สรุปการปลูกสมุนไพรอินทรีย์ ตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ การทำการเกษตรดว้ ยหลักธรรมชาติ บนพืน้ ท่ีการเกษตรท่ีไม่มีสารพษิ ตกค้างและ หลกี เล่ยี งจากการ ปนเปื้อนของสารเคมีทางดนิ ทางน้ำ และทางอากาศเพ่ือส่งเสริมความ อดุ มสมบูรณข์ องดนิ ความ หลากหลายทางชวี ภาพในระบบนิเวศนแ์ ละฟน้ื ฟสู ิง่ แวดลอ้ มให้ กลบั คืนสู่สมดลุ ธรรมชาตโิ ดยไม่ใช้ สารเคมีสังเคราะหห์ รอื สิ่งทไ่ี ดม้ าจากการตดั ตอ่ พันธกุ รรม ใชป้ ัจจัยการผลิตท่ีมีแผนการจดั การอยา่ งเปน็ ระบบในการผลิตภายใตม้ าตรฐานการผลิต เกษตรอินทรยี ใ์ หไ้ ดผ้ ลผลติ สูงอดุ มดว้ ยคณุ ค่าทางอาหารและ ปลอดสารพษิ หลกั การผลติ พชื อินทรยี ์ 1. เลอื กพ้นื ที่ท่ไี มเ่ คยทำการเกษตรเคมมี าไม่นอ้ ยกว่า 3 ปี 2. เปน็ พ้ืนท่ีที่ค่อนขา้ งดอนและโล่งแจง้ 3. อยูห่ า่ งจากโรงงานอตุ สาหกรรม 4. อย่หู า่ งจากแปลงทใี่ ช้สารเคมแี ละปุ๋ยเคมี 5. ห่างจากถนนหลวงหลกั 6. มแี หล่งน้ำทปี่ ลอดสารพิษ วธิ ีการทำป๋ยุ ป๋ยุ หมกั ปุย๋ อนิ ทรยี ์ ปุ๋ยชีวภาพ และอกี หลากหลายๆชือ่ มกี ารให้คำจํากัดความใน ทางวิชาการท่ีคอ่ นขา้ ง หลากหลาย ในทน่ี วี้ ่า “ปุ๋ย” สารอนิ ทรยี ์ หรือสารอนนิ ทรยี ไ์ มว่ า่ จะ เกดิ ขึ้นโดยธรรมชาติ หรอื ทำข้ึนเองก็ ตาม สำหรับ “ปยุ๋ อนิ ทรยี ช์ ีวภาพ” สารธรรมชาติทไ่ี ด้ จากการหมักบ่ม วัตถุดิบจากธรรมชาติต่าง ๆ ไมว่ ่า จะเป็น ซากพชื ซากสตั ว์จนสลายตัว สมบูรณเ์ ปน็ ฮวิ มสั วิตามนิ ฮอรโ์ มน และสารธรรมชาตติ ่างๆ (ดิน ป่า) ปยุ๋ ท่ีประกอบด้วย จลุ นิ ทรียท์ ีม่ ีชีวติ ท่สี ามารถสร้างธาตอุ าหาร หรือชว่ ยให้ธาตอุ าหารเป็นประโยชน์
ตอ่ พชื รวมทง้ั อาหารของดนิ (สิ่งมีชวี ติ ในดนิ ) ตัวเร่งการทำงานของส่ิงมีชีวติ เล็กๆท่ีอย่อู าศัยใน ดนิ และ อาศยั อยปู่ ลายรากของพชื (แบคทีเรยี แอคติโนมยั ซสิ และเช้อื รา ฯลฯ) ปยุ๋ อนิ ทรยี ์ ชวี ภาพ ต้องเปน็ จุลนิ ทรีย์ทีม่ ีคุณสมบตั ิพิเศษ ทส่ี ามารถสร้างธาตุอาหารขึ้นทางชวี ภาพแลว้ สามารถแบ่งให้พชื ไดใ้ ช้หรือ เจาะจงในการสร้างสารบางอย่างออกมา ในการเพ่มิ ปริมาณ เรณูรูปที่เป็นประโยชนข์ องธาตุอาหารพชื โดยสามารถสร้างธาตุอาหารกว่า 93 ชนิดให้แก่ พชื ภายใตห้ ลกั การกสกิ รรมธรรมชาตทิ ่ีวา่ “เลี้ยงดนิ เพ่ือใหด้ ิน เลีย้ งพืช” และช่วยปรบั ปรงุ คณุ สมบัตขิ องดิน โครงสร้างดินใหด้ ีขน้ึ และยังช่วยดูดซบั ปรับค่า ความเปน็ กรด-ด่าง (pH ในดิน รว่ มทง้ั กำจดั และตอ่ ตา้ นเชื้อจุลินทรีย์ทกี่ ่อโรคตา่ งๆได้ เป็นต้น ขน้ั ตอนการทำปยุ๋ อินทรยี ช์ วี ภาพ 1. ซากพชื ซากสตั ว์ มูลต่าง ๆ 2. กากนำ้ ตาล 3. หวั เชอื้ จุลนิ ทรีย์เข้มข้น 4. นำ้ สะอาด 5. ถงั พลาสตกิ วธิ กี ารทำปุ๋ยหมักชวี ภาพ 1. การนำซากพืช ซากสัตว์ตา่ ง ๆ เศษอาหาร มูลสัตว์ต่างๆ หรือข้เี ถ้าแกลบ กากอ้อย มาคลกุ เคลา้ ให้ เปน็ เนื้อเดียวกนั อยูเ่ ป็นกอง หรือใส่ไว้ในถงั พลาสตกิ 2. ผสมนำ้ กับนำ้ ตาลให้เขา้ กนั เปน็ เนอื้ เดียวกัน แลว้ เติมหัวเชอ้ื จลุ ินทรีย์เขม้ ขน้ ในนำ้ และนำ้ ตาล เพื่อ เปน็ ตวั เรง่ ปฏกิ ิรยิ าการยอ่ ยสลายของวัสดุ 3. แล้วรดบนกองวัสดทุ ี่ทำการผสมให้เข้ากนั จนมีความช้ืนประมาณ หรอื เททบั ถมในถังทมี่ เี ศษวสั ดุที่ คลกุ เคล้ากันแล้วให้ท่วั ๆ (ไม่ให้แสงและอากาศเข้าได้) 4. คลกุ เคลา้ ใหเ้ ข้ากนั ดี แลว้ ตกั ใสป่ ุ๋ยกระสอบ มัดปากถุงให้แน่น วางกระสอบแตล่ ะ
ให้ห่างกนั เพ่อื ใหค้ วามร้อนสามารถระบายออกได้ทั้ง 4 ด้าน ท้ิงไว้ประมาณ 5-7 ว ตรวจดูถา้ มกี ลนิ่ หอม และไม่มไี อร้อนกส็ ามารถนำไปใชง้ านได้ หรือบ่มท้งิ ไวป้ ระมาณ 90 วัน จะไดป้ ยุ๋ คณุ ภาพดี กล่ินหอม รส เปรย้ี ว สามารถนำไปใชไ้ ด้ วธิ ีการข้นึ แปลง วสั ดอุ ุปกรณ์ 1. ปุ๋ยหมกั ชวี ภาพ 2. น้ำหมักชวี ภาพ 3. น้ำหมักสมุนไพร 4. กากน้ำตาล 5. จอบ 6. คราด 7. บวั รดน้ำ ขนั้ ตอน/วธิ ีการขนึ้ แปลง 1. ขุดดินจะทำแปลงสมนุ ไพรลกึ ประมาณ 25-30 ซม. กว้าง 1 เมตร ยาวตามตอ้ งการ โดยเอาดินทข่ี ดุ ออกไวข้ ้างนอกแปลง 2. โดยปุ๋ยหมกั ชวี ภาพลงในแปลงประมาณ 10 กก. ตอ่ ตารางเมตร 3. เอาหน้าดินขุดออกลงใส่ คลุกให้เข้ากันกบั ปุ๋ยหา้ สูงกว่าระบบเดมิ พอประมาณ 4. นำกากนำ้ ตาลกับนำ้ หมักชีวภาพอย่างละ 1 ช้อน ผสมน้ำเตรียมไว้ รดแปลงใหช้ ุม่ วัน ละครัง้ ติดต่อกัน 7 วัน
5. พรวนดินทแี่ ปลงคราดให้เรยี บร้อย 6. รดน้ำใหช้ ุมทกุ วนั รดนำ้ หมักสมุนพรทุก 5 วนั และพรวนดนิ ทกุ 3 สปั ดาห์ “การทำเกษตรประณตี เป็นการทำเกษตรแบบวธิ ใี หม่ เพอื่ ลดต้นทุนการผลิต เพ่มิ รายได้พีช สมุนไพร “ ดนิ มีชีวติ และมีความต้านทาน แลว้ สง่ ผลให้พืชมีความแข็งแรง และพชื สมนุ ไพรพวกน้ีปลอดภยั จาก สารเคมี โดยไม่ใชส้ ารเคมใี นการทำการเกษตร การปลกู พืชกนั ชน การป้องกนั สารพิษจากภยั นอก ท้ังทางน้ำและทางอากาศ การปอ้ งกนั ทางน้ำโดย ขุดคูรอบแปลง การ ปอ้ งกันทางอากาศโดยปลกู พืชกนั ชน ทั้งไม้สูง ไมท้ รงสูงปานกลา ตน้ เตย้ี บนคันกัน้ นำ้ รอบแปลง เป็นต้น พชื ปอ้ งกนั แมลง * กระถ่ินและชะอม เป็นพชื กนั ชนปอ้ งกนั แมลงเข้ามาทำลายพืชสมนุ ไพร หรอื พืชผกั ต่าง ๆ โดยการปลูก กระถ่นิ และชะอม รอบ ๆแปลงผกั หรอื สวนเพอ่ื ไว้เป็นตวั บ่งบอกถึงกา รุกรานของแมลงศัตรูพชื เช่น เพล้ียอ่อน เพลย้ี แป้ง เพลยี้ ไฟไรแดง และแมลงศตั รูพชื ต่างๆ นั้นที่จะเขา้ มารบกวนทำลายยอดออ่ นของ พืชกนั ชนเหลา่ น้กี ่อน ไม่ว่าจะเป็น ทางดนิ น้ำหรอื อากาศ ก็สามารถป้องกนั กบั พืชหลกั ไดท้ นั
* ดอกดาวเรือง เนอื่ งจากดาวเรอื งเปน็ สารท่ีมกี ล่ินเหมน็ (ฉัน) แมลงไม่ชอบ จึงสามารถ ใชเ้ ปน็ เกราะ ป้องกันแมลงให้แก่พชื อ่ืน ๆได้ นอกจากน้ี รากของดอกดาวเรือง ยงั มีสา ชนิดหนึ่ง ท่ีช่วยลดปริมาณของ ไส้เดือนฝอยในดนิ ได้ ดนิ ทเี่ หมาะสมกับการปลูกพืชสมุนไพร ฮิวมสั คือซากพืชซากสตั ว์ท่ตี ายและเน่าเป่ือย อาจจะได้จากใบหญ้า ใบไม้ ซึ่งทับถม กนั อยู่นาน ๆ จน เน่าเปอื่ ย มูลสัตว์ มูลวัว ควาย เป็ด ไก่ และหมู เมื่อใสไ่ ปในดนิ กจ็ ะทำให้ ดินดีขน้ึ และสามารถเปน็ ดินท่ี พืชชอบ และจะต้องเป็นดนิ ทีอ่ ดุ มสมบรู ณ์ ดินทอี่ มุ้ น้ำไวพ้ อดี พอเหมาะท่จี ะทำใหพ้ ชื เจริญเติบโตงอก งาม และมีคา่ ความเปน็ กรด-ดา่ งทไี่ ม่มากเกินไป และน้อยเกนิ ไป และในดินกต็ อ้ งมธี าตุอาหารในการล่อ เล้ยี งพชื ใหม้ ีการเจรญิ เติบโตได้ *ดินรว่ น เป็นดินที่มีลักษณะซยุ มีสตี ่าง ๆ กัน บางชนิดมีสีคอ่ นข้างดํามีน้ำหนักเบา เนอื่ งจากมี อนิ ทรียวตั ถุผสมอยมู่ าก มอี าหารบรบิ ูรณ์ การอุ้มน้ำของดนิ พอเหมาะแก่ พืชอุ้มความรอ้ นไวพ้ อเพียง อากาศถ่ายเทไดส้ ะดวก การระบายน้ำดี เวลาฝนตกก็ไมข่ ้ึน ดินเหนียว เปน็ ดินท่มี ีลกั ษณะเป็นเมด็ ละเอียดมาก เวลาแห้งจะจบั กนั เป็นกอ้ นแข็ง และแตกระแหง เวลาถกู น้ำจะเปน็ โคลนดม ทำให้สมบัตขิ องดินเปลยี่ นไป เวลาฝนตก นำ้ ซึมลงช้า เพราะเม็ดดนิ ละเอยี ด สามารถอมุ้ นำ้ ได้ดกี วา่ ชนดิ อ่นื ๆอากาศถ่ายเท หรือ ผ่านเขา้ ออกระหว่างเม็ดดินไมไ่ ด้ดี มีอาหารพืชบาง เลก็ นอ้ ย แล้วแต่ชนดิ ของดนิ ดนิ เหนยี วมหี ลายชนดิ มีสีต่างๆ กัน ดนิ ทราย เป็นดนิ ท่มี ที รายอยู่เป็นส่วนใหญ่ ดนิ ชนดิ น้ีมเี นือ้ ทรายหยาบ ไม่จบั กันเปน็ ก้อน น้ำซึมผา่ นไป ไดง้ ่าย อุ้มน้ำไวไ้ ด้น้อย ดินท่เี หมาะแกก่ ารเพาะปลูก คือ “ดนิ เหนียวปนทรายหรอื ดนิ ปนทราย” เป็นดินที่มี ฮวิ มัสปนอยู่มาก เหมาะสมแก่การเพาะปลกู พืช เพราะดินชนิดนจ้ี ะเปน็ ดินท่จี บั กนั เปน็ กอ้ น น้ำไหลผ่าน สามารถดูดซับน้ำ
ไวไ้ ดด้ ี และไมม่ ากเกินไป และการอ้มุ น้ำของดินพอเหมาะแก่ พชื อมุ้ ความร้อนไวพ้ อเพยี งอากาศถา่ ยเทได้ สะดวก และการระบายนำ้ ดี ไม่แฉะขึ้นจนเกินไป การปลูกและบำรุงรักษาพชื สมุนไพร หลักการทว่ั ไปของการปลกู และบำรุงรกั ษาพชื ทวั่ ไปและพชื สมนุ ไพร ไม่แตกต่างกัน แต่ความ อดุ มสมบรู ณ์ของพชื สมนุ ไพร จะเปน็ เคร่อื งช้ีบอกคณุ ภาพของสมุนไพรได้ พชื สมนุ ไพรตอ้ งการการปลูก และบำรุงรกั ษาใกล้เคียงกับลกั ษณะธรราชาติของพชื สมุนไพรนน้ั มากทสี่ ุด เช่น ว่านหางจระเข้ ต้องการ ดินปนทราย และอุดมสมบูรณ์ แดดพอเหมาะ หรอื ต้นเหงือกปลาหมอชอบขน้ึ ในที่ดินเปน็ เลน และทีด่ นิ กรอ่ ยชมุ่ ชืน้ เป็นตน้ หากผ้ปู ลูกสมุนไพรเขา้ ใจส่ิงเหล่านี้จะทำใหส้ ามารถเลอื กวิธีปลูกและจัด สภาพแวดลอ้ มของต้นไม้ได้เหมาะกับพชื สมุนไพร กจ็ ะเจริญเตบิ โตได้ เปน็ ผลทำให้คณุ ภาพพืชสมุนไพรที่ นำมารักษาโรคมีฤทธด์ิ ขี ึ้นดว้ ย การปลกู และการบำรุงรกั ษาพชื สมนุ ไพร โดยอาศัยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตรใ์ นประเทศไทย ไม่ จริงจังเทา่ ท่ีควร บางประเทศได้ทดลองเพือ่ หาคำตอบวา่ สภาพแวดลอ้ มอยา่ งไรจึงจะทำให้สาระสำคญั ในพชื สมุนไพรชนิดน้นั ๆ มากท่ีสุด ซึ่งตอ้ งอาศยั ความร่วมมือมากกว่าหนง่ึ หน่วยงาน หรอื การหาคำตอบ ว่าวธิ กี ารขยายพนั ธ์ุพืชสมุนไพรแต่ละชนิด จะทำอย่างไรจงึ จะเหมาะสมและประหยดั มากท่สี ุด ใน ประเทศไทย หน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณม์ งี านวจิ ัยดา้ นนีอ้ ยู่บ้างและกำลังคน้ คว้าต่อไป การปลกู เป็นการนำเอาส่วนของพืช เชน่ เมล็ด กิง่ หัว ผ่านการเพาะหรือการชำ หรอื วิธีการ อื่นๆ ใสล่ งในดนิ หรือวัสดุอ่ืนเพ่ืองอกหรือเจริญเตบิ โตตอ่ ไป การปลูกทำไดห้ ลายวิธีคือ 1.การปลูกด้วยเมลด็ โดยตรง วิธีนีไ้ ม่ตอ้ งเพาะเป็นตน้ กลา้ ก่อน นำเมล็ดมาหว่านลงแปลงได้ เลย หลังจากนน้ั ใชด้ ินร่วนหรือทรายหยาบโรยทบั บางๆ รดนำ้ ให้ชนื้ ตลอดทกุ วัน เม่อื เมลด็ งอกเปน็ ต้น อ่อนจงึ ถอนต้นท่อี อ่ นแอออกเพ่ือใหม้ ีระยะห่างตามสมควร ปกติมกั ใชใ้ นการปลกู ผักหรอื พืชล้มลุกและ
พืชอายุสน้ั เชน่ กะเพรา โหระพา ส่วนการหยอดลงหลมุ โดยตรงมักใช้กบั พืชท่ีมีเมล็ดใหญ่ เชน่ ฟกั ทอง ละหุง่ โดยหยอดในแตล่ ะหลุมมากว่าจำนวนตอ้ นทต่ี ้องการ แลว้ ถอนออกภายหลัง 2.การปลูกด้วยต้นกลา้ หรอื กงิ่ ชำ ปลูกโดยการนำเมล็ด หรอื กิ่งชำปลูกใหแ้ ข็งแรงดีใน ถงุ พลาสตกิ หรือในกระถาง แล้วยา้ ยปลูกในพน้ื ท่ที ่ตี อ้ งการ การย้ายตน้ ออ่ นจากภาชนะเดิมไปยังพนื้ ทท่ี ี่ ตอ้ งการ ต้องไม่ทำลายราก ถ้าเป็นถุงพลาสตกิ กใ็ ช้มีดกรีดถงุ ออก ถ้าเป็นกระถาง ถอดกระถางออกโดย ใชม้ อื ดันรกู ลมที่กน้ กระถาง ถา้ ดินแนน่ มาก ให้ใช้เสยี มเซาะดนิ แล้วใชน้ ำ้ หล่อกอ่ น จะทำใหถ้ อนงา่ ยขน้ึ หลมุ ท่ีเตรียมปลูกควรกว้างกว่ากระถางหรอื ถงุ พลาสตกิ เล็กนอ้ ย จึงทำให้ตน้ ออ่ นเจริญเตบิ โตได้สะดวก วางต้นไม้ใหร้ ะดบั รอยต่อระหว่างลำต้นกบั รากอยเู่ สมอกับระดบั ของขอบหลมุ พอดี แล้วกลบด้วยดนิ ร่วน ซุย หรอื ดินร่วมปนทราย กดดินใหแ้ น่นพอประมาณ นำเศษไมใ้ บหญ้ามาคลุมไว้รอบโคนตน้ เพื่อรักษา ความชุ่มชน้ื และป้องกันแรงกระแทกเวลารดน้ำ หาไมห้ ลัก ซ่ึงสูงมากกวา่ ต้นไมม้ าปักไว้ขา้ งๆ ผกู เชอื กยดึ กบั ต้นไม้ คอยพยงุ มใหต้ ้นไมล้ ม้ หรือโยกคลอนได้ ปกติใช้กบั ตน้ ไม้ยนื ตน้ เชน่ คูน แคบ้าน ชุมเห็ดเทศ สะแก ขเี้ หลก็ เปน็ ตน้ หรือใช้กบั พนั ธุไ์ ม้ทง่ี อกยากหรอื มรี าคาแพง จึงจำเปน็ ต้องเพาะเมล็ดกอ่ น 3.การปลกู ดว้ ยหวั ปกติจะมหี วั ท่เี กดิ จากราก และลำต้น เรยี กช่ือแตกต่างกัน ในท่นี ี้จะรวม เรียกเป็นหัวหมด โดยไมแ่ ยกรายละเอยี ดไว้ สำหรบั การปลกู ไม้ ประเภทหวั ควรปลูกในท่ีระบายน้ำไดด้ ี มฉิ ะนัน้ จะเน่าได้ การปลกู โดยการฝังหัวให้ลกึ พอประมาณ (ปกติลึกไมเ่ กิน 3 เทา่ ของความกว้างหวั ) กด ดินให้แน่นพอสมควร คลุมแปลงปลกู ด้วยฟาง หรอื หญ้าแห้ง เช่น การปลกู หอม กระเทียม 4.การปลูกด้วยหน่อหรอื เหง้า ปลูกโดยอาศัยหนอ่ หรอื เหง้า อ่านรายละเอียดในการขยายพนั ธ์ุพืช สมุนไพร ขอ้ 2.1
5.การปลกู ด้วยไหล ปกตนิ ิยมเอาส่วนของไหลมาชำไวก้ ่อน จะยา้ ยปลูกในพ้นื ที่ท่เี ตรยี มไว้อกี ครงั้ หนึ่ง เชน่ บวั บก แห้วหมู 6.การปลูกด้วยจกุ หรือตะเกียง โดยการนำจุกหรือตะเกยี งมาชำในดินทเี่ ตรียมไว้ โดยใชต้ ะเกียงตั้งขึ้น ตามปกติ กลบดนิ เฉพาะด้านล่าง เช่น สบั ประรด 7.การปลูกด้วยใบ เหมาะสำหรับพืชที่มใี บหนาใหญ่ และแข็งแรง คล้ายกบั การปลูกดว้ ยสว่ นของกิ่งและ ลำตน้ คือการตดั ใบไปปักหรอื วางบนดินทีช่ มุ่ ชนื้ ใหเ้ กิดตน้ ใหม่ เช่น วา่ นลิน้ มังกร การบำรุงรักษา เป็นการกระทำใหพ้ ันธไุ์ มท้ ปี่ ลูกไว้เจรญิ งอกงามตอ่ ไป ซง่ึ จะเกีย่ วขอ้ งกับ เรอื่ งตอ่ ไปนี้ 1.การพรางแสง พนั ธุ์ไมต้ อ้ งการแสงน้อยหรือพันธไ์ุ มท้ ย่ี งั ออ่ นแออยู่ ควรจะไดม้ ีการพรางแสง หากต้องปลูกพืชดังกล่าวในทโ่ี ล่งเกนิ ไป การพรางแสงปกตจิ ะทำช่ัวระยะเวลาหนึ่ง จนพืชนัน้ ตง้ั ตวั ได้ แต่ ถ้าเป็นพชื ท่ตี ้องการแสงนอ้ ย กต็ อ้ งมกี ารพรางแสงไวต้ ลอดเวลา หรอื ปลกู ใตต้ ้นไมท้ ใี่ หร้ ่มเงาไดจ้ ะ เหมาะสมกว่า 2.การให้น้ำ ปกตกิ ารปลกู ควรปลูกในชว่ งตน้ ฤดูฝน เพราะจะทำให้ประหยัดคา่ ใช้จ่ายในการ ใหน้ ้ำ สำหรับการใหน้ ำ้ จะต้องพจิ ารณาลกั ษณะของพืชแต่ละชนิดประกอบด้วยวา่ ต้องการนำ้ มากหรอื น้อย จงึ จำเปน็ ต้องศึกษาลกั ษณะของพันธุไ์ ม้ทีป่ ลูกบ้างตามสมควร แต่โดยหลกั การแล้ว เม่ือปลกู ต้นไม้ ใหญๆ่ กค็ วรจะใหน้ ้ำใหม้ ีความช่มุ ชื้นอยู่เสมอ ปกตใิ ห้นำ้ อยา่ งน้อยวนั ละครง้ั แตห่ ากพิจาณาเห็นว่าแฉะ เกินไปกเ็ วน้ ชว่ งได้ หรือหากแหง้ เกินไปกต็ ้องให้นำ้ เพม่ิ เตมิ คือตอ้ งคอยสังเกตดว้ ย ทั้งนี้เพราะแต่ละ ทอ้ งทจ่ี ะมสี ภาพดนิ และอากาศแตกต่างกัน ส่วนการใหน้ ้ำก็ต้องใหจ้ นกว่าพืชจะต้ังตวั ได้ ซงึ่ ขึน้ อยู่กับพืช แต่ละชนดิ แตก่ ็พอสังเกตจากลกั ษณะของพืชนน้ั ได้ หากแสดงลกั ษณะเหีย่ วเฉาก็แสดงว่ายงั ตั้งตัวไมไ่ ด้
3.การระบายน้ำ จะต้องหาวิธกี ารท่จี ะตอ้ งระบายน้ำออกจากพนื้ ท่ใี หไ้ ด้ ถา้ ฝนตกน้ำท่วม โคนพืชท่ปี ลูกไว้ เพราะจะเป็นอนั ตรายตอ่ ระบบรากของพชื ได้ ทัง้ น้อี าจทำโดยการยกร่องปลูก หรอื พูน ดินใหส้ งู ข้นึ กอ่ นปลูก ก็จะชว่ ยแก้ปัญหานำ้ ขงั ได้ถา้ มปี ญั หา 4.การพรวนดนิ จะช่วยทำใหด้ นิ รว่ นซยุ เก็บความชื้นดี การระบายนำ้ และการถา่ ยเทอากาศ เปน็ ไปได้ดี อีกทั้งเป็นการกำจัดวชั พืชไปด้วย จึงควรมีการพรวนดินให้พชื ทีป่ ลกู บา้ งเปน็ คร้งั คราว แต่ พยายามอยา่ ใหก้ ระทบกระเทอื นรากมากนัก และควรพรวนในขณะทีด่ นิ แห้งพอควร 5.การใหป้ ุ๋ย ปกติจะใหก้ ่อนปลูกอย่แู ล้ว โดยใสป่ ยุ๋ อนิ ทรียห์ รอื ปุ๋ยวทิ ยาศาสตร์ (สตู รเสมอ เชน่ 15-15-15 ) รองก้นหลุม แต่เน่ืองจากมีการสูญเสียไปและพชื นำไปใช้ด้วย จงึ จำเปน็ ต้องใส่เพ่มิ เตมิ โดยอาจจะใสก่ ่อนฤดูฝน 1 ครั้ง และใส่หลังฤดฝู น 1 ครั้ง ซงึ่ อาจใส่แบบเปน็ แถวระหวา่ งพืชหรอื หวา่ นทั่ว แปลง หรอื ใสร่ อบๆ โคนตน้ บริเวณของทรงพุม่ หรือใชป้ ยุ๋ เกลด็ ผสมน้ำฉีดใหท้ างใบ การบำรุงรกั ษาพชื สมนุ ไพรควรหลีกเล่ยี งสารเคมี ไม่ว่าดา้ นการใหป้ ุย๋ หรือการกำจัดวชั พชื ศตั รพู ืช เนอ่ื งจากสารเคมีอาจมีผลทำให้ปรมิ าณสาระสำคญั ในสมนุ ไพรเปลีย่ นแปลง หรอื อาจมพี ิษ ตกคา้ ง เปน็ อนั ตรายตอ่ การใชส้ มุนไพร ควรจะเลือกวิธดี แู ลรักษาให้เปน็ ไปตามธรรมชาติให้มากทสี่ ุด
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: