Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 20200511-dinosaur5

20200511-dinosaur5

Published by Thalanglibrary, 2020-05-13 00:49:41

Description: 20200511-dinosaur5

Search

Read the Text Version

ซากดึกด�ำบรรพ์ภูเก้าคู่มือผู้เล่าเร่ืองธรณี -ภูพานค�ำ อุทยาน ครีเทเชยี ส Cretaceous Parks ภาพปก คัดลอก และดัดแปลง จาก https://www.google.com/maps/search/ภเู กา้

คู่มือผู้เล่าเรื่องธรณี อุทยานแห่งชาติ - ดึกด�ำบรรพ์ ซากดึกด�ำบรรพ์ภูเก้า-ภูพานค�ำ: อุทยาน ครีเทเชียส อทุ ยานแหง่ ชาตภิ เู ก้า-ภูพานค�ำ นอกจากจะเปน็ อทุ ยานแหง่ ชาตทิ ม่ี ีความพิเศษ ด้านความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติวิทยา และความสวยงามของทิวทัศน์แล้ว ยังเป็น อธบิ ดกี รมทรัพยากรธรณ ี นายสมหมาย เตชวาล อุทยานแหง่ ชาติท่ีควบรวมอุทยานฯ 2 แห่งเขา้ ด้วยกัน เป็นหนงึ่ เดยี ว นายนิวัติ มณีขัติย์ ทน่ี า่ อศั จรรยก์ วา่ นนั้ กค็ อื อทุ ยานแหง่ ชาตภิ เู กา้ -ภพู านคำ� มมี ติ ทิ ซ่ี อ้ นทบั กนั ของกาลเวลา รองอธิบดกี รมทรัพยากรธรณี คือ อุทยานแห่งชาติ-ปัจจุบัน กับ อุทยานแห่งชาติ-ดึกด�ำบรรพ์ หรือ อุทยานครีเทเชียส นายมนตรี เหลอื งองิ คะสุต ท่ีผ้มู าเยอื นจะไดร้ บั ความรู้ ความต่นื ตา ตืน่ ใจ อยา่ งเปน็ ทวคี ูณ กบั มิติทางดา้ นธรณวี ิทยา รองอธิบดกี รมทรัพยากรธรณ ี นายนิมิตร ศรคลัง จากพิพิธภัณฑ์แหล่งซากดกึ ดำ� บรรพ์ภูเกา้ และพิพธิ ภัณฑ์แหลง่ ซากดกึ ดำ� บรรพ์ภพู านคำ� นายประชา คุตติกุล ท่ีตัง้ อยู่ภายในอทุ ยานแห่งชาติทงั้ สองพ้ืนท่นี ้ี ผู้อ�ำนวยการกองคมุ้ ครองซากดกึ ด�ำบรรพ์ พร้อมกันนี้ กรมทรัพยากรธรณีได้จัดท�ำเอกสารประกอบการท่องเท่ียวเชิงธรณี นางสาวศศอร ขันสุภา คมู่ อื ผเู้ลา่ เรอ่ื งธรณี ซากดกึ ดำ� บรรพภ์ เู กา้ -ภพู านคำ�  : อทุ ยานครเี ทเชยี ส (Cretaceous Parks) เขียนเรือ่ ง นายปรีชา สายทอง เพื่อให้ข้อมลู เบ้อื งตน้ สำ� หรบั การเยยี่ มชมอทุ ยานแห่งชาติมติ ิซอ้ นทับแห่งนี้ กรมทรพั ยากรธรณหี วงั เปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ เอกสารคมู่ อื ผเู้ ลา่ เรอ่ื งธรณี ภเู กา้ -ภพู านคำ� สนับสนุนขอ้ มูล ที่ได้รวบรวมข้อมูลเก่ียวกับหลักฐานความมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยา จะเป็นประโยชน์ต่อ เจา้ หนา้ ที่ ยวุ มคั คเุ ทศก์ และมคั คเุ ทศกช์ มุ ชน ในการศกึ ษาเพอ่ื นำ� เสนอตอ่ ผมู้ าเยอื นจากทว่ั ทศิ รวมถงึ จะเป็นประโยชนต์ อ่ นักเรียน นักศึกษา และนกั ทอ่ งเทยี่ วทุกท่าน ¾ÔÁ¾ì¤ÃÑ§é ·Õè 1 ¨Ó¹Ç¹ 1,000 เล่ม à´×͹ สงิ หาคม 2562 (นายสมหมาย เตชวาล) ¨Ñ´¾ÔÁ¾ìâ´Â กองคุม้ ครองซากดึกด�ำบรรพ์ ¡ÃÁ·ÃѾÂÒ¡Ã¸Ã³Õ อธบิ ดีกรมทรพั ยากรธรณี 75/10 ¶¹¹พระรามท่ี 6 เขตราชเทวี กรงุ เทพมหานคร 10400 โทรÈѾ·ì 0 2621 9847 โทรสาร 0 2621 9841 ขอ้ มลู ทางºÃóҹءÃÁ ¡ÃÁ·ÃѾÂҡøóÕ, 2562, ¤ÙèÁ×ͼÙéàÅèÒàÃ×èͧ¸Ã³Õ ซากดกึ ดำ� บรรพภ์ เู กา้ -ภพู านคำ� : อทุ ยานครเี ทเชยี ส, 46 ˹éÒ 1.พิพิธภัณฑ์ 2.ซาก´Ö¡´ÓºÃþì 3.รอยตีนไดโนเสาร์ 4.หอยสองฝา 5.ภูเก้า-ภูพานค�ำ ¾ÔÁ¾ì·Õè ·Ù·ÇÔ¹¾ÃÔ¹é µÔé§ 10/122 หมู่ท่ี 8 µ.ÊÓâçà˹×Í Í.เมืองสมุทรปราการ ¨.ÊÁطûÃÒ¡Òà 10270 â·ÃÈѾ·ì 0 2185 9953 และ 09 6996 5447 E-mail: [email protected] คัดลอก และดัดแปลงภาพถา่ ยจาก https://www.google.com/maps/search/ภูเก้า

สารบัญ อุทยานแห่งชาติ ภูเก้า-ภูพานค�ำ อทุ ยานแหง่ ชาติ ภูเก้า-ภพู านคำ� 1 ภูเก้า-ภูพานค�ำ เป็นอุทยานแห่งชาติแบบ ทวิภาค หรือแบบทูอินวัน คือเป็น ธรณีวทิ ยาในอทุ ยาน 4 อุทยานแห่งชาติที่มีอาณาเขตคลุม 2 พื้นท่ี โดยพื้นท่ีหนึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาลูกโดด 10 รปู แอง่ กระทะ และอกี พน้ื ท่หี นงึ่ มสี ภาพภูมปิ ระเทศเป็นแนวเขายาว และอา่ งเก็บน้� ำขนาดใหญ่ • ธรณีวทิ ยาโครงสรา้ ง 12 น่ีเปน็ ความพิเศษท่มี องเหน็ ได้อย่างชัดเจน 14 หากแต่ว่ายังมีอีกนัยหนึ่งที่ผู้คนท่ัวไปยังไม่ได้สัมผัส และนัยท่ีกล่าวถึงนี้เองท่ีท�ำให้ บันทึกธรณี ในอทุ ยานฯ ครเี ทเชยี ส 16 20 ภเู ก้า-ภพู านคำ� เป็นอทุ ยานแหง่ ชาติ ทวภิ พ • รอยตีนไดโนเสาร์ทีภ่ เู กา้ 24 • พิพิธภัณฑแ์ หลง่ ซากดกึ ด�ำบรรพ์-ภเู กา้ 26 อทุยานแหง่ ชาติภูเก้า-ภูพานคำ� ในภพปจั จบุ นั ตั้งซอ้ นทับอย่บู นอทุ ยานครีเทเชียส • หอยสองฝาน้� ำจดื ท่ภี ูเก้า 28 แหง่ ภพบรรพกาล ทม่ี ีมติ ิแหง่ กาลเวลาตา่ งกนั กวา่ ร้อยล้านปี ปรากฏหลักฐานชัดเจนเป็น • กระดูกและฟนั ไดโนเสารท์ ี่ภเู ก้า 30 ซากดกึ ด�ำบรรพน์ านาชนิดกระจายตัวอยทู่ วั่ อทุ ยานฯ อาทิ เช่น รอยตนี ไดโนเสาร์ กระดกู • สามสิบโบกทีภ่ เู กา้ 32 และฟันไดโนเสาร์ เตา่ ปลา หอยสองฝาน�้ำจดื และไม้กลายเป็นหิน • พิพิธภณั ฑ์แหล่งซากดึกด�ำบรรพ-์ ภพู านค�ำ 34 ดว้ ยเหตนุ เี้ องกรมทรพั ยากรธรณจี งึ ไดจ้ ดั สรา้ งพพิ ธิ ภณั ฑแ์ หลง่ ซากดกึ ดำ� บรรพข์ นึ้ • ไมก้ ลายเป็นหนิ 38 ในอทุ ยานฯ ทงั้ สองพนื้ ท่ี เพอ่ื ใหบ้ รกิ ารขอ้ มลู ความรเู้ กยี่ วกบั มติ บิ รรพกาลของ อทุ ยานแหง่ ชาติ ภเู กา้ -ภพู านคำ� ในวนั นี้ ทซี่ งึ่ เมอ่ื รอ้ ยกวา่ ลา้ นปที ผี่ า่ นมาเคยเปน็ อทุ ยานแหง่ ชาตดิ กึ ดำ� บรรพ์ ขนึ้ ทะเบียนแหลง่ ซากดึกด�ำบรรพ์ ภูเก้า-ภูพานค�ำ อุทยาน ครีเทเชียส เอกสารอ้างอิง การเยอื นอุทยานฯ แหง่ นี้ จึงเปรยี บเสมอื นกบั การไดเ้ ยอื นอุทยานฯ ขา้ มมติ เิ วลา ที่พิเศษย่ิง และสามารถข้าม ไป-กลับ กาลเวลากี่ครั้งก็ได้โดยอาศัยเพียงข้อมูลพื้นฐานท่ี จะไดร้ ับจาก คู่มือผู้เล่าเร่ืองธรณี กับ พพิ ิธภณั ฑ์แหลง่ ซากดกึ ดำ� บรรพ์ ทง้ั สอง ซง่ึ โอกาส พิเศษอย่างน้จี ะหาไดใ้ นอุทยานแห่งชาตเิ พียงไม่ก่ที ีใ่ นเมืองไทย 1

ภเู ก้า แขผอนภงู ทเอก่ีุแท้ าสย-ดาภงนู พอแาาหนณ่ งคาช� ำเาขตติ คั ด ล อ ก - ดั ด แ ป ล ง จ า ก 2 ภพู านคำ� อุทยานแหง่ ชาติภเู กา้ -ภพู านคำ� ครอบคลุมพ้นื ทบ่ี างสว่ นของ 2 จังหวัด คอื หนองบัวลำ� ภู และขอนแกน่ โดยในปี พ.ศ. 2526 กองอุทยานแห่งชาติ กรมปา่ ไม้ ได้จัดตั้งพื้นท่ปี ่าสงวนแหง่ ชาตภิ ูเก้า ซึง่ มีทวิ ทศั น์ทสี่ วยงามตามธรรมชาติ ประกอบดว้ ยพนั ธพ์ุ ชื -สตั วป์ า่ ทส่ี มบรู ณเ์ ปน็ อุทยานแห่งชาติภูเกา้ ต่อมาไดม้ กี ารผนวกพ้นื ทเ่ี ทอื กเขา ภูพานค�ำ และพ้ืนทด่ี ้านตะวนั ตกเฉยี งเหนือ ของตวั เขอื่ นอุบลรัตน์ เข้าร่วมเปน็ อุทยานแหง่ ชาตภิ เู ก้า-ภพู านค�ำ ในปี พ.ศ. 2528 เพื่อใหเ้ กดิ ประโยชน์สมบรู ณ์ ในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ 3

Kms หมวดหินมหาสารคาม ธรณีวิทยาในอุทยานฯ Kkk หมวดหนิ โคกกรวด Kpp หมวดหนิ ภพู าน Ksk หมวดหินเสาขวั Kpw หมวดหินพระวิหาร Jpk หมวดหินภูกระดงึ Trnp หมวดหินนำ้ พอง โครงสร้างรูปประทนุ อุทยานแห่งชาติภเู กา้ -ภพู านค�ำ อยู่ทางตะวนั ออกเฉียงใต้ของจงั หวดั หนองบัวล�ำภู ปลายท่มิ ลง ไปทางทิศเหนอื โดยมแี นวสนั เขาภพู านคำ� เปน็ เขตพรมแดนตดิ ตอ่ กบั จงั หวดั ขอนแกน่ ทำ� ใหเ้ ขตอทุ ยานแหง่ ชาติ ภูพานค�ำด้านตะวันตกซึ่งเป็นด้านที่ชันกว่าอยู่ในจังหวัดหนองบัวล�ำภู และด้านที่ลาดกว่า ทางตะวนั ออกอยใู่ นเขตจังหวดั ขอนแก่น โครงสรา้ งรปู ประทนุ หงาย เขาหนา้ ตดั รูปอีโต้ โครงสร้างหลักทางธรณีวิทยาวางตัวอยู่ในแนวเกือบ เหนือ-ใต้ โดยเอียงไปทางทิศ โครงสร้างรูปประทุนหงาย ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื เลก็ นอ้ ย ด้านตะวันออกเป็นแนวเขาท่ีเกดิ จากโครงสรา้ งชั้นหินโค้งรูป ประทนุ โดยชัน้ หินทป่ี รากฏเป็นแนวแกนประทนุ เปน็ หมวดหินพระวิหาร ทเ่ี อียงมดุ ลงไปทาง ด้านเหนอื ต่อเนอ่ื งเข้าไปทางตอนใต้ของจัวหวัดอดุ รธานี บริเวณอุทยานแห่งชาติภูเก้ามีลกั ษณะเป็นภเู ขาลกู อิสระรูปวงรี ซ่ึงมีโครงสรา้ งเป็น ชั้นหินโ้ค้งรูปประทุนหงาย ที่มีแนวแกนอยู่บริเวณแกนยาวของวงรี เลยลงไปทางตะวันตก เฉียงใต้เป็นอุทยานแห่งชาติภูเวียงที่มีรูปร่าง และโครงสร้างทางธรณีวิทยาคล้ายกันแต่มี ขนาดใหญ่กวา่ เป็นสองเทา่ พน้ื ท่ีระหวา่ งภูเก้า กบั ภูพานคำ� เปน็ พ้ืนทีล่ าดต่�ำลงมา รองรบั ดว้ ยหมวดหนิ ภกู ระดงึ แหง่ ยุคจูแรสซิกตอนปลายซ่งึ สว่ นใหญ่ถกู ปกคลมุ ด้วยชั้นดิน เปน็ พืน้ ทกี่ สิกรรม และทอี่ ย่อู าศัย มโี ครงสรา้ งทางธรณีวิทยาเป็นชน้ หินโคง้ รปู ประทนุ ขนาดใหญ่ วางตัวขนาน กบั โครงสร้างรปู ประทนุ หงายของภเู กา้ แต่ถกู กดั เซาะออกไปหมดส้ิน เหลอื ไวเ้ พยี งขอบดา้ น ตะวนั ออกเปน็ แนวยาวบรเิ วณอทุ ยานแหง่ ชาติภูพานคำ� โดยมหี น้าตัดเขาเป็นรปู อโี ต้ ท่ีมี ด้านหนา้ ชนั ส่วนดา้ นหลงั ลาดลงตามแนวการวางตวั ของชน้ั หนิ ไปทางจังหวัดขอนแกน่ พรีแคมเบรียน มหายคุ พาลีโอโซอกิ มหายคุ มีโซโซอิก มหายุค ซโี นโซอิก แคมเบรียน ออรโดวิเชยี น ไซลเู รยี น ดีโวเนียน คารบ อนเิ ฟอรสั เพอรเ มียน ไทรแอสซกิ จแู รสซกิ ครเี ทเชียส พาลโี อจนี นีโอจนี ควอเทอรนารี 4 หนว ยเวลา ลานป 541.0 ปจจุบนั 5 485.4 443.8 419.2 358.9 298.9 251.9 201.3 145.0 66.0 23.03 2.58

วิทยาหินในอุทยานฯ Ë¹Ô â¤Å¹ Ë¹Ô ·ÃÒÂá»§é กลุ่มหินโคราชแผก่ ระจายตวั ปกคลมุ พ้นื ท่เี กือบทง้ั หมดของ ¡ÅØÁ‹ ËÔ¹ ËÁÇ´ËÔ¹ ¤ÇÒÁË¹Ò Ë¹Ô ·ÃÒÂà¹Íé× ÅÐàÍÂÕ ´ ¿ÍÊ«ÅÔ ¤Ó͸ºÔ Ò ท่ีราบสูงโคราช ประกอบด้วยหินตะกอนที่สะสมตัวบนบกตั้งแต่ยุค (àÁµÃ) Ë¹Ô ·ÃÒÂà¹Íé× »Ò¹¡ÅÒ§ ไทรแอสซิก จูแรสซิก ถงึ ยุคครเี ทเชียส แบง่ ออกเปน็ 9 หมวดหิน Ë¹Ô ·ÃÒÂà¹Íé× ËÂÒº อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภพู านคำ� รองรับดว้ ยกลมุ่ หนิ โคราช รวม 5 หมวดหินประกอบด้วย หมวดหินภูกระดึงแห่งยุคจูแรสซิก ⤡¡ÃÇ´ 250 หินทรายสนี �้ำตาล และน�้ำตาลแดง เนอื้ ละเอียด ตอนปลาย และอกี 4 หมวดหนิ ยคุ ครีเทเชยี สตอนต้น ประกอบด้วย ถึงปานกลาง การค้ดขนาดไม่ดีแสดง พระวิหาร เสาขวั ภูพาน และโคกกรวด ชั้นเฉียงระดับ หินทรายแป้ง และหินโคลน หมวดหนิ ภูกระดงึ มคี วามหนา และระยะเวลาในการสะสมตะกอน สีน�้ำตาลแดง เนื้อปนไมก้า และเฟลดสปาร์ มากทส่ี ดุ ในสภาพภูมิอากาศแบบกง่ึ แหง้ แลง้ บนทีร่ าบลมุ่ ท่มี แี ม่น้� ำสาย มีช้นเม็ดปูน พบซากฟอสซิลกระดูกและฟัน ใหญ่ไหลผ่าน และมีบึงอยู่ทวั่ ไป ไดโนเสาร์ และหอยสองฝาน�้ำจืด ตอ่ มาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนจากกง่ึ แห้งแล้งเปน็ แบบรอ้ นช้นื และมีปริมาณฝนมากขน้ึ กระแสน�้ำที่แรงขนึ้ ท�ำใหท้ างน�้ำเปลีย่ นไปเปน็ แบบ ¡ÅØ‹ÁËÔ¹â¤ÃÒª À¾Ù Ò¹ 100 หนิ ทรายเนอื้ ปนกรวด หนิ ทราย และหนิ กรวดมน ประสานสาย พัดพาเอาตะกอนทราย และกรวดจ�ำนวนมากมาสะสมตวั สขี าวเทา เนือ้ ปานกลายถึงหยาบ การคดั ขนาด เกดิ เป็นหมวดหนิ พระวิหาร àÊÒ¢ÇÑ 100 ไมด่  ี เ มด็ ตะกอนกงี่ เหลย่ี มกง่ึ มน แ สดงชนั้ เฉยี งระดบั จากนัน้ สภาพอากาศเปล่ยี นแปลงกลับไปเป็นแบบถึงกึง่ แหง้ แลง้ ¾ÃÐÇÔËÒà 70 เม็ดกรวดเป็นหนิ เชิร์ต หนิ ควอรต์ ไซต์ หนิ โคลน อีกครั้ง ท�ำให้มีการสะสมตัวของหินทรายสีแดงของหมวดหินเสาขัว และแรค่ วอตซ์ จากทางน�้ำโค้งตวัดต่อเนื่องขึ้นมาจากหมวดหินพระวิหาร หินทรายอาร์โคสสนี �้ำตาลแดง เนื้อละเอยี ด หลงั จากนนั้ สภาพภมู ิอากาศเปลย่ี นแปลงไปเป็นแบบรอ้ นชนื้ ถึงปานกลาง การคัดขนาดปานกลาง แสดง ถึงก่ึงแห้งแล้ง ทางน�้ำเปลี่ยนไปเป็นแบบประสานสาย ท่ีมีปริมาณน้� ำและ ช้ันเฉยี งระดับขนาดเลก็ แทรกดว้ ยหนิ ทรายแป้ง ความแรงของน�้ำสงู ข้ึน ก่อนที่จะกลบั มาเป็นทางน�้ำแบบโคง้ ตวดั ภายใต้ และหินเคยล์ มีชั้นเม็ดปูน และซีลครีตซ่ึงเป็น ภมู อิ ากาศแบบกง่ึ แหง้ แลง้ อกี ครงั้ ทำ� ใหเ้ กดิ การสะสมตวั ของหมวดหนิ ภพู าน ก้อนกรวด-ทรายทเี่ ชอ่ื มประสานด้วยซลิ ิกา และ และหมวดหินโคกกรวด ตอ่ เน่อื งขึ้นมาตลอดชว่ งปลายของยคุ ครเี ทเชียส หนิ กรวดมน พบฟอสซิลเศษกระดูก และ ตอนตน้ และหลังจากนนั้ สภาพภมู อิ ากาศก็แห้งแลง้ มากยงิ่ ขึ้นจนถงึ ปลาย รอยตีนไดโนเสาร์ และหอยสองฝาน้� ำจืด มหายุคมโี ซโซอิกเมอื่ 66 ลา้ นปกี อ่ น หนิ ทรายเนอื้ ควอตซส์ ขี าวเทา เนอื้ ละเอยี ดถงึ หยาบ การคัดขนาดปานกลาง ความกลมดีแสดง ชน้ั เฉยี งระดบั หนิ ทรายปนกรวด หนิ ทรายแป้ง และหนิ เคลย์แทรกช้นั บาง ๆ ÀÙ¡Ãд§Ö 300 หนิ ทราย หินทรายแปง้ และหนิ เคลย์ สนี ้� ำตาล และน้� ำตาลแดง สลบั ด้วยหินทรายสีเทาเขยี ว ตารางแสดงล�ำดับวทิ ยาหินของกลุ่มหินโคราชในอทุ ยานแห่งชาตภิ ูเก้า เน้อื ปานกลาง การคัดขนาดปานกลาง เนอ้ื ปน คดั ลอก-ดดั แปลงจาก Meesook, 2014 ไมกา้ พบฟอสซลิ สตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั หอยสองฝา และไมก้ ลายเป็นหนิ 6 7

พพิ ธิ ภณั ฑ์ ภูรวก ภเู มย กแหล่งซากดกึ ด�ำบรรพ์ ภเู ก้า บา้ นดงบาก ภหู ามตา่ ง รอยตีนไดโนเสาร์ หอยสองฝาน้� ำจดื โคแรนงสวรภา้างคทตาดั งขธวราณงแีวสิทดยงา บ้านวังมน หมวดหนิ หลัก 4 หมวดหนิ ทร่ี องรบั อุทยานแหง่ ชาติภูเกา้ -ภพู านค�ำ สะสมตัว ข ในสง่ิ แวดลอ้ มของยคุ ครเี ทเชยี สตอนตน้ แบบกงึ่ แหง้ แลง้ ในทางน�้ำ 2 แบบ สลบั กนั คอื • หมวดหินเสาขัว (Ksk) และโคกกรวด (Kkk) สะสมตวั จากทางน้� ำโค้งตวัด พพิ ิธภณั ฑ์ แหลง่ ซากดึกด�ำบรรพ์ ภพู านค�ำ (meandering rivers) ซง่ึ เปน็ ทางน�้ำไหลช้าคดโคง้ ไปมา ไมม่ กี ารกัดเซาะทางลกึ แต่กัดเซาะตล่งิ ดา้ นทีก่ ระแสน�้ำเขา้ ปะทะ มกั พบอย่ใู นพื้นที่ค่อนขา้ งราบ • หมวดหินพระวหิ าร (Kpw) และภพู าน (Kpp) สะสมตัวจากทางน�้ำประสานสาย (braided rivers) ซึง่ เป็นทางน้� ำท่แี ยกออกเปน็ หลายรอ่ ง ไหลประสานกนั ไปมา เนือ่ งจากทอ้ งน�้ำตนื้ เขนิ เน่ืองจากมตี ะกอนกรวด-ทราย มาทบั ถมกนั มาก เมตร แหลง พซาพิ กธิ ดภกึ ัณดฑำบ รรพ บา นดงบาก วัดพระบาทภเู กา ภูพาน เมตร 600 600 500 อำเภอโนนสัง 500 400 400 300 300 9 200 200 100 8 ก100 0 ข0

ธรณีวิทยาโครงสร้าง พ้ืนท่ีบริเวณอุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานค�ำ ถูกรองรับด้วยกลุ่มหินโคราช ซึง่ ประกอบดว้ ย 9 หมวดหินเรยี งลำ� ดบั จากลา่ ง-ขนึ้ บน ดงั น้ีคอื หว้ ยหินลาด น�้ำพอง ธรรมชาตขิ องการสะสมตะกอนมักจะวางตัวในแนวระดบั เหมอื นกับการตกตะกอน ภกู ระดึง พระวิหาร เสาขวั ภูพาน โคกกรวด มหาสารคาม และภทู อก แต่ทปี่ รากฏท่วั ไปมี ท่ีพบเห็นกันทัว่ ไป แตเ่ รามกั จะเห็นชั้นหินโคง้ งอ หรือเอยี งตัว ซ่งึ เกิดจากการทมี่ ีแรงมากระท�ำ เพยี ง 7 หมวดหิน ขาดหมวดหินลา่ งสดุ และบนสุด แรงที่ว่าน้ี คอื แรงจากการเคล่อื นตวั ของเปลือกโลก ท่ีถูกส่งผ่านมาจากพลงั ความรอ้ น มหาศาลทยี่ งั พลุ่งพล่านภายใตผ้ วิ โลก ภูเกา้ อาจจะมองเห็นเป็นแนวเทอื กเขาจากระยะใกล้ และไกล แต่หากมองจากทาง รปู จำ� ลองข้างลา่ งแสดงให้เห็นถงึ ผลจากกระบวนการทางธรณีวทิ ยาหลายแบบ เชน่ การเคลอื่ นที่ของเปลือกโลก (tectonics) และการกัดเซาะ (erosions) ทที่ ำ� ให้ชนั้ หนิ อากาศ หรือจากแผนท่ีแล้ว จะเห็นภูเก้ามีลักษณะเป็นภูเขาลูกโดด แยกเป็นอิสระโดดเด่น เกิดการเปลีย่ นแปลงจนแทบจะจติ นาการถงึ สภาพเดิมไมไ่ ด้ มโี ครงสรา้ งเปน็ ชนั้ หนิ รปู ประทุนหงาย มแี กนอย่ใู นแนวเหนอื -ใต้ ประกอบด้วย 4 หมวดหิน แห่งยุคครีเทเชียสตอนต้น โดยปิดทับบนสุดด้วยหมวดหินโคกกรวดซึ่งถูกกัดเซาะออกจนมี ภาพจำ� ลองการทับถมของตะกอนหมวดหนิ ตา่ ง ๆ ของกลุ่มหนิ โคราช พ้ืนที่เล็กกว่าฐานภูมาก และรองรับชั้นล่างสุดด้วยหมวดหินภูกระดึงแห่งยุคจูแรสซิก กล่มุ หนิ โคราชถูกแรงกระทำ� ตอนถูกยกตัวขน้ึ จากแอ่งสะสมตวั ภพู านค�ำ เป็นแนวเขายาววางตวั ในแนวเหนอื -ใต้ มลี กั ษณะหน้าตดั เป็นรูปอีโต้ เม่ือคราวส้ินสดุ มหายคุ มีโซโซอิก หรอื เควสตา (cuesta) โดยมหี นา้ เขาด้านตะวันตกชนั สว่ นด้านตะวันออกลาดเอยี งลงตาม มุมเทของชน้ั หนิ เปน็ ส่วนปีกด้านตะวันออก ของโครงสร้างชั้นหินรูปประทนุ ขนาดใหญ่ทม่ี ี แกนกลางอยู่บรเิ วณอ�ำเภอโนนสัง แต่ได้ถกู กดั เซาะออกไปจนหมดสน้ิ เหลอื เพียงหมวดหิน ภูกระดึงท่ีมสี ภาพเปน็ ที่ราบรองรับดว้ ยหมวดหินน้� ำพองยคุ ไทรแอสซกิ โครงสรา้ งธรณวี ทิ ยาบรเิ วณนมี้ ลี กั ษณะตรงขา้ มกบั โครงสรา้ งประทนุ หงายของภเู กา้ ภายหลังถกู กระบวนการกัดเซาะทำ� ลายตามธรรมชาติ เสน้ ประ แสดงแนวชน้ั ของหมวดหินต่าง ๆ ท�ำให้เกิดสภาพภูมปิ ระเทศดังท่ปี รากฏอยูใ่ นปจั จบุ ัน ก่อนถกู กดั เซาะออกไปจนเหลือเท่าท่ีเหน็ ในปัจจุบัน ÀàÙ ¡ŒÒ ÀÙ¾Ò¹¤Ó ÀÙ¡Ãд֧ àÊÒ¢ÇÑ â¤¡¡ÃÇÀ´Ù¾Ò¹ ¾ÃÐÇËÔ Òà À¡Ù Ãд§Ö Í.â¹¹Ê§Ñ ¾ÃÐÇËÔ Òà ¹Óé ¾Í§ 10 11

บันทึกธรณี ในอุทยาน ครีเทเชียส ภเู มย อทุ ยานแหง่ ชาตภิ เู กา้ -ภพู านค�ำ รม่ รืน่ อดุ มสมบูรณ์ ด้วยความหลากหลายทาง ชวี ภาพท้งั พชื และสัตวน์ านาพรรณ เป็นที่ประจักษ์ชดั แจ้งในมิติของกาลปจั จุบัน แมน้ เพยี ง ภรู วก บา้ นดงบาก สัมผสั ด้วยสายตาจากระยะไกล หรอื จากรปู ภาพ บ้านวงั มน ณ ต�ำแหน่งเดียวกัน... กลบั ปรากฏมหี ลกั ฐานของมิติบรรพกาลมากมาย แตท่ ว่า ภหู ามตา่ ง ไม่เป็นที่ประจักษ์แก่ผู้คนท่ัวไป ไม่ใช่ด้วยญาณวิเศษใด ๆ แต่เพียงด้วยความรู้พื้นฐานทาง รอยตนี ไดโนเสาร์ ด้านธรณีวิทยาก็พอแล้วส�ำหรับทุกคน ที่จะได้พากันก้าวข้ามมิติแห่งกาลเวลา ย้อนกล้บไป กว่าร้อยล้านปี สู่มหายุคมีโซโซอิก เมื่อครั้งที่ดาวเคราะห์โลกใบนี้ไร้ผู้คน แต่กลับปรากฏ พพิ ธิ ภัณฑ์ หลักฐานความรุ่งเรืองของชีวิตอ่ืน ๆ มากมาย ไล่เรียงหลักฐานทางธรณวี ทิ ยายุคครเี ทเชยี ส ในอทุ ยานแห่งชาติภูเก้า-ภพู านคำ� ที่ ปรากฏใหเ้ หน็ ในหมวดหนิ ตา่ ง ๆ ทงั้ ทเ่ี ปน็ สง่ิ มชี วี ติ และเปน็ แคห่ ลกั ฐานทางธรณวี ทิ ยา • รอยตีนไดโนเสาร์ • ซากดึกด�ำบรรพห์ อยสองฝาน้� ำจืด • ซากดึกดำ� บรรพก์ ระดูก และฟันไดโนเสาร์ • กุมภลักษณ์ • ไมก้ ลายเป็นหนิ เบ้อื งหน้าไกลลิบ ข้ามแหลง่ น�้ำพองไปเป็นแนวเขาทเ่ี ห็นเพียงลาง ๆ ของภูเก้า แตก่ ลบั มีเรือ่ ง ราวผกู พนั ขา้ มน�้ำพองมาถงึ ฝัง่ ภูพานค�ำ ความสัมพนั ธ์ทม่ี ตี ่อเนื่องกนั มาแตค่ รั้งบรรพกาล จากมหายคุ มโี ซโซอิกจนถึงปัจจบุ นั ชวนให้ติดตามศึกษาหลักฐานตา่ ง ๆ ท่เี ฝ้ารอใหผ้ ู้คนทวั่ แผน่ ดนิ ได้ ไปเยือน เพยี งเพ่ือให้ได้รับรวู้ ่า โลกใบนีย้ ังมสี ง่ิ ทน่ี ่าสนใจเรยี นรอู้ ีกมากมาย 12 13

รอยตีนไดโนเสารอ์ ย่างนอ้ ย 11 รอย ใน 6 แนวทางเดิน ในอุทยานแห่งชาตภิ ูเก้า รอยตีนไดโนเสาร์ภูเก้า ถกู คน้ พบในปี พ.ศ. 2543 โดยคณะสำ� รวจไทย-ฝรงั่ เศส บรเิ วณพลาญหนิ ทรายหมวดหนิ เสาขวั ยุคครเี ทเชยี สตอนต้น อายปุ ระมาณ 130 ล้านปี ในลำ� หว้ ยริมถนนลกู รังมงุ่ หนา้ สู่ ซากดกึ ดำ� บรรพไ์ ดโนเสาร์ปรากฏจารึกอยู่บนหน้าหินทรายได้อยา่ งไร? คงเปน็ พิพิธภัณฑ์แหล่งซากดึกด�ำบรรพ์-ภูเก้า การส�ำรวจภายหลังพบรอยตีนเพิ่มอีก 5 รอย บรเิ วณฝงั่ ตรงข้ามของศาลาแสดงนิทรรศการรอยตีนไดโนเสาร์ ปญั หาท่หี ลายคนตอบได้ แตอ่ าจยังเปน็ ท่ีสงสัยส�ำหรบั หลายคน ลักษณะรอยตีน ไดโนเสารภ์ เู กา้ มี 3 นว้ิ เห็นรอยจิกของกรงเล็บลกึ และชดั เจน บนหนา้ ชนั้ หนิ ทราย รอยตนี มขี นาดตงั้ แต่ 19-33 ซม. คาดวา่ เปน็ รอยตนี ไดโนเสารก์ นิ เนอื้ ไดโนเสารห์ น่งึ ตวั สามารถใหซ้ ากดกึ ด�ำบรรพ์ไดโนเสาร์ได้ไม่เกนิ หนึ่งซาก แต่ พวกคาร์โนซอร์ขนาดยอ่ ม ๆ หลายขนาด ทีม่ คี วามสูงถึงสะโพกประมาณ 85-165 ซม ไดโนเสาร์ตัวเดยี วกนั นี้ สามารถทำ� ใหเ้ กดิ รอยตีนไดน้ ับไมถ่ ว้ น แลว้ รอยเหลา่ นัน้ หายไปไหน รอยตนี ไดโนเสารป์ รากฏชดั เจนมากขน้ึ เมอ่ื เปยี กน้� ำ ท�ำไมเราถงึ คน้ พบซากดกึ ด�ำบรรพ์รอยตนี ไดโนเสาร์ไดน้ ้อยกวา่ ซากกระดูก? รอยจกิ ของกรงเล็บน้วิ กลาง ลึกและชัดเจน ค�ำตอบอยทู่ ่ี กระบวนการเก็บรกั ษาวตั ถตุ ้นกำ� เนดิ ก่อนทีจ่ ะกลายเปน็ ฟอสซิล โครงกระดูกเป็นสว่ นที่แขง็ ในขณะทร่ี อยตีนเป็นเพยี งรอ่ งรอยท่ยี ุบลงไปบนผืนทรายช้ืน หรอื โคลนหมาด และมกั จะถูกกลบ ลบ ทำ� ลายไปกอ่ นทจี่ ะเริม่ กระบวนการเกิดซากดึกด�ำบรรพ์ แตห่ ากรอยตนี รอดจากการถกู ทำ� ลาย และแขง็ ตัว คงรปู เมื่อความชนื้ ระเหยออก ไปจากชน้ั ตะกอนแล้ว การถกู ปิดทับอย่างนุ่มนวล ด้วยช้นั ตะกอนใหมจ่ ะเปน็ การ เริม่ ของกระบวนการเกิดฟอสซิลรอยตีน ซงึ่ ยงั คงต้อง อาศัยการปดิ ทบั ตอ่ ไปอกี มากมาย รวมถงึ ต้องมีการแข็งตัวเป็นหิน ของชน้ั ตะกอนทง้ั หมด ซ่งึ กนิ เวลายาวนานตาม ธรณกี าล กอ่ นทีจ่ ะถกู ยกตวั กลบั ขนึ้ มาส่ผู ิวโลก ให้คนยคุ ปจั จุบันได้สงสัย และศึกษา ลำ� ห้วยทป่ี รากฏรอยทางเดินไดโนเสาร์ อยดู่ า้ นหลังศาลาแสดงนิทรรศการ ในฤดแู ลง้ จะไมม่ ีน�้ำ การเกิดซากดกึ ดำ� บรรพร์ อยตนี ไดโนเสาร์ คัดลอก-ดดั แปลงกจาก หว้ ยไหล เป็นชว่ งทีส่ ามารถเดนิ ตดิ ตามรอยตนี ไปตามล�ำหว้ ยได้สะดวก กรมทรพั ยากรธรณ,ี 2553, ทอ่ งโลกธรณี อทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาใหญ่ 14 15

พิพิธภัณฑ์แหล่งซากด�ึำด�ำบรรพ์ ภูเก้า ภายในพพิ ธิ ภณั ฑแ์ หลง่ ซากดกึ ดำ� บรรพ์ บรเิ วณภเู กา้ จดั แสดงขอ้ มลู ความรทู้ างดา้ น ธรณวี ิทยาพน้ื ฐาน เริม่ จากกำ� เนดิ และความเปน็ มาของโลกเรา รวมถงึ ความเปลีย่ นแปลง พพิ ธิ ภณั ฑแ์ หลง่ ซากดกึ ดำ� บรรพ์ บรเิ วณภเู กา้ จงั หวดั หนองบวั ลำ� ภู เปน็ พพิ ธิ ภณั ฑ์ ของโลกอยา่ งตอ่ เนือ่ งตามธรณกี าล ซ่ึงสง่ ผลโดยตรงต่อส่งิ มีชวี ติ ทอ่ี าศัยอยใู่ นแต่ละช่วง ธรณวี ทิ ยาทตี่ งั้ อยใู่ นบรเิ วณทพี่ บซากดกึ ดำ� บรรพ์ ผชู้ มสามารถเกบ็ เกย่ี วขอ้ มลู ความรไู้ ดท้ งั้ จาก ตัง้ แตบ่ รรพกาลเร่อื ยมาจนถงึ ปจั จุบัน สอื่ หลากหลายประเภททจี่ ดั แสดงทงั้ ภายใน และภายนอกอาคาร และจากซากดกึ ดำ� บรรพข์ องจรงิ ท่พี บอยู่ในพน้ื ท่ีโดยรอบพพิ ิธภณั ฑ์ สง่ิ พเิ ศษทจี่ ะพบไดใ้ นพพิ ธิ ภณั ธธ์ รณวี ทิ ยาแหง่ นคี้ อื มติ ซิ อ้ นทบั ของกาลเวลา ณ ภเู กา้ กวา่ รอ้ ยลา้ นปี ตงั้ แตค่ รงั้ มหายคุ มโี ซโซอกิ โดยสมั ผสั ไดจ้ ากหลกั ฐานทางธรณวี ทิ ยา และ เสน้ ทางศกึ ษาธรรมชาติ และสัมผัสหลักฐานยุคครเี ทเชยี ส บรรพชวี นิ วิทยาของจรงิ ในพ้นื ทจี่ รงิ การจัดแสดงภายในพพิ ิธภัณฑ์ ตวั อยา่ งหินที่อดั แนน่ ไปดว้ ยซากดกึ ด�ำบรรพ์ นานาชนิด 16 17

ทีเรก็ ซ์ใหญค่ อยต้อนรับอยู่ดา้ นหนา้ พิพธิ ภณั ฑ์ ไทรเซราทอปส์ กับ ซิตตะโกซอรสั รอคอยผ้มู าเยือนอยดู่ า้ นหลังพพิ ิธภัณฑ์ ทเี ร็กซ์นอ้ ย รอคอยผู้มาเยือน กมุ ลกั ษณ์ สดุ ทางเดนิ ที่สามสิบโบก ณ รมิ ฝงั่ น้� ำลำ� หว้ ยบอง เสน้ ทางเดินศึกษาธรรมชาตแิ หลง่ ฟอสซลิ หอยสองฝาในชนั้ หินกรวดมน กุมลกั ษณ์ หลกั ฐานพลังงานของทางน้� ำ แวะเกบ็ ความรดู้ ้านธรณวี ทิ ยาจาก ซากดกึ ดำ� บรรพ์หอยสองฝาน้� ำจืด ท่ปี รากฏบนทอ้ งน้� ำ ล�ำห้วยบอง ป้ายขอ้ มูล ทจ่ี ดั แสดงเป็นระยะ แลว้ ไปสุดทางเดินทอ่ งธรณี จากดา้ นหลงั ของพพิ ิธภณั ฑ์ ท่ีสามสิบโบก แหลง่ กมุ ภลักษณ์ ลอดซมุ้ อโุ มงคไ์ ผ่ทรี่ ่มรน่ื ดกึ ด�ำบรรพใ์ นหมวดหนิ โคกกรวด 19 18 ทักทายกับไดโนเสาร์หลายสายพันธุ์

จากการสำ� รวจศกึ ษาโดยอัศนี มสี ุข (2014) ทภี่ เู กา้ พบหินทรายเนื้อละเอียด หอยสองฝาน�้ำจืด ท่ีภูเก้า หนิ ทรายแปง้ และหินโคลนสีน�้ำตาลแดง ในหมวดหนิ เสาขวั บริเวณภูเมย ภรู วก ภหู ามตา่ ง และบา้ นดงบาก โดยพบเศษกระดกู ไดโนเสาร์ และรอยตนี ไดโนเสาร์ ในหมวดหนิ นีท้ บี่ า้ นดงบาก “เศษกระดูก ฟัน กับรอยตีนไดโนเสาร์ และหอยสองฝาน�้ำจืด 2 ชนิด คือ รวมทั้งพบหอยสองฝาน้� ำจดื ยคุ ครีเทเชยี สตอนตน้ สองชนดิ สองสกุลคือ ไทรโกนิออยเดส ไทรโกนิออยเดส และ พลิคาโตยูนิโอ (Trigonioides sp. and Plicatounio sp.) โกบายาชิ และ พลคิ าโตยูนิโอ ซูซูกิ (Trigonioides (Trigonioides) kobayashii and มักถูกพบอยู่ในหมวดหินเสาขัว และหมวดหินโคกกรวด ในกลุ่มหินโคราช รวมถึงท่ี Plicatounio (Guanxiconcha) suzukii) หนองบัวล�ำภู โดยเฉพาะท่ีภูเก้า” (อัศนี มีสุข-Meesook, 2014) จากแผนทีธ่ รณีวิทยาจะเห็นชดั เจนวา่ จุดทีพ่ บซากดึกด�ำบรรพ์เกอื บท้งั หมดอยู่ใน หอยสองฝาน�้ำจดื ยคุ ครเี ทเชยี สตอนตน้ ทพี่ บทภ่ี เู กา้ และทอ่ี นื่  ๆ ในเมอื งไทย รวมถงึ หมวดหนิ เสาขวั ยกเวน้ ทบ่ี า้ นวงั มนซงึ่ อยกู่ ลางภเู กา้ พบอยใู่ นหนิ กรวดมนของหมวดหนิ โคกกรวด ในภมู ภิ าครอบ ๆ บา้ นเรา มกั พบอยู่ในชัน้ หนิ ทรายทีส่ ะสมตัวในสภาวะแวดล้อมแบบทางน้� ำ ท่ีสะสมตัวในร่องน�้ำ มีลักษณะเป็นช้ัน และเปน็ เลนส์ ซ่ึงคล้ายกับในหมวดหนิ เสาขวั โค้งตวัดอยใู่ นทรี่ าบลุ่ม ซ่ึงมกั มแี อง่ น้� ำ และรอ่ งน้� ำตามแนวทางน้� ำซ่งึ มสี ภาพสง่ิ แวดล้อม ท่ีเหมาะสมส�ำหรับการอยู่อาศัยหากนิ ของหอยสองฝาน้� ำจดื หลายสายพันธ์ุ ทบ่ี า้ นวงั มนซงึ่ เปน็ ทต่ี งั้ พพิ ธิ ภณั ฑแ์ หลง่ ซากดกึ ดำ� บรรพ์ บรเิ วณภเู กา้ หากเดนิ ตาม หมวดหนิ พระวหิ าร และหมวดหนิ ภพู าน สะสมตวั ในสถาวะแวดลอ้ มของทางน�้ำแบบ เส้นทางศึกษาแหล่งซากดึกด�ำบรรพ์ด้านหลังพิพิธภัณฑ์ฯ เมื่อลอดซุ้มอุโมงค์ไผ่ที่ร่มร่ืน ประสานสาย ทไี่ มเ่ หมาะสมส�ำหรับการเจริญเติมโตของหอยสองฝา จงึ ไมพ่ บซากดกึ ด�ำบรรพ์ ออกไปทักทายกบั ไดโนเสารห์ ลายสายพนั ธ์ุ แล้วจะพบกบั ช้นั หินกรวดมนหมวดหินโคกกรวด ใน 2 หมวดหินดงั กลา่ ว อยู่เกิอบปลายทางเดิน ท่ีปรากฏซากดึกด�ำบรรพ์หอยสองฝาน�้ำจืดตัวโตเกือบเท่าก�ำปั้น มากมาย เช่นเดยี วกบั ตัวอย่างท่นี ำ� มาจดั แสดงบรเิ วณด้านหน้าพพิ ธิ ภัณฑ์ ชั้นหนิ กรวดมนในหมวดหนิ เสาขวั ที่ภรู วก ชั้นหนิ ทรายปนกรวดในหมวดหนิ ภพู าน ปดิ ทบั ช้ันหนิ ทรายในหมวดหนิ เสาขวั ที่ภเู มย ชัน้ หนิ กรวดมนในหมวดหนิ เสาขัว ที่บ้านวงั มน ประกอบด้วยเมด็ กรวด และหอยสองฝาน้� ำจดื ชน้ั หอยสองฝาน้� ำจืดในหมวดหนิ เสาขัว ท่ีภูหามตา่ ง ปิดทบั ชัน้ หอยสองฝาน�้ำจืดทห่ี นาประมาณครง่ึ เมตร มีหอยสองฝาน�้ำจดื เศษกระดกู และฟนั ไดโนเสาร์ 20 ภาพแหลง่ ซากดึกดำ� บรรพ์ในอุทยานแห่งชาตภิ เู ก้า คดั ลอกจาก Meesook, 2014 21

บน ไทรโกนอิ อยเดส โกบายาชิ พลิคาโตยนู โิ อ ซูซูกิ บน หน้า หลงั ฝาขวา (Trigonioides (Trigonioides) kobayashii) (Plicatounio (Guanxiconcha) suzukii) ฝาขวา ล่าง หนา้ • มีลักษณะกลม ป้อม คลา้ ยหอยตลบั • มลี กั ษณะแบนยาว คลา้ ยหอยลายแตอ่ ว้ นกวา่ หลงั ขวา • พบมากกว่า พลคิ าโตยูนิโอ ซซู ูกิ • พบนอ้ ยกวา่ ไทรโกนอิ อยเดส โกบายาชิ ซ้าย เปลอื กของหอยสองฝามรี ูปร่างสณั ฐาน ซากดึกด�ำบรรพห์ อยสองฝาทพี่ บใน ล่าง หลายลกั ษณะ เชน่ เปน็ รปู สเ่ี หลยี่ มดา้ นไมเ่ ทา่ รปู ไข่ หนิ กรวดมน มกั มลี กั ษณะแตกผา่ กลางตวั หอย ทำ� ให้ ขวา ซ้าย ซ้าย รูปสามเหลีย่ ม รปู กลม และรปู รี เปน็ ส่ิงสำ� คัญ เหน็ ลกั ษณะทแ่ี ตกตา่ งกนั ของเปลอื กหอย กบั เนอื้ หอย ส�ำหรับใช้ในการจ�ำแนกสายพันธุ์หอยสองฝา โดยเปลือกหอยส่วนใหญ่ยงั คงสภาพเป็นเนอื้ ปูน ซา้ ย ขวา โดยเฉพาะลักษณะของวงศ ์  (family) และสกลุ    สว่ นเนื้อหอยซึ่งเปน็ สว่ นที่ย่อยสลายง่ายมกั ถูก (genus) แทนที่ดว้ ยผลกึ ของสารแคลเซียมคารบ์ อเนต ท่ีตกผลกึ จากน้� ำปูนทอ่ี ยูใ่ นชั้นตะกอน ผวิ ด้านนอกของเปลอื กหอยบางพวก การกำ� หนดเปลอื กซา้ ย-ขวาของหอยสองฝา เรยี บเปน็ มัน บางพวกมีหนาม สัน และรอ่ ง ซึง่ มี ทำ� ไดโ้ ดยถอื เปลอื กหอยใหด้ า้ นบานพบั ตงั้ ขนึ้ โดยให้ ปลายจะงอยแหลมของเปลือกหอยจะช้อี อกจากตวั ขวา ลกั ษณะเป็นแนวรศั มีหรอื แนวขนานกบั ขอบเปลอื ก ผสู้ งั เกตไปทางดา้ นหนา้ ของหอย และเปลอื กหอยทงั้ นอกจากการดูรปู รา่ งของเปลือกภายนอกแลว้ สองฝาจะอยตู่ ามตำ� แหนง่ ซา้ ย-ขวา ของผสู้ งั เกต ลกั ษณะของฟนั หอยกส็ ามารถใช้ประกอบในการ จำ� แนกชนิดเชน่ กัน ภาพซากดกึ ด�ำบรรพใ์ นอทุ ยานแห่งชาติภเู ก้า คดั ลอกจาก Meesook, 2014 หอยสองฝาน้ำ� จดื ในชน้ั หินกรวดมน หอยสองฝาน้ำ� จดื ไทรโกนอิ อยเดส ชน้ั หอยสองฝาน�ำ้ จดื ในชนั้ หินกรวดมน หอยสองฝานำ้� จดื ในช้นั หนิ กรวดมน หมวดหนิ เสาขวั ทภ่ี รู วก ในช้นั หินกรวดมน หมวดหนิ เสาขวั ท่ีภหู ามต่าง (หนาคร่งึ เมตร) ในหมวดหินเสาขวั ทภี่ เู มย หมวดหนิ โคกกรวด ท่บี ้านวังมน 22 23

จากการส�ำรวจศึกษาโดยอัศนี มีสุข (2014) ท่ีภูเก้า พบหินทรายเนื้อละเอียด กระดูกและฟันไดโนเสาร์ ท่ีภูเก้า หนิ ทรายแปง้ และหินโคลนสนี �้ำตาลแดง ในหมวดหินเสาขัว บรเิ วณภเู มย ภรู วก ภหู ามต่าง และบา้ นดงบาก โดยพบเศษกระดกู ไดโนเสาร์ และรอยตนี ไดโนเสาร์ ในหมวดหนิ นที้ บี่ า้ นดงบาก “เศษกระดูก ฟัน กับรอยตีนไดโนเสาร์ และหอยสองฝาน�้ำจืด 2 ชนิด คือ รวมทั้งพบหอยสองฝาน้� ำจืด ยคุ ครีเทเชยี สตอนตน้ สองชนิด สองสกุล ไทรโกนิออยเดส และ พลิคาโตยูนิโอ (Trigonioides sp. and Plicatounio sp.) ในชั้นหินกรวดมนทพี่ บซากดกึ ดำ� บรรพห์ อยสองฝาน้� ำจดื จำ� นวนมากปะปนอยกู่ ับ มักถูกพบอยู่ในหมวดหินเสาขัว และหมวดหินโคกกรวด ในกลุ่มหินโคราช รวมถึงท่ี เม็ดกรวด ยังพบเศษซากดกึ ดำ� บรรพ์ของกระดกู และฟนั ของไดโนเสารอ์ ยปู่ ระปรายด้วย หนองบัวล�ำภู โดยเฉพาะที่ภูเก้า” (อัศนี มีสุข-Meesook, 2014) เศษกระดกู ทพ่ี บ มลี กั ษณะทว่ั ไปคลา้ ยกบั เศษไมก้ ลายเปน็ หนิ แตม่ ลี กั ษณะแตกตา่ งกนั ฟนั ไดโนเสารห์ ลายซที่ พ่ี บมลี กั ษณะรปู กรวย ปลายแหลม พบสนั เลก็  ๆ อยโู่ ดยรอบ ทร่ี ูพรุนบรเิ วณหนา้ ตดั กระดกู จะมลี ักษณะคลา้ ยกบั รใู นฟองน้� ำ ซ่ึงมีขนาดรูหลายขนาด และ ฟนั ในแนวยาว ซ่ึงเป็นตัวช่วยใหก้ ดั เหย่อื ทม่ี ีเมอื กลื่น เช่น พวกปลาไดม้ น่ั คง คล้ายกบั ฟัน ของจระเข้ กระจายตวั อยา่ งไมเ่ ปน็ ระบบ สภาพของฟนั ไดโนเสารท์ พ่ี บบางซี่มสี ภาพดี บางซีบ่ ่ินแตกเนื่องจากการถูกกระทบ ซงึ่ น่าจะเกิดขน้ึ ในภายหลงั จากการสะสมตัว ไม้เนอื้ แขง็ กลายเป็นหนิ สำ� หรบั ไมก้ ลายเปน็ หนิ บรเิ วณหนา้ ตัดเนือ้ ไม้ นอกจากเศษกระดกู และฟนั ไดโนเสาร์แล้ว ยังมรี ายงานการสำ� รวจพบกระดกู กลายเปน็ หินมักจะพบจุดกลม ไม้เนอ้ื ออ่ น กลายเป็นหิน ไดโนเสารห์ ลายชิ้นในหมวดหินเสาขวั ในอุทยานแหง่ ชาติภูเก้า ซึง่ อย่รู ะหว่างการศึกษาวิจัย เลก็  ๆ ส�ำหรบั ไม้เนือ้ แขง็ และ เพื่อระบุสายพนั ธุท์ ถ่ี กู ตอ้ ง ช่องสเ่ี หลย่ี มตดิ  ๆ กันส�ำหรับ ไม้เน้ืออ่อน ซง่ึ เปน็ หน้าตัด ของทอ่ ส่งน�้ำเล็ก ๆ ท่เี รยี งตัว ฟนั ไดโนเสาร์ กนั เป็นวง ๆ เรยี กว่า วงปี เศษกระดูกไดโนเสาร์ 24 ภาพซากดกึ ด�ำบรรพ์ฟนั ไดโนเสาร์ในอุทยานแหง่ ชาตภิ เู ก้า คดั ลอกจาก Meesook, 2014 25

ปลายสดุ ทางเดนิ ศกึ ษาแหลง่ ซากดกึ ดำ� บรรพ์ หลงั พพิ ธิ ภณั ฑแ์ หลง่ ซากดกึ ดำ� บรรพ์ สามสิบโบก ที่ภูเก้า บรเิ วณภเู กา้ คอื หว้ ยบอง ลำ� หว้ ยทก่ี วา้ งขวางแตไ่ มล่ กึ นกั มนี �้ำไหลเฉพาะในหนา้ น�้ำ กุมภลกั ษณ์ (pothole) หรือหลุมรปู หม้อ ในหนา้ แลง้ ไมม่ นี �้ำไหล แตก่ ลบั ปรากฏหลมุ กลมบา้ ง รบี า้ ง หลายขนาดกระจายตวั อยู่ หลุมในหนิ แขง็ ปากแคบ ก้นป่อง มักมี บนพลาญหนิ ทว่ั ทอ้ งลำ� หว้ ย จนมลี กั ษณะคลา้ ยกบั สามพนั โบกทมี่ ชี อื่ เสยี ง บรเิ วณรมิ แมน่ �้ำโขง ปากหลมุ เป็นรูปวงกลม รปู ทรงภายในเหมอื น จงั หวดั อบุ ลราชธานี หมอ้ ดิน หลายขนาด บางครัง้ พบเกิดอยู่ตดิ กนั จนทะลถุ งึ กัน บางครง้ั ก็เกิดซอ้ นทบั กนั ทำ� ให้ สามสบิ โบก แห่งภูเก้าเกดิ อยบู่ นพลาญหนิ ทรายของหมวดหินโคกกรวด แหง่ ยคุ เกดิ เปน็ ภาพรวมท่ดี แู ปลกตา ครเี ทเชียสตอนตน้ แต่กุมภลักษณไ์ มไ่ ดเ้ กิดข้ึนพรอ้ มกบั การสะสมตัวของกลุ่มหินโคราช ภาพจ�ำลองลำ� ดบั การเกดิ กมุ ภลกั ษณ์ ซึง่ เป็นผลมาจาก การกดั เซาะ ขดั สขี องกอ้ น กมุ ภลกั ษณ์ เกดิ จากการทม่ี ที างน�้ำทไี่ หลแรงผา่ นทอ้ งน�้ำทเี่ ปน็ หนิ แขง็ จงึ เกดิ ขนึ้ ได้ กรวดใหญ-่ น้อย และทราย ทถ่ี ูกขับเคลอ่ื นด้วย เม่อื ช้นั หนิ น้ันถกู ยกตัวขึ้นส่ผู วิ โลกแล้วเทา่ น้นั ส�ำหรบั ท่สี ามสบิ โบกแห่งนี้ ประกอบดว้ ยหลุม กระแสน้� ำทำ� ใหเ้ กดิ การไหลวนอยภู่ ายในหลมุ เลก็  ๆ กมุ ภลกั ษณ์มากมายทยี่ งั คงมีการเพิ่มขนาดขนึ้ ทุกหนา้ น้� ำ เสมือนหนง่ึ ว่ายงั มีชีวิตอยู่ ซงึ่ จะมขี นาดใหญข่ นึ้ ทกุ หนา้ น�้ำ ดงั นัน้ หากจะพิจารณาถงึ อายุของกุมภลกั ษณ์กค็ งกล่าวไดว้ ่า สามสบิ โบกยงั ไมต่ าย มักพบก้อนกรวด หลายขนาด อยู่ทกี่ น้ และเรมิ่ เกิดข้ึนหลงั จากท่หี ้วยบองเรม่ิ ไหลผ่านบรเิ วณน้ี เพียงแตไ่ ม่ทราบเร่ิมเกิดขน้ึ เม่ือใด กมุ ภลกั ษณ์ทย่ี งั มีชีวิตอยู่ ส่วนกุมภลักษณท์ ่ไี ม่มี ทางน้� ำไหลผา่ นแล้วมกั ถูกเตมิ เตม็ ดว้ ยตะกอนดนิ ภาพจ�ำลองการเกิดกมุ ภลักษณ์ ทราย และถูกฝังกลบจนมองไมเ่ ห็นหลักฐานใด ๆ คัดลอก-ดดั แปลงกจาก กรมทรพั ยากรธรณ,ี 2553 26 27

พิพิธภัณฑ์แหล่งซากดึกด�ำบรรพ์ ภูพานค�ำ ภายในพพิ ิธภณั ฑแ์ หง่ น้ี จดั แสดงสอ่ื ข้อมูลความรพู้ ืน้ ฐานเกีย่ วกบั จักรวาล โลก การเปลย่ี นแปลงของโลก และหลกั ฐานทางบรรพชวี นิ จากจดุ แรกเรมิ่ ของกำ� เนดิ ชวี ติ เรอ่ื ยมา ตามธรณกี าล ผ่าน 3 มหายคุ คอื พาลโี อโซอิก มีโซโซอิก และซโี นโซอกิ รวมถงึ กระบวนการ เกดิ ซากดกึ ดำ� บรรพ์ แบบตา่ ง ๆ และซากดกึ ด�ำบรรพ์ รอยตนี ไดโนเสาร์ ซึ่งพบได้บนภูเก้า 28 29

ไม้กลายเป็นหินในอุทยานฯ ไม้กลายเป็นหิน ได้อย่างไร !? ผลงานแสนประณีตบรรจงของธรรมชาติ ทไี่ ดร้ ังสรรค์ป่าไม้นานาพรรณ ให้ยนื ยง หากแปลตามคำ� นยิ ามข้างตน้ แสดงว่าต้องมี “ไม้” เปน็ วัตถุตงั้ ต้น ภายหลังจงึ มี กบั หนา้ ทฟี่ อกอากาศใหด้ าวเคราะหโ์ ลก เมอื่ ถงึ คราวสิน้ สดุ หนา้ ที่ และชวี ติ ตอ้ งถกู ยอ่ ยสลาย สารเคมชี นดิ หนง่ึ เรยี กวา่ “ซลิ กิ า” เขา้ มาทำ� ปฎกิ ริ ยิ ากบั เนอื้ ไม้ โดยทไี่ มย้ งั คงรปู ลกั ษณเ์ ดมิ อยู่ กลบั คนื สูส่ ภาวะพื้นฐานแหง่ วัฏจกั ร แต่กลบั ถกู กระบวนการทไ่ี มส่ ามารถพบเหน็ ได้ทั่วไปทำ� ให้ และสารเคมนี ้ันเข้าไปอยูใ่ นเนือ้ ไมใ้ นรูปของแร่ “โอพอล หรอื คาลซโิ อนี” คงสภาพอยู่อย่างแขง็ แกร่ง ยงิ่ กวา่ ท่ยี งั เคยยืนต้นอยู่กอ่ นหนา้ ไม้กลายเปน็ หินเป็นซากดึกดำ� บรรพ์ชนิดหนึง่ ท่สี รา้ งความอศั จรรยใ์ จให้กับผูค้ น การเกิดซากดึกด�ำบรรพ์ไม้กลายเป็นหิน ต้องเร่ิมจากการมีไม้ที่ยังไม่ถูกท�ำลาย ทว่ั โลก และนำ� ไปสูก่ ารศึกษามากมาย เพ่อื ไขปริศนาเกีย่ วกับที่มาของมนั อาจเกิดอยู่กับที่ในแหล่ง หรือถูกพัดพามาทับถมพร้อมกับกรวดทรายก็ได้ และขั้นตอน ไมก้ ลายเปน็ หนิ (petrified wood) มคี วามหมายตามพจนานกุ รมศพั ทธ์ รณวี ทิ ยา ตอ่ ไป คอื ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2544 วา่ “เนื้อไมท้ กี่ ลายสภาพเปน็ หนิ เนือ่ งจากสารละลาย 1. มีการซมึ ของน้� ำบาดาลที่มสี ารละลายซลิ ิกา เข้าไปในเนือ้ ไม้ ซิลิกาเข้าไปแทนที่เนื้อไม้อย่างช้า ๆ คือแทนท่ีโมเลกุลต่อโมเลกุล จนกระท่ังแทนที่ทั้งหมด 2. สารละลายเริ่มเกาะผนงั เซลล์ ท�ำใหไ้ ดแ้ บบพมิ พ์ของเซลลเ์ นื้อไม้ โดยไม่มีการเปล่ียนแปลงรูปร่างและโครงสร้าง ปรกติซิลิกาในเนื้อไม้นี้อยู่ในรูปของโอพอล 3. ซลิ ิกาตกผลึกแบบแทนทโ่ี ครงสรา้ งเน้อื ไม้ในอัตราทีเ่ ร็วกว่า หรือคาลซโิ ดน”ี การสลายตวั ของเนือ้ ไม้เน่อื งจากการทำ� ลายของแบคทีเรยี และสารเคมี 4. ต่อมาจงึ มกี ารตกผลึกของซิลิกาแบบเตมิ áหÅ‹งµนŒ กÓเนดิ กรวด ทราย áÅЫÅิ ิกา ในช่องว่างของเซลล์ต่าง ๆ เชน่ ท่อสง่ น้� ำ และไฟเบอร์ áม‹น้Ó¾«ัดÅิ ¾กิ าาä¶มกู Œ«ÅงØ ÐÅäา»ยทäัºหน¶ÅÓ้ ม仺¾การดºั อŒาáมÅมãน‹กนÓ้ัºÅกมØ‹ รนวÓ้ ดเ»šนทµราวั ยกÅางส«Ó¤ÅÔ Ô¡Þั ÒãÅนÐกÅาÒร¾ä´าŒ´สÕãา¹รÊÅÀÐÒÅÇาÐย໫š¹Åิ ิก´า‹Ò§ 5. การกลายเป็นหนิ เกิดร่วมกับการสูญเสยี น�้ำจาก โอพอล ซึง่ เป็นซิลิกาทีม่ นี ้� ำเป็นองคป์ ระกอบ และอาจมีการ 30 เปล่ยี นสภาพของแรซ่ ิลกิ าชนิดหนงึ่ ไปเปน็ แร่ซลิ ิกาอีกชนดิ หนึง่ ที่มคี วามเสถยี รมากขึ้น นÓ้ เ»นš µัวการสÓ¤ัÞãนกรкวนการเกดิ äมกŒ Åายเ»นš หนิ µŒ¹äÁ´Œ Ù´¡Ã´«ÅÔ Ô«Ô¡âÁàšŨ à´èÂÕ Çà¾×èÍ ¹Óä»ãªŒàÊÃÁÔ ¤ÇÒÁá¢ç§áç¢Í§à«Åŏ µÐ¡Í¹¡ÃÇ´ ·ÃÒ»´·ÑºäÁ«Œ ا ãËÍŒ ‹µÙ èÓ¡ÇÒ‹ ÃдºÑ ¹éÓºÒ´ÒÅ ÊÒÃÅÐÅÒ«ÅÔ ¡Ô ÒÁÊÕ ÀҾ໹š นÓ้ ¾าสารÅÐÅาย«Åิ ิกาเขŒาส‹เู นื้อäมŒ áÅÐ 31 ¡Ã´«ÔÅ«Ô Ô¡âÁàÅ¡ØÅà´ÂèÕ Ç ¹ÓÊÒÃÍÔ¹·ÃÂÕ ·ÊèÕ ÅÒµÑÇÍÍ¡¨Ò¡à«ÅŏäÁŒ

อุทยานแห่งชาติดึกด�ำบรรพ์ มติ ซิ อ้ นทบั ของอทุ ยานแหง่ ชาตใิ นกาลปจั จบุ นั กบั อทุ ยานแหง่ ชาตบิ รรพกาล ทำ� ให้ ภเู ก้า-ภูพานคำ� เปน็ “อุทยานแหง่ ชาตทิ วิภพ” ท่ีพิเศษอย่างย่งิ นอกจากไมน้ านาพรรณที่คลุมอุทยานแห่งชาติภเู กา้ -ภูพานค�ำ พร้อมกับเผา่ พนั ธุ์ สงิ สาราสตั วน์ อ้ ยใหญ่ รนุ่ แลว้ รนุ่ เลา่ ทเ่ี วยี นมาทดแทนตามวฏั จกั รของธรรมชาตทิ งี่ ดงามแลว้ ด้วยความพิเศษยิ่งนี้เองที่ท�ำให้ อุทยานแห่งชาติแห่งนี้ได้รับการคุ้มครองโดย ลึกลงไปผ่านชนั้ ดินทผ่ี พุ งั มาจากชั้นหนิ เบ้อื งล่างผสมกบั ซากพืชสัตว์รนุ่ ทีผ่ า่ นไป กลับยงั มี พระราชบัญญัติ อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพร้อมกันนี้ กรมทรัพยากรธรณี ซากพืชสัตวเ์ ผ่าพันธร์ุ ูน่ ที่ย้อนสู่มติ ิบรรพกาลฝงั ตวั อยดู่ ้วยสภาพทีย่ ังทนทานต่อการผุพงั โดยอาศยั อำ� นาจตามพระราชบัญญัติคมุ้ ครองซากดึกดำ� บรรพ์ พ.ศ. 2551 ไดป้ ระกาศให้ ดว้ ยกระบวนการทางธรรมชาติท่วั ไป แหล่งรอยตีนไดโนเสารภ์ เู ก้า (บา้ นดงบาก) และแหลง่ ซากหอยภเู ก้า (บา้ นว้งมน) เป็นแหลง่ ซากดกึ ดำ� บรรพห์ อยสองฝาน�้ำจดื และชนิ้ สว่ นแขง็ ของไดโนเสาร์ รวมถงึ ไมก้ ลายเปน็ หนิ ซากดึกดำ� บรรพ์ขน้ี ทะเบยี น ทถ่ี กู พบแทรกอยรู่ ว่ มกบั ชน้ั ตะกอนแหง่ มหายคุ มโี ซโซอกิ ในอทุ ยานแหง่ ชาตแิ หง่ นี้ นอกจากจะเปน็ สง่ิ ยนื ยนั ความมอี ยใู่ นอดตี ของสงิ่ มชี วี ติ บรรพกาลแลว้ ยงั เปน็ หลกั ฐานยนื ยนั สภาวะแวดลอ้ ม อทุ ยานแห่งชาตทิ ้ังสองภพได้รับการคมุ้ ครองทางกฎหมายแลว้ เปน็ อย่างดดี ้วย โบราณในยุคต่าง ๆ ที่ผ่านมา รวมถึงเป็นข้อมูลส�ำคัญส�ำหรับการศึกษาวิวัฒนาการ พระราชบัญญัติทั้งสองฉบบั แตก่ ารคุ้มครองจะบรรลผุ ลดที ่ีสดุ ได้ก็ตอ้ งอาศยั ไทยทุกคน และการกระจายตวั ของสายพนั ธพ์ุ ชื สตั วห์ ลากหลายชนิด 32

รูปถายแสดงแหลง รอยตนี ไดโนเสารภเู กา (มองทางทิศตะวันออกเฉยี งใต) รปู ถายแสดงรอยตีนไดโนเสารภเู กา จังหวัดหนองบวั ลาํ ภู ผตู รวจ ผอู นุมัติ ....................................................................... ....................................................................... (นายนมิ ติ ร ศรคลงั ) (นายสมหมาย เตชวาล) อธิบดกี รมทรพั ยากรธรณี ผอู ํานวยการกองคุมครองซากดึกดําบรรพ 34 35

รูปถายแสดงแหลง หอยภูเกา (มองทางทิศตะวันออกเฉียงใต) รูปถา ยแสดงซากดึกดาํ บรรพห อย รูปถายแสดงซากดึกดาํ บรรพฟนไดโนเสาร ผูตรวจ ผอู นุมตั ิ ....................................................................... ....................................................................... (นายนมิ ติ ร ศรคลงั ) (นายสมหมาย เตชวาล) ผูอ าํ นวยการกองคุมครองซากดึกดาํ บรรพ อธิบดกี รมทรพั ยากรธรณี 36 37

เอกสารอ้างอิง Meesook, A., 2014, Lithostratigraphy and faunal assemblage of the non-marine Cretaceous bivalves Trigonioides and Plicatounio from the Khok Kruat กรมทรัพยากรธรณี, 2550, ธรณวี ิทยาประเทศไทย, พมิ พ์คร้ังท่ี 2 สำ� นกั ธรณีวิทยา, Formation in the Phu Kao Area, Non Sang and Si Bun Rueang กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ดอกเบีย้ Districts, Nong Bua Lam Phu Province, Northeastern Thailand, กรมทรพั ยากรธรณ,ี 2553, ทอ่ งโลกธรณี อทุ ยานแหง่ ชาตเิ ขาใหญ่ ความมหศั จรรยแ์ หง่ มรดกโลก Technical Report No. BFP 4/2013, Division of Fossil Protection, พมิ พค์ รงั้ ที่ 1 กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทรพ์ รนิ้ ตง้ิ แอนดพ์ บั ลชิ ชงิ่ Department of Mineral Resources. กรมทรพั ยากรธรณ,ี 2560, คมู่ อื ผเู้ ลา่ เรอื่ งธรณี อทุ ยานแหง่ ชาตไิ มก้ ลายเปน็ หนิ จงั หวดั ตาก พมิ พค์ รงั้ ที่ 1 กรงุ เทพฯ: เทมมา กรปุ๊ จำ� กดั http://park.dnp.go.th/visitor/nationparkshow.php?PTA_CODE=1050 กรมทรพั ยากรธรณ,ี 2561, คมู่ อื ผเู้ ลา่ เรอ่ื งธรณี บนั ทกึ แหง่ บรรพกาล: รอยยำ�่ และทางเดนิ https://www.google.com/maps/search/ภเู ก้า พมิ พค์ รงั้ ที่ 1 กรงุ เทพฯ: ททู วนิ พรนิ้ ตง้ิ ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2544, พจนานกุ รมศพั ทธ์ รณวี ทิ ยา ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน, พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1 กรงุ เทพฯ: 384 หนา้ , กรงุ เทพฯ: อรุณการพิมพ์ 38 39


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook