2565 หลักธรรมของผู้ส่ังสอนหรือให้ การศกึ ษา xmen Home PAGE \\* ThaiArabic \\* MERGEFORMAT ๑12/31/2411
ช่ือหนังสือ ผู้เขยี น ปที ี่พิมพ์ โรงพมิ พ์ ๑
คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ คำนำ ๒
สารบญั บทท่ี1 บทที่.................................................. บทท.่ี ................................................. บทที่.................................................. ๓
บทที่ ๑ หลกั ธรรมของผสู้ ัง่ สอนหรอื ให้การศกึ ษา (ครู อาจารย์ หรอื ผู้แสดงธรรม) ผู้ทำหนา้ ทีส่ ัง่ สอน ให้การศกึ ษาแกผ่ ้อู ื่น โดยเฉพาะครู อาจารย์ พึง ประกอบดว้ ยคุณสมบตั ิ และประพฤตติ ามหลกั ปฏิบัติ ดังน้ี ก. เป็นกลั ยาณมิตร ข. ต้งั ใจประสทิ ธ์คิ วามรู้ ค. มลี ลี าครคู รบทงั้ ส่ี ง. มีหลกั ตรวจสอบสาม จ. ทำหน้าทค่ี รตู ่อศิษย์ ก. เป็นกลั ยาณมิตร คอื ประกอบดว้ ยองค์คุณของกัลยาณมติ ร หรือ กลั ยาณมิตรธรรม ๗ ประการ ดังน้ี ๑. ปโิ ย นา่ รกั คอื มีเมตตากรณุ า ใสใ่ จคนและประโยชนส์ ุขของเขา เขา้ ถงึ จิตใจ สร้างความร้สู ึกสนิทสนมเป็นกันเอง ชวนใจผ้เู รยี นใหอ้ ยากเข้า ไปปรกึ ษาไต่ถาม ๒. ครุ น่าเคารพ คอื เป็นผหู้ นกั แน่น ถือหลกั การเป็นสำคัญ และมี ความประพฤติสมควรแก่ฐานะ ทำใหเ้ กดิ ความรสู้ ึกอบอนุ่ ใจ เป็นท่พี ึง่ ได้ และปลอดภัย ๓. ภาวนีโย นา่ เจรญิ ใจ คอื มีความรจู้ รงิ ทรงภมู ิปญั ญาแทจ้ รงิ และเป็นผู้ฝกึ ฝนปรบั ปรุงตนอยเู่ สมอ เปน็ ที่นา่ ยกยอ่ งควรเอาอยา่ ง ทำให้ ศิษยเ์ อย่ อ้างและรำลึกถึงด้วยความซาบซึ้ง ม่นั ใจ และภาคภมู ิใจ ๔. วตฺตา รูจ้ ักพูดให้ไดผ้ ล คอื รูจ้ กั ชี้แจงให้เขา้ ใจ รวู้ ่าเมอ่ื ไรควร พดู อะไร อย่างไร คอยใหค้ ำแนะนำว่ากล่าวตักเตอื น เปน็ ที่ปรกึ ษาที่ดี ๑
๕. วจนกฺขโม อดทนต่อถอ้ ยคำ คือ พรอ้ มท่ีจะรับฟงั คำปรกึ ษา ซกั ถามแม้จุกจกิ ตลอดจนคำล่วงเกนิ และคำตักเตือนวิพากษ์วิจารณ์ตา่ งๆ อดทน ฟังได้ ไมเ่ บอ่ื หนา่ ย ไมเ่ สยี อารมณ์* ๖.คมฺภีรญจฺ กถํ กตตฺ า แถลงเรอื่ งล้ำลกึ ได้ คือ กล่าวช้ีแจงเรื่อง ต่างๆ ทย่ี ุง่ ยากลกึ ซงึ้ ใหเ้ ข้าใจได้ และสอนศษิ ย์ให้ได้เรยี นร้เู รอื่ งราวทลี่ ึกซง้ึ ยิ่งขน้ึ ๗. โน จฏฐฺ าเน นิโยชเย ไม่ชักนำในอฐาน คือ ไม่ชกั จงู ไปในทางที่ เสอื่ มเสีย หรือเรือ่ งเหลวไหลไมส่ มควร (อง.