เมล็ดพันธุ รวบรวมและจำหนา ย ผลผลิต สตอ คชมุ ชน บรษิ ทั รับซอ้ื เกษตรกรนำไปแปรรปู 34

เทคโนโลยี เมล็ดพันธุ์ถ่ัวเขยี ว (Seed) และปริมาณ (ปลกู -ดแู ล-เกบ็ เกยี่ ว) สวทช.-ม.เกษตรศาสตร กลุมเกษตรกรท่เี คยปลูก แมลงศัตรพู ชื ของถ่ัวเขียว ทำกระบวนการกลุม ถว่ั เขยี ว KUML การจัดการหลังการเก็บเกยี่ ว สนับสนนุ เมล็ดพันธ-ุ เปดรับความรผู ลติ (ทดสอบความงอก เกบ็ รกั ษา เมล็ดพันธุ ปองกนั แมลง) ไรโซเบียม ปฏบิ ัตจิ ริง พรอ มลงทนุ เพิ่ม ถา‹ ยทอดเทคโนโลยี ถายทอดองคความรู (วดิ โี อ, คูมอื ) และเทคโนโลยี ตดิ ตาม ใหค ำแนะนำ จดั ตงั้ ศนู ยผ ลติ เมลด็ พนั ธรุ ะดบั ชมุ ชน และสนบั สนุนการยื่นจดทะเบียน จำหนา ยเมลด็ พันธุ ผลผลิต สตอคชุมชน ขาย เกษตรกรทวั่ ไป เกษตรกรเครอื ขา ยของ สวทช. บรษิ ัทเพอ่ื นำไปสงเสรมิ ในพนื้ ทีป่ ลกู ของบรษิ ัท 35

ส่ือความรกŒู ารผลิตถัว่ เข�ยว KUML อยา‹ งมคี ุณภาพ ส่ือความรูŒอน่ื ๆ จาก สท. 36

Note 37

Note 38

Note 39

Note 40