การวเิ คราะหน ้าํ และนาํ้ เสยี เบอื้ งตน บทท่ี 1 แหลงน้ําและคุณลักษณะของนา้ํ โดย ไพฑูรย หมายมัน่ สมสุข นกั วิทยาศาสตร 8ว กรมโรงงานอุตสาหกรรม น้าํ เปน ทรัพยากรธรรมชาติทจี่ าํ เปนตอการดํารงชีวิตของสิง่ มชี วี ติ เชน มนษุ ย สตั วแ ละพืชตา งๆ โดยเฉพาะอยา งยิง่ มนษุ ยซ่งึ มกี ารใชนาํ้ เปน ปจจยั หลักในกิจกรรมตางๆในชีวิตประจาํ วัน เชน การ อุปโภค การบรโิ ภค การเกษตรกรรม การอุตสาหกรรม การชลประทาน การคมนาคมขนสง การกีฬาและ ดานอ่นื ๆ ตงั้ แตอ ดตี กาล มนษุ ยมกั ต้งั ถ่นิ ฐานอยูในแถบลมุ แมน ํา้ หรือในบรเิ วณท่มี แี หลง น้าํ ทําใหมแี หลง อารยธรรมตามเขตลุม นํ้าตางๆมากมาย ดงั นั้นจะเหน็ ไดวานาํ้ มคี วามสาํ คัญอยา งมากตอการดํารงอยู ของสิง่ มีชวี ติ นํา้ ในแหลง น้ําธรรมชาติมีปริมาณมากเพยี งพอและมีความสะอาดโดยมีส่ิงเจอื ปนอยบู า ง ซ่ึงมคี ณุ ลักษณะแปรเปล่ียนไปตามแหลงและลกั ษณะของสง่ิ แวดลอมของแหลง น้ํานน้ั แตเม่ือกาลเวลา ผา นไป โลกของเรามจี าํ นวนประชากรเพม่ิ มากขึ้นอยา งรวดเรว็ อันเปนผลทําใหมีการใชประโยชนจากนา้ํ ในการประกอบกิจกรรมตา งๆดงั ทก่ี ลา วมาแลว ขางตน เพม่ิ ขึน้ ตามไปดวยอยางมากมาย ดวยเหตนุ ี้จึง เปน ผลทาํ ใหน ํา้ ในแหลงนา้ํ ตา งๆถกู ปนเปอนดว ยสารเจือปนหลากหลายชนดิ และหลายประเภทใน ปรมิ าณท่ตี างๆกันซง่ึ เปน สารที่มาจากกิจกรรมตา งๆของมนุษยน ัน่ เองโดยเฉพาะในแหลง ชุมชนทมี่ ี ประชากรอาศัยอยเู ปนจํานวนมากและแหลงประกอบการอตุ สาหกรรม ดังนน้ั ในปจ จบุ ันน้าํ ในแหลง นํ้า จงึ มคี ุณภาพที่เปลีย่ นแปลงไปตามลกั ษณะของการใชงานและของเสยี หรือส่งิ เจือปนทปี่ นเปอ นลงไปใน นาํ้ ทัง้ ท่มี าจากน้าํ ท้ิงชุมชน นํา้ ทง้ิ จากการประกอบการอุตสาหกรรมและนาํ้ ทิ้งจากการประกอบการ เกษตรกรรม ทําใหเกิดปญ หาทางดา นมลพษิ ทางนํ้า (Water Pollution) ดังน้นั จึงมคี วามจาํ เปนอยา งยงิ่ ทจ่ี ะตอ งมกี ารตรวจสอบและเฝา ระวังคณุ ภาพนํา้ ในแหลงนํ้าตา งๆเพอื่ อนรุ ักษแหลงน้ําใหม คี ุณภาพทีด่ ี ตอไป 1.1 แหลง นา้ํ ตามธรรมชาติ โดยทัว่ ไป แหลงน้าํ ตามธรรมชาติมกี ารจัดแบง ตามลักษณะของน้ําออกเปน 3 ประเภท คือ นํ้าฝน น้าํ ผวิ ดินและนํา้ ใตด นิ ซ่ึงมีปรมิ าณนาํ้ ในแตล ะประเภทดังแสดงไวใ นตาราง 1.1 ก. นา้ํ ฝน นํ้าฝนมีการกระจายไปตามแหลง นาํ้ ประเภทตางๆ เชน เมื่อฝนตกน้ําฝนจะซมึ ลงไปในดนิ หนึ่ง สว นและอีกสวนหน่ึงจะไหลนองไปตามพื้นดนิ นาํ้ ฝนทซ่ี ึมลงไปในดนิ ก็จะกลายเปน น้าํ ใตด ินประมาณ 10% ระเหยไปประมาณ 30% และอกี ประมาณ 10% จะซมึ ขน้ึ มาบนผิวดินซ่งึ จะรวมกบั น้ําท่ีไหลนองไป ตามบนพน้ื ดินประมาณ 50 % รวมเปน น้าํ ผวิ ดนิ ทง้ั หมด (60%) และแหลงนํ้าผวิ ดินนเี้ องทใี่ ชเ ปนแหลง นํา้ ในการผลติ น้าํ ประปาสําหรับใชทวั่ ไป อยางไรกต็ ามแหลงน้ําผวิ ดนิ น้มี ีอตั ราการระเหยสูงพอสมควร เนอื่ งจากมพี ื้นทผ่ี ิวมาก ดงั น้นั จะเหน็ ไดวา น้ําฝนเปน สวนท่สี ําคัญตอ การกาํ เนดิ ของน้ําผิวดินนัน่ เอง ประเทศไทยมปี ริมาณน้าํ ฝนเฉล่ียสูงพอสมควรโดยมีคา เฉล่ยี ปละประมาณ 1800 มิลลเิ มตร ปรมิ าณ 1-1
การวิเคราะหนํา้ และนํ้าเสียเบือ้ งตน น้าํ ฝนนอยทีส่ ดุ ท่จี ังหวดั ตากและมากที่สุดท่จี งั หวดั ระนอง ประมาณ 1000 และ 4500 มลิ ลิเมตรตอป ตามลาํ ดับ ตาราง 1.1 การกระจายปรมิ าณนาํ้ ของแหลง นํ้าตางๆบนโลก1 ประเภทแหลง นํ้า ปรมิ าณนํ้า (x 1012 ลบ.ม.) รอ ยละของนํ้าทั้งหมด แหลง น้ําฝน 13 0.001 แหลงน้ําผิวดนิ 125 0.0089 0.0001 ทะเลสาป 1 97.20 แมน ํา้ ลําธาร 1,320,000 2.16 ทะเลและมหาสมทุ ร 0.32 แหลง น้ําเคม็ อ่ืนๆ 29,104 0.31 แหลงนํ้าใตด นิ 4,237 100 บอนํ้าตนื้ 4,170 บอ น้ําบาดาล 1,357,650 รวมทัง้ สน้ิ นาํ้ ฝนจดั เปน นํา้ ทสี่ ะอาดอยา งหน่ึงถาหากไมมีการปนเปอ นจากสารมลพิษในอากาศในขณะท่ี ฝนตกหรือไมมีการปนเปอนจากการเก็บกกั นา้ํ ฝนในภาชนะทีไ่ มสะอาดและวิธีการทีใ่ ชเก็บไมถ ูกวธิ ีตาม หลกั วิชาการ ในอดตี ประชาชนในชนบทจะเกบ็ กักนํ้าฝนไวใ ชในการอุปโภคบรโิ ภคไดอยางเพยี งพอและ เปนน้าํ ทส่ี ะอาดปราศจากสารพิษเจือปน แตใ นปจจุบนั น้ีการอตุ สาหกรรมเจริญกา วหนา และมกี าร ขยายตัวจากในเมอื งออกสูชนบทเปน ผลใหอ ากาศท่รี ะบายออกมาจากปลอ งของโรงงานอตุ สาหกรรมซง่ึ อาจจะมสี ารมลพษิ ปนเปอ นอยใู นบรรยากาศ เม่ือมฝี นตกลงมาจึงทาํ ใหน าํ้ ฝนทีไ่ ดมีความสะอาดนอยลง จากการศกึ ษาคณุ ภาพนํ้าฝน เม่อื ป 2536 จํานวน 18 ฝน จากท่ตี า งๆในเขตกรงุ เทพมหานครและ ปรมิ ณฑล พบวา ในชว ง 5 นาทแี รกของฝนมคี าความเปน กรดและดาง ตา่ํ กวา 5.6 และมีคาสูงขน้ึ เมอ่ื เวลาผา นไป 15 - 20 นาที สวนปริมาณอิออนลบ เชน คลอไรดและซัลเฟต เปนตน มคี ายังไมสูงนกั ยังคง อยูใ นเกณฑมาตรฐานนํา้ ดืม่ ขององคก ารอนามยั โลก ปรมิ าณออิ อนบวกบางชนิด เชน สังกะสกี ย็ งั มี ปริมาณอยใู นเกณฑมาตรฐาน สว นแคดเมยี ม(II)ออิ อนมีคาสงู กวา มาตรฐานประมาณ 2 เทา และตะกวั่ (II) ออิ อน มคี า สงู มากโดยเกินกวา ทกี่ ําหนดไวในมาตรฐานประมาณ 4 เทา รายละเอียดแสดงไวใน ตาราง 1.2 จากขอมลู ขางตน จะเหน็ ไดวา นํ้าฝนท่ตี กลงมาในเขตกรงุ เทพมหานครและปริมณฑลมลี ักษณะ เปน ฝนกรดและมีซลั เฟตคอ นขางสูงเลก็ นอยเนอ่ื งจากมีการใชน ํ้ามนั เช้อื เพลงิ กนั มากสําหรบั เคร่ืองจกั ร และรถยนตต า งๆ ทําใหม กี า ซออกไซดข องกํามะถันอยใู นอากาศมาก นอกจากนีย้ งั พบวา มีปรมิ าณ ตะกั่วในอากาศสงู ดวยเนอ่ื งจากการใชตะกัว่ เปนสารกันนอ คในนํ้ามันเช้ือเพลงิ 1 ปรบั ปรงุ จาก เกรยี งศกั ด์ิ อุดมสนิ โรจน. วศิ วกรรมสิง่ แวดลอ ม. มิตรนราการพิมพ. กรุงเทพฯ. 2537. หนา 7 1-2
การวิเคราะหนํ้าและนาํ้ เสียเบอื้ งตน ตาราง 1.2 คณุ ภาพนํ้าฝนในเขตกรงุ เทพมหานครและปรมิ ณฑล2 ดัชนี คา เฉลยี่ สว นเบ่ยี งเบน คาตํา่ สุด คาสงู สดุ มาตรฐานนํา้ ดม่ื * มาตรฐาน 4..0 5.8 - pH (0 - 5 นาที) 4.8 4.4 6.1 - pH (15 - 20 นาท)ี 5.2 0.5 0.34 8.80 250 Cl-(ppm) 2.90 0.5 37.0 254.0 250 CSOd24+= (ppm) 116.6 1.88 6.8 73.4 10 (ppb) 26.1 61.0 57.8 571.2 50 Pb2+ (ppb) 217.8 19.1 32.6 129.0 Zn2+ (ppb) 73.9 126.1 5,000 *องคการอนามยั โลก 28.5 สาํ หรับคุณภาพนาํ้ ฝนโดยท่ัวไปแสดงไวใ นตารางที่ 1.3 ตาราง 1.3 ขอมลู ทัว่ ไปเกย่ี วกบั คุณภาพนํา้ ฝน3 คาโดยทัว่ ไป < 0.5 คุณภาพนํ้า 25 ความขนุ (เอ็นทียู) 0.05 สารท่ลี ะลายไดท ้ังหมดหรือทีดเี อส(มิลลิกรัมตอ ลิตร) 25 แอมโมเนยี ไนโตรเจน(มิลลกิ รมั ไนโตรเจนตอลติ ร) 7.0 ความกระดา ง(มิลลกิ รมั CaCO3 ตอลติ ร ) 20 ความเปน กรดและดาง 2 สภาพดา ง(มิลลิกรมั ตอ ลิตร) 6 แมกนีเซียม(มิลลกิ รมั ตอ ลติ ร) 5 แคลเซียม(มิลลกิ รัมตอลิตร) 0 โซเดยี ม(มลิ ลิกรมั ตอลิตร) 0.05 ฟอสฟอรัส(มลิ ลิกรมั ตอ ลติ ร) 0.2 เหล็ก(มิลลิกรัมตอลติ ร) 18 คารบ อนอนิ ทรยี หรอื ทโี อซ(ี มลิ ลกิ รมั ตอ ลิตร) 4 ไบคารบ อเนต(มลิ ลิกรัมตอลิตร) 0.1 ซัลเฟต(มลิ ลิกรมั ตอลติ ร) 5 ไนเตรต(มิลลกิ รมั ตอ ลิตร) 0 คลอไรด( มลิ ลิกรัมตอลิตร) 0 โคไลฟอรม (เอม็ พีเอ็น/100 มิลลลิ ติ ร) ไวรสั (pfu/100 มิลลลิ ติ ร) 2 วินยั สมบรู ณ วารสารส่ิงแวดลอม ปท ่ี 2 ฉบับที่ 4 กรกฎาคม-สงิ หาคม 2539 หนา 19 3 เกรียงศักด์ิ อุดมสนิ โรจน. วิศวกรรมส่ิงแวดลอ ม. มิตรนราการพิมพ. กรุงเทพฯ. 2537. หนา 20 1-3
การวเิ คราะหน า้ํ และนํา้ เสียเบอ้ื งตน ข. นํา้ ผวิ ดนิ (Surface Water) น้ําผิวดนิ แบง ออกเปน 2 ชนดิ คอื แหลงนํ้าผิวดินทม่ี ใิ ชทะเลและนาํ้ ทะเล แหลงน้ําผิวดนิ ท่เี ปน ท่ีรูจกั กันดไี ดแก หวย หนอง คลอง บึง ลาํ น้าํ แมน าํ้ กวา น ทะเลสาบ และทะเล เปนตน แหลง น้าํ ชนิดนี้ เปนแหลงนํ้าทีม่ กี ารใชกนั มาก โดยเฉพาะอยา งยง่ิ ในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม รวมท้ังการอุปโภค และบรโิ ภค แหลง นาํ้ ดบิ สาํ หรับการผลิตน้าํ ประปาทีใ่ ชก นั อยูในปจ จบุ ันสวนมากแลวก็อาศยั นํา้ จากแหลง นาํ้ ผิวดนิ นน่ั เอง แหลง น้ําประเภทนมี้ กั มีการตกตะกอนและการกดั เซาะของดนิ ในเวลาเดียวกนั โดยเฉพาะอยางยิ่งน้าํ ผวิ ดินทม่ี กี ารไหล เชน แมนํา้ ลําน้ํา ลําคลองและลาํ ธารตา งๆ เปนตน ซึ่งในท่สี ุด แลว สว นมากมักจะไหลลงสูทะเลในทส่ี ุด ทาํ ใหคณุ ภาพน้ําในแหลง น้ํามีการเปลยี่ นแปลงเกอื บจะ ตลอดเวลา คุณภาพน้าํ ของแหลง นํ้าผวิ ดนิ จะข้นึ อยกู ับปจจยั หลายๆอยาง เชน สภาพและลักษณะของ ดนิ ท่ีกน แหลง นาํ้ ลักษณะและสภาพภูมิอากาศทัว่ ไป แนวระดับสูงต่ําของแหลง นํ้า และการรองรบั น้ํา จากแหลง ตางๆ เชน ชุมชน อุตสาหกรรม เกษตรกรรม เปนตน ตารางท่ี 1.4 แสดงขอ มูลคุณภาพ โดยทั่วไปของนํา้ ผวิ ดิน ตาราง 1.4 ขอมูลทัว่ ไปเกยี่ วกับคณุ ภาพน้าํ ผิวดิน4 คาโดยทว่ั ไป 50 คณุ ภาพนํา้ 50 ส(ี หนว ยส)ี 150 ความขนุ (เอน็ ทียู) 3 สารที่ละลายไดท ัง้ หมดหรือทดี ีเอส(มิลลิกรัมตอลิตร) 90 ไนโตรเจน(มิลลกิ รัมไนโตรเจนตอ ลติ ร) 7.5 ความกระดา ง(มลิ ลิกรมั CaCO3 ตอลิตร) 100 ความเปน กรดและดา ง 20 สภาพดาง(มลิ ลกิ รมั CaCO3 ตอ ลติ ร) 30 แมกนเี ซยี ม(มิลลกิ รัมตอลิตร) 20 แคลเซียม(มิลลิกรัมตอลิตร) 2 โซเดยี ม(มลิ ลกิ รมั ตอ ลติ ร) โพแตสเซยี ม(มลิ ลกิ รัมตอลติ ร) 0.05 ฟอสฟอรสั (มลิ ลกิ รัมตอลติ ร) 0.5 เหล็ก(มลิ ลิกรัมตอ ลติ ร) 0.02 แมงกานีส(มิลลิกรัมตอ ลิตร) 90 ไบคารบอเนต(มิลลกิ รัมตอ ลติ ร) 20 ซลั เฟต(มิลลิกรมั ตอ ลิตร) 0.5 ไนเตรต(มิลลิกรมั ตอ ลิตร) 25 คลอไรด(มิลลิกรมั ตอ ลิตร) 0.2 ฟลอู อไรด( มิลลิกรัมตอลติ ร) 2,000 โคไลฟอรม(เอ็มพเี อน็ /100 มิลลลิ ติ ร) 10 ไวรัส(pfu/100 มิลลิลติ ร) 4 เกรยี งศักด์ิ อดุ มสินโรจน. วศิ วกรรมสิ่งแวดลอม. มิตรนราการพิมพ. กรงุ เทพฯ. 2537. หนา 9 1-4
การวิเคราะหน้าํ และนาํ้ เสียเบือ้ งตน สาํ หรบั คณุ ภาพนํา้ แมน ํ้าท่สี ําคญั บางแหลงในเขตภาคเหนือซ่งึ ไดทําการตรวจวดั ในเดือน เมษายน 2542 แสดงไวในตาราง 1.5 ตารางที่ 1.5 คุณภาพน้าํ บางแหลง ในเขตภาคเหนอื (เมษายน 2542) ดัชนคี ุณภาพนาํ้ แมน าํ้ ปง แมนาํ้ วัง แมน้าํ ยม แมนํ้านา น แมนํ้าปาสกั อุณหภมู ิ(องศาเซลเซยี ส) (คาตา่ํ สดุ -สูงสดุ ) 26.5-34.6 26.40-32.90 27.8-34.60 27.3-31.6 27.7-34.9 (คา เฉลี่ย) 30.2 31.05 30.60 28.16 32.6 6.5-7.5 7.3-8.6 6.6-8.9 6.2-7.9 7.4-8.8 ความเปน กรด-ดา ง (คา ตํา่ สดุ -สูงสุด) 6.74 7.712 7.60 6.60 7.8 (คา เฉล่ยี ) 3.9-8.9 4.4-13.7 5.1-7.8 2.4-10.1 4.9 5.3 5.8 4.4-13.7 ออกซิเจนละลาย มก/ล.(คา สูงสุด-ต่ําสุด) 6.2 6.15 6.28 6.62 4.7 (เปอรเ ซ็นไทลท ี2่ 0) 6.81 1.0 3.2 0.8 6.28 (คา เฉลี่ย) 1.9 10.2 19.4 6.1 3.3 13.6 <0.1 <0.1 20.9 บโี อดี มก/ล. (เปอรเซ็นไทลท 8่ี 0) 0..009-0.359 <0.1 <0.1 ซโี อดี มก/ล. (คา เฉลยี่ ) 0.014-0.180 <0.1 <0.1 <0.1-1.14 0.051 0.024-1.590 <0.1 0.41 ไนเตรท-ไนโตรเจน มก/ล. (คา ต่ําสุด-สงู สุด) 0.006-0.563 0.223 <0.01 (คาเฉลย่ี ) 0.022-0.116 0.134 <0.01 <0.01 <0.1-0.32 0.051 <0.01 <0.01 <0.1 แอมโมเนยี -ไนโตรเจน มก/ล.(คา ตาํ่ สดุ -สูงสดุ ) <0.005 <0.005-0.005 <0.01 <0.01 <0.01 (คาเฉล่ีย) <0.005 <0.01 <0.01 <0.01 0.034-0.075 <0.01 ทองแดง มก/ล. (คาตาํ่ สดุ -สูงสุด) <0.005-0.016 <0.005-0.011 0.003-0.93 0.045 <0.01 (คา เฉล่ีย) 0.006 <0.01 0.154 0.016-0.12 0.03-0.93 นคิ เกิล มก/ล. (คา ต่ําสดุ -สงู สุด) 0.013-0.31 0.032-0.42 0.006-0.077 0.04 0.37 (คาเฉล่ีย) 0.077 0.159 0.044 <0.005 <0.005 <0.005 0.02-0.20 แมงกานีส มก/ล. (คา ตํ่าสุด-สงู สุด) 0.045-1.12 0.092-0.20 <0.005 <0.01 0.06 (คา เฉลย่ี ) 0.15 0.12 <0.01 <0.01 <0.005 <0.002 <0.005 <0.01 <0.01 <0.005 ปรอท มก/ล. (คาตาํ่ สุด-สงู สดุ ) <0.002 <0.005 <0.01 <0.01 <0.01 (คาเฉลี่ย) <0.01 <0.01 <0.01 <0.005-0.006 <0.01 <0.01 แคดเมย่ี ม มก/ล. (คาตาํ่ สดุ -สงู สุด) <0.005 <0.01 <0.01 (คา เฉลี่ย) <0.005 <0.01 <0.005 โครเมียม มก/ล. (คา ตํา่ สดุ -สงู สดุ ) (คา เฉลยี่ ) ตะกว่ั มก/ล. (คา ตาํ่ สดุ -สงู สดุ ) (คาเฉลี่ย) 1-5
การวิเคราะหนํา้ และนํา้ เสยี เบอ้ื งตน ค. น้าํ ใตด ิน (Underground Water) นา้ํ ใตดนิ ไดแก นาํ้ บอต้ืน นํา้ บาดาล เปน ตน นาํ้ ใตด ินนจ้ี ะเปน แหลง นาํ้ หลักสําหรับประชาชนที่ อยูใ นเขตทอ่ี ยูห างจากบริเวณที่มแี หลงนํา้ ผิวดิน โดยท่ีนา้ํ ใตด ินเกิดจากการสะสมของนาํ้ ผวิ ดนิ ท่ีซมึ ลง ไปในชัน้ ดนิ และเมื่อมปี รมิ าณมากข้ึนกจ็ ะรวมตวั กนั เปนแอง และมีการแตกแยกออกมาเปนสายนาํ้ ท่อี ยู ใตดินในท่ีตางๆทชี่ าวบา นท่วั ไปเรียกวา ตานา้ํ แองนํ้าใตด ินนม้ี ีท้ังท่เี ปน แอง ขนาดใหญและขนาดเล็ก และอยใู นชัน้ ดนิ ทค่ี วามลกึ ตางๆกันแลวแตลักษณะทางธรณวี ทิ ยาของชัน้ ดินในบริเวณน้ันๆ เม่ือตองการ นาํ นํ้าจากแหลง นํ้าใตด นิ ข้นึ มาใชจ ะตองมกี ารขุดหรอื เจาะเปนบอ โดยถาการขุดหรือเจาะบอ นํา้ ใตดนิ อยู ในระดับทีไ่ มล กึ กจ็ ะเรยี กวา บอนํา้ ตื้น แตถาแองหรอื แหลงนํา้ ใตด นิ น้นั อยลู กึ จากผวิ ดินมากกจ็ ะเรียกวา บอ นํา้ บาดาล ตาราง 1.6 ขอ มูลทวั่ ไปเก่ียวกบั คณุ ภาพน้ําใตดนิ 5 คา โดยท่ัวไป คุณภาพน้าํ 0.5 250 ความขุน (เอน็ ทยี ู) 10 สารที่ละลายไดท ัง้ หมดหรอื ทดี ีเอส(มลิ ลิกรัมตอลติ ร) 120 ไนโตรเจน(มิลลิกรมั ไนโตรเจนตอ ลติ ร) 7.5 ความกระดาง(มิลลิกรมั CaCO3 ตอ ลิตร ) 150 ความเปนกรดและดาง สภาพดาง(มิลลิกรมั ตอลิตร) 5 แมกนเี ซียม(มลิ ลิกรัมตอลิตร) 40 แคลเซยี ม(มิลลิกรมั ตอลิตร) 5 โซเดยี ม(มลิ ลกิ รัมตอ ลติ ร) 2 โพแตสเซยี ม(มลิ ลิกรัมตอลิตร) 0.01 ฟอสฟอรสั (มิลลิกรมั ตอ ลิตร) 0.1 เหล็ก(มลิ ลิกรมั ตอลติ ร) 0.5 คารบ อนอินทรยี หรือทโี อซี(มลิ ลกิ รมั ตอลิตร) 120 ไบคารบอเนต(มลิ ลกิ รัมตอ ลิตร) 10 ซลั เฟต(มลิ ลกิ รัมตอ ลติ ร) 10 ไนเตรต(มิลลิกรมั ตอลติ ร) 25 คลอไรด(มิลลกิ รมั ตอลิตร) 0.1 ฟลอู อไรด(มิลลิกรมั ตอลติ ร) 100 โคไลฟอรม(เอม็ พีเอ็น/100 มิลลิลติ ร) 1.0 ไวรสั (pfu/100 มลิ ลลิ ติ ร) โดยปรกตนิ ํ้าใตด นิ มักจะมีคุณลกั ษณะทางกายภาพและทางชีววิทยาอยใู นเกณฑด ีเนอ่ื งจากถูก กรองโดยชั้นดนิ แตมกั มคี ุณลกั ษณะทางเคมีที่แตกตา งกนั มาก ทั้งนขี้ ึ้นอยูก ับสภาพทางธรณวี ิทยาของ ช้ันดนิ และช้นั หินของแหลง น้นั ๆ นํา้ พุ(Springs)เปนนํ้าใตดนิ ประเภทหนง่ึ ซง่ึ เกดิ จากนา้ํ ใตด ินทีม่ แี รงดัน 5 เกรียงศกั ดิ์ อุดมสินโรจน. วิศวกรรมสงิ่ แวดลอม. มิตรนราการพิมพ. กรุงเทพฯ. 2537. หนา 15 1-6
การวิเคราะหน ํา้ และน้ําเสยี เบอื้ งตน สงู ทําใหนาํ้ พุง ขนึ้ สงู พนระดบั พ้นื ดิน มีท้งั ที่เปน นาํ้ พธุ รรมดาและนํ้าพรุ อน(Hot Spring) สว นทางนา้ํ ซับ (Infiltration Galleries) เปน นํ้าใตดนิ ที่ซึมผา นชนั้ ดนิ ในแนวนอนหรอื แนวราบ ทาํ ใหน ้ําท่ไี ดค อนขางใส และถา มีปรมิ าณที่มากพอก็สามารถกกั เก็บและนาํ มาใชไ ด และบอนาํ้ ซบั (Infiltratioj Wells) เปนแหลง นํา้ ท่ีขุดขึน้ มาเพ่ือนาํ น้ํามาใชประโยชน โดยม่นี ้ําท่ีไดจะเกิดจากการซึมของน้ําในแหลง นํ้าบริเวณ ใกลเ คียงทั้งนา้ํ ใตดินและนาํ้ ผวิ ดินตา งๆทอ่ี ยรู อบๆบอนํ้าซบั นั้น ดงั นน้ั น้ําในบอนํา้ ซบั จงึ มีคุณลกั ษณะ ใกลเคยี งกบั ทางนํ้าซบั 1.2 คณุ สมบัติทางกายภาพของนํ้า ความหนาแนน ของนํา้ ขึ้นอยูกับอุณหภูมิของน้ําโดยนา้ํ จะมคี วามหนาแนน (หรอื ความ ถว งจาํ เพาะ) มากทส่ี ุดที่ 4 องศาเซลเซยี ส โดยจะมคี าเทากบั 1.00000 กรัมตอ ลูกบาศกเ ซนติเมตร นอกจากนี้ยงั ขึน้ อยกู ับสารทีเ่ จือปนอยใู นนาํ้ ดว ย อยางไรก็ตามนา้ํ โดยทัว่ ไปจะมคี าความหนาแนน ประมาณ 1 กรมั ตอลูกบาศกเซนติเมตร สว นน้ําทะเลที่มีปรมิ าณเกลือแกงประมาณ 3.5 % มคี วาม หนาแนน ประมาณ 1.025 กรัมตอ ลูกบาศกเซนตเิ มตร ตาราง 1.6 ความถวงจาํ เพาะของนาํ้ บรสิ ทุ ธิ์ทอ่ี ณุ หภูมติ า งๆ 6 อุณหภมู ิ (°C) ความถวงจาํ เพาะ อณุ หภมู ิ (°C) ความถวงจําเพาะ 0 0.99987 35 0.99406 2 0.99997 40 0.99224 4 1.00000 45 0.99025 6 0.99997 50 0.98807 8 0.99988 60 0.98324 10 0.999763 70 0.97781 15 0.99912 80 0.97183 20 0.99823 90 0.96534 25 0.99707 100 0.95838 30 0.99567 1.3 คุณสมบตั ทิ างเคมขี องนา้ํ โมเลกุลนํ้าประกอบดวยออกซิเจน 1 อะตอมและไฮโดรเจน 2 ใชอ เิ ล็กตรอนรวมกันกลายเปน พันธะทีแ่ ขง็ แรงมาก เรยี กวา พันธะโควาเลนท (covalent bond) และมีพันธะไฮโดรเจน(Hydrogen Bonding)ในระหวา งโมเลกลุ ของน้าํ ดว ยซงึ่ เกดิ ขึ้นระหวา งอะตอมไฮโดรเจนของโมเลกุลหนึง่ กบั อะตอม ออกซเิ จนของอีกโมเลกลุ หน่งึ ทําใหเกิดโครงสรา งโมเลกุลท่มี ีเสถียรภาพสูงและเปนทมี่ าของคุณสมบตั ิ ทางเคมบี างประการอันเปนเอกลักษณของน้าํ 6 ฉตั รไชย รตั นไชย การจดั การคณุ ภาพนํา้ พมิ พครั้งท่ี 2 โรงพมิ พจุฬาลงกรณมหาวทิ ยาลัย กรงุ เทพฯ :2539, หนา 25 1-7
การวิเคราะหน้ําและนํา้ เสยี เบ้อื งตน พนั ธะโควาเลนทในโมเลกลุ น้ํา และพนั ธะไฮโดรเจนระหวา งโมเลกลุ เปนสว นท่ที ําใหน า้ํ มี คุณสมบตั พิ ิเศษหลาย ๆ อยาง การมีพนั ธะทแ่ี ขง็ แรงทาํ ใหตองใชพ ลังงานมากในอนั ทจ่ี ะเปล่ียนจาก สถานะของแข็งเปนของเหลว และของเหลวเปน แกส ตลอดจนการเพิ่มอุณหภมู ิ ทําใหความรอ นแฝงของ การกลายเปนไอ ความรอนแฝงของการกลายเปนของเหลว และความรอนจาํ เพาะของนาํ้ มีคาสูงมาก นอกจากนี้ พนั ธะที่แข็งแรงขางตนยังทาํ ใหโ มเลกลุ มีแรงยดึ เหนย่ี วกนั อยา งเหนยี วแนน ทาํ ใหแรงตึงผวิ (surface tension) ของนาํ้ สูงกวาของเหลวอืน่ ๆ ทําใหน้าํ สามารถเคลือ่ นทีไ่ ปตามแรงแคปปลลารี่ (capillary) ตามชอ งวา งในดิน ในตนไม ตลอดจนในรางกายมนษุ ย โมเลกลุ บางโมเลกลุ ในน้าํ จะแตกตวั เปนไอออนทม่ี ีประจุตามสมการ H2O H+ + OH- โมเลกลุ ทแี่ ตกตัวมปี ริมาณคอนขางนอ ย ในนํา้ บริสทุ ธ์ิ 1 ลิตรจะมไี อออน [H+] และ [OH-] อยา ง ละประมาณ 10 -7 โมล ผลคูณของ [OH+] กับ [OH-] ท่ีอณุ หภมู คิ งทจ่ี ะมคี าคงที่ ทอ่ี ุณหภูมิ 25 °C [H+] [OH-] = 10-14 เพ่อื ใหงายและสะดวกจงึ ใชค า ลบของลอกการิทมึ (logarithm)ของคา ความเขมขนของ ไฮโดรเจนอิออนและเรยี กคานีว้ า พเี อช pH = -log[H+] เนื่องจากในน้ําบริสทุ ธ์ิมี [H+] = 10-7 โมลตอลิตร ดังนน้ั pH ของนํา้ บริสทุ ธ์เิ ทากบั -log(10-7) = 7 เม่ือน้าํ มีสภาพกรด ความเขมขนของ H+ จะสงู ข้นึ คา pH จะตํา่ ลง และเม่ือนาํ้ มสี ภาพ ดาง คา pH จะสูงขึ้น ควรตระหนักวา คา pH เปน สเกลลอกการทิ มึ ดังนั้นเม่อื คา pH เปล่ยี นไป 1 หนว ย หมายถึงความเปนกรดเปล่ียนไปถงึ 10 เทา เชนนา้ํ ทีม่ ีคา pH = 5 มคี วามเปนกรดมากกวา นา้ํ บริสุทธิ์ (pH = 7) ถึง 100 เทา สารเคมแี ทบทกุ ชนิดสามารถละลายในนํ้าไดมากบางนอยบา ง ซงึ่ นบั เปนคณุ สมบัตทิ ่สี าํ คญั อันหนึ่งของน้าํ ซึ่งเปนผลมาจากลักษณะโครงสรา งโมเลกลุ ของนํ้านั่นเอง คณุ สมบัตนิ เ้ี องทําใหย ากทจ่ี ะ เก็บรักษาน้ําบริสุทธ์ิ แมเราสามารถผลิตน้าํ ทคี่ อนขา งบริสทุ ธไิ์ ดดว ยเคร่ืองมือสมัยใหม แตดว ย ความสามารถในการทาํ ละลาย นา้ํ จะเร่ิมทําละลายตัง้ แตภ าชนะทร่ี องรบั ซ่งึ มกั สรางปญ หาใหก บั การ วิเคราะหในหอ งปฏิบัติการทต่ี องการความละเอียดแมนยําสูง ตาราง Solubility Product ที่ 25 องศา เซลเซยี ส (Snoeyink and Jenkins, 1980) แสดงผลคูณของประจุบวก (Cation) และประจลุ บ (Anion) เม่อื สารละลายในน้าํ (Solubility Product) ซึ่งมคี า คงท่ี และสามารถนาํ ไปคํานวนหาความสามารถใน การละลายของสารตา ง ๆ ในนํา้ ได (Snoeyink and Jenkins, 1980) 1-8
การวเิ คราะหนาํ้ และน้ําเสียเบื้องตน เมือ่ ฝนซง่ึ เปรียบเหมอื นน้าํ กล่ันธรรมชาติตกลงสพู ้ืนดิน จะละลายเอาสารเจอื ปนตาง ๆ ใน อากาศ เมอ่ื ถึงพ้นื ดนิ ก็จะละลายเอาสารเคมีทง้ั อินทรียและอนินทรยี จากดนิ น้ําทะเลซึ่งเปน จดุ ปลายสดุ จะเตม็ ไปดว ยสิง่ เจอื ปนและเกลือแรน ับรอ ยชนดิ ตาราง 1.7 Solubility Product ของสารประกอบบางชนิด ท่ี 25 องศาเซลเซยี ส สารประกอบ pKso สารประกอบ pKso 38.0 SiO2 (amorph) 2.7 Fe(OH)3 (amorph) 17.9 Cu(OH)2 19.3 FePO4 33.0 PbCI2 4.8 Fe3 (PO4)2 14.5 Pb(OH)2 14.3 Fe (OH)2 17.3 PbSO4 7.8 88.0 PbS 27.0 FeS 8.34 MgCO3 5.0 Fe2S3 8.22 Mg(OH)2 10.74 CaCO3 (calcite) 5.3 Zn(OH)2 17.2 CaCO3 (aragonite) 4.59 ZnS 21.5 Ca(OH)2 CaSO4 ในการละลายสารเจือปนลงไปในนา้ํ เรามิอาจทํานายปริมาตรผลลพั ธไ ด ปริมาตรสารละลายจะ ไมเ ทากบั ผลบวกของปรมิ าตรนาํ้ และปริมาตรสารที่ละลายนา้ํ เสมอไป ในบางกรณี ปรมิ าตรสารละลายก็ เพม่ิ ขนึ้ มากกวา ผลบวกดงั กลาว และในบางกรณี ปริมาตรสารละลายอาจลดลงนอ ยกวาปริมาตรน้าํ เสีย อีก และบางครงั้ ปรมิ าตรสารละลายอาจเทา กบั ปริมาตรเดิมของน้าํ เนอื่ งจากโมเลกุลของสารทล่ี ะลายใน นา้ํ แทรกตัวอยูระหวางโมเลกุลน้ํา สารเคมีบางชนดิ เชน กรดซัลฟูรคิ ใหค วามรอนเมอื่ ละลายนํา้ แตบ าง ชนดิ เชน โปแตสเซียมไนเตรต ดูดความรอ น ทําใหสารละลายเย็นลง โดยท่ัวไปสารตา ง ๆ ละลายนาํ้ ได เพม่ิ ข้นึ เมอื่ อณุ หภูมิสงู ข้นึ แตก็มขี อ ยกเวนบา ง เชน แคลเซยี มคารบ อเนตละลายนาํ้ ไดน อ ยลงเมือ่ อณุ หภูมเิ พ่มิ สงู ข้ึน เปน ท่ที ราบกนั ดีวานาํ้ มคี วามสําคญั ตอ ววิ ฒั นาการของส่งิ มชี ีวติ สง่ิ มชี ีวติ รปู แบบงา ยทส่ี ดุ เรมิ่ เกดิ ในทะเลและมหาสมุทร ตอมาก็ววิ ัฒนาการเปนพชื และสัตวท่ีพบเห็นกนั ในทุกวันน้ี โดยแตละชนิด พนั ธไุ ดพฒั นารปู แบบของตนเองข้ึนเพ่อื ใหเ ขา กบั สิง่ แวดลอมที่ตนอาศยั อยไู ด น้าํ มคี วามสําคัญตอ การคงอยขู องพชื และสัตวอ ยางย่ิง ความสามารถในการทําละลายของนาํ้ ทําใหน ้าํ เปน ตวั กลางที่นําธาตุ อาหารจากดินไปยงั สวนตาง ๆ ของพืช การเคลื่อนทขี่ องนา้ํ ผา นไปตามเนอ้ื เยอ่ื ของพชื ชว ยสรางแรงดนั ออสโมซิส ซ่ึงทาํ ใหนาํ้ และธาตอุ าหารทลี่ ะลายอยูในนา้ํ เคล่อื นท่ีจากรากพืชไปสูสว นตาง ๆ ของพืชที่ ระดบั สูง ความสามารถอนั นเ้ี กิดจากพันธะไฮโดรเจน (Hydrogen bond) ซึง่ ทําใหโมเลกลุ ของนํ้าสามารถ เกาะยดึ ตดิ กับผนังทอของพืช 1-9
การวเิ คราะหน ้ําและนา้ํ เสยี เบอื้ งตน 1.4 วฏั จกั รอุทกวทิ ยา เม่อื ฝนตกลงมาจากฟา น้ําฝนสว นหนึ่งจะคางอยตู ามใบและลาํ ตน พืช (Interception) ซง่ึ อาจ มากนอยข้นึ อยกู บั ปรมิ าณพืชคลุมดนิ น้าํ อกี บางสว นจะถกู ขังอยตู ามแองนาํ้ หรอื ที่ลุม (Depression Storage) หรอื ซึมอยูในผิวดนิ บริเวณที่ฝนตก (Soil Moisture) นํ้าเหลาน้ีอาจกลับคนื สบู รรยากาศโดยการ ระเหย (Evaporation) หรอื การคายนํา้ ของพืช (Transpiration) น้าํ บางสว นอาจซึมลงไปในดนิ (Infiltration) ไปรวมเปน แหลงนา้ํ บาดาล (Groundwater Resources) สวนทเ่ี หลือจะไหลอยบู นผวิ ดนิ ใน รปู ของนํา้ ทา (Surface Runoff) กลายเปน แหลงนํ้าผวิ ดิน (Surface Water Resources) นาํ้ บาดาลและ นาํ้ ผิวดนิ บางสว นอาจกลับสบู รรยากาศโดยการระเหยและการคายน้ําของพชื ขณะทอ่ี ยูใ นดินหรือบนดิน บาง แตในทีส่ ุด ทั้งนาํ้ บาดาลและนํา้ ทา สวนที่เหลอื ก็จะไหลลงสทู ะเลและมหาสมทุ ร และจะระเหยกลบั ขนึ้ มาใหม เปนอันครบวงจร 1.5 มลสารและแหลง กําเนดิ (Water Pollutants and Their Sources) สารที่กอ ใหเ กดิ มลพษิ ทางนาํ้ หรอื มลสารทางนํา้ (Water Pollutants) ซ่ึงระบายออกมาจาก แหลงกําเนิดจากกิจกรรมตา งๆของมนุษยเ ปนสว นใหญแ ลวทําใหเ กดิ การปนเปอนในแหลงรองรบั น้ําท้งิ นนั้ สามารถจดั แบง แยกเปนประเภทใหญๆ ไดด ังน้ี 1. มลสารทีม่ ีการใชอ อกซิเจน (Oxygen-Demanding Material) เปนมลสารทีส่ ามารถถูกออกซไิ ดสในแหลงรองรบั นํา้ โดยจะมีการใชอ อกซเิ จนที่ ละลายอยใู นน้าํ เปนผลทาํ ใหปรมิ าณออกซเิ จนละลายในนา้ํ ลดลง มลสารประเภทน้โี ดย สว นมากแลว จะเปน สารกลมุ สารอนิ ทรยี ท ่ีสามารถสลายตวั ไดใ นทางชวี วทิ ยา (ฺ Biodegradable Organic Matter) แตกอ็ าจจะรวมถึงสารประกอบอนนิ ทรยี บางชนดิ ดวย มลสารประเภทนี้มแี หลง ที่มาทั้งท่เี ปน แหลง กาํ เนิดโดยตรง (Point Sources)และ แหลงกําเนดิ อื่นๆ(Non-Point Sources) แหลง กาํ เนิดโดยตรง (Point Sources) ไดแ ก นาํ้ ท้ิงจากชุมชน (Domestic sewage) ซึ่งสวนใหญจะประกอบดว ยของเสยี ของคนเรา (Human Wastes) และเศษอาหาร(Food Residues)เปนสว นใหญ และนํ้าท้ิงจากการประกอบการอตุ สาหกรรม (Industrial Wastes) ซ่ึงสว นใหญม ักจะพบมากในน้ําทง้ิ จากโรงงานทปี่ ระกอบการดา นการแปรรปู อาหารและโรงงานกระดาษและเยอื่ กระดาษ สวนแหลง กําเนิดอนื่ ๆ (Non-Point Sources) ไดแก น้ําท่ไี หลผานพ้นื ทก่ี ารเกษตรในยานเกษตรกรรมหรือพน้ื ทอี่ ยูอ าศยั นอกเขตเมือง โดยสว นใหญจะประกอบดวยของเสยี จากสัตวต างๆ เศษก่ิงไมแ ละใบไมตา งๆ เปนตน 2. สารอาหาร (Nutrients) สารอาหาร 2 ชนดิ ท่ีกอ ใหเ กดิ ปญหามลพิษทางนาํ้ ถา มปี ริมาณทีม่ ากเกินไป คอื ไนโตรเจนและฟอสฟอรสั เนือ่ งจากสารอาหารท้งั สองนีเ้ ปนองคป ระกอบทส่ี ําคัญสาํ หรับ การเจรญิ เตบิ โตของส่ิงมีชีวติ ทาํ ใหห วงโซอาหารในระบบนเิ วศนเ ปลี่ยนแปลงไป เปน ผลให 1 - 10
การวิเคราะหน ํ้าและนาํ้ เสียเบ้อื งตน สง่ิ มชี วี ติ บางชนดิ เจริญเตบิ โตมากเกินไปโดยเฉพาะพืชจาํ พวกสาหราย ซึ่งจะมผี ลในเชงิ ทาํ ลายตอสง่ิ มีชวี ิตอน่ื ๆทั้งทางตรงและทางออม เมอื่ สาหรา ยตายไปซากของมันกจ็ ะทับถม อยทู ี่กน คลอง แมนาํ้ หรือแหลงน้ําตา งๆและกลายเปนมลสารที่ใชอ อกซเิ จนไปโดยปรยิ าย แหลง กําเนิดของสารอาหารทพ่ี บสวนมากจะมาจากผงซกั ฟอกทม่ี สี ารประกอบ ฟอสฟอรัสเปน องคป ระกอบ ปยุ และนา้ํ ท้งิ ท่ีเกิดจากการประกอบการอตุ สาหกรรมดาน อาหาร 3. จุลชีพท่กี อ ใหเ กดิ โรค (Pathogens) จุลชีพทก่ี อ ใหเ กดิ โรคที่พบมหี ลายชนิดทง้ั ทเี่ ปน แบคทเี รยี ไวรสั และโปรโตซวั ซง่ึ สว นมากจะถกู ขับถายออกมาจากคนหรอื สัตวท ีเ่ ปน โรค 4. สารท่ีลอยเจือปนหรอื ของแขง็ แขวนลอย (Suspended Solids) สารทล่ี อยเจือปนหรือของแขง็ แขวนลอยเปน คําที่ใชหมายถึงอนุภาคทง้ั ท่เี ปน สารอินทรยี และสารอนินทรียท ลี่ อยเจือปนอยูใ นน้าํ โดยทอ่ี นุภาคเหลาน้สี ามารถตกตะกอน ลงไปรวมกนั อยทู ี่กน ของแหลง น้ําไดถา อตั ราการไหลของนํา้ ในแหลง นํ้านั้นนอยโดยเฉพาะ นํา้ ในแหลง นํ้านิ่ง เชน หนอง บงึ กวา นหรอื ทะเลสาบ เปน ตน 5. เกลือ (Salts) โดยปรกติ เมื่อกลาวถงึ เกลอื เรามกั จะนกึ ถงึ นาํ้ ทะเลทม่ี ีความเค็มมากโดยมเี กลอื แกง อยูประมาณ 3.5 เปอรเซนตโ ดยจะข้นึ อยูก บั แหลง และลกั ษณะทางธรณวี ิทยาของทอง ทะเล ในแหลง น้าํ ธรรมชาติจะมีเกลอื หลายชนดิ ทเ่ี จอื ปนอยูในน้ําโดยมปี ริมาณแตกตางกนั นาํ้ ทิง้ จากโรงงานอตุ สาหกรรมบางชนดิ มปี ริมาณเกลือสงู เชน โรงงานประกอบกิจการที่ ตอ งใชเ กลอื แกงในการผลติ โดยเฉพาะอยางย่ิงโรงงานประเภทผกั และผลไมด อง เปนตน เกลอื ท่ลี ะลายอยูในนํ้าทงิ้ กจ็ ะเปน ตัวเพ่มิ ปริมาณเกลอื ในแหลง รองรบั นํ้าทาํ ใหน าํ้ ในแหลง รองรับน้ํามีความเค็มเพิม่ ขนึ้ อนั จะเปน ผลใหไมส ามารถนาํ นํา้ นน้ั มาใชป ระโยชนไดอ ยา ง เต็มที่ 6. โลหะทเ่ี ปน พษิ (Toxic Metals) โลหะทเี่ ปน พษิ ตา งๆทีอ่ าจจะปนเปอ นอยใู นแหลง นาํ้ มีแหลงท่มี าหลายทาง โดย อาจจะมาจากแหลง น้ําเองโดยที่ดินหรือหินมีโลหะที่เปน พิษเปน องคประกอบอยแู ละถูกน้ํา ชะลา งละลายออกมาเจอื ปนอยู หรอื อาจจะมาจากนา้ํ ท้ิงจากการประกอบการ อตุ สาหกรรมบางประเภท เชน อตุ สาหกรรมการชุบโลหะตา งๆหรอื อุตสาหกรรมการผลิต อืน่ ๆทใ่ี ชโ ลหะในการผลติ เปน ตน 7. สารอินทรยี ท ่เี ปน พิษ (Toxic Organic Chemicals) สารอนิ ทรียท ี่เปนพิษอาจจะมแี หลงมาจากนา้ํ ทไี่ หลผานยา นเกษตรกรรมท่มี ีการใชสาร กําจดั วัชชพืชและยาฆา แมลงกนั มากหรืออาจจะมาจากนาํ้ ท้ิงจากโรงงานอุตสาหกรรมท่มี ี 1 - 11
การวเิ คราะหนา้ํ และน้ําเสยี เบื้องตน การใชส ารอนิ ทรยี ใ นการผลิตหรอื มาจากแหลงธรรมชาติ เชน จากเปลือกหรือใบไมของพืช บางชนิด เปนตน 8. ความรอน (Heat) โดยปรกติ ความรอ นมักจะไมจ ัดเปนมลสารแตใ นกรณที มี่ ีการระบายความรอ น ออกมาในรปู ของนํา้ ท้งิ ท่ีมีอณุ หภมู ิสูงมาก ความรอนท่ปี ลอ ยออกมาในลักษณะน้จี ะ จัดเปนมลสารประเภทหน่ึง 1.6 คุณลักษณะของนาํ้ (Water Characteristics) คณุ ภาพนํา้ (Water Quality) เปน คําทม่ี ีความหมายกวา งมากแตมีขอบเขตซง่ึ จะถูกกําหนดโดย คุณลักษณะของน้าํ ทีต่ อ งการหรือเหมาะสมสาํ หรบั กิจกรรมตา งๆ โดยปรกตนิ าํ้ ในธรรมชาติจะมี คณุ ลกั ษณะท่แี ตกตา งกันออกไปโดยมีสารเจือปนอยใู นนํ้ามากนอยแตกตา งกันขน้ึ อยูก ับแหลงทีม่ าของ นา้ํ นนั้ คณุ ลักษณะของน้ําทเ่ี หมาะสมจะแตกตางกนั ออกไปตามวัตถุประสงคของการใชง านวา ตองการ คุณลักษณะน้ําอยา งไร มีสวนประกอบอะไรและไมค วรมสี ว นประกอบหรอื สารเจอื ปนชนดิ ใด คณุ ภาพ ของนา้ํ ขน้ึ อยกู ับสิ่งเจอื ปนหรอื ปนเปอ นอยูในนา้ํ ซงึ่ มีอยูหลากหลายชนดิ ไดแก ธาตุหรอื อิออนตางๆ เชน โซเดียม โพแทสเซยี ม แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก แมงกานสี ทองแดง สงั กะสี ตะก่ัว ซลั เฟต ฟอสเฟต ไนเตรต เปน ตน นอกจากนย้ี งั มีสารอนิ ทรยี แ ละสารอนินทรยี ช นดิ อืน่ ๆท่ที าํ ใหน ํา้ มีคณุ ภาพตา งกนั คณุ ลักษณะทสี่ าํ คญั ของนํา้ สามารถแบงออกเปน ลักษณะใหญได 3 ลกั ษณะ คือ 1. คุณลกั ษณะทางกายภาพ (Physical Characteristics) เปนคณุ ลกั ษณะของน้าํ ท่บี งบอกถึงคณุ ภาพของน้ําทางกายภาพ ตวั อยางเชน อณุ หภูมิ (Temperature) สภาพนําไฟฟา (Conductivity) ปรมิ าณของแขง็ (Solid content) กลน่ิ (Odor) สี (Color) และรส (Taste) 2. คณุ ลักษณะทางเคมี (Chemical Characteristics) เปน คณุ ลกั ษณะทีเ่ กิดจากสารเคมที ี่เจอื ปนอยูใ นนา้ํ ทไ่ี มสามารถมองเห็นไดด วยตา เปลา ตอ งใชการตรวจสอบดว ยวธิ ีทางหองปฏบิ ตั ิการวทิ ยาศาสตรซ่งึ มที ั้งทเี่ ปนปรมิ าณ สารอินทรียแ ละสารอนินทรยี ท ่เี จือปนอยูในนํา้ ตวั อยา งเชน - ความกระดาง (Hardness) - อิออนลบชนดิ ตางๆ เชน ฟอสเฟต(Phosphate) คลอไรด(Chloride) ซลั เฟต(Sulfate) ซัลไฟด( Total Sulfides) ไซยาไนด (Cyanides) - ความเปนกรดดาง (pH Value) และสภาพกรด-สภาพดาง(Acidity-Alkalinity) - กรดอนิ ทรีย (Organic acids) และกรดระเหยงา ย(Volatile acids) - ปรมิ าณออกซิเจนละลาย (Dissolved Oxygen) - คาท่ีแสดงถงึ ความสกปรกในรปู ตางๆ เชน คาบโี อดี (Biochemical Oxygen Demand; 1 - 12
การวิเคราะหน ํ้าและนา้ํ เสยี เบ้ืองตน BOD), คาซีโอด(ี Chemical Oxygen Demand; COD), คา เปอรแมงกาเนต (Permanganate Value; PV) - ปรมิ าณไนโตรเจนท้งั หมด (Total Nitrogen) - ปรมิ าณฟอสฟอรัสท้ังหมด (Total Phosphorus) - โลหะตางๆ (Metals) เชน ตะกวั่ (lead) สารหนู (Arsenic) แคดเมยี ม (Cadmium) ปรอท (Mercury) สงั กะสี (Zinc) ทองแดง (Copper) เปน ตน - นาํ้ มนั และไขมนั (Oils and Greases) - ปริมาณของแข็งทง้ั หมด (Total Solid) ปริมาณของแขง็ ทล่ี ะลายไดท้ังหมด (Total Dissolved Solid) ปริมาณของแขง็ แขวนลอยท้ังหมด(Total Suspended Solid) - ปรมิ าณสารระเหยงายและสารคงตวั ท้ังหมด(Fixed and Volatile Solid) - ยาปราบวัชชพืช (Herbicides)และ ยากาํ จดั แมลง (Pesticides) - สารกมั มันตภาพรังสี (Radioactive Materials) - สารซกั ฟอกและสารอนิ ทรียอ ่ืนๆ (Organics Materials) 3. คุณลักษณะทางชีววิทยา (Biological Characteristics) เปน คุณลักษณะทแ่ี สดงถึงคณุ ภาพน้ําทเี่ กิดจากจลุ ินทรยี ท ่เี จือปนในน้าํ โดย จลุ ินทรียบ างชนิดทาํ ใหเกดิ โรคในคน เชน แบคทีเรยี ชนิดวบิ รโิ อ ซลั โมนาลา ชิกเจลลา และ จลุ ินทรียบ างชนิดทาํ ใหคณุ ภาพนาํ้ เปลยี่ นไป เชน ซลั เฟอรแ บคทีเรีย จะสรางสาร ประกอบซลั เฟอรซึ่งเม่อื ทาํ ปฏิกริ ยิ ากับกา ซไฮโดรเจนจะไดกาซไฮโดรเจนซัลไฟดเปนเหตุ ทําใหน้าํ มีกลิน่ เหมน็ เหมือนไขเนาซง่ึ เปนกลน่ิ เฉพาะตวั ของกา ซนี้ และถา ซลั ไฟดอิออนจาก กา ซไฮโดรเจนซลั ไฟดร วมตัวกบั โลหะบางชนิดที่ปนเปอ นอยใู นน้าํ เชน เหลก็ เปนตน จะทํา ใหเกิดเปนสารประกอบของโลหะซัลไฟดซ่ึงมีสีดาํ ตัวอยางการตรวจคุณลกั ษณะทางชีววิทยา เชน การตรวจหาชนิดและ ปริมาณของสาหราย การตรวจหาเชอ้ื ราตา งๆ การตรวจหาไวรสั การตรวจหาแบคทเี รยี ชนิดตางๆ การตรวจหาโคไลฟอรม (Total Coliform) และการตรวจหาจลุ ชีพทกี่ อใหเ กิดโรค (Pathogenic Organisms) เปนตน 1 - 13
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: