วารสาร เรอ่ื ตงอนไตรมภนูมุสพิ สรภะมูรวิ ง คณะผูจัดทาํ นางสาวญภา วงั กรานต เลขท่ี ๖ นางสาวธญั ลกั ษณ อยถู ่นิ เลขท่ี ๑๐ นางสาวธรี ธิดา ลมูลศลิ ป เลขที่ ๑๑ นาวสาวพชิ ชาพร เอยี ดชูทอง เลขที่ ๑๖ นางสาวพิชาพร ทรพั ยสวนแตง เลขที่ ๑๗ นางสาวพชู มพู จันทร เลขที่ ๑๘ นางสาววรญั ญา ทมุ เชียงลาํ เลขที่ ๒๐ นางสาววรินทรยาภสั ธีระรตั นเวช เลขท่ี ๒๑ นางสาวโศรดาพร แทนแคร เลขท่ี ๒๙ นายธนภทั ร ลํ้าเลศิ เลขท่ี ๓๐ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี ๖/๑๐ นําเสนอ ครูชมยั พร แกวปานกัน
วารสาร เรอื่ ตงอนไตรมภนูมสุ พิ สรภะมูรวิ ง นางสาวญภา คณะผูจัดทํา เลขที่ ๖ วังกรานต นางสาวธญั ลกั ษณ อยูถน่ิ เลขท่ี ๑๐ นางสาวธรี ธดิ า ลมูลศิลป เลขที่ ๑๑ นาวสาวพชิ ชาพร เอียดชทู อง เลขท่ี ๑๖ นางสาวพชิ าพร ทรพั ยสวนแตง เลขท่ี ๑๗ นางสาวพชู มพู จันทร เลขท่ี ๑๘ นางสาววรัญญา ทมุ เชยี งลํา เลขท่ี ๒๐ นางสาววรินทรยาภัส ธรี ะรตั นเวช เลขที่ ๒๑ นางสาวโศรดาพร แทนแคร เลขที่ ๒๙ นายธนภัทร ลา้ํ เลศิ เลขท่ี ๓๐ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท่ี ๖/๑๐ นาํ เสนอ ครชู มัยพร แกวปานกนั วารสารฉบบั นีเ้ ปนสวนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ ๑ ปการศึกษา ๒๕๖๔ โรงเรียนสงวนหญงิ สํานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษามัธยมศกึ ษาเขต ๙ สพุ รรณบรุ ี
ก คำนำ วารสารเรื่อง \"ไตรภูมพิ ระร่วง ตอนมนสุ สภมู \"ิ ฉบบั นี้ เป็นสว่ นหนึ่งของวชิ าภาษาไทย ๖ รหสั วิชา ท๓๓๑๐๒ ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี ๖ มีจุดประสงคเ์ พ่ือศกึ ษาความร้เู ก่ยี วกับวรรณคดไี ทยเรอื่ ง \" ไตรภมู ิพระร่วง ตอนมนุสสภูม\"ิ ซง่ึ วารสารฉบบั นี้มเี นอ้ื หาเกย่ี วกบั ความเรียงรอ้ ยแกว้ ไตรภมู ิพระรว่ งทม่ี าและความสาคัญ ของไตรภมู พิ ระร่วง เนอ้ื เร่ืองของวรรณคดนี ี้ ประวตั ิผู้แต่ง ลักษณะคาประพันธบ์ ทประพนั ธ์ความเรยี งร้อยแก้ว โครงเรอื่ ง สาระของเรื่อง รวมไปถงึ การวเิ คราะห์คุณค่าทงั้ ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านวรรณคดี ดา้ นศาสนา ด้านจรยิ ธรรม และด้านประเพณแี ละวฒั นธรรม ที่สะทอ้ นความคิดความเชือ่ ขนบธรรมเนียมและวฒั นธรรมประเพณแี ละคา่ นิยม ของคนไทยในสมยั น้นั การศกึ ษาคน้ คว้าเรื่อง \"ไตรภูมิพระรว่ ง ตอนมนุสสภูมิ\" เลม่ น้ี กลุ่มของข้าพเจ้าได้วางแผนการดาเนินงาน การศกึ ษาคันคว้าเปน็ ระยะเวลา ๒ สปั ดาห์ ศึกษาจากแหล่งความรูต้ า่ ง ๆ อาทติ าราหนังสอื เรยี นวรรณคดีวิจักษ์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ และแหลง่ ความร้จู ากเวบ็ ไซต์ การจดั ทารายงานฉบบั น้สี าเรจ็ ตามวัตถุประสงค์ไปดว้ ยดี กลุม่ ของข้าพเจา้ ขอขอบพระคุณ คุณครูชมัยพร แก้วปานกัน ท่ที ่านได้ใหค้ าแนะนาการทาวารสาร จนทาใหว้ ารสารฉบับนี้สมบรู ณใ์ นดา้ นแผนปฏบิ ัติ ศึกษาการทาวารสาร การเรียบเรียงเน้อื หา การวิเคราะห์เนอ้ื หาตา่ งๆได้สาเรจ็ ลุล่วงไปด้วยดี กลมุ่ ของข้าพเจา้ หวังเปน็ อย่างยง่ิ วา่ เนอื้ หาในวารสารฉบบั น้ี ท่ไี ดเ้ รยี บเรียงมาจะเป็นประโยชน์ต่อผสู้ นใจ เป็นอย่างดี หากมีสิ่งใดในรายงานฉบับนจี้ ะตอ้ งปรบั ปรงุ กลุ่มของขา้ พเจ้าขอนอ้ มรบั ในข้อชแี้ นะและจะนาไปแก้ไข หรอื พัฒนาใหถ้ ูกตอ้ งสมบรู ณต์ อ่ ไป กล่มุ ไตรภูมิพระรว่ ง ๘ สิงหาคม ๒๕๖๔
สำรบญั ข เรื่อง หนำ้ คานา ก สารบญั ข ไตรพระภูมพิ ระร่วง ๑ – ความเป็นมา ๑ ประวัตผิ ้แู ต่ง ลกั ษณะคำประพันธ์ ๒ – ความเรยี งร้อยแกว้ ๒–๓ เนื้อเร่อื ง ๓–๔ – เนือ้ เรื่องยอ่ ไตรภูมพิ ระรว่ ง ๕–๖ เน้ือเรื่องไตรภูมิพระรว่ ง ตอน มนสุ สภูมิ ๖ วิเครำะห์คณุ คำ่ ๖ ๗ – ดา้ นวรรณคดี ๘ – ดา้ นศาสนา – ดา้ นจริยธรรม – ด้านประเพณีและวัฒนธรรม บรรณำนกุ รม
๑ ไตรภูมิพระรว่ ง ควำมเปน็ มำ พญาลไิ ทยทรงพระราชนิพนธไ์ ตรภมู พิ ระร่วงขน้ึ เพ่อื โปรดพระราชมารดา และเป็นธรรมทานแก่ ประชาชนท่ัวไป โดยเรอ่ื งไตรภมู ิพระรว่ งน้นั มีจดุ ม่งุ หมายสาคัญคอื เพือ่ ชใี้ ห้ผอู้ า่ นตระหนกั วา่ ดินแดนในสามโลกน้ี มแี ต่อนิจจลกั ษณะ หมายถึง เป็นโลกทไี่ มน่ า่ อยู่ ไม่มคี วามแนน่ อน ไม่จีรงั ย่งั ยนื มแี ตก่ ารแปรเปลยี่ น รวมทั้งยงั ชนี้ าให้ทุกคนแสวงหาทางหลุดพ้นไปสู่โลกตุ รภมู ิ หรือนิพพานทอ่ี ยู่เหนือกระแสแหง่ การเวียนว่ายตายเกดิ ประวัตผิ แู้ ตง่ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ หรอื พญาลไิ ทย เป็นพระมหากษตั รยิ พ์ ระองค์ที่ ๖ แห่งกรุงสโุ ขทัย โดยมผี ู้ สันนิษฐานว่า คาว่า “พระรว่ ง” นน้ั เปน็ คาทใ่ี ช้เรียกพญาลไิ ทยด้วยเชน่ กนั พญาลิไทย เป็นพระราชนดั ดาหรือหลานของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช พระองคท์ รงเป็นพระมหากษัตริย์ ไทยพระองคแ์ รกท่ีทรงผนวชเป็นพระภิกษุตลอดระยะเวลาแหง่ การครองราชย์ พญาลไิ ทยทรงใชห้ ลักธรรมะ เป็นหลกั สาคัญในการนาพาบา้ นเมอื งให้เจรญิ รุ่งเรอื ง ทาใหป้ ระชาชนอยู่อยา่ งรม่ เย็นเป็นสุข นอกจากน้นั พระองค์ ยังทรงเชี่ยวชาญในพระพุทธศาสนา ทรงแตกฉานในพระไตรปิฎก และอรรถกถาฎกี าอีกดว้ ย
๒ ลกั ษณะคำประพันธ์ คาประพันธแ์ ตง่ โดยใช้รอ้ ยแกว้ ประเภทความเรียง มีสัมผัสคลอ้ งจอง มกี ารใช้คาซ้า คาซอ้ นและวลี ที่ซ้าๆ กนั ทาให้เนอ้ื ความมคี วามคล้อยตามและต่อเน่ืองกัน คาประพันธ์มกี ารใช้โวหาร โดยเฉพาะอปุ มาโวหาร เพอื่ เปรยี บเทียบ ทาให้ผอู้ ่านเกิดจินตนาการตามเนอ้ื เรื่องได้ เนอ้ื เรื่องไตรภมู ิพระร่วง แบบย่อ กล่าวถงึ ภมู ิทง้ั ๓ คาว่า เตภูมิ หรอื ไตรภมู ิ แปลวา่ สามแดน คอื กามภมู ิ รูปภูมอิ รูปภมู ิ ทง้ั ๓ ภมู ิ แบง่ ออกเป็น ๘ กณั ฑ์ (กัณฑ์ = เรือ่ ง,หมวด,ตอน) ๑. กามภูมิ เปน็ ท่ีกาเนิดของชวี ิตทง้ั หลายที่ยงั ล่มุ หลงอยู่ในกามเปน็ แดนสขุ สบายและแดนท่ีเปน็ ทกุ ข์ ปะปนกนั ผู้ทีเ่ กิดในภูมิตา่ ง ๆ ผ้ทู เี่ กิดในภูมติ า่ ง ๆ ในกามภูมิ เพราะผลกรรมของตนเปน็ ใหญ่กามภูมแิ บ่งออกเปน็ ๑๑ภมู ิ ไดแ้ ก่ อบายภมู ิ ๔ ภมู ิ มนุษย์ ๑ ภูมิ และสวรรค์ ๖ ภูมิ การพรรณนากามภูมแิ บ่งออกเป็น ๖ กณั ฑ์ ๑.๑ นรกภมู ิ เปน็ แดนของสตั วน์ รก ๑.๒ ดิรจั ฉานภูมิ เปน็ แดนของสัตวท์ ีเ่ จรญิ ตามขวาง ๑.๓ เปตภมู ิ เปน็ แดนของเปรตที่เคยเปน็ มนษุ ยแ์ ละทาความชว่ั เกิดเป็นเปรต ๑.๔ อสุรกายภมู ิ เป็นแดนของยกั ษ์มารหรือผที ี่หลอกมนุษย์ใหต้ กใจกลวั ๑.๕ มนุสสภูมิ เปน็ แดนของมนุษย์ ๑.๖ ฉกามาพจร เป็นแดนของเทวดาทีย่ งั เกยี่ วข้องในกาม มี ๖ ชน้ั คอื จาตมุ หาราชิกา ดาวดึงส์ ยามะ ดสุ ติ นมิ มานรดี ปรนิมมิตวสวดี ๒. รูปภูมิ หรอื รูปาวจรภูมิ เปน็ ทีอ่ ยู่ของพรหมมรี ปู เรียกวา่ รูปพรหม ไม่มีเพศ มีรปู งามบริสุทธ์ิ มี แสงสวา่ งรงุ่ เรอื งย่ิงกวา่ เทวดาทง้ั ปวง มีเสยี งไพเราะ และมอี ายยุ นื หลายพนั ปที พิ ย์ มที งั้ หมด ๑๖ ชั้น (โสฬส พรหม) จาแนกออกตามช้ันของฌานทีบ่ คุ คลได้บรรลุ เรยี งลาดบั ดังน้ี ปรสิ ัชชา ปโรหติ ตา มหาพรหมา ปรติ ตาภา อปั ปมานาภาอาภัสสรา ปริตตาสภุ า อปั ปมาณาสภุ า สุภกณิ าหา เวหัปผลา อสญั ญิสตั ตาอเวหา ตปั ปา สทุ ัสสา สุทสั สี อกนิฏฐา รูปภูมิทเี่ รยี กว่า มหาสทุ ธาวาส คือรูปภูมิ ๕ ช้ันสุดท้าย (ชั้นที่ ๑๑-๑๖) เป็นภมู ทิ ไ่ี ม่ถูกทาลายด้วย ไฟบรรลยั กลั ป์
๓ ๓. อรูปภมู ิ หรอื อรูปาวจรภูมิ เปน็ แดนของพรหมไมม่ รี ปู มีแตจ่ ิตเทา่ นัน้ แบ่งออกเป็น ๔ ชน้ั ไดแ้ ก่ อากาสานัญจายตนภมู ิ วิญญาณญั จายตนภูมิ อากิญจัญญายตนภูมิ เนวสญั ญานาสญั ญายตนภูมิ กล่าวเรมิ่ ตน้ ต้งั แต่ การกาเนิดของชวี ิตต่าง ๆ วา่ มีท่เี กดิ อย่างไร แล้วพรรณนาถน่ิ ทเี่ กดิ คือ ภูมิตา่ ง ๆ ทัง้ ๓๑ ภูมิ อย่างละเอยี ดตอน ทีว่ ่าด้วยมนุสสภมู ิและโลกสณั ฐาน คือภมู ิศาสตรข์ องโลก ได้เลา่ อยา่ งละเอียดวา่ ลักษณะของโลกเปน็ อยา่ งไร ทวีปต่าง ๆ ภูเขา แม่น้าคน และสัตว์เปน็ อยา่ งไร จบลงดว้ ยการเน้นทางไปถึงการดับทกุ ข์ คอื พระนิพพาน ว่าเปน็ จุดม่งุ หมายอนั สงู สุดของชีวติ เนื้อเรือ่ งไตรภูมพิ ระร่วง ตอน มนุสสภูมิ รูปทจ่ี ะเกดิ เปน็ ชายก็ดี หญงิ กด็ ี เกดิ ตง้ั แตแ่ รกเปน็ กลละ แล้วโตข้นึ วันละเลก็ ละนอ้ ย ครัน้ ถงึ ๗ วัน เป็นดังน้าลา้ งเน้ือเรยี กวา่ “อมั พทุ ะ” อัมพทุ ะโตข้นึ ทกุ วัน เมื่อถึง ๗ วัน ขน้ ดงั ตะก่ัวเช่อื มอยใู่ นหมอ้ เรียกว่า “เปสิ” เปสนิ ้นั โตข้นึ ทกุ วัน เม่ือถงึ ๗ วนั แขง็ เปน็ ก้อนเหมอื นไข่ไก่ เรยี กว่า “ฆนะ” ฆนะน้ันโตขึ้นทุกวัน เมือ่ ถึง ๗ วนั เป็นตมุ่ ออกได้ ๕ แหง่ เหมอื นหดู เรียกวา่ “เบญจสาขา” หดู น้ันเปน็ มอื ๒ ขา้ ง เป็นเทา้ ๒ ข้าง เปน็ ศรี ษะ อนั หนงึ่ ตอ่ จากน้นั ไปโตขน้ึ ทุกวนั เม่ือถึง ๗ วนั เป็นฝา่ มือ เป็นนว้ิ มอื ตอ่ จากนั้นไปเมอ่ื ถึง ๗ วัน ครบ ๔๒ วนั จึง เปน็ ผม เป็นขน เปน็ เล็บมอื เลบ็ เทา้ ครบอวยั วะเปน็ มนษุ ยท์ ุกประการ รูปของสัตว์เกดิ ในครรภ์มี ๑๘๔ รปู คอื ส่วนกลาง (ตั้งแตค่ อถึงสะดอื ) มี ๕๐ รปู รปู ส่วนบน (ตัง้ แตค่ อถึงศรี ษะ) มี ๘๔ รปู รูปส่วนเบ้ืองต่า (ต้ังแตส่ ะดอื ถงึ ฝา่ เท้า) มี ๕๐ รูป สตั วเ์ กดิ ในครรภน์ ั่งอยู่กลางท้องมารดาหนั หลังมาติดหนงั ท้องมารดา อาหารท่มี ารดา รบั ประทานเขา้ ไปกอ่ น จะอยใู่ ต้สตั ว์เกิดในครรภ์ สว่ นอาหารที่มารดารบั ประทานเข้าไปใหม่ จะอยู่บนสตั ว์เกดิ ใน ครรภ์ สตั ว์เกิดในครรภม์ คี วามลาบากอยา่ งย่ิง นา่ เกลยี ด น่าเบื่อหนา่ ยเหลอื ประมาณ ท้งั ชื้นสกปรกมีกลิ่นเหม็น ตวั ตดื และพยาธไิ ส้เดอื น ๘๐ ตระกลู ทีอ่ าศัยปนกนั อยู่ในท้องมารดา ถ่ายอจุ จาระ ถ่ายปสั สาวะในทอ้ งมารดานัน้ ทอ้ งมารดาของสัตวท์ ี่เกิดในครรภ์เปน็ ที่คลอดลูก เป็นท่เี กิด เปน็ ทแ่ี ก่ เป็นท่ีตาย เปน็ ปา่ ชา้ ของพยาธิเหล่าน้ัน เหลา่ ตวั ตดื และพยาธไิ ส้เดอื นเหลา่ น้นั ได้ชอนไชสตั วเ์ กดิ ในครรภน์ ั้นเหมอื นหนอนที่อยู่ในปลาเนา่ และในอาจมน้ัน สายสะดือของสัตวเ์ กิดในครรภ์กลวงดงั สายบวั อบุ ล ปากสะดอื กลวงขึน้ ไปเบอ้ื งบนตดิ หลงั ท้องมารดา ข้าว นา้ อาหาร และโอชารสที่มารดากินเขา้ ไป เปน็ นา้ ชุม่ ซึมเขา้ ไปตามสายสะดอื ในท้องสตั ว์ทเี่ กดิ ในครรภ์ทีละนอ้ ย ๆ สตั ว์ทีเ่ กิดในครรภไ์ ดก้ ินอาหารดังกล่าวทกุ วัน ทกุ เชา้ เยน็ อาหารเข้าไปอยูเ่ หนือศีรษะทบั ศีรษะสตั วเ์ กิดนนั้ สัตว์ เกิดน้ันได้รบั ทุกข์มากนัก สตั วเ์ กิดน้ันจะอยเู่ หนืออาหารที่มารดากนิ เขา้ ไปกอ่ น เบื้องหลังสัตวน์ นั้ ติดกบั หนังทอ้ ง มารดา นั่งยอง ๆ อยู่ กามอื ทัง้ ๒ ไวท้ หี่ วั เข่า คหู้ วั เขา่ ทั้งสอง เอาศรี ษะไวเ้ หนือหวั เข่า ขณะนง่ั อย่เู ลือดและ นา้ เหลอื งหยดลงเต็มตัวทีละหยดทุกเม่ือ เหมือนลงิ เม่อื ฝนตกนง่ั กามอื ซบเซาอย่ใู นโพรงไมน้ นั้ ในทอ้ งมารดาน้นั รอ้ นรมุ นกั หนา ดจุ ดังคนเอาใบตองไปจุดไฟเผาและต้มน้าในหม้อ
๔ อาหารทกุ สงิ่ ท่มี ารดากินเขา้ ไปถูกเผาไหม้และยอ่ ย ส่วนสัตว์ทเี่ กิดขน้ึ ในครรภ์ ไฟธาตุไม่ไหม้ เพราะบญุ ของสัตวท์ ่ี เกิดในครรภจ์ ะเกิดเปน็ มนุษย์ จะไมไ่ หม้และไม่ตายเพราะเหตนุ ้นั อน่ึง สัตว์ท่ีเกดิ ในครรภ์ไม่หายใจเข้าหายใจออก เลย ไมไ่ ดเ้ หยียดมือและเทา้ ออกเชน่ เราท่านท้งั หลายนีแ้ ม้แต่ครง้ั เดยี ว ต้องเจ็บปวดตนเหมือนถกู ขงั ไว้ในไหที่คบั แคบมาก คบั แค้นใจและเดอื ดรอ้ นใจอยา่ งยงิ่ ไม่ไดเ้ หยยี ดมือและเท้าออกเหมอื นถูกขังในทแ่ี คบ เมอ่ื มารดาเดนิ กด็ ี นอนกด็ ี ลกุ ขึ้นกด็ ี สัตว์ท่ีเกดิ ในครรภ์จะเจ็บปวดประหน่ึงว่าจะตาย เหมือนลูกเน้ือทรายคลอดใหมต่ กอยู่ในมอื คน เมาเหลา้ ถา้ ไมเ่ ช่นนั้นก็เป็นเหมือนดังลูกงูทห่ี มอเอาไปเลน่ นับไดว้ ่าความทกุ ข์ลาบากใจนกั หนา ไมไ่ ดล้ าบากเพยี ง ๒ วนั ๓ วัน แล้วพน้ ความลาบาก ต้องอยยู่ ากลาบาก ๗ เดอื น บางคราว ๘ เดอื น บางคราว ๙ เดอื น บางคราว ๑๐ เดือน บางคน ๑๑ เดอื น บางคนครบหน่ึงปีจงึ คลอดก็มี ผูท้ อ่ี ย่ใู นทอ้ งมารดาได้ ๖ เดอื น และคลอดออกมา ไม่อาจจะมชี วี ติ อย่ไู ด้ ผูท้ ่ีอยูใ่ นทอ้ งมารดา ๗ เดือน คลอดออกมา แมว้ า่ จะเลี้ยงเปน็ คนได้กไ็ ม่ได้เติบโตกลา้ แขง็ ทนแดดทนฝนไม่ได้ ผู้ทจ่ี ากนรกมาเกดิ เมื่อคลอด ออกมาตัวร้อน เม่อื สัตว์นั้นอยูใ่ นท้องมารดาจะเดอื ดร้อนใจและหิวกระหาย เนอื้ มารดานนั้ ก็พลอยรอ้ นไปด้วย ผู้ที่ จากสวรรค์ลงมาเกดิ เมื่อจะคลอดออก เนอ้ื ตนสตั ว์ทเ่ี กิดน้นั เยน็ เยน็ กาย เย็นใจ เมอ่ื อย่ใู นทอ้ งมารดากอ็ ย่เู ยน็ เป็น สุขสาราญบานใจ เน้อื กายมารดาก็เย็นด้วย เมือ่ ถึงเวลาจะคลอด จะมลี มในท้องมารดาพดั ผนั ตนสตั วท์ ่เี กดิ ใหข้ ้ึน เบอ้ื งบน ใหศ้ ีรษะลงเบ้ืองตา่ สทู่ ี่จะคลอด เหมือนเหลา่ สตั วน์ รกถูกยมบาลจับเท้า หย่อนศรี ษะลงในขุมนรกทลี่ กึ รอ้ ยวา สัตวท์ ีเ่ กิดน้นั เม่อื จะคลอดออกมาจากทอ้ งมารดา ออกมายงั ไมท่ ันหลดุ พน้ ตวั จะเยน็ เจบ็ ปวดย่งิ นกั ประดจุ ดงั ช้างสารท่คี นชักเข็นออกจากประตูขนาดเลก็ และคับแคบ ออกยากลาบากยงิ่ นัก หรือเปรยี บเหมอื นดังสัตว์นรก ถูกภเู ขาคังไคยหีบบดขยนี้ น่ั เอง คร้ันคลอดออกจากทอ้ งมารดาแล้ว ลมในท้องของสัตวท์ ีเ่ กิดนั้นจะพดั ออกกอ่ นลม ภายนอกจงึ พดั เข้า เม่อื พดั เขา้ ถงึ ล้นิ สัตวท์ ่ีเกิดจึงหยดุ เม่ือออกจากท้องมารดาแล้ว นบั แต่นัน้ ไป สัตวท์ ี่เกิดจึงรู้จัก หายใจเข้าออก ถา้ สัตวท์ เี่ กดิ มาแตน่ รกหรอื มาจากเปรตจะคิดถึงความทุกข์ลาบาก เม่ือคลอดออกมาจะรอ้ งไห้ ถา้ สตั ว์ทเี่ กิดมาแต่สวรรค์ เม่อื คดิ ถึงความสุขในหนหลงั คร้นั คลอดออกมาแล้วจะหัวเราะกอ่ น แตม่ นษุ ยผ์ ู้อยู่ในโลกน้ี หรอื ในจักรวาลอืน่ ๆ เมือ่ แรกเกดิ ในครรภ์มารดาก็ดี ระหว่างอย่ใู นครรภม์ ารดาก็ดี เม่ือคลอดออกจากครรภม์ ารดา กด็ ีในกาลทั้ง ๓ น้ี จะหลงลืมไม่รู้ตวั ในสิ่งใดส่ิงหน่ึงแม้แต่ส่ิงเดียวเลย ผู้จะมาเกดิ เปน็ พระปัจเจกพทุ ธเจา้ ก็ดี เป็นพระอรหนั ตขีณาสพกด็ ี และเป็นพระอัครสาวกกด็ ี เมือ่ แรกมาเกิดในครรภม์ ารดาก็ดี ระหวา่ งอยูใ่ นครรภ์ มารดากด็ ี ทั้ง ๒ ระยะย่อมไม่หลง และคานงึ รู้อยู่ทกุ สิง่ เม่อื จะคลอดจากครรภม์ ารดา ถกู ลมกรรมชวาต คือ ลม เบ่งพัดผนั ให้ศรี ษะลงสทู่ ่ีคลอดซึ่งเบียดตวั แอ่นยนั มาส่ทู ีจ่ ะคลอด ไดร้ บั ความเจบ็ ปวดตนลาบากนักดงั กลา่ วมาแต่ ก่อน และพลิกศรี ษะลงโดยไม่ร้สู ึกตวั ไม่เหมอื นผจู้ ะมาเกดิ เปน็ พระปจั เจกพุทธเจา้ หรือผู้จะมาเกิดเปน็ โอรสของ พระพุทธเจ้า จะรูส้ กึ ตน ไม่ลืมตน ในเวลาทงั้ ๒ นี้ คอื เม่อื แรกเกิดในครรภม์ ารดาและระหวา่ งอยใู่ นครรภ์มารดา แต่เมือ่ จะคลอดจากครรภ์มารดาจะหลงเหมือนมนษุ ย์ทั้งหลาย สว่ นมนุษย์ท้งั หลายน้ีจะหลงลมื ท้ัง ๓ กาล ฉะน้ัน ควรเบือ่ หน่ายสงสารนี้
๕ วิเครำะหค์ ุณคำ่ คุณค่าของเรื่องไตรภมู พิ ระร่วง มีคุณคา่ ต่างๆดงั น้ี ๑. คณุ ค่ำดำ้ นวรรณคดี เปน็ หลกั ฐานทแี่ สดงใหเ้ หน็ วา่ คนไทยรจู้ กั แต่งวรรณคดีมาตัง้ แตส่ มยั สโุ ขทยั แล้ว แม้จะใช้ภาษาความเรยี ง แตก่ ม็ ีคาสมั ผัสคล้องจอง มีขอ้ ความทจี่ ดั แบ่งกลุ่มคาท่ีใหจ้ ังหวะอนั กอ่ ใหเ้ กิดความ ไพเราะหลายแห่ง ท้ังยังมีความเปรยี บที่ใหอ้ ารมณ์และเห็นภาพชดั เจน เชน่ การพรรณนาภาพการลงโทษผ้ทู เี่ กดิ ในอโยทกนรก และภาพความงดงามของผูห้ ญิงในอตุ รกุรทุ วีป ดงั ตัวอย่าง ภาพของอโยทกนรกมีดงั นี้ นรกบา่ วอันดบั นั้นเป็นคารบ ๖ ช่อื ว่าอโยทกนรกแล คนผใู้ ดอนั ฆา่ สัตวซ์ ึง่ มีชีวิต เชอื ดคอสตั ว์ นน้ั ใหต้ ายไสร้ คนฝูงนั้นครั้นว่าตายไปเกดิ ในนรกน้นั แล สัตวน์ รกนัน้ มตี ัวอันใหญ่แลสูงได้ ๖,๐๐๐ วา ในนรกนน้ั มหี ม้อเหลก็ แดงอนั ใหญเ่ ท่าภูเขาอันใหญ่ แลฝงู ยมบาลเอาเชอื กเหลก็ แดงอันลุกเปน็ เปลวไฟไล่ กระหวดั รดั ตัวเขา แล้วตระบิดใหค้ อเขานนั้ ขาดออกแลว้ เอาหวั เขาทอดลงในหมอ้ เหลก็ แดงนั้น เม่ือแล หวั เขาดว้ นอยูด่ งั นนั้ ไสร้ บดั เด๋ยี วกบ็ งั เกิดหัวอันหนึ่งขึ้นมาแทนเล่า ฝูงยมบาลจงึ เอาเชือกเหล็กแดงบดิ คอให้ขาดแล้วเอาหัวทอดลงในหมอ้ เหลก็ แดงอีกเลา่ แต่ทาอยดู่ ั่งน้ีหลายคาบหลายครานัก ตราบเทา่ สิน้ อายุแลบาปกรรมแห่งเขาในที่น้ันแล ในการพรรณนาภาพนรกขา้ งต้น กวีใชท้ ง้ั ภาพพจน์ชนดิ อปุ มาและภาษาจินตภาพทเ่ี ปน็ ภาพพจนช์ นิด อุปมา ไดแ้ ก่ การเปรยี บหมอ้ ขนาดใหญ่กับภูเขาโดยใชส้ านวนความเปรยี บว่า “หม้อเหล็กแดงอนั ใหญ่เท่าภูเขา อนั ใหญ่” สว่ นภาษาจนิ ตภาพคอื การใช้คาที่ส่ือภาพโดยไม่ต้องใช้การเปรยี บเทียบ แต่ใชค้ าท่ีสอ่ื การเคลอ่ื นไหว หรอื สภาวะของส่งิ ใดส่งิ หนึ่งอยา่ งชดั เจน หรอื ใชค้ าทบ่ี ่งบอกเสยี ง สี ฯลฯ ทเ่ี ร้าอารมณ์ไดอ้ ยา่ งรนุ แรง เชน่ “ฝูงยมบาลเอาเชอื กเหลก็ แดงอนั ลกุ เปน็ เปลวไฟไล่กระหวัดรัดตัวเขา แลว้ ตระบิดใหค้ อเขานัน้ ขาดออก... เมอื่ แล หัวเขาดว้ นอยดู่ งั น้ันไสร้ บดั เดยี๋ วกบ็ งั เกดิ หวั อนั หน่ึงขึ้นมาแทนเล่า” คาว่า “ไลก่ ระหวัดรัด” “ตระบิด” “ขาด” “ด้วน” เปน็ คาทสี่ ่อื การเคลื่อนไหวหรือส่ือสภาวะทช่ี ัดเจน สว่ นคาว่า “แดง” และ“ลกุ เป็นเปลวไฟ” เป็นคาท่ีบ่ง บอกสีและสื่อความรอ้ นระอุไดอ้ ยา่ งนา่ กลัว นอกจากนบ้ี างแหง่ ยงั ใช้คาคล้องจองทาใหเ้ กดิ การเชือ่ มรอ้ ยคาเข้า ดว้ ยกันอยา่ งไพเราะ เช่น “กระหวัดรดั ตัว” และบางแห่งใชค้ าซา้ และใชค้ าที่มจี านวนเท่าๆกนั เปน็ จงั หวะท่นี ่า ฟงั เช่น “หลายคาบหลายครา”
๖ ส่วนภาพความงดงามของผ้หู ญงิ ในอุตรกรุ ทุ วปี กวพี รรณนาไวด้ งั น้ี แลมฝี งู ผู้หญิงอันอย่ใู นแผน่ ดนิ นน้ั งามทกุ คน รปู ทรงเขานนั้ บ่มติ า่ บ่มสิ งู บม่ พิ ีบม่ ิผอม บ่มิ ขาวบ่มิดา สีสมบรู ณ์งามดง่ั ทองอนั สกุ เหลืองเรืองเปน็ ท่ีพงึ่ ใจฝูงชายทุกคนแล นว้ิ ตนี นิ้วมอื เขานน้ั กลม งามนะแน่ง เลบ็ ตีนเลบ็ มอื เขาน้ันแดงงามดงั่ น้าครงั่ อนั ท่านแตง่ แล้วแลแต้มไว้ แลสองแก้มเขานนั้ ไสร้ งามเปน็ นวลดั่งแกล้งเอาแป้งผดั หนา้ เขาน้ันหมดเกล้ยี งปราศจากมุทินหาฝ้าหาไฝบ่มไิ ด้ แลเห็นดวงหน้า เขาไสร้ดุจด่งั พระจนั ทรว์ นั เพ็งบรู ณน์ ัน้ เขานั้นมีตาเปน็ อันดาดั่งตาแหง่ ลูกทรายพ่งึ ออกได้ ๓ วัน ท่ี พรรณขาวก็ขาวงามด่ังสงั ขอ์ นั ท่านพง่ึ ฝนใหม่ แลมฝี ีปากนั้นแดงดัง่ ลูกฟักขา้ วอันสกุ นน้ั แลมลี าแข้งลาขา นั้นงามดัง่ ลากล้วยทองฝาแฝดนัน้ แล แลมที อ้ งเขานน้ั งามราบเพยี ง ลาตัวเขานัน้ อ้อนแอน้ เกลย้ี งกลมงาม ...แลผมเขาน้ันดางามดง่ั ปกี แมลงภู่... กวพี รรณนาภาพหญงิ งามโดยใช้ความเปรยี บที่ทาให้เกิดจินตภาพได้อย่างชดั เจน ความเปรียบสว่ นใหญ่ เปน็ การใชภ้ าพพจน์ชนิดอุปมาและเปรียบความงามของผู้หญงิ ทีละสว่ น เช่น เปรียบความแดงงามของเล็บมือเล็บ เท้าวา่ ประดุจสีของน้าคร่งั เปรียบใบหน้าอนั งามผ่องใสดังพระจันทร์วนั เพญ็ เปรยี บดวงตาดางามและบรสิ ุทธ์ไิ ร้ เดียงสาดงั ตาของลูกเนื้อทรายทม่ี ีอายุเพียง ๓ วัน เปรียบตาขาววา่ ขาวงามดงั สังข์ทเี่ พง่ิ ฝนใหม่ ปากสแี ดงงามดงั ลูกฟักข้าวสุก ลาขากลมงามดังลากลว้ ย และผมดามนั ดังสปี ีกแมลงภู่ บทเปรียบเทียบบางตอนใชค้ าขยายเพือ่ บ่ง บอกสสี นั ท่ีช่วยสื่อความงามชดั เจนมากขนึ้ เชน่ “งามดัง่ ทองอนั สกุ เหลืองเรือง” การชมความงามของผหู้ ญงิ วิธีน้ี เป็นต้นแบบให้แก่กวีในสมยั หลังต่อมาเปน็ จานวนมาก ๒. คุณคำ่ ด้ำนศำสนำ เป็นการนาเสนอคาสอนทเ่ี ป็นปรชั ญาทางพระพทุ ธศาสนา ช้ใี ห้เหน็ แก่นแท้ ของชวี ิตอนั จะนามนุษยชาตใิ หห้ ลดุ พ้นจากวงจรของสงั สารวฏั ดงั ไดก้ ลา่ วถึงขา้ งตน้ แลว้ ๓. คุณคำ่ ด้ำนจริยธรรม กาหนดกรอบแห่งการประพฤติปฏิบตั ิใหแ้ ก่คนในสังคมทัง้ ฝ่ายปกครองและ ผ้ถู กู ปกครอง ให้มคี วามเปน็ อยทู่ ่สี งบสุข ปราศจากความวุน่ วาย กวชี ้ีให้เหน็ วา่ ผูป้ กครองประเทศตอ้ งมีคุณธรรม ดงั เห็นได้จากตอนที่กลา่ วถึงพญาจักรพรรดิราช ถ้าพระมหากษัตรยิ ม์ คี ุณธรรมเทวดาจะชว่ ยรักษาบ้านเมืองและชาวเมืองจะอยอู่ ยา่ งมคี วามสุขแต่ถ้าไม่มีคณุ ธรรม บ้านเมอื งจะอาเพศและอาณาประชาราษฎรก็ทานาทาไรไ่ ม่ได้ผล ผลไม้ท่ีเคยมีรสอร่อยกส็ ูญหายไป ส่วนฝ่ายผถู้ ูกปกครองก็ไม่สร้างภาระแกผ่ ู้ปกครองเพราะกลัวการทาบาป กวีเน้นเรื่องกฎแห่งกรรมและ เรมิ่ เน้ือหาด้วยการพรรณนานรกขมุ ต่างๆ ทาใหเ้ กดิ ความขยาดขลาดกลวั วา่ ผลของการทาบาปจะนาให้ต้องไปเกิด ในนรกภูมอิ ันเป็นดินแดนแห่งความทุกขท์ รมาน เมอ่ื คนไม่กลา้ ทาบาป กจ็ ะไมม่ ีการเบยี ดเบียนใหเ้ กิดทกุ ข์ สงั คมก็ จะสงบสขุ และนา่ อยู่
๗ ๔. คณุ คำ่ ด้ำนประเพณแี ละวัฒนธรรม ความคิดความเชือ่ ท่ีปรากฏในวรรณคดถี กู ตกทอดอยู่ในประเพณี และวฒั นธรรมของคนในสงั คมปัจจุบนั เช่น การจัดเตรียมดอกไมจ้ ุดธูปเทยี นใสม่ ือผ้วู ายชนมก์ ่ อนปิดฝาโลง เพอ่ื ให้ ผ้วู ายชนมน์ ้นั ไดน้ าดอกไม้ธูปเทียนไปสกั การบชู าพระจฬุ ามณีเจดยี ท์ ี่สถิตอย่ใู นสวรรค์ชั้นดาวดงึ ส์ และการนาศพ ขึน้ เผาบนเมรุกเ็ ปรยี บเสมือนการเดนิ ทางขึ้นเขาพระสุเมรุ ก่อใหเ้ กิดผลงานดา้ นจติ รกรรมและสถาปตั ยกรรม เพราะมีการนาภาพนรก สวรรค์ พรหม และนิพพานไป ถา่ ยทอดเปน็ ภาพจิตรกรรมเปน็ จานวนมากไมว่ า่ จะเป็นในสมยั อดีตหรือปจั จบุ ัน ในกรุงเทพมหานคร พระตาหนกั จิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสติ เปรยี บเสมือนสวนจิตรลดาวนั ในสวรรณช้นั ดาวดงึ สอ์ นั เปน็ ท่ีสถิตของพระอนิ ทร์ นอกจากนพ้ี ระตาหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวงั ดสุ ติ ยงั มีสถานที่อ่นื ๆ ทส่ี ่ือความหมายวา่ เปน็ สวน อนั หลากหลายของพระอนิ ทรอ์ กี เชน่ วังปารุสกวันเปรยี บเสมอื นสวนปารสุ กวนั ของพระอินทร์ สวนมิสกวนั ซงึ่ ปจั จบุ นั เป็นสถานทรี่ าชการแหง่ หนง่ึ กค็ อื สวนมิสกวนั ของพระอินทร์ แสดงใหเ้ ห็นวา่ พระราช ตาหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวงั ดุสิตคอื ทีป่ ระทบั ของพระอนิ ทร์ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวกท็ รงเป็น เสมือนพระอนิ ทรใ์ นแดนมนุษย์โลก
๘ บรรณำนุกรม กรมศิลปากร. ๒๕๕๕ ไตรภูมิกถำฉบบั ถอดควำม (Online). www.vajirayana.org/ ไตรภมู กิ ถาฉบบั ถอดความ/บทที่-๕-แดนมนษุ ย์, ๓ สงิ หาคม ๒๕๖๔. สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ. ๒๕๖๓ หนังสอื เรยี นรำยวิชำพ้ืนฐำน วรรณคดีวจิ ักษ์ ชั้นมธั ยมศกึ ษำปที ่ี ๖. พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๓๐. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์ สกสค. ลาดพร้าว. rsm52736. ๒๐๑๑ สรปุ เนือ้ หำไตรภูมพิ ระร่วง (Online). www.thaigoodview.com/node/104270, ๓ สิงหาคม ๒๕๖๔.
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: