“กือเลอะบอื เคสาอะเบะ” การเพาะเห็ดนางฟา จากเปลือกขา วโพด แมแ จม หุบเขาแหงขาวโพด (Corn valley) ตนเหตุของหมอกควันในภาคเหนือ ขาวโพดเพ่ือเตรียมพื้นที่ เพาะปลกู ในของทกุ ๆ ป ซึง่ หลงั ฤดูเก็บเกย่ี วจะมเี ปลอื กขาวโพดมากกวา 3 - 5 พนั ตนั ซงึ่ ถูกกาํ จัดดว ยการเผาท้ิงและ อาํ เภอแมแจม ยังพบวามจี ดุ ความรอนหรือ Hot Spot มากกวา พื้นทอ่ี ื่นๆ เชนเดียวกบั อาํ เภออมกอยและเชียงดาว โรงเรียนราชประชานุเคราะห 31 จงั หวัดเชียงใหม เปน โรงเรียนท่ีมีการจัดการศึกษาสําหรับเด็กดอยโอกาส แบบอยูประจํา ไดทําจัดการศึกษาท้ังรายวิชาสามัญและรายวิชาเพิ่มเติม มีท้ังกิจกรรมการเรียนรูในหองเรียนตาม รายวิชาตางๆและกิจกรรมบูรณาการแหลงเรียนรูท่ีคํานึงถึงปญหาที่เกิดข้ึนในชุมชน อีกท้ังเปนสวนหนึ่งของการ แกปญ หาหมอกควนั จากการเผาทาํ ลายเปลือกขาวโพด ดวยฐานะลูกหลานเกษตรกรในอําเภอแมแจมจึงเล็งเห็นวา ปญหาดังกลาวท่ีเกิดข้ึน สงผลกระทบตอชุมชนอําเภอแมแจม อําเภออื่นๆและจังหวัดใกลเคียง จากสภาพการณ ดังกลา ว โรงเรียนราชประชานุเคราะห 31 จึงคิดหาวิธีการที่จะนําวัสดุเหลือท้ิงจากขาวโพดมาใชใหเกิดประโยชน คุณคามากที่สดุ โดยการนาํ เปลอื กขาวโพดมาทาํ เปน กอ นเชือ้ เหด็ สําหรบั เพาะเหด็ นางฟา เพ่อื เปน แนวทางหนง่ึ ในการ ฝกอาชพี สรางรายไดใ หก บั ตนเอง ครอบครัวและชมุ ชนตอ ไป วตั ถุประสงค 1. เพือ่ ทดลองทํากอ นเชือ้ เหด็ จากเปลอื กขา วโพดสําหรับเพาะเห็ดนางฟา 2. ศึกษาเพือ่ เปรียบเทยี บตน ทุนการเพาะเห็ดนางฟา จากกอ นเช้ือเหด็ เปลือกขาวโพดและกอ นเชื้อเห็ดขเ้ี ลอ่ื ย ไมยางพารา 3. เพื่อเปน การนําเศษวสั ดเุ หลือใชใ นทอ งถิน่ คือ เปลอื กขา วโพดมาใชใ หเกิดประโยชนแ ละลดปญหามลพิษ ทางอากาศ 4. เพ่ือเปน แนวทางในการฝก อาชพี สรา งรายไดใ หกบั ตนเอง ครอบครวั และชมุ ชนตอไป วสั ดุ – อปุ กรณ 1. ถุงพลาสตกิ ทนรอ น 8 x 12” จํานวน 3 กโิ ลกรมั 2. เปลือกขาวโพด จาํ นวน 100 กโิ ลกรมั 3. กากน้ําตาล จาํ นวน 1 กโิ ลกรมั 4. ราํ ละเอยี ด จํานวน 5 กโิ ลกรมั 5. ปูนขาว จาํ นวน 1 กิโลกรมั 6. ยิปซมั จาํ นวน 200 กรัม 7. ดเี กลอื จาํ นวน 200 กรัม 8. คอขวดพลาสตกิ จํานวน 280 ชน้ิ 9. จกุ ปดคอขวด จํานวน 280 ช้ิน
10. ยางรัด จํานวน 250 กรัม 11. เช้ือเหด็ จํานวน 7 ขวด วธิ กี ารเพาะเห็ดจากเปลือกขาวโพด ขั้นตอนการทาํ กอ นเชอื้ เหด็ เชอ้ื จากเปลอื กขาวโพด 1. นําเปลอื กขาวโพดทีค่ ดั แยกตน ตอ ซงั ขา วโพดออกเรียบรอ ยแลว 100 กิโลกรมั นาํ มาลางน้าํ ใหส ะอาด แลว แชนา้ํ ท้งิ ไว 1 คนื 2. นําเปลือกขา วโพดมากองบนพ้นื สําหรบั ทีจ่ ะทําการบรรจุเปลือกขา วโพดใสถุงทม่ี ีพลาสติกรองรับ โดยกระจายใหแ ตล ะพ้ืนทเี่ ทาๆ กัน 3. นํากากน้ําตาล ราํ ละเอยี ด ดีเกลอื ปูนขาวและยิปซมั โรยบนเปลือกขา วโพดในอัตราสวนทก่ี ําหนดไว คลุกเคลา ให สวนผสมเขา กันทวั่ ทุกพน้ื ที่ 4. บรรจเุ ปลอื กขาวโพดทผ่ี สมสูตรอาหารเรยี บรอยแลว ใสใ นถงุ พลาสติกทนรอนอดั สว นผสมใหแนน (โดยไมใหม ีนาํ้ ขงั ในถงุ เพราะจะใหกอ นเชือ้ เห็ดเนา ได)
5. นาํ คอขวดมาสวมที่ปากถุงพลาสตกิ แลวปดทับดวยจกุ ปด ขวดใหแนน 6. นาํ กอ นเช้ือเหด็ ทไี่ ดไปนง่ึ ในเตานึ่ง (โดยวางกอนเชือ้ เห็ดลงในถงั นึง่ โดยวางแถวแรกใหว างหงายแนวต้งั แถวท่ีสองใหคว่ําถงุ กอนเช้ือเหด็ สลับกนั จนเต็มถังสามารถบรรจุได ประมาณ 90 -110 กอ น) ใชถุงดําเจาะรปู ดปากถงั น่ึง ใชเ วลานึ่ง 3 ช่ัวโมง โดยเรมิ่ จบั เวลาเม่ือไอน้ําดันถงุ ดาํ ขน้ึ ตงั้ ฉากกบั พนื้ ดิน 7. นาํ กอนเชื้อเหด็ ออกจากถงั น่ึงแลวนาํ มาวางบนพ้ืน ทิ้งไว 1 คืน เพื่อใหกอนเชอื้ เห็ดเย็น วิธีการทาํ ขั้นตอนการใสเช้ือเห็ดนางฟา ดูแลและเก็บผลผลิต 1. ทาํ ความสะอาดมือและแทงเหลก็ สาํ หรบั เข่ยี เช้ือเห็ด โดยใชแอลกอฮอลเชด็ ใหท ่ัวรอใหแ หง 2. เขยา ขวดเชอ้ื เห็ดนางฟาหรอื ใชแทงเหลก็ เข่ีย ใหเ ชอ้ื เหด็ กระจายโดยท่ัวกัน 3. นาํ ปากขวดเชอื้ เหด็ มาลนไฟ เพอื่ ฆา เช้ือโรค
4. เปดปากกอนเช้อื เหด็ แลวเทเชื้อเหด็ ทป่ี ากขวดกอนเช้ือเห็ด (ขัน้ ตอนนที้ าํ ดว ยความรวดเร็ว) 5. นําสาํ ลมี าปด ทป่ี ากถุงกอ นเช้อื เหด็ บางๆ แลว ปด ทบั ดว ยกระดาษหนงั สือพมิ พ ขนาด 8 x 8 เซนตเิ มตร ปดแทนทจ่ี กุ ปดปากขวด แลวใชย างรัดรดั ปากกอนเชือ้ เห็ดใหแนน 6. นํากอนเช้อื เห็ดนางฟาทีบ่ รรจเุ รยี บรอ ยแลว นําไปเก็บในโรงเรือนทีป่ ลอดแสงและแหง โดยใชระยะเวลา ประมาณ 25 - 30 วนั เพอ่ื ใหเ ช้ือเหด็ เดินเต็มกอ น 7. หลงั จากเชือ้ เห็ดเดนิ เต็มกอนแลว ใหเปดกระดาษหนังสอื พิมพอ อก จากนัน้ นาํ กอนเชือ้ เหด็ ไปวางทีโ่ รงเรอื น รดนํา้ ทกุ วนั บรเิ วณตรงกลางถุงกอนเช้ือเห็ด แลว รอเกบ็ ผลผลิตตอ ไป
ผลการดําเนนิ งาน สรุปประมาณการคา ใชจายในการผลติ กอนเหด็ จากเปลือกขาวโพด ท่ี รายการ จาํ นวน ราคาตอ รวม หมายเหตุ หนว ย (บาท) 1 เปลอื กขา วโพด 100 กโิ ลกรัม 90.00 รับบรจิ าค 0.40 2 ถุงพลาสตกิ ทนรอน 3 กิโลกรมั 0.45 270.00 70.00 3 คอขวดพลาสติก 280 ชน้ิ 7.00 112.00 7.00 4 จกุ ปดคอขวด 280 ชิ้น 20.00 126.00 20.00 5 ยางรดั 250 กรมั 34.00 18.00 *กโิ ลกรมั 20.00 6 ดีเกลอื 200 กรมั 7.00 7 ยปิ ซัม 200 กรมั 7.00 8 ปนู ขาว 1 กิโลกรัม 20.00 9 กากน้าํ ตาล /นํา้ ตาลทราย 1 กโิ ลกรัม 20.00 10 รําละเอียด 5 กิโลกรัม 170.00 11 เช้ือเหด็ 7 ขวด 140.00 1 ขวด/40 กอ น รวมทง้ั สนิ้ (แปดรอ ยเกา สบิ บาทถวน) 890.00 การเปรยี บเทียบคาใชจา ยการทาํ กอ นเช้อื เหด็ ระหวางทาํ จากเปลือกขาวโพดและข้ีเล่ือยไมยางพารา พบวา รายละเอียดคาใชจายของตนทุนการผลิตกอนเช้ือเห็ดจากเปลือกขาวโพด 100 กิโลกรัมกับสวนผสมทั้งหมด รวม คาใชจา ยท้งั สน้ิ 890 บาท ซงึ่ สามารถผลติ กอ นเชื้อเหด็ ได 280 กอน เมื่อขายกอนละ 6 บาท สามารถสรางยอดขาย ตอ คร้ังไดจ าํ นวน 1,680 บาท ทาํ ใหม ีผลกําไรที่เกดิ ขน้ึ ตอครงั้ 790 บาท ในขณะเดยี วกันเมอ่ื เปรยี บเทยี บกบั ราคาของ กอนเช้ือเห็ดจากขี้เลื่อยไมยางพารา 280 กอน ขายกอนละ 7 บาท รวมเปนเงิน 1,960 บาท ซึ่งเปรียบเทียบราคา ตน ทนุ ในการผลติ กอนเชอ้ื เหด็ ระหวางผลติ เองจากเปลือกขาวโพด และซื้อกอ นเชอ้ื เห็ดทีท่ าํ จากข้เี ล่ือยไมยางพาราทม่ี ี ขายตามทอ งตลาดในปรมิ าณกอนเชื้อเห็ด 280 กอ นทเี่ ทากันพบวา สามารถลดคาใชจ า ยถึง 1,070 บาท จากการดาํ เนนิ งานเพาะเหด็ นางฟา จากเปลือกขาวโพด ซึ่งจากการใชวัสดุเหลือใชจากขาวโพดหลังการเก็บ เกยี่ ว โดยเกษตรกรจะเผาเพอื่ ทําปยุ หรือเผาทําลายท้ิง สงผลกระทบตอส่ิงแวดลอม เกิดปญหาหมอกควันทําใหเสีย ทัศนียภาพทางธรรมชาติ โดยนอกจากผลกําไรที่คุมคาจากประโยชนของเปลือกขาวโพด ยังแฝงดวยประโยชนท่ี เหนือกวา คือ ฝกอาชีพ สรา งรายไดและสามารถแกป ญ หาหมอกควนั ทเ่ี กิดข้นึ กบั อําเภอแมแจมได ในฐานะลูกหลาน เกษตรกรชาวอาํ เภอแมแจมถอื วาเปนสง่ิ ทภี่ าคภมู ิใจในการมีสว นรวมแกป ญหาที่เกดิ ขึ้นไดอยางแทจรงิ การเผยแพร/การไดร ับการยอมรบั /รางวัลทไี่ ดร ับ 1. โรงเรียนบานแมนาจร โรงเรียนบานแมศึก โรงเรียนบานโหมงหลวง และโรงเรียนบานแมปาน และ องคการบริการสวนตําบลแมศ กึ และกลมุ แมบ าน บานแมปาน ศึกษาดูงาน ฐานการเรียนรูการทํากอนเชื้อเห็ดนางฟา จากเปลอื กขา วโพด
2. ไดร ับรางวลั ชนะเลศิ อันดบั ท่ี 1 การแขง ขันทักษะวชิ าการ ครง้ั ที่ 63 ระดบั เขตพ้นื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 34 ในโครงงานอาชพี ระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย (โครงงานการเพาะเห็ดนางฟา จากเปลอื กขาวโพด) ป 2555 3. โรงเรยี นไดร บั คัดเลอื กใหเ ปนสถานศึกษาแบบอยา งการจัดกิจกรรมการเรียนรแู ละบรหิ ารจดั การ ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง “สถานศกึ ษาพอเพยี ง” ปการศกึ ษา 2555 4. รวมจัดนิทรรศการ งานศิลปหัตถกรรมนักเรียน คร้ังท่ี 63 ระดับประเทศ เร่ืองขาวโพดลดหมอกควัน ระหวางวันท่ี 18 - 20 กุมภาพนั ธ 2557 5. ใหคําแนะนํา สนบั สนนุ และพฒั นาโรงเรียนเครอื ขายใหสามารถผานการประเมนิ เปน สถานศกึ ษาพอเพียง และสถานศกึ ษาพอเพยี งตนแบบ ไดแก โรงเรียนบานโหมงหลวง โรงเรียนบานแมซา โรงเรียนบานแมศึก โรงเรียน องคการอตุ สาหกรรมปา ไม 13 โรงเรยี นบา นแมน าจร ในป 2558 – 2559 6. โรงเรียนผา นการประเมนิ เปน สถานศึกษาตน แบบพอเพยี ง ของสาํ นักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษา เชียงใหม เขต 6 ป 2559 7. โรงเรียนที่เปนสถานศกึ ษาพอเพยี งท่ีมผี ลการปฏบิ ตั ทิ เ่ี ปน เลศิ ระดบั ประเทศป 2559 จาก ศนู ย สถานศกึ ษาพอเพียง มูลนธิ ิยวุ สถริ คณุ 8. นางวลิ าวัลย ยอดผานเมือง ผอู ํานวยการสถานศึกษา ไดรบั เกยี รติบตั รผทู ่มี ผี ลการปฏิบตั ทิ เี่ ปนเลิศ ระดบั ประเทศป 2559 ดานพฒั นาการเรียนรูตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ศูนยสถานศกึ ษาพอเพียง มลู นธิ ิยวุ สถริ คุณ 9. นางสาวณัฐธนญั า บญุ ถึง ครแู กนนําไดรับเกยี รติบัตรผทู ี่มผี ลการปฏิบตั ิท่เี ปน เลิศระดับประเทศป 2559 ดานพัฒนาการเรยี นรูตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ศูนยส ถานศึกษาพอเพียง มลู นธิ ยิ วุ สถิรคุณ 10. นางสาวพิกุล กเู กียรตกิ ุลชร นกั เรยี นแกนนําไดร ับเกียรตบิ ัตรผทู ม่ี ผี ลการปฏิบัตทิ เ่ี ปน เลิศระดับประเทศ ป 2559 ดา นพัฒนาการเรยี นรตู ามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ศนู ยส ถานศึกษาพอเพียง มลู นิธยิ วุ สถริ คณุ 11. รวมจัดนิทรรศการ การจัดการศกึ ษาเพื่อการมีงานทํา ณ โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห 23 จงั หวดั พิษณโุ ลก ระหวา งวนั ที่ 7 – 8 ธันวาคม 2559 นําเสนอผลงาน การจดั ทาํ ผลติ ภัณฑรม และพดั จากเปลอื กขาวโพด 12. นางวลิ าวลั ย ปาลี และนางสาวณัฐธนญั า บญุ ถงึ รว มเปนวทิ ยากรการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิการ การพัฒนา ครูและผบู ริหารสถานศึกษาพอเพยี งทม่ี ผี ลการปฏบิ ตั งิ านทเ่ี ปน เลิศ (Best Practice : BP) เพ่ือกา วสกู ารคัดเลอื ก รางวลั สงู สดุ ระดบั ชาติ ป 2560 ระหวางวันที่ 1–2 เมษายน 2560 ณ โรงแรมวินเพลส จังหวดั เชยี งใหม โดยกลุม เครอื ขายสง เสรมิ ประสทิ ธภิ าพการจัดการศึกษาโรงเรยี นศกึ ษาสงเคราะห ภาคเหนือ สงั กัดสํานักบรหิ ารงานการศึกษา พเิ ศษ
เหด็ นางฟา และการเพาะเห็ดนางฟา เหด็ นางฟา เปนเห็ดเศรษฐกจิ ทสี่ ําคญั นยิ มรบั ประทาน รองจากเหด็ นางรมและเหด็ ฟาง สามารถเพาะไดงา ย ใชเวลาในการเพาะสั้น ดอกเหด็ ออกจาํ นวนมาก เนือ้ นุม สามารถนาํ มาประกอบอาหารไดหลากหลายรายการ เชน ชุบแปงทอด นึ่ง ปง ยา ง ยาํ แกงเลียงและตม ยํา เปนตน ชือ่ วทิ ยาศาสตร : Pleurotus sajor-caju (Fr.) Sing. ช่อื สามญั : Sarjou-caju Mushroom Grey oyster mushroom Indian mushroom ช่อื ทอ งถิ่น : เหด็ นางฟา เห็ดแขก ถ่ินกําเนิด : แถบเทอื กเขาหมิ าลัย ประเทศอนิ เดีย ลักษณะทางพฤกษศาสตร ดอกเหด็ นางฟา เปน ดอกเดี่ยวหรือเปนกระจุกแนน มีกา นดอกสั้น สีขาว ไมม ีวงแหวน ดอกเห็ดออนมีสีขาว เม่ือ แกมากมีสีขาวอมสีนํ้าตาลออ น เสน ใยคอ นขางละเอียด ลกั ษณะคลายกับดอกเห็ดเปาฮื้อและดอกเห็ดนางรม แตสีขอบ ดอกออ นกวา บางกวาเหด็ นางรม และครีบชดิ กันมากกวา เห็ดเปา ฮ้ือ กานดอกอยูตรงกลางดอกและเล็กกวาเห็ดเปาฮ้ือ เห็ดนางฟาอกี ชนดิ คือ เหด็ นางฟาภูฐานนาํ เขา มาจากประเทศภฐู านซ่ึงปจจุบันกาํ ลงั นยิ ม เห็ดนางฟา เหด็ นางฟาภูฐาน
1. หมวก (Cap/Pilleus) จะอยดู า นบนสดุ มีรปู รางตางกัน แลวแตสายพนั ธุ 2. ครีบ (Gill/Lamella) มีลกั ษณะเปน แผนซกี บางๆ อยูใ ตหมวกเรียงกนั เปนทเี่ กดิ ของเมล็ด/สปอร(Spore) 3. กา น (Stalk/stipe) ปลายขางหนึ่งจะตดิ กบั หมวกมีรปู รางตา งกนั แลวแตสายพนั ธุ แตเหด็ บางชนดิ อาจ ไมมกี าน เชน เห็ดหหู นู เปนตน 4. แผน วงแหวน (Ring/Annuls) เกิดข้ึนจากเยอื่ บางๆ ยดึ ติดขอบหมวกกบั ดอกจะขาดออกเมื่อดอกบาน จะเหลอื ตดิ กับกานเปนวงหรอื เย่อื บางๆ (Inner veil หรอื Partial Veil) 5. เปลือกหรือเยื่อหมุ ดอก (Volva,Outer Veil/Universal Veil) สว นนอกสดุ ทห่ี ุมหมวกและกา นเอาไว ในตอนท่เี ปนดอกออน เมื่อดอกเห็ดเจรญิ แลว จะแตกออก เพื่อใหกา นและหมวกยืดออกไป สวนเปลือกหมุ จะฝง อยทู โี่ คน มลี ักษณะคลา ยถว ย เชน เหด็ ฟางบางชนดิ 6. เน้ือ (Context) เนื้อภายในหมวกหรอื กา น อาจจะลน่ื เหนยี ว นมุ เปราะ เปน เสนใยคอนขา งแข็งแรง ประโยชนเห็ดนางฟา เห็ดนางฟานยิ มนําดอกเห็ดสดมาประกอบอาหาร เชน เห็ดนางฟา ชบุ แปง ทอด ตมยําเหด็ นางฟา เห็ดนางฟานงึ่ และหอ หมกเหด็ นางฟา หรอื นาํ มาแปรรปู เชน เหด็ สม เห็ดสวรรค เปนตน สรรพคุณทางยา 1. 2มีวิตามินอยหู ลายชนดิ 2 โดยเฉพาะวติ ามินซที ่ีมสี งู มาก จึงมสี ว นชวยในการปอ งกนั โรคหวดั หรืออาการ เก่ยี วกับไขห วดั ไดด ี และชว ยปอ งกันอาการเลอื ดออกตามไรฟน และโรคเหงือก 2. 2ชวยในการตอตานอนุมูลอิสระและตา นทานการเกิดโรคมะเร็ง2 เน่ืองจากเห็ดนางฟา เปนแหลง รวมของแร ธาตุซีลเี นียมทส่ี ําคญั ตอ รางกาย และมสี ารอัลฟากลูแคนชวยปองกนั ไมใ หเ ซลลถ ูกทําลายจนกลายเปน เน้ือราย 3. 2ชวยลดความเสีย่ งการเกิดโรคหลอดเลอื ดหัวใจอดุ ตัน2 ลดน้าํ ตาลในเลือด ลดระดับของคอเลสเตอรอลและ ไขมันในเลอื ดลงใหอ ยูในระดบั ปกตไิ ด 4. มีโปรตนี สงู กวาเน้ือสัตว2 มคี ุณสมบัตใิ นการชว ยซอมแซมสว นทส่ี กึ หรอตางๆของรา งกาย มรี สชาติคลาย เน้ือสัตวและไมเหนียว ทาํ ใหระบบยอ ยอาหารทํางานตามปกติ
5. 2ชว ยบาํ รุงหวั ใจและสวนตางๆ2 ท่เี กยี่ วของกับหัวใจ ทําใหห ัวใจทํางานไดดีขึ้น เพราะมโี พแทสเซียมชว ยให การเตน ของหัวใจเปน ปกติ ทาํ ใหน้ําในรางกายมีความสมดลุ กลา มเนอื้ และระบบประสาทและระบบการไหลเวียนโลหิต ในรา งกายทํางานไดอ ยางมปี ระสิทธิภาพ 6. 2ชว ยในการสรางเสรมิ และกระตนุ การทาํ งานของภูมคิ ุมกนั ในรา งกายใหแข็งแรง2 ลดความเสย่ี งทจี่ ะเกิด โรคหรอื อาการเจ็บปว ยตา งๆ และปอ งกันเชือ้ โรคไมใหเ ขา สรู า งกาย 7. เปนแหลงรวมของวติ ามนิ และกรดอะมโิ น 2โดยเฉพาะวิตามินรวมหรือไรโบฟลาวินและ ไนอาซนิ ซึ่งควบคุมการทํางานของระบบยอยอาหาร ปอ งกนั และรกั ษาโรคกระเพาะอาหาร 8. 2ทานเพอ่ื ควบคุมน้ําหนกั ได2 เหมาะกบั กลุม คนทตี่ อ งการลดน้ําหนักหรอื ควบคมุ นํา้ หนกั เพราะมโี ปรตีนและ เสนใยอาหารสงู 9. 2ชวยปรบั ลดความดัน2 ชว ยปรับสภาพความดันโลหิตใหอ ยใู นภาวะปกติ ชวยลด ความดันโลหิตสงู และยงั ชวยปรบั ความเขมขน ของไขมันในเลือดไดด ี 10. ชวยลดอาการอกั เสบตางๆ ในรา งกายไดดี 11. ชวยบาํ รงุ ระบบและเซลลประสาท2 ปอ งกนั การเกิดอาการของโรคอลั ไซเมอรใหนอยลง คุณคาทางอาหารและแรธ าตขุ องเห็ดนางฟา (100 กรมั ) สารอาหาร ปริมาณ แรธ าต(ุ minerals) ปริมาณ นาํ้ 20.0 มิลลกิ รัม/กรมั พลังงาน 90.27 กรมั แคลเซยี ม (Ca ) 760.0 มลิ ลิกรมั /กรมั ไขมัน 3,260.0 มิลลิกรมั /กรมั คารโ บไฮเดรต 33.32 กโิ ลแคลอรี ฟอสฟอรสั (P) 124.0 ppm. โปรตีน 0.3 ppm. ใยอาหาร 0.07 กรัม โปแตสเซยี ม (K) 1.2 มลิ ลกิ รมั /กรัม แคลเซียม 12.2 มลิ ลิกรัม/กรัม เหล็ก 4.47 กรมั เหล็ก (Fe) 3.2 มลิ ลิกรัม/กรมั ฟอสฟอรสั วิตามนิ บี 1 3.38 กรัม แคดเมยี ม (Cd) วิตามนิ บี 2 0.47 กรัม สังกะสี (Zn) 1.90 มลิ ลิกรัม ทองแดง (Cu) 0.85 มิลลิกรัม ตะก่วั (Pb) 87.44 มิลลิกรัม 0.006 มิลลกิ รัม 0.08 มิลลิกรัม ขัน้ ตอนและวิธีการเพาะเหด็ นางฟา โรงเรือนและวสั ดุเพาะ 1. โรงเรอื น โรงเรอื นเปน รูปตวั เอ อากาศถา ยเทสะดวก มแี สงตามความตอ งการของเห็ด ไมอ บั ชน้ื หรือรอนเกนิ ไป โครงสรางของโรงเรอื นทาํ ได 2 แบบ ดังน้ี โรงเรือนช่วั คราว ใชวสั ดไุ มถ าวร เสาทาํ ดวยไมไผ หลงั คามงุ ดวยตองตงึ จากหรือหญา คา อายกุ ารใชง าน ประมาณ 3 - 4 ป
โรงเรอื นถาวร ใชวัสดถุ าวร หลังคาสูงมงุ ดว ยสังกะสหี รอื กระเบอื้ งลอน มที อนา้ํ พาดบนหลงั คา เพ่ือปลอยนํ้า ในเวลาทีอ่ ุณหภูมสิ งู อายุการใชง านประมาณ 10 ปข ึน้ ไป โรงเรือนชัว่ คราว 2. การจดั วางกอนเช้อื เห็ดนางฟาในโรงเรือน ภายในโรงเรอื นใชไมป ระกอบกนั เปนแผงสาํ หรบั วางกอนเชอ้ื รปู ตวั เอ (A) หรอื รปู สามเหลี่ยมทรงสงู แลววางกอนเช้ือซอ นทับกันหนั ปากถุงออกทางดานขา งชัน้ ทงั้ สองดา น ทําชองระบายอากาศขนาด 40 x 60 cm จํานวน 1-2 ชอง 3. วสั ดเุ พาะและสารอาหาร วัสดเุ พาะ วสั ดใุ ชใ นการเพาะ คือ เปลือกขา วโพดแหง เนอื่ งจากมีปริมาณมาก เก็บรักษางาย สามารถเกบ็ ไวในสภาพ แหงๆ หรอื ทโี่ ลง แจง การใสอ าหารเสรมิ การทํากอนเชอ้ื การเตมิ แรธ าตุอาหารสําเรจ็ รปู หรืออาหารเสรมิ ทเ่ี หด็ สามารถนาํ ไปใชไ ดโ ดยตรง ในกอนเชอ้ื เพอ่ื ใหเ สน ใยเดินเรว็ และใหผ ลผลติ สงู ขึ้น ไดแก 1. รําละเอยี ด อดุ มไปดวยโปรตนี และวิตามนิ บี ซ่งึ เปน ทต่ี อ งการของเหด็ มาก 2. ปูนขาวและยิบซมั ปูนขาวชวยลดความเปนกรด สวนยิปซัมชว ยลดความเปนดา ง เพอื่ ใหเปลือกขาวโพดที่ใชใน การเพาะมสี ภาพเปน กลาง (pH 6.5 - 7.2) ซึ่งเหมาะสมกบั การเจรญิ เตบิ โตของเห็ด 3. ดเี กลือ ชวยกระตุน การเจรญิ เตบิ โตของเสนใยและเรง การเกดิ ดอกเห็ด เทคนิคสําคญั ในการเพาะเหด็ นางฟา ในถุงพลาสติก การนึ่งกอนเชอื้ เพือ่ ฆาเชอ้ื เมื่อเตรยี มกอ นเช้ือเสร็จแลว นําไปนงึ่ ฆาเช้อื ใชเวลาในการนึง่ 3 ชั่วโมง ตองระมัดระวงั และฆา เช้ือไดทว่ั ถึง เม่อื ครบเวลาใหนํากอ นเชื้อออกมาวางเรยี งกันทงิ้ ไว 1 คนื เพอื่ เยน็ สนทิ การเขยี่ เชอื้ เหด็ จากหัวเชือ้ ลงในถุงกอนเชอื้ กอนเชอื้ ทไี่ ดจากการนง่ึ ฆา เชื้อแลว จงึ นําเอาหัวเชอื้ เห็ดนางฟา ในเมลด็ ขา วฟา งทเี่ ตรียมไว มาเขย่ี ลงไปในกอ นเชอ้ื โดยปฏบิ ัติ ดังนี้ – วางกอนเช้อื เรยี งกันเปนแถว – แกะเอากระดาษทีห่ ุมปดสาํ ลีออกใหห มด แตจ ุกสาํ ลคี งไวย ังไมต อ งเปด และระวังไมใ หส ําลีหลดุ ออกมาจากคอ ขวด
– เช็ดมอื ดวยแอลกอฮอลใ หท ่วั นาํ ขวดหัวเชื้อเมลด็ ขา วฟางมาเขยา ในขณะที่ยังปดจกุ สําลีอยู เพอ่ื ใหเ มล็ดขาว ฟางกระจาย – ถอดจุกสาํ ลีทขี่ วดเมลด็ ขา วฟางออก – นําปากขวดไปลนไฟจากตะเกียงแอลกอฮอล ใชมืออกี ขา งหน่ึงเปด จกุ สาํ ลกี อ นเช้อื แลว เทหวั เชอ้ื ลงไปในถงุ กอ นเชื้อจากตะเกยี งแอลกอฮอล หวั เชอื้ 1 ขวดใสก อ นเชอื้ ไดประมาณ 40 กอ น (เหมาะสมเช้ือเจรญิ เรว็ และเชอ้ื เสยี นอ ย) (*เมื่อเปด ขวดหัวเชือ้ แลว ตอ งเขีย่ เชอ้ื ใหหมด ถา เหลือไมค วรนํากลบั มาใชใ หม เพราะเชอ้ื ในขวดอาจตายหรือเชอ้ื ออนแอ*) ขนั้ ตอนการบม เสน ใยเหด็ นางฟา กอ นเช้อื เห็ดนางฟาหลงั จากที่เขยี่ เช้อื แลว ไปบมเกบ็ ไวใ นหองหรือโรงบมท่ีมีอุณหภูมิ ปกติ ไมมลี มโกรกและมแี สงสวา งนอย เพ่ือรอใหเสน ใยเจริญเตบิ โตเตม็ ถุง ใชเวลาประมาณ 2–3 สัปดาห หรือประมาณ 22–28 วัน ยกเวนฤดหู นาวใชเ วลาเพียง 15–20 วนั กอนเชื้อทดี่ เี สนใยเห็ดจะเจริญอยางสมํ่าเสมอเปนสีขาวทั่วท้ังกอน หากเสนใยเดินชะงัก ซ่ึงอาจเกิดจากมีเช้ือราข้ึนปะปนจากการน่ึงไมทั่วถึงหรือในระหวางการเขี่ยเชื้อ แสดงวาเช้ือเสีย ลกั ษณะกอ นเชือ้ ที่แฉะบริเวณกนถงุ เปนกอนเชือ้ ที่เสียแลวควรคัดออกทง้ิ ไป การบมเชอื้ การนนํากอ นเชือ้ ที่เข่ยี แลว ไปวางเรยี งบนช้ันจนเตม็ จะวางแนวต้งั สาํ หรับชั้นวางทถ่ี าวรหรือวางแนวนอน สาํ หรบั ชนั้ แบบเสาคซู ง่ึ ไมค วรเกิน 3 กอน เพราะทาํ ใหก อ นเชื้อทอ่ี ยตู รงกลางมคี วามรอนสูงเกินไป จนเปนผลเสีย ภายหลงั ได การดแู ลกอ นเชอื้ ในโรงบม นอกจากการรกั ษาความสะอาดตรวจสอบอณุ หภูมิ เพ่ือควบคุมใหอณุ หภูมสิ มาํ่ เสมอหรอื ไมใหส ูงเกนิ กวา 25–30 0C (ถาอุณหภูมสิ ูงกวา นเ้ี ปน ผลเสยี ตอ การเจรญิ เตบิ โตของเสนใยเห็ด โดยเฉพาะในฤดูรอ น ควร ทําการลดอณุ หภมู ลิ งโดยการรดน้าํ ตามพื้นผนัง หลงั คาโรงเรือนหรือระบายอากาศออกครงั้ ละประมาณ 10 นาที หรอื ใน ฤดูหนาวซงึ่ อณุ หภูมติ ํา่ กวา 20 0C จะทําใหก ารเจรญิ เตบิ โตของเสน ใยเห็ดชาลง ควรหาทางบุภายในโรงเรือนดว ยผา พลาสตกิ หลงั จากบม เช้อื เหด็ ไปไดส ักระยะหนึง่ หรอื ประมาณ 10 วัน ใหค อยตรวจดทู ุกวนั ถาพบวา - กอ นเชือ้ เกิดการเสยี หายมีเชื้อราเขยี ว รําดา เขา ทาํ ลายขางๆ ถุงหรือกน ถุง อาจเกิดจากการท่ีถงุ พลาสตกิ แตก ตามตะเขบ็ - กอนเช้ือเกิดการเสียหายเกิดจากปากถุง โดยมเี ชือ้ ราอยางเดยี วกนั แทบทกุ ถงุ สาเหตอุ าจเกิดจากหวั เชอ้ื ขา ว ฟางเสยี แลวแพรเชอื้ ราไปทกุ ถุง - กอนเชื้อเกดิ การเสียหายบางถงุ และเชอ้ื ราไมเ หมอื นกัน สาเหตุเกิดจากอากาศภายนอกและภายในสกปรก มี แหลงเช้อื ราตา งๆ สะสมอยมู ากตอ งรกั ษาความสะอาดบรเิ วณรอบโรงบมและภายในโรงบม ใหส ะอาด ขัน้ ตอนการเปดดอกเหด็ สาํ หรบั ลักษณะของวิธีการเปด ถุงเพอื่ ใหเ หด็ ออกดอกและลักษณะของการวางถุงกอนเชอ้ื ในโรงเรือน สามารถทาํ ไดห ลายวิธี คือ – เปด จากสําลใี หอ อกดอกเหด็ ทป่ี ากถุง ดึงจุกสําลอี อกวางถงุ ในแนวนอนกบั พื้นโดยวางซอ นกนั บนแผงรูปตวั เอ หรอื วางซอ นกันบนพ้นื โรงเรือน พน ละอองนาํ้ เปน ฝอยละเอยี ดเห็ดจะเกดิ แลว โผลออกมาทางปากถุงไดเ อง การวางกอน เชอื้ ซอ นกนั ในลักษณะนี้ เมอ่ื เกบ็ ผลผลติ ได 2-3 รุน กอ นเชอ้ื จะยบุ ตัวลงมาทําใหถ งุ เช้ือแนนอยตู ลอดเวลา เสน ใยเหด็ สามารถสงอาหาร เพือ่ ทําใหเ กดิ ดอกเหด็ ใหมไ ดอ ีกหลายครงั้ แตการวางกอนเช้อื แบบนมี้ ขี อ เสียคือ กอ นเช้ือช้นั ลา งๆ มกั จะถูกทาํ ลายดวยรําเมอื กหรือเนา เปอยกอนเพราะถกู ทับมากเกนิ ไป ดงั นน้ั การวางกอ นเช้อื ซอ นกนั จงึ ไมควรวางเกนิ 12 ถุง
– พับปากถุง หลังจากทเี่ อาคอขวดออกแลว เปดปากถุงพบั ลงมา มว นปากถุงใหอ ยูในระดบั เดียวกบั วสั ดเุ พาะ หรือกอนเชื้อ อาจวางกอ นเชอื้ เห็ดไดทงั้ ในแนวนอนหรอื แนวตง้ั บนชัน้ วางตดิ ๆ กนั วิธีน้จี ะเกิดดอกเหด็ ครงั้ ละหลายดอก แตด อกเลก็ ลง เพราะแยง อาหารกนั การวางบนชน้ั ลกั ษณะเชน นี้ อาจทําใหจ ํานวนถงุ เชอ้ื มนี อ ย จึงเกบ็ ความชืน้ ไดนอ ย แตอ ากาศหมนุ เวียนไดด ีจงึ ตองคอยรกั ษาความชน้ื ในโรงเรอื นไมใหแ หง เร็วเกินไป – ตัดปากถงุ เปนการเปดปากถงุ โดยใชม ดี โกนปาดปากถุงออก ตรงสวนของคอขวด เมือ่ ตัดออกไปแลว จะเหลือ ถงุ พลาสตกิ หมุ กอนเช้ือสวนบนอยบู างสวน การเปดวธิ นี ้ี จะไดด อกเหด็ นอยกวาวิธแี รก แตนา้ํ หนกั ดอกเหด็ จะดกี วา – กรีดขางถุง นาํ กอนเช้อื มาถอดเอาคอขวดและจุกสาํ ลอี อก รวบปากถงุ รัดยางใหแนน ใชมดี คมๆ กรดี ขางถงุ ให เปนแนวยาวประมาณ 5 – 10 แถว หรอื กรดี แบบเฉียงเลก็ นอ ยยาวประมาณ 6-8 เซนติเมตร หรอื กรีดเปนกากบาทเปน จดุ เล็กๆ อาจวางถุงบนชั้นทางแนวนอน แลวกรีดดา นกน ถงุ อีกดานหน่งึ หรอื จะไมวางบนช้ัน แตใ ชเชอื กรัดปากถงุ ใหแ นน แขวนไวใ นแนวต้ังสลับสงู บางตํา่ บา ง ระยะหา งของถุงประมาณ 5-7 เซนตเิ มตร – การเปลือยถงุ แกะเอาถงุ พลาสติกออกหมดท้ังกอน แลวเอากอ นเช้ือวางลงใสใ นแบบไมหรือในตะกรา รดน้าํ ใหเ ปย กท่วั ทง้ั กอ น เวลาเกดิ ดอกเหด็ จะไดเ กดิ ทุกสวน คือ ดานบนและดานขา งแตต อ งรักษาความช้ืนในโรงเรอื นใหส ูง มาก เพราะกอนเชื้อจะสูญเสยี ความชน้ื อยา งรวดเรว็ แบบนเ้ี กดิ ดอกเห็ดไดเ ร็ว เกดิ ขึ้นรอบกอ นแตห มดไปเร็ว และดอก เหด็ เล็กมาก เพราะแยงอาหารกนั – เพาะแบบแขวน หลักการเดยี วกบั การวางกอ นเชื้อในแนวนอนแตไ มจ าํ เปน ตองทาํ ชนั้ ใดๆ ใชเชอื กไนลอ นทํา ขึ้นพเิ ศษ 4 เสน ผกู ติดกันดา นหวั ทาย สว นตรงกลางใสแผน พลาสตกิ แข็ง เจาะรรู อ ยเชือกทั้ง 4 เสน ถา งหางออกจากกนั เอากอนเชอื้ วางซอนกนั ไดห ลายถุง แขวนหอยจากคานดา นบน พน้ื เรอื นเพาะจงึ สะอาด ศัตรเู หด็ มีนอ ย การเกบ็ ดแู ล รักษาทาํ ไดง าย เปดใหเกดิ ดอกเห็ดทางหัวหรือทายกอ น ปจ จัยการผลติ และการดแู ลรกั ษา การเจรญิ เติบโตของเหด็ นางฟา เกิดดอกจนเกบ็ เกย่ี วได จะใชเวลาประมาณ 5 - 7 วนั ผลผลติ และคุณภาพของ ดอกเหด็ จะดหี รอื ไม ข้นึ อยูกบั ปจ จัยตางๆ ดังนี้ 1. อณุ หภูมิ ท่เี หมาะสมตอ การเจริญเตบิ โต คือ ประมาณ 24-26 0C จะออกดอกเรว็ มาก เหด็ นางฟา ขึ้นไดดีใน ฤดหู นาว ฤดฝู นและฤดูรอ น ตามลาํ ดบั ในฤดหู นาวถา หนาวเกินไป เหด็ จะชะงกั การเจริญเตบิ โตและสีซีด ภาคกลางและ ภาคใต เพาะปลูกไดท ุกฤดูตลอดป สว นภาคเหนอื และภาคอสี านใหผ ลผลติ ดีในชวงฤดฝู น 2. อากาศ เหด็ เปน จลุ นิ ทรียท ีต่ อ งการออกซิเจนคอนขางมาก ทั้งระยะเปนดอกเห็ดและระยะเปนเสน ใย 3. ความชน้ื การเพมิ่ ความชื้นในกอนเชื้อเห็ดทําไดโดยการรดนํ้า หรือเพ่ิมความช้ืนในอากาศทําไดโดยการพน ละอองนาํ้ น้าํ ท่ีใชค วรเปน นา้ํ สะอาดปราศจากสารเคมแี ละสิ่งปนเปอน มีคาความเปนกรดดาง (pH) ทเ่ี ปนประมาณกลาง
4. แสง ในระยะท่ีเสนใย หากแสงมากเสนใยจะเจริญ ในระยะของการบมกอนเชื้อเพื่อเลี้ยงเสนใย แสงใน โรงเรือนตอ งนอ ยท่สี ดุ สวนระยะออกดอก แสงจะกระตุน ใหเ สนใยรวมตัวกันเพือ่ ใหเกิดดอกเห็ดไดเร็วขึ้น หากแสงนอย เกนิ ไปดอกเหด็ จะไมสมบูรณ 5. ความสะอาด โรงเรือนถาไมสะอาดเปน แหลง สะสมเช้ือโรคทม่ี ีผลเสยี ตอ เหด็ ได เชน โรงเรอื นทม่ี โี รคและแมลง ศตั รูเห็ด จะเกดิ การระบาดสง ผลทาํ ใหกอนเชอื้ และดอกเห็ดเสียหายหมดท้ังโรงเรือน การเก็บเก่ยี วและการจดั การหลงั การเก็บเกย่ี ว เมือ่ กอนเชอ้ื เหด็ ไดรับการดูแลรักษาที่ถูกตองเหมาะสม จะเกิดดอกเห็ดเล็กๆ ภายในเวลาประมาณ 2–3 สัปดาห ขณะที่กาํ ลงั เกิดดอกเห็ดเลก็ ๆ หากดูแลในเร่อื งของความชื้นไดดี ดอกเหด็ จะโตเตม็ ทภี่ ายใน 4–5 วัน สวนมากจะเก็บได ในวันที่ 4 ถาทง้ิ ไวน านดอกเห็ดจะสรา งสปอรอ อกมาเปนผงสขี าวละเอียด หลดุ รว งหลนลงดานลาง ดอกเห็ดท่ีสรางสปอร แลว จะเหนียวขนึ้ และรสชาติขม ลักษณะของดอกเหด็ เก็บเก่ียวได สังเกตจากกานของดอกเห็ดจะหยุดการเจริญเติบโต ทางดา นความยาว หมวกดอกเริม่ คลอ่ี อกมาประมาณครง่ึ หน่ึงแลว เริ่มสรา งสปอรบ า ง ขอบดอกจะหนาและรวมตัวเขาหา กัน เมื่อเจริญโตเต็มท่ีแลวขอบดอกจะคล่ีออกและบางลงกวาเดิม ถาปลอยใหโตกวานี้ปลายหมวกดอกคล่ีบานเต็มที่ ดอกเหด็ จะความหนาแนน ของเนื้อเห็ดลดลง ดูดและอมน้าํ มากขึ้นและช้ํางายเมื่อนําไปจําหนาย ควรเก็บในตอนเชามืด โดย ใชมือดงึ ทโี่ คนออกมาเบาๆ ไมควรใชมีดตัดเพราะเศษเห็ดที่ติดอยูกับกอนเช้ือจะเนา เกิดเปนแหลงสะสมเช้ือโรค เมอื่ เกบ็ ดอกเหด็ แลวใชมดี หรอื กรรไกรตัดสว นโคนออกวางเหด็ ควํ่าไวใ นตะกราทส่ี ะอาดในปริมาณทพ่ี อดี เหด็ นางฟามรี ส อรอย เวลานําไปปรุงอาหารจะมีกล่ินชวนรับประทาน หากมีปริมาณท่ีมากพอควรแปรรูปเปนเห็ดสวรรคหรือเห็ดสม นําไปตากแหงเกบ็ ไวได เมื่อจะนําเห็ดมาปรุงอาหารนําไปแชน้ําเห็ดจะคืนรูปเดิมได การเก็บในอุณหภูมิหองใหวางบน ใบตองสด เรียงดอกเห็ดบางๆ แตถาเก็บในตูเย็นใหใสถุงพลาสติกขุน แลวสเปรยนํ้าใหมีหยดเล็กๆ ปดปากถุงใหสนิท กอ นเชือ้ เหด็ ใหผ ลผลติ ประมาณ 2-4 เดือน หากหมดอายุ นํ้าหนกั เบา กอ นเละสีดาํ คลาํ้ ใหนาํ กอนเชื้อเห็ดออกทําความ สะอาดโรงเรอื นกอนนาํ กอนเชอ้ื เห็ดรนุ ใหมมาเพาะตอไป
เห็ดพิษ ลักษณะของเห็ดพิษ ลกั ษณะทพ่ี บ คอื สเี ขมจดั เชน สีแดง สสี ม และสีดาํ หรอื มสี ฉี ูดฉาด บนหมวกเห็ดพบแผนหรือเกลด็ ขรขุ ระ มีวง แหวนพนั รอบบนกา นดอกเห็ด มขี นหรอื หนามเลก็ ๆ กระจายอยูท ัว่ ไป กล่นิ แรงและฉุน พบนํ้าเมอื กหรอื มีนํ้ายางสขี าว ออกมา เมือ่ กรดี ทีห่ มวกเหด็ และครบี ทีอ่ ยใู ตหมวกมสี ีขาว สปอรในครบี มีสีขาวเชนกัน เห็ดพิษในประเทศไทย จําแนกตามสารพษิ เห็ดพษิ ในประเทศไทย จําแนกตามสารพษิ โดยสมาคมนกั วจิ ัยและเพาะเห็ดแหง ประเทศไทย ไดจ ดั จาํ แนกเหด็ พษิ ท่สี าํ รวจพบแยกตามกลมุ สารพิษออกเปน 7 กลุม Amanita virosa 1. กลุมทส่ี รา งสารพิษ Cyclopeptides อะมาท็อกซิน (Amatoxins) และฟาโลท็อซนิ (Phallotoxins) เปนสารพษิ ทาํ ลาย เซลลของตบั ไต ระบบทางเดนิ อาหาร ระบบเลอื ด ระบบหายใจและระบบสมอง เปน สารพิษในเหด็ ทรี่ า ยแรงที่สุด ผูปว ยถึงแกชีวติ ภายใน 4-10 ช่ัวโมง เห็ดหลายชนดิ ในสกลุ Amanita สกลุ Galerina และสกลุ Lepiota จัดเปน เหด็ พษิ ในประเทศไทยพบอยู 2 ชนดิ คือ 1.1 Amanita verna (Bull. ex.fr.) Vitt ช่อื พ้ืนเมือง เหด็ ระโงกหนิ /เห็ดไขต าย ซาก(ฮาก) ลักษณะสขี าวลว น เมือ่ ยงั ออ นมเี ปลือกหมุ สขี าวคลายเปลือกไข 1.2 Amanita virosa Secr ช่ือพ้นื เมอื ง เห็ดระโงกหิน/เหด็ ไขต ายซาก รปู รางและ สีของเหด็ เหมอื นชนดิ แรกตางกนั ที่ A.virosa มีขนหยาบบนกา นและสปอรคอ นขา งกลม ขนาด 8-10 ไมโครเมตร เห็ดชนิดนี้จะพบมากกวาชนิดแรก
Gyromitra esculenta 2. กลุมท่ีสรา งสารพษิ Monomethylhydrazine เห็ดชอ่ื Gyromitrin เปนสารพษิ ทส่ี งผลกระทบตอ ระบบทางเดนิ อาหาร ระบบ ประสาทและทาํ ลายเซลลตบั ถงึ แกช วี ติ ได สารพษิ ในกลมุ นพี้ บใน สกลุ Gyromitra ในประเทศไทยมกี ารรายงาน คอื Gyromitra esculenta (Pat. Et Bak.) Boedism. ช่อื พน้ื เมือง เหด็ สมองวัว เปนเห็ดราในกลุม Ascomycetes แตเมือ่ ตม สกุ สามารถรบั ประทานได พบทางภาคเหนอื 3. กลุมท่สี รา งสารพิษ Coprine Coprinus atramentaris (Bull.) Fr. ชอ่ื พื้นเมอื ง เห็ดห่งิ หอย/เหด็ นํ้าหมกึ / เหด็ ถั่ว ขึน้ บนอนิ ทรียวัตถุ เชน กองเปลือกถว่ั เหลอื ง เกิดดอกเปนกลมุ ใหญ สารพษิ มผี ลตอระบบประสาทเมอ่ื รบั ประทานรว มกบั เครื่องดม่ื ประเภทแอลกอฮอล เหด็ หมึก 4. กลุมทีส่ รา งสารพษิ Muscarine Amanita pantherina (Dc. ex. Fr.) Secr. ช่อื พนื้ เมอื ง เหด็ เกลด็ ดาว และเห็ด Amanita muscaria Amanita solitaria Amanita muscaria (L.ex.Fr.) Hooker. รปู รางคลา ยคลา ยกนั แตแตกตางตรงทมี่ ี Gymanopilus หมวกสแี ดงหรอื แดงอมเหลือง และยงั พบเหด็ ในสกลุ Inocybe และ Clitocybe สารพษิ ในเหด็ กลมุ น้ีมผี ลตอ ระบบประสาท ทําใหผ รู บั ประทานเกิดอาการเพอ คลงั่ Aeruginosus เคลบิ เคลม้ิ หมดสตอิ ยเู ปน เวลานาน แตไ มมผี ลทางสมอง ไมถ ึงแกค วามตาย ยกเวน มีโรคอ่ืนแทรกซอ นหรอื เปน เดก็ 5. กลมุ ทสี่ รา งสารพิษ Ibotenic Acid และ Muscimol เหด็ ในกลุม A.pantherina , Amanita muscaria , A.solitaria , A.strobiliformis, A.gemmata , Tricoloma muscarium สารพษิ มีผลตอ ระบบ ประสาทสวนกลาง ทาํ ใหเ กดิ อาการเพอ คลง่ั เคลบิ เคลม้ิ คลายสารพษิ mascarine 6. กลุม ทส่ี รา งสารพิษ Psilocybin และ Psilocin เหด็ ประเภทยาเสพติด คือ Copelandia Cyanescens (Berk. & Br.) Sing. Psilocybe cubensis (Earle) Sing. ชื่อสามญั เหด็ ขค้ี วาย บางแหง เรยี กเห็ดโอสถลวงจิต Gymanopilus Aeruginosus (Peck) Sing. ช่ือสามญั เหด็ ขอนสี ทองเกลด็ แดง สารพษิ มอี าการทางประสาทหลอนหรือฝนและมึนเมา อาจถึงขั้น วิกลจรติ มอี าการเห็นอะไรเปน สีเขียวหมด อาจถงึ แกชีวิตไดเ ม่ือรับประทานมาก มีฤทธิ์ แบบกญั ชา จัดวา เปนเหด็ ประเภทยาเสพติด
Chlorophyllum 7. กลุมทส่ี รา งสารพษิ Gastrointestinal และสารพิษอ่ืน ๆ molybdites พิษของเห็ดกลุมนเ้ี กิดอาการกบั ระบบทางเดนิ อาหาร อาเจียน คล่นื ไส และ ทองรว ง หากเดก็ รบั ประทานปรมิ าณท่ีมากอาจถึงแกช วี ิตได เหด็ กลมุ นี้มหี ลายชนิดเมอื่ รบั ประทานดิบจะเปนพษิ แตถ า ตม สกุ แลวไมเ ปน อันตราย กลายเปน เหด็ รบั ประทานได สวนหนึง่ ของเห็ดมพี ิษ พบในประเทศไทย ไดแก 1. Chlorophyllum molybdites (Meyer. ex. Fr.) Mass. ชอ่ื สามัญ เหด็ หัวกรวดครบี เขียว 2. Gomphus floccosus (Schw.) Sing. ชอ่ื สามญั เหด็ กรวยเกล็ดทอง 3. Clarkeinda trachodes (Berk.) Sing. ชอ่ื สามญั เหด็ ไขเนา Russula emetia (Schaeff. ex. Fr.) Pers. ex.S.F. 4. Gray ชอื่ สามัญ เห็ดแดงน้ําหมาก 5. Scleroderma citrinum Pers. ชอ่ื สามญั เหด็ ไขห งส การทดสอบเห็ดพษิ แบบชาวบาน วิธตี รวจสอบเหด็ พษิ อาจพิจารณาใชไดบ างสว น/บางโอกาส ดงั ตอไปนี้ 1. นําขา วสารตม กบั เห็ด ถา ไมเ ปนพิษขาวสารจะสกุ และถาเปนพษิ ขา วสารจะสกุ ๆ ดบิ ๆ 2. ใชช อนเงนิ คนตมเห็ด ถาชอนเงินกลายเปน สดี าํ จะเปน เหด็ พิษ เพราะเหด็ บางชนิดจะปลอ ยซัลไฟดเ มอื่ ถูกตม 3. ใชปนู กนิ หมากปายดอกเห็ด ถาเปนเหด็ พิษเหด็ จะกลายเปน สีดาํ 4. ใชหัวหอมตม กบั เหด็ ถา เปนเหด็ พิษหอมจะเปน สีดาํ 5. ใชม ือถเู ห็ดจนเปน รอยแผล ถา เปน พิษรอยแผลนน้ั จะดาํ (ยกเวน เหด็ แชมปญ องเปน เห็ดท่ีรบั ประทานได แต เม่อื เปน แผลเปน สีดาํ สวนเห็ดพษิ อิโนไซเบถาถูจะเปล่ยี นจากสขี าวเปนแดงและนา้ํ ตาล) 6. ดอกเห็ดทมี่ รี อยแมลงและสัตวก ัดกนิ เห็ดน้ันไมเ ปน พิษ (ยกเวน กระตายกินเห็ดพิษสกลุ อะมานติ าได และ หอยทากกนิ เหด็ พษิ ได) 7. เห็ดทีเ่ กดิ ผิดฤดกู าลตามธรรมชาติมกั จะเปน เหด็ พษิ (ยกเวน เห็ดท่ีเพาะเองสามารถเกิดเหด็ ไดท กุ ฤดูกาล) 8. เห็ดพษิ จะมสี ฉี ูดฉาด สวนเห็ดรบั ประทานไดมสี อี อน การบริโภคเห็ดโดยทวั่ ไปควรปฏบิ ตั ดิ งั น้ี 1. ควรรบั ประทานในปริมาณทีพ่ อดี เพราะเห็ดเปนอาหารท่ียอยยาก ผมู ปี ญ หาเกีย่ วกบั ระบบยอยอาหารอาจ เกดิ อาการอาหารเปน พษิ ได 2. การปรุงอาหารควรระมดั ระวงั คดั เห็ดทเ่ี นา เสยี ออก เพราะเห็ดทเี่ นาเสยี จะทําใหเ กิดอาการอาหารเปน พิษได 3. ไมค วรรับประทานเห็ดทปี่ รงุ สกุ ๆ ดิบๆ หรอื เหด็ ดบิ ดอง เพราะเหด็ บางชนดิ ยงั จะมพี ษิ เหลืออยู 4. ผูทเี่ ปน โรคภมู แิ พเ กย่ี วกบั เห็ด ควรระมดั ระวัง ควรหลกี เลย่ี งจากการรบั ประทานเห็ด 5. ไมควรทานเหด็ พรอ มกบั เครอื่ งด่มื ท่มี ีแอลกอฮอล เพราะเห็ดบางชนดิ จะเกดิ พษิ ทนั ที เชน เห็ด Coprinus atramentrius สว นเห็ดพษิ อืน่ ทั่วไป หากด่มื เครอ่ื งดมื่ ท่ีมแี อลกอฮอลเ ขาไปจะเปนการชว ยใหพษิ กระจายไดร วดเร็วและ รุนแรงข้นึ อกี
การปองกันอันตรายจากเห็ดพิษ 1. ควรรูจักเหด็ ท่ีมีพษิ รนุ แรงถงึ ข้ันเสียชีวิตได คอื เห็ดระโงกหนิ เห็ดระงาก/เหด็ สะงาก และเหด็ ไขตายซาก รูปรางทวั่ ไปคลายกับเห็ดระโงกทร่ี ับประทานได ขอ แตกตางคือเห็ดระโงกทร่ี บั ประทานได ขอบหมวกมกั จะเปนริ้วคลาย รอยหวี มีกลน่ิ หอมและกา นดอกกลวง สวนเห็ดระโงกทเ่ี ปน พษิ กลางดอกหมวกจะนูนข้นึ เลก็ นอย มกี ลน่ิ เอียนและกลนิ่ คอ นขา งแรงเม่ือดอกแก มักเกิดแยกจากกลมุ เห็ดทรี่ ับประทานได มที ้ังแบบดอกสเี หลอื งออ น สีเขียวออ น สเี ทาออน และสีขาว 2. เหด็ พษิ ชนดิ อนื่ ท่พี ิษไมร ุนแรง หรือถา ผปู วยมโี รคแทรกอาจทําใหเ สยี ชวี ิตได เชน เหด็ เพิ่งขาวกํ่า (Boletus santanas) เห็ดคันจอ งหรือเห็ดเซยี งรม (Coprinus atramentarius) และเห็ดหมากหมา ย (คลายเหด็ โคน) เปนตน 3. อยารบั ประทานเหด็ ท่สี งสัย ไมร จู ักและไมแนใจ ควรรบั ประทานเฉพาะเห็ดรจู กั และเพาะไดท ่วั ไป 4. ถาจําเปน จะตองรับประทานเหด็ ทยี่ งั ไมแ นใ จ ควรชิมเพยี งเลก็ นอยเพื่อดูอาการกอ น ซง่ึ ถาเห็ดนน้ั เปนพิษ กจ็ ะแกไ ขไดง ายขนึ้ ในเวลาอยางนอย 6 ชวั่ โมง หากไมมอี าการผดิ ปกตใิ ดๆ แสดงวาเหด็ นน้ั ไมม ีพิษ การปฐมพยาบาลผูปว ยท่รี บั ประทานเหด็ พิษ การปฐมพยาบาลผปู วยรบั ประทานเห็ดพิษ ควรรจู ักวธิ ปี ฏบิ ตั ิทถ่ี กู ตอ งกบั ผปู วย คอื ทําใหผปู วยอาเจยี นเอาเศษ อาหารท่ตี กคา งออกมาใหม ากทสี่ ดุ และชวยดดู พษิ จากผูปว ยโดยใชน้าํ อุน ผสมผงถา น activated charcoal ดืม่ 2 แกว โดยแกวแรกลว งคอใหอาเจยี นออกมากอ น แลว ดื่มแกวท่ี 2 ลวงคอใหอ าเจยี นอกี ครั้ง จงึ นาํ สง แพทยพ รอมกับตวั อยางเหด็ พษิ หากยงั เหลอื อยู กรณีท่ีผปู วยอาเจียนออกยากใหใ ชเกลอื แกง 3 ชอ นชาผสมนาํ้ อนุ ด่มื จะทาํ ใหอ าเจียนไดง ายข้ึน แตวิธีนี้ หามใชกับเด็กอายุต่ํากวา 5 ขวบ หา มลางทองดว ยการสวนทวารหนกั โดยพละการ วธิ นี ตี้ องใหแ พทยเ ปน ผู วินิจฉยั เทาน้นั เพราะวิธีนี้จะเปนอันตรายตอ ผปู วยหากรา งกายขาดนา้ํ หลงั จากปฐมพยาบาลผปู วยแลว ใหร บี นําสง แพทยโดยดว น พรอมกบั ตวั อยา งเหด็ พษิ (หากยังเหลอื อย)ู หรอื อาจจะทําการปฐมพยาบาลผูป วยในระหวางนาํ สง แพทยด วยก็ได การรักษาผปู วยที่บริโภคเห็ดพิษ 1. สารพิษพวก Amanitin และ Helvellic acid - หลงั จากการปฐมพยาบาล ผปู วยอาเจียนแลวใหล า งกระเพาะโดยใชน ้าํ สุก 1-2 ลติ ร ผสมผงถาน ดมื่ เพื่อไมใ หม เี ศษ อาหารเหลืออยูใ นระบบทางเดินอาหาร - การรักษาเสริมเพื่อชวยฟนฟผู ปู ว ยใหกลโู คสทางเสนเลอื ดดํา จากนัน้ ใหเ มไธโอนินและวิตามนิ บาํ รุงตบั ผสมกบั กลโู คส หรือน้าํ เกลอื เขา ทางเสนเลือดดาํ 300-500 มลิ ลกิ รมั ตอ วัน (50-150 มิลลกิ รัมทกุ 6 ชว่ั โมง) จะชวยรกั ษาตับและ ไตดขี ้นึ - การใช anttiphalloid serum ใชใ นฝรั่งเศส เรียกวา antidote - การถายพิษในกระเพาะออกโดยวิธี Hemodialysis บางแหง ใช Penicillin-G (250 มิลลกิ รัมตอ กโิ ลกรมั ตอ วัน) รว มกับ Choramphenicol และ Sulphamethoxazole ซง่ึ ชว ยขับถา ยสารพษิ พวกอะมานติ นิ ออก
2. สารพษิ Muscarine ทาํ การปฐมพยาบาลดังกลาวในขอ 1 แลว ใช Antidote โดยฉดี เขาหลอดเลอื ดดํา โดยฉีดครงั้ ละ 0.5-1.0 มิลลกิ รมั ถาจาํ เปนอาจฉีดทกุ ครึ่งชั่วโมง ถาเปน เด็กใชเพียง 0.05 มิลลกิ รมั 3. สารพษิ Gyromitrin พบในเห็ดสกลุ Gyromitra หลังจากการปฐมพยาบาลในขอ 1 แลว ใหเพ่มิ วิตามนิ B6 ขนาด 250 มลิ ลิกรมั ตอ กโิ ลกรมั ตอวนั (ใหค รั้งละ 25 มลิ ลกิ รมั ตอกโิ ลกรัมทางหลอดเลือดดาํ )
การวเิ คราะหองคความรตู ามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2343 ฐานการเรยี นรู เรื่อง การเพาะเห็ดจากเปลอื กขา วโพด(กอื เลอะบือเคสาอะเบะ) ******************************** ความรู คณุ ธรรม - ขน้ั ตอนการทําเชื้อเห็ด - มีนาํ้ ใจเออ้ื เฟอ เผอ่ื แผ - ขัน้ ตอนการน่งึ กอ นเชอ้ื เหด็ - ซ่ือสตั ย สจุ ริต - ขนั้ ตอนการเข่ียเช้อื เหด็ - ขยนั อดทน - ดูแล เก็บเก่ยี วผลผลิต - บัญชีรายรับ-รายจา ย - สามคั คี - ตน ทนุ กาํ ไร - รบั ผิดชอบ - ตลาด/จําหนาย - อยูอยา งพอเพยี ง พอประมาณ มเี หตผุ ล มีภูมคิ มุ กันทดี่ ี - เวลา - ลดภาวะโลกรอ น - ผลกระทบตอ ส่งิ แวดลอ ม - แรงงาน - อาหารกลางวนั - วางแผนเปน ระบบ - สถานท่ี - ประหยัดรายจาย - ข้ันตอนและวธิ กี ารชดั เจน - อุปกรณ/วสั ดุ - ใชอุปกรณ รอบคอบ ชัดเจน - งบประมาณ - อาชีพเสริม - ความตองการบริโภค/ตลาด - เพม่ิ รายได เศรษฐกจิ /วตั ถุ สังคม ส่งิ แวดลอ ม วฒั นธรรม - ใชวสั ดุอุปกรณใ นทอ งถ่นิ - ชว ยเหลือกัน - ประหยัดและคมุ คา - รว มมือทํางานกลุม - ลดภาวะโลกรอน - บรโิ ภคอาหารทอ งถิ่น - เห็นคุณคาของเปลอื ก - สามคั คี ขา วโพด - สรางอาชีพใหก บั ชุมชน - ลดการเผาเปลอื กขาวโพด - แปรรปู ผลผลติ - ลดปญหาหมอกควนั - ลดภาวะเปนพิษ ศาสตรภมู ปิ ญญา ศาสตรพ ระราชา ศาสตรสากล - การเพาะเห็ดตามหลักภมู ปิ ญ ญา - รจู ักประหยดั เรยี บงาย ไดป ระโยชน - การทํากอนเชื้อเหด็ - การทดสอบเหด็ พิษ สูงสุด - พันธเุ หด็ - ลกั ษณะเหด็ กินได - ธรรมชาติชว ยธรรมชาติ - วธิ ีการเพาะเหตุ - แกป ญหาจากจดุ เลก็ - ปจ จัยทสี่ ง ผลตอ การเจริญเติบโต - การใชท รัพยากรใหเ กิดคุณคา ของเห็ด
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: