37 ได้อยู่เสมอ อย่างเช่น คนฉลาดก็มักฉลาดก่อนท่ีจะโง่และหลัง จากโง่ไปแล้ว แต่ปัญหาในช่วงระหว่างฉลาดกับฉลาด คือจะมี กิเลสครอบงำ�ได้ง่าย เม่ือครู่น้ีอาตมาจึงกล่าวถึงความสำ�คัญของการ ฝกึ จติ เพราะฉะน้ัน ไม่ใช่แค่ว่าเราสมาทานศีลและมีความต้ังใจหรือ ความจริงใจท่ีจะรักษา แต่ต้องมีสติพอจะรู้ว่ามีส่ิงท้าทายหรือย่ัวยุ จติ ใจทต่ี อ้ งระมดั ระวงั หรอื อาจจะรแู้ ตข่ าดความอดทน อดทนไมไ่ ดก้ ็ ผดิ ศลี ฉะนน้ั การผดิ ศลี เกดิ จากความคดิ ผดิ กไ็ ด้ เกดิ จากความอยาก กไ็ ด้ เกดิ จากการขาดความอดทนกไ็ ด้ ขาดสตกิ ไ็ ด้ ซง่ึ ลว้ นแตเ่ ปน็ เรอ่ื ง ของจติ ใจ ถา้ ไมร่ จู้ กั ฝกึ จติ ใจ กจ็ ะรกั ษาศลี ไมไ่ ด ้ การจะรกั ษาศลี อยา่ ง สมา่ํ เสมอในแนวทางทน่ี �ำ ไปสสู่ มาธแิ ละปญั ญา จะตอ้ งมกี ารฝกึ จติ อยู่ ตลอดเวลา แมแ้ ตใ่ นเรอ่ื งของปญั ญา เชน่ กรณที ย่ี งุ กดั แลว้ เราก�ำ ลงั จะตบ ตามสญั ชาตญาณเดมิ รตู้ วั หยดุ ในขณะทห่ี ยดุ นเ่ี ครยี ดนะ นเ่ี ปน็ ขอ้ สำ�คัญ ความเครียดไม่ใช่ส่ิงท่ีไม่ดีเสมอไป ความเครียดท่ีเป็นไปเพ่ือ สงิ่ ท่ีดใี นระยะยาวก็มี ความเครยี ดท่นี �ำ ไปสูค่ วามเครยี ดมากย่ิงขนึ้ กม็ ี แตค่ วามเครยี ดบางอยา่ งถอื วา่ ดี
38 ถา้ เราหยดุ เราไมต่ บ ในขณะนน้ั จติ ตน่ื อนั นค้ี อื สตเิ กดิ ขน้ึ เรา ต่ืนจากหลับ การตบคือการทำ�ตามสัญชาตญาณท่ีไม่ต่างจากสัตว์ เดรจั ฉานทว่ั ไป ถา้ พดู ภาษาธรรมเราเกดิ เปน็ มนษุ ยใ์ นขณะทเ่ี ราหยดุ เราหยุดได้เพราะมีศีลหรือสิกขาบทเป็นเคร่ืองระลึกของจิตในเวลา นน้ั คอื เราเจรญิ สตดิ ว้ ยสกิ ขาบทหรอื ศลี ๕ ขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ เปน็ เครอ่ื ง ระลึกของจิต ใช้สิกขาบทเป็นอุบายทำ�ให้เราต่นื จากหลับ หรือต่ืน จากการครอบงำ�ของสัญชาตญาณในชีวิตประจำ�วัน หยุดแล้วก็ อดทนอยู่ตรงน้ัน แล้วในเวลาท่ีจิตหยุดจากสัญชาตญาณ ต่ืนข้ึนมา น่ันคือการเปิดโอกาสให้ปัญญาปรากฏ ให้ปัญญาทำ�งาน จะทำ� อย่างไร จะปล่อยให้กัดก็ไม่ดีเหมือนกัน ก็ใช้วิธีเป่าไล่ก็ได้ คือปัญญา เกดิ ขน้ึ ใหเ้ ราแกป้ ญั หาโดยไมผ่ ดิ ศลี ปญั ญาเกดิ ขน้ึ เพราะมสี ตเิ ปน็ เงอ่ื นไข สตเิ กดิ ขน้ึ เพราะมเี ครอ่ื ง ระลึกของสติท่ีชัดเจน เคร่ืองระลึกของสติในชีวิตประจำ�วันท่ีเป็น พน้ื ฐานทส่ี ดุ คอื ศลี ๕ ขอ้ ในขณะนน้ั เรากเ็ หน็ ความอยากทจ่ี ะฆา่ เกดิ ขน้ึ ดบั ไป ไมใ่ ชเ่ รา ไมใ่ ชข่ องเรา เพราะการทค่ี นเราไมท่ �ำ ตามสญั ชาตญาณ กเ็ ปน็ การเปดิ เผยความจรงิ วา่ ความอยากนน้ั เปน็ คลน่ื ในสมอง หรอื เปน็ สง่ิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ
39 ดบั ไป เปน็ การเหน็ ความเปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา ในระดบั ออ่ นๆ แค่ เรอ่ื งการไมต่ บยงุ ไดศ้ ลี ไดส้ มาธิ ไดป้ ญั ญาเลย บอกได้ว่าเง่ือนไขของการฝึกสมาธิฝึกจิตไม่ใช่ความรอบรู้ เร่ืองเทคนิคเร่ืองวิธี อย่างท่ีคนมักจะเข้าใจกัน เง่ือนไขสำ�คัญคือ ทำ�อย่างไรจึงจะทำ�อย่างสม่ําเสมอต่อเน่ืองทุกวันๆ คนส่วนมาก ก็รู้อยู่แต่ทำ�ไมไม่ทำ� ไม่ได้เก่ียวกับ IQ แต่เก่ียวกับความข้ีเกียจ ข้คี รา้ นบา้ ง เกย่ี วกับความทอ้ แท้ หรือคาดหวงั อยากจะได้บางสง่ิ บาง อย่างจากการน่ังสมาธิ พอไม่ได้ก็เลยเกิดความสงสัยว่าเสียเวลาหรือ เปล่า ส่ิงใดท่ีทำ�ด้วยความยากลำ�บากก็ต้องมีความสงสัยอยู่เสมอว่า คุ้มค่าไหม หรือสงสัยในความสามารถของตัวเอง หรือคิดว่าเราไม่มี บญุ ไมม่ บี ารมี ไมม่ วี าสนา ไปวา่ ตวั เอง สง่ิ เหลา่ นล้ี ว้ นเปน็ อปุ สรรคตอ่ การฝึกจิต เป็นเร่อื งของปัญญาเหมือนกัน คือขาดปัญญาในการมอง สง่ิ ทก่ี �ำ ลงั ท�ำ อยู่
40 ฉะน้ันการท่ีจะฝึกจิตให้พ้นจากนิวรณ์หรือส่ิงเศร้าหมอง ในจิตใจต้องใช้ปัญญาพอสมควร คือถ้าเราไม่มีปัญญาจัดการกับ รเู้ ทา่ ทนั กิเลส ใช้แต่วิธีสู้ การสู้เอาน่ีน้อยคนท่ีจะทำ�ได้อย่างน้ัน หน่ึงในร้อย กรอบ หน่ึงในพัน ส่วนมากแล้วต้องใช้ปัญญาช่วย ภาษาพระเรียกว่า การมอง ศลี ลดความ ‘โยนิโสมนสิการ’ อันน้คี ือปัญญาในระดับความคิดพิจารณา คือ เรา มวั หมอง ต้องมองทุกส่ิงทุกอย่างอย่างมีกรอบ ต้องรู้เท่าทันกรอบท่ีเรากำ�ลัง ในจติ ... ใชม้ องเรอ่ื งตา่ งๆ นค่ี อื เรอ่ื งของโยนโิ สมนสกิ าร การปรบั กรอบการ อยา่ งไร? มอง การคดิ ใหส้ รา้ งสรรค์ ใหเ้ ปน็ ไปเพอ่ื เปา้ หมายทเ่ี ราตอ้ งการ หนา้ ๑๓ เช่นเร่ืองความผิดพลาด ทุกคนก็ต้องเคยผิดพลาดกันท้ังน้ัน การจะสำ�เร็จผลไม่ว่าทางโลกทางธรรม ผู้ท่ีถือว่าเก่งน้ันไม่ใช่คนท่ี ไม่ผิดพลาด แต่เป็นผู้ท่ีมองความผิดพลาดในกรอบท่ีฉลาด ถือว่า ความผิดพลาดน้ันเป็นบททดสอบและเป็นบทเรียน อย่างน้ีเป็นต้น คนท่ีมองว่าความผิดพลาดเป็นบทเรียนท่ีตนจะต้องปรับปรุงแก้ไข ต่อไป ก็จะมีกำ�ลังใจท่ีจะเดินหน้าต่อ แต่ผู้ท่ีมองความผิดพลาดใน กรอบท่วี ่าเราแย่ ใช้ไม่ได้ เราทำ�ไม่เป็น เราไม่มีทางทำ�ได้ แม้จะเป็น ความผดิ พลาดเหมอื นกนั แตก่ ลบั มองความผดิ พลาดในกรอบทเ่ี รยี กวา่ ‘อโยนโิ สมนสกิ าร’ คือไม่แยบคาย ก็ยอ่ มใหผ้ ลต่างกนั ฉะน้นั ในการ
41 ฝึกจิต การมีกำ�ลังใจท่ีจะทำ�และจะไม่หยุดทำ� ไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรค เปน็ ตน้ กต็ ้องใชป้ ัญญา ฉะนน้ั ศลี อยตู่ รงไหน สมาธกิ ารฝกึ จติ และการฝกึ ปญั ญาจะอยู่ ตรงน้นั ก่อนท่จี ะใช้ปัญญาได้ ก็ต้องมีสติต้งั อย่ใู นปัจจุบัน การจะใช้ ปญั ญาในระยะยาว กต็ อ้ งท�ำ ใหจ้ ติ ใจของเราพน้ จากความยนิ ดยี นิ รา้ ย ความยินดียินร้ายมีต้งั แต่หยาบไปถึงละเอียด การชอบไม่ชอบ คือความยินดียินร้ายอย่างหยาบท่ัวไป แต่ความยินดียินร้ายในจิตใจ ท่ีละเอียดเป็นเหมือนการกระเพ่ือมของจิต มีการผลักไสหรือดึงดูด นดิ ๆ เปน็ ปฏกิ ริ ยิ าตอ่ สง่ิ ทก่ี �ำ ลงั พจิ ารณาอยู่ ถา้ มแี มแ้ ตก่ ารกระเพอ่ื ม หรือเคล่อื นไหวนิดๆ ไม่ว่าจะในลักษณะครอบงำ�หรือผลักไส อย่างน้ี ปญั ญาจะไมเ่ กดิ ขน้ึ สมาธจิ งึ มบี ทบาทส�ำ คญั ในการท�ำ ใหป้ ญั ญารเู้ หน็ ตามความเปน็ จรงิ มนั จงึ เปน็ ระบบองคร์ วมจรงิ ๆ
42 สนกุ กบั ถาม : ในชีวิตประจำ�วันท่ีต้องเจอผู้มากระทบอารมณ์บ่อยๆ การชนะใจ เราจะท�ำ อยา่ งไรดี ตนเอง ศลี เปน็ ตอบ : (๑) ตอนเช้าก่อนไปทำ�งาน สำ�หรับผู้ท่ีอยู่ท่ีทำ�งาน ก็ ความรกั - ให้ถือว่าน่คี ือข้อวัตรปฏิบัติในวันน้ี ดูให้เหมือนการเล่นกีฬา คือวันน้ี เคารพ จะอารมณเ์ สยี กบั คนนน้ั คนนใ้ี หน้ อ้ ยทส่ี ดุ วนั นจ้ี ะชนะใจตวั เองไดส้ กั ในตนเอง กค่ี รง้ั ใหเ้ ปน็ เรอ่ื งสนกุ แบบหนง่ึ แลว้ เราจะเขา้ ใจวา่ ทกุ ครง้ั ทป่ี ลอ่ ย หนา้ ๑๔ วางได้ อดทนได้ เรากไ็ ดบ้ ญุ ไดก้ �ำ ไรชวี ติ (๒) การท่ใี ครทำ�ส่งิ ใดแล้วกระทบจิตใจเรา ส่วนหน่งึ ก็มาจาก ตัวเราเองด้วย อย่าไปคิดว่ามาจากเขาฝ่ายเดียว เม่ือเราเกิดทุกข์ ทางใจ แสดงว่าต้องมีตัณหาข้อใดข้อหน่ึงในจิตใจของเรา พยายาม พิจารณาตรงจุดน้ี มักจะเป็นในลักษณะว่าเขาไม่น่าเป็นอย่างน้ันเลย เขาไม่น่าทำ�อย่างน้ีเลย เขาน่าจะ...... จงระวังท่ีสุด คำ�ว่า ‘น่าจะ’ ‘ไมน่ า่ จะ’ ก็แลว้ ท�ำ ไมเขาจึงเปน็ คนแบบนน้ั คดิ อย่างนน้ั เขานา่ จะต้องมี เมตตาตอ่ เรามากกวา่ นน้ั ท�ำ ไมเขาจงึ มจี ติ ใจในระดบั นน้ั ... มนั กเ็ ปน็ ไป ตามเหตตุ ามปจั จยั ฉะนน้ั การทเ่ี ราเหน็ สง่ิ ทง้ั หลายวา่ เปน็ ไปตามเหตุ ตามปจั จยั จะท�ำ ใหจ้ ติ ใจเราเยน็ ลง
43 แต่น่ันไม่ได้หมายความว่าเป็นการปฏิบัติเพ่ือทำ�ใจ เพราะถ้า เป็นระบบท่ีไม่ยุติธรรม เป็นระบบท่ีกำ�ลังสร้างความเสียหายต่อ ท�ำ ใจไมใ่ ช่ ส่วนรวม ก็ไม่ใช่ว่าเราต้องทำ�ใจเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องทำ�ใจ ปลอ่ ยวาง... เสียก่อน คือก่อนท่ีเราจะมีปัญญารู้ว่าเราควรจะพูดอะไรกับเขา เสมอไป หรือควรจะทำ�อะไร จะดีหรือไม่ เราต้องเลือกกาลเทศะท่ีเหมาะสม เขาท�ำ ให้ เราต้องพูดอย่างไร ปัญญาในการส่อื สารหรือการแก้ปัญหาจะเกิดข้นึ เราโกรธ เมอ่ื เราไมห่ งดุ หงดิ ไมร่ �ำ คาญ ไมน่ อ้ ยใจ ไมเ่ สยี ใจ ไมโ่ กรธ -ผดิ หวงั ได้ เพราะเราเอง ฉะนน้ั เราตอ้ งฝกึ จติ ใหป้ กตกิ อ่ น แตไ่ มใ่ ชว่ า่ ท�ำ จติ ใหป้ กตแิ ลว้ หนา้ ๑๗ ก็ เออ... ได้แล้ว อยู่ได้แล้ว เพราะเราก็ต้องคำ�นึงถึงหน้าท่ีต่อส่วน รวมด้วย ถ้าเป็นคนท่ีกำ�ลังสร้างปัญหากับส่วนรวม เราก็ต้องจัดการ ไมใ่ ชว่ า่ ปลอ่ ย ไมใ่ ชว่ า่ หนา้ ทข่ี องชาวพทุ ธอยทู่ ก่ี ารท�ำ ใจ การท�ำ ใจเปน็ แคส่ ว่ นหนง่ึ เทา่ นน้ั เอง การฝึกจิตเป็นเร่ืองท้าทายมาก ในชีวิตประจำ�วันไม่ใช่ว่าวัน หนง่ึ ๆ จะมอี ะไรมาชวนใหเ้ ครยี ดมากๆ หลายครง้ั คอื สว่ นมากจะเปน็ เรอ่ื งเลก็ เรอ่ื งนอ้ ยทค่ี อ่ ยๆ สะสมมาตง้ั แตเ่ ชา้ จนเยน็ จนกระทง่ั เรารสู้ กึ หมดแรง
44 วิธีรักษาจิตใจท่ีสำ�คัญ คือ ให้เราต้ังต้นใหม่เป็นระยะๆ เพ่ือรักษาพลังของสติท่ีจะจัดการกับเร่ืองต่างๆ เช่น เวลาเบ่ือ นาทสี มาธิ เวลาเครียด ก็อย่าเพ่ิงรับไลน์หรือส่งไลน์ทุกคร้ัง คืออย่าไปใช้ไลน์ รกั ษา เปน็ ทางออกจากทกุ ข์ อาตมากไ็ มไ่ ดป้ ฏเิ สธเรอ่ื งนท้ี เี ดยี ว ไมใ่ ชว่ า่ หา้ ม พลงั สติ แต่ทุกส่ิงทุกอย่างท่ีเราใช้สอยในแต่ละวันน้ี ควรต้องมีคำ�ๆ หน่ึงอยู่ หวั ใจของ ในใจตลอดเวลา คำ�ท่ีท่านว่า “พอเพียง” เล่นไลน์เท่าไรจึงจะพอ การฝกึ จติ เพียง ไม่ใช่ว่าทุกคร้ังท่ีเบ่ือ รำ�คาญ หรือน้อยใจ ก็ต้องหันไปเล่นกับ หนา้ ๑๕ โทรศพั ท ์ ในบางเวลาให้เราหยุด หายใจเข้า หายใจออก น่ังสมาธิ เดิน สมาธิ เพอ่ื ใหจ้ ติ กลบั สปู่ กติ เพยี ง ๑ นาที ๒ นาที ไมต่ อ้ งเปน็ ระยะยาว ไม่ต้องทำ�เป็นรูปแบบพิเศษอะไร เพียงแต่ว่าต้ังสติข้นึ มาใหม่ เพ่ือไม่ ใหค้ วามเครยี ดสะสมตง้ั แตเ่ ชา้ จนกระทง่ั มอี ารมณค์ า้ งอย ู่ จะวา่ ปลอ่ ย ก็ไม่ปล่อย พอมีโอกาสก็เผลอสติระบายกับคนน้นั คนน้ี หรือเม่อื กลับ บ้านก็ใช้ค่คู รองเป็นถังขยะรองรับอารมณ์ น่คี ือการดูแลจิตใจในชีวิต ประจ�ำ วนั ทค่ี วรตอ้ งฝกึ อยา่ งสมา่ํ เสมอ
45 มีเร่ืองท่ีอาตมาชอบเล่า เรียกว่าเป็นเร่ืองเล่าธรรมะเร่ืองแรก ทอ่ี าตมาเคยฟังตง้ั แตเ่ ขา้ Course วิปสั สนากรรมฐานครง้ั แรกในชวี ติ เสรจ็ แลว้ ... ตอนนน้ั ยงั เปน็ ฆราวาส อาจารยท์ ส่ี อนกเ็ ปน็ ฆราวาส แตท่ า่ นเคยบวช เทา่ ทท่ี �ำ แลว้ เปน็ พระในเมอื งไทย ๖ ปี ทา่ นเลา่ วา่ ตอนทท่ี า่ นอยทู่ ส่ี วนโมกข์ ปที ่ี ท่านอาจารย์พุทธทาสสร้างอาคารเรือ ท่านได้ออกธุดงค์เป็นเวลาปี ชวี ติ ไมใ่ ช่ สองปี เม่ือกลับมากราบท่านเจ้าคุณฯ ก็เห็นว่าอาคารน้ันยังไม่เสร็จ ชะตากรรม ท่านเดินตามท่านเจ้าคุณพุทธทาส สนทนาธรรมผ่านอาคารเรือ ท่าน ไมบ่ งั เอญิ ก็ว่า “โอ้... เรือน้ียังไม่เสร็จ” ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่า “เสร็จ แล้ว” พระฝร่งั ก็งงเพราะเห็นคนกำ�ลังเคาะประตูผสมปูนอยู่ จึงถาม ไมใ่ ช่ วา่ “แปลวา่ อะไรครบั ” ทา่ นกว็ า่ “เทา่ ทท่ี �ำ แลว้ กเ็ สรจ็ ” เรอ่ื งนอ้ี าตมา สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ บนั ดาล หนา้ ๒๓ ว่าลึกซ้ึงมาก ชอบมาก ชอบมาโดยตลอด คืองานของเราน่ีจะให้มัน เสร็จแปลว่าอะไร เสร็จอย่างไร คือมันก็ต้องมีต่อทุกเร่ือง อันน้ีเสร็จ แล้วจะต้องทำ�อันน้ันต่อ ทีน้ีมันจะมีความรู้สึกว่า มันไม่เสร็จสักที แต่ถ้าเราถอื วา่ เทา่ ที่ท�ำ แลว้ ก็เสร็จ วันนีเ้ สรจ็ ไหม เสร็จ เสรจ็ อย่างไร เทา่ ทท่ี �ำ แลว้ วนั นก้ี เ็ สรจ็ ใหพ้ ยายามคดิ อยา่ งน้ี จติ ใจจะไดผ้ อ่ นคลาย
46 แผเ่ มตตา แนวคิดลักษณะน้ี พระพุทธเจ้าท่านให้ช่ือพิเศษว่า ‘โยนิโส ดว้ ยปญั ญา มนสกิ าร’ หรอื ทท่ี า่ นแปลวา่ ความคดิ แยบคาย เปน็ การเปลย่ี นมมุ มองตอ่ ศลี สรา้ ง ปญั หา อยา่ งเชน่ คนทน่ี สิ ยั ไมด่ ี พระบอกวา่ ใหแ้ ผเ่ มตตาใหเ้ ขา คนทว่ั ไป ความ กจ็ ะชอบบน่ วา่ แผเ่ มตตาใหค้ นพรรคน์ ไ้ี มอ่ อก ถามวา่ ท�ำ ไม กต็ อบวา่ เขา ปลอดภยั เป็นคนเห็นแก่ตัวมาก หรือเขามีความสุขกับการทำ�ให้คนอ่นื เป็นทุกข์ หนา้ ๑๒ ถ้าขอให้เขามีความสุขมากข้นึ ก็เหมือนกับจะขอให้เขาทรมานจิตใจ คนอน่ื มากขน้ึ เรากต็ อ้ งใชป้ ญั ญาในการแผเ่ มตตา เชน่ ในกรณคี นเหน็ แกต่ วั เราจะแผเ่ มตตาใหเ้ ขาอยา่ งไร เรากข็ อใหค้ นๆ นไ้ี ดค้ วามสขุ จาก การไมเ่ หน็ แกต่ วั ตอนนเ้ี ขาเปน็ คนเหน็ แกต่ วั มาก ขอใหเ้ ขาไดส้ มั ผสั ได้ รจู้ กั ความสขุ จากความไมเ่ หน็ แกต่ วั ส�ำ หรบั คนกา้ วรา้ ว กข็ อใหเ้ ขาไดร้ จู้ กั ความสขุ ของการไมก่ า้ วรา้ ว นก่ี ค็ อื การใชเ้ มตตาเหมอื นกนั แตพ่ ลกิ มมุ การคดิ ใหเ้ หมาะสมกบั คนนน้ั ๆ ฉะนน้ั จติ ใจกบั ปญั ญาตอ้ งไปดว้ ยกนั อยู่ ตลอดเวลา จะมีผลตอ่ กนั และกนั
47 ถาม : กราบนมัสการพระอาจารย์เจ้าค่ะ วันน้ีศิษย์อยากจะ กราบเรียนถามเร่ืองสติปัฏฐาน ๔ เจ้าค่ะ คือมีคนเคยบอกศิษย์ว่า รเู้ ทา่ ทนั กาย กาย เวทนา เปน็ ระดบั ตา่ํ กวา่ กเ็ ลยไมด่ ู ไมไ่ ปพจิ ารณา แตศ่ ษิ ยเ์ ขา้ ใจ วา่ การปฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจ�ำ วนั เราสามารถทจ่ี ะดไู ดท้ ง้ั กาย เวทนา จติ ปจั จบุ นั คอื ธรรมในเวลาปกติได้เลย อย่างน้ศี ิษย์เข้าใจถูกหรือไม่เจ้าคะ หรือว่าท่ี หอ้ งเรยี น เขาบอกนะ่ ถกู ตอ้ งแลว้ หนา้ ๒๑ ตอบ : คอื เวทนา จติ ธรรม มนั กต็ รงกบั ค�ำ วา่ ใจ ดกู าย ดใู จ คอื สตปิ ฏั ฐาน ๔ สตปิ ฏั ฐาน ๔ ตอ้ งอยดู่ ว้ ยกนั เสมอ อยา่ งดลู มหายใจ การสมั ผสั ของลมหายใจก็คือกาย แต่ในขณะท่ีหายใจเข้าหายใจออก ก็ต้องมี ความรสู้ กึ สขุ ทกุ ข์ หรอื เฉยๆ นน่ั กค็ อื ตวั เวทนาซง่ึ จะตอ้ งมตี วั รอู้ ยตู่ รง น้นั ก็คือตัวจิต จะต้องมีนิวรณ์หรือโพชฌงค์เกิดข้นึ ในเวลาน้นั ก็เป็น ธรรม ฉะนน้ั กาย เวทนา จติ ธรรม มนั ตอ้ งอยดู่ ว้ ยกนั ถา้ พจิ ารณากาย เวทนา จติ ธรรม จะอยตู่ รงนน้ั ในชีวิตประจำ�วัน การพิจารณากายจะดี อย่างในกรณีความ โกรธ คือก่อนท่เี ราจะโกรธใครน้นั จะต้องมีอาการล่วงหน้า คือไม่ใช่ ปบุ ปบั โกรธ มนั จะตอ้ งมบี างสง่ิ บางอยา่ งบอกลว่ งหนา้ เหมอื นกอ่ นฝน
48 ตกจะตอ้ งมฟี า้ ครม้ึ ๆ การสงั เกตทางจติ ใจ บางทมี นั ยากเกนิ ไปในชวี ติ ประจำ�วันท่ียุ่งวุ่นวาย แต่ท่ีเราทำ�ได้คือการสังเกตกายของตัวเองว่า กอ่ นทเ่ี ราจะโกรธใครนน้ั มนั มคี วามผดิ ปกตทิ ต่ี รงไหน มกั จะมรี ปู แบบ และมคี วามรสู้ กึ ในจดุ ใดจดุ หนง่ึ เปน็ เอกลกั ษณข์ องเรา บางคนจะรสู้ กึ ทไ่ี หล่ บางคนกร็ สู้ กึ ทห่ี นา้ ผาก ทนี ้ี พอเราสงั เกตวา่ อาการกายทส่ี มั พนั ธก์ บั สง่ิ เศรา้ หมองตา่ งๆ น้ีอยู่ตรงไหน การต้ังสติกับอาการผิดปกติของกายเช่นน้ี ในชีวิต ประจำ�วันจะง่ายกว่าการดูท่ีจิต เพราะว่าการดูท่ีจิต บางทีเราตาม ไมท่ นั เดย๋ี วรบั โทรศพั ท์ พดู กบั คนนน้ั ท�ำ อยา่ งน ้ี การดกู ายนจ่ี งึ งา่ ย กวา่ ถงึ จะวา่ หยาบกวา่ แตห่ ยาบกวา่ ไมใ่ ชว่ า่ ตา่ํ กวา่ เพยี งแตว่ า่ เปน็ สง่ิ ทเ่ี หน็ งา่ ยกวา่ เทา่ นน้ั เอง
49 ถาม : กราบนมสั การพระอาจารยค์ ะ่ หนขู อถามพระอาจารย์ ว่าถ้าเราจะมีความเพียร เพียรอย่างไรให้อยู่ในทางสายกลาง ทางสาย คือสงสัยว่าบางคนต้ังใจท่ีจะมีความเพียร แต่ไม่ให้หย่อนเกินไป กลางเหมอื น หรือว่าตึงเกินไป เหมือนกับว่าถ้าอ่านหนังสือแล้วรู้สึกว่า วันน้ีจะ การไตล่ วด เป็นวันสุดท้ายของชีวิตอะไรอย่างน้ี หนูร้สู ึกว่าตัวเองไม่อยากจะนอน กระทบแต่ หลบั คะ่ กเ็ ลยอยากรวู้ า่ ท�ำ อยา่ งไรดที จ่ี ะใหเ้ ปน็ ทางสายกลางคะ่ ไมก่ ระเทอื น ตอบ : ก่อนอ่ืนเรามีหลักใหญ่คือ การเพ่ิมข้ึนหรือลดน้อย หนา้ ๑๘ ลงของกุศลธรรมและอกุศลธรรม ฉะน้ัน ในชีวิตการปฏิบัติของ เราน้ี อาจมีความเปล่ียนแปลงเกิดข้ึนบางอย่าง เช่น สมมุติเรารู้สึก ว่าทุกวันน้เี ราหย่อนเกินไปก็ต้องต้งั ต้นใหม่ อาจจะให้เข้มงวดมากสัก ระยะหนง่ึ เพอ่ื ใหก้ ลบั มาสทู่ างสายกลาง พระเราเรยี กวา่ ‘ธดุ งควตั ร’ เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ขดั เกลา ถ้าคนมองจากภายนอกก็จะเห็นเฉพาะช่วงน้ันท่ีกำ�ลังเข้ม งวด ทำ�ไมจึงทำ�เกินไป อันน้ันไม่ใช่ทางสายกลาง ใช่.. ถ้าเรามองใน ระยะเวลา ๑ อาทติ ย์ หรือ ๑ เดอื นอาจจะจริง แตถ่ า้ เรามองในช่วง ระยะเวลา ๑ ปี อาจจะอยใู่ นทางสายกลางของเรากไ็ ด้ ฉะนน้ั ไมใ่ ชว่ า่ ทกุ เวลานาทมี นั จะอยใู่ นทางสายกลาง
50 มอี าจารยท์ ท่ี า่ นเปน็ Aikido วชิ าปอ้ งกนั ตวั ของญป่ี นุ่ คลา้ ยๆ ยูโด ทีน้ศี ิษย์คนหน่งึ พูดกับอาจารย์ว่า เป็นศิษย์มาต้งั ๒๐ ปี ไม่เคย เห็นอาจารย์เสียการทรงตัวแม้แต่คร้งั เดียว อาจารย์บอกว่า โอ้... ผม เสียการทรงตัวบ่อย แต่ผมกลับตัวเร็วจนศิษย์มองไม่เห็น คือท่าน พยายามสอนวา่ เรอ่ื งทางสายกลางนไ่ี มใ่ ช ่ Superhighway แตเ่ ปน็ ทางเหมอื นไต่ลวดมากกวา่ คือจะเอยี งไปทางขวา ทางซ้าย แตจ่ ะ รสู้ กึ ตวั แลว้ กต็ ง้ั ตน้ ใหม่ รสู้ กึ ตวั แลว้ กต็ ง้ั ตน้ ใหม่ แตโ่ ดยภาพรวมในระยะเวลา ๓ เดอื น หรอื ๖ เดอื น เปน็ ตน้ ควรจะเหน็ วา่ กศุ ลธรรมเพม่ิ มากขน้ึ อกศุ ลธรรมลดนอ้ ยลง มตี วั อยา่ งหรอื การอปุ มาของหลวงพอ่ ชาทจี่ ะท�ำใหช้ ดั ขนึ้ ทา่ น เปรียบเทียบเหมือนเราจะพายเรือข้ามแม่น�้ำท่ีไหลเชี่ยว ท่านบอก ว่า ถ้าเราพายเรือตรงไปอีกฟากหนึ่ง มันจะไม่ตรง เพราะน�้ำไหล แรง เพราะฉะน้ัน เราต้องมุ่งให้ทวนกระแสสักหน่อยหน่ึง สุดท้าย แลว้ กระแสนำ�้ จะท�ำใหเ้ ราตรงถงึ เปา้ พอดี ฉะนน้ั เวลาเราก�ำ หนดความพอดขี องตวั เอง ใหเ้ ขม้ งวดกวา่ นน้ั หนอ่ ยหนง่ึ เหมอื นเราจะพายเรอื ขา้ มนา้ํ คอื ตอ้ งมคี วามรสู้ กึ ยดื ตวั นดิ หนอ่ ย เหมอื นเราจะออกกำ�ลงั กาย หรือทำ�โยคะก็จะต้องมีการยดื ตวั
51 พยายามใหเ้ พม่ิ ทลี ะนดิ ทลี ะนอ้ ย ไมบ่ งั คบั มาก แตไ่ มอ่ ยกู่ บั ท่ี ไดแ้ คน่ ก้ี ็ พยายามใหไ้ ดอ้ กี แคน่ ้ี ทลี ะเลก็ ละนอ้ ย ถาม : ตอนนผ้ี มฝกึ ศลี สมาธิ เพราะอยากมปี ญั ญากบั เขาบา้ ง ศลี เปน็ ทท่ี า่ นอาจารยพ์ ดู เมอ่ื ครนู่ ว้ี า่ ถา้ จะเปน็ อเสขบคุ คลกต็ อ้ งก�ำ จดั อวชิ ชา เครอ่ื งวดั ให้หมด ปัญหามีอยู่ว่า เม่ือเราดูในแง่ของสังโยชน์ ๑๐ อวิชชาเป็น ปญั ญา ตัวสุดท้ายท่เี ราจะกำ�จัดได้ เพราะกำ�จัดยากท่สี ุด ผมคิดว่า การสร้าง ศลี ตอ้ งเรม่ิ ปญั ญาจะตอ้ งมขี น้ั ตอน ผมอยากทราบวา่ เรามวี ธิ ใี ดทจ่ี ะวดั วา่ ปญั ญา จากปญั ญา เราพฒั นาถงึ ขนาดไหน ถา้ มจี ะมกี ข่ี น้ั ตอน แลว้ จะวดั ไดอ้ ยา่ งไร หนา้ ๑๐ ตอบ : วธิ วี ดั ปญั ญาทง่ี า่ ยทส่ี ดุ ชดั ทส่ี ดุ คอื ศลี ๕ คนไหนไม่ รกั ษาศลี ๕ หรอื รกั ษาไมค่ รบ คนนน้ั ไมม่ ปี ญั ญา พดู ไดเ้ ลยวา่ ปญั ญา นอ้ ย เพราะวา่ ปญั ญาในระดบั พน้ื ฐานทส่ี ดุ จะตอ้ งขน้ึ อยกู่ บั การกระ ท�ำ ผลการกระท�ำ คอื กฎแหง่ กรรม อนั นค้ี อื ปญั ญาพน้ื ฐาน ฉะนน้ั ถา้ เราเขา้ ใจในเรอ่ื งกฎแหง่ กรรมซง่ึ เปน็ สมั มาทฏิ ฐริ ะดบั โลกยี ์ มนั เปน็ ไป ไม่ได้ท่เี ราจะผิดศีล ๕ ข้อน้นั ได้ เพราะฉะน้นั เร่อื งการพิสูจน์ ความ ละอายตอ่ บาป ความเกรงกลวั ตอ่ บาป ความระมดั ระวงั การแสดงออก ทางกาย วาจา นน่ั เปน็ เครอ่ื งชว้ี ดั ปญั ญาคนทด่ี ี
52 นอกจากนน้ั แลว้ กจ็ ะอยทู่ ค่ี วามพอใจและความสขุ ในการเรยี น รู้ ในการศึกษาหาความรู้ แต่ถ้าเป็นความรู้ท่ีจะนำ�ไปสู่ปัญญาหรือท่ี เรียกว่า ‘ปริยัติ’ ปริยัติก็ต้องอยู่ในบริบทของปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ คอื ไมใ่ ชป่ รยิ ตั เิ พอ่ื ปรยิ ตั ิ ไมใ่ ชเ่ รยี นเพอ่ื เรยี น แตเ่ รยี นเพอ่ื เปน็ ก�ำ ลงั ใจ เพ่ือเป็นหลักแนวทางในการปฏิบัติเพ่ือปฏิเวธ แต่อย่างท่ีว่า ปัญญา ตอ้ งมตี ง้ั แตต่ น้ เลย ในระดบั ความคดิ หรอื การตง้ั กรอบหรอื การเปลย่ี น กรอบท่ีจะทำ�ให้เกิดกำ�ลังใจท่ีจะปฏิบัติอย่างสม่ําเสมอต่อเน่ือง และ เพอ่ื จะใหเ้ หน็ ไตรลกั ษณ์ หลวงพ่อชาซ่ึงเป็นครูบาอาจารย์ของอาตมา ท่านก็จะเน้น คำ�ว่า ‘ไม่แน่’ ให้ใช้ในชีวิตประจำ�วันตลอดเวลา เออ... มันไม่แน่ ชอบกไ็ มแ่ น่ ไมช่ อบกไ็ มแ่ น่ รกั กไ็ มแ่ น่ ไมร่ กั กไ็ มแ่ น ่ ชงั กไ็ มแ่ น่ ใหใ้ ช้ ค�ำ นเ้ี พอ่ื เปน็ การเตอื นเรอ่ื งไตรลกั ษณอ์ ยตู่ ลอดเวลา ฉะนน้ั ในการพฒั นาปญั ญา อยา่ งเชน่ เรานง่ั รถไฟ รถเมล์ รถ เรอื บนิ กแ็ คด่ กู ายของคน ความไมน่ ง่ิ ของกายคน อนั นค้ี อื การพจิ ารณา ทกุ ขลกั ษณะ เหน็ ไหมวา่ คนเราไมน่ ง่ิ จะตอ้ งมกี ารเคลอ่ื นไหวอยตู่ ลอด เวลา น่ีคือธรรมชาติของมนุษย์ แค่เพียงร่างกายน้ี อยู่ในสภาพเดิม ไม่ได้ จะต้องมีการเปล่ยี นแปลงอย่ตู ลอดเวลา ฉะน้นั การน้อมจิตให้
53 สนใจศกึ ษาเรอ่ื งอนจิ จงั เรอ่ื งทกุ ขงั เรอ่ื งอนตั ตา ตง้ั แตร่ ะดบั ความคดิ ในชวี ติ ประจ�ำ วนั งา่ ยๆ ดขู า่ ว อา่ นหนงั สอื พมิ พ ์ พยายามใหม้ องในมติ ิ ของไตรลกั ษณ์ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา ปญั ญากจ็ ะคอ่ ยๆ เพม่ิ ขน้ึ
ประวตั ยิ อ่ พระอาจารยช์ ยสาโร นามเดมิ ฌอน ชิเวอรต์ ัน (Shaun Chiverton) พ.ศ. ๒๕๐๑ เกิดทปี่ ระเทศองั กฤษ พ.ศ. ๒๕๒๑ ไดพ้ บกบั พระอาจารยส์ ุเมโธ (พระราชสุเมธาจารย์ วดั อมราวดี ประเทศองั กฤษ) ท่วี หิ ารแฮมสเตด ประเทศอังกฤษ ถอื เพศเป็นอนาคาริก (ปะขาว) อยกู่ บั พระอาจารยส์ เุ มโธ ๑ พรรษา แลว้ เดนิ ทางมายังประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ บรรพชาเปน็ สามเณร ทว่ี ัดหนองปา่ พง จงั หวดั อุบลราชธานี พ.ศ. ๒๕๒๓ อปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษุ ทว่ี ดั หนองปา่ พง โดยมี พระโพธญิ าณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) เปน็ พระอุปัชฌาย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ - ๒๕๔๔ รักษาการเจ้าอาวาส วัดป่านานาชาติ จังหวดั อบุ ลราชธานี พ.ศ. ๒๕๔๕ - ปัจจบุ นั พ�ำ นัก ณ สถานพ�ำ นกั สงฆ์ จงั หวดั นครราชสมี า
ประวตั ยิ อ่ ทนุ เลา่ เรยี นหลวง “เจา้ นายราชตระกลู ตง้ั แตล่ กู ฉนั เปน็ ตน้ ลงไป ตลอดจนราษฎรทต่ี �ำ่ สดุ จะใหไ้ ดม้ โี อกาสเลา่ เรยี นไดเ้ สมอกนั ไมว่ า่ เจา้ วา่ ขนุ นางวา่ ไพร่ เพราะฉะนน้ั จงึ ขอบอกไดว้ า่ การเลา่ เรยี นในบา้ นเมอื งเรานจ้ี ะเปน็ ขอ้ ส�ำ คญั ทห่ี นง่ึ ซง่ึ ฉนั จะอตุ สา่ หจ์ ดั ใหเ้ จรญิ ขน้ึ จงได”้ พระราชด�ำ รสั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จ.ศ. ๑๒๔๖ (พ.ศ. ๒๔๒๗) ทุนเล่าเรียนหลวง หรือ ทุนคิงสกอลาร์ชิป (King’s Scholarship) ถือกำ�เนิดข้ึนจากสายพระเนตรอันกว้างไกลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ท่ีทรงเล็งเห็นถึงความสำ�คัญของการศึกษาอันเป็นรากฐานของการพัฒนา ประเทศ โดยทรงเนน้ เรอ่ื งความเทา่ เทยี มกนั ทางการศกึ ษาของทง้ั พระบรมวงศานวุ งศ์ และประชาชนโดยทว่ั ไป ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ได้ทรงวางระเบียบเก่ียวกับ “ทุนคิงสกอลาร์ชิป” ให้เป็นเงินช่วยเหลือการศึกษาแก่ นักเรียนไทยได้ไปศึกษาในต่างประเทศ โดยมีพระราชประสงค์เพ่ือจูงใจและส่งเสริม ให้นักเรียนท่ัวไปต้ังใจเล่าเรียน และเพ่ืออุดหนุนการศึกษาของประชาชนโดยท่ัวไป ซง่ึ การจดั ตง้ั ทนุ เลา่ เรยี นหลวงนน้ั มคี วามสอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงคใ์ นการสง่ นกั เรยี น ทุนไปศึกษาต่อในต่างประเทศในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวท่ีทรงต้องการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกำ�ลังคนคุณภาพท่ีเป็นคนไทยท่ี จะมารับตำ�แหน่งแทนข้าราชการชาวต่างประเทศ อันจะมีประโยชน์ต่อการป้องกัน การขยายอทิ ธพิ ลของชาตติ ะวนั ตกในไทยในอกี ทางหนง่ึ การพระราชทานทุนเล่าเรียนหลวงได้มีข้นึ อย่างต่อเน่อื งต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๐ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอย่หู ัวท่มี ีการเปล่ยี นแปลงการปกครอง มาสู่ระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และได้ยุติไปช่ัวคราว โดยพบหลักฐานรายช่ือผู้ท่ีได้รับพระราชทุนจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๕ มีจำ�นวนท้ังส้ิน ๗๐ คน ตอ่ มา ดว้ ยพระราชประสงคข์ องพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลยุ เดช บรมนาถบพิตร การพระราชทานทุนเล่าเรียนหลวงจึงได้กลับคืนสู่ประเทศไทยอีก ครง้ั หนง่ึ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ โดยกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ส�ำ นกั บรหิ ารนายกรฐั มนตรี และ สำ�นักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้ดำ�เนินการออกระเบียบ ก.พ. วา่ ดว้ ยทนุ เลา่ เรยี นหลวง พ.ศ. ๒๕๐๘ ซง่ึ กลา่ วถงึ ทม่ี าของระเบยี บฉบบั นว้ี า่ “ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชปรารภว่า แต่เดิมมาเคยมีทุน เลา่ เรยี นหลวงไปศกึ ษาวชิ า ณ ตา่ งประเทศใหแ้ กน่ กั เรยี นส�ำ เรจ็ ประโยคมธั ยมบรบิ รู ณ์ เม่ือนักเรียนเหล่าน้ีเรียนสำ�เร็จแล้วก็ได้กลับมารับราชการเป็นกำ�ลังสำ�คัญในการ พฒั นาประเทศชาตไิ ดเ้ ปน็ อยา่ งดี แตต่ อ่ มาการใหท้ นุ เลา่ เรยี นหลวงยตุ ลิ ง สมควรทจ่ี ะ ไดจ้ ดั เรอ่ื งนข้ี น้ึ อกี ” ต ามระเบยี บ ก.พ. ว่าดว้ ยทุนเล่าเรียนหลวง พ.ศ. ๒๕๐๘ ก�ำ หนดให้ผทู้ ส่ี อบ ประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญได้คะแนนยอดเย่ียม ๕๐ คนแรก เป็นผู้มี สิทธ์เิ ข้าสอบแข่งขันเพ่อื รับทุนเล่าเรียนหลวงพระราชทานน้ี ซ่งึ จะแบ่งเป็นแผนกดังน้ี
คือ ผู้ท่ีสอบทางแผนกศิลป ๓ ทุน ผู้ท่ีสอบทางแผนกวิทยาศาสตร์ ๓ ทุน และผู้ท่ี สอบทางแผนกทว่ั ไป ๓ ทนุ รวมทง้ั หมด ๙ ทนุ ทง้ั น ้ี หากในปี พ.ศ. ใดปรากฎวา่ ไมม่ ี ผ้เู หมาะสมท่จี ะได้รับทุนแผนกใดแผนกหน่งึ คณะกรรมการทุนฯ อาจพิจารณางดให้ ทุนใดทุนหน่ึงในแผนกน้ันก็ได้ ในปัจจุบันผู้มีสิทธ์ิสอบต้องจบมัธยมปลายหรือ เทียบเท่าด้วยคะแนนเฉล่ียไม่น้อยกว่า ๓.๕ โดยต้องมีหนังสือรับรองความประพฤติ จากอาจารย์ใหญ่หรือผู้อำ�นวยการโรงเรียนท่ีตนสังกัดมาสนับสนุนคุณสมบัติในด้าน ศลี ธรรม ทุนเล่าเรียนหลวงน้ีเป็นลักษณะทุนเพ่ือการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี โดยผู้รับทุนสามารถท่ีจะเลือกเรียนสาขาวิชา สถาบัน และประเทศใดก็ได้ โดยไม่มี ข้อผูกพันท่ีจะต้องกลับมารับราชการ และเม่ือครบกำ�หนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว หากผู้รับทุนประสงค์จะศึกษาต่อในระดับท่ีสูงข้ึนตามความต้องการของส่วนราชการ ใดก็ตาม ก็สามารถท่ีจะขอรับทุนโดยมีเง่ือนไขตามข้อผูกพันตามระเบียบและ ข้อตกลงแห่งทุนน้ันๆ ได้ ท้ังน้ี การแก้ไขระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยทุนเล่าเรียนหลวงใน ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ กำ�หนดให้มีข้อผูกพันท่ีจะต้องกลับมาปฏิบัติงานในประเทศไทยเป็น ระยะเวลาเทา่ กบั ระยะเวลาในการรบั ทนุ หากไมก่ ลบั มาปฏบิ ตั งิ านในประเทศไทย จะ ตอ้ งชดใชเ้ งนิ คนื เทา่ กบั จ�ำ นวนเงนิ ทนุ ทไ่ี ดร้ บั ไป ท่ีผ่านมาพบว่าข้อสอบทุนเล่าเรียนหลวงเป็นแบบอัตนัยซ่ึงช่วยคัดกรองผู้มี ความคิดวิเคราะห์และความรู้ท่ัวไป ก่อนเข้ากระบวนการคัดกรองอ่ืนๆ รวมท้ังการ สัมภาษณ์ เน่ืองจากหลักสูตรมัธยมปลายของประเทศไทยอาจจะไม่สอดคล้องกับ ประเทศท่ีผู้รับทุนเลือกไปศึกษาต่อ ในทางปฏิบัติจึงพบว่า ก.พ. จะสนับสนุนการ
เตรียมความพร้อมเพ่ือให้ผู้รับทุนเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรีในประเทศหรือ หลักสูตรน้ันๆ นักเรียนทุนส่วนใหญ่ได้รับทุนรวมประมาณ ๕ ปี หากเลือกเรียนท่ี ประเทศสหรฐั อเมรกิ ามกั จะไดร้ บั ทนุ ในชว่ งการเตรยี มความพรอ้ มในระดบั มธั ยมปลาย ๑ ปแี ละปรญิ ญาตรี ๔ ปตี ามหลกั สตู รทว่ั ไป หรอื หากเลอื กเรยี นทป่ี ระเทศองั กฤษมกั จะ ได้รับทุนเพ่ือเตรียมความพร้อมในระดับมัธยมปลาย ๒ ปีและปริญญาตรี ๓ ปีตาม หลกั สตู รทว่ั ไป นับต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๐ มีนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง จำ�นวนท้ังส้ิน ๓๕๑ คน โดยในปัจจุบันนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงมีท้ังท่ีกำ�ลังศึกษา ณ ต่างประเทศ รับราชการ ทำ�งานภาคเอกชน และภาคส่วนต่างๆ ท้ังในและต่าง ประเทศ ตลอดจนบางทา่ นทไ่ี ดเ้ กษยี ณอายแุ ลว้ ดว้ ยส�ำ นกึ ในพระมหากรณุ าธคิ ณุ ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวทุกพระองค์ นักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงจึงได้ร่วมกันจัด ต้ังชมรมนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงนับต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยมีวัตถุประสงค์ท่ีจะ รวมตัวกันเพ่ือแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างกัน และนำ�เอาความรู้ความสามารถมาช่วย ในการพัฒนาและสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ตามพระราชปรารภให้นักเรียน ทนุ เลา่ เรยี นหลวงเปน็ “ก�ำ ลงั ส�ำ คญั ในการพฒั นาประเทศชาตไิ ดเ้ ปน็ อยา่ งด”ี ตดิ ตอ่ ชมรมนกั เรยี นทนุ เลา่ เรยี นหลวง อเี มล:์ [email protected]
บรรณานกุ รม สำ�นักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำ�นักงาน ก.พ.) (๒๕๕๓) ทุน เลา่ เรยี นหลวงใตร้ ม่ พระบารมี กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั แอรบ์ อรน์ พรนิ ต์ จ�ำ กดั ๓๘๔ หนา้ ระเบยี บ ก.พ. ว่าดว้ ยทุนเลา่ เรียนหลวง พ.ศ. ๒๕๐๘ พระราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ท่ี ๘๒ ตอนท่ี ๑๖ หนา้ ๙๗ ลงวนั ท่ี ๒๓ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๐๘ ระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยทุนเล่าเรียนหลวง พ.ศ. ๒๕๓๓ พระราชกิจจานุเบกษา เลม่ ท่ี ๑๐๗ ตอนท่ี ๕๓ ลงวนั ท่ี ๑ เมษายน ๒๕๓๓ ระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยทุนเล่าเรียนหลวง พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชกิจจานุเบกษา เลม่ ท่ี ๑๒๕ ตอนพเิ ศษ ๑๘๗ ง หนา้ ๑ ลงวนั ท่ี ๑๐ ธนั วาคม ๒๕๕๑
ดัชนเี รื่อง ๔ ๕ Common Sense 2 ๗ ชวี ติ ทด่ี ที ส่ี ดุ ๓๐ พทุ ธไมใ่ ชร่ ะบบความเชอ่ื ๘ ไขปญั หาธรรม: เชอ่ื vs รู้ ๓๔ ศรทั ธาตอ้ งก�ำ กบั ดว้ ยปญั ญา ๙ ไขปญั หาธรรม: ศาสนาพทุ ธ vs “ลทั ธ”ิ วทิ ยาศาสตร์ ๑๐ พทุ ธเปน็ ระบบองคร์ วม ๓๖ ศลี ตอ้ งเรม่ิ จากปญั ญา ๕๑ ไขปญั หาธรรม: ศลี เปดิ ทางใหส้ มาธแิ ละปญั ญา ๑๒ ไขปญั หาธรรม: ศลี เปน็ เครอ่ื งวดั ปญั ญา ๔๖ ศลี สรา้ งความปลอดภยั ๑๓ ไขปญั หาธรรม: แผเ่ มตตาดว้ ยปญั ญา ๔๐ ศลี ลดความมวั หมองในจติ ...อยา่ งไร? ๑๔ ไขปญั หาธรรม: รเู้ ทา่ ทนั กรอบการมอง ๔๒ ศลี เปน็ ความรกั -เคารพในตนเอง ๑๕ ไขปญั หาธรรม: สนกุ กบั การชนะใจตนเอง ๔๔ หวั ใจของการฝกึ จติ ๑๗ ไขปญั หาธรรม: นาทสี มาธริ กั ษาพลงั สติ ๔๓ เขาท�ำ ใหเ้ ราโกรธ-ผดิ หวงั ได.้ ..เพราะเราเอง ๑๘ ไขปญั หาธรรม: ท�ำ ใจไมใ่ ชป่ ลอ่ ยวาง...เสมอไป ๔๙ กระทบแตไ่ มก่ ระเทอื น ๒๐ ไขปญั หาธรรม: ทางสายกลางเหมอื นการไตล่ วด ๒๑ ศลี ขอ้ ๕ กส็ �ำ คญั ! ๔๗ ปจั จบุ นั คอื หอ้ งเรยี น ๒๓ ไขปญั หาธรรม: รเู้ ทา่ ทนั กาย ๔๕ ชวี ติ ไมใ่ ชช่ ะตากรรม ไมบ่ งั เอญิ ไมใ่ ชส่ ง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธบ์ิ นั ดาล ๒๕ ไขปญั หาธรรม: เสรจ็ แลว้ ..เทา่ ทท่ี �ำ แลว้ ถวายสกั การะโดยน�ำ พระองคเ์ ปน็ แบบอยา่ ง
ชวี ิตไม่ใช่ชะตากรรม ไม่บงั เอญิ ไม่ใชส่ งิ่ ศกั ดิ์สทิ ธบิ์ นั ดาล แตเ่ ป็นไปด้วยการกระทำาที่มีเจตนา เราเป็นผ้สู ร้างชวี ติ ของตวั เอง เราทกุ คนสร้าง “ชีวิตทด่ี ที ส่ี ุด” ได้ ด้วยการพัฒนาปัญญา และความเปน็ อสิ ระภายใน ด้วยการกระทำาที่ออกมาจากการ ฝึกกาย ฝึกวาจา ฝึกใจของเรา
Search