ฺ สตฺตก. ๒๓/๓๔/๓๓) ข. ตั้งใจประสทิ ธคิ์ วามรู้ โดยต้งั ตนอยูใ่ นธรรมของผแู้ สดงธรรม ท่เี รยี กวา่ ธรรมเทศกธรรม ๕ ประการ คอื ๑. อนุบุพพกิ ถา สอนใหม้ ขี นั้ ตอนถูกลำดบั คือ แสดงหลกั ธรรม หรอื เนือ้ หาตามลำดับความงา่ ยยากลมุ่ ลกึ มเี หตุผลสัมพันธต์ ่อเน่ืองกันไป โดยลำดับ ๒. ปริยายทัสสาวี จบั จดุ สำคญั มาขยายให้เขา้ ใจเหตผุ ล คอื ชีแ้ จง ยกเหตุผลมาแสดง ใหเ้ ข้าใจชัดเจนในแตล่ ะแงแ่ ตล่ ะประเดน็ อธบิ าย ยกั เยอ้ื งไปตา่ งๆ ใหม้ องเหน็ กระจา่ งตามแนวเหตผุ ล ๓. อนุทยตา ตั้งจิตเมตตาสอนด้วยความปรารถนาดี คอื สอนเขา ดว้ ยจิตเมตตา มงุ่ จะใหเ้ ปน็ ประโยชนแ์ กผ้ ู้รบั คำสอน ๔. อนามสิ นั ดร ไมม่ จี ติ เพง่ เล็งเห็นแก่อามสิ คอื สอนเขามใิ ชม่ ิใช่ มุง่ ทีต่ นจะไดล้ าภ สินจ้าง หรือผลประโยชนต์ อบแทน ๕. อนปุ หจั จ*์ วางจติ ตรงไมก่ ระทบตนและผูอ้ น่ื คอื สอนตาม หลกั ตามเนือ้ หา มุ่งแสดงอรรถ แสดงธรรม ไมย่ กตน ไม่เสยี ดสีขม่ ขี่ผู้อ่ืน (อง.ฺ ปญฺจก. ๒๒/๑๕๙/๒๐๕) ๒
ค. มีลลี าครูครบทง้ั ส่ี ครทู ีส่ ามารถมลี ลี าของนกั สอน ดังน้ี ๑. สนั ทัสสนา ชใี้ ห้ชัด จะสอนอะไร กช็ ้ีแจงแสดงเหตุผล แยกแยะ อธิบายใหผ้ ู้ฟงั เข้าใจแจ่มแจง้ ดังจูงมือไปดูเห็นกบั ตา ๒. สมาทปนา ชวนให้ปฏบิ ตั ิ คือ สงิ่ ใดควรทำ ก็บรรยายให้ มองเหน็ ความสำคญั และซาบซง้ึ ในคุณค่า เหน็ สมจรงิ จนผู้ฟงั ยอมรบั อยากลงมือทำ หรอื นำไปปฏบิ ัติ ๓. สมตุ เตชนา เร้าให้กลา้ คือ ปลกุ ใจใหค้ กึ คกั เกิดความ กระตอื รือร้น มีกำลังใจแข็งขนั ม่นั ใจจะทำใหส้ ำเร็จ ไม่กลวั เหนด็ เหนอ่ื ย หรือยากลำบาก ๔. สมั ปหงั สนา ปลุกใหร้ า่ เริง คอื ทำบรรยากาศใหส้ นกุ สดชื่น แจ่มใส เบิกบานใจ ให้ผฟู้ ังแชม่ ชนื่ มีความหวัง มองเห็นผลดแี ละทางสำเร็จ จำงา่ ยๆ ว่า สอนให้ แจ่มแจ้ง จูงใจ แกล้วกลา้ รา่ เริง (เชน่ ที.ส.ี ๙/๑๙๘/๑๖๑) ง. มีหลกั ตรวจสอบสาม เมอ่ื พูดอยา่ งรวบรดั ท่ีสุด ครูอาจตรวจสอบตนเอง ดว้ ยลักษณะการสอนของพระบรมครู ๓ ประการ คอื ๑. สอนดว้ ยความรจู้ ริง ร้จู รงิ ทำไดจ้ รงิ จึงสอนเขา ๒. สอนอยา่ งมเี หตุผล ให้เขาพจิ ารณาเข้าใจแจง้ ดว้ ยปญั ญาของ เขาเอง ๓. สอนใหไ้ ดผ้ ลจรงิ สำเรจ็ ความมงุ่ หมายของเร่ืองทสี่ อนนัน้ ๆ เชน่ ใหเ้ ขา้ ใจไดจ้ ริง เหน็ ความจรงิ ทำไดจ้ ริง นำไปปฏิบตั ไิ ดผ้ ลจริง เป็นตน้ (อง.ฺ ติก. ๒๐/๕๖๕/๓๕๖) จ. ทำหนา้ ท่ีครตู ่อศษิ ย์ คอื ปฏบิ ัตติ อ่ ศิษย์ โดยอนเุ คราะหต์ ามหลกั ธรรม เสมือนเปน็ ทิศเบ้ืองขวา* ดงั นี้ ๑. แนะนำฝกึ อบรมใหเ้ ป็นคนดี ๓
๒. สอนใหเ้ ข้าใจแจ่มแจง้ ๓. สอนศิลปวทิ ยาให้สิน้ เชงิ ๔. สง่ เสริมยกย่องความดีงามความสามารถใหป้ รากฏ ๕. สร้างเครือ่ งคุ้มภัยในสารทศิ คือ สอนฝึกศษิ ย์ใหใ้ ช้วชิ าเล้ยี งชพี ไดจ้ ริงและรูจ้ ักดำรงตนด้วยดี ทีจ่ ะเป็นประกันให้ดำเนนิ ชีวิตดงี ามโดยสวสั ดี มีความสขุ ความเจรญิ ** (ที.ปา. ๑๑/๒๐๐/๒๐๓) ๔
บทท่ี ๒ หลกั ธรรมของผูเ้ ล่าเรียนศกึ ษา (นกั เรยี น นักศึกษา นักคน้ ควา้ ) คนที่เลา่ เรียนศกึ ษา จะเป็นนกั เรยี น นกั ศกึ ษา หรอื นกั คน้ คว้าก็ ตาม นอกจากจะพงึ ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมสำหรบั คนท่ีจะประสบ ความสำเร็จ คือ จักร ๔* และอิทธบิ าท ๔* แล้ว ยังมีหลกั การทีค่ วรรู้ และ หลกั ปฏบิ ัตทิ ี่ควรประพฤตอิ กี ดังต่อไปนี้ ก. รู้หลักบุพภาคของการศึกษา ข. มหี ลกั ประกนั ของชวี ติ ที่พฒั นา ค. ทำตามหลักเสรมิ สรา้ งปญั ญา ง. ศึกษาให้เปน็ พหูสตู จ. เคารพผู้จุดประทปี ปญั ญา ก. รู้หลกั บุพภาคของการศกึ ษา คือ รจู้ ักองคป์ ระกอบทเ่ี ปน็ ปัจจัยแหง่ สัมมาทฏิ ฐิ ๒ ประการ ดังนี้ ๑. องคป์ ระกอบภายนอกทีด่ ี ได้แก่ มกี ลั ยาณมติ ร หมายถงึ รจู้ กั หาผูแ้ นะนำสัง่ สอน ท่ีปรึกษา เพอ่ื น หนงั สอื ตลอดจนสิง่ แวดล้อมทาง สังคมโดยทัว่ ไปทีด่ ี ท่ีเกื้อกลู ซึ่งจะชักจงู หรือกระตนุ้ ให้เกดิ ปัญญาไดด้ ้วย การฟงั การสนทนา ปรกึ ษา ซกั ถาม การอ่าน การคน้ คว้า ตลอดจนการ รู้จกั เลอื กใช้ส่ือมวลชนใหเ้ ปน็ ประโยชน์ ๒. องค์ประกอยภายในทดี่ ี ได้แก่ โยนิโสมนสกิ าร หมายถึง การใช้ ความคิดถกู วิธี รจู้ ักคิด หรือคดิ เปน็ คือ มองสง่ิ ทัง้ หลายด้วยความคดิ พิจารณา สบื สาวหาเหตผุ ล แยกแยะส่งิ นั้น ๆ หรอื ปญั หานนั้ ๆ ออกให้เหน็ ตามสภาวะและตามความสัมพันธแ์ ห่งเหตปุ จั จยั จนเขา้ ถงึ ความจรงิ และ แกป้ ัญหาหรอื ทำประโยชน์ให้เกดิ ข้ึนได้ ๕
กล่าวโดยยอ่ วา่ ข้อหนง่ึ รู้จกั พึง่ พาใหไ้ ด้ประโยชนจ์ ากคนและส่ิงทีแ่ วดล้อม ขอ้ สอง รู้จักพึ่งตนเอง และทำตวั ให้เปน็ ทพี่ ึ่งของผอู้ ่นื (ม.มู. ๑๒/๔๙๗/๕๓๙) ข. มหี ลกั ประกันของชีวิตทพี่ ัฒนา เมื่อรหู้ ลกั บุพภาคของการศึกษา ๒ อย่างแลว้ พงึ นำมาปฏิบัติใน ชวี ิตจริง พรอ้ มกับสรา้ งคณุ สมบัตอิ ื่นอีก ๕ ประการใหม้ ีในตน รวมเปน็ องค์ ๗ ทเ่ี รยี กว่า แสงเงินแสงทองของชวี ติ ทด่ี ีงาม หรือ รงุ่ อรณุ ของการศกึ ษา ท่ี พระพทุ ธเจ้าทรงเปรยี บวา่ เหมือนแสงอรณุ ทเี่ ปน็ บุพนมิ ติ แหง่ อาทติ ยอ์ ทุ ัย เพราะเปน็ คุณสมบัติต้นทุนทเี่ ปน็ หลักประกันวา่ จะทำให้กา้ วหน้าไปใน การศึกษา และชีวิตจะพฒั นาสคู่ วามดงี ามและความสำเรจ็ ทส่ี งู ประเสริฐ อย่างแน่นอน ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. แสวงแหล่งปญั ญาและแบบอย่างที่ดี ๒. มีวนิ ัยเปน็ ฐานของการพัฒนาชวี ติ ๓. มีจิตใจใฝ่รใู้ ฝ่สร้างสรรค์ ๔. มุ่งม่ันฝึกตนจนเต็มสดุ ภาวะทค่ี วามเปน็ คนจะใหถ้ งึ ได้ ๕. ยดึ ถือหลักเหตปุ จั จัยมองอะไรๆ ตามเหตุและผล ๖. ตง้ั ตนอย่ใู นความไมป่ ระมาท ๗. ฉลาดคดิ แยบคายให้ไดป้ ระโยชนแ์ ละความจริง ค. ทำตามหลกั เสริมสร้างปญั ญา ในทางปฏบิ ัติ อาจสรา้ งปัจจัยแหง่ สัมมาทฏิ ฐิ ๒ อย่างข้างตน้ น้นั ได้ ดว้ ยการปฏิบตั ิตามหลกั วฒุ ธิ รรม* (หลักการสรา้ งความเจริญงอกงามแหง่ ปญั ญา) ๔ ประการ ๖
๑. สัปปุริสสงั เสวะ เสวนาผรู้ ู้ คือ รจู้ กั เลอื กหาแหลง่ วิชา คบหา ทา่ นผู้รู้ ผทู้ รงคุณความดี มภี มู ธิ รรมภมู ิปญั ญานา่ นับถอื ๒. สัทธัมมสั สวนะ ฟังดูคำสอน คอื เอาใจใส่สดบั ตรับฟังคำ บรรยาย คำแนะนำสง่ั สอน แสวงหาความรู้ ทง้ั จากตัวบุคคลโดยตรง และ จากหนังสอื หรือสอื่ มวลชน ตั้งใจเล่าเรยี น คน้ ควา้ หมัน่ ปรกึ ษาสอบถาม ให้ เข้าถงึ ความร้ทู ่ีจริงแท้ ๓. โยนโิ สมนสกิ าร คดิ ให้แยบคาย คอื รู้ เห็น ได้อ่าน ได้ฟงั ส่งิ ใด กร็ จู้ กั คดิ พจิ ารณาด้วยตนเอง โดยแยกแยะใหเ้ ห็นสภาวะและสืบสาวใหเ้ หน็ เหตผุ ลว่านนั่ คืออะไร เกิดข้นึ ได้อย่างไร ทำไมจงึ เป็นอย่างน้ัน จะเกดิ ผล อะไรต่อไป มขี อ้ ดี ขอ้ เสยี คณุ โทษอยา่ งไร เป็นต้น ๔. ธรรมานธุ รรมปฏิบตั ิ ปฏบิ ตั ิใหถ้ ูกหลัก นำส่ิงทไ่ี ดเ้ ล่าเรียนรบั ฟังและตริตรองเหน็ ชัดแล้ว ไปใช้หรือปฏบิ ัตหิ รือลงมอื ทำ ให้ถูกตอ้ งตาม หลักตามความมุ่งหมาย ใหห้ ลักยอ่ ยสอดคลอ้ งกับหลกั ใหญ่ ข้อปฏบิ ัติย่อย สอดคลอ้ งกับจุดหมายใหญ่ ปฏบิ ัตธิ รรมอย่างรเู้ ป้าหมาย เชน่ สันโดษเพื่อ เกือ้ หนนุ การงาน ไมใ่ ช่สนั โดษกลายเปน็ เกียจคร้าน เปน็ ตน้ (องฺ.จตุกฺก. ๒๑/๒๔๘/๓๓๒) ง. ศกึ ษาให้เปน็ พหูสตู คอื จะศึกษาเลา่ เรียนอะไร ก็ทำตนให้เป็นพหูสตู ในดา้ นนั้น ด้วย การสร้างความรคู้ วามเข้าใจให้แจม่ แจ้งชัดเจนถงึ ขนั้ ครบ องคค์ ุณของ พหูสตู (ผ้ไู ดเ้ รยี นมาก หรือผคู้ งแก่เรียน) ๕ ประการ คือ ๑. พหุสสฺ ุตา ฟงั มาก คอื เลา่ เรียน สดบั ฟัง รเู้ หน็ อา่ น สง่ั สม ความรู้ในด้านนน้ั ไว้ให้มากมายกว้างขวาง ๒. ธตา จำได้ คอื จบั หลกั หรอื สาระได้ ทรงจำเรอื่ งราวหรอื เน้ือหา สาระไวไ้ ดแ้ มน่ ยำ ๗
๓. วจสา ปริจติ า คล่องปาก คอื ท่องบ่น หรือใช้พูดอยู่เสมอ จน แคล่วคล่องจัดเจน ใครสอบถามก็พดู ช้ีแจงแถลงได้ ๔. มนสานุเปกขฺ ติ า เจนใจ คอื ใสใ่ จนึกคิดจนเจนใจ นึกถึงครัง้ ใด ก็ปรากฏเน้อื ความสว่างชัดเจน มองเห็นโลง่ ตลอดไปท้ังเร่ือง ๕. ทฏิ ฐฺ ยิ า สุปฏิวทิ ธฺ า ขบได้ด้วยทฤษฎี คือ เข้าใจความหมายและ เหตุผลแจ่มแจง้ ลกึ ซ้งึ ร้ทู ไี่ ปทม่ี า เหตุผล และความสัมพนั ธข์ องเน้อื ความ และรายละเอียดต่างๆ ทั้งภายในเรือ่ งนั้นเอง และทเี่ กย่ี วโยงกบั เรือ่ งอน่ื ๆ ในสายวชิ าหรือทฤษฎนี ั้นปรุโปรง่ ตลอดสาย (อง.ฺ ปญฺจก. ๒๒/๘๗/๑๒๙) จ. เคารพผจู้ ุดประทปี ปัญญา ในด้านความสมั พันธก์ บั ครูอาจารย์ พงึ แสดงคารวะนบั ถือ ตาม หลักปฏบิ ัตใิ นเรือ่ งทิศ ๖ ข้อวา่ ดว้ ย ทศิ เบือ้ งขวา* ดังนี้ ๑. ลุกตอ้ นรบั แสดงความเคารพ ๒. เข้าไปหา เพอ่ื บำรุง รับใช้ ปรึกษา ซกั ถาม รบั คำแนะนำ เปน็ ต้น ๓. ฟังด้วยดี ฟังเป็น รูจ้ กั ฟังใหเ้ กิดปญั ญา ๔. ปรนนิบตั ิ ช่วยบรกิ าร ๕. เรยี นศลิ ปวทิ ยาโดยเคารพ เอาจริงเอาจัง ถือเป็นกิจสำคญั (ท.ี ปา. ๑๑/๒๐๐/๒๐๓) ๘
บรรณานุกรม พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). ธรรมนูญชวี ติ . มหาจฬุ าลงกรณราช วทิ ยาลัย, กรุงเทพฯ : ๒๕๔๐. ๙
ภาคผนวก ……………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………… ๑๐
แนะนำผู้เขยี น ...................................................................................................................... ...................................................................................................................... ...................................................................................................................... ...................................................................................................................... ................................................................................................ ๑๑
๑๒
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: