Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ยางกล้วยช่วยเพ้นผ้า

ยางกล้วยช่วยเพ้นผ้า

Published by warunchalee.co.th, 2022-08-17 02:10:09

Description: ยางกล้วยช่วยเพ้นผ้า

Search

Read the Text Version

2 บทที่ 1 บทนำ 1. ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปญั หำ เปน็ การเกริ่นนาหรืออารมั ภบทแสดงใหเ้ ห็นถึงความสาคัญและ ความจาเป็นที่จะต้องทาศกึ ษา หรือเหตผุ ลท่ีสมควรต้องมีการ ศึกษาปัญหาพิเศษเร่อื งน้ี โดยพยายามกาหนดปัญหาให้ชัดเจนท้ังในด้านการเกิดความรุนแรง การกระจายตัวของปญั หา หรือด้านอ่ืนๆ ให้เข้าถึงข้อเท็จจรงิ ของปัญหาอยา่ งแท้จริง ด้วยการทบทวนเอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ ง ตรวจสอบสถิติ สอบถามความเหน็ จากบุคคลที่เกี่ยวข้อง และแสวงหาเหตผุ ลที่นา่ เป็นไปได้ จากทฤษฎีและสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยเขียนโนม้ น้าว จูงใจใหผ้ ู้อ่านคล้อยตามเห็นด้วยว่าทาไมต้องทาศกึ ษาเร่อื งนี้ เช่น ยงั ประสบปญั หาอยู่แก้ไขไมไ่ ด้ โดยใชค้ วามคิดตัวเองให้มากท่ีสุด ● ย่อหนำ้ แรก จะต้องอภิปรายถึงความเปน็ มา ปัญหา ข้อดี ข้อเสยี หรอื ข้อโต้แยง้ ของการทดลองท่ีได้ทาการก่อนหน้า ● ย่อหน้ำทส่ี อง จะต้องอภิปรายถึงความสาคัญ ขอ้ ดีของปัญหา รวมถึงแนวทางแก้ไขปัญหาในเร่อื งที่เราสนใจจะดาเนนิ การทา ควรมเี อกสารหรือท่ีมาของปัญหาท่ีอ้างอิงเพ่ือสนับสนนุ หรือโต้ แยง้ ส่ิงที่ เราจะทาการทดลองน้นั ● ยอ่ หน้ำสุดท้ำย ต้องอภิปรายสรุปเปา้ หมายหรือเหตุผลที่จะทา เพ่ือแก้ปัญหาท่ีงานที่เราจะทา และต้องท้ิงท้ายด้วยรูปแบบดังน้ี คือ

3 ดังน้ันผ้ศู ึกษาจึงมุง่ ศกึ ษา.............................………………………….. ...........................………... .............................................................เพ่อื ....................................... ..................................ต่อไป รูปแบบกำรเขยี น ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปญั หำ ปัญหาวิจัยเขียนจากกว้างไปแคบ(ลึก) เขียนเร่ืองท่ัวๆ ไป กว้าง แคบ เขียนเร่อื งเฉพาะ สรุปช้ีใหเ้ หน็ ปญั หา กอบแก้ว ตะนะพันธุ์. 2557(กันยายน, 26). “หลักกำรเขยี น ควำมเป็นมำ และควำมสำคัญของ ปัญหำ | Kobkaew ....” [ออนไลน์]. ท่ีมา : http://kobkaewtk.wordpress.com/

4 2. วัตถปุ ระสงค์ หมายถึงแนวทางหรอื ทิศทางในการค้นหาคาตอบ เปน็ เร่ืองที่ต้องการทา - เปน็ การกาหนดว่าต้องการศกึ ษาในประเด็นใดบ้างในเร่อื ง ที่จะศกึ ษาค้นคว้า โดยบ่งบอกส่ิงที่จะทา ท้ังขอบเขต และคาตอบที่คาดว่าจะได้รบั - เปน็ การนาเอาความคิดของประเด็นปัญหามาขยาย รายละเอียด โดยใช้ภาษาท่ีชดั เจน เข้าใจง่าย เขยี นเปน็ ข้อหรอื เขียนรวมเปน็ ขอ้ เดียวกัน - อยา่ นาประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รับมาเขยี นเพราะประโยช น์ท่ีคาดว่าจะได้รับเป็นผลท่ีคาดว่าจะเกิดข้นึ หลังจากสิน้ สุ ดการศึกษาค้นคว้า แนวกำรเขยี นวัตถุประสงค์ของกำรศึกษำค้นคว้ำ 1.วัตถปุ ระสงค์เขยี นในรูปเป้าหมายการศึกษาค้นคว้าไม่ใช่วิธกี าร 2.วัตถปุ ระสงค์สอดคล้องกับช่อื เร่ือง 3.วัตถปุ ระสงค์ชดั เจน ไม่กากวม 4. ให้ใช้คาว่า “เพ่อื ” คำทใี่ ชส้ ำหรบั กำรเขยี นวัตถปุ ระสงค์ เช่น เพ่ือศกึ ษา เพ่ือสารวจ เพ่ือค้นหา เพ่อื บรรยาย เพ่อื อธิบาย เพ่อื พัฒนา เพ่อื เปรยี บเทียบ...กับ... เพ่อื พิสูจน์ เพ่อื แสดงให้เห็น เพ่ือศึกษาความสมั พันธ์ เพ่ือประเมิน

5 เพ่อื สังเคราะห์ เพ่ือเปรียบเทียบ....กับ........ เพ่อื ศกึ ษาอิทธิพลของ......ที่มีต่อ.. เพ่อื ศกึ ษาอิทธพิ ลของ...ท่ีมตี ่อ... เพ่อื วิเคราะห์ปจั จัยท่ีมี / สง่ ผล/อิทธพิ ล/ผลกระทบ... 3. สมมตุ ิฐำน (ถ้ามี) สมมตุ ิฐานเป็นการคาดคะเนหรือการทายคาตอบอยา่ งมเี หตุผล ท่ีคาดไว้ล่วงหน้า การเขยี นสมมุติฐานควรมีเหตผุ ลท่ีสาคัญ คือ เปน็ ขอ้ ความที่มองเหน็ แนวทางในการดาเนนิ การ 4. ขอบเขตของกำรศกึ ษำ 4.1 ประชำกรทใี่ ช้ในกำรศกึ ษำ ประชากร หมายถึง สมาชกิ ทกุ หนว่ ยของสง่ิ ที่สนใจศกึ ษา ซ่ึงไม่ได้หมายถึงคนเพยี งอย่างเดียว ประชากรอาจจะเป็นส่ิงของ เวลา สถานที่ ฯลฯ เช่น ถ้าสนใจความคิดเห็นของคนไทยท่ีมตี ่อการเลือกต้ัง ประชากร คือ คนไทยทกุ คน หรือถ้าสนใจอายุการใช้งานของเคร่อื งคอมพิวเตอร์ย่ีห้อหน่ึง ประชากรคือเคร่อื งคอมพวิ เตอรย์ ห่ี ้อน้ันทกุ เคร่ือง แต่การเก็บข้อมลู กับประชากรทุกหน่วยอาจทาให้เสยี เวลาและค่ าใชจ้ ่ายที่สงู มากและบางคร้ังเปน็ เร่ืองที่ต้องตัดสินใจภายในเวล าจากัด

6 การเลือกศึกษาเฉพาะบางสว่ นของประชากรจึงเป็นเร่อื งท่ีมีควา มจาเป็น เรียกว่า “กลุ่มตัวอย่าง” ประเภทของประชำกร จาแนกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1. ประชำกรทมี่ จี ำนวนจำกัด เป็นประชากรท่ีสามารถนับจานวนได้ เช่น จานวนนักศึกษา จานวนนักเรียน ฯลฯ 2. ประชำกรทมี่ จี ำนวนไมจ่ ำกัด เชน่ จานวนเมด็ ทราย ดวงดาวบนท้องฟา้ ฯลฯ รูปแบบกำรเขยี น ประชำกรทใี่ ชใ้ นกำรศกึ ษำ ประชากรที่ใชใ้ นการศกึ ษาคร้ังน้ี ได้แก่ นักเรียนช้ัน..........................โรงเรยี น............................... จานวน ....................หอ้ งเรียน เปน็ นกั เรียนท้ังสนิ้ .............คน 4.2 กลุ่มตัวอย่ำงท่ใี ช้ในกำรศกึ ษำ กลุ่มตัวอย่าง หมายถึง ส่วนหน่ึงของประชากรท่ีนามาศึกษาซ่ึงเป็นตัวแทนของประชา กร การท่ีกลุ่มตัวอยา่ งจะเปน็ ตัวแทนท่ีดีของประชากรเพ่อื การอ้าง อิงไปยังประชากรอย่างน่าเช่ือถือได้น้ัน จะต้องมกี ารเลือกตัวอย่างและขนาดตัวอยา่ งท่ีเหมาะสม ซ่งึ จะต้องอาศยั สถิติเข้ามาชว่ ยในการส่มุ ตัวอย่างและการกาหน ดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ประเภทของกำรสุ่มตัวอยำ่ ง การสุ่มตัวอยา่ งมหี ลายวิธี แต่ครูแนะนาการสุ่มตัวอยา่ งสาหรบั นักเรียน คือ

7 1. กำรสุม่ ตัวอย่ำงแบบง่ำย นยิ มใชก้ ัน 2 วิธคี ือ 1.1 การจับฉลาก 1.2 การใช้ตารางเลขส่มุ 1.2.1 การจับฉลาก ใชก้ ับประชากรขนาดเล็ก มีข้นั ตอนคือ (1) เขยี นบัญชรี ายช่อื โดยรวบรวมทกุ ๆหน่วยของประชากรและใหห้ มายเลขกากับ เช่น รายช่อื เจ้าหนา้ ที่ทุกคนในแผนก รายช่อื นกั เรยี นทุกคนในช้นั เรียน (2) ทาฉลากหมายเลขเท่ากับประชากรเปา้ หมายที่อยู่ในบัญชีรายช่ื อ (3) นาฉลากมาเคล้าปนกันให้ท่ัว (4) จับฉลากข้นึ มาคร้งั ละ 1 ใบใหค้ รบจานวนตัวอย่างที่ต้องการ 1.2.2 การใช้ตารางเลขสมุ่ นิยมใชก้ ับประชากรขนาดใหญ่ท่ีมีบญั ชรี ายช่อื ทุกห น่วยยอ่ ยของประชากรไว้แล้วโดยปกติตารางเลขสุ่ม นี้สร้างข้นึ จากการสุ่มโดยเคร่อื งคอมพิวเตอร์ มีข้นั ตอนดังน้ี (1) กาหนดขนาดตัวอยา่ งที่ต้องการสมุ่ (2) กาหนดจานวนหลักตัวเลขที่ต้องการสมุ่ (3) กาหนดทิศทางการอ่านให้แนใ่ จว่าจะอ่า นจากขวาไปซา้ ย หรือบนมาล่าง (4) หาเลขเริ่มต้นโดยการสมุ่ เช่นสมุ่ ตัวเลขโ ดยกาหนดในใจว่าจะเลือกตัวเลขใด

8 (5) เรยี กเลขสุ่มจนครบตามจานวนตัวอยา่ ง จึงหยุด 2. กำรสุม่ ตัวอยำ่ งแบบเปน็ ระบบ เปน็ การสมุ่ ตัวอย่างจากหน่วยยอ่ ยของประชากรที่มีลักษณะใ กล้เคียงกัน มีข้ันตอนการสุ่มดังน้ี 2.1 สมุ่ หนว่ ยเร่มิ ต้น 2.2 คานวณระยะห่างของหนว่ ยต่อไป ������ ระยะหา่ งระหว่างหมายเลข (������) = ������ = จานวนประชากรท้ังหมด (800 คน) = 10 จานวนกลุ่มตัวอย่าง (80 คน) 2.3 นับระยะหา่ งเท่าๆ กัน เชน่ 10 , 20 , 30 ... 2.4 กาหนดหมายเลขตัวอยา่ งดังนี้ เลขเร่ิมต้น10 ตัวอย่างเช่น มปี ระชากร 800 คน ต้องการตัวอยา่ ง 80 คน 2.5 สุ่มเลขเร่มิ ต้นหรอื จับสลากก็ได้ใน 800 คน สมมุติได้เลข 5 ดังน้ันจึงสมุ่ ทุกๆ 10 คน ส่มุ จนได้ครบจานวนกล่มุ ตัวอยา่ ง รูปแบบกำรเขยี น กลุ่มตัวอย่ำงทใี่ ชใ้ นกำรศกึ ษำ กล่มุ ตัวอยา่ งท่ีใช้ในการศกึ ษาคร้ังนเ้ี ป็นนกั เรยี น(ท่ี...)ระดับช้นั .. .................................... โรงเรยี น....................................... ปีการศึกษา 25... จานวน.............คน (นคร เสรรี กั ษ์และภรณี ดรี ำษฎรว์ ิเศษ , 2555 อ้ำงถึงใน กอบแก้ว ตะนะพันธุ์ , 2557.)

9 4.3 เน้อื หำทใี่ ช้ในกำรศึกษำ เน้ือหาท่ีใช้ในการศึกษาเป็นเน้อื หาท่ีเลือกจากปัญหาท่ีพบในโรง เรยี นหรือเร่อื งที่นักเรยี นสนใจ คือ .......................(ระบุเร่อื งท่ีนกั เรยี นสนใจ ต้ังช่ือเร่ือง)......................... 4.4 ระยะเวลำ ระยะเวลาที่ใช้ในการศกึ ษาคร้ังน้ี ดาเนนิ การในปกี ารศกึ ษา 25... 5. ประโยชน์ทคี่ ำดว่ำจะได้รบั เป็นความสาคัญของการศึกษาท่ีผศู้ ึกษาพิจารณาว่าการศึกษาเร่ื องน้นั ทาให้ทราบผลการศกึ ษาเร่ืองอะไร และผลการศึกษาน้ันมปี ระโยชน์ต่อใคร อย่างไร เชน่ การระบุประโยชน์ท่ีเกิดจากการนาผลการศกึ ษาไปใช้ ไม่ว่าจะเปน็ การเพิ่มพูนความรู้ หรือนาไปเปน็ แนวทางในการปฏิบัติ หรือแก้ปัญหา หรือพัฒนาคุณภาพ หลักในการเขยี นมีดังนี้ 1. ระบุประโยชน์ท่ีอาจเกิดจากผลท่ีได้จากการศึกษา 2. สอดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์และอยู่ในขอบเขตของการศึกษาที่ได้ศึกษา 3. ในกรณีที่ระบุประโยชนม์ ากกว่า 1 ประการ ควรระบุเป็นขอ้ 4. เขียนด้วยขอ้ ความส้ัน กะทัดรดั ชดั เจน 5. การระบุน้นั ผศู้ ึกษาต้องตระหนกั ว่ามีความเป็นไปได้ การศกึ ษาค้นคว้าทุกเร่อื ง ผู้ศึกษาว่าผลการศกึ ษาจะก่อใหเ้ กิดประโยชน์อยา่ งไร

10 ประโยชน์ของการศึกษามไี ด้หลายลักษณะ เช่น การนาผลการศกึ ษาไปใชใ้ นการกาหนดนโยบาย ปรบั ปรุงการปฏิบัติงาน ใช้เปน็ แนวทางการตัดสนิ ใจ การแก้ปัญหา หรือศกึ ษาค้นคว้าต่อไป คำทใ่ี ช้สำหรบั กำรเขยี นประโยชนท์ ค่ี ำดว่ำจะได้รบั เช่น 1. เพ่อื เป็นแนวทางในการพัฒนา.......................................... 2. ได้ทราบถึงสาเหต(ุ ทัศนคติ ) ของนักเรยี น.............................ท่ีมี.......... 3. เปน็ แนวทางในการ...........................................( เช่น ศึกษาปญั หาต่างๆ ท่ีมีในโรงเรียน) 4. นักเรยี นมคี วามพึงพอใจต่อ...................... 5. ผลการศกึ ษาท่ีพบ ช่วยให้เกิด(องค์ความรูใ้ หม่ วิธกี ารใหม่ แนวทางใหม่ การจัดการเรยี นรู้ใหม่) ใน........ (นภิ ำ ศรไี พโรจน์ , 2556 อ้ำงถึงใน กอบแก้ว ตะนะพันธุ์ , 2557.)

11


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook