12. การทดลองการเหน่ียวนาประจไุ ฟฟ้า โดยใช้อิเลก็ โทรสโคปแผ่นโลหะและแผน่ ตัวนา ตอนแรกอเิ ล็กโทรสโคป มีประจไุ ฟฟ้าเปน็ บวกและแผ่นตวั นาเปน็ ตัวกลางทางไฟฟา้ เมอ่ื นักเรยี นคนหนงึ่ ถอื แผน่ ตัวนาทป่ี ลายขา้ งหนึ่ง ค่อยๆ สอดปลายอีกข้างหนง่ึ มาใกล้ๆกับอิเลก็ โทรสโคป ในขณะทท่ี าการทดลองผลที่เกดิ ข้นึ จะเป็นอยา่ งไร (1:วเิ คราะห์) 1. แผ่นโลหะจะหุบสนิททันที 2. แผน่ โลหะจะค่อยๆ หบุ ลงเมือ่ แผน่ ตวั นามาใกลม้ ากขน้ึ 3. แผน่ โลหะจะการออกก่อนและหุบสนทิ ทันทีในเวลาตอ่ มา 4. แผ่นโลหะจะกางออกเหมือนเดิมและจะหุบสนิทเม่ือแตะกบั แผ่นโลหะ 5. จะมีประจลุ บอยู่ทป่ี ลายของแผ่นตัวนาด้วยขนาดเทา่ กับประจบุ วกบนอิเล็กโทรสโคป13. จดุ ประจุ Q , 2Q และ Q วางทตี่ าแหน่ง ดังรปู ถ้านาอเิ ลก็ ตรอน 1 ตวั ไปวางทีจ่ ดุ P อเิ ลก็ ตรอนจะเคลื่อนที่ไปในทศิ ทางใด(1:วิเคราะห์) 1. 2. 3. 4. 5.14. ประจไุ ฟฟา้ ขนาด -15 ไมโครคูลอมบ์ และ - 30 ไมโครคูลอมบ์ วางอยดู่ ังรูป นกั เรยี นคดิ ว่าตาแหนง่ ใด เปน็ จุดสะเทนิ ของประจุดังกลา่ ว (3:วเิ คราะห์) 1. A 2. B 3. C 4. D 5. ไมเ่ กิดจดุ สะเทิน15. จุดประจุ +Q และ -Q วางหา่ งกนั เปน็ ระยะ 2 เซนติเมตร ซงึ่ ถือวา่ เปน็ คา่ คงตัว แรงท่เี กิดขึ้นตอ่ ประจทุ ้งั สอง มีคา่ เทา่ กันแตท่ ิศตรงขา้ ม แรงที่เกิดขนึ้ นี้จะเปน็ อย่างไร (3:วิเคราะห์) 1. แปรผันตามผลคณู ของประจทุ ั้งสองและระยะห่างกาลังสอง 2. แปรผนั ตามผลคูณของประจุทงั้ สองต่อระยะห่างกาลังสอง 3. แปรผกผันตามขนาดของประจทุ ง้ั สอง 4. แปรผนั ตามผลคูณของประจทุ ้ังสอง 5. แปรผกผนั กับระยะห่างกาลงั สอง ***********************************
ตอนที่ 1 ส่วนที่ 2 เปน็ แบบปรนยั เลือกตอบแบบเชงิ ซ้อน โดยคาถามชดุ นม้ี ีคาถามยอ่ ยรวมอยู่ในข้อเดียวกนั ซงึ่ เกยี่ วกบั เรื่อง/สถานการณ์ทอี่ า่ น (ข้อละ 3 คะแนน * ข้อย่อยละ 0.5 คะแนน) 1. พจิ ารณาข้อมลู ต่อไปน้แี ลว้ ตอบคาถาม ถ้า +Q คอื ประจุต้นเหตุ +q และ –q คือ ประจทุ ดสอบ จากข้อมูลเกี่ยวกับ “สนามไฟฟ้าและจดุ ประจุ” ข้อสรปุ ต่อไปน้ีเปน็ จรงิ หรือไม่ ถ้าถกู ต้องเป็นไปตามความจรงิให้นกั เรียนคาวา่ “จรงิ ” แต่ถ้าขอ้ สรปุ น้นั ไม่ถูกต้องตามความเปน็ จริง ให้เติมคาวา่ “ไม่จริง”ลงในชอ่ งวา่ งทา้ ยข้อย่อยนั้นๆ (3:วิเคราะห)์ข้อ ขอ้ สรปุ จริง/ไม่จรงิ จริง1.1 สนามไฟฟา้ ของประจุ +Q คือ บรเิ วณรอบๆ ประจซุ ึ่งจะมีแรงทางไฟฟ้าแผ่ออกมา ตลอดเวลา ไม่จรงิ1.2 ประจุ Q สนามไฟฟ้ามที ศิ เขา้ ตวั ประจุ และ +q มาทดสอบ แรงทก่ี ระทาต่อประจุ ไม่จริง +q จงึ เป็นผลักออก จรงิ1.3 สนามไฟฟ้ามสี ัญลักษณ์ คอื (E) เป็นปรมิ าณสเกลาร์ จริง ไม่จริง1.4 ประจุ Q สนามไฟฟา้ มที ศิ เข้าตัวประจุ และ -q มาทดสอบแรงท่กี ระทาต่อประจุ -q จึงต้องเป็นผลกั ออก1.5 สนามไฟฟา้ ของ +q มที ิศออก ส่วน –q มที ิศเขา้ หาประจุ ตามลาดบั1.6 ขนาดความเขม้ สนามไฟฟา้ มีค่าคงที่เสมอ แม้ว่าจะอยู่หา่ งจากสนามเท่าใดกต็ าม2. พจิ ารณา รปู ตอ่ ไปน้ีแล้วตอบคาถาม
จากรูปเป็นตวั นาทรงกลมกลวงทมี่ ีรศั มี a ดงั รูป เมื่อพิจารณา เกีย่ วกบั “สนามไฟฟ้าและความต่างศกั ย์ไฟฟา้ ” ขอ้ สรปุ ดังกลา่ วถูกต้องหรอื ไม่ ถ้าสรุปถกู ต้องให้เติมคาวา่ “ใช่” แตถ่ ้าสรุปไมถ่ ูกต้อง ให้เติมคาวา่ “ไม่ใช่”ลงในช่องว่างท้ายขอ้ ย่อยนั้นๆ (3 :วิเคราะห์)ข้อ ข้อสรุป ใช่ / ไม่ใช่ ใช่2.1 ทจ่ี ดุ ๆ หนง่ึ คือ ถ้าสนามไฟฟ้ามีคา่ เปน็ ศูนย์แล้ว ศักย์ไฟฟา้ ทจ่ี ุดนน้ั ไม่จาเป็นตอ้ ง ไม่ใช่ มคี า่ เป็นศูนยเ์ สมอไป ใช่ ไมใ่ ช่2.2 ศกั ย์ไฟฟา้ ทจ่ี ดุ ๆ หน่ึง คือ งานทต่ี ้องทาตา้ นกับแรงไฟฟ้าในการนาประจุทดสอบ ไมใ่ ช่ จากระยะอนันต์มาสจู่ ุดนั้น ใช่2.3 ศกั ยไ์ ฟฟา้ ณ ตาแหนง่ ตรงกลางภายในทรงกลมตวั นา จะมีคา่ เท่ากนั และมคี า่ มาก ท่สี ุดตรงบริเวณผิวตวั นาและมคี ่าลดลง เม่ือระยะจากผวิ ตัวนามคี า่ มากขึ้น2.4 ความต่างศักยไ์ ฟฟา้ ระหว่างจดุ 2 จดุ นัน้ คือ งานท่ีตอ้ งทาในการเคล่ือนประจุ ตวั หนง่ึ จากจุดหน่ึงไปยังอีกจุดหน่ึง2.5 สนามไฟฟา้ ท่ีจดุ ๆ หน่ึง คือ แรงต่อหน่ึงหน่วยประจุท่ีกระทาตอ่ ประจทุ ดสอบ ขนาดเล็กท่ีวางอยทู่ ี่จุดนนั้ และมหี นว่ ยเปน็ โวลต์-เมตร2.6 สนามไฟฟ้า ณ ตาแหนง่ ติดกับผิวของตัวนาจะมที ศิ ต้ังฉากกบั ผิวเสมอ จะมคี ่ามาก ทสี่ ุดตรงบริเวณผิวตัวนาและมคี ่าลดลง เม่ือระยะจากผิวตัวนามีค่ามากขน้ึตอนที่ 1 ส่วนท่ี 3 เปน็ แบบปรนัยเลือกตอบแบบกลุ่มคาตอบสัมพันธ์ โดยคาถามชดุ นีม้ ีคาถามมากกว่า 1 ขอ้ ท่ีมเี ง่ือนไขให้คิดและสมั พันธต์ ่อเน่ืองกัน (ขอ้ ละ 3 คะแนน # ขอ้ คาถามย่อยแต่ละกลมุ่ กล่มุ ๆละ 1 คะแนน)1. การถูแท่งพลาสตกิ กับผา้ สักหลาด ปกตแิ ลว้ อะตอมในแท่งพลาสติกและในผ้าสักหลาดจะมจี านวนอิเล็กตรอน (ประจุลบ) เทา่ กบั จานวนโปรตอน (ประจุบวก) แต่เมือ่ เกิดการเสยี ดสจี ะทาใหเ้ กดิ การหมุนเวยี นของอิเล็กตรอนของ แทง่ พลาสตกิ กบั ผา้ สกั หลาด หากแทง่ พลาสตกิ ไดร้ ับอิเล็กตรอนมากกว่าที่เสียไปจะทาให้แท่งพลาสตกิ มีประจุสะสม เป็นลบ ประจทุ สี่ ะสมตรงนี้ เรียกว่า ไฟฟา้ ในการทาให้วัตถทุ ี่มปี ระจไุ ฟฟา้ เปน็ ลบ เป็นบวกหรือเป็นกลาง ไฟฟ้าจะตอ้ งตอ่ สายดินกบั พืน้ โลก ท้ังนีเ้ ปน็ เพราะเหตใุ ด (กลุ่ม A) ถ้าเปลี่ยนจากแทง่ พลาสตกิ เป็นแทง่ โลหะ และเปลีย่ นผา้ สกั หลาดเปน็ ผา้ ขนสตั ว์ แล้วใชม้ ือจบั แท่งโลหะถูกับผ้าขนสตั ว์ ผลทเี่ กิดขน้ึ เปน็ อย่างไร โดยถอื ว่า คนเป็นตัวนาและยืนเท้าเปลา่ บนพืน้ (กลุม่ B) หรือเมอื่ เปล่ยี นมาใช้แทง่ แกว้ ถูกบั ผ้าแพร แลว้ เมื่อนาแทง่ แก้ว ผวิ เกลย้ี งถกู ับผ้าแพร จะปรากฏว่าเกิดประจบุ วกบนแท่งแก้วเหตุท่เี ปน็ เชน่ น้เี พราะแท่งแกว้ (กลุม่ C) ( 3:วิเคราะห์) (กลุ่ม A) (กล่มุ B) (กลมุ่ C)ก. โลกมีสนามไฟฟ้าตา่ ก. จะเกดิ ประจุอสิ ระบนแทง่ โลหะและผ้าขนสตั ว์ ก. สูญเสียอเิ ล็กตรอนข. โลกมคี วามจไุ ฟฟา้ มาก ข. ไดร้ ับอิเลก็ ตรอนค. โลกมคี วามตา้ นทานต่า ข. จะไมเ่ กดิ ประจุอสิ ระทั้งบนแท่งโลหะและบนผ้าขนสัตว์ ค. สูญเสยี โปรตอนง. โลกมศี ักย์ไฟฟา้ เป็นกลาง ค. จะไมม่ ปี ระจอุ สิ ระบนแทง่ โลหะ แต่จะเกิดประจุอิสระ ง. ได้รับโปรตอน บนผ้าขนสตั ว์ ง. จะเกดิ ประจุอิสระบนแทง่ โลหะ แตจ่ ะไมเ่ กิดประจอุ ิสระ บนผา้ ขนสัตว์
จากขอ้ มูลสามารถจัดกลุ่มความสัมพันธ์ท่ถี กู ต้อง ตามกลมุ่ A , กลุม่ B และ กลุ่ม C ตามขอ้ ใด1. ก , ค , ง 2. ข,ค,ง 3. ง , ข , ข4. ง , ข , ก 5. ข , ค , ก2. พจิ ารณาข้อมูลตอ่ ไปน้ีแลว้ ตอบคาถาม 600 B.C.: ทาลีส Thales)นักวิทยาศาสตร์ชาวกรกี ได้คน้ พบอานาจไฟฟ้า (Electron) ซ่งึ จดั เป็นไฟฟ้าสถิต จากการที่วตั ถุเสียดสกี ันแล้วสามารถดูดวตั ถุเลก็ ๆได้ เนื่องมาจากเกิดประจุไฟฟ้าขึน้ บนวตั ถนุ ้ัน เรยี กว่า เกดิ ไฟฟา้ สถิต(Static Electric) ข้นึ บนวตั ถุน้นั ว่า ทาไมไฟฟา้ สถติ จงึ เกดิ ได้ดใี นฤดหู นาว (กลุ่ม A) การเกิดฟ้าแลบฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณเ์ กย่ี วกบั ข้อใด(กลมุ่ B)และในวนั อากาศแหง้ เมอื่ ใช้หวีพลาสตกิ หวีผม พบว่าเส้นผมตั้งชันขนึ้ ตามหวีเพราะสาเหตุใด(กลุ่ม C) (กลุ่ม A) (กลุม่ B) (กลุ่ม C)ก. อากาศมตี ัวนามาก ก. การถ่ายเทของประจุ ก. ความรอ้ นที่เกิดจากหวเี สียดสีกบั เส้นผมข. อากาศมตี ัวนานอ้ ย ข. การสั่นพอ้ งของประจุ ข. เกดิ การเหนีย่ วนาไฟฟ้าท่ีหวีขณะทหี่ วผี มค. อากาศมีตวั เหนีย่ วนาดี ค. การสลายตวั ของประจุ ค. หวีกับเส้นผมเกดิ ประจไุ ฟฟ้าชนิดเดียวกันง. อากาศมตี วั นาและ ง. การเหนีย่ วนาของประจุ ง. เส้นผมและหวีเกดิ ประจไุ ฟฟา้ ชนดิ ตรงข้ามกนั ฉนวนเท่ากันจากข้อมูลสามารถจดั กลุ่มความสัมพันธ์ที่ถกู ต้อง ตามกลุ่ม A , กลุม่ B และ กล่มุ C ตามขอ้ ใด (1:วเิ คราะห)์1. ก , ค , ง 2. ข , ก , ง 3. ค , ก , ง4. ง , ก , ค 5. ก, ง , คตอนที่ 2 ให้นกั เรียนตอบคาถามต่อไปนี้ โดยการเขียนอธิบายและแสดงวิธีทาตามความเข้าใจจากทไ่ี ด้เรียนรู้มา1. ให้นกั เรยี นอธบิ ายเกยี่ วกับ “สนามไฟฟา้ ” วาดภาพพร้อมอธบิ ายประกอบ (3:เข้าใจ=2 คะแนน) - สนามไฟฟา้ ณ ตาแหน่งตา่ งๆ ในทว่ี ่างภายในตวั นารปู ทรงใดๆ มคี ่าเป็นศูนย์ เม่ือให้ประจแุ กต่ ัวนาทีเ่ ป็นวัตถตุ ัน ประจุจะอยูท่ ผี่ ิว ทาให้สนามไฟฟ้าที่ตาแหน่งต่างๆ ภายในตัวนาเป็นศนู ย์ เม่ือภายนอกตัวนาทศิ ของสนามไฟฟา้ สนามไฟฟ้า ณ ตาแหน่งตดิ กบั ผิวของตวั นาจะมีทศิ ตง้ั ฉากกับผวิ เสมอ จะมีค่ามากท่ีสดุตรงบริเวณผิวตัวนาและมคี ่าลดลงเม่ือระยะจากผิวตวั นามีค่ามากขึ้น ตามสตู ร E = เม่ือ E คอื สนามไฟฟ้า มีหน่วยเป็นนิวตัน/คลู อมบ์ (N/C) k คือ ค่าคงทข่ี องคลู อมบ์ มีค่า= 9 x 10 9นวิ ตนั ตารางเมตร/คูลอมบ์2(N.m2/C2) Q คอื ประจไุ ฟฟา้ มีหน่วย เปน็ คลู อมบ์ (C) r คือ ระยะหา่ งระหว่างประจุกับตาแหน่งทพ่ี จิ ารณา มีหน่วยเปน็ เมตร (m)
เกณฑก์ ารให้คะแนน - ใหค้ ะแนน 2 คะแนน กบั คาตอบที่อธบิ ายว่า สนามไฟฟ้า ณ ตาแหนง่ ต่างๆ ในทว่ี ่างภายในตวั นา รปู ทรงใดๆ มีคา่ เป็นศนู ย์ เมื่อใหป้ ระจุแก่ตัวนาท่ีเปน็ วัตถุตัน ประจุจะอยู่ทผ่ี วิ ทาใหส้ นามไฟฟ้าทต่ี าแหน่ง ต่างๆ ภายในตวั นาเป็นศนู ย์ เม่อื ภายนอกตัวนา ทิศของสนามไฟฟ้า สนามไฟฟ้า ณ ตาแหน่งติดกบั ผิวของ ตัวนาจะมีทิศตั้งฉากกบั ผิวเสมอ จะมคี า่ มากทส่ี ุดตรงบรเิ วณผิวตัวนาและมีค่าลดลงเมอื่ ระยะจากผิวตวั นามี คา่ มากขึ้นตามสตู ร E = เมือ่ E คือ สนามไฟฟา้ มีหนว่ ยเป็นนิวตนั /คูลอมบ์ (N/C) k คอื ค่าคงท่ีของคลู อมบ์ มีคา่ = 9 x 10 9นวิ ตนั ตารางเมตร/คลู อมบ์2(N.m2/C2) Q คอื ประจไุ ฟฟ้า มหี นว่ ย เป็น คลู อมบ์ (C) r คอื ระยะหา่ งระหว่างประจุกับตาแหนง่ ทพ่ี จิ ารณา มีหน่วยเปน็ เมตร (m) - ใหค้ ะแนน 1 คะแนน กบั คาตอบท่ีอธิบายถึง สนามไฟฟ้าไมต่ รงประเดน็ ไม่ครบถ้วนตามคาตอบ มีการวาดภาพประกอบ หรอื อธิบายถงึ สนามไฟฟ้าตรงประเด็น ครบถ้วนตามคาตอบ แตไ่ ม่มีการวาด ภาพประกอบหรือวาดภาพไม่ถูกต้อง ไม่การยกตัวอยา่ งหรือสูตรการคานวณประกอบ - ใหค้ ะแนน 0 คะแนน กบั คาตอบท่ีมีการวาดภาพประกอบแต่ไมไ่ ด้อธิบายหรืออธิบายแตไ่ ม่ได้ วาดภาพประกอบอยา่ งใดอย่างหนึ่ง หรือไมเ่ ขยี นแสดงคาตอบหรอื ตอบอยา่ งอ่นื2. ประจุ +5.0 x 10-6C และ –3.0 x 10-6C วางอยูห่ า่ งกัน 20 cm ถา้ นาประจทุ ดสอบขนาด -1.0 x 10-6C มาวางไว้ที่จดุ กง่ึ กลางระหวา่ งประจุทง้ั สอง จงหาขนาดและทศิ ทางของแรงที่กระทาต่อประจทุ ดสอบ พร้อม อธิบายวา่ ทาไมประจุทดสอบจงึ มีทิศตามคาตอบ (2 : วเิ คราะห์ = 5 คะแนน)- วิเคราะห์โจทย์/ภาพประกอบ (1 คะแนน)- ส่ิงท่ีตอ้ งใหห้ าคาตอบ แรงระหวา่ งประจทุ เี่ กิดขน้ึ กับประจุทดสอบ (1 คะแนน) (1 คะแนน)- สูตรทใี่ ช้ F= (1 คะแนน)- แสดงวธิ คี ิด จะได F1 = ( ) F1 = 4.5 นิวตนัตอนที่ 1 หาแรงท่ี –3μC ผลกั +1μC (F2) จากสูตร F2 = ) จะได F2 = ( F2 = 2.7 นวิ ตัน
ตอนที่ 2 หาผลลัพธ์ Fลพั ธ์ = F1 + F2 = 4.5 + 2.7 N = 7.2 นิวตนัตอบ แรงท่กี ระทาตอ่ ประจุทดสอบ = 7.2 นวิ ตัน มีทิศเข้าหาประจุ +5.0 x 10-6 C เพราะ ประจุขนาด - 3.0 x 10-6 C จะออกแรงผลกั ประจุ -1.0 x 10-6C ซงึ่ เปน็ ประจุ ชนิดเดยี วกันออก สรุป แรงทก่ี ระทาตอ่ ประจทุ ดสอบมีขนาด 7.2 นิวตัน ทศิ เข้าหาประจุ +5.0 x 10-6 C (1 คะแนน)เกณฑ์การใหค้ ะแนน- ให้คะแนน 5 คะแนน สามารถปฏิบตั ิเพ่ือให้ไดม้ าซึง่ คาตอบดังน้ี เมอ่ื วิเคราะห์โจทย์หรือวาดภาพประกอบถกู ต้อง ครบทุกประเดน็ ทโี่ จทยก์ าหนด สามารถระบุสง่ิ ทีโ่ จทยก์ าหนดไดท้ ่ีถูกต้อง สามารถระบุสิ่งที่โจทย์ตอ้ งการคาตอบ(กาหนดตัวแปรชัดเจน) สามารถบ่งบอกไดว้ ่าการจะไดม้ าซ่งึ คาตอบต้องใช้สูตรในการคานวณใดสามารถแทนคา่ แสดงวิธีคดิ เพือ่ จะได้มาซึ่งคาตอบได้ถกู ต้อง ตามหลักการคณติ ศาสตร์สาหรับฟิสิกสแ์ ละสุดทา้ ยตอ้ งตอบคาถามถงึ ส่ิงโจทย์ต้องการคาตอบพรอ้ มระบหุ นว่ ยที่ชัดเจน- ใหค้ ะแนน 4 คะแนน สามารถปฏิบตั ิเพื่อให้ไดม้ าซึ่งคาตอบดังนี้ ขาดไปไม่มกี ารระบุหนว่ ยท่ชี ัดเจน- ใหค้ ะแนน 3 คะแนน สามารถปฏบิ ัตเิ พื่อให้ได้มาซึ่งคาตอบดังน้ี ขาดไปไม่มีการระบุหน่วยที่ชดั เจน- ให้คะแนน 2 คะแนน สามารถปฏบิ ตั เิ พื่อให้ได้มาซึ่งคาตอบดังนี้ ขาดไปไมม่ กี ารระบหุ นว่ ยท่ีชดั เจน- ให้คะแนน 1 คะแนน มีการวาดภาพประกอบ แต่ไม่มีการแสดงวิธีทา- ให้คะแนน 0 คะแนน ไมเ่ ขียนอธิบายคาตอบหรือแสดงวธิ ีคิดใดๆ ทัง้ สนิ้3. ทรงกลมตวั นา รัศมี 3 และ 6 cm ตามลาดบั ทรงกลมท้ังสองมีประจุ 3 และ -4 ถ้าวางทรงกลมตวั นาน้ี ใหห้ า่ งกนั ผิวท้งั สองหา่ งกัน 10 cm จงหาแรงระหวา่ งประจทุ ่เี กดิ ขึ้นกบั ประจทุ ้ังสอง (2:วิเคราะห์=2 คะแนน) - วเิ คราะหโ์ จทย์/ภาพประกอบ Q1 = 3 Q2 = -4 + 10 cm - r = 3 cm + 10 cm + 6 cm = 19 cm = 19 x 10-2 m k = 9 x 10 9 N.m2/c2- สิ่งทีต่ อ้ งใหห้ าคาตอบ แรงระหวา่ งประจุท่ีเกดิ ขนึ้ กับประจุทัง้ สอง- สูตรที่ใช้ F=- แสดงวิธคี ดิ ( ) [] จะได F = F = 4.129 นิวตนั- ตอบ แรงระหว่างประจุท่เี กิดขึน้ กับประจุทั้งสองเปน็ แรงดดู มีขนาด 4.13 นวิ ตนั
เกณฑก์ ารให้คะแนน - ใหค้ ะแนน 2 คะแนน สามารถปฏบิ ัตเิ พื่อให้ได้มาซง่ึ คาตอบดังนี้ เม่อื วเิ คราะห์โจทยห์ รอื วาดภาพประกอบถูกต้อง ครบทุกประเด็นที่โจทยก์ าหนด สามารถระบุส่ิงท่ีโจทยก์ าหนดไดท้ ถี่ ูกต้อง สามารถระบสุ ิง่ ทโี่ จทย์ตอ้ งการคาตอบ(กาหนดตวั แปรชดั เจน) สามารถบ่งบอกได้วา่ การจะไดม้ าซึง่ คาตอบต้องใช้สูตรในการคานวณใดสามารถแทนคา่ แสดงวธิ คี ดิ เพือ่ จะได้มาซึ่งคาตอบได้ถกู ต้อง ตามหลักการคณิตศาสตร์สาหรบั ฟิสกิ สแ์ ละสดุ ท้ายต้องตอบคาถามถงึ ส่งิ โจทยต์ อ้ งการคาตอบพรอ้ มระบุหน่วยทช่ี ัดเจน - ใหค้ ะแนน 1 คะแนน สามารถปฏิบัตเิ พื่อให้ไดม้ าซง่ึ คาตอบดังนี้ อาจขาดไปบางประเด็นหรอื ไมม่ ีการระบุหนว่ ยท่ีชดั เจน อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ - ให้คะแนน 0 คะแนน ไม่เขียนอธบิ ายคาตอบหรือแสดงวิธีคดิ ใดๆ ท้งั สนิ้ @@@@@@@@@@@@@@@ลงชื่อ...................................... ลงช่ือ........................................... ลงชอ่ื ……………................................... (น.ส.ณฐั ธนัญา บญุ ถึง) (น.ส.ณฐั ธนัญา บญุ ถงึ ) (นายเสรี แซ่จาง) ครูผสู้ อน (ผู้แต่ง/พิมพ์) หัวหน้ากล่มุ สาระฯ วิทยาศาสตร์ งานวัดผลระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลายลงชอื่ ................................................. ลงช่ือ ....................................................................... (นางสาวศริ ิมา เมฆปจั ฉาพชิ ติ ) (นายวิเศษ ฟองตา) หัวหน้างานวัดและประเมนิ ผล รองผู้อานวยการกลมุ่ บริหารงานวิชาการ
แบบวิเคราะหขอ สอบโรงเรียนราชประชานุเคราะห 31 กลมุ สาระการเรยี นร.ู ................. วิทยาศาสตร ................ ( ) กลางภาคเรียนท่ี ..... 1/251 ......... ( ) ปลายภาคเรียนที่........../.................การวิเคราะหข อสอบรายวิชา วทิ ยาศาสตร รหัสวิชา ว 33101 ชั้น มัธยมศกึ ษาปท่ี 6สาระการเรียนรู : สาระที่ 2 ชวี ติ กบั สิ่งแวดลอมมาตรฐาน : ว 2.1 เขาใจสิง่ แวดลอมในทอ งถนิ่ ความสมั พันธร ะหวา งส่ิงแวดลอ มกับสงิ่ มีชวี ติ ความสัมพนั ธระหวา ง ส่งิ มีชีวิตตางๆ ในระบบนิเวศ มกี ระบวนการสืบเสาะ หาความรูและจิตวทิ ยาศาสตรส ่อื สารสิ่งที่เรยี นรู และนาํ ความรไู ปใชป ระโยชนตวั ช้ีวดั /ผลการเรยี นรู : ว 2.1 ม.4-6/1 อธิบายดุลยภาพของระบบนเิ วศ ว 2.1 ม.4-6/2 อธิบายกระบวนการเปลีย่ นแปลงแทนทข่ี องสง่ิ มชี วี ติ ว 2.1 ม.4-6/3 วิเคราะหส ภาพปญ หา สาเหตขุ องปญหาสง่ิ แวดลอมและทรัพยากรธรรมชาตใิ นระดับทองถน่ิ ระดบั ประเทศ และระดับโลก ว 2.1 ม.4-6/4 อภิปรายแนวทางในการปองกัน แกไ ข ปญ หาสงิ่ แวดลอมและทรัพยากรธรรมชาติ ว 2.1 ม.4-6/5 วางแผนและดาํ เนนิ การเฝา ระวงั อนรุ ักษและพัฒนาสงิ่ แวดลอมและทรัพยากรธรรมชาติ ตัวช้ีวัด/ รปู แบบขอสอบ ความรู ความร/ู ทักษะตามตัวชว้ี ัด (จํานวนขอ ) สรา งสรรค รวมผลการเรียนรู จํา เขา ใจ ทักษะและกระบวนการคิด (ขอ) 5ว 2.1 ม.4-6/1 1 ปรนยั นาํ ไปใช วเิ คราะห ประเมนิ คา 2 อตั นยั 14ว 2.1 ม.4-6/2 1 ปรนยั 44 2 อัตนยั 1 ปรนัย 12 3ว 2.1 ม.4-6/3 2 อตั นัยว 2.1 ม.4-6/4 1 ปรนยั 22 2 อัตนัย 11 1 ปรนัยว 2.1 ม.4-6/5 2 อัตนัย 8 1 1 10 22รวมจํานวนขอ สอบ 2 20 4 1 27 ลงชอื่ ………………………………………………….ครูผูสอน (นางสาวณฐั ธนญั า บญุ ถึง) ตาํ แหนง ครู คศ. 2
แบบประเมินการสรา งขอ สอบ ( ) กลางภาคเรยี นที่ 1/2561 ( ) ปลายภาคเรยี นที่ ......../...............คําชี้แจง ใหผูป ระเมนิ ทาํ เครือ่ งหมาย ลงชองวางตามหวั ขอ ตา งๆ ตอ ไปนี้ ตามความคดิ เหน็ ที่ตรงความจริงมากทสี่ ดุ รายการประเมิน การปฏบิ ตั ิ ความ ปรบั ปรงุ1. ความชดั เจนของคาํ สั่ง มี ไมมี เหมาะสม2. ความชัดเจนของโจทย 3. ความสอดคลอง ตรงตามตวั ชว้ี ัด/ผลการเรียนรู 4. ขอ สอบมกี ารวัดครอบคลุมพฤตกิ รรม :ทักษะ (สามารถประเมินไดมากกวา 1 ขอ) - รู + จาํ (อนญุ าตเฉพาะ ป.1-3) - เขา ใจ - นําไปใช - วเิ คราะห - ประเมินคา - สรา งสรรค - วัดทกั ษะ 5. ขอ สอบครอบคลุมเน้ือหาทสี่ อน 6. ความเหมาะสมของขอสอบกบั คะแนน 7. ความเหมาะสมของขอสอบกับเวลา 8. แบบทดสอบแบบปรนัย เลอื กตอบ 1 คาํ ตอบ/มากกวา 1 คําตอบ เลือกตอบแบบเชิงซอ น เลือกตอบแบบกลมุ สัมพันธ9. แบบทดสอบแบบอัตนัยพรอมเกณฑประเมินชดั เจนบันทึกการนเิ ทศ 1. กลุมสาระการเรียนรู …………………………………………….……………………………………………………….…….…………………………………………. ลงชอื่ ........................................................หวั หนาสาระการเรยี นรู ( นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง ) วันที่........../....................../..............2. งานวดั ผล……………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….…………… ลงชือ่ ........................................................งานวดั ผล ( นายเสรี แซจาง ) วันที่........../....................../..............3. หัวหนากลมุ บริหารวชิ าการ ( ) เหน็ ชอบใหนาํ ไปจัดทําขอสอบได ( ) ไมเ ห็นชอบใหนําไปทําขอสอบ ใหนาํ ไปปรับปรงุ แกไ ข ดงั น้ี…………………........................................................................ ลงชือ่ ........................................................หวั หนางานวัดและประเมินผล ( นางสาวศิรมิ า เมฆปจ ฉาพิชติ ) วนั ท่ี........../....................../..............( ) อนุมตั ิจัดทําขอ สอบได( ) ไมอนุมัติใหจ ัดทาํ ขอ สอบ ตามรายละเอยี ดขอ เสนอ ............................................................................................................ลงชอื่ ....................................................รองผอู าํ นวยการกลุมบรหิ ารวิชาการ ( นายวิเศษ ฟองตา ) วันที่........../....................../........
แบบทดสอบกลางภาคโรงเรยี นราชประชานุเคราะห 31 อาํ เภอแมแ จม จงั หวัดเชยี งใหมแบบทดสอบ รายวชิ าวิทยาศาสตร รหัสวิชา ว 33101 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 จํานวน 1.0 หนวยกติภาคเรียนท่ี 1 ปการศกึ ษา 2561 เวลาสอบ 60 นาที จํานวน 20 คะแนน *************************************คําช้แี จง 1. แบบทดสอบน้ีมวี ัตถุประสงคเพ่ือวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนกลางภาคท่ี 1 ปการศกึ ษา 2561ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 ตามมาตรฐานและตวั ช้ีวดั รายวิชาวิทยาศาสตร รหสั วิชา ว 33101 ดังน้ีมาตรฐาน ว 2.1 เขาใจส่ิงแวดลอมในทองถิ่น ความสมั พันธร ะหวา งส่งิ แวดลอ มกบั สิ่งมชี วี ิต ความสมั พันธร ะหวางสิ่งมชี วี ติ ตางๆในระบบนิเวศ มกี ระบวนการสบื เสาะ หาความรูและจิตวทิ ยาศาสตรส อ่ื สาร ส่ิงที่เรียนรูและนาํ ความรไู ปใชประโยชนว 2.1 ม.4-6/4 อภิปรายแนวทางในการปองกนั แกไ ข ปญหาสง่ิ แวดลอ มและทรัพยากรธรรมชาติว 2.1 ม.4-6/5 วางแผนและดําเนนิ การเฝา ระวงั อนุรักษแ ละพฒั นาส่ิงแวดลอ มและทรัพยากรธรรมชาติมาตรฐาน ว 3.2 เขา ใจหลกั การและธรรมชาติของการเปลย่ี นแปลงสถานะของสาร การเกิดสารละลายการเกิดปฏิกริ ิยา มกี ระบวนการสบืเสาะหาความรแู ละจติ วิทยาศาสตร สอ่ื สารสงิ่ ที่เรยี นรแู ละนาํ ความรไู ปใชป ระโยชนว 3.2 ม.4-6/5 ทดลองและอธิบายการเกิดพอลเิ มอร สมบตั ขิ องพอลิเมอรว 3.2 ม.4-6/6 อภปิ รายการนําพอลเิ มอรไ ปใชประโยชน รวมท้ังผลทเี่ กดิ จากการผลติ และใชพ อลเิ มอรต อ สง่ิ มีชวี ติ และสิ่งแวดลอ ม2. แบบทดสอบฉบบั นีม้ จี าํ นวนทั้งหมด 7 หนา มีลกั ษณะแบบทดสอบ คอื แบงเปน 2 ตอนตอนท่ี 1 สวนที่ 1 เปนแบบปรนยั (เลอื กตอบ 1 คาํ ตอบ) จํานวน 20 ขอสวนที่ 2 เปนแบบปรนยั (เลอื กตอบเชงิ ซอ น) จํานวน 2 ขอสว นท่ี 3 เปน แบบปรนยั (เลือกตอบแบบกลุมสัมพันธ) จํานวน 2 ขอตอนท่ี 2 เปนแบบทดสอบแบบอตั นยั (เขียนตอบคาํ ถาม ) จาํ นวน 3 ขอ3. เกณฑก ารใหค ะแนนตอนที่ 1 สว นท่ี 1 เปนแบบปรนยั เลือกตอบ 1 คาํ ตอบ (ขอละ 0.5 คะแนน) รวม 10 คะแนนสวนที่ 2 เปน แบบปรนยั เลือกตอบเชิงซอน (ขอละ 2 คะแนน) รวม 4 คะแนนสว นท่ี 3 เปน แบบปรนยั เลือกตอบแบบกลุมสัมพนั ธ (ขอ ละ 3 คะแนน) รวม 6 คะแนนตอนที่ 2 เปน แบบทดสอบแบบอัตนยั เขียนตอบคาํ ถาม (ขอละ 3 คะแนน) รวม 10 คะแนน รวมทง้ั สิน้ 30 คะแนน4. ขอปฏิบตั ิในการสอบ1. แตง กายดว ยชุดนักเรยี นใหส ภุ าพเรียบรอย ตามขอ บงั คบั ของโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห 312. หามนาํ หนงั สอื /เอกสารเขาไปในทีน่ งั่ สอบ และหา มทําเครื่องหมายใดๆ ลงใบขอสอบทแี่ จกให3. หามนําเคร่อื งคดิ เลขเขาหอ งสอบ อนุญาตใหน กั เรยี นคดิ เลขไดใ นดา นหลังของกระดาษคําตอบ4. หา มนกั เรยี นนํากระดาษคาํ ตอบออกหอ งสอบ จะตองสงคืนกรรมการควบคมุ หอ งสอบเมอ่ื สอบเสรจ็5. หา มนักเรยี นตดิ ตอ พูดจาปรกึ ษาหรือทาํ สัญญาณขณะทาํ ขอ สอบ เมอ่ื มขี อสงสยั หรอื ตองการสิง่ ใด ใหยกมือข้นึสอบถามหรือขอความชวยเหลอื จากกรรมการควบคุมหองสอบ หากพบการทจุ ริตในการสอบในคร้ังนี้จะปรบั ตกรายวิชานีท้ นั ที
ตอนที่ 1 สวนท่ี 1 เปน แบบปรนยั 5 ตวั เลือก เลอื กคําตอบทถ่ี ูกตองทส่ี ดุ เพยี งคําตอบเดียว ลงในกระดาษคาํ ตอบทีแ่ จกให (ขอละ 0.5 คะแนน)1. ขอใดตอไปน้ี ไมใ ช วธิ กี ารบํารงุ รกั ษาและบาํ บัดมลพษิ ในดิน ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง(ว 2.1 ม.4-6/5 : วเิ คราะห)1. การใชซากพืช เศษวชั พชื หรอื ของเหลอื ใชทางการเกษตรมาเปนวัตถุดิบเพอื่ มาผลิตเปน ปยุ2. การใชพ ชื สมุนไพรในการกาํ จดั ศตั รูพืชทางการเกษตรแทนการใชส ารเคมี3. การผลิตปุยจากแรธาตโุ ดยตั้งโรงงานขึ้นเองในชุมชน4. การปลกู พืชคลุมดนิ เพ่ือชวยลดการพังทลายของดิน5. การปลูกหญา ชวยคลมุ ดินเพม่ิ ความชุมชืน้ ของดนิ2. ทรัพยากรของประเทศไทย เม่อื มีการจัดประเภทของทรพั ยากรธรรมชาตแิ ตล ะประเภทพรอมยกตวั อยาง ดงั ตอไปนี้การยกตัวอยางและระบปุ ระเภทของทรัพยากรธรรมชาติ ในขอใด ไมถูกตอ ง (ว 2.1 ม.4-6/4 : การนําไปใช)1. แร - ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ใ่ี ชแ ลว หมดไป 2. นํา้ มนั - ทรพั ยากรธรรมชาติทใ่ี ชแลว หมดไป3. แสงแดด - ทรพั ยากรธรรมชาติท่ใี ชไมห มดสิ้น 4. สัตวปา - ทรพั ยากรธรรมชาติท่ใี ชแลว หมดสิ้น5. ปาไม - ทรพั ยากรธรรมชาติทใ่ี ชแ ลว เกดิ ทดแทนได3. ปจ จยั สําคัญที่สุดทําใหเกิดวิกฤตการณส ่ิงแวดลอมและทรัพยากรธรรมชาติของทอ งถิ่นและประเทศคือขอใด(ว 2.1 ม.4-6/4 : วิเคราะห)1. ความเจรญิ ของชมุ ชนเมือง 2. ความเจริญของอตุ สาหกรรม3. ความกา วหนา ของเทคโนโลยี 4. การเพิ่มจํานวนประชากรมนษุ ย5. การใชพ ลงั งานทุกประเภทเพิม่ ขึน้4. ขอ ความในขอใด กลา วไมถ ูกตอง เกย่ี วกับ มาตรการปองกนั เพื่อแกไขปญหาสิ่งแวดลอ มและทรัพยากรธรรมชาติ(ว 2.1 ม.4-6/5 : วิเคราะห)1. เปน มาตรการทางกฎหมายทใ่ี ชบ ังคบั2. การใชพ ืชสมุนไพรในการกําจัดศัตรูพืชทางการเกษตร แทนการใชสารเคมี3. การปอ งกนั ทรัพยากรทสี่ ามารถเพิม่ ขน้ึ เองเพ่ือทดแทนทรพั ยากรซึ่งถูกใชไป4. การดําเนินการกับทรพั ยากรท่ลี ดลงหรอื เสื่อมโทรมใหสามารถคนื สภาพเดิมได5. ปอ งกนั ทรัพยากรท่ีมีแนวโนมเพ่มิ ข้นึ อยา งรวดเรว็ จนเกิดการลกุ ลามทําใหสภาวะสง่ิ แวดลอ มเสยี สมดุล5. พฤตกิ รรมของใครท่ีสงผลตอสิ่งแวดลอมไดด ีและรวดเร็วที่สุด (ว 2.1 ม.4-6/5 : วิเคราะห)1. A นําเศษอาหารไปเล้ียงหมู 2. B นาํ เศษอาหารไปสง โรงเลี้ยงสัตว3. C นาํ เศษอาหารไปขายเพือ่ หารายได 4. D นําเศษอาหารมาทาํ ปุยหมักชีวภาพ5. E นาํ เศษอาหารมาเล้ยี งปลาเพื่อลดคา ใชจา ย6. ใครที่ปฏบิ ตั ติ นตามหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง ขบั รถยนตอยางประหยดั เช้อื เพลิงไดดีท่ีสุด (ว 2.1 ม.4-6/5 : วเิ คราะห)1. ก ขบั รถดว ยความเร็วสงู เพ่อื ลดเวลาในการทาํ งาน2. ข ขบั รถกระบะอยางชาๆ เพอื่ ใหเครอ่ื งยนตทํางานเบาๆ3. ค ขับรถคันใหญด ว ยความเรว็ สูง ปด แอรแ ลวเปด กระจกรบั ลม4. ง ขบั รถคนั เล็กๆดว ยความเร็วระหวาง 60 - 80 กิโลเมตรตอ ชวั่ โมง5. จ ขับรถกระบะไปทํางานเพราะบรรทกุ ของไดเ ยอะเผื่อตองการใชงาน
7. “การนําเปลอื กขา วโพดมาใชทาํ เปน กอนเช้ือสําหรบั เพาะเห็ดนางฟา ” เพ่ือชว ยลดปญหาหมอกควนั เปนการดาํ เนนิ การตามหลกั การทรงงานของรัชกาลที่ 9 ในขอใด มากท่สี ดุ (ว 2.1 ม.4-6/5 : วิเคราะห)1. ไมต ดิ ตาํ รา 2. ทําตามลาํ ดับขั้น 3. ขาดทนุ คอื กําไร4. แกป ญหาจากจุดเลก็ 5. ใชธ รรมชาติชว ยธรรมชาติ8. นักเรยี นคดิ วา กระบวนการแกป ญหาสง่ิ แวดลอมตามขอใด ทีจ่ ะสามารถทาํ ใหไ ดผ ลดีและยัง่ ยนื มากทีส่ ดุ(ว 2.1 ม.4-6/4 : วิเคราะห)1. มีบทลงโทษทรี่ นุ แรงกับกลุมทําลายสง่ิ แวดลอม2. ควบคุมการใชเ ทคโนโลยแี ละวทิ ยาการสมยั ใหม3. การรวมมือชวยกันแกปญหาของภูมภิ าคตา งๆ ของโลก4. การปลูกจติ สํานึกใหต ระหนกั ถึงประโยชนแ ละความจาํ เปน ในการใช5. การใหคนพนื้ เมืองมีบทบาทในการจัดการสิง่ แวดลอ มในทองถิ่นอยางเหมาะสมพิจารณาโครงสรางของพอลิเมอรท ี่กาํ หนดใหต อไปน้ี จงตอบคาํ ถามขอ 9-11ก. .ขค. .ง9. พอลิเมอรที่มีเนื้อแข็ง จุดหลอมเหลวสูง เมื่อถูกความรอนแลวไมหลอมเหลว แตจะแตกราวและมีรอยไหมเกรียมโครงสรา งดังขอ ใด (ว 3.2 ม.4-6/5 : วิเคราะห)1. ก 2. ข 3. ค 4. ง 5. ค และ ง10. ถงุ พลาสตกิ ทใี่ สนํ้าแข็งหรือถุงพลาสตกิ ใสของที่เรียกกันวา ถงุ กอปแกป จากลกั ษณะของถุงที่นักเรียนทุกคนเคยสมั ผัสและใชงานมา นกั เรยี นคดิ วา โครงสรางพอลิเมอรข องถงุ ดงั กลา วเปนอยา งไร (ว 3.2 ม.4-6/6 : วิเคราะห)1. ก 2. ข 3. ค 4. ง 5. ค และ ง11. พลาสตกิ ท่ีสามารถนาํ มาหลอมเหลวแลว นาํ กลบั มาใชใหม (Recycle) ได ยกเวน โครงสรา งแบบใดท่ีไมส ามารถ(Recycle) ได (ว 3.2 ม.4-6/6 : วเิ คราะห)1. ก 2. ข 3. ค 4. ค และ ง 5. ก ขและ ง12. พลาสตกิ ชนดิ หนงึ่ นํามาใชทาํ สวติ ซไฟฟาเปน พลาสตกิ ทมี่ ีความแขง็ มาก แตเ มื่อถกู ความรอนสงู มากๆ จะเปราะและแตกหักได พลาสติกชนดิ นี้นา จะมีโครงสรา งแบบใด (ว 3.2 ม.4-6/6 : วิเคราะห)1. กิง่ 2. เสน 3. รา งแห4. กงิ่ หรอื รา งแห 5. เสนหรอื รางแห13. เกณฑต ามขอใดท่ใี ชในการแยกพลาสติกออกเปน 2 ประเภท คอื เทอรมอพลาสติกและพลาติกเทอรมอเซต(ว 3.2 ม.4-6/5 : วเิ คราะห)1. ความหนาแนน 2. ความคงทนตอกรด-เบส3. การหลอขึน้ รูปของผลติ ภณั ฑ 4. การเปลี่ยนแปลงเม่ือไดรับความรอน5. การละลายในตวั ทาํ ละลายอนิ ทรีย
14. ในปจจบุ นั ภาชนะที่ทําดวยพลาสติกมีขายอยูทั่วไปในราคาไมแพง มกี ารออกแบบเปนภาชนะรูปตางๆ นา ใช สสี วยแตพวี ซี ไี มเหมาะจะใชทําภาชนะใสอ าหาร เพราะเหตุใด (ว 3.2 ม.4-6/6: วิเคราะห)1. พีวซี เี มื่อถูกความรอนจะสลายใหแกสคลอรีนออกมา2. มอนอเมอรซ ึ่งเปนสารกอ มะเร็งอาจหลดุ ออกมาปนในอาหาร3. ในกระบวนการพอลเิ มอไรเซชันของพวี ซี ีนัน้ มกี ารใชส ารทม่ี ีตะก่ัวเจือปน4. สีทฉี่ าบบนพีวีซีจะไมตดิ แนนและเม่ือสีน้ีหลุดออกจากภาชนะจะเขาสรู า งกายกอ ใหเกิดมะเร็งได5. เม่ือภาชนะไดรบั ความรอนจะทําใหร ูปทรงเปล่ยี นแปลงไป จึงไมเ หมาะสมทีน่ าํ มาทําบรรจุอาหารอีกรอบ15. พลาสติก A ไมอ อนตัวเม่ือไดรับความรอนท่ีอุณหภูมสิ งู จะแตกและไหมกลายเปนข้ีเถา สวนพลาสติก B ออนตัวเมื่อไดร บั ความรอน ตดิ ไฟงาย ดบั ยาก พลาสติก A และ B คอื สารใด ตามลาํ ดบั (ว 3.2 ม.4-6/6:วิเคราะห)1. พีวีซี พอลิเอทลิ นี 2. ฟอรไมกา เมลามนี 3. พอลิสไตรีน พวี ีซี4. เมลามีน พอลิสไตรนี 5. เมลามีน พอลเิ อทิลนีตอนท่ี 1 สว นที่ 2 เปน แบบปรนยั เลือกตอบแบบเชงิ ซอน โดยคําถามชดุ น้มี ีคําถามยอยรวมอยูในขอเดียวกัน ซึ่งเกีย่ วกับเรื่อง/สถานการณท่ีอาน (ขอละ 2 คะแนน * ขอ ยอยละ 0.5 คะแนน) 1. พจิ ารณาขอ มูลตอไปนีแ้ ลวตอบคําถามจงพิจารณากจิ กรรมตอไปนี้ เกี่ยวกบั การใชแนวทาง 3R a. ตกั อาหารมาในบรเิ วณท่ตี นเองรับประทานหมดพอดี ไมใหมีอาหารเหลือท้ิง b. นาํ ถุงผาไปใสข องแทนถุงพลาสติก เวลาไปซ้ือของท่ีตลาดสด c. ซื้อน้ํายาลา งจานชนดิ เดมิ ใสใ นขวดน้ํายาลา งจานเดิม d. บรจิ าคคอมพวิ เตอรท ่ตี นเองไมไ ดใชใหกบั โรงเรียนประถมใกลๆ e. การนําเศษขวดแกวมาหลอมทาํ ขวดใหม f. ซ้อื กลอ งใสเอกสารทีท่ าํ จากกระดาษใชแลว g. ใชป ยุ คอก ปุย หมักในการเกษตรทดแทนการใชปุย เคมี h. รานสหกรณโ รงเรียน ลดราคาใหน ักเรียนท่ีนําภาชนะของตนเองมาซอ้ื น้ําผลไม จากขอมูลเกยี่ วกับ การใชแนวทาง 3R ขอความตอไปน้ี ถาเปนจรงิ ตามการใชแนวทาง 3R ใหเ ตมิ คําวา “จริง”แตถา ไมเ ปน จริงใหเติมคาํ วา “ไมจ ริง” ลงในชองวางทายขอยอยน้ันๆ (ว 2.1 ม.4-6/5 : วิเคราะห)ขอ ขอ ความ จริง/ไมจ ริง1.1 นาํ ขวดกาแฟทีใ่ ชหมดแลวมาใสน ํ้าตาลเปน การใชซํา้ Reuse1.2 กิจกรรมขอท่ี a , c , h ใชหลกั Reduce (ลดการใช)1.3 กจิ กรรมขอที่ a , c , d , g ใชหลัก Reuse (การใชซ า้ํ )1.4 กจิ กรรมขอท่ี e , f , g ใชห ลกั Recycle (การนํากลบั มาใชใหม แปรสภาพ)
2. พิจารณาขอมูลตอไปน้ีแลว ตอบคําถามตอ ไปนี้ พลาสติกเขามามีบทบาทอยางมากในชีวิตประจําวัน สามารถทดแทนวัสดุจากธรรมชาติท่ี มีอยูอยางจํากัด และเปนที่นิยมใชอยางแพรหลายทั่วโลก สวนมากผลิตมาจากโพลิเมอร )Polymer) ซึ่งมีคุณสมบัติท่ีหลากหลาย จึงมีการนําไปใชในงานท่ีแตกตางกันไป จากขอมูลเก่ียวกบั พลาสติกท่ีกําหนดให ขอ สรปุ ตอไปน้ีเปนจริงหรือไม ถาถูกตองตามความเปน จริงใหเติมคําวา“จรงิ ” แตถ า ไมถกู ตอ ง ผดิ ไปจากความเปนจริงให เติมคาํ วา “ไมจ ริง” ลงในชองวา งทายขอยอยนั้นๆ (ว 3.2 ม.4-6/6 :วิเคราะห)ขอ ขอสรุป จรงิ / ไมจ ริง2.1 สญั ลักษณล ูกศร 3 ตัว วนเปน รปู สามเหลย่ี มจึงหมายถึงการนาํ มารไี ซเคลิ ได2.2 พลาสติกยอยสลายยาก ทาํ ใหขดั ขวางการดดู นา้ํ และแรธาตุของรากพชื2.3 หมายเลขกํากับตรงกลางรปู สามเหลยี่ ม คือ การจัดประเภท/ชนิดพลาสตกิ ทจี่ ะนาํ มารี ไซเคลิ ได มี 7 วิธีการ2.4 พลาสติกที่สามารถนาํ กลับมารไี ซเคลิ ใหมไดเปน พลาสตกิ ประเภทเทอรมอเซตพลาสติกตอนที่ 1 สวนที่ 3 เปน แบบปรนยั เลอื กตอบแบบกลมุ คําตอบสัมพนั ธ โดยคําถามชดุ นม้ี ีคําถามมากกวา 1 ขอ ทมี่ ีเง่ือนไขใหคิดและสมั พันธตอ เน่ืองกัน โดยเลือกคําตอบที่ถกู ตองท่ีสดุ ลงในกระดาษคําตอบ ทแี่ จกให (ขอ ละ 3 คะแนน # ขอ คําถามยอยแตละกลมุ ๆละ 1 คะแนน) “ พอลิเมอรท ่ีใชในชวี ติ ประจาํ วันมี 2 แบบ คือ พอลิเมอรท ไี่ ดจากธรรมชาติและพอลิเมอรที่สังเคราะหข้ึน ซ่ึงมีหลายชนดิ และมีสมบัติทแ่ี ตกตางกันไป สามารถนาํ ไปผลติ เปนผลติ ภัณฑต า งๆได เชน ทอ น้ํา แผน เสียง ไมบ รรทดั ถุงใสของรอน เปนตน พอลเิ มอรแตละชนดิ มีสมบัตแิ ละประโยชน ดงั น้ี 1) พอลิเอทิลีน มสี มบตั เิ ปนพลาสติกที่มีบางจะใส ถาเปนแผน หนาจะขุน เล็กนอย เหนียว เนื้อออ น ตดิ ไฟได 2) พอลไิ วนลิ คลอไรด มสี มบัตเิ ปน พลาสติกทีม่ เี น้ือแข็งคงรปู เหนยี ว กันนาํ้ ได ทนการขดู ขดี ติดไฟงาย ดับงาย และทําใหเ กดิ ควนั พษิ 3) พอลิโพรพลิ ีน มีสมบตั เิ ปนพลาสตกิ ที่มโี ครงสรางแบบกิ่ง เนือ้ แขง็ ใส เบา 4) พอลิสไตรีน มีสมบตั เิ ปนพลาสติกท่ีมเี นอื้ แข็ง เปราะ เบา และ5)พอลิยเู รียฟอรมาลดไี ฮด มสี มบตั ิเปน พลาสตกิ ที่คงรปู ทนความรอ น ใส”1. จากขอมูลขา งตน สามารถแยกประเภทของพอลเิ มอรแ ละคุณสมบตั ิของพอลิเมอรขอใดถกู ตอง (กลุม A) โดยมี พอลิเมอรประเภทใดสามารถนํามาทาํ เปน ภาชนะบรรจอุ าหาร ถุงใสของเยน็ หลอดกาแฟหรือนาํ มาทําขวดใสน้าํ และใสสารเคมีได (กลุม B) และผลิตภัณฑของพอลเิ มอรต ามขอ ใด ทม่ี ีสมบัตเิ ปนพลาสติกเทอรมอเซต มี โครงสรางแบบกิง่ ใส เบา (กลมุ C) (กลมุ A) (กลมุ B) (กลุม C)ก. พอลิเอทลิ ีน เทอรม อพลาสตกิ ก. พอลสิ ไตรนี ก. ถงุ ใสข องเยน็ข. พอลิสไตรนี พลาสตกิ เทอรมอเซต ข. พอลิเอทลิ นี ข. หลอดกาแฟค. พอลิไวนลิ คลอไรด พลาสตกิ เทอรม อเซต ค. พอลิไวนิลคลอไรด ค. เสอื้ กันฝนง. พอลยิ เู รียฟอรม าลดไี ฮด เทอรมอพลาสติก ง. พอลิยูเรียฟอรม าลดไี ฮด ง. ไมบรรทัด
จากขอมูลขา งตน สามารถจัดกลุม ความสัมพันธท ่ีถูกตอ ง ตามกลุม A , กลุม B และ กลุม C ตามขอใด(ว 3.2 ม.4-6/6 : วเิ คราะห)1. ก , ค , ง 2. ข,ค,ง 3. ค , ข , ง4. ง , ข , ก 5. ก,ข,ง2. ปญ หาส่ิงแวดลอ มและทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีพบในปจ จุบัน หากปลอยทิง้ ไวโดยไมมีใครสนใจทจี่ ะคดิ แกไข มนุษย ยังคงมีพฤติกรรมเดิมจากความเคยชนิ นบั วันจะยง่ิ ทวคี วามรุนแรงมากขน้ึ เรอ่ื ยๆ ดังนัน้ ถงึ เวลาแลวทม่ี นุษยท ุกคน จะตอ งใหค วามรวมมือ รวมใจในการปองกนั และแกไขปญหาสิง่ แวดลอมและทรัพยากรธรรมชาติ โดยทม่ี นษุ ยท ุกคน จาํ เปนตองชวยกนั อนุรกั ษแ ละพฒั นาทรัพยากรธรรมชาติเพราะอะไร(กลุม A) ซึง่ ในกระบวนการขัน้ ตอนใน การอนรุ กั ษแ ละพฒั นาทรัพยากรธรรมชาติ การกระทาํ ในขอใดท่ตี องเกิดขน้ึ เปน ลาํ ดบั แรก(กลุม B) และการ แกป ญ หาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอมใหไดผ ลดีมากท่สี ดุ (กลุม C) (ว 2.1 ม.4-6/5 : วเิ คราะห) (กลุม A) (กลมุ B) (กลุม C)ก. เปนสว นหนง่ึ ของธรรมชาติ ก. การเก็บรวบรวมขอมลู ก. มบี ทลงโทษทรี่ นุ แรงกับกลุมทําลายข. เปน ผเู ปลยี่ นแปลงทรพั ยากรธรรมชาติ สารมลพษิ ส่งิ แวดลอม ข. การวเิ คราะหป ญ หามลพษิ ข. ควบคมุ การใชเ ทคโนโลยีและค. เปน ผูต รากฎหมายคุมครอง ค. การควบคุมมลพษิ วทิ ยาการสมยั ใหม ทรัพยากรธรรมชาติ ง. การปองกนั มลพษิ ค. การรว มมอื ชวยกนั แกป ญหาของง. เปนผูใชทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละทําให ภมู ภิ าคตาง ๆ ของโลก เกิดการรอยหรอทรดุ โทรม ง. การปลูกจิตสาํ นกึ ใหต ระหนกั ถึง ประโยชนแ ละความจาํ เปนในการใชจากขอมูลขา งตน สามารถจดั กลุมความสัมพนั ธท่ถี กู ตอ ง ตามกลมุ A , กลุม B และ กลุม C ตามขอ ใด1. ก , ก , ง 2. ข , ค , ง 3. ก , ง , ข4. ค , ก , ง 5. ข , ก , คตอนท่ี 2 เปนแบบทดสอบแบบอัตนัย(เขยี นตอบคําถาม) ใหนักเรยี นตอบคาํ ถามตอไปนี้ โดยการเขียนอธิบายเก่ยี วกบั เน้อื หาสาระตามทีไ่ ดเ รียนรมู า1. พอลเิ มอรทใ่ี ชในชีวิตประจาํ วันมี 2 แบบ คือ พอลิเมอรที่ไดจากธรรมชาตแิ ละพอลิเมอรทส่ี ังเคราะหข ้นึ ซึ่งมหี ลายชนดิ และมีสมบตั ทิ ่แี ตกตางกนั ไป สามารถนําไปผลติ เปนผลติ ภัณฑต างๆได สามารถแบงตามโครงสรา งของพอลเิ มอร ได 3 แบบ ใหนกั เรยี นเขยี นอธบิ าย สรปุ องคความรูเ กยี่ วกบั โครงสรา งของพอลเิ มอรท ้ังสามพรอ มวาดภาพประกอบตําอธบิ าย (ว 3.2 ม.4-6/5 : นําไปใช : 4 คะแนน)เกณฑการใหค ะแนน- ใหคะแนน 2 คะแนน สามารถเขยี นอธิบาย สรปุ องคความรูเกย่ี วกบั โครงสรา งของพอลเิ มอรทัง้ สามพรอมวาดภาพประกอบโครงสรางของพอลิเมอร- ใหคะแนน 1 คะแนน สามารถเขียนอธบิ าย สรปุ องคความรูเกย่ี วกับโครงสรางของพอลิเมอรทั้งสามหรอืวาดภาพประกอบโครงสรางของพอลเิ มอรอยางใดอยางหน่ึง- ใหคะแนน 0 คะแนน เขียนอธบิ ายไมถูกตองและไมม ีการตอบคําถามใดๆ
2. “ปรมิ าณเศษอาหารท่ีเหลือทิ้งในแตละม้ือของแตละหอนอน”ใหนักเรียนวิเคราะหโ ดยใชห ลกั ปรชั ญาของ เศรษฐกจิ พอเพียง 2 เง่ือนไข 3 หลกั การและ 4 มติ ิ ในแกปญหาเร่อื งดังกลา ว (ตามหัวขอ ที่กําหนด) พรอ ม ระบุแนวทางในการจัดการเศษอาหารท่ีเกิดประโยชนและเปน มิตรกบั ส่ิงแวดลอมมากทสี่ ุด (ว 2.1 ม.4-6/5 : ประเมนิ คา = 5 คะแนน)เกณฑการใหค ะแนน - ใหคะแนน 1 คะแนน สามารถเขยี นอธิบาย ใชหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 2 เงื่อนไข 3 หลกั การ และ 4 มิติ ในแกปญหา - ใหค ะแนน 0 คะแนน เขียนอธิบายไมถกู ตองและไมมีการตอบคําถามใดๆ @@@@@@@@@@@@@@@@@ลงชอื่ ...................................... ลงช่ือ........................................... ลงชื่อ ……………................................... (น.ส.ณัฐธนัญา บญุ ถงึ ) (น.ส.ณฐั ธนญั า บุญถึง) (นายเสรี แซจาง) ครผู สู อน (ผูแตง/พมิ พ) หัวหนา กลมุ สาระฯ วิทยาศาสตร งานวดั ผลระดับช้นั มัธยมศกึ ษาตอนปลายลงชอ่ื ................................................. ลงชอื่ ....................................................................... (น.ส.ศิริมา เมฆปจ ฉาพชิ ติ ) (นายวเิ ศษ ฟองตา) หัวหนางานวัดและประเมนิ ผล รองผอู าํ นวยการกลมุ บรหิ ารงานวิชาการ
เฉลยแบบสอบกลางภาคโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห 31 อําเภอแมแจม จังหวัดเชียงใหมแบบทดสอบ รายวิชาวิทยาศาสตร รหัสวชิ า ว 33101 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 จํานวน 1.0 หนว ยกิตภาคเรียนที่ 1 ปก ารศกึ ษา 2561 เวลาสอบ 60 นาที จํานวน 20 คะแนน *************************************คําชแี้ จง 1. แบบทดสอบน้ีมวี ัตถุประสงคเพ่ือวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นกลางภาคที่ 1 ปการศกึ ษา 2561ชัน้ มัธยมศึกษาปท ่ี 6 ตามมาตรฐานและตวั ชว้ี ดั รายวชิ าวิทยาศาสตร รหสั วิชา ว 33101 ดงั นี้มาตรฐาน ว 2.1 เขาใจส่งิ แวดลอมในทอ งถนิ่ ความสมั พันธร ะหวางสง่ิ แวดลอมกับสง่ิ มีชวี ิต ความสัมพนั ธระหวางสง่ิ มชี วี ติ ตา งๆในระบบนเิ วศ มีกระบวนการสบื เสาะ หาความรูและจิตวทิ ยาศาสตรส อื่ สาร สิง่ ทีเ่ รียนรแู ละนําความรไู ปใชประโยชนว 2.1 ม.4-6/4 อภิปรายแนวทางในการปอ งกนั แกไ ข ปญหาสิ่งแวดลอ มและทรัพยากรธรรมชาติว 2.1 ม.4-6/5 วางแผนและดําเนินการเฝา ระวงั อนุรกั ษและพัฒนาสิง่ แวดลอมและทรพั ยากรธรรมชาติมาตรฐาน ว 3.2 เขา ใจหลกั การและธรรมชาติของการเปลยี่ นแปลงสถานะของสาร การเกิดสารละลายการเกดิ ปฏกิ ิริยา มีกระบวนการสืบเสาะหาความรแู ละจิตวทิ ยาศาสตร สือ่ สารส่ิงท่เี รียนรูและนาํ ความรไู ปใชป ระโยชนว 3.2 ม.4-6/5 ทดลองและอธิบายการเกิดพอลเิ มอร สมบัติของพอลเิ มอรว 3.2 ม.4-6/6 อภปิ รายการนาํ พอลเิ มอรไ ปใชประโยชน รวมท้ังผลท่เี กดิ จากการผลิตและใชพ อลเิ มอรต อ ส่งิ มีชวี ติ และสง่ิ แวดลอ ม2. แบบทดสอบฉบบั น้ีมจี าํ นวนทัง้ หมด 7 หนา มีลักษณะแบบทดสอบ คอื แบงเปน 2 ตอนตอนที่ 1 สว นท่ี 1 เปน แบบปรนัย (เลอื กตอบ 1 คาํ ตอบ) จํานวน 20 ขอสว นท่ี 2 เปน แบบปรนัย (เลอื กตอบเชิงซอน) จาํ นวน 2 ขอสว นท่ี 3 เปน แบบปรนัย (เลือกตอบแบบกลมุ สมั พันธ) จาํ นวน 2 ขอตอนที่ 2 เปนแบบทดสอบแบบอัตนยั (เขียนตอบคําถาม ) จํานวน 3 ขอ3. เกณฑก ารใหคะแนนตอนท่ี 1 สวนท่ี 1 เปน แบบปรนยั เลือกตอบ 1 คําตอบ (ขอละ 0.5 คะแนน) รวม 10 คะแนนสว นท่ี 2 เปน แบบปรนยั เลือกตอบเชงิ ซอน (ขอ ละ 2 คะแนน) รวม 4 คะแนนสว นท่ี 3 เปน แบบปรนยั เลอื กตอบแบบกลุม สมั พันธ (ขอ ละ 3 คะแนน) รวม 6 คะแนนตอนที่ 2 เปนแบบทดสอบแบบอตั นัยเขียนตอบคําถาม (ขอ ละ 3 คะแนน) รวม 10 คะแนน รวมทั้งสน้ิ 30 คะแนน4. ขอ ปฏิบัติในการสอบ1. แตง กายดว ยชดุ นักเรยี นใหส ภุ าพเรยี บรอย ตามขอ บงั คบั ของโรงเรยี นราชประชานุเคราะห 312. หา มนําหนังสือ/เอกสารเขาไปในทีน่ ่ังสอบ และหา มทาํ เครอ่ื งหมายใดๆ ลงใบขอ สอบที่แจกให3. หามนาํ เคร่อื งคดิ เลขเขาหอ งสอบ อนุญาตใหน ักเรยี นคดิ เลขไดในดานหลังของกระดาษคาํ ตอบ4. หา มนักเรียนนํากระดาษคาํ ตอบออกหองสอบ จะตอ งสง คนื กรรมการควบคุมหองสอบเมื่อสอบเสรจ็5. หามนักเรยี นตดิ ตอพดู จาปรกึ ษาหรอื ทําสญั ญาณขณะทาํ ขอสอบ เมอ่ื มขี อ สงสัยหรือตองการสงิ่ ใด ใหยกมือข้นึสอบถามหรอื ขอความชว ยเหลอื จากกรรมการควบคมุ หอ งสอบ หากพบการทจุ รติ ในการสอบในครั้งนี้จะปรับตกรายวชิ าน้ีทันที
ตอนท่ี 1 สวนท่ี 1 เปนแบบปรนัย 5 ตัวเลือก เลอื กคําตอบทถ่ี ูกตองท่ีสดุ เพยี งคําตอบเดียว ลงในกระดาษคาํ ตอบทแ่ี จกให (ขอละ 0.5 คะแนน)1. ขอ ใดตอไปน้ี ไมใ ช วธิ กี ารบํารงุ รักษาและบําบดั มลพษิ ในดิน ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง(ว 2.1 ม.4-6/5 : วิเคราะห)1. การใชซากพืช เศษวชั พืชหรอื ของเหลอื ใชทางการเกษตรมาเปนวตั ถุดบิ เพอื่ มาผลิตเปนปุย2. การใชพชื สมุนไพรในการกําจัดศัตรูพืชทางการเกษตรแทนการใชส ารเคมี3. การผลิตปุยจากแรธ าตโุ ดยตั้งโรงงานขน้ึ เองในชุมชน4. การปลูกพชื คลมุ ดินเพอ่ื ชวยลดการพังทลายของดิน5. การปลกู หญา ชว ยคลมุ ดินเพ่ิมความชมุ ชืน้ ของดิน2. ทรพั ยากรของประเทศไทย เม่ือมีการจดั ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติแตละประเภทพรอมยกตวั อยาง ดังตอไปนี้การยกตัวอยางและระบุประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ ในขอ ใด ไมถ ูกตอง (ว 2.1 ม.4-6/3 : การนาํ ไปใช)1. แร - ทรัพยากรธรรมชาติท่ใี ชแ ลว หมดไป 2. น้าํ มัน - ทรัพยากรธรรมชาติที่ใชแลวหมดไป3. แสงแดด - ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ีใ่ ชไมห มดสน้ิ 4. สตั วปา - ทรพั ยากรธรรมชาติท่ีใชแ ลวหมดสิ้น5. ปา ไม - ทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ใี ชแ ลว เกิดทดแทนได3. ปจจยั สาํ คัญที่สุดทําใหเกิดวกิ ฤตการณสิ่งแวดลอมและทรัพยากรธรรมชาติของทอ งถ่ินและประเทศคือขอ ใด(ว 2.1 ม.4-6/3 : วเิ คราะห)1. ความเจรญิ ของชุมชนเมือง 2. ความเจรญิ ของอตุ สาหกรรม3. ความกา วหนาของเทคโนโลยี 4. การเพิ่มจํานวนประชากรมนษุ ย5. การใชพ ลงั งานทุกประเภทเพิ่มข้นึ4. ขอ ความในขอ ใด กลา วไมถ ูกตอ ง เกีย่ วกับ มาตรการปองกันเพื่อแกไขปญหาสง่ิ แวดลอมและทรัพยากรธรรมชาติ(ว 2.1 ม.4-6/5 : วเิ คราะห)1. เปน มาตรการทางกฎหมายทใี่ ชบงั คบั2. การใชพืชสมุนไพรในการกาํ จดั ศตั รูพชื ทางการเกษตร แทนการใชส ารเคมี3. การปอ งกนั ทรัพยากรทีส่ ามารถเพิม่ ข้นึ เองเพ่ือทดแทนทรพั ยากรซ่ึงถูกใชไป4. การดําเนินการกบั ทรพั ยากรท่ลี ดลงหรือเส่ือมโทรมใหสามารถคนื สภาพเดมิ ได5. ปอ งกันทรัพยากรที่มแี นวโนม เพมิ่ ขน้ึ อยางรวดเรว็ จนเกิดการลุกลามทําใหสภาวะสง่ิ แวดลอมเสยี สมดุล5. พฤตกิ รรมของใครท่ีสง ผลตอ สง่ิ แวดลอ มไดด ีและรวดเร็วที่สุด (ว 2.1 ม.4-6/5 : วเิ คราะห)1. A นําเศษอาหารไปเลีย้ งหมู 2. B นาํ เศษอาหารไปสง โรงเลีย้ งสตั ว3. C นาํ เศษอาหารไปขายเพ่อื หารายได 4. D นาํ เศษอาหารมาทาํ ปุยหมกั ชีวภาพ5. E นําเศษอาหารมาเลยี้ งปลาเพอ่ื ลดคา ใชจ า ย6. ใครทป่ี ฏบิ ัตติ นตามหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง ขับรถยนตอยา งประหยัดเชื้อเพลงิ ไดด ีที่สดุ (ว 2.1 ม.4-6/5 : วิเคราะห)1. ก ขับรถดวยความเร็วสงู เพอื่ ลดเวลาในการทาํ งาน2. ข ขบั รถกระบะอยา งชา ๆ เพ่อื ใหเ ครือ่ งยนตท ํางานเบาๆ3. ค ขับรถคันใหญดวยความเร็วสูง ปด แอรแ ลว เปดกระจกรับลม4. ง ขับรถคนั เล็กๆดวยความเร็วระหวาง 60 - 80 กิโลเมตรตอ ช่ัวโมง5. จ ขับรถกระบะไปทํางานเพราะบรรทกุ ของไดเ ยอะเผ่ือตอ งการใชง าน
7. “การนาํ เปลือกขา วโพดมาใชท ําเปนกอนเช้ือสาํ หรบั เพาะเห็ดนางฟา ” เพื่อชวยลดปญ หาหมอกควันเปนการดาํ เนนิ การตามหลกั การทรงงานของรชั กาลที่ 9 ในขอใด มากทีส่ ุด (ว 2.1 ม.4-6/5 : วเิ คราะห)1. ไมตดิ ตาํ รา 2. ทาํ ตามลําดับข้นั 3. ขาดทุนคอื กาํ ไร4. แกป ญหาจากจุดเลก็ 5. ใชธ รรมชาตชิ ว ยธรรมชาติ8. นักเรยี นคิดวากระบวนการแกปญหาส่งิ แวดลอมตามขอใด ทีจ่ ะสามารถทาํ ใหไดผ ลดีและยง่ั ยืน มากทีส่ ุด(ว 2.1 ม.4-6/3 : วิเคราะห)1. มบี ทลงโทษทร่ี นุ แรงกบั กลุม ทาํ ลายส่งิ แวดลอ ม2. ควบคมุ การใชเ ทคโนโลยแี ละวิทยาการสมยั ใหม3. การรวมมือชวยกันแกป ญหาของภมู ิภาคตา งๆ ของโลก4. การปลูกจิตสาํ นกึ ใหต ระหนกั ถึงประโยชนและความจําเปน ในการใช5. การใหค นพ้ืนเมืองมีบทบาทในการจัดการสงิ่ แวดลอ มในทอ งถนิ่ อยา งเหมาะสมพิจารณาโครงสรางของพอลเิ มอรที่กําหนดใหตอไปน้ี จงตอบคําถามขอ 9-11ก. .ขค. .ง9. พอลิเมอรที่มีเนื้อแข็ง จุดหลอมเหลวสูง เมื่อถูกความรอนแลวไมหลอมเหลว แตจะแตกราวและมีรอยไหมเกรียมโครงสรางดังขอ ใด (ว 3.2 ม.4-6/5 : วิเคราะห)1. ก 2. ข 3. ค 4. ง 5. ค และ ง10. ถงุ พลาสติกท่ีใสน้าํ แข็งหรือถงุ พลาสตกิ ใสของทเี่ รียกกันวา ถงุ กอปแกป จากลักษณะของถงุ ทน่ี ักเรียนทุกคนเคยสมั ผัสและใชง านมา นักเรียนคิดวา โครงสรางพอลิเมอรของถงุ ดงั กลา วเปนอยา งไร (ว 3.2 ม.4-6/6 : วิเคราะห)1. ก 2. ข 3. ค 4. ง 5. ค และ ง11. พลาสติกทีส่ ามารถนาํ มาหลอมเหลวแลวนาํ กลบั มาใชใ หม (Recycle) ได ยกเวน โครงสรา งแบบใดท่ีไมส ามารถ(Recycle) ได (ว 3.2 ม.4-6/6 : วเิ คราะห)1. ก 2. ข 3. ค 4. ค และ ง 5. ก ขและ ง12. พลาสติกชนดิ หนงึ่ นาํ มาใชทําสวิตซไฟฟา เปน พลาสติกท่ีมคี วามแข็งมาก แตเ มือ่ ถูกความรอ นสูงมากๆ จะเปราะและแตกหักได พลาสติกชนดิ น้นี า จะมีโครงสรางแบบใด (ว 3.2 ม.4-6/6 : วิเคราะห)1. กง่ิ 2. เสน 3. รา งแห4. กง่ิ หรอื รา งแห 5. เสนหรอื รา งแห13. เกณฑต ามขอใดทใ่ี ชในการแยกพลาสติกออกเปน 2 ประเภท คือ เทอรมอพลาสตกิ และพลาติกเทอรม อเซต(ว 3.2 ม.4-6/1 : วิเคราะห)1. ความหนาแนน 2. ความคงทนตอกรด-เบส3. การหลอ ข้ึนรูปของผลติ ภัณฑ 4. การเปลี่ยนแปลงเม่ือไดรับความรอน5. การละลายในตวั ทําละลายอนิ ทรีย
14. ในปจ จุบนั ภาชนะทที่ ําดวยพลาสติกมีขายอยูทั่วไปในราคาไมแพง มีการออกแบบเปน ภาชนะรปู ตางๆ นา ใช สสี วยแตพีวซี ไี มเหมาะจะใชท ําภาชนะใสอาหาร เพราะเหตใุ ด (ว 3.2 ม.4-6/2 : วเิ คราะห)1. พวี ีซเี มื่อถูกความรอนจะสลายใหแกส คลอรีนออกมา2. มอนอเมอรซ ึ่งเปนสารกอมะเร็งอาจหลดุ ออกมาปนในอาหาร3. ในกระบวนการพอลิเมอไรเซชนั ของพีวีซนี ัน้ มกี ารใชส ารท่ีมตี ะกั่วเจอื ปน4. สที ่ฉี าบบนพวี ีซีจะไมติดแนน และเม่ือสีนหี้ ลดุ ออกจากภาชนะจะเขาสูร า งกายกอ ใหเ กิดมะเรง็ ได5. เมอื่ ภาชนะไดร บั ความรอ นจะทําใหร ูปทรงเปลย่ี นแปลงไป จงึ ไมเ หมาะสมทนี่ ํามาทาํ บรรจอุ าหารอีกรอบ15. พลาสติก A ไมอ อนตัวเมื่อไดรับความรอ นที่อุณหภูมิสงู จะแตกและไหมก ลายเปน ขเี้ ถา สว นพลาสตกิ B ออนตวั เม่ือไดรบั ความรอน ตดิ ไฟงา ย ดบั ยาก พลาสติก A และ B คือสารใด ตามลําดับ (ว 3.2 ม.4-6/1 : วเิ คราะห)1. พวี ีซี พอลิเอทลิ ีน 2. ฟอรไมกา เมลามนี 3. พอลสิ ไตรนี พีวีซี4. เมลามีน พอลิสไตรีน 5. เมลามีน พอลเิ อทลิ นีตอนท่ี 1 สวนที่ 2 เปน แบบปรนัย เลอื กตอบแบบเชงิ ซอน โดยคาํ ถามชุดนี้มีคาํ ถามยอ ยรวมอยใู นขอเดียวกัน ซึง่ เกยี่ วกับเรือ่ ง/สถานการณท่อี าน (ขอละ 2 คะแนน * ขอยอ ยละ 0.5 คะแนน) 1. พิจารณาขอ มลู ตอไปนแี้ ลวตอบคําถามจงพจิ ารณากจิ กรรมตอ ไปน้ี เก่ียวกับ การใชแนวทาง 3R a. ตักอาหารมาในบริเวณทต่ี นเองรบั ประทานหมดพอดี ไมใหม ีอาหารเหลือท้ิง b. นําถงุ ผาไปใสของแทนถุงพลาสติก เวลาไปซ้ือของท่ีตลาดสด c. ซื้อนํา้ ยาลางจานชนิดเดิมใสใ นขวดนํ้ายาลา งจานเดิม d. บรจิ าคคอมพิวเตอรท ี่ตนเองไมไ ดใชใ หก บั โรงเรยี นประถมใกลๆ e. การนําเศษขวดแกว มาหลอมทาํ ขวดใหม f. ซอื้ กลอ งใสเอกสารที่ทาํ จากกระดาษใชแลว g. ใชป ยุ คอก ปยุ หมักในการเกษตรทดแทนการใชป ุยเคมี h. รา นสหกรณโ รงเรยี น ลดราคาใหน ักเรียนทีน่ ําภาชนะของตนเองมาซื้อน้ําผลไม จากขอมลู เก่ยี วกับ การใชแ นวทาง 3R ขอความตอไปน้ี ถาเปน จรงิ ตามการใชแนวทาง 3R ใหเ ตมิ คาํ วา “จรงิ ”แตถาไมเ ปนจริงใหเ ติมคาํ วา “ไมจ รงิ ” ลงในชอ งวางทายขอยอ ยนนั้ ๆ (ว 2.1 ม.4-6/5 : วิเคราะห)ขอ ขอความ จรงิ /ไมจ รงิ1.1 นําขวดกาแฟท่ใี ชห มดแลวมาใสน้ําตาลเปน การใชซํา้ Reuse จรงิ1.2 กจิ กรรมขอท่ี a , c , h ใชหลัก Reduce (ลดการใช)1.3 กจิ กรรมขอที่ a , c , d , g ใชห ลัก Reuse (การใชซ้ํา) ไมจรงิ (c ไมจรงิ )1.4 กิจกรรมขอที่ e , f , g ใชห ลกั Recycle (การนํากลบั มาใชใหม ไมจริง (a,g ไมจ รงิ ) แปรสภาพ) จรงิ
2. พิจารณาขอ มูลตอไปนแี้ ลวตอบคําถามตอไปนี้ พลาสติกเขามามีบทบาทอยางมากในชีวิตประจําวัน สามารถทดแทนวัสดุจากธรรมชาติที่ มีอยูอยางจํากัด และเปนท่ีนิยมใชอยางแพรหลายทั่วโลก สวนมากผลิตมาจากโพลิเมอร )Polymer) ซึ่งมีคุณสมบัติที่หลากหลาย จึงมีการนาํ ไปใชในงานท่ีแตกตางกันไป จากขอมลู เกีย่ วกับพลาสติกท่ีกําหนดให ขอ สรุปตอไปน้ีเปนจริงหรอื ไม ถา ถูกตองตามความเปนจริงใหเตมิ คําวา“จรงิ ” แตถาไมถูกตอ ง ผดิ ไปจากความเปนจริงให เติมคําวา “ไมจ ริง” ลงในชองวา งทา ยขอยอยนนั้ ๆ (ว 3.2 ม.4-6/6 :วิเคราะห)ขอ ขอ สรุป จริง / ไมจ ริง2.1 สญั ลักษณลกู ศร 3 ตวั วนเปน รูปสามเหล่ยี มจงึ หมายถึงการนาํ มารีไซเคลิ ได จรงิ2.2 พลาสตกิ ยอยสลายยาก ทําใหขดั ขวางการดูดนาํ้ และแรธ าตุของรากพชื จริง2.3 หมายเลขกํากบั ตรงกลางรปู สามเหลย่ี ม คือ การจัดประเภท/ชนิดพลาสตกิ ทีจ่ ะนาํ มารี ไมจ รงิ ไมจ ริง ไซเคลิ ได มี 7 วิธกี าร2.4 พลาสติกท่ีสามารถนาํ กลับมารีไซเคลิ ใหมไดเปนพลาสติกประเภทเทอรมอเซตพลาสตกิตอนท่ี 1 สว นท่ี 3 เปน แบบปรนัยเลอื กตอบแบบกลุม คําตอบสัมพันธ โดยคําถามชุดน้มี ีคําถามมากกวา 1 ขอ ทม่ี ีเง่ือนไขใหคดิ และสมั พนั ธต อเน่ืองกัน (ขอ ละ 3 คะแนน # ขอ คําถามยอ ยแตละกลุม กลุมๆละ 1 คะแนน) “ พอลเิ มอรท ใี่ ชใ นชีวิตประจําวนั มี 2 แบบ คอื พอลิเมอรท ่ีไดจ ากธรรมชาติและพอลเิ มอรท ่ีสังเคราะหขึ้น ซึง่ มีหลายชนดิ และมีสมบัติที่แตกตางกนั ไป สามารถนาํ ไปผลติ เปนผลติ ภัณฑต างๆได เชน ทอ นาํ้ แผน เสยี ง ไมบรรทดั ถงุใสข องรอ น เปนตน พอลเิ มอรแ ตล ะชนิดมสี มบัติและประโยชน ดงั น้ี 1) พอลิเอทลิ นี มสี มบัติเปน พลาสตกิ ทีม่ บี างจะใส ถา เปน แผนหนาจะขนุ เล็กนอย เหนยี ว เนอื้ ออ น ติดไฟได 2) พอลิไวนิลคลอไรด มีสมบัติเปนพลาสติกท่ีมีเนือ้ แขง็คงรูป เหนียว กันน้ําได ทนการขูดขีด ตดิ ไฟงาย ดับงาย และทําใหเ กิดควันพษิ 3) พอลโิ พรพิลนี มีสมบตั ิเปนพลาสตกิ ท่ีมโี ครงสรา งแบบก่ิง เนอ้ื แข็ง ใส เบา 4) พอลิสไตรนี มสี มบตั เิ ปน พลาสติกที่มเี นอื้ แขง็ เปราะ เบา และ5)พอลยิ ูเรียฟอรมาลดีไฮด มีสมบตั ิเปนพลาสตกิ ทคี่ งรูป ทนความรอน ใส”1. จากขอ มูลขา งตน สามารถแยกประเภทของพอลิเมอรแ ละคณุ สมบัติของพอลเิ มอรขอใดถกู ตอง (กลมุ A) โดยมี พอลเิ มอรประเภทใดสามารถนาํ มาทาํ เปน ภาชนะบรรจุอาหาร ถุงใสของเย็น หลอดกาแฟหรือนํามาทําขวดใสน้าํ และใสสารเคมีได (กลุม B) และผลิตภัณฑข องพอลเิ มอรต ามขอ ใด ทม่ี ีสมบตั เิ ปนพลาสตกิ เทอรมอเซต มี โครงสรา งแบบก่ิง ใส เบา (กลมุ C) (กลุม A) (กลมุ B) (กลุม C)ก. พอลเิ อทิลีน เทอรม อพลาสตกิ ก. พอลิสไตรีน ก. ถุงใสข องเย็นข. พอลสิ ไตรีน พลาสตกิ เทอรมอเซต ข. พอลเิ อทิลนี ข. หลอดกาแฟค. พอลิไวนิลคลอไรด พลาสตกิ เทอรม อเซต ค. พอลิไวนลิ คลอไรด ค. เสือ้ กนั ฝนง. พอลยิ ูเรียฟอรมาลดไี ฮด เทอรมอพลาสตกิ ง. พอลยิ ูเรยี ฟอรม าลดไี ฮด ง. ไมบ รรทดั
จากขอมูลขางตนสามารถจัดกลมุ ความสมั พนั ธท ่ถี ูกตอง ตามกลุม A , กลมุ B และ กลมุ C ตามขอ ใด(ว 3.2 ม.4-6/6 : วเิ คราะห)1. ก , ค , ง 2. ข,ค,ง 3. ค , ข , ง4. ง , ข , ก 5. ก,ข,ง2. ปญ หาส่ิงแวดลอ มและทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีพบในปจ จุบัน หากปลอยท้ิงไวโ ดยไมมีใครสนใจทจ่ี ะคิดแกไข มนุษย ยงั คงมีพฤติกรรมเดิมจากความเคยชนิ นับวนั จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขน้ึ เรอ่ื ยๆ ดังนั้นถงึ เวลาแลว ทมี่ นุษยท ุกคน จะตอ งใหความรว มมอื รวมใจในการปองกนั และแกไขปญหาส่ิงแวดลอ มและทรัพยากรธรรมชาติ โดยที่มนษุ ยท ุกคน จาํ เปน ตอ งชวยกันอนรุ ักษและพัฒนาทรัพยากรธรรมชาตเิ พราะอะไร(กลุม A) ซึ่งในกระบวนการขั้นตอนใน การอนรุ กั ษแ ละพฒั นาทรัพยากรธรรมชาติ การกระทาํ ในขอใดทต่ี อ งเกดิ ขน้ึ เปน ลาํ ดับแรก(กลมุ B) และการ แกปญหาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอมใหไ ดผ ลดมี ากทีส่ ดุ (กลุม C) (ว 2.1 ม.4-6/5 : วิเคราะห) (กลุม A) (กลุม B) (กลุม C)ก. เปน สว นหนึ่งของธรรมชาติ ก. การเก็บรวบรวมขอมูล ก. มีบทลงโทษที่รุนแรงกบั กลมุ ทาํ ลายข. เปนผูเ ปล่ียนแปลงทรัพยากรธรรมชาติ สารมลพิษ สงิ่ แวดลอม ข. การวเิ คราะหปญ หามลพิษ ข. ควบคมุ การใชเทคโนโลยีและค. เปนผูตรากฎหมายคมุ ครอง ค. การควบคมุ มลพิษ วทิ ยาการสมัยใหม ทรัพยากรธรรมชาติ ง. การปองกนั มลพษิ ค. การรวมมอื ชว ยกันแกปญหาของง. เปน ผใู ชทรัพยากรธรรมชาตแิ ละทําให ภูมิภาคตาง ๆ ของโลก เกดิ การรอยหรอทรดุ โทรม ง. การปลกู จิตสาํ นกึ ใหต ระหนกั ถงึ ประโยชนและความจาํ เปนในการใชจากขอมูลขางตน สามารถจัดกลุม ความสมั พนั ธท ถี่ ูกตอง ตามกลมุ A , กลมุ B และ กลุม C ตามขอ ใด1. ก , ก , ง 2. ข , ค , ง 3. ก , ง , ข4. ค , ก , ง 5. ข , ก , คตอนที่ 2 เปน แบบทดสอบแบบอัตนยั (เขียนตอบคําถาม) ใหนักเรียนตอบคาํ ถามตอไปน้ี โดยการเขยี นอธบิ ายเกย่ี วกบั เน้ือหาสาระตามทีไ่ ดเรยี นรมู า1. พอลิเมอรทีใ่ ชใ นชวี ิตประจาํ วนั มี 2 แบบ คือ พอลิเมอรทไี่ ดจ ากธรรมชาติและพอลิเมอรท ี่สังเคราะหข ้นึ ซ่ึงมหี ลายชนิดและมีสมบัตทิ ่ีแตกตางกันไป สามารถนําไปผลิตเปนผลติ ภณั ฑตา งๆได สามารถแบง ตามโครงสรา งของพอลเิ มอร ได 3 แบบ ใหนักเรยี นเขยี นอธิบาย สรปุ องคความรเู ก่ียวกับโครงสรา งของพอลเิ มอรท ั้งสามพรอมวาดภาพประกอบตําอธบิ าย (ว 3.2 ม.4-6/1 : นาํ ไปใช)1.1. พอลเิ มอรแ บบเสน (Chain length polymer) เปน พอลเิ มอรท เี่ กดิ จากมอนอเมอรสรา งพันธะตอกันเปนสายยาว โซพอลเิ มอรเรยี งชดิ กนั มากวา โครงสรา งแบบอนื่ ๆ จงึ มีความหนาแนน และจดุ หลอมเหลวสูงมีลักษณะแข็ง ขุนเหนยี วกวา โครงสรางอื่นๆ ตวั อยา ง PVC พอลิสไตรีน พอลิเอทลิ ีน ดงั รูป (2 คะแนน)
1.2 พอลิเมอรแ บบก่ิง (Branched polymer) เปน พอลเิ มอรท เ่ี กิดจากมอนอเมอรยึดกันแตกกง่ิ กา นสาขา มีทั้งโซส ้ันและโซยาว กง่ิ ทแี่ ตกจาก พอลิเมอรของโซหลกั ทาํ ใหไมส ามารถจดั เรยี งโซพ อลิเมอรใ หชดิ กัน ไดมาก จึงมีความหนาแนนและจุดหลอมเหลวตํ่า ยืดหยนุ ได ความเหนียวตา่ํ โครงสรา งเปลย่ี นรูปไดงาย เมื่ออุณหภูมเิ พิ่มขึ้น ตัวอยา ง พอลเิ อทลิ นี ชนิดความหนาแนนตาํ่ ดังรูป (2 คะแนน) 1.3 พอลิเมอรแ บบรางแห (Croos -linking polymer) เปน พอลเิ มอรท ่เี กดิ จากมอนอเมอรต อเช่ือมกันเปน รา งแห พอลเิ มอรช นดิ นมี้ ีความแข็งแกรง และเปราะหักงาย ตัวอยา งเบกาไลต เมลามีนใชท าํ ถว ยชาม ดังรปู (2 คะแนน)เกณฑก ารใหคะแนน - ใหค ะแนน 2 คะแนน สามารถเขียนอธบิ าย สรปุ องคความรูเก่ียวกบั โครงสรา งของพอลิเมอรท้งั สามพรอม วาดภาพประกอบโครงสรางของพอลเิ มอร - ใหคะแนน 1 คะแนน สามารถเขยี นอธบิ าย สรุปองคความรเู ก่ยี วกบั โครงสรา งของพอลิเมอรทง้ั สามหรือ วาดภาพประกอบโครงสรางของพอลิเมอรอยา งใดอยางหน่ึง - ใหค ะแนน 0 คะแนน เขียนอธิบายไมถกู ตองและไมมีการตอบคาํ ถามใดๆ
2. “ปริมาณเศษอาหารท่ีเหลือทิ้งในแตล ะม้ือของแตละหอนอน”ใหนกั เรยี นวิเคราะหโ ดยใชหลักปรชั ญาของ เศรษฐกจิ พอเพียง 2 เงือ่ นไข 3 หลักการและ 4 มิติ ในแกป ญ หาเรอื่ งดงั กลา ว (ตามหัวขอ ทก่ี าํ หนด) พรอม ระบแุ นวทางในการจัดการเศษอาหารท่ีเกดิ ประโยชนและเปนมติ รกับส่ิงแวดลอมมากทส่ี ดุ (ว 2.1 ม.4-6/5 : ประเมินคา = 5 คะแนน) เง่อื นไขความรู (1 คะแนน)- สารอาหารทจ่ี ําเปน ตอรางกายในแตล ะวัน/เพศ/วยั - อาหารตามรายการนนั้ ๆใชสว นผสมอะไรบา ง- ขา วสารท่นี าํ มาหุง ราคาเทา ไหร - ในการทําอาหารแตล ะมื้อใชแ กส เทา ไหร- วตั ถุดบิ ที่นาํ มาทําอาหาร ราคาเทา ไหร/ ซอื้ มาจากไหน - ในแตละมื้อหมดคาใชจ ายเทา ไหร- อาหารทเ่ี หลือท้ิงจาํ นวนกี่กิโลกรมั /เปน เงินก่บี าท พอประมาณ (1 คะแนน) มภี มู ิคุม กันทดี่ ี (1 คะแนน)- อาหารที่ตักไปเพียงพอกับความหิวของตนเองหรอื ไม - ถา ไมม ีงบประมาณคา อาหารและไมม ีแมครวั- ตักอาหารมากไป คนอ่นื ๆจะมีอาหารเพยี งพอไหม- อาหารท่ีทานไปเพียงพอที่รา งกายตอ งการหรือไม มาทาํ อาหาร จะทาํ อยางไร- ผลเสียที่จะเกิดขนึ้ หากเศษอาหาร เหลือในปรมิ าณมากๆจะ - เศษอาหารทีท่ านเหลือเม่ือท้ิงไวใ นปรมิ าณ เกดิ ปญ หาตอสิง่ แวดลอ มอยางไร มากๆจะเกิดผลเสียอยา งไร- ใครบางท่ีจะไดร บั ผลกระทบน้ี เชน คน สตั ว ส่ิงแวดลอมรอบๆ เปน มติ รกับสิง่ แวดลอม (1 คะแนน) แนวทางในการกาํ จดั เศษอาหารใหเกิดประโยชน (1 คะแนน) - ลดกลน่ิ ทกี่ อใหเ กดิ มลพษิ ทางอากาศ- ทําปยุ หมกั แบบไมพลกิ กอง - ลดแหลง เพาะพนั ธพุ าหะนาํ โรค- ทําแกสชวี มวลแทนแกส หุงตม - ลดคา ใชจา ยในการซ้อื อาหารสาํ หรับ- ใชเ ปน อาหารเล้ยี งสัตว เชน หมู ไก ไสเ ดอื นดิน- ทาํ น้ําหมักชีวภาพ สําหรับรดนํา้ ผัก ดบั กล่ินหองนาํ้ เลี้ยงสตั ว ซอื้ แกสหุงตม ซ้ือปยุ ฯลฯ ซงึ่ เปน ขยะอนั ตราย - ลดการใชสารเคมที ่ีจะทําใหด ินเส่อื มสภาพ @@@@@@@@@@@@@@@@@ลงชือ่ ...................................... ลงชื่อ........................................... ลงช่ือ ……………................................... (น.ส.ณัฐธนญั า บญุ ถงึ ) (น.ส.ณฐั ธนัญา บญุ ถงึ ) (นายเสรี แซจ าง) ครูผูสอน (ผูแตง/พิมพ) หัวหนากลมุ สาระฯ วิทยาศาสตร งานวัดผลระดับช้ันมธั ยมศกึ ษาตอนปลายลงช่อื ................................................. ลงช่อื ....................................................................... (น.ส.ศริ ิมา เมฆปจ ฉาพชิ ิต) (นายวเิ ศษ ฟองตา) หวั หนางานวัดและประเมินผล รองผอู ํานวยการกลมุ บริหารงานวชิ าการ
ª×Íè ……………………………..……………………….……………………………………………………….ªéѹ Á. 6/………. àÅ¢·Õè ………….… กระดาษคําตอบ โรงเรียนราชประชานุเคราะห 31 อาํ เภอแมแ จม จังหวัดเชยี งใหม แบบทดสอบ รายวิชาวิทยาศาสตร รหสั วิชา ว 33101 ช้นั มัธยมศึกษาปท่ี 6 จาํ นวน 1.0 หนวยกิต ภาคเรยี นที่ 1 ปการศกึ ษา 2561 เวลาสอบ 60 นาที จํานวน 20 คะแนน *************************************ตอนท่ี 1 สวนท่ี 1 เปน แบบปรนยั 5 ตัวเลอื ก เลอื กคําตอบทถี่ ูกตองทีส่ ดุ เพยี งคําตอบเดียว (ขอละ 1 คะแนน)ขอ 1 2 3 4 5 ขอ 1 2 3 4 51 92 103 114 125 136 147 158ตอนท่ี 1 สวนที่ 2 เปน แบบปรนัย เลอื กตอบแบบเชิงซอน โดยคาํ ถามชดุ น้ีมีคาํ ถามยอ ยรวมอยูในขอเดยี วกันซึ่งเกยี่ วกบั เรอ่ื ง/สถานการณท ่ีอาน (ขอละ 2 คะแนน * ขอ ยอ ยละ 0.5 คะแนน)1. ขอ จริง/ไมจริง 2. ขอ ใช / ไมใช1.1 2.11.2 2.21.3 2.31.4 2.4ตอนท่ี 1 สว นท่ี 3 เปนแบบปรนัยเลอื กตอบแบบกลุม คําตอบสัมพันธ โดยคาํ ถามชุดนมี้ ีคาํ ถามมากกวา 1 ขอ ทม่ี เี ง่ือนไขใหคดิ และสัมพนั ธต อเน่อื งกัน (ขอละ 3 คะแนน # ขอคาํ ถามยอยแตละกลุมๆกลมุ ๆละ 1 คะแนน)1. กลุม 2. กลุม AB C ABC
ตอนที่ 2 เปนแบบทดสอบแบบอัตนยั (เขียนตอบคาํ ถาม) ใหนักเรียนตอบคําถามตอไปน้ี โดยการเขียนอธิบาย เก่ยี วกบั เนื้อหาสาระตามท่ไี ดเ รียนรูมา1. พอลิเมอรที่ใชใ นชีวิตประจาํ วันมี 2 แบบ คอื พอลิเมอรที่ไดจากธรรมชาติและพอลเิ มอรทส่ี ังเคราะหขน้ึ ซึ่งมีหลาย ชนดิ และมีสมบัติทแี่ ตกตางกนั ไป สามารถนาํ ไปผลติ เปนผลิตภัณฑตา งๆได สามารถแบง ตามโครงสรางของ พอลิเมอร ได 3 แบบ ใหนักเรยี นเขียนอธบิ าย สรปุ องคค วามรเู กย่ี วกับโครงสรางของพอลิเมอรท ั้งสามพรอ ม วาดภาพประกอบตําอธบิ าย (ว 3.2 ม.4-6/1 : นําไปใช)………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. “ปริมาณเศษอาหารทีเ่ หลือทิ้งในแตล ะม้ือของแตละหอนอน” ใหนักเรียนวิเคราะหโ ดยใชห ลักปรัชญาของ เศรษฐกจิ พอเพียง(ตามที่กาํ หนดให) ในแกป ญหาเร่อื งดังกลาว พรอมระบแุ นวทางในการกาํ จัดเศษอาหาร ดังกลา วใหเ กดิ ประโยชนและเปนมติ รกบั สิ่งแวดลอม (ว 2.1 ม.4-6/5 : ประเมนิ คา = 5 คะแนน)เงื่อนไขความรู (1 คะแนน)………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………พอประมาณ (1 คะแนน) มีภูมคิ ุมกันท่ีดี (1 คะแนน)…………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………แนวทางในการกําจดั เศษอาหารใหเ กดิ ประโยชน (1 คะแนน) เปนมิตรกับสิ่งแวดลอม (1 คะแนน)……………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………… @@@@@@@@@@@@@@@@@
Search