หลังคาทรงปนั้ หยา ทีม่ ุขหน้า และมขุ ขา้ ง ทำ�เปน็ จว่ั ป้นั ลมประดบั ไม้ฉลุตามสมัยนยิ มสมยั นนั้ บา้ นหลวงสนุ ทรนุรกั ษ์ (บา้ นวรรณโกวทิ ) E09 บา้ นปูนหลงั ใหญ่ ที่ต้งั ตระหงา่ นดา้ นหลังอนุสรณส์ ถาน ๑๔ ตลุ า Varnakovida House: The first ๑๖ บริเวณสแี่ ยกคอกววั ถนนราชดำ�เนินกลาง น้ี พระยานรราชจำ�นง generation of the Varnakovida fam- (มา วรรณโกวทิ ) ผ้ชู ว่ ยกองบญั ชาการ กรมราชเลขานุการ ในสมยั ily worked in King Rama V’s Office รัชกาลที่ ๕ ผเู้ ปน็ พ่อ ได้สรา้ งขึ้นเพื่อเป็นเรือนหอของลกู ชาย หลวง of Secretary. He built this home สนุ ทรนรุ กั ษ์ (กระจ่าง วรรณโกวทิ ) ซึ่งรับราชการเป็นเลขานกุ ารใหก้ บั for his son’s wedding, possibly in กรมพระสมมตอมรพนั ธ์ the 1900s - 1910s, or around the end of King Rama V’s era or แตเ่ ดมิ อาณาบริเวณบ้านกว้างขวาง อย่ชู ดิ ถนนราชดำ�เนนิ ตวั เรือน early in King Rama VI’s era. This ปลกู อย่ดู า้ นทา้ ยของทดี่ ิน เมือ่ มีการสร้างอาคารรมิ ถนนราชดำ�เนนิ ข้ึน brick and mortar building forms an ในช่วงปี ๒๔๘๔ ทีด่ นิ ส่วนหน้าบ้านจึงโดนเวนคืนไป เหลือพ้นื ท่ีเชน่ ใน L shape, with a veranda at the cor- ปัจจุบนั ner on the ground floor, used as the entrance. There is a hip roof, คาดวา่ สร้างขน้ึ ในสมยั ปลายรัชกาลท่ี ๕ - รชั กาลที่ ๖ ด้วยในสมัย with gables at the front and the นีข้ นุ นางระดับสูงเริ่มทจี่ ะสรา้ งบ้านกอ่ อิฐถือปนู กนั ไดบ้ า้ งแลว้ (ในยุค side, decorated with gingerbread สมยั ก่อนหนา้ นจ้ี ะมีแต่ตำ�หนักของเจา้ นายเท่าน้นั ที่สรา้ งเปน็ อาคาร gable trims, which used to be ปนู ) popular at the time. หากดเู ผนิ ๆ เรือนหลังนีจ้ ะมีผังเป็นรปู ส่ีเหลย่ี มผนื ผา้ แตห่ าก ปัจจบุ ัน คนจะรู้จักบา้ นวรรณโกวทิ พจิ ารณาดๆี จะเห็นวา่ ส่วนอาคารทเ่ี ป็นปูนนนั้ มผี ังเป็นรูปตวั อกั ษรแอล จากต�ำ รับขา้ วแช่ ทีม่ ีขายตลอดท้งั ปี (L) ส่วนที่มมุ ตวั แอลนนั้ ชน้ั ลา่ งทำ�เปน็ ระเบยี งหน้าบ้าน ใชเ้ ปน็ ทางเขา้ เปน็ สตู รของคุณชืน้ วรรณโกวทิ ภรรยา เรือน มีเสารบั โครงสรา้ งไม้ท่ตี ่อเป็นระเบียงที่ชน้ั บน กรดุ ว้ ยหน้าต่าง ของหลวงสนุ ทรนุรักษ์ บานเกรด็ ไม้ท้ังผนังเพ่อื ชว่ ยอากาศถ่ายเท เปดิ ๑๑:๐๐ - ๑๕:๐๐ น. (ปิดวัน จันทร์) ไปไม่ถกู โทรฯ ถามได้ท่ี ๐๘๑- ๙๒๒-๖๖๑๑ E09 Varnakovida House D 64 Soi Damnoen Klang Tai A 11.00am-3.00pm Tue-Sun T 081 922 6611 A ขา้ วแช่ “บ้านวรรณโกวทิ ” 125
บ้านพระวิทยานุวตั กิ าร บ้านหลวงบรรสบวชิ าฉาน E11 (บ้านมะเฟอื ง) E10 เป็นบา้ นเกา่ อีกหลงั ทเ่ี ปน็ ทีร่ ู้จักกันดใี นย่านศาล เปน็ บ้านเก่าอีกหลังทซ่ี อ่ นตวั อยู่ด้านหลังตกึ แถว เจ้าพอ่ เสือ รมิ ถนนมหรรณพ ด้วยยังคงรักษาใหอ้ ยู่ เขา้ ซอยมหรรณพ ๑ มานดิ ก็เจอแลว้ ในสภาพดี แรกเร่ิมเดิมทีเปน็ บา้ นของคณุ พระวิทยานุวัตกิ าร เดมิ เป็นเรอื นของคณุ หลวงบรรสบวิชาฉาน (เจน (วาศ วาศวทิ ) ประจำ�กองหอพระสมดุ หลวง นิยมวภิ าต) ข้าราชการครกู ระทรวงธรรมการ นา่ จะ กรมราชเลขานกุ าร ในสมยั รชั กาลท่ี ๖ สรา้ งในสมัยรัชกาลที่ ๖ ปัจจุบันตกทอดมาถงึ ทายาทรุน่ ท่ี ๔ คือพน่ี อ้ ง ตระกลู ประกอบสนั ตสิ ุข สิวิกา และณฐั ช่างภาพ ปจั จบุ ันทายาทปลอ่ ยเชา่ จึงผ่านการใช้งานมา แฟชัน่ ชือ่ ดัง (คุณพระวิทยานวุ ัตกิ าร เปน็ คุณทวด แลว้ อย่างโชกโชน ท้งั เป็นทที่ �ำ การพรรค ร้านเหล้า ทางฝั่งแม)่ ร้านสกั และร้านอาหารเวยี ดนาม จนกระทง่ั เม่ือปี บ้านนอ้ ยหลงั นสี้ นั นิษฐานว่าสร้างข้ึนในรชั กาลที่ ทแ่ี ลว้ คณุ สวิ ิกา และคุณณฐั ประกอบสนั ติสขุ แห่ง ๖ อยตู่ ดิ ริมถนนมหรรณพ ซง่ึ ตัดขน้ึ ใหมใ่ นปี ๒๔๖๐ บ้านมะเฟอื งเพ่อื นบา้ นกัน ไดข้ อเชา่ เพ่ือเปดิ เปน็ ร้าน มีผังเป็นรูปตวั อักษรแอล (L) เช่นบ้านเกา่ อืน่ ๆ หนังสือเท่ๆ นามว่า World at the Corner เนน้ ท่ี ในย่านน้ี หลงั คาเป็นทรงจ่ัวตัด หนงั สือท่องเที่ยวและงานหตั ถกรรมพ้ืนเมืองจากท่ัว เปน็ เรอื นไม้ใต้ถนุ เตยี้ ๆ มบี นั ไดเพียง ๓-๔ ข้ัน ทกุ มมุ โลก เปดิ เฉพาะวันศกุ ร์ เสาร์ อาทิตย์ เทา่ น้ัน เพ่ือขน้ึ เรอื น คณุ ณัฐเล่าวา่ พืน้ เรอื นช้ันลา่ งปูแผ่น ๑๐:๐๐ - ๑๙:๐๐ น. กระดานเว้นรอ่ ง ลมจะพดั จากใต้ถนุ เรือนเขา้ มาใน บา้ น ตอนเดก็ ชอบมานอนเลน่ บนพน้ื เพอ่ื รับลมที่ ลกั ษณะบา้ นกเ็ ชน่ เดยี วกบั บา้ นไมใ้ นยุคนี้ คือมี พัดเขา้ มาจากใต้ถนุ ลมตงึ เยน็ สบาย ผงั เปน็ รปู ตัวแอล มรี ะเบยี งเลก็ ๆ หนา้ บ้าน มี ๒ ช้ัน ตัวเรอื นยกพ้ืนข้ึนมาเล็กน้อย พอให้มีลมโกรกใตถ้ ุน Vasavid House: Formerly, the house belonged to เรือน the first generation of the Vasavid family, who worked in the Royal Library Division under King Rama VI’s แถมยังมหี น้าต่างโดยรอบ เปน็ บานเกร็ดไมบ้ าน Secretary Office. It was built on a newly constructed กระทุง้ เพอ่ื ชว่ ยเพ่มิ การไหลเวียนของลมภายใน road in 1917. The layout forms an L shape with a เรือน ผูอ้ าศัยจึงรู้สึกเย็นใจสบายกาย jerkinhead roof. It is elevated on stilts, with 3-4 steps leading up to the house. Currently, the house is occu- ประดบั ลกู ไม้ฉลุแลดูบอบบางฟรุ้งฟรง้ิ นัก pied by the family’s fourth generation, one of whom is a famous fashion photographer. Niyamavibhata House: The house belonged to a nobleman who was the first generation of the Niyam- 126 avibhata family, a teacher in the Education Ministry. It might have been built in the 1910s in King Rama VI’s era. It is a 2-story house with an L-shaped layout and a small veranda at the front. The current generation has rented out the house to a political party, a bar, a tattoo parlor, a Vietnamese restaurant, and now a cool bookstore named World at the Corner.
บา้ นขนุ ประเสรฐิ ทะเบยี น E12 ใครทีค่ นุ้ เคยกบั ย่านเสาชิงชา้ คงจะคนุ้ ตากบั บ้านไม้หลังน้ดี ี ด้วย ต้งั อยู่ปากตรอกข้างๆ โบสถพ์ ราหมณ์ ปิดประตเู งียบเชยี บ สภาพทรดุ โทรม มปี า้ ยติดอย่ทู ีซ่ มุ้ ประตูหนา้ บา้ นวา่ “บ้านขนมปังขิง” ย้อนไปเมือ่ ราวตน้ รัชกาลท่ี ๖ รองอำ�มาตย์โท ขนุ ประเสริฐทะเบียน (ขัน) ได้ซือ้ ทด่ี นิ เปลา่ แปลงน้ีมา แล้วบรรจงปลูกเรอื นไมอ้ ยา่ งฝรงั่ ๒ ชนั้ ข้นึ ตามรูปแบบทนี่ ยิ มในสมัยนนั้ คือมผี งั เป็นรปู ตวั แอล (L) ทีม่ มุ ขวาของเรอื นทำ�เปน็ มุขคร่ึงแปดเหลี่ยมย่นื ออกมา ท่ีช้ันสองดา้ นหน้า เรื่องเล่าชาวเกาะ เป็นระเบียงกว้างเพอื่ เปิดรบั ลม “ขนมปังขิง” ใหล้ องสังเกตช่องลมเหนอื ประตหู น้าต่าง พนกั ระเบยี ง เชิงชาย ล้วนประดับด้วยไมฉ้ ลทุ งั้ สิ้น โดยเฉพาะชอ่ งลมน้นั ฉลอุ กั ษรประดิษฐ์ หรือ “ขนมขิง” กันแน่? ภายในวงกลมเปน็ คำ�วา่ “ขนั ” บอกใหร้ วู้ า่ ใครเปน็ เจ้าของบา้ นนนั่ เอง เรือนไม้บังกะโลอยา่ งฝรงั่ ที่ประดบั ดว้ ยไม้ฉลุตามเชิงชาย หรอื ชอ่ งลมนัน้ เช่นครอบครัวไทยอ่ืนๆ ท่บี ้านมกั ตกเป็นของลกู สาว เพราะเมื่อ ฝรงั่ เรียกกันว่าบา้ นแบบ “Ginger- แต่งงาน ลกู เขยจะเป็นฝ่ายแต่งเข้า บ้านขนุ ประเสริฐฯ หลงั น้ีก็เชน่ กนั bread” ด้วยลวดลายไม้ฉลุเหล่าน้ี มี ปจั จบุ นั ตกเป็นของทา่ นผ้หู ญิง เพช็ รา เตชะกมั พุช ทนั ตแพทยป์ ระจำ� ลกั ษณะทค่ี ล้ายกบั ขนม “Gingerbread” พระองคร์ ชั กาลที่ ๙ ซึ่งเปน็ หลานตาของขุนประเสริฐฯ ซง่ึ เมอื่ ไม่นาน ของฝรั่ง ซงึ่ เป็นขนมอบชนิดหนึ่งคล้าย มานี้ ลูกสาวของคณุ หมอเพ็ชรา และลกู สาว (ทายาทรุน่ ที่ ๔ และ ๕) คกุ กี้ มากกวา่ จะเปน็ ขนมปงั ตามชื่อที่ ได้ปรบั ปรุงเรือนหลังนี้ให้เป็นร้านกาแฟเกไ๋ กต๋ ามสมัยนยิ ม ใช้ชอ่ื วา่ เรียกกัน โดยมักจะทำ�กนั ในช่วงเทศกาล “บ้านขนมปงั ขิง” ตามป้ายชอื่ หน้าบ้าน ลูกค้าหนาตา แตง่ ตวั สวยมา ครสิ ตม์ าส จึงมีผเู้ สนอให้เรยี ก “Gingerbread” ถ่ายรปู ลง IG กนั วา่ “ขนมขิง” ด้วยเป็นขนมอบใส่ขงิ และ เคร่ืองเทศอืน่ ๆ ไมใ่ ชข่ นมปัง Gingerbread House: This house which belonged to an officer from a Brahmin family was built in 1913. It has two stories and an L-shaped เพราะถ้าเราเรียก “Gingerbread” layout. The right wing of the house has a protruding semi-octagonal bay วา่ “ขนมปังขงิ ” แล้ว เราก็ควรจะ window, and there is a wide veranda on the second floor to bring in fresh เรยี ก “เคก้ กล้วยหอม” หรือ “Banana air. The perforated wooden vent features calligraphy within small circles, Bread” ว่า “ขนมปังกลว้ ยหอม” ดว้ ย bearing the name of a man who was the owner of this house. Currently, เชน่ กนั the present generation of the family has converted the house into a cafe cum museum known as Gingerbread House. E12 Gingerbread House D E11 World at the Corner 47 Soi Lang Bot Phram A 1 Soi Mahannop 1 11am-8pm Mon-Fri T E10 Vasavid House 10.00am-7.00pm Fri-Sun 9am-8pm Sat-Sun 108 Mahannop Rd. 089 699 7074 097 229 7021 A Not Open to the Public worldatthecorner house2456 127
บ้านหมอหวาน E13 จรงิ ๆ แลว้ เรือนตึกหลงั นีไ้ มใ่ ช่บา้ น แต่เป็นร้านขายยาแผนโบราณท่ี ช่ือวา่ “บ�ำ รุงชาติสาสนายาไทย” สร้างขน้ึ มาตัง้ แตป่ ี ๒๔๖๗ สมยั ปลาย รชั กาลท่ี ๖ แลว้ เพ่อื เป็นหน้ารา้ นและคลีนคิ ของหมอหวาน รอดมว่ ง หมอยาแผนไทยท่เี ปิดร้านมาตง้ั แต่รชั กาลที่ ๕ แลว้ โดยก่อนหนา้ ท่ีจะ ยา้ ยมาเปิดรา้ นในตรอกริมถนนบ�ำ รงุ เมอื งน้ี ได้อยแู่ ถวแยกอณุ ากรรณ มาก่อน สถานปรุงยาแห่งนี้เปน็ ตึกแบบฝรง่ั คาดวา่ ออกแบบโดยสถาปนกิ ตะวนั ตกที่ท�ำ งานในสยาม เปน็ อาคารคอนกรตี เสรมิ เหล็ก ซ่งึ เปน็ เทคโนโลยีนำ�สมยั ในยุคนนั้ สังเกตไดจ้ ากชายคาทย่ี ืน่ ออกมาตรงๆ และ หลงั คาทเี่ ป็นดาดฟ้าไวส้ ำ�หรบั ตากยา ลองสงั เกตทีป่ ระตรู ้วั เหลก็ ประดบั สิงห์คาบดาบ ส่วนประตรู ้านเป็น ประตูไมป้ ระดับกระจกสสี ไตล์ตะวนั ตก แกะสลกั เปน็ รปู หมอ้ ยา และเฉลว ส่วนเรอื นไมด้ า้ นหลงั เป็นบา้ นพกั ของครอบครวั สรา้ งเปน็ เรือน มะนลิ า หลงั คาป้ันหยา ปนจ่ัวตดั ซ่ึงเป็นท่ีนิยมในสมยั รัชกาลท่ี ๖ ปัจจุบันทายาทรนุ่ ที่ ๔ ยงั คงสานตอ่ กิจการ ผลิตภณั ฑย์ งั คง คณุ ภาพเชน่ เดิม แตป่ รับแพคเกจจงิ้ ให้ดรู ่วมสมยั ขึ้น พร้อมเปดิ รา้ น เป็นพพิ ิธภณั ฑ์เลก็ ๆ อีกด้วย Dr. Waan’s House: Built in 1924 as a clinic of Dr. Waan, a traditional Thai medicine doctor whose business had been around since King Rama V’s era, before relocating to this house. The apothecary is a reinforced concrete building with reinforced concrete awnings. The rooftop was used to drying herbs. Currently, the fourth generation of the family still contin- ues the business, and opens this place as a small museum. D E13 Dr. Waan’s House A 9 Off Bamrung Mueang Rd. T 9.00am-5.00pm A 02 221 8070 www.mowaan.com 128 mowaan.bumrungchat.sassana.yathai
หนา้ จัว่ หลังคามุขหน้ามีลายฉลุละเอยี ด งดงามมาก แสดงให้เหน็ อทิ ธิพลของ ศลิ ปะมสุ ลมิ ชอ่ งแสงเหนอื ประตู ฉลุเปน็ ค�ำ ว่า “เจรญิ ” ส่วนท่ีหน้าต่างเป็นไมฉ้ ลุ รปู ดาวเดอื น (มี รปู กระตา่ ยคูเ่ ป็นสัญลักษณ์แทนพระจันทร์) สนั นิษฐานว่าชา่ งฝีมือท่ีสร้างบ้านในสมัยนัน้ เปน็ ช่างจากมลายู จงึ ฉลุลวดลายของศาสนา อิสลามตามที่ตนคนุ้ เคย บ้านหมอฟ้ นื บณุ ยะรัตเวช E14 Dr. Fuen Punyarataveja’s House: บ้านหลงั นจี้ ะเรยี กวา่ เปน็ บา้ นลับกว็ ่าได้ เพราะขนาดเจ้าหนา้ ที่ This house formerly belonged to a ศาลาว่าการกรงุ เทพฯ จ�ำ นวนมากยงั ไมร่ ู้ดว้ ยซำ้�ว่ามเี รือนสวยหลังน้ี retired major under the Ministry อยู่ ดว้ ยซอ่ นตวั อย่างมิดชดิ ในยา่ นของกินอันคึกคกั หน้าศาลาว่าการ of Defence. After he passed away, กทม. แห่งนี้ Dr. Fuen Punyarataveja bought it in แรกเรม่ิ เดิมที บา้ นหลังน้เี ป็นของพนั ตรี หลวงทวยหารรกั ษา (เพมิ่ 1926 in King Rama VII’s era. It is a อุปลาคม) นายทหารเบี้ยบ�ำ นาญ กระทรวงกลาโหม เปน็ เรือนหลงั half-wooden, half-brick-and-mortar ใหญห่ นั หน้าเขา้ สู่ถนนดนิ สอ ขณะนน้ั สมัยรชั กาลท่ี ๖ ยงั ไมไ่ ดม้ ีการ house, forming a symmetrical T สรา้ งห้องแถวไวด้ า้ นหน้าเพื่อเกบ็ ค่าเช่า และยงั ไมม่ ศี าลาว่าการ กทม. shape with a central portico and เม่ือหลวงทวยหารรกั ษาถงึ แกก่ รรมในปี ๒๔๖๙ (ต้นรัชกาลที่ ๗) terraces on both sides. Above หมอฟ้ืน บณุ ยะรตั เวช ไดซ้ ้อื ต่อมา windows, there are perforated ในช่วงสงครามโลกคร้งั ท่ี ๒ หมอฟื้นได้เปดิ บา้ นเป็นคลนิ ิกรักษาโรค wooden panels with star, crescent สว่ นใต้ถนุ เรอื นท�ำ เป็นหลุมหลบภยั บา้ นถนนดนิ สอนนี้ ่ีเองที่ลกู ๆ ได้ moon, and a pair of rabbits, which เกดิ และเตบิ โตกนั ก่อนที่จะยา้ ยไปอยู่บา้ นใหมท่ ่ีราชวตั รในปี ๒๔๙๕ are motifs in islamic culture. It is หลังจากน้ัน ครอบครัวบณุ ยะรตั เวชได้ใหเ้ ช่าเปดิ เป็นหอพกั สตรี assumed that these motifs were เปน็ เวลายาวนานร่วม ๕๐ ปี มกี ารก้ันแบ่งห้องขน้ึ มาอย่างงา่ ยๆ made by Malay artisans. สภาพทรดุ โทรมตามกาลเวลา ต่อมาเม่อื ปี ๒๕๕๓ ผ้เู ช่าตกึ แถวดา้ นหน้า ซ่ึงดำ�เนนิ กจิ การรา้ น ร้านอาหารสวที ต้ี รา้ นอาหารสไตล์ ถา่ ยเอกสารวกิ รได้ดำ�เนินการซ่อมแซมเพ่ือเปิดเปน็ เกสตเ์ ฮ้าส์ต้อนรับ โฮมคกุ ก้งิ เหมือนอยูก่ บั บ้านที่มแี มท่ ำ� นักท่องเทีย่ วตา่ งชาติ พร้อมกับปนั พื้นท่ีของรา้ นถา่ ยเอกสารไปเป็น กบั ขา้ วให้กนิ รา้ นอาหาร ลักษณะบา้ นเป็นบา้ นครึง่ ตึกครึ่งไม้ ๒ ช้นั ผงั สมมาตรรูปตัวที (T) รายการอาหารอาจมจี �ำ กัด แตล่ ะ มีมขุ กลาง และมีเฉลยี งด้านหน้าซา้ ย-ขวา อยา่ งกล็ ้วนเป็นเมนูมาตรฐาน อย่าง ขา้ วหน้าไก่ ข้าวหมูอบ ข้าวผัดอเมรกิ ัน ผัดมักกะโรนี หรือแม้แต่ต้มย�ำ กุ้ง แต่ ขอบอกว่ารสชาตดิ ีงามทุกรายการ แถมมเี คก้ และไอศกรมี โฮมเมดทำ� เองหลากหลายรส ใหเ้ ลือกชมิ เลือกอ่มิ อกี ด้วย E14 Baan Pranakorn Antique Guesthouse D 194 Dinso Rd. A 084 611 2115 T baanpranakorn.blogspot.com A baanpranakorn.hostel 129
บา้ นขนุ ทรงสุขภาพ E15 บ้านเขยี ว เรือนไม้หลังใหญ่ทไ่ี ดร้ บั การดูแลรักษาอยา่ งดี โรงงานผลิตยาอกี ดว้ ย มโี รงโมย่ า มเี รอื นบรรจุยา เยย่ี มแห่งน้ี แตเ่ ดมิ คือเรือนหอของนายแพทย์ ทรง สว่ นหนา้ บา้ นมีโรงพิมพ์ฉลาก บุณยะรัตเวช หรอื ขุนทรงสขุ ภาพ กับภรรยา คือนาง เจือ สร้างขน้ึ ในสมัยรชั กาลที่ ๖ โดยมพี ่อตาเป็นผู้ ตึกแถวหนา้ บา้ น ริมถนนตะนาว กเ็ ปิดเปน็ หนา้ สมทบทุนใหส้ ร้างข้นึ บนทด่ี ินดัง้ เดิมของครอบครวั รา้ น ขายยาแผนโบราณ (ปจั จบุ นั คอื รา้ นอาหารกมิ เลง้ ) จะว่าไปแลว้ ตระกลู บุณยะรัตเวชถือวา่ เป็นผ้ทู รง อิทธิพลในวงการยาแผนโบราณของไทยเลยก็ว่าได้ ภายในบริเวณบา้ นประกอบด้วยเรือนสำ�คญั ๆ ๒ ดว้ ยต้นตระกลู เป็นพ่อค้าสมุนไพรชาวจนี ขายยาจนี หลงั ด้วยกัน คอื “บ้านเขียว” ดา้ นหนา้ และ “ตกึ ยาไทย อย่ทู ่ีคลองโอง่ อ่าง มลี กู ชายคอื หมอบญุ รอด เหลอื ง” ด้านหลัง เปน็ หมอแผนโบราณ สบื ทอดกจิ การร้านตอ่ มาใน สมยั รัชกาลที่ ๕ มีตำ�รบั สร้างชอ่ื คือ “ยาหอมนาย บา้ นเขียว เปน็ เรือนไม้ ๒ ชัน้ ท่หี มอทรงอยู่ บญุ รอด” อาศัย และตอ่ มาเปิดเปน็ คลินกิ ทาสเี ขียวออ่ นตาม ความนยิ มในสมัยน้ัน หมอทรง ถึงจะจบแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั แต่กร็ บั ด�ำ เนนิ กจิ การร้านขายยาของพอ่ (คือหมอบุญรอด) ส่วนด้านหลงั บ้าน ซื้อทด่ี ินมาเพมิ่ แลว้ ปลูกเรอื น ตอ่ เป็นรุ่นท่ีสาม ช่วยขยายอาณาจกั รร้านขายยาบณุ ขนึ้ มาอีกหลงั เปน็ ตกึ เรยี กกันว่า ตกึ เหลือง ตามสี ยะรัตเวช ใหก้ วา้ งไกลออกไป พรอ้ มกับสรา้ งแบรนด์ ของเรือน ไว้เปน็ ทีพ่ ำ�นักของนางเทศ (ภรรยาหมอ “ยาหอมสุคนธโอสถ” ตรามา้ (เนอ่ื งจากหมอ บุญรอด หรือแมข่ องหมอทรง) และพ่ีสาว บญุ รอดเกดิ ปมี ะเมยี ) ให้กลายเป็นชอ่ื ติดหขู องชาว พระนคร ควบค่ไู ปกับเปิดรกั ษาโรคตามแผนสมัยใหม่ ลักษณะทางสถาปตั ยกรรมของบา้ นเขยี วคอื เป็น เรือนไมส้ องช้นั ผงั เป็นรูปตวั แอล (L) ซ่ึงเปน็ รปู เม่อื แรกครอบครวั หมอทรงอาศัยท่เี รือนนี้ หลัง แบบมาตรฐานส�ำ หรับบ้านทส่ี รา้ งในสมัยรัชกาลที่ ๖ สงคราม เมอ่ื ยา้ ยบ้านไปอยทู่ ีร่ าชวัตร จงึ เปิดชนั้ ลา่ ง เป็นคลีนิครักษาโรค ส่วนรอบๆ บรเิ วณบา้ นยงั ใช้เปน็ มรี ะเบยี งรับลมดา้ นหน้า หน้าต่างบานเกรด็ ไม้ รอบบ้านสำ�หรบั ให้ลมพัดผา่ นได้ หลงั คาด้านหน่ึงเป็นจวั่ สว่ นที่มุขหนา้ เปน็ จ่ัวตัด นยิ มท�ำ กันในสมยั รชั กาลที่ ๖ อกี เชน่ กนั D E15 Baan Ya Hom A 156 Soi Damnoen Klang Tai T 9.00am-9.00pm Tue-Sun A 095 764 2768 BAANYAHOMZANTIIS 130
ตึกเหลอื ง บ้านยาหอม ปัจจุบนั คณุ ดลชยั บณุ ยะรัตเวช นกั โฆษณาและ สว่ นตึกเหลอื งนัน้ มผี ังเป็นรปู ตัวที (T) สมมาตร นกั สรา้ งสรรค์แบรนดอ์ ันดบั ตน้ ๆ ของวงการ ซ่งึ เป็น ซา้ ย-ขวา มีมขุ ยนื่ มาตรงกลางดา้ นหนา้ หลังคาเป็น หลานปู่ของขุนทรงสุขภาพ ได้ฟื้นฟกู จิ การเครื่อง จัว่ ตัด หอมขึน้ มาใหม่ ภายใตแ้ บรนด์ “ยาหอมสุคนธะ” และมีเวชภณั ฑ์อน่ื ๆ อีกหลายแบรนด์ เพื่อตอบรบั นอกจากนี้ยงั มีการสรา้ งหอ้ งใต้ดินส�ำ หรับเปน็ การใชช้ ีวิตของคนกรุงผรู้ กั สุขภาพในยุคปจั จุบัน หลุมหลบภัยในช่วงสงครามโลกอกี ดว้ ย คุณดลชัยไดป้ รับปรุงบ้านเกา่ หลังนเี้ พื่อเป็นสปา ในชอ่ื วา่ “บ้านยาหอม” และด้วยความท่เี รียนจบมา การวางผงั ของตกึ เหลอื งน้ี หันหน้าออกสู่ตรอก ทางดา้ นสถาปัตยกรรม จงึ ออกแบบปรับปรงุ บ้าน ด้านขา้ งของบา้ น มซี ุ้มประตูเขา้ ออกแยกโดยเฉพาะ โดยท่ยี ังคงเคารพคณุ ค่าดั้งเดมิ ของตวั เรอื นอยู่ เช่น ไมม่ กี ารซอยห้องเพมิ่ รวมทงั้ สร้างอาคารส่วนต่อ ปจั จุบันตึกเหลอื งเป็นของน้องชายคนเล็กของ เติมข้นึ ใหม่ เพอ่ื ใช้พน้ื ทีเ่ ปน็ ครัว และหอ้ งน�ำ้ เพ่อื ที่ หมอทรง มกี ารลอ้ มร้ัวแยก ลูกหลานให้เช่าเปน็ เกสต์ จะไดไ้ ม่ตอ้ งรบกวนงานโครงสร้างไม้ของเรือนเกา่ ไม่ เฮ้าสช์ ่อื บา้ นยินดี ไมไ่ ดม้ สี ีเหลอื งแลว้ ต้องท�ำ ระบบประปา ระบบทอ่ น�้ำ ทง้ิ ในตัวเรือน สว่ น อาคารสว่ นตอ่ เติมไดม้ กี ารลดทอนรูปแบบใหด้ ูร่วม หมอทรง มนี อ้ งชายอกี คน ชอ่ื หมอฟน้ื บณุ ยะรตั เวช สมยั แต่กด็ กู ลมกลนื เป็นแพทย์แผนปจั จุบนั เช่นกนั หมอฟน้ื มีบ้านสวย อีกท้ังอาคารสว่ นท่ตี อ่ เติมขน้ึ ใหม่น้ี กจ็ ะไมท่ �ำ ให้ ทห่ี นา้ ศาลาว่าการกรุงเทพฯ ตรงเสาชงิ ช้า E14 ตาม ยดึ ติดไปกับโครงสร้างบา้ นเดมิ เพ่อื ไมใ่ ห้เกดิ ปัญหา ไปสอ่ งกนั ได้ ทรดุ ตวั ในภายหลงั ครัวยาหอม Dr. Song Punyarataveja’s House: Formerly a มานวดตัวทบี่ ้านยาหอมแล้ว อย่าลมื แวะชมิ marital home of Dr. Song Punyarataveja, with his อาหารไทยรสเขม้ กันที่นด่ี ว้ ย ด้วยเนน้ เมนตู �ำ รบั บา้ น father-in-law contributing to the budget, this home บุณยะรตั เวช และกบั ข้าวหลากหลายท่อี ดุ มด้วย was built in the 1910s in King Rama VI’s era. It is a เคร่ืองเทศ อย่างพะโล้ หรอื แกงเหลอื งแกงใต้ พรอ้ ม 2-story house forming an L shape, with a veranda at เครอื่ งดมื่ สมนุ ไพรเกรๆ๋ เรยี กว่ากินอยา่ งมคี อนเซป็ ต์ the front and a gable roof on the side with a cut gable ลองสงั เกตดู จะเหน็ วา่ ส่วนทีเ่ ป็นคาเฟน่ ้นั ก็ทำ�แยก roof at the front. After relocating to a new house, ออกมาจากตวั เรือนเชน่ กัน เพ่ือจะไดไ้ มต่ ้องรบกวน Dr. Song opened this house as a clinic for modern โครงสรา้ งไมข้ องเรือนเก่า ถา้ จะต้องเดินทอ่ ประปา medicine, while the area around the house was used สว่ นตวั เลอื กอีกแห่ง ก็ที่ปากทางเขา้ บา้ นยาหอม for producing traditional medicine, which was the น่นั เอง คือรา้ นกมิ เลง้ ริมถนนตะนาว ตกึ แถว ๒ family’s business. Today, it is a spa and restaurant คูหาน้ี เดมิ เคยเป็นรา้ นขายยาบณุ ยะรัตเวชมาก่อน known as Baan Ya Hom, run by the 3rd generation of อาหารที่นขี่ ึน้ ช่อื ลือชามาก เปน็ อาหารไทยผสมจีนรส this family. นวลลิ้น อยา่ งหมก่ี รอบโบราณหอมเตะจมูกด้วยกล่นิ เปลือกส้มซา่ และหมูทอดปลาเค็ม เป็นเมนแู นะน�ำ 131
บ้านเทพทับ E16 แต่เดิมบา้ นเทพทับหลังนไี้ ม่ได้ เข้าออกทางด้านตรอกสาเกอยา่ ง บา้ นตกึ หลงั ใหญ่ ดเู รยี บโก้ ซ่งึ ซอ่ นตวั น่งิ ๆ อยู่ริมตรอกสาเก ถนน เช่นในปจั จบุ นั แตเ่ ข้าออกจากทาง ตะนาว แหง่ นี้ สันนษิ ฐานว่าสรา้ งขึน้ ในราวปลายรัชกาลที่ ๖ - ตน้ ด้านถนนตะนาวเป็นหลัก โดยบา้ น รัชกาลที่ ๗ เดมิ เปน็ คฤหาสนข์ องขนุ ประสิทธหิ ัตถการ ข้าราชการ ปลูกอยูด่ ้านหลงั ตกึ แถวรมิ ถนน กระทรวงธรรมการ (ศึกษาธิการ) ซึ่งมอี าชพี เป็นชา่ งทำ�ทองด้วย ตะนาว เว้นชอ่ งเผอ่ื ไวเ้ ป็นทางรถ เข้าออก ตวั เรอื นปลูกขนึ้ ที่ดา้ น ตอ่ มาน�ำ ออกขายทอดตลาด โดยมรี าชบุรุษ จิตร เวียงเกตุ ท้ายของที่ดิน หนั หน้าออกถนน ข้าราชการกระทรวงธรรมการเชน่ กัน มาซอ้ื ตอ่ โดยคำ�แนะน�ำ ของ ตะนาว หน้าตึกมีวงเวยี นสนาม เจา้ พระยาธรรมศักดิม์ นตรี หรือ ‘ครูเทพ’ เสนาบดีกระทรวงธรรมการ หญา้ สำ�หรับวนรถ ตามเทรนดใ์ น ซ�ำ้ ท่านยังตั้งชอื่ เรือนหลงั น้ใี หด้ ้วยวา่ บา้ น “เทพทับ” เพื่อจะไดม้ ีเทวดา สมัยปลายรชั กาลท่ี ๖ มาชว่ ยปกปกั รกั ษาบ้านไว้ และยังส่อื ถึงชอื่ ของตวั ท่านเองดว้ ย ทีด่ ้านซ้ายของวงเวยี นหน้าบา้ น ตอ่ มาธรุ กิจยาแผนโบราณของนายจิตรเฟ่ืองฟู จงึ ลาออกจาก ติดริมรั้ว สรา้ งเป็นเรือนไมบ้ รวิ าร ราชการ มาผลติ แบรนด์ของตัวเองอย่างจรงิ จัง มียาหอมเวยี งเกตุ อกี หลัง ขนาดยอ่ มลงมาหนอ่ ย ยาหม่องตราหมขี าว ยาระบายปู่โสม เปน็ อาทิ ขายดีเป็นอยา่ งย่งิ สว่ นทข่ี า้ งตกึ ใหญ่ด้านขวาท่ตี ิด ตอ่ มาลูกชายคอื นายจำ�นงค์ เวยี งเกตุ สบื ทอดกจิ การตอ่ กบั ตรอกสาเกนั้น ปลกู เปน็ ห้อง ปจั จุบันธุรกจิ ยาแผนโบราณไดป้ ดิ ตวั ลงตามกาลเวลา แถวไม้ยาวไปตลอดแนวส�ำ หรับ ผูส้ บื ทอดบา้ นคอื ทายาทรุ่นที่ ๓ นายภสั สร เวียงเกตุ หลานปขู่ อง เก็บค่าเชา่ นายจิตร อย่างไรก็ดี ในยคุ หลังมาแล้ว Wiangket Mansion: The house is assumed to be built in the 1920s นั้น เมอื่ มกี ารจดั สรรทรัพย์สนิ ใน around the end of King Rama VI’s era or King Rama VII’s era. It was หมู่ลกู หลาน ไดต้ ดั แบ่งพื้นทีอ่ อก formerly a Ministry of Education officer’s mansion. Later, Chit Wiangket, เป็นสองสว่ นในแนวขวาง กล่าวคอื another Ministry of Education officer, bought it from the original owner. Chit later left the Ministry and pursued on his own traditional Thai พ้ืนทวี่ งเวยี น และเรอื นไม้ที่ medicine business. The building is among the first to be made of reinforced ดา้ นหน้าบ้านน้ัน เป็นของเจา้ ของ concrete with Western-style, half-timber design. It has a jerkinhead roof, หนงึ่ ยงั คงเขา้ ออกจากทางถนน as common in country houses in England. ตะนาวอยู่ D E16 Wiangket Mansion แต่ตกึ เทพทับซ่ึงปลกู อยูท่ า้ ย A 203 Trok Sake Rd. ทด่ี นิ ตอ้ งหันมาเขา้ ออกจากทาง T Not Open to the Public ด้านขา้ งคือตรอกสาเกแทน โดย รอื้ หอ้ งแถวไม้ลงเพือ่ เปิดใช้เป็น ทางเขา้ บา้ นทรงจว่ั ตดั ทเี่ ราเห็นจาก ตรอกสาเกในปจั จุบนั ที่แท้คอื ดา้ น ข้างของเรอื นนั่นเอง A 132
ลกั ษณะทางสถาปัตยกรรม บา้ นพระยาพิทักษ์เทพมณเฑยี ร E17 เปน็ อาคารตึก คาดว่าคงมกี าร บ้านไมห้ ลงั นอ้ ย ทซ่ี ่อนตัวอยู่ในซอกของตรอกเสถียร ถนนตะนาว ใช้คอนกรีตเสริมเหล็กเปน็ วัสดุ หลงั น้ี เปน็ เรือนของมหาเสวกตรี พระยาพทิ ักษ์เทพมณเฑียร (กระจ่าง ท�ำ ผนงั ดว้ ย เน่ืองจากความหนา หงสกลุ ) ซึ่งรบั ราชการเป็นมหาดเลก็ มาต้งั แต่รัชกาลที่ ๕ และถวายรบั ของผนงั ไม่ไดม้ ากแบบผนังกอ่ อฐิ ใช้รชั กาลที่ ๖ มาต้ังแตย่ ังเป็นมกุฏราชกมุ าร จงึ เป็นท่ีโปรดปรานเม่ือ ถือปูนทใ่ี ชผ้ นังเป็นตัวรับน�้ำ หนัก ทรงขน้ึ ครองราชย์แลว้ โดยทำ�งานในกรมคลังวรภาชนแ์ ละคลงั พระเคร่อื งต้น ซ่ึงมีหน้าทีเ่ กยี่ วกบั การครัวและงานจัดเลีย้ งในพระราช ลักษณะเป็นเช่นอาคาร พธิ ตี ่างๆ ตอ่ มาไดย้ ้ายมารับราชการในกรมชาวทจ่ี นเปน็ ปลดั บัญชาการ กระทรวงพาณิชย์ C15 ซึ่งเป็นยคุ กรมชาวท่ี และเปน็ องคมนตรีในท่ีสุด ทีเ่ ทคโนโลยี ค.ส.ล. เริม่ เขา้ มามี เรอื นหลงั น้คี าดว่าคงสร้างข้นึ ในสมยั รัชกาลที่ ๖ สบื ทอดมายัง บทบาทในงานกอ่ สรา้ งของสยาม หลานปู่ คือนายจินตน์ หงสกลุ ปัจจบุ ันภรรยาและบตุ รสาวยังคงพำ�นัก อยู่ที่นี่ ระเบียงช้ันสอง และชายคา ลกั ษณะบา้ นเปน็ เรือนมะนลิ าสองชน้ั ขนาดกะทดั รดั ผังเปน็ รูป ย่ืนยาวออกมาไดด้ ้วยใช้ ค.ส.ล. ตวั แอล (L) ซึ่งเป็นเอกลกั ษณข์ องเรอื นทีส่ ร้างในสมยั รัชกาลท่ี ๖ เชน่ กนั หลังคาเปน็ ทรงปั้นหยา แตต่ รงมุขหลายเหลย่ี มทดี่ ้านหน้าทำ�เปน็ ทรง จวั่ ประดบั ไม้ฉลุที่เชิงชายพองามตามสมัยนยิ ม รูปแบบอาคารประดบั ด้วยเส้น สายแบบอาคารฮาลฟ์ ทิมเบอร์ Hansakul House: The owner is the Hansakul family. The original owner (Half-Timber) แบบฝร่งั หลังคา worked in Royal Office Bureau’s food & beverage department responsible เปน็ ทรงจว่ั ตดั ทพี่ บไดใ้ นบา้ น for banquets and caterings in royal ceremonies. This house is estimated ชนบทขององั กฤษ to be built in King Rama VI’s era. It is a compact two-story manila house with an L-shaped layout and a hip roof. The bay window at the front has a การตกแต่งภายในเรยี กวา่ โก้ gable roof. Currently, the third and fourth generations of the family still หรมู ากส�ำ หรับบ้านขนุ นาง/พอ่ คา้ reside in this house. คหบดี มฝี า้ เพดานไม้ทำ�เปน็ ลายตารางเชน่ เดียวกันฝ้าเพดาน ของอาคารกระทรวงพาณชิ ย์ ตอกย้ำ�ว่าสรา้ งขนึ้ รว่ มสมัยกนั E17 Hansakul House D 80 Trok Sathien Rd. A Not Open to the Public T A 133
บา้ นหลวงสวัสดิว์ รฤทธ์ิ E18 บา้ นขนุ วสิ ทุ ธิสมบตั ิ E19 บ้านตรอกเสถียรหลังน้สี ันนษิ ฐานว่าสรา้ งขนึ้ ใน บา้ นไมส้ ฟี า้ ท่ามกลางป่ากลางกรงุ หลังน้ี ซ่อนตวั ราวรัชกาลท่ี ๗ เพือ่ เป็นเรือนหอของหลวงสวัสด์ิวร อยู่เงยี บๆ ริมตรอกเสถยี ร มองจากภายนอกแทบไม่ ฤทธิ์ (สวัสด์ิ วรทรพั ย์) กบั นางฉววี รรณ วรทรัพย์ เหน็ ตวั บา้ นเลย สนั นิษฐานวา่ น่าจะสร้างขึน้ ในสมยั ตอ่ มาได้ใช้เปน็ เรอื นหออีกเมือ่ ลกู สาวแต่งงานกบั ต้นรชั กาลที่ ๖ โดยหลวงสรรพสรุ พล เรียกบ้านรมิ ศ. นพ. อุกฤษต์ เปลง่ วาณิช อาจารย์หมอที่ศริ ิราช คลองหลอด และไดเ้ ปิดบา้ นเป็นคลินกิ ด้วย คนรนุ่ เกา่ แถวน้ันจะ ตอ่ มามกี ารซอื้ ขายเปลี่ยนมือกนั อกี หลายทอด คุ้นเคยกันดี จนตกมาถงึ หลวงอภบิ าลศขุ ภณั ฑ์ (ทองดี สุนทร ลกั ษณะบ้านเปน็ เรอื นไม้ ๒ ชน้ั อย่างเรอื น ครุฑ) กรมศุขาภิบาล กระทรวงนครบาล เรียกบ้าน มะนิลา ผงั เป็นรปู ตวั แอล (L) หลงั คาป้ันหยา มจี ่วั น้วี า่ บ้านตรอกวดั ศิริ (คือวัดศริ ิอ�ำ มาตย์ หรอื วัด ดา้ นหนา้ ลกั ษณะเรียบงา่ ย ไม่มไี ม้ฉลปุ ระดับประดา บญุ ศริ ิ หรอื ท่ปี จั จุบันเรียกว่าวดั บรู ณศิริ) ตอ่ มาในปี ๒๔๘๒ กอ่ นเกิดสงครามโลกเพียงเล็ก Varadrapya House: This house might have been นอ้ ย รองอ�ำ มาตยเ์ อก ขนุ วสิ ทุ ธสิ มบตั ิ (ตุ๊ กาญจนโหต)ิ built in the 1920s in King Rama VII’s era as a marital ไดซ้ ื้อบา้ นหลังนี้ตอ่ และยา้ ยครอบครวั มาอาศัยทน่ี ี่ home for an admiral in the Varadrapya family. Later, กัน ขนุ วิสทุ ธิสมบัตินน้ั แต่เดมิ ทำ�งานท่ีกรมยาฝน่ิ it was used as his daughter’s marital home when กอ่ นจะย้ายมาท�ำ ท่กี รมพระคลงั มหาสมบัติ she married a Siriraj Hospital doctor. The house was จนกระทั่งเกษยี ณ also used as his clinic. It is a 2-story house with an ปัจจบุ นั บา้ นหลงั น้ีตกเปน็ ของนางวันเพ็ญ อมร- L-shaped layout, and a hip roof with a gable at the สิทธิ์ บตุ รสาวคนเลก็ ของขุนวิสทุ ธสิ มบตั ิ ยังอาศยั front. Since it was built later in that era, it does not อยู่กบั ครอบครวั feature either gingerbread gable trims or perforated ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นเรอื นไมส้ องชัน้ wooden panels. มรี ะเบียงยืน่ ออกมาทีช่ ั้นสองโดยรอบบ้าน ประดบั ด้วยไม้ฉลุ คลา้ ยกับท่ีวงั วรวรรณ ตรงถนนแพรง่ นรา D E18 Varadrapya House E19 Kanchanahoti House D03 และบ้านหลวงสมรภูมิพชิ ติ ตรอกตึกดิน E03 A 48 Trok Sathien Rd. 22 Trok Sathien Rd. ต่างอยู่ในละแวกใกลเ้ คียงกนั ทง้ั หมดลว้ นสร้างและ T Not Open to the Public Not Open to the Public A 134
Korn Limsakul บ้านพระยาอรรถวิรัชวาทเศรณี E20 ตอ่ เตมิ ระเบยี งในชว่ งปลายรชั กาล บา้ นไมป้ ริศนาหลงั น้ี ซ่งึ ตง้ั อยตู่ รงข้ามโรงเรยี นสตรีวทิ ย์ ด้าน ท่ี ๕ ถงึ ตน้ รชั กาลที่ ๖ ทั้งสิ้น หลงั แผนที่หลกั กิโลเมตรทศ่ี นู ย์ ตรงอนสุ าวรยี ์ประชาธปิ ไตยนน้ั ปดิ ประตเู งียบเชยี บมานาน ดว้ ยสภาพท่เี กา่ และทรดุ โทรมตามกาลเวลา ผงั อาคารเป็นรูปตัวแอล (L) สนั นษิ ฐานวา่ สร้างขึ้นในราวปลายรัชกาลท่ี ๕ - รัชกาลท่ี ๖ เพื่อเปน็ ซ่งึ เปน็ รปู แบบท่ีเปน็ ทนี่ ิยมใน เรือนอาศัยของพระยาอรรถวิรชั วาทเศรณี (ปล่ัง จินตกานนท)์ ต่อมา รชั กาลท่ี ๖ ตกเปน็ ของลกู ชายคือ พลโท อมั พร จนิ ตกานนท์ และเปน็ บา้ นท่ซี ง่ึ คณุ หญงิ รจุ ี จินตกานนท์ ไดพ้ ำ�นักอาศยั จนวาระสุดทา้ ยของชีวติ หลังคาเปน็ ทรงปน้ั หยา แต่ ตรงมขุ หนา้ เปน็ ทรงจั่วตัด ซ่งึ เป็น ลักษณะบา้ นเป็นแบบฉบบั เรอื นมะนลิ าในสมยั นนั้ คอื มี ๒ ชน้ั ผงั ลกู เล่นการท�ำ ทรงหลังคาทน่ี ยิ ม เป็นรปู ตวั แอล (L) มีระเบียงทางเขา้ ทีห่ น้าบ้าน หลงั คาทรงป้ันหยา มากในสมัยรชั กาลที่ ๖ อนั มา มขุ หน้ามหี ลังคาเปดิ เป็นจัว่ หน้าจ่วั ฉลลุ าย พร้อมประดบั ไม้ฉลขุ นมขิง จากบ้านบังกะโลของอังกฤษ ท่ีราวระเบยี ง ปัน้ ลม และเชงิ ชาย Kanchanahoti House: This ขณะนีบ้ ริษทั ผู้ผลติ อาหารทะเลกระปอ๋ งชอ่ื ดงั อยา่ ง ซีเล็ค ไดซ้ ้อื ไป house might have been built in ด้วยมใี จรักในของเก่า และกำ�ลังอนรุ กั ษแ์ ละปรับปรุงอยา่ งปราณตี เพื่อ the 1910s early in King Rama ให้เป็นโรงแรมและพพิ ิธภณั ฑ์ VI’s era by a nobleman. Later, it passed through many owners, Chintakananda House: This house might have been built in the 1900s- and in 1939, an officer in the 1910s late in King Rama V’s era or early in King Rama VI’s era as a Royal Treasury Division from the residence for a nobleman from the Chintakananda family who worked as Kanchanahoti family bought it and a prosecutor. It later belonged to his son, an influential politician and gen- moved his family to this house. It is eral in the 1960s. It is a 2-story manila house with an L-shaped layout a 2-story house with an L-shaped and a terraced entrance. It has a hip roof with an open gable at the front, layout, with cantilevered balconies decorated with carvings. The house also has gingerbread-style wooden on three sides, decorated with balusters, gable trims, and trims at the eaves. Currently, it is under gingerbread-style wooden railings. restoration and will be converted to become a hotel. It has a hip roof with a jerkinhead roof at the front portico. E20 Chintakananda House D 149 Dinso Rd. A Not Open to the Public T A 135
Phan Fa Masion: Located by บ้านผ่านฟา้ E21 a canal in the Phanfa Lilat Bridge ตึกหลงั ใหญ่ ริมถนนพระสุเมรุ ในละแวกผา่ นฟา้ หลงั สวยหลังน้ี มี area, this house might have been ประวตั ทิ ี่น่าสนใจ built in 1914 as a permanent สันนษิ ฐานวา่ สร้างขน้ึ ในราวปี ๒๔๕๗ ชว่ งต้นรัชกาลที่ ๖ เพือ่ เป็น home of a Thai widow whose ทีอ่ ย่อู าศยั ของครอบครัวอนุกลู สยามกจิ คราวอพยพกลบั มาอยสู่ ยาม late husband was an influential อย่างถาวร ก็ด้วยกอ่ นหนา้ นี้คุณหญงิ เผื่อน อนุกูลสยามกจิ ได้พ�ำ นกั Singaporean businessman, Tan Kim อยู่ท่ีสงิ คโปร์เปน็ เวลานานมากอ่ น ในฐานะคณุ นายท่ีสองของ “ตนั กมิ Cheng. The brick and mortar home เจ๋ง” นักธุรกจิ ช่อื ดงั แห่งเมอื งอาณานคิ มชอ่ งแคบแห่งน้ี (ตนั กมิ เจ๋ง has a U-shaped layout, decorated มเี ช้อื สายเปอรานากัน หรือชาวจนี ท่เี กิดและเตบิ โตในแถบมาเลเซยี with perforated wooden trims at สิงคโปร)์ ตันกมิ เจง๋ ได้รบั ความไว้วางใจจากราชส�ำ นักสยาม แต่งตั้งให้ the eaves, ventilating grills, and เปน็ กงสลุ สยามประจำ�สงิ คโปร์ มรี าชทนิ นามวา่ “พระยาอนกุ ูลสยามกิจ” signature corbels which have หลงั ตนั กิมเจ๋งเสียชีวติ ลงรว่ ม ๒๐ ปี คณุ หญงิ เผอ่ื น ภรรยาหม่าย become the house’s most prominent จึงไดก้ ลับมาสร้างคฤหาสนห์ ลงั งามทีน่ ่ี บนทดี่ ินริมคลองบางลำ�พู ใกล้ feature. กบั สะพานผ่านฟ้าลลี าศ โดยกลบั มาพร้อมกับบุตรชาย (ตันเซยี วคอง หรือนายคง อนุกูลสยามกิจ) บุตรสาว และหลานเล็กๆ อย่อู าศัยกันท่ี D E21 Siam House บา้ นผ่านฟา้ น้ี A 591 Phra Sumen Rd. โดยปกติแล้ว ขุนนางมักจะไม่กลา้ สรา้ งเรอื นตึกแบบฝรั่งกนั ด้วย เกรงจะไปเทียบชั้นเจ้านายซ่ึงมักสร้างตำ�หนักกอ่ อฐิ ถอื ปนู แตเ่ ม่ือยา่ ง T เข้าสรู่ ัชกาลที่ ๖ แลว้ ธรรมเนียมเหล่านี้ไดค้ ลายลง ครอบครัวคหบดี A เช้ือสายจีนตระกูลนี้ จึงมคี ฤหาสนเ์ ป็นตึกใหญ่โตได้ เปน็ สถาปตั ยกรรม คลาสสกิ ทเ่ี ปน็ ที่นิยมในสมัยนนั้ มีแผนผงั เปน็ รปู ตวั ยู (U) หนั ปลาย สองขา้ งเขา้ หาคลอง ประดับด้วยไม้ฉลทุ ่ีเชิงชาย ช่องลม และโดย เฉพาะทีค่ ้ำ�ยันชายคา ซึง่ เปน็ เอกลักษณ์ของบา้ นหลงั น้ี ปจั จุบันบ้านผ่านฟา้ ตกเปน็ ของคณุ หญิงพรพรรณ ธารานุมาศ ทายาทรนุ่ ท่ี ๔ ของคณุ หญงิ เผอ่ื น โดยให้เอกชนเช่าเปน็ สถานทจ่ี ัดงาน แต่งงาน ในนามว่า สยามเฮ้าส์ 136
บ้านบรุ ะเกษตร E22 ใครจะไปเชื่อว่า แถวสะพานเฉลิมวันชาตจิ ะมบี ้านไม้หลังงามซอ่ น ตัวอย่างมดิ ชดิ อยดู่ ้านหลงั ตกึ แถวบนถนนพระสุเมรุ เรอื นหลังนี้ คาดวา่ สรา้ งขึ้นในสมยั รชั กาลที่ ๖ เจ้าของเดิมเป็นใคร ไม่อาจทราบได้ เดาว่าคงเปน็ ขุนนาง ต่อมาในช่วงสงครามโลกคร้งั ทส่ี อง จงึ ประกาศขายบ้าน ซ่งึ นายสรุ -ิ ยาวธุ บรุ ะเกษตร อดตี ขา้ ราชการในสมยั รชั กาลที่ ๖ ไดม้ าซอ้ื บ้านต่อ และย้ายครอบครวั มาอาศัยกันท่นี ี่ ขณะนั้นนายสุรยิ าวุธทำ�งานอย่ทู ี่ ห้างบาโรเบราน์ หา้ งฝรงั่ ขายรถอยทู่ ีบ่ า้ นหมอ้ เชิงสะพานอุบลรัตน์ เรอื นไมส้ ีเขยี วออ่ นหลงั นห้ี ันหนา้ ออกคลองบางลำ�พู และหันหลงั ให้ ถนนพระสเุ มรุ แตอ่ อกแบบใหเ้ ป็นหน้าเรือนไดท้ ้งั สองดา้ น คือมีมุขยื่น Purakshetra House: It might ออกมาเป็นรปู ตัวแอล (L) ท้ังด้านคลองและด้านถนน ด้านถนนพเิ ศษ have been built in the 1910s in หน่อยเพราะทำ�เป็นมุขครึง่ แปดเหลย่ี ม ผงั รูปตัวแอล (L) นถี้ อื เป็น King Rama VI’s era. Later, during ประเพณีนิยมของบา้ นที่ปลูกสร้างในสมัยรัชกาลท่ี ๖ เลยทเี ดยี ว World War II, a former govern- ด้านรมิ คลองมรี ะเบยี งอย่หู นา้ บา้ น สว่ นด้านถนนก็ทำ�ซุม้ ไม้ฉลทุ ี่ ment officer from the Purakshetra บันไดทางเข้าบ้านด้วย family, who worked for a foreign ปจั จุบันอาจารยช์ ลยั ย์ บรุ ะเกษตร ในวยั ๙๑ ปี บุตรสาว ยังคง company, bought this house from อาศยั ในบา้ นหลงั นี้ the original owner. The house has อาจารยช์ ลัยยเ์ ลา่ วา่ สมคั รเปน็ ครูทโ่ี รงเรยี นสตรวี ิทยก์ ็เพราะอยู่ two front sides. On the canal side, ใกลบ้ า้ น สอนภาษาองั กฤษทีน่ จี่ นเกษียณ เป็นทีร่ ักใคร่ของศษิ ย์ ส.ว. there is an L-shaped portico and a ปจั จุบนั ยังคงแขง็ แรงมากและมชี วี ติ ท่เี ตม็ ไปด้วยความทรงจำ�ท่ดี ีใน veranda. On the road side, there is เรือนหลงั น้ี a semi-octagonal bay window and an entrance arch. E22 Purakshetra House D 459/3 Phra Sumen Rd. A Not Open to the Public T A 137
บา้ นพระยามหาวินจิ ฉยั มนตรี E23 ตรงบรเิ วณแยกสะพานเฉลิมวันชาตนิ ้ี โดดเดน่ ดว้ ยอาคารโก้หรา่ น หลังหนึ่งทีต่ ้งั ตระหงา่ นอยรู่ ิมถนนพระสุเมรุ เป็นตึกอยา่ งฝรั่งประดับ ประดาอย่างกับวัง แตส่ ิ่งท่นี า่ สนใจนัน้ กลบั เป็นเรอื นไมท้ ่ีปลูกอยู่ดา้ น หลงั อนั เป็นเรือนของพระยามหาวินจิ ฉยั มนตรี (เภา ภวมยั ) เนติ บญั ฑิตไทยรุ่นแรก และข้าหลวงพิเศษจดั การศาลหัวเมอื ง กระทรวง Bhavamaya House: The house ยุตธิ รรม คาดวา่ สรา้ งขึน้ ในราวปลายรัชกาลที่ ๕ ถงึ ตน้ รชั กาลที่ ๖ might have been built towards the end of King Rama V’s era or early ต่อมาลูกสาวคนโตแตง่ งานกบั หลวงพชิ ัยบณั ฑติ (บณั ฑิต วิริยะพา in King Rama VI’s era. It belonged นชิ ) จึงใชเ้ ป็นเรอื นหอ หลวงพชิ ัยฯ นกี้ ท็ ำ�งานดา้ นกฎหมายเชน่ เดยี ว to a nobleman who worked for the กับพ่อตา เคยเป็นถงึ ผู้พพิ ากษาศาลฎีกา และเปน็ พ่ชี ายของนางประไพ court under the Ministry of Justice. วริ ยิ ะพนั ธุ์ ภรรยาคณุ เล็ก แห่งอาณาจกั รเบนซ์ธนบุรี เมืองโบราณ และ He was the first generation of the มูลนิธิเลก็ -ประไพ น่นั เอง Bhavamaya family. The house has two buildings - the bigger one has สว่ นเชิด วริ ิยะพานิช ทม่ี ีช่อื เขียนไวท้ ต่ี กึ หลังหนา้ น้นั เป็นลกู ชาย a hip roof, while the smaller one, ของหลวงพชิ ัยฯ แต่กอ่ นตกึ น้ีเคยเปิดเปน็ คลินิกของ นพ. เลศิ วิรยิ ะพานิช in pale blue color, has a gable roof พ่ีชายคุณเชิดดว้ ย and carved pediments. It is deco- rated with gingerbread gable trims, เรอื นไม้ดา้ นในท่ีเรากลา่ วถงึ มี ๒ หลงั เรอื นใหญห่ ลงั คาป้นั หยา กบั trims at the eaves, and perforated เรอื นเลก็ สีฟา้ ออ่ น หลงั คาจัว่ หน้าบนั ฉลลุ าย ประดบั ไมฉ้ ลอุ ยา่ งขนม wooden ventilating grills. ขงิ ท่ีป้ันลม เชงิ ชาย และชอ่ งลมเหนือหน้าต่าง สวยหยด ลองส่องดูได้ D E23 Bhavamaya House เกสตเ์ ฮา้ สศ์ รินทิพย์ และร้านอาหารนัมเบอรว์ ัน E25 A 320 Phra Sumen Rd. บ้านไม้โทรมๆ หลังนี้ ตงั้ อยู่ในตรอกดา้ นหลงั ตึกแถวถนนตะนาว T Not Open to the Public (ฝง่ั เหนือราชด�ำ เนิน ยา่ นชุมชนบวรรังษี หลงั วดั บวร) ท่ีจะมุ่งไปยังบาง A E24 Kraichitti Mansion ลำ�พู หากดเู ผินๆ ก็เปน็ เพียงบา้ นเก่าหลังหนึ่ง ไมไ่ ดพ้ เิ ศษอะไร 199 Khaosan Rd. มลี กั ษณะสถาปตั ยกรรมทเี่ ป็นที่นยิ มในรัชกาลท่ี ๖-๗ คือเปน็ เรือน มะนิลา ๒ ชั้น ผังเป็นรูปตวั แอล (L) หลงั คาปั้นหยา ที่มขุ หน้าเปน็ จ่วั ตัด แตห่ ากลองเพ่งิ พนิ ิจไปท่ไี ม้ฉลทุ ีใ่ ต้จว่ั นั้น จะเหน็ ความพเิ ศษเฉพาะ ทห่ี าไมไ่ ด้ทไี่ หนในเกาะเมอื งเก่าแห่งนี้ นน่ั คือ “พานรัฐธรรมนูญ” เปน็ อย่างพานทเ่ี ราเหน็ ทอ่ี นุสาวรีย์ประชาธปิ ไตย G08 และสโมสรราษฎร์ สราญรมย์ G10 คอื เป็นสมุดไทยวางอยูบ่ นพาน ๒ ชั้น แตท่ น่ี ่ไี มเ่ หมอื น ใคร เพราะแกะเป็นช้าง ๒ เชอื ก หนั หนา้ เข้าหากนั อย่ทู ี่สมุดรฐั ธรรมนญู ดว้ ย Number One Restaurant: This restaurant is located off Tanao Road, which is in Khaosan area, a popular tourist spot. It is a manila-style wooden house built in the 1920s with a cut gable decorated with perforated wooden panels in the shape of constitution atop two offering bowls. E25 No.1 Restaurant 138 119 Off Tanao Rd.
Kraichitti Mansion: Built in บ้านพระยาอาทรธรุ ศิลป์ E24 1909 towards the end of King บ้านตกึ หลงั นี้ถือได้ว่าเป็นเพชรเม็ดงามแห่งถนนข้าวสารเลยกว็ า่ ได้ Rama V’s era as a new mansion สร้างข้นึ ในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ เพอื่ เป็นคฤหาสน์หลังใหม่ของพระยา for a high-rank officer of the อาทรธรุ ศิลป์ (มล. ช่วง กุญชร) ขา้ ราชการกรมศิลปากร สบื เนอื่ งจาก Department of Fine Arts, the house บา้ นหลังเกา่ โดนเวนคืนทด่ี ินไป ญาติทางภรรยาจงึ เปน็ ผู้จดั การสรา้ งให้ was later used as a marital home และเม่ือแล้วเสร็จจงึ ย้ายครอบครวั มาอาศัยกัน for his daughter and her husband, ตอ่ มาในราวปลายรชั กาลท่ี ๖ ลูกสาวคนโต (เชย) แตง่ งานกับ a judge from the Kraichitti family. พระยากฤตราชทรงสวัสด์ิ (สดุ ใจ ไกรจติ ติ) ผู้พพิ ากษาศาลอุทธรณ์ It is a Western-style, 2-story กรงุ เทพ พระยาอาทรฯ จงึ ยกเรอื นหลงั น้ใี ห้เปน็ เรอื นหอ ต่อมาพระยา house, with a central portico used กฤตราชทรงสวสั ดิ์ ได้เลอ่ื นยศขนึ้ เป็นอธิบดีผ้พู ิพากษาศาลอุทธรณ์ as a drop-off area. The manila และอดีตองคมนตรีในสมยั รชั กาลท่ี ๗ เรอื นหลังนี้จึงเรยี กกันว่า “บ้าน style house has a hip roof with ไกรจิตต”ิ ตามสกุลของเขย an open gable decorated with เปน็ บา้ นตึกแบบฝรั่ง ๒ ช้ัน ออกแบบโดยสถาปนกิ อติ าลที ี่รบั ราชการ gingerbread-style gable trims. The ในสยาม เรอื นนี้มีความพเิ ศษตรงท่ใี นสมยั นน้ั เรอื นขุนนางทว่ั ไปยังไม่ interior is exquisitely decorated in นิยมสรา้ งเปน็ ตกึ กนั ด้วยไม่กลา้ เทยี บชั้นกบั เรือนเจ้านาย Thai, Chinese, and Victorian styles, ดา้ นหนา้ บา้ นแตเ่ ดิมมวี งเวยี นสนามหญ้าส�ำ หรบั วนรถ มขุ กลาง with a hint of Egyptian influence ด้านหนา้ ชั้นลา่ งจึงเป็นโถงสำ�หรบั เทียบรถ ชน้ั บนเป็นห้องพักผ่อน seen in the bay window. มหี น้าตา่ งเปดิ ถึงพืน้ อยู่โดยรอบ หลังคาปนั้ หยา เปิดจัว่ ทม่ี ขุ หนา้ อยา่ งที่เรียกวา่ เรือนมะนลิ า ประดบั ดว้ ยไม้ฉลุอยา่ งเรือนขนมขงิ สว่ นการตกแตง่ ภายในบา้ นถือวา่ เป็นไฮไลท์ของเรือนหลงั น้เี ลยที เดียว หอ้ งรับแขกใหญ่ ตกแตง่ แบบไทย, โถงบันไดเปน็ หอ้ งจนี , ตรงมุข แปดเหลย่ี มขา้ งเรือนเปน็ ห้องนัง่ เล่น แต่งแบบอียิปต์ เรียกห้องเมมฟิส (เลา่ กนั วา่ มจี ติ รกรรมฝาผนังท่วี าดโดยศลิ ป์ พรี ะศรี ดว้ ย), ส่วนหอ้ ง รบั ประทานอาหาร แต่งสไตลว์ ิคตอเรียน วา่ กนั ว่าภาพวาดเถาดอกไม้ บนฝ้าเพดานน้นั คณุ หญงิ เชยลงมือสะพัดพ่กู นั เองเชียวนา คณุ หญงิ เชยพำ�นักอยู่ทเี่ รือนหลงั งามนจี้ นส้ิน ต่อมาทายาทให้เชา่ เปน็ รา้ นเรอื ธงของกาแฟสตารบ์ ัคส์ ในช่วงปี ๒๕๔๗-๕๕ ซึง่ กลายเป็น ทอลค์ ออฟเดอะทาวนช์ นิดท่สี าวกกาแฟเงือกเขยี วตอ้ งมาเช็คอินทน่ี ่ีกนั ในชว่ งนนั้ เลยทีเดียว ปัจจบุ นั เรือนนี้เป็นสมบัติของ ศ. สรรเสริญ ไกรจติ ติ (ลูกชายคนโต ของพระยากฤตราชฯ กับคุณหญิงเชย) อดีตสมาชกิ สภานิติบัญญัตแิ ห่ง ชาติและวุฒสิ ภา โดยคณุ กฤต ไกรจติ ติ (ลกู ชาย ศ. สรรเสริญ) อดตี เอกอัคราชทูต เปน็ ผู้ดูแล 139
ตึกึ แถวชั้้น� เดีียวแบบจีนี ตึกึ แถวแนวปีนี ััง คนนอกเดินถนน F01 ตึกแถวถนนดนิ สอ F05 ตึกแถวถนนบำ�รุงเมือง Streets for Commoners F02 ตึกแถวตรอกสะเตะ๊ F06 ตกึ แถวประตูผี F03 ซากตกึ แถวชั้นเดยี ว ตึกแถวก�ำ เนิดข้ึนอยา่ งมากมายรมิ ถนนสาย F04 ตึกแถวซอยสุขา เชิงสะพานสมมตอมรมารค สำ�คญั ๆ ท่ัวพระนคร โดยเฉพาะในช่วงปลาย F07 ตกึ แถวถนนแพรง่ นารา รชั กาลที่ ๕ ตึกึ แถวรุ่่�นพิิมพ์์นิยิ ม F08 ตกึ แถวตรงขา้ มแพรง่ นารา แสดงใหเ้ ห็นถงึ เศรษฐกจิ ท่ีรุ่งเรือง อนั เป็น F09 ตกึ แถวยา่ นแพร่งภูธร ตึกึ แถวแนวฝรั่่ง� ผลพวงมาจากการเปิดตลาดการคา้ เสรกี บั ตา่ ง F10 ตกึ แถวซอยสระสรง ประเทศ F13 ตกึ แถวถนนเจริญกรงุ ลงท่า F14 ตึกแถวเชิงสะพานมอญ ตึกแถวยงั แสดงให้เห็นถงึ การเคลื่อนยา้ ย F11 ตกึ แถวถนนตะนาว F15 ตึกแถวซอยพระยาศรี จากการค้าขายทางนำ�้ มาเปน็ ทางบก อันมา F12 ตึกแถวถนนจักรพงษ์ F16 ตึกแถวสก่ี ๊ักพระยาศรี พร้อมกับการตัดถนน F17 ตกึ แถวบา้ นหม้อ ตึึกแถวกัันสาด ค.ส.ล. ตกึ แถวในยุคแสนศิวิไลซ์น้ี จึงเป็นตกึ อยา่ ง “บุคคลภั ย์” ฝรง่ั รูปแบบลดทอนจากสถาปัตยกรรมคลาสสิก F22 ตึกแถวถนนพระสุเมรุ F18 ตึกแถวบา้ นหม้อ ของทางตะวนั ตก ส่วนใหญ่มักสงู ๒ ชน้ั ชนั้ ลา่ ง หนา้ วัดบวร F19 ตกึ แถวหน้าพระลาน ใชค้ า้ ขาย ส่วนชน้ั บนเก็บสนิ คา้ และพกั อาศัย F20 ตึกแถวทา่ ชา้ ง F23 ตึกแถวถนนพระสเุ มรุ F21 ตึกแถวท่าเตียน Many shophouses popped up along ย่านผา่ นฟ้า major roads throughout Bangkok, especially ตึึกแถวหลัังคาดาดฟ้า้ towards the end of the 19th century (in King F24 ตกึ แถวถนนตะนาว Rama V’s era). This meant the economy was แยกคอกววั F26 ตึกกมลสโุ กศล prosperous due to free trade with foreign F27 ตึกวรพรต countries. These shophouses also indicated a F25 ตกึ แถวโค้ง F28 ตกึ คคั ณางค์ shift from floating markets to roadside ถนนพระอาทติ ย์ F29 ตึกฟาซาล markets, as a result of road construction. Buildings in this era adopted a Western look, (หา้ ง อี. แอม. กาติบ๊ ) with simplified classic designs. They were F30 ตกึ แถวโค้งเสาชิงช้า mostly 2-story buildings, and the ground F31 ตึกแถวถนนจักรเพชร floor was used for business while the upper floor was used for either storage or residence. ปากทางเข้าสะพานหนั 141
ตกึ แถวชัน้ เดยี วแบบจีน ตกึ แถวดง้ั เดิมของเราน้นั เป็นห้องแถวไม้ ต่อมาพฒั นาเป็นตกึ ปนู แบบจีน มชี ัน้ เดยี ว หลังคาจ่วั มุงกระเบอื้ งดินเผา สร้างกนั ต้ังแตร่ ชั กาลที่ ๔ แตไ่ ม่หลงเหลือให้เหน็ อกี แล้ว ตกึ แถวชน้ั เดียวที่พอให้เห็นในปจั จุบนั น้นั สรา้ งขึน้ ราวรัชกาลท่ี ๖ คงมรี ูปแบบไมต่ า่ งกับแบบจีน ด้งั เดมิ มากนกั Chinese-style One-story Shophouses: Shophouses were typically made of wood, but later changed to bricks and mortar like buildings in China. Such buildings have actually existed since the mid 19th century in King Rama IV’s era, but are no longer around today. The ones that we still see now are from the 1910s in King Rama VI’s era. Howard Sochurek, Life Magazine, 1954 ตึกแถวชัน้ เดยี ว ตึกแถวชนั้ เดยี ว ถนนดินสอ F01 ตรอกสะเต๊ะ F02 หอ้ งแถวถนนดนิ สอในปี ๒๔๙๗ แถบหนา้ โรงเรียนสตรวี ทิ ยาจนถงึ อย่าลมื มองหาประกาศเร่อื ง สะพานเฉลมิ วนั ชาติ แหล่งร้านขายธง ใบเสรจ็ คา่ เช่า ประทบั อยู่ที่ มขี นมหวานแม่อุดม ถั่วทอดลงุ แจว๋ เสาต้นหน่ึง แขกขายถั่วที่ยังเหลืออยู่ และโบก๊ เกี้ย เย็นๆ ยามบา่ ย เช่อื มระหวา่ งถนนรามบตุ รี กับถนนตานี ย่านบางล�ำ พู ดหู ้องหมายเลข ๒๘ ยังคงสภาพ ด้งั เดิมอยู่ เดิมเปน็ แหลง่ ท่ีอยู่ของชาว ยะหวา หรอื ชวา จากอินโดนเี ซยี One-story Shophouses along Dinso มาทำ�งานในสมัยรชั กาลที่ ๕-๖ Road: Unit number 28 still looks the สามเี ปน็ คนสวน ภรรยาท�ำ สะเต๊ะ same as it did when it was first built. ขาย ตึกแถวชัน้ เดียวในตรอกที่เช่อื มระหวา่ ง รแู้ ลว้ ใชม่ ัย้ ว่าทำ�ไมร้าน “อา ซอยสุขา ๑ กับสขุ า ๒ อซี ะห”์ ขายขา้ วหมก เน้ือสะเต๊ะ หลงั กระทรวงมหาดไทย F04 ต�ำ รับอนิ โด จงึ ตั้งอยู่แถวน้ี F03 ตึกแถว Unseen One-story Shophouses along Satay Alley: Located in Bang D Chinese-style ถดั ไปอกี ซอย เหน็ ซากผนงั กนั Lamphu area, it used to be a A One-story Shophouses ไฟ ของตึกแถวช้นั เดียวมัย้ มสี อง community of Javanese people T F01 ซาก หวั -ท้าย บอกใหร้ ู้วา่ ตึกแถว from Indonesia who had migrated A F02 Dinso Rd. ชุดน้ีมหี ลงั คาจัว่ มีชนั้ ลอย และ to Thailand to work as gardeners F03 Satay Alley ก่อสร้างโดยชา่ งจนี ดว้ ยเทคนิค in King Rama V’s and King Rama off Rambuttri Rd. การก่ออิฐเปน็ ซ้มุ โค้ง เพือ่ รบั น้�ำ VI’s eras. They used to sell satay Sukha Lanes หนกั เชน่ นี้เปน็ เทคนคิ จนี (skewered beef) in this area. On a wall in front of one of the 142 F04 shophouses, there is a notice about rent receipts stamped on it.
ตึกแถวแนวปีนัง มมี าตงั้ แต่รชั กาลท่ี ๔ แลว้ ดว้ ยทรงส่งสมหุ กลาโหมไปดงู านที่สงิ คโปรใ์ นปี ๒๔๐๔ เพอื่ สรา้ งตึกแถว เกบ็ ค่าเช่าหน้าวัด เป็นตกึ ปนู ๒ ชน้ั หนา้ แคบ แต่ลกึ ชน้ั บนมีหน้าต่างแคบ ยังไม่มีการก่อสรา้ งผนังกนั ไฟ และมงุ หลงั คา ด้วยกระเบื้องดินเผา Shophouses in Straits Settlements Style: These shophouses have existed since the mid 19th century in King Rama IV’s era. The King sent a team to observe the architecture in Singapore so that they could come build the same buildings here for rent. F06 ตกึ แถวทเี่ ชิงสะพานสมมตอมรมารคหลังน้ี คาดว่า สรา้ งขึน้ ในช่วงกลางรชั กาลที่ ๕ โดยชา่ งพน้ื เมืองหรือ ชา่ งจนี อันเป็นยุคท่ียงั สรา้ งเลียนแบบตึกแถวฝรั่งจาก สิงคโปร์-ปีนังอยู่ ตึกแถว Unseen แตล่ ะคูหาเจาะชอ่ งหน้าต่างแคบๆ เพียงชอ่ งเดยี ว แบบหอ้ งแถวจีน ติดกันสาดมงุ สังกะสีประดับไม้ฉลุ สว่ นที่เสาและเหนอื หน้าต่าง ฉาบปนู เซาะร่องเลยี นแบบหนิ ก่ออยา่ งตกึ ฝรง่ั แตย่ ังประดักประเดิด ไมถ่ กู ตอ้ งตามระเบยี บแบบแผนของงานคลาสสกิ นกั ทน่ี ่าสนใจคือ หลังคายงั คงมุงด้วยกระเบอื้ งดนิ เผาอยู่ ซ่งึ เหลอื อยูน่ ้อยหลงั ตึกแถวถนนบำ� รงุ เมือง มากในเกาะเมืองเกา่ แหง่ นี้ ตอนสำ� ราญราษฎร์ F05 ตกึ แถวถนนแพรง่ นารา F07 สร้างในช่วงกลางรัชกาลท่ี ๕ มีลักษณะพเิ ศษคือพื้นทีส่ ่วนหนา้ ตัดขึน้ ในราวปี ๒๔๔๐ รชั กาลที่ ๕ ของแต่ละคหู า จะกันไวเ้ ป็นทาง เป็นโครงการพฒั นาอสงั หารมิ ทรัพยส์ ่วน เดินหน้าร้าน (ใต้พน้ื ช้ันบน) ต่อ พระองค์ของกรมพระนราธปิ ประพนั ธ์พงศ์ เน่อื งไปทุกคหู า กลายเปน็ ทาง เพ่ือใหเ้ ช่าเป็นรายได้ เดินหลงั คาคลมุ แบบทฝี่ รงั่ เรียก เป็นห้องแถวในยุคแรกทยี่ งั สรา้ งตอ่ เปน็ พืดติดกันโดยไมเ่ วน้ ชอ่ ง ว่า อาเขต หรอื “หง่อคาก่”ี ใน ว่างระหว่างตกึ และไม่ท�ำ ผนังกันไฟ ภาษาจีน อันเป็นทน่ี ิยมสรา้ งกันใน ในถนนสน้ั ๆ เพยี งเส้นเดยี วนี้ อัดจำ�นวนเขา้ ไปมากกวา่ ๑๒๐ สงิ คโปร์ ปีนัง และภเู กต็ ปัจจบุ ัน ห้อง หนึง่ ในนั้นคือขนมหวานลงุ แดง (เลขท่ี ๑๑๒) แวะมาเพิ่ม แตล่ ะคหู าล�้ำ พนื้ ทอ่ี อกมาจนไม่ นำ้�ตาลในเลอื ดกนั ได้ เหลือส�ำ หรับเป็นทางเดนิ แลว้ Shophouses along Phraeng Nara Road: Built in 1897 in King Rama V’s Shophouses along Bamrung era, there are 120 units forming a single row with no space in between. Mueang Road: Built in King Rama V’s era, the uniqueness of these F08 ตกึ แถวบนถนนตะนาว ตรงขา้ มแพรง่ นารา ชดุ นี้ buildings was the roofed continuous ตึกแถว Unseen มี ๙ คูหาเทา่ นน้ั รปู แบบเป็นเชน่ เดยี วกับตึกแถว walkway in front of shophouses ในแพร่งนาราทกุ ประการ คาดวา่ สร้างขึ้นในคราว (five-foot way or Ngo-ka-ki), which เดียวกัน ท่ีส�ำ คญั ยังคงมุงด้วยกระเบือ้ งดนิ เผาเชน่ was popular in Singapore, Penang, เมอ่ื คร้งั แรกสรา้ งในราวปี ๒๔๔๐ and Phuket. Today, the units have D extended to cover the walkway. A T Shophouses in Straits Settlements Style A F05 Bamrung Mueang Rd. F07 Phraeng Nara Rd. F06 Bamrung Mueang Rd. F08 Tanao Rd. 143
ตึกแถวรุ่นพิมพ์นยิ ม เป็นตกึ แถวแบบมาตรฐานท่กี รมพระคลงั ขา้ งท่ี (ส�ำ นกั งานทรพั ยส์ นิ พระมหากษตั รยิ ใ์ นปจั จบุ นั ) สรา้ ง ขึ้นในราวปลายรชั กาลท่ี ๕ ตามย่านการคา้ ส�ำ คญั ท่ัวพระนคร โดยทำ�เปน็ ชดุ ใหญ่ มีจำ�นวนหลายหอ้ ง สรา้ งต่อเป็นชว่ งๆ และเว้นชอ่ งวา่ งเป็นทางเดินระหว่างตกึ โดยมักมีผนังก่ออฐิ กันไฟทุก ๒-๓ ห้อง (เหน็ ได้ชัดทีส่ นั หลังคา) ระหวา่ งห้องเป็นผนังไม้ เหนือหนา้ ตา่ งท�ำ ช่องแสงไมฉ้ ลุ ซ่ึงได้รับอทิ ธิพลจากมลายู มีกันสาดเปน็ ไม้มุงสงั กะสี ตดิ ลูกไม้ฉลุทช่ี ายกนั สาด และ มีรรู ะบายอากาศกลมๆ เหนอื หน้าตา่ ง Popular Style of Shophouses: The standard style of shophouses came about in the 1900s late in King Rama V’s era in major commercial districts in Bangkok. They were usually a large compound with many units built in separated blocks, decorated with Malay-style perforated wooden panels and trims. ตกึ แถวยา่ น ตกึ แถวซอยสระสรง ตึกแถวถนนตะนาว F11 แพร่งภูธร F09 ลงท่า F10 ฝงั่ เหนอื ถนนราชด�ำ เนนิ มีจำ�นวนมากถึงราว ๑๒๐ หอ้ ง (ด้านทา้ ยวัดสทุ ัศน์) เลอื้ ยต่อ เป็นชุดใหญอ่ กี ชุดร่วม ๑๐๐ แหลง่ ของกินข้นึ ช่ือ ไปถนนตีทอง และอณุ ากรรณ ห้อง คับคงั่ ขนาบสองขา้ งทาง ถอื เปน็ ชุดใหญ่ไฟกระพริบเพราะ ช่วงเชา้ แวะซื้อขนมปังไส้ อยา่ ลมื แวะกนิ ตม้ ยำ�สมองหมู มมี ากร่วม ๑๕๐ หอ้ งเลยเทยี ว ทะลักของดยี า่ นบางลำ�พูได้ มี ข้าวสตูวห์ มูอดุ มโภชนา บะหมี่ รา้ นขายยาเก่าโฉมใหม่อยา่ ง ลกู ชน้ิ เนื้อววั นัฐพรไอศรีมกะทิ ลองเข้าไปท่ซี อยสระสรง ชว่ ง วริ ิยมัยโอสถ ตกเยน็ มีครวั สม้ หอม แดงโภชนา กลางซอยฝั่งเหนือ (ดา้ นทต่ี ดิ กบั ขนมปังป้ิงนมป่ัน สวรรค์ของนัก กุฏิวดั ) หนา้ ตาหอ้ งแถวจะตา่ ง Shophouses on Tanao Road: ชมิ จรงิ ๆ กบั เพอ่ื นๆ ดว้ ยสรา้ งขึ้นมาภาย Located on the northern side หลัง เนื่องจากแตเ่ ดมิ เวน้ ไว้เปน็ of Ratchadamnoen Road, it has Shophouses in Phraeng บ่อน้ำ�ให้พระมาสรงมาซกั ลา้ งกัน about 100 units on both sides. It Phuthon: There are about 120 จึงเปน็ ทม่ี าของชื่อซอยนั่นเอง is home to the old traditional Thai units circling a big square at the apothecary. center. This area, located next to Shophouses on Sa Song / Long Phraeng Nara, was a food hub. Tha Roads: Located behind Wat ตกึ แถวถนนจกั รพงษ์ Suthat, there are about 150 units. ย่านบางลำ� พู F12 Popular Style of Shophouses The ones along the northern part D F09 Phraeng Phuthon Rd. of Sa Song Road look different สรา้ งลอ้ มกนั เป็นรปู ส่เี หลีย่ ม A F10 Sa Song, Long Tha Lanes because they were newly built. ระหว่างรอรถเมล์ อุดหนุนของกนิ T F11 Tanao Rd. Formerly, it was a well where สรรพส่ิงที่รา้ นน้ำ�พริกนิตยาได้ A F12 Chakrabongse Rd. monks would come take a shower. 144 Shophouses on Chakrabongse Road: Located in Bang Lamphu, forming a rectangle.
ตกึ แถวแนวฝรง่ั ในช่วงปลายรชั กาลที่ ๕ ถงึ รัชกาลท่ี ๖ ตึกแถวทไ่ี ด้รบั อทิ ธิพลจากตะวนั ตกเปน็ ทีน่ ิยมอยา่ งมาก โดย มกั สร้างขึน้ เป็นชุดใหญ่ ในย่านการค้าสำ�คญั ๆ ของพระนคร มจี ำ�นวนหลายห้อง กอ่ เปน็ ช่วงๆ และเวน้ ช่องว่างระหวา่ งตึกเป็นทางเดิน แถมยังมีการตกแต่งท่ีสวยงาม มีลวดลายปูนปัน้ ประดับ บา้ งก่อเป็นแผงหน้าจว่ั ข้นึ ไปที่มุขหนา้ ของ อาคาร มุขหน้ามักอยตู่ รงกลาง หรือทค่ี ูหาสุดท้ายหรอื เปน็ มุขที่หัวมุมถนน มีเสาลอยขึ้นไปรับเฉลยี ง ด้านบน หรอื หน้าบันหลงั คา โครงสรา้ งตกึ แถวเปน็ งานกอ่ อิฐถอื ปูน เสาเปน็ ไม้ แต่ก่ออิฐหมุ้ เสาอีกช้นั ส่วนหลงั คาเปน็ ทรงป้นั หยา มงุ หลังคาดว้ ยกระเบื้องซเี มนต์ หรอื กระเบ้อื งว่าว มีสนั หลงั คายกสูง เลยระดบั กระเบอ้ื ง จากการก่อผนังกันไฟระหวา่ งคหู า ซมุ้ หน้าต่างทำ�แบบฝรง่ั บา้ งเปน็ เสีย้ ววงกลม หรอื เปน็ จ่ัวสามเหลย่ี ม บา้ งประดับลายปนู ปน้ั หรือไม้ ฉลุสำ�หรบั ระบายอากาศ Western-style Shophouses: Built in the 1900s-10s in King Rama V’s and King Rama VI’s eras, these shophouses were much influenced by Western trends, as seen in stucco decorations, pediments on front porticos, Western-style window frames, and cement tiles. ตกึ แถวถนนเจริญกรุง F13 ตน้ ถนนเจริญกรงุ ตกึ แถวริมถนนอัษฎางค์ ท่ีเชิงสะพานมอญ F14 เชงิ สะพานมอญ มีหนา้ กวา้ ง มาก ๑ ห้อง มีซุม้ หน้าต่างเลียน สรา้ งตอ่ ออกมาจากตกึ แถว แบบคานโค้งหินกอ่ ถงึ ๓ ซุ้ม ชุดถนนเจรญิ กรุง ๑ ห้องมซี มุ้ ชว่ งสะพานถ่านถงึ สามยอด หน้าต่างโคง้ เพยี ง ๑ ซ้มุ เท่านัน้ โรงเรียนสอนขับรถ ส. รูปแบบเหมือนกับท่ีเชงิ สะพาน Shophouses on Atsadang Road: สะพานมอญอันโด่งดังก็ต้ังอยู่ใน มอญ แต่ ๑ หอ้ ง มีซุ้มหน้าตา่ ง Located by the canal on the oppo- ห้องแถวแถบน้ี ๒ ซมุ้ site side of Saranrom Park, these units continue from the ones on Shophouses on Charoen Krung หาดไู ด้ท่ีรา้ นออนลอ็ กหยุ่น และ Charoen Krung Road. Each unit has Road: Located by the bridge, สถานรี ถไฟฟ้าสามยอด only one window arch. each unit is extra wide, with three window arches in the style of stone masonry. In Sam Yot area, each unit has two window arches. 145
ตึกแถวซอยพระยาศรี F15 ตกึ แถวถนนเฟ่ อื งนคร บริเวณส่กี ๊ักพระยาศรี F16 (ตรงขา้ มสะพานหก สวน สราญรมย์) มีซมุ้ หนา้ ตา่ งเปน็ จั่ว เปน็ ชุดท่ีสร้างในยคุ หลัง ราวรชั กาลที่ ๗ ตอ่ มา สามเหลี่ยมแบบฝร่ัง จากตกึ แถวในซอยพระยาศรี ห้องหวั มมุ ท�ำ พิเศษประดับ รปู แบบเรียบง่ายมากขนึ้ แต่ยงั คงใสจ่ ่ัวกระบงั กระบังหนา้ เป็นจั่วโค้ง ท�ำ ปูนปัน้ หนา้ ท่ีห้องหัวมมุ เพอ่ื ให้ลอ้ กับตกึ แถวชุดซอย เปน็ ลายงูพันไมค้ ทา สญั ลักษณ์ พระยาศรที ่อี ย่ฝู ่งั ตรงขา้ ม ช่วยได้ดกู ลมกลนื เปน็ ชดุ ของเมอร์คิวรี่ เทพแหง่ การคา้ เดยี วกัน Shophouses on Phraya Si Lane: Shophouses on Fueng Nakhon Road: Located near Located on the opposite side of the intersection that cuts across Charoen- the Dutch drawbridge, its window krung Road, these shophouses were built features Western-style triangle in the 1920s in King Rama VII’s era. The pediments, and the corner unit has design is simple, and the corner unit has three curved pediments on the roof three curved pediments on the roof, simi- decorated with the Caduceus, or lar to the shophouses on Phraya Si Road two snakes winding around a staff, on the other side. On a wall in front of which is the symbol of Mercury, one of the units, there is a notice about the god of trade. rent receipt stamped on it. The corner unit used to be a Butler & Webster showroom. D Western-style ตกึ แถวที่ส่กี กั๊ พระยาศรนี ี้ยังเคย Shophouses เปน็ ท่ีต้ังของหา้ งบตั เล่อรแ์ อนด์ Charoen Krung Rd. เว็บสเตอร์ ขายรถ Atsadang Rd. และหา้ งสิทธพิ นั ธุ์ ดว้ ย Phraya Si Lane A F13 Fueang Nakhon Rd. อยา่ ลมื มองหาประกาศเรอื่ งใบเสร็จคา่ เชา่ T F14 ประทบั ไวท้ เี่ สาหน้าร้านหอ้ งใด ห้องหนึ่งดว้ ย A F15 146 F16
ตึกแถวบา้ นหม้อ ยา่ นปากคลองตลาด F17 ห้องปลายสดุ ของชุดนเ้ี คยเปน็ ท่ตี ้งั ของ “บุคคลัภย”์ (Book Club) เมอื่ แรกกอ่ ตง้ั ในปี ๒๔๔๙ เปน็ ธนาคารแหง่ แรกของไทย ทีก่ ลายมาเป็น ธนาคารไทยพาณิชยใ์ นปจั จุบัน Shophouses on Ban Mo Road near Flower Market: The last unit of these shophouses used to be the location of Book Club, established in 1906, which was the first bank of Thailand. It is now Siam Commercial Bank. โคง้ ถนนอัษฎางค์รมิ คลองคูเมืองเดมิ F18 เป็นตกึ แถวชดุ ใหญ่อกี ชดุ ท่ยี งั คงหลงเหลือใหเ้ ห็น สร้างติดถนนโดย รอบ ห้องริมสร้างเป็นมุขประดบั กระบงั หน้าที่หลงั คา ซุ้มหน้าตา่ งทมี่ ขุ ช้นั สองประดบั ปูนป้ันรปู หม้อ ตามชื่อของยา่ น Ban Mo Shophouses: This is another set of shophouses which still remains today. It wraps around an entire block, surrounded by roads. The window pediment on the second floor of the end unit is decorated with pot-shaped stucco statues in line with the name of the area (“ban mo” means “village of pot” in Thai). รมิ ถนนบ้านหมอ้ ห้องหัว-ท้าย เปน็ มขุ มหี น้าจวั่ แบบฝรง่ั เชน่ กนั หน้าตา่ งของหอ้ ง Wally Higgins แถวบา้ นหม้อมเี อกลกั ษณเ์ ฉพาะ กรอบเป็นปนู ปนั้ เลียนแบบงาน ก่อหนิ ซมุ้ หน้าต่างเปน็ จ่วั โคง้ มีรู เชงิ สะพานอุบลรัตน์ ระบายอากาศดา้ นบน ห้องหัวมุม ถือเป็นท�ำ เลทอง หัวมมุ ถนนจกั รเพชร-อัษฎางค์ แตท่ ีพ่ ิเศษสดุ ส�ำ หรับตกึ ริมถนน สร้างตามลักษณะการวางผัง บา้ นหม้อช่วงนี้ ก็คือช่องระบาย อาคารมมุ ถนนที่นิยมท�ำ ในยโุ รป ถา่ ยในปี ๒๕๐๒ แตร่ ้ือไปแลว้ อากาศไมฉ้ ลทุ เ่ี หนือประตดู ้านหน้า หอ้ งตรงนเี้ คยเปน็ ทตี่ ัง้ ห้างบา ปัจจุบนั กลายเป็นธนาคารกรุงไทย ห้องตรงขา้ มวทิ ยาลัยเสาวภา ยงั มี โรเบราน์ ขายรถ มากอ่ น สาขาปากคลองตลาด หลงเหลืออยหู่ ลายห้อง Ban Mo Shophouses near the Corner unit of Ban Mo shophouses: Moat Bridge: The corner unit used This photo was taken in 1959. The Ban Mo Shophouses on Ban Mo to be Barrow Brown & Co store. building has been torn down and Road: Its window frames feature Krung Thai Bank has replaced it. stucco works in rustication style. F17 Ban Mo Shophouses D The shophouses are unique for the F18 Ban Mo Rd. A perforated wooden ventilating grills Ban Mo Block T above the doors. A 147
ตกึ แถวหน้าพระลาน F19 Shophouses on Na Phra Lan Road: Built in 1909 towards the end of King เปน็ หอ้ งแถวเกรดพรีเมยี ม ท�ำ ปราณตี เปน็ พเิ ศษ ดว้ ยอยหู่ น้า Rama V’s era, these shophouses used วังหลวง เลยต้องสวยเนยี้ บ อวดแขกบา้ นแขกเมืองได้ สร้างข้ึนในปี to be luxurious as they were located in ๒๔๕๒ ปลายรัชกาลท่ี ๕ โดยเด่นด้วย ๓ หอ้ งชว่ งกลางที่ทำ�เปน็ มขุ หนา้ มีกระบงั หน้าขนาด front of the Royal Palace. The highlight is ใหญป่ ระดับบนหลังคา the central portico with a large pediment. ชอ่ งระบายอากาศเหนือหนา้ ต่างเปน็ ไม้ฉลุโค้งครง่ึ วงกลม Its ventilating grills over the windows are semi-circular perforated wooden panels. ตกึ แถวท่าช้าง F20 เป็นชุดเดยี วกนั กบั ตกึ แถวหน้าพระลาน ผังเป็นรปู ตวั แอล (L) โดดเด่นทม่ี ุขกลางตรงหวั มุม มี กระบงั หน้าท่ีหลงั คาเช่นเดียวกับชุดหนา้ พระลาน ซมุ้ หนา้ ต่างกม็ รี ปู แบบเช่นเดียวกัน แวะไปชิมข้าวหมแู ดงหมูกรอบสตูว์หมูได้ ท่ีร้านเลขที่ ๑๘๔ Shophouses at Tha Chang Pier: It is the same set as the shophouses on Na Phra Lan Road. It also features the same style of central portico with a large pediment on the roof. ตกึ แถวทา่ เตียน F21 สรา้ งหลังตึกแถวทา่ ช้างเล็กน้อย มรี ูปแบบใกลเ้ คียงกัน ผงั เปน็ รปู ตัวยู (U) ลอ้ มรอบตลาดข้างใน อนั เป็นอทิ ธพิ ล จากตะวันตก มีมุขกลางทัง้ สามด้าน ใช้เปน็ ทางเดินเขา้ ตลาด Shophouses at Tha Tian: These shophouses were built slightly after the ones near Tha Chang Pier, but the style is similar. They form a U shape, with a market at the center. D F19 A F20 Na Phra Lan Rd. T F21 Maha Rat Rd. A Maha Rat Rd. 148
ตกึ แถวกนั สาด ค.ส.ล. ในช่วงปลายรชั กาลที่ ๖ ถงึ รัชกาลที่ ๗ ตึกแถวเริ่มมกี ารเปล่ียนแปลงเลก็ นอ้ ย ด้วยเร่มิ มี คอนกรีตเสริมเหล็กเป็นวสั ดอุ ยา่ งใหม่เข้ามา ท�ำ ใหท้ �ำ กันสาดยืน่ ออกมาได้ท้งั ช้ันบน และชน้ั ล่าง บางชดุ ชอ่ งลมเหนอื ประตูและหนา้ ต่าง ก็เป็น ค.ส.ล. แทนการใช้ไมฉ้ ลอุ ย่างทีท่ ำ�กันมา Shophouses with reinforced concrete awnings: In the 1910s-20s in King Rama VI’s and King Rama VII’s eras, reinforced concrete was introduced and became a popular material in construction. Awnings, railings, and ventilating grills were made of reinforced concrete at that time. ตึกแถวถนนพระสุเมรุ หน้าวดั บวร F22 โดดเด่นทีล่ วดลายปูนป้นั ใต้หน้าต่าง ชอ่ งลมเหนอื ประตูหน้าตา่ ง เปน็ ค.ส.ล. Shophouses on Sumen Road in front of Wat Bowon Niwet: The unique feature is the stucco works under the windows. The ventilating grills are made of reinforced concrete. ตึกแถวถนนพระสุเมรุ ยา่ นผ่านฟ้า F23 รปู แบบเหมอื นกับที่หน้าวัดบวรทุกประการ กนั สาด ค.ส.ล. ทั้งสอง ช้ัน มีลวดลายใตห้ นา้ ต่างเหมอื นกนั Shophouses on Sumen Road in Phan Fa area: They share the same style as the ones in front of Wat Bowon Niwet. There are reinforced concrete awnings on both stories, with stucco works under the windows as well. ตกึ แถวถนนตะนาว F24 ฝง่ั ใตถ้ นนราชดำ�เนนิ ท่ีแยกคอกวัว ขนาบสองขา้ งถนน แวะชิมกิม เลง้ ได้ เลขที่ ๑๕๘-๑๖๐ หม่ีกรอบข้นึ หงิ้ Shophouses on Tanao Road: south of Ratchadamnoen ตกึ แถวโค้งถนนพระอาทิตย์ F25 Shophouses on the bend on Phra Athit Road F22 Shophouses with reinforced D F23 concrete awnings A T Phra Sumen Rd. A Phra Sumen Rd. F24 Tanao Rd. F25 Phra Athit Rd. 149
ตึกแถวหลังคาดาดฟา้ ในชว่ งปลายรัชกาลที่ ๖ ถึงรัชกาลที่ ๗ ตึกแถวที่มหี ลังคาแบนเรมิ่ ปรากฏใหเ้ ห็น แทนหลังคาจ่ัวหรือ หลังคาป้ันหยาท่ีนิยมท�ำ มาในยุคกอ่ น ดาดฟ้าเหลา่ นี้สร้างขึ้นมาได้ก็เมอื่ มคี อนกรีตเสรมิ เหล็กแล้ว ราวระเบยี งกเ็ ป็นลกู กรง ค.ส.ล. กนั สาดก็เปน็ ค.ส.ล. คอนกรตี เสริมเหลก็ ยังชว่ ยใหส้ ร้างตึกไดส้ งู ขึ้น เป็น ๓ ชนั้ อีกดว้ ย Shophouses with Rooftops: In the 1910s-20s in King Rama VI’s and King Rama VII’s eras, shophouses were built with a flat top. Using reinforced concrete meant the buildings could be built higher than before. ตกึ กมลสโุ กศล F26 ตึกวรพรต F27 Kyoto University Library ตกึ คัคณางค์ F28 ุส ิรนท ์ร ับญ ัญ ิตปิยพจ ์น ถนนมหาไชย หลงั คาเป็น ตรงวงเวียนสิบสามหา้ ง บาง หัวมุมแยกสามยอด เมื่อแรก ดาดฟ้า มีชายคายืน่ ยาวท้งั ช้ันบน ล�ำ พู สร้าง เป็นตึกแถวที่ยาวไปตาม และช้นั ลา่ ง ถนนมหาไชย แตค่ หู าอ่นื ๆ รอื้ ลง สรา้ งในปี ๒๔๗๕ มดี าดฟ้า หมดส้ินแลว้ เหลือแตห่ อ้ งตรงหัว ทง้ั หมดนี้เกิดขึน้ ได้เพราะมี ชายคายืน่ ยาว มลี กู กรงระเบียง มมุ นี้ ค.ส.ล. ค.ส.ล. สร้างขึน้ ในปลายรชั กาลที่ ๖ Kamol Sukosol Building: 3-unit shophouse: near the สูง ๓ ชนั้ มดี าดฟ้า เคยเปน็ โรง Located on Maha Chai Road, it has Bang Lamphu Roundabout, built พยาบาลทาเคดะ และห้างขายยา a rooftop, and cantilevered eaves in 1932 with reinforced concrete หมอเหล็ง ศรีจนั ทร์ มาก่อน ทกุ on both upper and ground floors. balcony railings. วนั นเี้ ปน็ คชาเบด โฮสเตล็ ฮิป D Shophouses with Rooftops Gagananga Building: Located A F26 665 Maha Chai Rd. at the corner of the Sam Yot T F27 Tani Rd. Intersection, it was built in the A F28 156 Maha Chai Rd. 1920s in King Rama VI’s era. It used to house a Japanese hospital 150 and a well-known clinic/pharmacy. Today, it is home to a hip hotel called Cacha Bed Heritage Hotel.
ตึกฟาซาล ตกึ แถวโคง้ เสาชิงช้า F30 ตกึ แถวถนนจกั รเพชร (ห้าง อี. แอม. กาตบ๊ิ ) F29 ปากทางเข้าสะพานหัน F31 สูง ๓ ช้ัน มดี าดฟ้า ชายคา หัวมุมถนนบ�ำรงุ เมอื ง เชิง ค.ส.ล. ลูกกรงระเบียง ค.ส.ล. Shophouses on Chak Phet Road สะพานชา้ งโรงสี near the entrance of Sampheng Shophouses on the bend Market สรา้ งเมอื่ ปี ๒๔๗๔ เป็นห้าง near the Giant Swing: They are แขกมสุ ลิมจากอินเดีย ขายเครอ่ื ง three stories high with rooftop, แก้วเจียระไนจากยุโรป reinforced concrete awnings, and balcony railings. ตอ่ มาเปน็ ร้านขายอปุ กรณ์ เครื่องแบบต�ำรวจ ก่อนจะปิด ปรับปรงุ Fazal Building (E. M. Katib Store): Located on the corner of Bamrung Mueang Road near the foot of the bridge. It was built in 1931. F29 Shophouses with Rooftops D F30 Bamrung Mueang Rd. A F31 Bamrung Mueang Rd. T Chak Phet Rd. A 151
Search