แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 1 การออกแบบการจัดการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว 33101 ระดับชั้น มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 จัดทาโดย นางสาวณฐั ธนญั า บญุ ถงึ ตาแหนง่ ครู คศ. 2 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ตาบลช่างเค่งิ อาเภอแมแ่ จม่ จังหวดั เชยี งใหม่ สานกั บรหิ ารงานการศกึ ษาพิเศษ สานักงานการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 2 แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 เร่ือง ความหลากหลายทางชีวภาพ แผนจัดการเรียนรู้ที่ 1 เร่อื ง ความหลากหลายทางชวี ภาพ สปีชีส์และการอนุรักษ์ รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว 33101 ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 6 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2562 .น้าหนกั เวลาเรยี น 1.0 (นน./นก.) เวลาเรียน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ เวลาทใ่ี ชใ้ นการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 10 ชั่วโมง ************************************ 1. สาระสา้ คัญ (ความเขา้ ใจที่คงทน) 1. โลกมีความหลากหลายของระบบนเิ วศซงึ่ มสี ่งิ มชี วี ติ อาศยั อยูม่ ากมายหลายสปชี สี ์ สิง่ มีชวี ิตสปชี ีสเ์ ดยี วกันก็ ยังมคี วามหลากหลายทางพนั ธุกรรม 2. ความหลากหลายทางชวี ภาพส่งผลทาใหม้ นษุ ย์และสงิ่ มชี ีวิตอนื่ ๆ ไดใ้ ชป้ ระโยชนใ์ นแง่ของการเปน็ อาหาร ทอ่ี ย่อู าศยั แหลง่ สบื พนั ธแ์ุ ละขยายพันธ์ุ ทาใหส้ ง่ิ มชี ีวิตสามารถดารงพนั ธอุ์ ยไู่ ด้ 3. สง่ิ มชี วี ติ ท่ีมีความหลากหลายทางชวี ภาพมีความตอ้ งการปัจจยั ต่าง ๆ ในการดารงชีวิตแตกต่างกัน ซ่งึ จะ ช่วยรักษาสมดุลของระบบนเิ วศบนโลกได้ 4. สงิ่ มีชวี ติ แต่ละสปีชสี ์จะมีความหลากหลายทแี่ ตกต่างกัน ส่งิ มีชวี ิตในสปีชีสเ์ ดียวกนั จะผสมพนั ธุแ์ ละสบื ลกู หลานต่อไปได้ 5. การคดั เลือกตามธรรมชาตจิ ะส่งผลทาใหล้ กั ษณะพันธกุ รรมของประชากรในกลุ่มย่อย แตล่ ะกลมุ่ แตกตา่ ง กันไป จนกลายเปน็ สปชี สี ใ์ หม่ ทาให้เกิดเป็นความหลากหลายของสิง่ มชี ีวติ 6. ความหลากหลายทางชีวภาพมีความสาคัญต่อสงิ่ มชี ีวติ สง่ิ มีชวี ิตทุกชนิดมีความสาคัญตอ่ ระบบนเิ วศ ถา้ สง่ิ มชี ีวิตชนิดใดชนิดหนึง่ ถกู ทาลายหรือสญู หายไป กจ็ ะส่งผลกระทบตอ่ ความหลากหลายของส่งิ มชี วี ติ อน่ื ๆ ในระบบ นิเวศดว้ ย 7. ความหลากหลายทางชวี ภาพของระบบนเิ วศหนึ่งยงั อาจเก้ือกลู ต่อระบบนิเวศอนื่ ๆ ไดด้ ว้ ย 8. ความหลากหลายทางชวี ภาพมคี วามสาคญั ต่อมนษุ ย์ มนุษย์ใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชวี ภาพ มากมาย การใชท้ ขี่ าดความระมัดระวงั อาจสง่ ผลกระทบต่อความหลากหลาย ทางชวี ภาพได้ ซง่ึ ทุกคนควรมีสว่ นรว่ มใน การดูแลรกั ษา 2. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชวี้ ดั ช้นั ปี/ผลการเรียนรู้/เป้าหมายการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจกระบวนการและความสาคญั ของการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม วิวฒั นาการของ สงิ่ มชี ีวติ ความหลากหลายทางชวี ภาพ การใช้เทคโนโลยีชวี ภาพท่ีมผี ลกระทบตอ่ มนษุ ยแ์ ละ สงิ่ แวดล้อม มีกระบวนการสืบเสาะหาความรแู้ ละจติ วทิ ยาศาสตร์ สอ่ื สาร สง่ิ ที่เรยี นรู้ และ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ว 1.2 ม. 4–6/3 สบื ค้นข้อมูลและอภิปรายผลของความหลากหลายทางชีวภาพท่ีมีต่อมนุษยแ์ ละสิง่ แวดลอ้ ม ว 1.2 ม. 4–6/4 อธบิ ายกระบวนการคดั เลอื กตามธรรมชาติ และผลของการคดั เลอื กตามธรรมชาตติ ่อความ หลากหลายของส่ิงมีชวี ิต โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 3 มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสงิ่ แวดล้อมในทอ้ งถ่นิ ความสัมพันธ์ระหวา่ งสิ่งแวดลอ้ มกบั สงิ่ มีชีวิต ความสมั พนั ธ์ระหว่าง สิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนเิ วศ มกี ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ และจติ วทิ ยาศาสตร์ สอ่ื สารส่งิ ท่ีเรียนร้แู ละนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ว 2.1 ม. 4–6/3 อธิบายความสาคญั ของความหลากหลายทางชีวภาพ และเสนอแนะแนวทางในการดแู ลรักษา 3. สาระการเรยี นรู้ 3.1 เนอ้ื หาสาระหลกั : Knowledge - ความหลากหลายทางชีวภาพ - สปีชีส์ของสงิ่ มชี ีวติ - ความหลากหลายของสิ่งมชี วี ิต - คณุ คา่ และการอนุรกั ษ์ ความหลากหลายทางชีวภาพ 3.2 ทักษะ/กระบวนการ : Process 1. การสังเกต 2. การสืบคน้ ขอ้ มลู 3. การอภิปราย 4. การนาความรู้ไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั 3.3 คุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ : Attitude 1. ใฝเ่ รียนรู้ 2. มงุ่ มน่ั ในการทางาน 3. มเี จตคติต่อวิทยาศาสตร์ 4. มีเจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ 5. เหน็ คุณคา่ ของการนาความรู้ไปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั 4. สมรรถนะส้าคัญของผเู้ รยี น 4.1 ความสามารถในการสือ่ สาร 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแกป้ ญั หา 4.4 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 5. คณุ ลักษณะของวชิ า - ความรบั ผิดชอบ - ความรอบคอบ - ความคดิ สร้างสรรค์ - กระบวนการกล่มุ โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุม่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 6 4 6. คุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ 1. ซื่อสัตย์สจุ รติ 2. มวี ินยั 3. ใฝเ่ รียนรู้ 4. อยู่อยา่ งพอเพียง 5. ม่งุ มัน่ ในการทางาน 6. มีจติ สาธารณะ 7. ช้ินงาน/ภาระงาน 1. สารวจความหลากหลายทางชวี ภาพในทอ้ งถ่ิน 2. สบื คน้ ข้อมลู การอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ 8. กิจกรรมการเรยี นรู้ : ความหลากหลายทางชวี ภาพ เวลาที่ใช้ 3 ชั่วโมง =ชว่ั โมงท่ี 1-3 จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สารวจลักษณะสาคัญของสง่ิ มีชวี ติ ตา่ งๆ ในท้องถ่ินและจาแนกเป็นกลมุ่ ๆ ได้กระบวนการจดั การเรยี นรู้ ขนั้ น้าเขา้ สู่บทเรียน/ข้นั ตงั้ ค้าถาม 1. ครดู าเนนิ การทดสอบกอ่ นเรยี น โดยให้ผเู้ รยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรียนเพ่อื ตรวจสอบความพรอ้ มและ พืน้ ฐานของผเู้ รียน 2. ครูนารปู ภาพปา่ ดบิ ชื้น ทงุ่ หญ้า แนวปะการงั และปา่ ชายเลนมาให้ผเู้ รียนดแู ละให้ผเู้ รยี นตอบคาถามตอ่ ไปนี้ - ในท้องถิน่ ที่ผเู้ รยี นอาศยั อยมู่ ีลกั ษณะของระบบนเิ วศเหมอื นกับรปู ใด - ผู้เรยี นคิดวา่ แต่ละรูปมีสงิ่ มชี ีวิตอะไรบ้างที่อาศัยอยู่และมลี กั ษณะเหมอื นหรือแตกตา่ งกันหรือไม่ ในเร่ือง ใด 3. ผเู้ รียนรว่ มกนั ตอบคาถามและแสดงความคดิ เห็นเกีย่ วกับคาตอบของคาถาม เพอื่ เชอ่ื มโยงไปสกู่ ารเรียนรู้ เรอ่ื ง ความหลากหลายทางชีวภาพ ข้นั จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ จดั กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซงึ่ มีขนั้ ตอนดงั น้ี 1. ข้ันสร้างความสนใจ 1.1 ครตู ้งั ประเด็นคาถาม จากน้นั ส่มุ ผเู้ รยี น 2–3 คน ให้ผู้เรยี นตอบคาถามต่อไปนี้ - ผเู้ รียนคดิ วา่ ในทอ้ งถนิ่ อื่นซง่ึ มีระบบนเิ วศทีแ่ ตกต่างจากทอ้ งถ่ินที่ผเู้ รียนอาศัยอยู่ จะมีชนิด จานวน และลกั ษณะของสง่ิ มชี ีวติ เหมือนหรือแตกต่างกนั หรอื ไม่ ลักษณะใด - ผู้เรยี นสามารถบอกไดห้ รอื ไม่ว่าในท้องถิน่ ของผูเ้ รียนมคี วามหลากหลายทางชีวภาพหรือไม่ ผเู้ รียน ดไู ด้จากอะไร 1.2 ผ้เู รียนรว่ มกนั อภิปรายหาคาตอบเกยี่ วกบั คาถามตามความคิดเหน็ ของแตล่ ะคน โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 6 5 2. ขั้นสา้ รวจและค้นหา 2.1 ให้ผเู้ รยี นศกึ ษาความหลากหลายทางชวี ภาพจากใบความรหู้ รอื ในหนังสือเรยี น โดยครชู ่วยอธบิ าย ให้ผ้เู รยี นเขา้ ใจว่า ความหลากหลายทางชวี ภาพประกอบดว้ ย ความหลากหลายของชนดิ พันธุ์ ความหลากหลายทาง พนั ธุกรรมและความหลากหลายของระบบนเิ วศ 2.2 แบง่ ผูเ้ รยี นกลุม่ ละ 5-6 คน ปฏบิ ตั ิกิจกรรม สารวจความหลากหลายทางชวี ภาพในทอ้ งถนิ่ ตาม ข้นั ตอนทางวิทยาศาสตร์ โดยใชท้ ักษะการสงั เกต ดังน้ี - ให้แต่ละกลุ่มสารวจขอ้ มลู ในท้องถ่ินและระบวุ า่ ในทอ้ งถ่ินมีชนิดและจานวนของสิง่ มชี ีวิตในแตล่ ะ ระบบนิเวศเป็นอยา่ งไร และในระบบนเิ วศหนึง่ ๆ พบสง่ิ มชี ีวิตชนิดใดมากทส่ี ดุ ชนิดใดน้อยท่ีสุด - ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มร่วมกนั พจิ ารณาตวั แทนชนิดของส่ิงมชี ีวติ สาหรบั การศกึ ษาความหลากหลายทาง พันธกุ รรม โดยเลอื กสงิ่ มีชีวติ ชนดิ ใดชนดิ หน่งึ ในท้องถิ่นมา 1 ชนิดท่มี หี ลายพันธุ์ เชน่ ขา้ ว กลว้ ย สนุ ขั ไก่ ฯลฯ แล้ว ศึกษาเกีย่ วกับลกั ษณะและพฤติกรรมของสงิ่ มีชีวิตชนิดนั้น ๆ - สบื คน้ ขอ้ มลู เก่ยี วกับสิ่งมีชวี ิตทก่ี ล่มุ เลอื กศกึ ษาจากแหลง่ ขอ้ มลู ต่าง ๆ เช่น หนงั สอื เรยี น หนงั สอื อา้ งองิ หนังสืออ่านประกอบ หนงั สอื พมิ พ์ วารสารวิทยาศาสตร์ หรือเว็บไซตท์ ี่เก่ยี วข้องทางอินเทอรเ์ นต็ - นาข้อมลู ทไี่ ดจ้ ากการสารวจและสบื ค้นข้อมลู ของแตล่ ะกลมุ่ มาสรปุ และอภปิ รายร่วมกนั ในประเดน็ ต่าง ๆ ดังนี้ * ในท้องถ่นิ ที่ผเู้ รียนอาศยั อยมู่ รี ะบบนเิ วศอะไรบา้ ง * ระบบนิเวศทผ่ี เู้ รยี นสารวจมสี ่ิงมีชวี ติ ชนดิ ใดบา้ ง สิง่ มชี วี ิตชนิดใดทพ่ี บมากทสี่ ดุ เพราะเหตใุ ดจงึ พบ ส่ิงมชี วี ติ ชนดิ นีเ้ ปน็ จานวนมากในทอ้ งถิน่ ทเี่ ราสารวจ * ตัวอย่างสิ่งมีชวี ิตท่ใี ชศ้ ึกษาความหลากหลายทางพนั ธกุ รรมใหข้ อ้ มลู ท่ีนา่ สนใจอะไรบ้าง 2.3 ผ้เู รยี นและครรู ่วมกนั ตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อมลู ทีไ่ ดจ้ ากกจิ กรรม 3. ขนั้ อธิบายและลงข้อสรุป 3.1 ผ้เู รยี นแตล่ ะกลมุ่ ส่งตวั แทนกลุ่มนาเสนอผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมหนา้ ช้นั เรยี น 3.2 ผ้เู รียนและครรู ่วมกนั อภิปรายและหาข้อสรปุ จากการปฏิบตั ิกจิ กรรม โดยใช้แนวคาถามตอ่ ไปนี้ - ในทอ้ งถิ่นทผ่ี ู้เรียนอาศยั อยมู่ รี ะบบนเิ วศอะไรบา้ ง (พิจารณาจากคาตอบผู้เรียน แนวคาตอบ ระบบนเิ วศภูเขา ระบบนิเวศนา้ ตก ระบบนิเวศนาขา้ ว ฯลฯ) - บรเิ วณท่ีมคี วามหลากหลายทางชวี ภาพท่เี หมาะสมสังเกตไดจ้ ากส่ิงใด (บริเวณนัน้ มสี ่ิงมีชีวิตหลาย ชนิดอาศัยอยูร่ ว่ มกัน) - ผลสรปุ ของการสารวจนี้คอื อะไร (แหลง่ ทอี่ ยูแ่ ต่ละแหลง่ จะมีชนิดและจานวนของสงิ่ มีชีวติ แตกต่างกนั บางชนิดมมี าก บางชนดิ มนี อ้ ย และส่ิงมีชีวติ ชนิดหนง่ึ ๆ อาจมีหลายพันธุ์ เนื่องจากมีความหลากหลายทาง พันธุกรรมในส่งิ มีชีวิตแต่ละชนดิ ) 3.3 ผเู้ รียนและครรู ว่ มกนั สรปุ ผลจากการปฏิบตั กิ จิ กรรม โดยใหไ้ ด้ขอ้ สรปุ ว่า ส่งิ มีชีวติ ทุกชนิดต้องมคี วาม เกีย่ วพนั กับระบบนเิ วศ บริเวณที่มสี ง่ิ มชี ีวิตหลายชนิดอาศัยอยมู่ าก บรเิ วณนัน้ จะมคี วามหลากหลายทางชวี ภาพมาก โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 6 6 4. ขน้ั ขยายความรู้ 4.1 ครูอธิบายเพ่มิ เตมิ เก่ียวกับประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพท่มี นษุ ย์ไดร้ ับ ซงึ่ สว่ นใหญ่ ได้มาจากป่าในธรรมชาติ นอกจากประโยชนด์ ังกล่าวแลว้ มนษุ ย์ยงั ไดร้ บั ประโยชนจ์ ากความหลากหลายทางชีวภาพใน แง่ของการเป็นแหลง่ ทอ่ งเทีย่ ว ซึ่งสามารถทาเป็นธรุ กจิ ทน่ี าเงินตราเข้าประเทศได้อีกดว้ ย 4.2 แบ่งผเู้ รยี นเปน็ กลมุ่ สบื คน้ ขอ้ มลู เกีย่ วกบั ความหลากหลายทางชีวภาพจากหนงั สอื วารสาร สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทยสาหรบั เยาวชนและอินเทอรเ์ นต็ รวมทัง้ นาข้อมลู ท่ีคน้ ควา้ ไดม้ าจัดทาเป็น รายงาน หรือจดั ป้ายนิเทศใหเ้ พอื่ น ๆ ได้ทราบเพ่ือแลกเปลยี่ นเรียนรู้กนั 4.3 ผ้เู รียนคน้ คว้าบทความหรอื คาศพั ท์ภาษาตา่ งประเทศเกยี่ วกับความหลากหลายทางชีวภาพจาก หนงั สือเรยี นภาษาต่างประเทศหรอื อินเทอรเ์ นต็ และนาเสนอใหเ้ พอ่ื นในหอ้ งฟัง พรอ้ มทงั้ รวบรวมคาศัพทแ์ ละคาแปล ลงสมุดสง่ ครู 5. ขน้ั ประเมิน 5.1 ครูให้ผูเ้ รียนแตล่ ะคนพจิ ารณาวา่ จากหวั ขอ้ ทเ่ี รียนมาและการปฏิบัติกจิ กรรม มจี ดุ ใดบา้ งทยี่ ังไมเ่ ข้าใจ หรือยงั มขี อ้ สงสัย ถา้ มีครูช่วยอธบิ ายเพ่ิมเตมิ ให้ผเู้ รียนเข้าใจ 5.2 ผ้เู รยี นรว่ มกันประเมนิ การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมกลุ่มว่ามปี ัญหาหรอื อุปสรรคใด และมีการแก้ไขอยา่ งไรบ้าง 5.3 ผ้เู รยี นและครรู ่วมกันแสดงความคิดเหน็ เกีย่ วกบั ประโยชนท์ ีไ่ ด้รับจากการปฏบิ ตั ิ กจิ กรรม และการนาความร้ทู ี่ไดไ้ ปใช้ประโยชน์ 5.4 ครูทดสอบความเขา้ ใจของผู้เรยี นโดยการให้ตอบคาถาม เชน่ - ความหลากหลายทางชวี ภาพคืออะไร - บรเิ วณที่มคี วามหลากหลายทางชวี ภาพทีเ่ หมาะสมสงั เกตได้จากสิ่งใด ข้ันสรุป ครแู ละผู้เรียนรว่ มกนั สรุปเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ โดยร่วมกันเขียนเปน็ แผนท่คี วามคิดหรือ ผังมโนทัศน์ @ กจิ กรรมการเรยี นรู้ : สปชี สี ข์ องสงิ่ มชี วี ติ เวลาท่ีใช้ 2 ชวั่ โมง =ชว่ั โมงที่ 4-5 จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธบิ ายความสัมพนั ธข์ องสงิ่ มีชวี ิตทีอ่ ยรู่ ่วมกนั ในสภาพแวดลอ้ มตา่ ง ๆ ได้ 2. ออกแบบจาลองแสดงถงึ ปจั จัยต่าง ๆ ทม่ี ผี ลต่อการอยรู่ อดของส่งิ มีชวี ติ ได้ 3. สืบค้นข้อมลู และนาเสนอเกยี่ วกบั ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งการอย่รู อดของสง่ิ มชี วี ติ กับความหลากหลายของ สิ่งมีชีวิตได้ ขั้นนา้ เขา้ สบู่ ทเรยี น โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 7 1. ครูทบทวนความรเู้ ดมิ เกยี่ วกับสปีชสี ข์ องสิง่ มีชวี ิต โดยสมุ่ ผเู้ รยี น 2–3 คนให้ผู้เรยี นตอบคาถาม จากนน้ั ครู ต้งั ประเดน็ คาถามดังนี้ - นักชวี วทิ ยาจดั แบ่งกลุ่มของสง่ิ มีชีวติ โดยอาศัยเกณฑใ์ ด - กลมุ่ ยอ่ ยของการจัดลาดบั ของสงิ่ มชี วี ิตเรียกว่าอะไร 2. ผู้เรียนรว่ มกันตอบคาถามและแสดงความคิดเหน็ เกี่ยวกบั คาตอบของคาถาม เพอ่ื เชอ่ื มโยงไปสกู่ ารเรยี นรู้ เรอื่ ง ความหลากหลายของสงิ่ มชี วี ิต ข้ันจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซง่ึ มีข้นั ตอนดงั นี้ 1. ขั้นสรา้ งความสนใจ 1.1 ครูนารปู ส่ิงมีชวี ติ หลากหลายชนดิ เชน่ คน สัตว์ พชื มาใหผ้ เู้ รียนดู แลว้ ใหผ้ เู้ รยี นรว่ มกนั ตอบคาถาม ตอ่ ไปน้ี - สิง่ มชี วี ิตเหลา่ นอี้ ยใู่ นสปชี สี เ์ ดยี วกันหรอื ไม่ เพราะอะไร - ถ้าจะจัดแบง่ สง่ิ มีชวี ิตเหล่านอ้ี อกเปน็ กลมุ่ ๆ ผเู้ รยี นจะมเี กณฑ์ในการจัดแบ่งอยา่ งไร 1.2 ผเู้ รยี นร่วมกนั อภิปรายหาคาตอบเก่ยี วกบั คาถามตามความคิดเหน็ ของแตล่ ะคน 2. ขน้ั สา้ รวจและคน้ หา 2.1 ใหผ้ ูเ้ รียนศึกษาความหลากหลายของสิ่งมีชีวติ จากใบความรูห้ รอื ในหนงั สอื เรยี น โดยครูช่วยอธบิ าย ใหผ้ ้เู รียนเขา้ ใจวา่ ส่ิงมชี ีวติ มวี ิวัฒนาการแยกออกเปน็ ชนดิ ตา่ ง ๆ หลายชนดิ ทาใหน้ ักชวี วิทยาได้จัดแบ่งสงิ่ มชี วี ิต ออกเป็นหมวดหมู่เรยี กว่า อาณาจักร โดยใชล้ ักษณะร่วมกันบางอยา่ งทีค่ ลา้ ยคลงึ กันของสง่ิ มีชวี ิตนน้ั ๆ เป็นเกณฑ์ใน การจดั แบ่ง และแบ่งออกไดเ้ ปน็ 5 อาณาจกั ร คอื อาณาจกั รโมนรี า อาณาจกั รโพรทิสตา อาณาจกั รเห็ดราและยสี ต์ อาณาจักรพชื และอาณาจกั รสัตว์ 2.2 แบง่ ผ้เู รยี นกลมุ่ ละ 5–6 คน สบื ค้นขอ้ มูลเก่ยี วกบั ความหลากหลายของสงิ่ มชี ีวติ โดยดาเนนิ การตาม ขน้ั ตอนดงั น้ี - แตล่ ะกลมุ่ วางแผนการสบื ค้นข้อมูล โดยแบง่ หัวข้อย่อยใหเ้ พ่อื นสมาชกิ ชว่ ยกันสบื ค้นตามทส่ี มาชิก กลุ่มชว่ ยกันกาหนดหวั ข้อยอ่ ย เชน่ อาณาจกั รโมนรี า อาณาจกั รโพรทสิ ตา อาณาจกั รเหด็ ราและยสี ต์ อาณาจกั รพชื และอาณาจกั รสตั ว์ - สมาชิกกลมุ่ แตล่ ะคนหรือกลมุ่ ย่อยช่วยกนั สืบคน้ ข้อมลู ตามหวั ขอ้ ย่อยทตี่ นเองรับผิดชอบ โดยการ สบื ค้นจากใบความรทู้ ค่ี รูเตรยี มมาให้ หรอื จากหนงั สือ วารสารวิทยาศาสตร์ สารานุกรมวิทยาศาสตร์ สารานกุ รมไทย สาหรับเยาวชนและอนิ เทอรเ์ น็ต - สมาชิกกลุม่ นาขอ้ มูลทสี่ บื คน้ ไดม้ ารายงานใหเ้ พือ่ น ๆ สมาชกิ ในกลุม่ ฟงั รวมทงั้ รว่ มกนั อภิปราย ซกั ถามจนคาดวา่ สมาชิกทุกคนมคี วามรคู้ วามเข้าใจท่ีตรงกัน - สมาชิกกลุ่มช่วยกนั สรปุ ความรทู้ ี่ไดท้ ง้ั หมดเปน็ ผลงานของกล่มุ และชว่ ยกนั จัดทารายงานการศกึ ษา คน้ ควา้ เกีย่ วกบั ความหลากหลายของสง่ิ มีชวี ติ 3. ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรุป โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 8 3.1 ผู้เรียนแต่ละกลมุ่ สง่ ตัวแทนกลมุ่ นาเสนอผลการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมหน้าชั้นเรียน 3.2 ผเู้ รียนและครูร่วมกนั อภิปรายและหาข้อสรุปจากการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม โดยใช้แนวคาถามตอ่ ไปนี้ - นกั ชวี วทิ ยาจัดแบ่งสิ่งมีชวี ติ ออกเปน็ หมวดหม่เู รียกวา่ อะไร (อาณาจกั ร) - ยกตวั อยา่ งอาณาจกั รของส่งิ มชี ีวติ มา 1 อาณาจกั ร พร้อมอธบิ ายลกั ษณะของอาณาจกั รของ สิ่งมชี วี ิตน้นั ๆ มาพอเข้าใจ (พิจารณาจากคาตอบผเู้ รียน แนวคาตอบ อาณาจกั รพชื มีลกั ษณะ คอื มีเน้อื เยอ่ื ประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ ภายในเซลลม์ ีคลอโรฟลิ ลส์ าหรบั สงั เคราะหอ์ าหารจากแสงอาทิตย์ เชน่ พืชใบเลยี้ งเดย่ี ว และพืชใบเล้ียงคทู่ ่วั ๆ ไป) 3.3 ผู้เรยี นและครรู ่วมกนั สรุปผลจากการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม 4. ขั้นขยายความรู้ 4.1 แบ่งผ้เู รยี นเปน็ กลมุ่ สืบคน้ ข้อมูลเกย่ี วกับความหลากหลายของสงิ่ มีชีวิตจากหนังสือ วารสาร สารานกุ รมวิทยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน และอินเทอรเ์ นต็ รวมท้ังนาขอ้ มูลที่ค้นควา้ ได้มาจดั ทาเปน็ รายงาน หรอื จัดป้ายนเิ ทศใหเ้ พอื่ น ๆ ไดท้ ราบเพอ่ื แลกเปลย่ี นเรยี นรูก้ ัน 4.2 ผเู้ รียนคน้ คว้าบทความหรือคาศพั ท์ภาษาตา่ งประเทศเก่ียวกบั ความหลากหลายของสงิ่ มีชีวิตจาก หนงั สือเรยี นภาษาตา่ งประเทศหรอื อนิ เทอรเ์ นต็ และนาเสนอใหเ้ พื่อนในห้องฟัง พรอ้ มทงั้ รวบรวมคาศัพทแ์ ละคาแปล ลงสมดุ สง่ ครู 5. ขัน้ ประเมิน 5.1 ครูให้ผเู้ รียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหัวขอ้ ทเี่ รียนมาและการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม มจี ดุ ใดบา้ งทยี่ ังไมเ่ ข้าใจ หรือยงั มีข้อสงสัย ถ้ามี ครูช่วยอธบิ ายเพม่ิ เตมิ ใหผ้ ู้เรยี นเขา้ ใจ 5.2 ผเู้ รียนรว่ มกนั ประเมินการปฏิบตั กิ ิจกรรมกลมุ่ ว่ามปี ัญหาหรอื อปุ สรรคใด และไดม้ ีการแก้ไขอยา่ งไร บ้าง 5.3 ผเู้ รียนและครูรว่ มกันแสดงความคิดเห็นเกยี่ วกับประโยชนท์ ีไ่ ด้รบั จากการปฏิบตั ิ กจิ กรรม และการนาความรูท้ ีไ่ ด้ไปใช้ประโยชน์ 5.4 ครทู ดสอบความเขา้ ใจของผเู้ รียนโดยการใหต้ อบคาถาม เชน่ - นักชีววิทยาจัดแบง่ สงิ่ มีชีวิตออกเปน็ กี่อาณาจักร อะไรบ้าง - โพรโทซวั แบคทเี รีย เหด็ รา และยสี ต์ อยู่ในอาณาจกั รเดยี วกนั หรอื ไม่ อธบิ าย ขั้นสรุป ครูและผเู้ รียนร่วมกันสรปุ เกยี่ วกบั ความหลากหลายของสงิ่ มชี ีวิต โดยร่วมกนั เขยี นเป็นแผนท่ีความคดิ หรอื ผงั มโนทัศน์ @ กจิ กรรมการเรียนรู้ : ความหลากหลายของสง่ิ มชี วี ติ เวลาท่ใี ช้ 2 ชว่ั โมง =ช่ัวโมงที่ 6-7 โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 6 9 จุดประสงค์การเรียนรู้ สืบค้นข้อมลู และอภปิ รายเกีย่ วกบั ความหลากหลายของส่ิงมชี วี ิตได้ ขน้ั น้าเขา้ สบู่ ทเรียน 1. ครูทบทวนความรู้เดิมเกย่ี วกบั สปีชสี ์ของสิ่งมีชวี ติ โดยสุม่ ผู้เรียน 2–3 คนใหผ้ เู้ รียนตอบคาถาม จากนัน้ ครู ตัง้ ประเดน็ คาถามดังนี้ - นกั ชีววิทยาจัดแบง่ กลมุ่ ของสิง่ มชี ีวติ โดยอาศัยเกณฑใ์ ด - กลมุ่ ยอ่ ยของการจัดลาดบั ของสง่ิ มชี วี ิตเรยี กวา่ อะไร 2. ผูเ้ รยี นร่วมกนั ตอบคาถามและแสดงความคดิ เห็นเกย่ี วกบั คาตอบของคาถาม เพอื่ เช่ือมโยงไปสู่การเรียนรู้ เร่ือง ความหลากหลายของสง่ิ มีชวี ติ ข้ันจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ จดั กิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซง่ึ มีขัน้ ตอนดังนี้ 1. ข้ันสร้างความสนใจ 1.1 ครนู ารปู สงิ่ มชี ีวิตหลากหลายชนิด เชน่ คน สัตว์ พืชมาให้ผเู้ รยี นดู แลว้ ใหผ้ ู้เรยี น รว่ มกนั ตอบคาถามต่อไปนี้ - สง่ิ มชี วี ติ เหลา่ นอี้ ยใู่ นสปชี ีส์เดียวกนั หรอื ไม่ เพราะอะไร - ถ้าจะจัดแบ่งสิง่ มชี วี ิตเหล่านอ้ี อกเปน็ กลมุ่ ๆ ผเู้ รยี นจะมเี กณฑใ์ นการจดั แบง่ อยา่ งไร 1.2 ผเู้ รยี นร่วมกันอภปิ รายหาคาตอบเก่ยี วกบั คาถามตามความคดิ เห็นของแตล่ ะคน 2. ขัน้ ส้ารวจและคน้ หา 2.1 ใหผ้ เู้ รยี นศึกษาความหลากหลายของสงิ่ มีชวี ิตจากใบความรู้หรือในหนงั สอื เรยี น โดยครชู ว่ ยอธิบายให้ ผู้เรียนเข้าใจว่า สิง่ มชี วี ติ มวี วิ ัฒนาการแยกออกเปน็ ชนิดต่าง ๆ หลายชนิด ทาใหน้ กั ชวี วิทยาไดจ้ ัดแบง่ ส่งิ มชี วี ติ ออกเปน็ หมวดหมเู่ รยี กว่า อาณาจกั ร โดยใชล้ ักษณะร่วมกันบางอย่างท่ีคล้ายคลึงกนั ของสง่ิ มชี วี ิตน้นั ๆ เป็นเกณฑ์ในการจัดแบง่ และแบง่ ออกได้เปน็ 5 อาณาจักร คือ อาณาจักรโมนรี า อาณาจักรโพรทสิ ตา อาณาจกั รเห็ดราและยีสต์ อาณาจกั รพชื และอาณาจักรสตั ว์ 2.2 แบ่งผูเ้ รียนกลมุ่ ละ 5–6 คน สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกบั ความหลากหลายของสงิ่ มีชวี ิตโดยดาเนนิ การตาม ขนั้ ตอนดงั น้ี - แตล่ ะกลมุ่ วางแผนการสบื คน้ ข้อมลู โดยแบ่งหัวขอ้ ยอ่ ยใหเ้ พือ่ นสมาชกิ ช่วยกันสืบคน้ ตามทสี่ มาชกิ กล่มุ ช่วยกันกาหนดหวั ข้อย่อย เชน่ อาณาจักรโมนรี า อาณาจักรโพรทสิ ตา อาณาจกั รเหด็ ราและยสี ต์ อาณาจักรพืช และอาณาจกั รสตั ว์ - สมาชกิ กลมุ่ แต่ละคนหรอื กลมุ่ ยอ่ ยชว่ ยกนั สบื คน้ ขอ้ มูลตามหวั ขอ้ ย่อยทตี่ นเอง รบั ผดิ ชอบ โดยการ สบื คน้ จากใบความรทู้ ่ีครเู ตรยี มมาให้ หรือจากหนังสือ วารสารวิทยาศาสตร์ สารานุกรมวทิ ยาศาสตร์ สารานกุ รมไทย สาหรบั เยาวชน และอินเทอรเ์ นต็ - สมาชกิ กลุม่ นาขอ้ มลู ทสี่ บื ค้นได้มารายงานใหเ้ พื่อน ๆ สมาชกิ ในกลมุ่ ฟงั รวมท้งั ร่วมกนั อภปิ ราย ซกั ถามจนคาดว่าสมาชิกทกุ คนมีความรคู้ วามเขา้ ใจท่ีตรงกัน โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 10 - สมาชิกกลุม่ ช่วยกนั สรุปความรทู้ ีไ่ ด้ทง้ั หมดเป็นผลงานของกลมุ่ และชว่ ยกนั จดั ทารายงาน การศึกษาคน้ ควา้ เกีย่ วกับความหลากหลายของสงิ่ มีชวี ิต 3. ขัน้ อธิบายและลงข้อสรปุ 3.1 ผเู้ รียนแตล่ ะกลุม่ ส่งตัวแทนกลุม่ นาเสนอผลการปฏบิ ัติกจิ กรรมหนา้ ชน้ั เรียน 3.2 ผู้เรยี นและครูรว่ มกันอภิปรายและหาข้อสรุปจากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ใบงานที่ 1:ความหลากหลาย ทางชีวภาพ โดยใชแ้ นวคาถามตอ่ ไปน้ี - นักชีววิทยาจดั แบ่งสิ่งมีชีวิตออกเปน็ หมวดหมู่เรียกวา่ อะไร (อาณาจักร) - ยกตัวอยา่ งอาณาจกั รของสิ่งมชี วี ิตมา 1 อาณาจักร พรอ้ มอธบิ ายลกั ษณะของอาณาจักรของ สิ่งมีชวี ติ นัน้ ๆ มาพอเข้าใจ (พิจารณาจากคาตอบผู้เรียน แนวคาตอบ อาณาจักรพืช มีลักษณะ คือ มีเนือ้ เยื่อ ประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ ภายในเซลลม์ ีคลอโรฟลิ ล์สาหรับสังเคราะห์อาหารจากแสงอาทติ ย์ เชน่ พืชใบเลี้ยง เด่ยี วและพืชใบเลี้ยงคู่ทั่ว ๆ ไป) 3.3 ผเู้ รียนและครูร่วมกนั สรุปผลจากการปฏบิ ัติกิจกรรม แบบฝึกทักษะที่ 1:ความหลากหลายทางชีวภาพ 4. ขน้ั ขยายความรู้ 4.1 แบง่ ผ้เู รียนเปน็ กลุม่ สบื ค้นข้อมูลเกีย่ วกบั ความหลากหลายของสง่ิ มีชีวิตจาก ใบความรูท้ ี่ 2 :การจัด หมวดหมู่ของสิง่ มีชีวติ หนงั สอื วารสาร สารานกุ รมวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน และอนิ เทอรเ์ นต็ รวมทัง้ นาข้อมูลทีค่ น้ คว้าไดม้ าจดั ทาเปน็ รายงาน หรอื จดั ป้ายนิเทศให้เพ่ือน ๆ ได้ทราบเพ่อื แลกเปล่ยี นเรยี นรกู้ นั 4.2 ผู้เรยี นคน้ ควา้ บทความหรือคาศพั ท์ภาษาตา่ งประเทศเก่ียวกับความหลากหลายของสง่ิ มชี วี ิตจาก หนังสอื เรียนภาษาตา่ งประเทศหรอื อนิ เทอรเ์ นต็ และนาเสนอใหเ้ พ่ือนในห้องฟงั พรอ้ มทงั้ รวบรวมคาศพั ท์และคาแปล ลงสมุดสง่ ครู 5. ข้ันประเมนิ 5.1 ครใู ห้ผู้เรียนแตล่ ะคนพจิ ารณาว่าจากหวั ขอ้ ทีเ่ รียนมาและการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม มจี ุดใดบ้างทย่ี งั ไมเ่ ข้าใจ หรอื ยงั มขี อ้ สงสัย ถา้ มคี รชู ่วยอธิบายเพิม่ เตมิ ใหผ้ เู้ รียนเข้าใจ และปฏบิ ตั กิ จิ กรรมในใบงานที่ 2 :การจัดหมวดหมู่ของ สง่ิ มีชีวติ 5.2 ผเู้ รยี นร่วมกนั ประเมนิ การปฏิบัติกจิ กรรมกลมุ่ วา่ มปี ัญหาหรอื อุปสรรคใด และไดม้ ีการแกไ้ ขอย่างไร บา้ ง 5.3 ผู้เรยี นและครรู ่วมกนั แสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั ประโยชน์ท่ีไดร้ ับจากการปฏบิ ัติกจิ กรรม แบบฝึก ทักษะที่ 2 :การจัดหมวดหมู่ของสงิ่ มีชีวติ และการนาความร้ทู ไ่ี ด้ไปใช้ประโยชน์ 5.4 ครูทดสอบความเขา้ ใจของผู้เรียนโดยการใหต้ อบคาถาม เช่น - นักชวี วิทยาจัดแบ่งสงิ่ มีชวี ิตออกเปน็ กอ่ี าณาจักร อะไรบา้ ง - โพรโทซัว แบคทเี รยี เหด็ รา และยสี ต์ อยู่ในอาณาจักรเดียวกนั หรือไม่ อธิบาย ข้ันสรปุ ครแู ละผเู้ รยี นร่วมกนั สรปุ เก่ียวกบั ความหลากหลายของสง่ิ มชี วี ิต โดยรว่ มกนั เขยี นเปน็ แผนที่ โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 11 ความคดิ หรอื ผงั มโนทศั น์บนผนื ผ้า @ กิจกรรมการเรียนรู้ : คณุ คา่ และการอนรุ กั ษ์ ความหลากหลายทางชวี ภาพ เวลาท่ีใช้ 3 ชวั่ โมง=ชวั่ โมงท่ี 7-10 จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ สบื ค้นขอ้ มลู อภิปราย และนาเสนอเกยี่ วกับคณุ ค่า ประโยชน์ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทเ่ี กดิ จากการใช้ ประโยชนจ์ ากความหลากหลายทางชีวภาพของมนุษยไ์ ด้ ขั้นนา้ เขา้ สบู่ ทเรียน 1. ครใู หผ้ ู้เรียนแตล่ ะคนเขยี นอธบิ ายประสบการณ์เกยี่ วกบั ความหลากหลายทางชวี ภาพในท้องถนิ่ ทผี่ เู้ รยี น อาศยั อยู่จากอดีตจนถงึ ปจั จบุ นั โดยเขียนบรรยายลงในกระดาษ และใหเ้ วลาคนละประมาณ 10 นาที จากนั้นครสู มุ่ ผ้เู รียน 2–3 คน ให้ผ้เู รยี นออกมาเลา่ ประสบการณด์ งั กลา่ วให้เพอ่ื น ๆ ในหอ้ งฟงั แลว้ ครูตัง้ ประเด็นคาถามใหผ้ เู้ รยี น รว่ มกันตอบดงั น้ี - ผู้เรยี นคดิ วา่ ในทอ้ งถิ่นทผ่ี ู้เรยี นอาศัยอยูม่ ีความหลากหลายทางชวี ภาพหรอื ไม่ ผูเ้ รียนดูจากอะไร - ผเู้ รียนไดร้ บั ประโยชน์อะไรบ้างจากความหลากหลายทางชวี ภาพในทอ้ งถิ่น - เมอื่ เวลาผ่านไปความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่นมกี ารเปลยี่ นแปลงหรือไม่ ลกั ษณะใด 2. ผู้เรยี นรว่ มกันตอบคาถามและแสดงความคดิ เห็นเกย่ี วกบั คาตอบของคาถาม เพอ่ื เชอ่ื มโยงไปส่กู ารเรยี นรู้ เรือ่ ง คุณค่าและการอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ขนั้ จัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ จดั กจิ กรรมการเรยี นรูโ้ ดยใช้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ ซงึ่ มขี น้ั ตอนดงั น้ี 1. ขนั้ สร้างความสนใจ 1.1 ครูตงั้ ประเดน็ คาถาม จากน้ันสมุ่ ผเู้ รียน 2–3 คน ให้ผเู้ รียนตอบคาถามต่อไปน้ี - ผ้เู รียนคดิ ว่าแนวโนม้ ของความหลากหลายทางชีวภาพในทอ้ งถ่นิ ทผ่ี เู้ รยี นอาศยั จะเปน็ ไปใน ลักษณะใด - ถ้าผ้เู รยี นอาศยั อยูใ่ นทอ้ งถ่ินทเ่ี ป็นแหล่งทอ่ งเท่ยี วทมี่ ีช่อื เสยี งของประเทศ ผู้เรียนจะมีวธิ กี ารใด ในการร่วมอนรุ ักษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพให้อยใู่ นสภาพสมบรู ณ์ 1.2 ผเู้ รยี นร่วมกนั อภปิ รายหาคาตอบเกย่ี วกบั คาถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน 2. ข้ันส้ารวจและค้นหา 2.1 ให้ผเู้ รยี นศึกษาคณุ ค่าและการอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพจากใบความรู้ท3ี่ :กาเนิดของ ส่งิ มีชีวติ หรือในหนงั สอื เรียน โดยครชู ว่ ยอธบิ ายใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ใจว่า สิ่งมีชีวิตมคี วามสาคญั ตอ่ ระบบนิเวศเน่อื งจาก สิ่งมีชีวติ ทกุ ชนิดตา่ งกต็ อ้ งพง่ึ พาอาศยั กัน ถา้ ระบบนิเวศถกู ทาลายกจ็ ะมผี ลกระทบต่อความหลากหลายของสิ่งมีชีวติ อ่ืน ๆ ด้วย การที่โลกมีความหลากหลายทางชวี ภาพทาใหม้ นษุ ยไ์ ดร้ ับประโยชนต์ ่าง ๆ มากมาย เราจึงต้องรว่ มกันอนรุ กั ษ์ ความหลากหลายทางชวี ภาพใหค้ งอยู่ตอ่ ไปตราบนานเท่านาน 2.2 ครถู ามผ้เู รยี นวา่ รจู้ ักอทุ ยานแห่งชาตใิ ดในประเทศไทยบ้าง และการกาหนดผืนป่าใหเ้ ปน็ อทุ ยาน แหง่ ชาติมีความสาคัญอย่างไรบา้ ง โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 12 อุทยานแห่งชาติเปน็ สถานที่ทรี่ วบรวมสิง่ มชี วี ติ ทมี่ คี วามหลากหลายทางพันธุกรรม การการ กาหนดใหผ้ ืนป่าเป็นอทุ ยานแหง่ ชาติเป็นการปอ้ งกันการทาลายความหลากหลายทางชวี ภาพประการหนึง่ เพราะ มนุษยไ์ มส่ ามารถเขา้ ไปทาลายพชื หรอื สัตว์ในอทุ ยานแห่งชาติได้ ในแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนก็ได้มีการกาหนด อทุ ยานแห่งชาติข้ึนมาเพือ่ รกั ษาความหลากหลายทางชวี ภาพไว้เช่นกนั ตวั อยา่ งของอุทยานแหง่ ชาติในอาเซยี น เช่น - อทุ ยานคินาบาลู ตง้ั อยู่ในรฐั ซาบาห์ทางเหนือสดุ ของเกาะบอรเ์ นยี ว ประเทศมาเลเซยี อุทยาน แหง่ นเี้ ตม็ ไปด้วยพืชพนั ธุ์มากมาย ตง้ั แต่ป่าทบึ ทล่ี มุ่ ต่าเขตรอ้ น ภูเขาที่เปน็ ป่าฝนไปจนถงึ ภูเขาเขตรอ้ น - อทุ ยานปะการังทางทะเลทบุ บาตาฮะ ตั้งอยู่ในประเทศฟลิ ิปปนิ ส์ เปน็ ตวั อย่างของเกาะปะการัง ที่มีพนั ธ์สุ ัตวท์ ะเลหนาแน่นมาก ส่วนพืน้ ทีบ่ นเกาะเลก็ ๆ ทางเหนอื เปน็ ทอี่ ยู่ของนกและเตา่ ทะเล และแนวปะการังใน อทุ ยานแห่งนเี้ ป็นแนวปะการงั เก่าแกท่ ี่ก่อตวั เป็นกาแพงสงู ถึง 100 เมตร 2.3 แบ่งผู้เรียนกลมุ่ ละ 5–6 คน ปฏิบัติกจิ กรรม สบื คน้ ข้อมูลการอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพ ตามขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ โดยใชท้ ักษะการสังเกต ดังน้ี - ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ สบื คน้ ข้อมลู ตา่ ง ๆ เชน่ หนังสือเรียน หนังสืออา้ งองิ หนังสืออา่ นประกอบ หนังสอื พิมพ์ วารสารต่าง ๆ หรอื เว็บไซตท์ างอนิ เทอรเ์ น็ตทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับหัวขอ้ เรอ่ื งต่อไปนี้ และบนั ทกึ ลงสมุด * ความหลากหลายทางชีวภาพ * คณุ คา่ ของความหลากหลายทางชวี ภาพ * การอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ - นาข้อมูลท่ไี ดใ้ นแตล่ ะกลุ่มมาสรปุ และอภิปรายรว่ มกนั ในช้ันเรยี น - จัดนิทรรศการเกย่ี วกบั วิธีการอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพในโรงเรยี นหรือชมุ ชน 2.4 ผเู้ รยี นและครูร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของขอ้ มูลที่ไดจ้ ากกจิ กรรม 3. ข้นั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ 3.1 ผเู้ รียนแตล่ ะกลุ่มส่งตัวแทนกลุ่มนาเสนอผลการปฏิบัตกิ ิจกรรมหน้าชน้ั เรยี น 3.2 ผู้เรยี นและครรู ว่ มกันอภปิ รายและหาขอ้ สรปุ จากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม โดยใช้แนวคาถามตอ่ ไปน้ี - การอนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพจะประสบผลสาเรจ็ ไดน้ ้ัน จะตอ้ งไดร้ ับความรว่ มมอื จากบุคคลใด (1. รัฐบาล 2. เอกชน 3. ประชาชนทัว่ ไป) - ชาวบา้ นกลุ่มหนง่ึ เห็นว่าพน้ื ท่ีป่าทถ่ี กู ทาลายเป็นพน้ื ทวี่ ่างเปลา่ จงึ เข้าไปยดึ พ้นื ที่ดงั กลา่ วเป็นที่ทา กิน ผ้เู รียนคิดว่าการกระทาดังกล่าวขัดแยง้ ต่อแนวทางการอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด (พจิ ารณาจากคาตอบผูเ้ รียน) 3.3 ผเู้ รียนและครรู ว่ มกนั สรปุ ผลจากการปฏิบัตกิ จิ กรรม โดยใหไ้ ด้ข้อสรปุ ว่า ความหลากหลายทาง ชีวภาพมปี ระโยชนต์ ่อมนุษยม์ ากมาย ดงั นั้นเราทุกคนควรตระหนกั และมีจติ สานึกรว่ มกนั ในการอนรุ กั ษค์ วาม หลากหลายทางชวี ภาพใหอ้ ย่คู ู่กับโลกไปตราบนานแสนนาน 4. ข้นั ขยายความรู้ โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 13 4.1 แบ่งผู้เรยี นเปน็ กลมุ่ สบื ค้นข้อมูลเกย่ี วกบั คุณคา่ และการอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพจาก หนังสือวารสาร สารานกุ รมไทยวทิ ยาศาสตร์ สารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน และอนิ เทอรเ์ นต็ รวมทัง้ นาข้อมลู ท่ี คน้ คว้าได้มาจดั ทาเปน็ รายงาน หรอื จดั ปา้ ยนเิ ทศใหเ้ พอ่ื น ๆ ได้ทราบเพ่ือแลกเปลีย่ นเรียนรกู้ ัน 4.2 ผูเ้ รียนคน้ คว้าบทความหรือคาศัพท์ภาษาต่างประเทศเก่ยี วกบั คุณคา่ และการอนรุ ักษ์ความ หลากหลายทางชวี ภาพจากหนงั สอื เรียนภาษาตา่ งประเทศหรืออินเทอร์เนต็ และนาเสนอใหเ้ พือ่ นในห้องฟัง พร้อมทงั้ รวบรวมคาศพั ทแ์ ละคาแปลลงสมุดสง่ ครู 5. ข้นั ประเมิน 5.1 ครใู ห้ผเู้ รียนแต่ละคนพจิ ารณาว่าจากหัวขอ้ ทเ่ี รียนมาและการปฏิบัติกจิ กรรม ใบงานที่ 3 :กาเนิด ของสิ่งมชี ีวิต มีจุดใดบา้ งทย่ี งั ไมเ่ ข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย ถา้ มี ครชู ่วยอธิบายเพม่ิ เตมิ ให้ผเู้ รียนเขา้ ใจ 5.2 ผูเ้ รียนร่วมกนั ประเมนิ การปฏบิ ัตกิ จิ กรรมกลุม่ ว่ามปี ัญหาหรอื อุปสรรคใด และได้มีการดาเนินการ แกไ้ ขอย่างไรบา้ ง 5.3 ผูเ้ รียนและครรู ่วมกันแสดงความคดิ เหน็ เก่ยี วกบั ประโยชนท์ ีไ่ ดร้ ับจากการปฏิบัตกิ จิ กรรม ตาม แบบ ฝึกทักษะที่ 3 :กาเนิดของสิง่ มีชีวิตและการนาความรทู้ ่ีได้ไปใชป้ ระโยชน์ 5.4 ครูทดสอบความเข้าใจของผเู้ รียนโดยการให้ตอบคาถาม เช่น - ความหลากหลายทางชวี ภาพมีคุณคา่ และมคี วามสาคญั ต่อมนุษยใ์ นเร่ืองใด - มนุษยไ์ ดร้ บั ประโยชนจ์ ากความหลากหลายทางชีวภาพในลกั ษณะใด - เราจะอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพใหอ้ ย่กู บั เราไปนาน ๆ ไดโ้ ดยวธิ ใี ด ข้นั สรปุ 1. ครแู ละผู้เรยี นรว่ มกนั สรปุ เก่ียวกบั ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยร่วมกนั เขียนเปน็ แผนทีค่ วามคิดหรอื ผงั มโนทศั น์บนผนื ผ้า 2. ครูดาเนนิ การทดสอบหลงั เรยี น โดยให้ผเู้ รียนทาแบบทดสอบหลงั เรียน : ความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อวัดความกา้ วหน้า/ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 14 9. สื่อการเรยี นการสอน / แหลง่ เรียนรู้ จา้ นวน สภาพการใช้สอื่ 1 ชดุ ขั้นตรวจสอบความรเู้ ดมิ รายการส่อื 1 ชดุ ขน้ั สารวจและค้นหา 1. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น 1 ชุด ขั้นสารวจและคน้ หา 2. ใบความรทู้ ่ี 1 : ความหลากหลายทางชีวภาพ 1 ชุด ขั้นสารวจและคน้ หา 3. ใบความรทู้ ่ี 2 : การจัดหมวดหมขู่ องสงิ่ มีชีวติ 1 ชุด ขน้ั ขยายความรู้ 4. ใบความรูท้ ี่ 3 : กาเนิดของสงิ่ มชี ีวติ 1 ชดุ ขน้ั ขยายความรู้ 5. ใบงานที่ 1 : ความหลากหลายทางชวี ภาพ 1 ชุด ขั้นขยายความรู้ 6. ใบงานท่ี 2 : การจดั หมวดหมู่ของสงิ่ มีชีวติ 1 ชดุ ขน้ั ประเมนิ 7. ใบงานที่ 3 : กาเนิดของสง่ิ มชี ีวิต 1 ชุด ขน้ั ประเมิน 8. แบบฝึกทกั ษะที่ 1 : ความหลากหลายทางชวี ภาพ 1 ชดุ ขน้ั ประเมิน 9. แบบฝึกทกั ษะที่ 2 : การจัดหมวดหมขู่ องสิง่ มีชีวิต 1 ชุด ข้ันสรปุ 10. แบบฝกึ ทักษะที่ 3 : กาเนิดของสง่ิ มีชีวติ 11. แบบทดสอบหลังเรยี น 10. การวัดผลและประเมินผล โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 6 15 เป้าหมาย หลกั ฐานการเรยี นรู้ วธิ วี ดั เคร่อื งมอื วัดฯ ประเดน็ / การเรยี นรู้ ชนิ้ งาน/ภาระงาน เกณฑก์ ารให้ - แบบทดสอนก่อนเรียน ว 1.2 ม. 4–6/3 - ทดสอนก่อนเรียน ทดสอบรายบคุ คล - คะแนน รายบุคคล - แบบประเมินใบงาน สบื ค้นข้อมูลและ - แบบประเมนิ แบบฝึกทกั ษะ ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 50 -รายกลุ่ม 2-3 คน ขน้ึ ไป อภิปรายผลของความ ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 67 หลากหลายทางชีวภาพ - ใบงานท่ี 1-3 ข้นึ ไป ทมี่ ตี อ่ มนษุ ย์และ - แบบฝกึ ทักษะที่ 1-3 สง่ิ แวดล้อม ว 1.2 ม. 4–6/4 อธิบายกระบวนการ - แผนผงั ความคิด คดั เลือกตามธรรมชาติ บนผนื ผา้ และผลของการคดั เลอื ก ตามธรรมชาติตอ่ ความ หลากหลายของ สง่ิ มีชวี ติ ว 2.1 ม. 4–6/3 อธบิ ายความสาคญั ของ ความหลากหลาย ทางชวี ภาพ และ เสนอแนะแนวทาง ในการดูแลรกั ษา 11. การบรู ณาการตามจุดเนน้ ของโรงเรียน :ความหลากหลายทางชวี ภาพ หลักปรชั ญา ครู ผ้เู รยี น โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 16 ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง พอดีด้านเทคโนโลยี พอดีดา้ นจติ ใจ รู้จักใช้เทคโนโลยมี าผลิตสื่อทีเ่ หมาะสม มีจติ สานกึ ทด่ี ี จิตสาธารณะรว่ มอนุรกั ษ์ 1. ความพอประมาณ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องเนื้อหาเป็นประโยชนต์ อ่ 2. ความมีเหตผุ ล ผู้เรียนและพัฒนาจากภมู ปิ ัญญาของผู้เรียน ไม่หยุดนิง่ ทห่ี าหนทางในชีวิต หลุดพ้นจาก 3. มีภูมคิ ุมกนั ในตวั ท่ดี ี - ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง ความทุกข์ยาก (การค้นหาคาตอบเพ่อื ให้ 4. เง่อื นไขความรู้ สุจรติ หลุดพ้นจากความไมร่ ู้) ภมู ิปัญญา : มคี วามรู้ รอบคอบ รับผดิ ชอบ 5. เงื่อนไขคุณธรรม ภมู ิปญั ญา : มคี วามรู้ รอบคอบ และ ระมดั ระวัง ระมัดระวงั สรา้ งสรรค์ ความรอบรู้ เรอื่ ง ความหลาหลายทาง ความรอบรู้ เร่ือง ความหลาหลายทาง ชวี ภาพ สปซั ีสข์ องสงิ้ มชี ีวติ และการอนรุ กั ษ์ ชวี ภาพ สปซั ีส์ของสง้ิ มชี ีวติ และการอนรุ กั ษ์ สามารถนาความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้ ทีเ่ กยี่ วขอ้ งรอบด้าน นาความร้มู าเช่ือมโยง เกิดความเช่ือมโยง สามารถประยุกต์ ประกอบการวางแผน การดาเนินการจดั ใชใ้ นชีวิตประจาวันได้ กิจกรรมการเรียนรู้ใหก้ บั ผเู้ รียน มคี วามตระหนกั ใน คุณธรรม มคี วาม มีความตระหนักใน คณุ ธรรม มคี วาม ซือ่ สัตยส์ ุจริตและมีความอดทน มคี วามเพยี ร ซ่ือสตั ย์สุจริตและมคี วามอดทน มคี วามเพียร ใชส้ ตปิ ัญญาในการดาเนินชวี ติ ใชส้ ติปัญญาในการดาเนินชีวิต สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน ครู ผูเ้ รยี น ความหลากหลายทางชีวภาพ - - ความหลากหลายทางชวี ภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ - ความหลากหลายทางชีวภาพ - สารวจความหลากหลายทางชีวภาพ - สารวจความหลากหลายทางชีวภาพ ในโรงเรยี น (กาหนดจุดใหผ้ ู้เรยี นสารวจ) ในโรงเรยี น (ตามจุดท่ไี ดร้ ับมอบหมาย) สิ่งแวดล้อม ครู ผู้เรียน ความหลากหลายทางชวี ภาพ - ความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางชีวภาพ – การอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทาง - การอนรุ ักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพ – สบื ค้นข้อมลู การอนรุ ักษค์ วามหลากหลาย ชีวภาพ (กาหนดหัวข้อใหผ้ ู้เรียนสบื ค้น) ทางชวี ภาพ (ตามหัวข้อทไ่ี ด้มอบหมาย) ลงชื่อ..................................................ผสู้ อน (นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง) โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 17 เอกสารประกอบการเรียนรู้ แผนการเรยี นรทู้ ่ี 1 ใบความรทู้ ี่ 1 เรื่อง โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 6 18 ความหลากหลายทางชวี ภาพ (Biodiversity) *********************** ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) คอื การมสี ิง่ มชี วี ิตนานาชนิด นานาพันธุ์ในระบบนิเวศอันเป็น แหลง่ ทอ่ี ยอู่ าศยั ซ่งึ มีมากมายและแตกต่างกนั ทว่ั โลกหรืองา่ ยๆคอื การทม่ี ีสิ่งมีชีวิตหลาย ชนิด (Species) หลายสาย พันธุแ์ ละระบบนิเวศ ( Ecosystem) ท่แี ตกตา่ งหลากหลายบนโลก ความหลากหลายทางชวี ภาพเกิดจากการสะสมความแตกตา่ งของสงิ่ มชี วี ิตในระยะเวลานานสามารถพจิ ารณาได้ จากความหลากหลายทางพนั ธุกรรม ความหลากหลายทางสปชี ีสแ์ ละและความหลากหลายของระบบนเิ วศ โดย ความหลากหลายทางพันธุกรรม (Genetic diversity) หมายถึง ความหลากหลายทางพันธุกรรมที่ สิ่งมีชีวิตแต่ละชีวิตได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นพ่อแม่และส่งต่อไปยังรุ่นต่อไปเช่น ลั ก ษ ณ ะ ค ว า ม ห ล า ก ห ล า ย ของลวดลายและสีของ หอยทาก Cepaeanemoralls ความหลากหลายของสีสันของ emerald tree boas Coralluscanius ลักษณะทางพันธุกรรมทไี่ ดร้ บั การถ่ายทอดนน้ั ผ่านทาง ยีน (gene) ทีม่ ีอยูใ่ นสิง่ มีชีวิตแตล่ ะชนิด ซ่ึงส่งผลให้สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันอาจมีลักษณะท่ีคล้ายคลึงกันหรือแตกต่างกันไปตาม ยีน (gene) ท่ีได้รับการ ถ่ายทอดมา ตัวอย่างของความหลากหลายทางพันธุกรรมมีอยู่ทุกครอบครัวของส่ิงมีชีวิต พี่น้องอาจมีสีผม สีผิว และสขี องนยั นต์ าที่แตกตา่ งกนั เปน็ ต้น ภาพที่ 1 ความแปรปรวนของรปู แบบและสสี นั ทพี่ บในหอยชนดิ เดยี วกนั Cepaea nemoralls ท่มี า : Solomon et al , 2002 โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 19 ภาพที่ 2 ความแปรปรวนทางพนั ธกุ รรมทพี่ บใน emerald tree boas Corallus canius ทม่ี า : Solomon et al , 2002 ความหลากหลายทางสปชี สี ์ (Species diversity) หรือความหลากหลายทางชนดิ การเปล่ยี นแปลงมีจดุ เรม่ิ มา จากความหลากหลายทางพนั ธกุ รรม แตเ่ กดิ ขนึ้ สะสมความแตกตา่ งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานหลายชว่ั รนุ่ และผ่าน กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติหรืออาจเกดิ จากการคัดเลือกพันธุ์โดยมนุษย์ทาให้เกิดสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ เช่น กล้วยไม้บางชนิดมีลักษณะ คล้ายกนั แตผ่ สมพนั ธุ์กนั ไม่ไดเ้ นือ่ งจากเปลย่ี นแปลงไปเปน็ คนละชนดิ ความหลากหลายของระบบนเิ วศ (Ecological diversity) ความแตกตา่ งของลักษณะของสิ่งมีชีวิตเป็นผล จากกลไกทางพันธุกรรม ซึ่งการแปรผันที่เกิดขึ้นลักษณะใดที่สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมจะทาให้ ลักษณะดงั กล่าวถูกคัดเลือกให้สืบพันธุ์และดำ รงอยูต่ ่อไป ดังนั้นสภาพแวดล้อมย่อมมีผลต่อทิศทางและการ เปลี่ยนแปลงและแนวโน้มของความหลากหลายของส่ิงมีชีวิต บนโลกสิ่งแวดล้อมท่ีหลากหลายเป็นผลมาจาก ความหลากหลายของ ระบบนิเวศ ในโลกมีระบบนิเวศมากมายหลายชนิด กระจัดกระจายตามภูมิศาสตร์ต่างๆ ระบบ นิเวศแต่ละประเภทจะมชี นดิ ของสงิ่ มชี วี ติ ทพี่ บไม่เหมือนกันทั้งนี้เนื่องจากมปี ัจจยั ทางกายภาพท่ี ส่ิงมีชีวิต ตอ้ งการไมเ่ หมอื นกัน ความหลากหลายทางพันธุกรรม ความหลากหลายของสปีชีส์และความหลากหลายของระบบนิเวศ เป็นองค์ประกอบสาคัญที่ก่อให้เกิดความหลากหลายทางชวี ภาพ ซงึ่ ความหลากหลายทางชีวภาพก่อใหเ้ กิดความ สมดลุ ของโลก โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กล่มุ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 6 20 การศกึ ษาความหลากหลายของสง่ิ มชี วี ติ ส่ิงมีชีวิตที่พบในปัจจุบันเป็นผลมาจากการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในช่วงระยะเวลากว่า 3,500 ลา้ นปี โดยในแต่ละยุคจะมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นใหม่หรือสูญพันธุ์ไปบ้าง บางส่วนก็ทิ้งร่องรอย แสดงให้เห็นถึงความ รุ่งโรจน์ของสปีชีส์น้ัน แต่ส่วนใหญ่สูญหายไปโดยไม่ปรากฏร่องรอย นักธรณีวิทยา (Geologist) และนักบรรพ ชีวิน(Palaeontologist) ได้พยายามสร้างตารางเวลาเพ่ือบันทึกลำดับเหตุการณ์ กำเนิดของสิ่งมีชีวิตต่างๆใน ช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยใช้หลักฐานซากดึกดำบรรพ์ (fossil) ท่ีสามารถคานวณอายุได้ ดังแสดงในตารางธรณี กาล (Geologic time scale) โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุม่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 6 21 แบบฝึกที่ 1 เร่อื ง ความหลากหลายทางชวภาพ ตอนท่ี 1 ให้ผเู้ รยี นศกึ ษาความหมายของความหลากหลายทางชวี ภาพ พจิ ารณาภาพแลว้ จบั คู่ ขอ้ ความที่มคี วามสัมพนั ธก์ นั กบั รปู ภาพ ความหลากหลายทางพันธกุ รรม ความหลากหลายทางสปีชสี ์ ความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความหลากหลายทางชวี ภาพ 1. (ที่มา http://pair36.blogspot.com/2009/12/1_15.html) 2. (ทม่ี า http://schoolworkhelper.net/frogs-species- overview/) โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 6 22 3. (ที่มา http://schoolworkhelper.net/frogs-species-overview/) 4. (ที่มา http://aris.ormansu.gov.tr/index.php?q=en/biodiversity/biodiversity) ตอนที่ 2 ใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษาขอ้ มลู จากตารางธรณกี าลแลว้ ตอบคาถามตอ่ ไปนี้ 1. สง่ิ มชี ีวติ พวกแรกที่เกดิ ขึ้นบนโลก คือสง่ิ มีชวี ติ ใด มีอายกุ ี่ล้านปี --------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------------------------------- โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 23 2. เรมิ่ มีพืชเกิดขน้ึ ในยคุ ใด --------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------------------------------- --------------------------------------------------------------------------------------------- โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 24 3. จากตารางธรณกี าลการสญู พันธ์ขุ องสง่ิ มชี วี ติ จานวนมากเกิดประมาณกีค่ รง้ั และเกดิ ในยุคใดบา้ ง ------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------- 4. สง่ิ มีชวี ติ ทมี่ เี ซลล์ยูคารโิ อตเรม่ิ เกดิ ขน้ึ ในมหายคุ ใดและเกดิ ขึน้ เมื่อใด ------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------ 5. เรมิ่ ปรากฏมนษุ ยใ์ นยคุ ใดและเมอ่ื ประมาณก่ปี ที ่ีผ่านมา ------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------- ------------------------------------------------------------------------------------------------- โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 25 ใบความรทู้ ี่ 3 เรือ่ ง การจดั หมวดหมขู่ องสง่ิ มชี วี ติ **************************** ปจั จุบนั นค้ี าดวา่ มสี ง่ิ มชี วี ิตชนิดตา่ งๆ ที่สามารถจาแนกชนิดได้อยู่ในโลกนี้ถึง 1.4 ล้านชนิด และคาดว่าจะมี จานวนสิ่งมีชีวิตอีกประมาณ 4 - 30 ล้านชนดิ ทย่ี ังไม่ได้รบั การคน้ พบและจัดจำแนก การจัดหมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิตจะ อาศัยลักษณะต่างๆเป็นหลักโดยเปรียบเทียบความเหมือนหรือแตกต่าง ซึ่งความเหมือนของส่ิงมีชีวิตเกิดจากการท่ี สงิ่ มชี วี ิตเหล่านน้ั ผา่ นขบวนการ ทางวิวัฒนาการที่เหมือนกัน ดังน้ันการจัดหมวดหมู่จึงเป็นการบอกว่าสิ่งมีชีวิตแต่ ละกลุ่มมีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตอีกกลุ่มหนึ่งหรือไม่ ลักษณะของสิ่งมีชีวิตท่ีนามาใช้ในการจัดหมวดหมู่ เช่น ลักษณะทาง สัณฐานวิทยา(Morphological Characteristics)นอกจากนี้ยังอาจใช้ลักษณะทางกายวิภาค(anatomy) และสรีรวิทยา(physiology) มาใช้ในการจัดจำแนกส่ิงมชี ีวิตออกเป็นหมวดหมไู่ ด้ การจัดจำ แนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ไม่ใช่เพียงเป็นการบอกช่ือชนิดขอ งสิ่งมีชีวิตเท่าน้ันแต่จะต้อง สามารถบ่งบอกถงึ ลำดับของส่งิ มชี วี ิตและตาแหน่งในการเกิดขึ้นของชนิดในขบวนการวิวัฒนาการได้ด้วย การศึกษาชนิด ความหลากหลายของส่ิงมีชีวิตและความสัมพันธ์ในเชิงวิวัฒนาการระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างๆ เรียกว่า อนุกรมวิธาน Taxonomyหรือ Systematics แต่นักชีววิทยาบางส่วนอาจจะแยกทั้งสองศาสตร์นี้ออกจากกัน โดยถือว่า Taxonomy เปน็ การศึกษาเพ่ือให้คาอธิบายรายละเอียดเก่ียวกับสิ่งมีชีวิตนั้นๆ (Description of Species) ส่วน Systematics เป็น การศึกษาเพื่อจัดกลุ่มของสิ่งมีชีวิตทม่ี ีวิวัฒนาการมา เหมือนกันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ซ่ึงสามารถใช้ในการอธิบาย ความสมั พนั ธ์ของชาตวิ งศ์วานและนามาจัดเป็นประวัตชิ าติพนั ธุ์ (Phylogeny) ของส่งิ มีชีวติ กลมุ่ ต่างๆ ได้ อนุกรมวิธาน(Taxonomy) จะทาการจัดจาแนกส่ิงมีชีวิต (Classification) โดยการจัดลาดับหมวดหมู่ของ สงิ่ มีชวี ติ เรมิ่ จัดเป็นกล่มุ ใหญก่ อ่ น แล้วจึงแบ่งแยกออกเปน็ กลมุ่ ย่อยๆ อีกหลายระดับ โดยพิจารณาจากกลุ่มใหญ่สุด ของส่ิงมีชีวิต คือ อาณาจักร(Kingdom) กลุ่มย่อยรองลงมา สาหรับสัตว์เรียกไฟลัม (Phylum) สาหรับพืชในอดีต เรียก ดิวิชัน(Division)ปจั จุบันใช้ไฟลมั เช่นเดียวกบั สัตว์ ในไฟลมั หนง่ึ ๆแยกออกเป็นคลาส หลาย คลาส(Class)หรือชั้น ในแต่ละคลาสแยกออกเป็นหลายออร์เดอร์(Order)หรืออันดับ แต่ละออร์เดอร์แยกออกเป็นหลาย แฟมิลี (Family)หรือวงศ์ ในแตล่ ะแฟมิลียังแยกออกเป็น จีนัส (Genus)หรือสกุล แต่ละจีนัสแบ่งย่อยออกเป็นหลาย สปีชีส์ (species)หรือชนิด โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 26 อาณาจักร (Kingdom) ดิวชิ ัน (Division)หรือไฟลัม (Phylum) คลาสหรือชนั้ (Class) ออร์เดอรห์ รอื อนั ดบั (Order) แฟมิลี่หรือวงศ์ (Family) จีนัสหรือสกุล (Genus) สปชี ีส์หรือชนดิ (species) ในระหว่างกลุ่มอาจมีกลุ่มย่อยอีก เช่น Sub Kingdom, Sub division เป็นต้น พืชแต่ละชนิด อาจมีลักษณะต่างกัน เล็กนอ้ ย เรยี กวา่ พันธ์ุ สิง่ มชี วี ติ ท่ีจดั อยใู่ นสปีชสี ์ เดียวกนั ต้องมีความสัมพนั ธใ์ กลช้ ิดกนั ทางบรรพบรุ ษุ สามารถสืบพนั ธ์ุกนั ได้ ลูกทไี่ ด้จะต้องไมเ่ ปน็ หมนั ตวั อยา่ งการจะเรยี กมนุษยส์ ายพนั ธุ์ปจั จบุ ันโดยใชห้ ลกั อนุกรมวิธาน จะเรยี กไดด้ งั นี้ Kingdom Animalia Phylum Chordata Subphylum Vertebrate Class Mammalia Subclass Theria Order Primates Family Hominidae Genus Homo Species Homo sapiens โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 27 ชอื่ ของสง่ิ มชี วี ติ ช่อื ของส่งิ มชี ีวติ โดยปกตแิ ลว้ การเรยี กช่อื ของสิ่งมีชวี ิต มีดงั นี้ คือ 1. ชอื่ พนื้ เมอื ง (Local name) เรยี กตามทอ้ งถ่ิน 2. ชือ่ สามัญ (Common name) คือชื่อท่ีเรยี กกนั ทั่วๆ ไป อาจเรียกตามลกั ษณะรูปรา่ ง ถน่ิ กาเนดิ หรือ สถานทอ่ี ย่กู ็ไดเ้ ช่น ปากกาทะเล หอยมุก เป็นตน้ ซึ่งช่ือดงั กลา่ วอาจเรียกต่างกัน ในแต่ละท่ที าใหเ้ กดิ ความเข้าใจผดิ ได้ 3. ชื่อวิทยาศาสตร์(Scientific name) คาโรลสั ลนิ เนยี ส (Carolus Linnaeus)นกั พฤกษศาสตร์ชาวสวเี ดน ผู้ท่ไี ด้รับการยกย่องว่าเปน็ บิดาแห่งอนุกรมวธิ านเปน็ คนกาหนดช่อื วทิ ยาศาสตรข์ องส่ิงมชี วี ิตโดยใช้ ระบบ ทวนิ าม (Binomail Nomenclature) ประกอบดว้ ยสอง ส่วนหลกั และอกี หน่ึงสว่ นรอง คือ สว่ นแรกเป็น สว่ นของ ชือ่ สกุล (Generic Name) สว่ นที่สองเป็นชอ่ื ที่ ระบุสปชี ีส(์ Specific Epithet) ทง้ั สองส่วนต้อง ทาใหเ้ ปน็ คาในภาษาลาตินเสมอ ช่อื จีนัสตัวแรกเขียนด้วยอักษรตัวพมิ พใ์ หญเ่ สมอ ตัวแรกของสปชี ีสเ์ ป็น ชื่อตัวพมิ พเ์ ล็กธรรมดา ตอ้ งเขียนใหต้ ่างจากอกั ษรอื่นการพมิ พ์หรอื เขียนชอื่ วทิ ยาศาสตรจ์ ะต้องขีดเสน้ ใต้ หรือพมิ พ์หรอื เขยี นเปน็ ตวั เอนไมต่ ้องขีดเส้นใต้ ทั้ง 2 ชื่อไมต่ ดิ กันหรืออาจมีสว่ นท่สี ามก็คอื ช่ือผตู้ ้ังหรอื ผูค้ นพบส่งิ มีชีวติ ชนดิ นน้ั เรยี กระบบนว้ี ่า การตั้งชื่อแบบทวนิ าม (Binomial Nomenclature) ตวั อย่างเชน่ ชื่อวิทยาศาสตรข์ องถ่ัวลนั เตา คอื Pisum sativum L. Genus คอื Pisum Species คอื sativum ผูต้ ้งั ชอื่ คอื L. ย่อมาจาก Linn. หรอื Carolus Linnaeus การระบุชนิดของสง่ิ มีชีวติ สง่ิ มชี วี ิตมคี วามหลากหลายแตกต่างกันนกั วิทยาศาสตร์มเี ครอื่ งมือที่ใช้ในการระบุชนิดของสิ่งมีชีวิต คือ ไดโคโตมัสคีย์ (Dichotomous) คอื เคร่ืองมือในการแบ่งกลุ่มย่อยส่งิ มีชีวติ โดยเปรียบเทยี บความแตกต่างทีละคู่ ของโครงสร้างลกั ษณะหนึ่ง หรือหลายลักษณะ การแบ่งสิ่งมีชีวิตทีละ 2 กลุ่มทำให้พิจารณาได้ง่าย ไม่สับสน และส่ิงมีชีวติ แต่ละกลุม่ จะมไี ดโคโตมสั คยี ์ทเ่ี หมาะสมเฉพาะ ใชแ้ ยกกลมุ่ ยอ่ ยของสิ่งมีชวี ติ นัน้ ชนดิ ของ ไดโคโตมัสคีย์ ( Dichotomous Key) คู่มอื วิเคราะห์เป็นเพยี งเครอ่ื งมอื ทส่ี ร้างข้ึนเพอื่ ช่วยใน การตรวจสอบชนิดและชือ่ วิทยาศาสตรโ์ ดยใชล้ ักษณะสาคญั เชน่ นิสัย ถิ่นทอ่ี ย่แู ละโครงสรา้ งทางสัณฐานวทิ ยาตา่ งๆ มาเขยี นเปรยี บเทยี บกนั เป็นคๆู่ โดยไม่มีคาบรรยายลักษณะเช่น แบบคขู่ นาน (Bracketed Key) การนำ เอาลักษณะที่แตกตา่ งตรงขา้ มกันอยา่ งเด่นชดั มาเปรียบเทยี บกนั เปน็ คๆู่ จึงมลี กั ษณะเปน็ 2 หวั ข้อและมหี มายเลขกำกบั (นยิ มใช้ใชใ้ นงานทางดา้ นสัตววทิ ยา) ข้อดคี ือพิมพง์ า่ ย อา่ น งา่ ย เพราะนาลกั ษณะทแ่ี ตกตา่ ง ตรงขา้ ม โครงสร้าง เดียวกนั มาวางพิมพเ์ รยี งเข้าคู่ เปรยี บเทยี บกัน หมายเลขที่อยู่ ทา้ ยสุดของเสน้ ปะ เปน็ เลขบอกให้ตดิ ตามพจิ ารณาในคตู่ ่อไปซง่ึ มหี มายเลขอย่ดู า้ นหนา้ เป็นเลขเดยี วกัน โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 28 แบบสรุปความ (Synoptical Key) เป็นการอธบิ ายลักษณะต่างๆอย่างละเอียดแต่ เขียนเป็นหัวขอ้ แตล่ ะขอ้ ยาวหลายบรรทดั (ปจั จบุ นั ไมค่ อ่ ยนิยมใช้) แบบเยอื้ งเขา้ ขา้ งใน (Indented Keyหรือ Yoked Key) เป็นการนำเอาลกั ษณะทแ่ี ตกต่างตรงขา้ มกัน อย่างเด่นชัดมาเปรียบเทยี บกันเป็นคู่ๆเช่นเดียวกับแบบคู่ขนาน แต่จะพิมพ์เย้ืองเข้าขา้ งในของลักษณะที่ แตกตา่ งกันแตล่ ะคู่ คู่ทีต่ ่างกนั จะเรยี งอย่ใู นตำแหนง่ ตรงกัน และใชอ้ กั ษรหรอื หมายเลขกากับตัวเดยี วกันเป็น แบบซง่ึ นยิ มใชใ้ นทางพฤษศาสตร์ การใชร้ ปู วิธาน (Dichotomous Key) เมอ่ื ไดต้ วั อยา่ งสง่ิ มชี วี ิตที่ไมร่ จู้ กั ช่ือนามาตรวจสอบหาชื่อตอ้ งเลือกใช้ รปู วธิ านให้ตรงกับจดุ ประสงค์ เลอื กรูปวิธานที่เกยี่ วขอ้ ง จากนั้นจึงนาไปตรวจสอบกับรูปวิธานเม่ือได้ชื่อของส่ิงมีชีวิต แล้ว ควรอา่ นคำบรรยายลักษณะน้นั ๆเพื่อตรวจสอบความถูกตอ้ ง การสรา้ งรูปวธิ าน เมอื่ มีตวั อย่างสงิ่ มีชวี ติ และมีความประสงคจ์ ะสรา้ งรปู วิธานใหป้ ฏบิ ัตติ ามขนั้ ตอนตอ่ ไปน้ี 1. นาส่ิงมชี วี ติ เหลา่ นั้นมาศกึ ษาลกั ษณะตา่ งๆ 2. สร้างตารางเปรียบเทยี บสง่ิ มชี ีวิตกับลักษณะของสง่ิ มีชวี ติ 3. เขียนรปู วธิ านนยิ มแบง่ ลกั ษณะออกเป็นค่ซู งึ่ จะทาใหส้ งิ่ มชี วี ิตออกเป็นสองกลมุ่ 4. เลือกลกั ษณะท่แี บ่งสง่ิ มีชวี ติ ออกเป็นสองกลุม่ นามาเขียนรูปวิธาน เช่น ลักษณะนิสัย ถิ่นท่ีอยู่ ลักษณะ โครงสรา้ งทส่ี งั เกตไดช้ ดั เจน โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 29 แบบฝกึ ที่ 2 : ความหลากหลายของสงิ่ ชวี ติ ตอนท่ี 1 ให้ผเู้ รยี นสบื คน้ ชือ่ วทิ ยาศาสตรข์ องส่งิ มีชีวติ ทรี่ ะบุใหต้ อ่ ไปนี้ เขียนให้ถูกตอ้ ง พรอ้ มท้งั แยก สว่ นประกอบทง้ั 3 สว่ นของชือ่ วทิ ยาศาสตร์ ช่อื สามญั ชื่อวทิ ยาศาสตร์ จนี ัส สปีชสี ์ ผตู้ ง้ั ชอื่ กระเจ๊ยี บแดง ฝรงั่ ขมิน้ กระเทียม ตะขบฝรัง่ . หางนกยงู ไทย มะพร้าว มะขาม ตอนท่ี 2 : 1. ให้ผเู้ รยี นศกึ ษาตวั อยา่ งการสรา้ งไดโคโตมสั คยี ใ์ นการจาแนกแมลงตอ่ ไปนี้ 2. ใหล้ งมอื สร้างไดโคโตมสั คียข์ องสงิ่ มีชวี ิตท่ีกำหนดให้ แมงปอ แมลงทบั (ท่ีมา http://pantip.com/topic/30619053 (ท่ีมา http://www.biogang.net [2558,กรกฎาคม 12]) [2558 ,กรกฎาคม 12]) โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 30 ผีเส้อื ด้วง (ที่มา:https://myfreezer.wordpress.com (ทีม่ า:http://pailampang.blogspot.com [2558 ,กรกฎาคม 12]) [2558 ,กรกฎาคม 12]) แมลงเต่าทอง จ้ิงหรดี (ที่มา:http://www.newmana.com (ทีม่ า http://www.biogang.net [2558 ,กรกฎาคม 12]) [2558 ,กรกฎาคม 12]) ขนั้ ตอนที่ 1 ศกึ ษาลกั ษณะของแมลงแตล่ ะชนดิ แมลงปอ คือ แมลงท่ีมีตัวอ่อนอาศัยอยู่ในน้า ตัวเต็มวัยมีชีวิตอยู่บนบกมีปีกบินได้ แมลงปอมีการ เจริญเติบโตแบบเปน็ ข้ันตอนประเภทไมส่ มบูรณแ์ บบ คอื มรี ะยะไข่ ตัวออ่ น และตัวเต็มวัย ไม่มีระยะดักแด้ โดยระยะ ไข่และตวั อ่อนมีชวี ติ อยู่ในนา้ ตัวอ่อนที่อย่ใู นน้ามรี ปู ร่างแตกตา่ งจากตัวเตม็ วยั มาก เมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว จะลอกคราบครัง้ สดุ ทา้ ย กลายเปน็ ตัวเต็มวัยทมี่ ีปีกและจะใชช้ วี ิตบนบกไดตอ่ ไป อา้ งอิงจาก วกิ ิพเี ดยี ,แมลงปอ,กรกฎาคม 2558,จาก https://th.wikipedia.org/wiki โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 31 แมลงทบั เปน็ แมลงในอันดับแมลงปีกแขง็ (Coleoptera) แมลงทบั มรี ปู ร่างโดยรวม คอื มีลาตวั ยาวโคง้ นนู สว่ นท่ีเปน็ ปีกแข็งมีความแขง็ มาก หวั มีขนาดเล็กซ่อนอยู่ใต้อกปล้องแรกซึ่งโค้งมนเรียวไปทางหัวเช่ือมกับอกปล้อง กลางซ่ึงกว้างกว่าส่วนอ่ืนๆ ท้องมนเรียวไปทางปลายหาง ปีกแข็งหุ้มส่วนท้องจนหมด มีหนวดท่ีเป็นแบบใบไม้ มี ลักษณะเด่น คือ มีสีสันทสี่ วยงามมากหลายชนิด หลายสกุลมีสเี งางามแวววาวราวกับอัญมณีหลายชนิดเป็นสที ี่ หลากหลาย ทง้ั นา้ เงนิ , แดง , ดาและเหลือง จึงทำใหแ้ มลงทับถูกมนุษย์จับนามาใชท้ าเป็นเครื่องประดับต่าง ๆมา นานแลว้ ในหลายชนชาติ แมลงทบั เมอื่ ขยายพันธุ์จะเจาะเขา้ ไปวางไขใ่ นต้นไม้หรือวางไข่ไว้ในดินใกล้รากของไม้ทตี่ ัว หนอนจะกินเปน็ อาหาร จึงนับเปน็ แมลงศัตรูพืชอีกจาพวกหน่ึงซ่ึงแมลงทับใช้เวลาในการเป็นไข-่ ตัวหนอน - ดักแด้ ราว 1 ปี เหมอื นเชน่ แมงคมี หรอื ด้วงกวา่ ง อนั เปน็ แมลงปกี แขง็ แตกต่างวงศก์ นั แมลงทับนบั เป็นแมลงปีกแข็งที่บินได้ เรว็ และสูงมากและเม่ือถกู รบกวนจะมีพฤติกรรมแกลง้ ตาย โดยจะอยเู่ ฉยๆ หรือหลน่ จากต้นไม้ทเ่ี กาะอยูเ่ พ่ือลวงศตั รู ให้เข้าใจผิดวา่ ตายแลว้ อา้ งองิ จาก วิกิพีเดยี ,แมลงทบั ,กรกฎาคม 2558,จาก https://th.wikipedia.org/wiki ผเี สอื้ มปี ีกเป็นแผ่นบางสองคู่ ลาตัว ปกี และขาปกคลมุ ดว้ ยเกล็ดขนาดเลก็ มากคลา้ ยฝนุ่ เมือ่ มองด้วยตา เปล่า เกล็ดเหลา่ นท้ี ำใหเ้ กดิ สีต่าง ๆ กัน ปากเปน็ งวงยาวมว้ นเข้าอยใู่ ตห้ วั ได้ มีทั้งชนิดหากนิ ในเวลากลางวนั เรยี ก ผเี สื้อกลางวัน และชนดิ หากนิ ในเวลากลางคืน เรยี ก ผีเสือ้ กลางคนื มีวงชวี ติ เรมิ่ แรกตงั้ แต่ระยะไข่ ระยะหนอน ระยะ ดกั แด้ ตราบจนระยะการเปล่ียนสัณฐานเข้าสรู่ ะยะการโตเตม็ วยั ทม่ี ปี กี หลากสตี ้องตาผคู้ น ในทางกีฏวทิ ยาการจดั จาแนกแมลงกลมุ่ น้ี โดยการใชเ้ สน้ ปกี ในการจดั จาแนก อา้ งองิ จาก วกิ ิพีเดยี ,ผีเสือ้ ,กรกฎาคม 2558,จาก https://th.wikipedia.org/wiki ด้วงหรือแมลงปีกแข็ง มีลักษณะเดน่ โดยรวม คือ ในวัยเตม็ ตัวจะมปี ีก 2 คู่ โดยปีกคู่หน้าเป็นปีกท่ีมีความ แข็งเท่ากันหรอื เกือบเทา่ กนั ตลอดทัง้ แผ่น สว่ นปีกค่หู ลังเป็นแผ่นปกี ใหญ่ค่อนข้างโปร่งแสง เมื่อเวลาเกาะอยปู่ ีกคู่ หลังจะพับซอ้ นกันอยา่ งมีระเบียบและซ่อนอยู่ภายใต้ปีกคู่หนา้ อย่างมดิ ชดิ และเมื่อตอ้ งการบิน ปีกคู่หลังน้ีจะกาง ออก โดยการเปดิ กางออกของปีกคู่หนา้ ข้ึนก่อนทจี่ ะเหยียดกางปกี คหู่ ลังนี้ออกมาบนิ อยา่ งรวดเรว็ ปีกคหู่ นา้ จงึ ทา หน้าทเ่ี สมือนเกราะปอ้ งกนั ตัวและปีกคูห่ ลงั ในขณะที่บินปกี คู่หนา้ นีจ้ ะไม่ช่วยในการบินแตจ่ ะช่วยในการทรงตัว สว่ นหวั มีตารวม 1 คู่ มสี ว่ นน้อยเทา่ นนั้ ท่ีมีตาเดี่ยว 1-2 ตาดว้ ย มหี นวด ส่วนของปากประกอบไปดว้ ย สว่ นต่าง ๆ แต่สว่ นท่ีแขง็ และมพี ละกาลงั มากทส่ี ุด คอื กรามปาก นอกจากนแ้ี ลว้ ยังมสี ่วนของริมฝปี ากบน รมิ ฝีปากล่างชว่ ยในการสง่ ผา่ นอาหารเข้าปาก ส่วนอก สว่ นอกของดว้ งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ปล้อง คือ อกปล้องแรก ซึ่งมีขนาดใหญ่อยู่ติดกับ ส่วนหวั เปน็ ส่วนอกปลอ้ งเดียวท่สี ามารถมองเห็นได้จากด้านบน ซ่ึงอกส่วนนี้อาจดูคล้ายส่วนหัวมาก แต่หาก สังเกตใหด้ จี ะเหน็ รอยตอ่ ของสว่ นหวั กบั อกปลอ้ งแรกน้ีแยกจากกนั ชดั เจน , อกปลอ้ งสองและป้องสาม มักถูกปีก แข็งปิดคลุมดา้ นบนไว้ ส่วนของอกปลอ้ งทงั้ 3 มีขาตดิ อยู่กับปลอ้ งละ 1 คู่ อกปล้องกลางหรืออกปลอ้ งท่ีสอง มี ปีกแข็งหรอื ปกี คู่หนา้ ตดิ อยู่ โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 32 สว่ นท้อง โดยปกตแิ ลว้ จะมี 7 ปลอ้ ง แตบ่ างชนิดกม็ ี 8 ปลอ้ ง ปล้องทอ้ งแต่ละปล้องมแี ผ่นแขง็ แต่ ละแผ่นคลุมไว้ท้งั ดา้ นบน และด้านลา่ ง สว่ นของท้องมักถูกปีกแข็งคู่หน้าคลุมไวจ้ นมิด แต่บางครั้งก็มีส่วน ปลายสดุ โผลย่ ืน่ ออกมา อ้างองิ จาก วกิ ิพเี ดยี ,ด้วง,กรกฎาคม 2558,จาก https://th.wikipedia.org/wiki แมลงเต่าทอง มชี ่วงการเจรญิ เติบโตครบท้งั 4 ระยะ คอื ระยะตัวเต็มวยั ระยะไข่ ระยะตวั อ่อนและระยะ ดักแด้ ตัวเต็มวยั หลังจากฟักออกจากดักแด้จะเปน็ แมลงปีกแขง็ ลาตัวยาว 3-6 มลิ ลิเมตร ลาตัวมีลักษณะมันวาว มีหลายสีตามชนดิ อาทิ สีน้าตาลแดง สีแดง สีเหลอื งปนน้าตาลแดงและสีเหลืองเป็นตน้ ส่วนหวั และอกมีขนาดเลก็ มากเม่ือเทยี บกับสว่ นทอ้ ง ปกี แต่ละข้างมลี ายหยกั ขวาง 2 เส้น โดยส่วนปีกอาจมไี ดห้ ลายสี แต่ทกุ ชนิดจะมจี ุดสีดา แต้มตดิ บนส่วนปกี จุดน้ีอาจมี 4 จุดหรอื มากกว่า และมกั พบจุดแต้มสีดาที่แต้มเช่ือมกันบรเิ วณกึ่งกลางโคนปีกที่ เชือ่ มตดิ กับส่วนอก บางชนดิ อาจมีหนวดแต่บางชนดิ ไม่มีหนวด อาจมีขนปกคลุม และอาจไม่ มีขนปกคลุมขามี 6 ขา สดี า ขาคแู่ รกอยูท่ ส่ี ว่ นอก สว่ นขาอีก 2 คู่ อยทู่ ี่ตอนตน้ ตดิ กบั สว่ นอก 1 คู่และตอนกลางของส่วนท้อง 1 คู่ ขา มลี ักษณะเปน็ ปล้องตอ่ กัน 3 ปลอ้ ง แบ่งเปน็ โคนขา ขาและเทา้ ท่เี ป็นปลอ้ งสดุ ทา้ ย มีระยะตวั เตม็ วยั ประมาณ 55- 92 วนั มีวงจรชีวติ ประมาณ 71-117 วัน อา้ งองิ จาก ปสสุ ตั ว.์คอม,แมลงเตา่ ทองและแมลงเตา่ ลาย,กรกฎาคม 2558,จาก http://pasusat.com/ จงิ้ หรีด เป็นแมลงที่มีลาตวั ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ขาคู่หลังส่วนต้นมีขยายใหญ่และแขง็ แรง ใช้สาหรับ กระโดด ขาคู่หน้ามีขนาดเลก็ กว่าขาคู่หลงั มาก ใชส้ าหรบั เดินและเข่ยี อาหาร มีหนวดยาว 2 เสน้ ขนาดเทา่ เสน้ ผม คนเรา ความยาวหนวดประมาณ 3-5 ซม. และมากกว่าลาตวั หนวดมีหน้าที่รบั ความรูส้ กึ และรับกล่ินอาหาร มี ปากเป็นแบบกดั กิน ปีกขวาทับปกี ซา้ ย ปีกคู่ หน้าปกคลมุ ด้วยฟิล์มบางๆการทาเสียงเสียงจิ้งหรีดเกิดจากการใช้ ขอบปีกคู่หนา้ ถูเสียดสีกันจน ทำใหเ้ กิดเสียง เสียงท่ีทาขึ้นใช้เพ่ือการสื่อสารและช่วยดึงดูดเพศตรงข้ามเพ่ือหา คู่ผสมพันธ์ุ อา้ งองิ จาก ปสุสตั ว.์ คอม,จิง้ หรีดและการเลีย้ งจิง้ หรีด,กรกฎาคม 2558,จาก http://pasusat.com/ โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 33 ขัน้ ที่ 2 สร้างแผนผังพจิ ารณาความแตกตา่ งของแมลงออกเป็นรายคู่ ขัน้ ที่ 3 การนาเอาลักษณะทีแ่ ตกต่างตรงขา้ มกนั อย่างเดน่ ชัดมาเปรียบเทยี บกนั เปน็ คๆู่ จงึ มี ลักษณะเป็น 2 ใน 1 หัวข้อและมีหมายเลขกากับ 1. ก) แมลงปีกแขง็ ดูขอ้ 2 ข) แมลงปกี ออ่ น ดูข้อ 3 ดขู อ้ 4 2. ก) ขนาดตวั ยาวมากกวา่ 1 cm แมลงเตา่ ทอง ข) ตวั ขนาดเลก็ ยาวไมเ่ กนิ 1 cm ผีเสื้อ 3. ก) ปากเป็นงวงยาวม้วนเขา้ ข) ปากแบบกดั ดูขอ้ 5 4. ก) ปีกสเี ขียวอมนา้ เงนิ แมลงทบั ดว้ ง ข) ปกี มสี ีนา้ ตาลเขม้ จ้ิงหรดี 5. ก) ปกี สามารถทาใหเ้ กดิ เสยี งได้ แมลงปอ ข) ปกี แผอ่ อกและโปรง่ แสง โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 6 34 ขนั้ ที่ 4 อธบิ ายลักษณะของแมลงแต่ละชนดิ ทีไ่ ด้จากการจัดจาแนก แมลงเต่าทองเป็นแมลงปกี แขง็ ลาตัวขนาดเลก็ ยาวไมเ่ กนิ 1 เซนตเิ มตร ผีเสื้อเปน็ แมลงปกี ออ่ น ปากเปน็ งวงมว้ นเข้า แมลงทับ เป็นแมลงปกี แขง็ ขนาดตวั ยาวมากกว่า 1 เซนติเมตร มีปกี สเี ขยี วอมน้าเงนิ แวววาว ดว้ ง เปน็ แมลงปีกแขง็ ขนาดตวั ยาวมากกว่า 1 เซนตเิ มตร มีปีกสนี า้ ตาลเข้ม จ้ิงหรดี เป็นแมลงปีกอ่อนปากแบบกดั มีปีกท่ีสามารถทาใหเ้ กดิ เสยี งได้ แมลงปอ เปน็ แมลงปีกอ่อน ปากแบบกัด มีปีกทีแ่ ผอ่ อกและโปรง่ แสง 2. ให้ผเู้ รียนสร้างไดโคโตมสั คยี ์ สง่ิ มชี วี ิตที่กาหนดให้ตอ่ ไปนี้ ดอกราชพฤกษ์ ดอกกลว้ ยไมแ้ วนดา้ (ทีม่ า: http://schoolweb.eduzones.com (ทมี่ า:https://sites.google.com/ [2558 ,กรกฎาคม 14]) [2558 ,กรกฎาคม 14]) ดอกซมิ ปอร์ ดอกลาดวน (ทม่ี า: http://mcot-web.mcot.net (ที่มา:http://www.nanagarden.com [2558 ,กรกฎาคม 14]) [2558 ,กรกฎาคม 14]) โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 35 ดอกกลว้ ยไมร้ าตรี ดอกบวั (ท่มี า: http://mablambit001.blogspot.com (ท่มี า: http://topicstock.pantip.com [2558 ,กรกฎาคม 14]) [2558 ,กรกฎาคม 14]) ดอกจาปา ดอกชบา (ทม่ี า: http://www.pakping.com (ทีม่ า: http://wallpaper.thaiware.com [2558 ,กรกฎาคม 14]) [2558 ,กรกฎาคม 14]) โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 36 ดอกพดุ แกว้ ดอกประดู่ (ท่มี า: http://rspg.dusit.ac.th (ทม่ี า: http://www.zabzaa.com [2558,กรกฎาคม 14]) [2558,กรกฎาคม 14]) ขัน้ ตอนที่ 1 สืบคน้ ลักษณะของดอกไมแ้ ต่ละชนดิ ดอกราชพฤกษ์ ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- อา้ งองิ จาก ----------------------------------------------------------------------------------------------- โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 37 ดอกกลว้ ยไม้แวนด้า ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างองิ จาก ----------------------------------------------------------------------------------------------- ดอกซมิ ปอร์ ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างองิ จาก ----------------------------------------------------------------------------------------------- ดอกลาดวน โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 38 ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- อา้ งองิ จาก ----------------------------------------------------------------------------------------------- ดอกกลว้ ยไม้ราตรี ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างองิ จาก ----------------------------------------------------------------------------------------------- ดอกบัว โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 39 ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างอิงจาก ----------------------------------------------------------------------------------------------- ดอกจาปา ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- อา้ งองิ จาก ----------------------------------------------------------------------------------------------- ดอกชบา โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 6 40 ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างองิ จาก ----------------------------------------------------------------------------------------------- โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 41 ดอกพุดแกว้ ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- อา้ งองิ จาก ----------------------------------------------------------------------------------------------- ดอกประดู่ ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- อ้างองิ จาก ----------------------------------------------------------------------------------------------- โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 42 ขนั้ ที่ 2 สรา้ งแผนผงั พจิ ารณาความแตกตา่ งของดอกไม้แตล่ ะชนดิ ออกเปน็ รายคู่ ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 6 43 ขนั้ ที่ 3 การนาเอาลกั ษณะที่แตกต่างตรงข้ามกันอย่างเดน่ ชดั มาเปรียบเทยี บกนั เปน็ คๆู่ จึงมี ลักษณะเปน็ 2 ใน 1 หวั ขอ้ และมหี มายเลขกากบั -------------------------------------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------------------------------------- -------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- ----------------------------------------------------------------------------------------------- โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 44 ขั้นท่ี 4 อธบิ ายลกั ษณะของดอกไมแ้ ตล่ ะชนิดทีไ่ ดจ้ ากการจดั จำแนก ดอกราชพฤกษ…์ ………………………………….……………………………………………………………………………………………………. ดอกกล้วยไมแ้ วนด้า………………………………………………………………………………………………………………………..…. ดอกซมิ ปอร…์ ………………………………………………………………………………………………………………………………….………... ดอกลาดวน………………………………………………………………………………………………………………………………….……… ดอกกล้วยไมร้ าตร…ี …………………………….………………………………………………………………………..…………….…… ดอกบวั ………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ดอกจาปา…………………………………………………………………………………………………………….…………..……….….. ดอกชบา………………………………………………………………………………………………………………………..……………….…. ดอกพดุ แกว้ …………………………………………………………………………………………………………………………..………. ดอกประด…ู่ ………………………………………………………………………………….……………………………..…..…………….. โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 6 45 ใบความรูท้ ี่ 3 เร่อื ง กาเนดิ ของชวี ติ สงิ่ มชี วี ิตเกิดขึน้ มาได้อยา่ งไรไมม่ นี กั วิทยาศาสตรท์ า่ นใดสามารถพสิ ูจน์ ไดอ้ ย่างชัดเจนมีเพยี งสมมตฐิ าน เกย่ี วกบั การกาเนดิ ของสง่ิ มชี วี ติ เทา่ นน้ั ซง่ึ นกั วทิ ยาศาสตรใ์ นอดีตหลายทา่ น ตง้ั สมมตฐิ านเพอื่ อธิบายถงึ กาเนิดของ สงิ่ มีชวี ติ ชนดิ แรกบนโลก สงิ่ มชี วี ติ มีกาเนิดมาบนโลกนเ้ี ม่อื ไรและเกดิ ขึ้นไดอ้ ย่างไร เป็นความอยากรู้ของมนุษย์มานานแล้ว ในสมัย โบราณ มคี วามเชือ่ ว่าส่งิ มชี ีวิตมีกาเนิดมาจากพระเจ้าสร้างขึ้น บ้างก็เช่ือว่า ชีวิตเกิดข้ึนเองโดยธรรมชาติ แล้ว เปล่ียนแปลงมาเปน็ ส่ิงมีชีวิตตาม ทฤษฎีการเกิดเองโดย ธรรมชาติ (Spontaneous Theory) ซึ่งมีนักปราชญ์ สมัยก่อนๆ สนบั สนนุ แนวคิดนี้ เช่น ทาเลส (Thales) อนาซแิ มนเดอร์ (Anaximader) หรือ Aristotle เปน็ ต้น ในยุคสมยั ตอ่ มา ความรู้และวทิ ยากรตา่ ง ๆ เจริญมากข้นึ ความคดิ เห็นเกี่ยวกบั กาเนิดของสง่ิ มชี ีวิตเรมิ่ เปลีย่ นแปลงไปและขัดแยง้ กบั ความคดิ เดมิ อยบู่ ้างเชน่ ฟรานเซลโก เรดิ (Francisco Redi) หลุย ปลาสเตอร์ (Louise Pasteur) ไดท้ ดลองโดยออกแบบและสรา้ งเคร่อื งมอื ขนึ้ มาและไดข้ อ้ สรปุ ว่าสง่ิ มีชวี ิตเกิดมาจากสง่ิ มชี ีวิต เสมอ แตก่ ย็ งั ไม่ได้คาตอบแน่ชัดว่า สิ่งมชี ีวิตเรมิ่ แรกเกดิ ขนึ้ มาได้อย่างไร ความคดิ ในยคุ สมยั ปัจจบุ นั วทิ ยาศาสตร์ไดเ้ จริญกา้ วหนา้ มากขนึ้ โดยเฉพาะความรทู้ างดา้ นชีวเคมแี ละ อนิ ทรยี ์เคมี แนวคิดเกี่ยวกบั การเกดิ ของสงิ่ มีชวี ติ จงึ เปล่ยี นไปจากเดมิ และพยายามพสิ ูจน์ใหเ้ หน็ ไดช้ ัดเจนว่า สง่ิ มชี วี ติ มกี าเนดิ ขึ้นมาไดอ้ ยา่ งไร เชน่ ฮัลเดน (J.B.S. Haldane) 1924, มูทเนอร์ (R. Bentner) และ โอปารนิ (A.I. oparin) บุคคลทง้ั สามไดก้ ล่าว วา่ สิง่ มีชวี ติ ประกอบขนึ้ ดว้ ยสารอนิ ทรยี ซ์ ึง่ ตอ้ งมีธาตคุ ารบ์ อน , ไนโตรเจน , ไฮโดรเจนและออกซเิ จนประกอบอยู่ทา ใหเ้ ชอ่ื วา่ โลกในสมยั แรกระยะหนึง่ นนั้ มภี าวะเหมาะสมทท่ี ำใหธ้ าตทุ ้งั 4 ชนดิ มาประกอบกันได้แล้วกลายเปน็ สารประกอบสว่ นหนึ่งของสงิ่ มีชวี ติ ตอ่ มา ฮาโรล ซี อเู รย์ (Harold C. Urey) และสแทนสีย์ แอลมลิ เลอร์ (Stanley Lo Miller) 1930 และ 1953 ไดพ้ ิสูจนแ์ ละทดลองให้เห็นวา่ สารอินทรียเ์ กิดจากสารอนนิ ทรีย์ โดยเอาไอนา้ แอมโมเนยี มเี ทนและไฮโดรเจน มารวมกนั โดยใช้กระแสไฟฟ้าช่วยทำใหเ้ กดิ เป็นสารอนิ ทรยี ป์ ระเภทโปรตีนข้ึน ค.ศ.1961 เมลวนิ เคลวนิ (Mellrin Calvin) ไดท้ ดลองคล้ายกบั สแทนลยี ์มลิ เลอร์โดยผ่านรังสีแกมมาเขา้ ไป ปรากฏวา่ ไดส้ ารประกอบหลายชนดิ ที่พบในสิง่ มชี วี ติ จงึ ลงความเห็นวา่ อินทรียส์ ารรวมถงึ สง่ิ มีชีวติ อาจเกดิ จาก อนินทรียส์ ารได้ แนวคดิ เกี่ยวกบั ววิ ฒั นาการทางเคมี (chemical evolution) เมอ่ื พ้นื ผิวโลกเร่ิมเยน็ ลง การรวมกลมุ่ ของ กลมุ่ ก๊าซและสารตา่ ง ๆ รอบๆ ผวิ โลก ซ่ึงประกอบไปดว้ ยออกซเิ จน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน คารบ์ อนและธาตหุ นกั อื่น ๆ เชน่ เหลก็ นิเกลิ เงนิ ซลิ ิกอน และอลมู ิเนยี มเปน็ ต้น ซ่ึงเปน็ จุดเริม่ ต้นของการวิวฒั นาการทางเคมขี องโลก เปน็ การเปลย่ี นแปลงท่ใี ช้เวลานบั ลา้ นปี สรุปเปน็ 6 ระยะดงั น้ี ระยะท่ี 1 การเกดิ นา้ แอมโมเนียและมเี ทน จากการรวมกนั ของสารต่างๆ คือ ออกซเิ จน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน และคารบ์ อน โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 46 ระยะท่ี 2 การเกดิ นา้ ตาล กลเี ซอรนี กรดไขมนั กรดอมโิ น ไพริมิดนี และเพยี วริน ระยะที่ 3 การเกดิ แปง้ โปรตนี ลปิ ดิ และกรดนวิ คลอี คิ ระยะท่ี 4 การเกดิ นิวคลีโอโปรตีนจากพนื้ ฐานการเกดิ สารประกอบดงั กลา่ ว ซ่ึงเปน็ องคป์ ระกอบพืน้ ฐาน ของสง่ิ มชี ีวติ จงึ ทาใหว้ ิวัฒนาการทางชวี ภาพถือกาเนิดเป็นสงิ่ มชี วี ติ ขนึ้ ระยะที่ 5 การเกิดเซลลร์ ะยะเริ่มแรก และบรรพบรุ ษุ ของพืชและสตั ว์ ซงึ่ มสี มมุตฐิ านท่ีอธิบายวา่ อนิ ทรีย์ สารต่าง ๆ ซึง่ อยอู่ ย่างอดุ มทง้ั ในทะเลและมหาสมทุ รจะมาจบั กลุ่มกนั ซ่งึ โอปารนิ เรียกชือ่ ว่า โคอเซอเวต (CO acervate) ไดอะเซอรเ์ วตจะมหี นว่ ยโปรตนี เปน็ องคป์ ระกอบ หน่วยโปรตนี ทล่ี ะลายนา้ จะทาใหเ้ กิดประจไุ ฟฟา้ ซ่ึง พรอ้ มที่จะดงึ น้าและอนิ ทรยี ์ สารอืน่ ๆ มารวมกนั ทาใหม้ ีขนาดใหญแ่ ละซบั ซอ้ นขน้ึ และแปรสภาพกลายเปน็ ชวี ิต หน่วยแรกขึ้น ซึง่ ตอ่ มาเรยี กว่า เซลล์ (Cell) ระยะท่ี 6 เกดิ สงิ่ มีชวี ิตทเ่ี ปน็ บรรพบรุ ุษของพืชและสัตว์ เมือ่ สง่ิ มีชวี ิตเริม่ เพม่ิ ปรมิ าณมากขนึ้ ทาใหต้ อ้ ง กรอาหารและเกลอื แร่มากขนึ้ จนอาหารและเกลือแรท่ ม่ี อี ยเู่ ดิมอย่างอดุ มสมบรู ณ์ ไม่เพยี งพอต่อความต้องการ เซลล์ ทข่ี าดอาหารกต็ ายลง ที่เหลือเปน็ เซลล์ทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษในการปรบั ตัว (adapt) และนำสง่ิ แวดล้อม มาทาให้ เกดิ ประโยชน์ต่อการดารงชีวิต การปรบั ตัวมีวิธกี ารตา่ งๆ กนั อนั เป็นสาเหตุใหว้ ถิ กี ารดารงชีวติ แตกต่างกัน ซ่งึ เปน็ จุดเรมิ่ ตน้ ของการววิ ัฒนาการของสง่ิ มชี ีวิตมาจนถึงปจั จุบัน ถงึ แม้ว่าสารอินทรยี ท์ ี่เป็นองคป์ ระกอบของสิ่งมีชีวิตจะเกดิ จากววิ ฒั นาการของสารเคมี แต่กย็ งั มีขอ้ สงสัยวา่ สารอนิ ทรียเ์ หลา่ น้ปี ระกอบข้นึ เป็นเซลล์ไดอ้ ยา่ งไร ตอ่ มาซิดนีย์ ฟอกซ์ (Sidney Fox) นกั ชีวเคมีชาวอเมรกิ นั และคณะ ไดแสดงใหเ้ หน็ วา่ เซลลเ์ รม่ิ แรกเกิด จากกรดอะมิโนได้รบั ความรอ้ นและมกี ารรวมกลมุ่ กนั ซง่ึ มสี มบตั หิ ลายประการที่คลา้ ยกับเซลลข์ องสง่ิ มีชวี ติ เช่น มี การเจรญิ เติบโต สามารถเพมิ่ จำนวนโดยการแตกหน่อและมกี ระบวนการเมแทบอลซิ ึมเกดิ ขนึ้ กาเนดิ ของเซลลโ์ พรคารโิ อต และเซลลย์ ูคารโิ อต จากแนวความคิดของนกั วิทยาศาสตรเ์ ก่ยี วกบั กาเนดิ ของสง่ิ มีชีวิตซึ่งเป็นท่ียอมรับมากทส่ี ดุ ในปัจจุบันก็คือ สิ่งมีชวี ิตกาเนิดมาจากวิวัฒนาการของสารเคมีโดยเซลล์เริ่มต้นเกิดจากโปรตีนที่ได้รับความร้อนแล้วรวมตัวกัน กลายเป็นเซลล์อย่างง่ายและเซลล์เริม่ ต้นทเ่ี กิดข้ึน คือ เซลล์แบบโพรคาริโอต (Prokaryotic cell) ซ่ึงปัจจุบัน หลงเหลอื อยเู่ พยี งสิ่งมชี ีวติ กลุม่ เดยี วคอื แบคทีเรยี ลกั ษณะสำคัญของเซลล์โพรคาริโอตคือในเซลล์ไมพ่ บนวิ เคลียสพบเพียงสารพันธุกรรมท่ีเกาะกลุ่มกัน เรียกวา่ นวิ คลีออยด์ (Nucleoid) ภายในเซลล์ไมพ่ บออร์กาแนลล์ทม่ี เี ย่อื หมุ้ ทุกประเภท (เช่น RER, SER Golgi body,Lysosome, Vacuole, Mitochondria, Chloroplast) พบเพียงไรโบโซมขนาด 70s มีผนังเซลล์ที่มอี งคป์ ระกอบแตกตา่ งจากพชื และพบเย่อื หมุ้ เซลลโ์ ดยเซลล์จะมขี นาดเล็กกว่าเซลลพ์ ืชและ เซลลส์ ัตวซ์ ง่ึ เปน็ เซลลท์ พ่ี บในปจั จบุ นั มาก นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าส่ิงมีชีวิตพวกโพรคาริโอตในยุคเริ่มแรกมีการดำรงชีวิตอย่างหลากหลายเน่ือง โลกในยุคน้ันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอและพวกโพรคาริโอตน้ีเองที่เป็นส่วน สาคัญท่ีทาให้บรรยากาศบนโลกมี ปริมาณก๊าซออกซเิ จนเพ่ิมมากขึ้นเนอ่ื งจากบางชนิดสามารถสังเคราะหแ์ สงและปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมาได้ เช่น สาหรา่ ยสีเขียวแกมนา้ เงิน (Blue green algae) โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 47 ภาพ วิวฒั นาการของเซลลโ์ พรคารโิ อต มาเปน็ เซลลย์ คู ารโิ อต (ท่ีมา http://www.slideshare.net [2558 ,กรกฎาคม 12]) เม่ือโลกมีปริมาณก๊าซออกซิเจนเพิ่มมากขึ้นทาให้เซลล์โพรคาริโอตมีการวิวัฒนาการมาเป็น เซลล์ยูคาริโอต (Eukaryotic cell) ซ่งึ สว่ นใหญ่เซลล์กล่มุ นีจ้ ะหายใจโดยใชก้ า๊ ซออกซเิ จนโดยการเปล่ยี นแปลงจากเซลลโ์ พรคารโิ อตมาเป็นยูคา รโิ อตน้นั จะเกิดจากการทเี่ ยื่อห้มุ เซลลข์ องเซลลพ์ วกโพรคารโิ อตเจริญเข้ามาห่อหุ้มส่วนของสารพันธุกรรมจนเกิดเป็นนิวเคลียส และเกิดเป็นออร์กาเนลล์ที่มีเยื่อหุ้มเกิดขึ้นในบรรดาออร์กาเนลล์ต่างๆของเซลล์ยูคาริโอต นักวิทยาศาสตร์เช่ือว่า ไมโทคอนเดรยี และคลอโรพลาสต์เป็นสิ่งมีชีวิตพวกโพรคาริโอต ซึ่งมีขนาดเซลล์เล็กกว่ายูคาริโอตมาก เข้ามาอาศัยอยู่ในเซลล์ ยูคารโิ อต และมวี วิ ัฒนาการร่วมกันมายาวนานจงึ อยู่ร่วมกนั ตลอดมา โดยหลกั ฐานทสี่ นับสนุนแนวคิดดงกล่าว มี 3 ประการ คือ ประการทห่ี นึ่ง ไมโทคอนเดรยี และคลอโรพลาสต์ มี DNA เปน็ ของตัวเอง ประการท่ีสองไมโทคอนเดรยี และคลอโรพลาสต์มีเย่ือ หุ้มสองชั้นซึง่ คอ่ นขา้ งจะแตกต่างจากออร์กาเนลล์อื่นๆซึ่งมเี ยอื่ หุ้มเพียงช้ันเดียว โดยนักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ว่าเยอ่ื หุม้ ช้ันนอก เปรียบเหมือนผนงั เซลลข์ องเซลล์พวกโพรคาริโอต ส่วนเยอื่ หุ้มช้ันในเปรยี บเสมือนเยอ่ื หุ้มเซลล์ และประการทสี่ ามไมโทคอนเด รยี และคลอโรพลาสตส์ ามารถเพิ่มจานวนตัวเองได้ซึ่งทงั้ สามประการนี้แสดงให้เห็นว่าไมโทคอนเดรียและคลอโรพลาสต์เคยเป็น สิ่งมีชวี ติ พวกโพรคารโิ อต ทดี่ ารงชีวติ แบบอิสระมาก่อนแล้วค่อยมาอาศยั อยใู่ นเซลล์ยูคาริโอตแบบพง่ึ พา โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 48 สว่ นประกอบของเซลล์ เซลลโ์ พรคาริโอต เซลลย์ คู าริโอต 1. ขนาดเซลล์ (ขนาดเสน้ ผา่ น 1-10 ไมโครเมตร 10-100 ไมโครเมตร ศนู ยก์ ลาง) โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 6 49 2. นิวเคลียร์บอดี( nuclear body ) เรียก “นวิ คลีออยด์” เรยี ก “นวิ เคลยี ส” 3. นวิ เคลยี รเ์ มมเบรน (nuclear ไมม่ ี มี membrane) 4. โครโมโซม เป็นวงกลมประกอบดว้ ยDNAและโปรตีน เป็นแท่งประกอบด้วย DNA และโปรตนี ฮีสโตน 5. จานวนโครโมโซม 6. นิวคลีโอลสั ทค่ี ล้าย ฮสี โตน (histone) 7. การแบ่งเซลล์ 1 >1 8. เย่อื หมุ้ เซลล์ ไมม่ ี มี 5. ไรโบโซม แบง่ ตวั จาก 1 เป็น2 (binary ไมโทซสิ (mitosis) และ มี ไมโอซิส ส าหรับสรา้ ง 6. ออรแ์ กเนลล์ที่มีเยอ่ื หมุ้ (ไมโทคอนเดรีย, คลอโรพลาสต์ เอน fission) และไม่มีไมโอซิส (meiosis) เซลล์ สืบพันธุ์ (sex cell) เนือ่ งจาก สงิ่ มชี ีวติ เป็น โดพลาสมิกเรติคูลมั ,กอลจิ-แอพ พาราตสั , แวคิวโอล และ เพราะสงิ่ มีชีวิต เปน็ ชนดิ แฮพลอยด์ ชนิดดิพลอยด์ (diploid) ไลโซโซม) 7. การสงั เคราะหแ์ สง (haploid) ประกอบด้วยชั้นฟอสโฟลิพิด 2 ชน้ั ประกอบดว้ ยชน้ั ฟอสโฟลพิ ิด (phospholipid bilayer)ทไี่ ม่มี 2 ชน้ั (phospholipid bilayer ) ท่ีมี คารโ์ บไฮเดรต และ สเตอรอล (sterol) คารโ์ บไฮเดรต และสเตอรอล สามารถเกดิ เอน ไม่ สามารถเกดิ เอนโดไซโทซิส โดไซโทซิส และเอกโซไซโทซสิ (endocytosis) และเอก- โซไซโทซิส (exocytosis) 80 S 70 S (50 S และ 30 S) (60 S และ 40 S) ไม่มี มี เกดิ ทีเ่ ยื่อห้มุ เซลล์ เกดิ ท่คี ลอโรพลาสต์ ตารางที่ 1 แสดงความแตกตา่ งของเซลลโ์ พรคารโิ อต และเซลลย์ ูคาริโอต โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์
แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 6 50 สว่ นประกอบของเซลล์ เซลล์โพรคารโิ อต เซลล์ยคู าริโอต 8. สายใยไมโทตกิ ไมม่ ี มี (mitotic spindle) 9.ไซโทสเกลเลตอน ไมม่ ี มี 10. เอนไซมท์ ่ีเกี่ยวข้องกบั อยู่ทีเ่ ยอื่ หุ้มเซลล์ อยทู่ ่ีไมโทคอนเดรีย กระบวนการหายใจและระบบ ถา่ ยทอดอเิ ลก็ ตรอน ยูแบคทเี รีย(Eubacteria) มผี นงั เซลลพ์ ืช สาหรา่ ย และรา มี 11.ผนงั เซลล์ เซลล์ ประกอบด้วย เพปติโด ผนงั เซลลป์ ระกอบดว้ ย ไกลแคน (Peptidoglycan) เซลลโู ลส (cellulose) หรอื ไค 12. ออร์แกเนลลท์ ่ใี ช้ อารเ์ คยี แบคทเี รยี ตนิ (chitin)เซลลส์ ตั ว์และ โปร สาหรบั การเคลื่อนที่ (Archaebacteria) มผี นงั เซลล์ โตซวั ไมม่ ผี นงั เซลล์ ประกอบดว้ ยโปรตนี 13. ชนิดของสงิ่ มีชีวิต คารโ์ บไฮเดรตทซ่ี บั ซ้อน หรอื มแี ฟลเจลลา และซิเลียท่ีประกอบด้วย โมเลกลุ ที่คลา้ ยเพปตโิ ดไกลแคน ไมโครทูบลู โดยไมโครทบู ูลมกี าร มีแฟลเจลลา ซึ่งแต่ละอันไม่ จดั เรยี งตัวในรปู แบบจาเพาะและ ถูก ห้มุ ด้วยเยอื่ หมุ้ ไมม่ ีซเี ลยี ถกู ห้มุ ดว้ ยเยื่อหมุ้ เซลล์สัตว์ เซลลพ์ ชื เซลลส์ าหรา่ ย แบคทเี รยี (ยูแบคทเี รยี และ เซลลโ์ ปรโตซัว และเซลล์รา อารเ์ คียแบคทเี รยี ) โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
Search