3.4 ข้นั ตอนการปฏิบัตใิ นระยะ Tactical Field Care เมอ่ื ถึงทปี่ ลอดภัย ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 313 มีดงั นี้ 3.4.1 การตรวจสอบการตอบสนองของผบู้ าดเจบ็ ถา้ พบวา่ ผบู้ าดเจบ็ ไมไ่ ด้ สติให้ท�ำการตรวจการตอบสนองของผู้บาดเจ็บด้วยการถามเสียงดัง ๆ แต่ช้าว่า “คุณเป็นอะไรไหม” และจับตัวเขย่าเบา ๆ หรือจับที่ไหล่ผู้บาดเจ็บถ้าผู้บาดเจ็บไม่มีการ ตอบสนองต้องจดั ท่านอนผู้บาดเจบ็ และท�ำการเปิดช่องทางเดนิ หายใจ 3.4.2 การจัดท่าผู้บาดเจบ็ การจัดท่าก่อนเร่ิมเปิดทางเดินหายใจ ควรจัด ให้ผู้ป่วยนอนราบบนพ้ืนแข็งในท่านอนหงาย มือของผู้ป่วยอยู่ข้างล�ำตัว ถ้าผู้บาดเจ็บ ไม่นอนหงายให้จัดท่านอนหงายด้วยวิธีการต่อไปน้ี 3.4.2.1 คกุ เข่าข้าง ๆ ผู้บาดเจบ็ 3.4.2.2 ยกแขนผบู้ าดเจบ็ ขา้ งทใ่ี กลท้ สี่ ดุ ขน้ึ เหนอื ศรี ษะเขาเอง 3.4.2.3 จับขาทั้งสองของผู้บาดเจ็บให้ชิดกันและเหยียด ให้ตรงหรอื เกือบตรง 3.4.2.4 ใชม้ อื ขา้ งหนง่ึ สอดเขา้ ใตศ้ รี ษะและคอของผบู้ าดเจบ็ 3.4.2.5 ใช้มือข้างที่ว่างข้ามด้านหลังของผู้บาดเจ็บไปจับ ใต้ท่อนแขนของเขา (ให้ห่างจากบรเิ วณข้อพับ) 3.4.2.6 ดึงช้า ๆ และสม่�ำเสมอเข้าหาตัว ต้องรักษาระดับ ศรี ษะและคอให้อยู่แนวเดยี วกบั ล�ำตัว 3.4.2.7 หมุนตัวผู้บาดเจ็บให้เป็นเหมือนวัตถุชิ้นเดียวไป พร้อมกนั ศรี ษะและคอเพม่ิ รปู (Lock roll) 3.4.2.8 หลงั จากจดั ให้ผ้บู าดเจบ็ นอนหงายแล้วแขนทง้ั สอง อยู่ข้างล�ำตัว หมายเหต ุ - วิธีการพลิกตัวผู้บาดเจ็บน้ีเพื่อลดการบาดเจ็บท่ีอาจก่อให้เกิดกับกระดูก สันหลังในกรณที ี่ผู้บาดเจบ็ ได้รบั บาดเจ็บท่ศี ีรษะ คอ และหลงั - หากสงสัยว่าผู้บาดเจ็บมอี าการบาดเจ็บบริเวณล�ำคอ ให้ใส่เฝือกดามคอ
314 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั 3.5 การเปิดชอ่ งทางเดินหายใจผ้บู าดเจบ็ เม่ือผู้บาดเจ็บหมดสติ กล้ามเน้ือทุกส่วนจะคลายตัว ซ่ึงจะมีผลท�ำให้ล้ิน เล่ือนตัวลงไปด้านหลังและอุดตันช่องทางเดินหายใจ การเปิดช่องทางเดินหายใจอาจช่วย ท�ำให้ผู้บาดเจบ็ สามารถหายใจได้ด้วยตวั เองอกี คร้งั วิธีการเปิดช่องทางเดนิ หายใจมี 2 วธิ ี คือ การกดหน้าผาก/ยกคาง และการยกกราม ถ้าคาดว่าผู้บาดเจ็บได้รบั บาดเจ็บท่ีคอหรอื กระดกู สนั หลงั ให้ใช้วิธีการง้างขากรรไกร หมายเหต ุ 1. แม้ว่าผู้บาดเจ็บจะยังหายใจได้ การจัดท่าท่ีดีก็จะช่วยให้เขาหายใจได้ สะดวกขน้ึ 2. ถ้าพบเหน็ สิง่ แปลกปลอมในช่องปากผู้บาดเจบ็ (เช่น เลอื ด เสมหะ วตั ถุ แปลกปลอม ฟันหลดุ วสั ดุแข็ง ๆ เศษอาหาร ฯลฯ) ให้ใช้นว้ิ มอื ล้วงออก โดยเร็วท่สี ดุ เท่าที่จะท�ำได้ เพือ่ ทำ� ให้ทางเดนิ หายใจโล่ง 3.5.1 การกดหน้าผาก/เชยคาง (Head tilt - Chin lift) การกดหน้าผาก/เชยคาง (Head tilt - Chin lift) ปฏบิ ตั โิ ดยผู้ช่วยเหลอื ใชม้ อื ขา้ งหนง่ึ จบั หนา้ ผากผปู้ ว่ ย และมอื อกี ขา้ งประคองคอดา้ นหลงั ของผบู้ าดเจบ็ จดั ใหศ้ รี ษะ ของผปู้ ว่ ยอยใู่ นทา่ เงยหนา้ เลก็ นอ้ ย (Sniffing position) เมอื่ อยใู่ นทา่ ทเ่ี หมาะสมแลว้ มอื ขา้ งที่ จบั หนา้ ผากกดศรี ษะของผปู้ ว่ ยไวเ้ บา ๆ เพอ่ื ไมใ่ หข้ ยบั จากนน้ั ใชม้ อื อกี ขา้ งหนง่ึ จบั ใตป้ ลายคาง ผปู้ ว่ ยยกขนึ้ ในแนวตงั้ ฉากกบั พน้ื โดยระวงั ไมใ่ หก้ ดเนอื้ สว่ นใตค้ างมากเกนิ ไป (ตามภาพท่ี 7) ภาพท่ี 7 การกดหนา้ ผาก/เชยคาง
การทำ� Head tilt - Chin lift น้ี เหมาะส�ำหรับในผู้ป่วยท่มี ่ันใจว่าไม่มีการบาดเจบ็ ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 315 ของกระดูกสันหลังบริเวณคอ เน่ืองจากการจับผู้บาดเจ็บเงยหน้าในผู้ป่วยท่ีมีการบาดเจ็บ กระดกู ต้นคออยู่แล้ว จะทำ� ให้มกี ารขยบั ของกระดูกต้นคอและเกิดการบาดเจ็บเพิ่มขึ้นได้ 3.5.2 การยกกราม (Jaw - thrust) ใชใ้ นกรณที ส่ี งสยั วา่ ผบู้ าดเจบ็ มกี ารบาดเจบ็ ทก่ี ระดกู ตน้ คอ วธิ นี ผี้ ชู้ ว่ ยเหลอื ต้องอยู่ทางด้านบนศีรษะของผู้ป่วย จากนั้นใช้มือทั้งสองข้างจับบริเวณมุมของกราม (Angle of mandible) และยกกรามของผปู้ ว่ ยขนึ้ พรอ้ ม ๆ กบั ใชน้ ว้ิ หวั แมม่ อื อยบู่ รเิ วณปลายคาง ของผู้ป่วย เพอ่ื ช่วยเปิดปากผู้ป่วย (ตามภาพที่ 8) ภาพที่ 8 การยกกราม 3.6 จัดใหผ้ บู้ าดเจบ็ นอนหงายเงยหน้าขึ้น ท่าพักฟื้นช่วยให้เลือดและน้�ำมูกและน้�ำลายไหลออกจากรูจมูกและปาก ผู้บาดเจบ็ และไม่ย้อนกลบั เข้าไปปิดก้นั ช่องทางเดนิ หายใจ วิธีการจดั ทางพกั ฟื้นทำ� ดังน้ี 3.6.1 น่ังคุกเข่าข้าง ๆ ผู้ป่วย Head tilt - Chin lift เหยียดขาผู้ป่วยให้ตรง จบั แขนด้านใกล้ตวั งอและหงายมอื ขึ้น 3.6.2 จบั แขนด้านไกลตวั ข้ามหน้าอกมาวางมอื ไว้ทแ่ี ก้มอีกข้างหนึ่ง 3.6.3 ใช้แขนอีกข้างหนึ่งจับขาไว้ดึงพลิกตัวผู้ป่วยให้เข่างอข้ามตัวมาด้าน ที่ผู้ปฏิบตั อิ ยู่ อยู่ในท่าตะแคงให้ผู้ป่วย 3.6.4 จบั ศีรษะแหงนเลก็ น้อย เพือ่ เปิดทางเดนิ หายใจให้โล่งปรับมือให้อยู่ ใต้แก้ม และจดั ขาให้งอเลก็ น้อย 3.6.5 ท�ำสารหล่อล่นื หรือน�้ำสะอาดท่ที ่อ (ตามภาพที่ 9)
316 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั ภาพท่ี 9 แสดงทา่ นอนพกั ฟน้ื ของผบู้ าดเจบ็ 3.7 ภาวะลมรั่วและมีแรงดันในชอ่ งปอด (Tension pneumothorax) ภาวะทม่ี ลี มรวั่ และมแี รงดนั ในชอ่ งปอด (Tension pneumothorax) เปน็ ภาวะเรง่ ดว่ น อันตรายถึงแก่ชีวิตเป็นสาเหตุการตายในสนามรบท่ีป้องกันได้และพบมากเป็นอันดับที่ 2 แรงดนั ในชอ่ งอกทเี่ กดิ ขนึ้ หลงั การบาดเจบ็ บรเิ วณทรวงอกดว้ ยสาเหตตุ า่ ง ๆ จากภาวะทไี่ มป่ กติ เช่น บาดเจบ็ หลงั ถูกแรงระเบดิ ท�ำให้เกดิ มลี มรั่วออกจากเน้อื ปอด และค่ังในช่องทรวงอก แต่ไม่สามารถระบายออกมาได้ และเกิดแรงดันที่เพิ่มขึ้นในช่องอกข้างที่ผิดปกติท�ำให้ ผู้บาดเจ็บมีการหายใจล�ำบากเกิดการกดเบียดของอวัยวะในช่องอกให้ไปอีกทางหน่ึง ตามทป่ี รากฏในภาพที่ 10 ทำ� ใหป้ อดไมส่ ามารถขยายได้ เลอื ดไหลกลบั เขา้ สหู่ วั ใจไดน้ อ้ ยลง ปอดข้างท่ไี ม่มลี มร่ัวถกู กดเบยี ดจากอวัยวะในช่องอก ทำ� ให้ขยายตวั ได้ไม่เตม็ ท่ี ผู้ป่วยต้อง ใช้แรงมากข้นึ ในการหายใจ การแลกเปล่ียน ก๊าซในปอดทำ� ได้ไม่ดี น�ำไปสู่ภาวะออกซิเจน ในเลอื ดต่ำ� และหายใจล้มเหลวได้ในทีส่ ุด ภาพท่ี 10 แสดงปอดยบุ ตวั เนอ่ื งจากแรงดนั ในชอ่ งอก
3.8 แผลเปิดทรวงอก (Open pneumothorax) ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 317 บาดแผลทห่ี นา้ อก ทำ� ใหเ้ กดิ การดดู ลมเขา้ ไปในชอ่ งอก บาดแผลทำ� หนา้ ที่ เหมือนลิ้น (one way valve) เม่ือลมผ่านเข้าไปแล้ว แต่ในระหว่างที่หายใจออก ลมนั้น ไม่สามารถออกจากช่องอกได้ในระหว่างท่ีหายใจออก และกลับไปเพ่ิมความดันในช่องอก ทำ� ให้ปอดยบุ แฟบลง แผลเปิดบริเวณหน้าอกสามารถเกิดได้จากการที่กระสุน ใบมีด ของมีคม หรือวัตถุอ่ืน ๆ ทะลุเข้าไปในช่องอก หากไม่แน่ใจว่าแผลนั้นทะลุเข้าไปถึงช่องอกหรือไม่ กใ็ หท้ ำ� การรกั ษาบาดแผลเหมอื นกบั วา่ แผลนนั้ เปน็ แผลเปดิ ทรวงอก อาการและอาการแสดง ของบาดแผลเปิดทรวงอกได้แก่ 1. เสยี งดูดหรอื เสยี งฟู่ ดังมาจากบาดแผลบริเวณหน้าอก เมื่อผู้บาดเจ็บ ทีม่ แี ผลเปิด บริเวณช่องหายใจเข้า อากาศก็จะผ่านเข้าและออกบริเวณบาดแผล บางครั้ง อากาศจะทำ� ให้เกิด “เสยี งดดู ” เพราะเสียงท่ดี ังเช่นนี้ บางครง้ั เราจงึ เรียกแผลเปิดบริเวณ หน้าอกว่า “แผลดูดทรวงอก” 2. ผู้บาดเจบ็ ไอเป็นเลอื ด 3. เลอื ดเปน็ ฟองไหลออกมาจากแผลบรเิ วณหนา้ อก (อากาศทเ่ี ขา้ และออก จากแผลบรเิ วณหน้าอกท�ำให้เลอื ดทอี่ อกจากบาดแผลเป็นฟอง) 4. หายใจได้ส้นั ๆ หรอื หายใจล�ำบาก 5. ช่องอกไม่พองข้นึ ตามปกตขิ ณะทผี่ ู้บาดเจ็บหายใจเข้า (ผู้บาดเจบ็ อาจ มีกระดูกซ่ีโครงหลายช้นิ ท่แี ตกหกั ซงึ่ เป็นผลมาจากหน้าอกถูกกระแทก) 6. มอี าการเจบ็ ทบ่ี รเิ วณไหลห่ รอื บรเิ วณหนา้ อก โดยจะเจบ็ ปวดขนึ้ เรอ่ื ย ๆ เวลาหายใจ 7. ริมฝีปากเขยี วคล้�ำ มอี าการหน้าซีด 8. สญั ญาณของอาการชอ็ ก เช่น หัวใจเต้นเร็วและอ่อน 3.8.1 การตรวจสอบแผลเปิดบรเิ วณหน้าอก ตรวจสอบทั้งแผลเข้าและแผลออก ดูว่ามีกองเลือดอยู่ข้างหลังของ ผู้บาดเจบ็ หรือไม่ โดยการใช้มอื ลูบเพอื่ สัมผัสบาดแผล
318 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั 3.8.1.1 หากมแี ผลเปดิ บรเิ วณหนา้ อกมากกวา่ หนง่ึ แผล ใหร้ กั ษาแผล ท่มี ีอาการหนกั กว่าก่อน (มเี ลอื ดออกมากกว่าหรือแผลทีม่ ลี ักษณะอากาศผ่านเข้าออก) 3.8.1.2 หากผบู้ าดเจบ็ มแี ผลเปดิ บรเิ วณหนา้ อกอยดู่ า้ นหนา้ หนง่ึ แผล และอยู่ด้านหลังอีกหน่ึงแผลและแผลท้ังสองส่งผลต่อปอด ให้ใช้การท�ำแผลแบบติดเทป สามด้านบนวัสดุกันอากาศเข้าบริเวณแผลด้านหน้า ส่วนแผลด้านหลังให้ใช้การติดเทป บนวสั ดกุ นั อากาศทง้ั สดี่ ้าน 3.8.2 การดแู ลเบอื้ งตน้ ดว้ ยการปดิ แผลเปดิ บรเิ วณหนา้ อกเนอ่ื งจากอากาศ สามารถผา่ นเขา้ ผา้ พนั แผลทว่ั ไปได้ ดงั้ นนั้ จงึ ตอ้ งพยายามปดิ บาดแผล โดยการใชพ้ ลาสตกิ หรอื วสั ดทุ อ่ี ากาศไมส่ ามารถซมึ ผา่ นไดช้ นดิ อนื่ เพอื่ ปอ้ งกนั ไมใ่ หอ้ ากาศเขา้ ไปในชอ่ งอกและ ท�ำให้ปอดยุบ เช่น ใช้ซองพลาสติกของผ้าแต่งแผลสนาม หรือซองพลาสติกของห่อชุด ท�ำแผลฉุกเฉินมาปิดแผลได้ ข้ันตอนต่อไปเป็นข้ันตอนในการนำ� เอาซองผ้าแต่งแผลสนาม มาใช้ในการปิดแผล 3.8.2.1 การเตรยี มซองพลาสตกิ เปดิ ซองดา้ นหนง่ึ ออก เอาผา้ ทำ� แผล ด้านใน (ผ้าท�ำแผลท่ีถูกกระดาษห่อไว้) แยกออกไว้ต่างหาก ตัดขอบซองจนได้เป็นแผ่น พลาสตกิ หนงึ่ ชนิ้ แผน่ พลาสตกิ นเ้ี องทจี่ ะนำ� มาใชป้ ดิ แผลเพอื่ กนั อากาศเขา้ หากมที งั้ แผลเขา้ และแผลออก อาจตดั แผน่ พลาสตกิ เปน็ สองชน้ิ เพอ่ื ปดิ แผลทง้ั สองดา้ น หากแผลไมใ่ หญเ่ กนิ ไป ขอบของแผ่นพลาสตกิ แต่ละด้านควรเลยขอบของปากแผลมาอย่างน้อยข้างละสองน้วิ 3.8.2.2 ให้ผู้บาดเจบ็ หายใจออก บอกให้ผู้บาดเจ็บหายใจออกและ กลนั้ หายใจเอาไวเ้ พอื่ ไลอ่ ากาศออกจากแผล ถา้ อากาศออกมาไดม้ าก ผบู้ าดเจบ็ กจ็ ะสามารถ หายใจไดด้ ขี น้ึ หลงั จากทป่ี ดิ บาดแผลแลว้ หากผบู้ าดเจบ็ หมดสตหิ รอื ไมส่ ามารถกลนั้ หายใจได้ ใหร้ บี ปดิ บาดแผล หลงั จากทผี่ บู้ าดเจบ็ หายใจออกจนสดุ แลว้ กอ่ นทผ่ี บู้ าดเจบ็ จะหายใจเขา้ ครง้ั ต่อไป
ภาพท่ี 11 การปดิ แผลสามดา้ น โดยใหด้ า้ นลา่ งเปดิ (ผปู้ ว่ ยนอนหงาย) ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 319 เพอื่ กนั อากาศเขา้ แตอ่ ากาศสามารถออกได้ การท�ำแผลด้วยผ้าแต่งแผลและผ้าพันแผลจะช่วยป้องกันไม่ให้วัสดุปิดแผล กนั อากาศเข้าเกดิ ความเสยี หายและยงั ช่วยกดบาดแผลเอาไว้ - เอาผ้าแต่งแผลออกจากห่อและเอาด้านสีขาววางลงบนพลาสติกป้องกัน อากาศเข้า กดบาดแผลไว้เพอ่ื ไม่ให้แผ่นพลาสตกิ เลื่อนออกจากแผล ขอ้ ควรระวงั : หากมวี ตั ถยุ นื่ ออกมาจากแผลบรเิ วณหนา้ อก อยา่ พยายามดงึ วตั ถุ นน้ั ออก วางวสั ดเุ พอ่ื ปอ้ งกนั อากาศเขา้ รอบ ๆ วตั ถทุ ยี่ นื่ ออกมานน้ั เพอื่ พยายามไมใ่ หอ้ ากาศ เขา้ บาดแผลเทา่ ทจี่ ะทำ� ได้ ใชผ้ า้ พนั แผลปดิ ทบั ผา้ ทำ� แผลนน้ั ไวเ้ พอ่ื ไมใ่ หเ้ ลอ่ื นหลดุ หา้ มเอา ผ้าพนั แผลพันวตั ถุนน้ั เด็ดขาด - ใชผ้ า้ พนั แผลปดิ ทบั ผา้ ทำ� แผลเพอื่ ไมใ่ หเ้ ลอื่ นหลดุ ถา้ ผบู้ าดเจบ็ พอจะชว่ ยได้ ให้ผู้บาดเจ็บจับผ้าพันแผลไว้ในขณะท่ีพันผ้า แต่ถ้าผู้บาดเจ็บช่วยไม่ได้ต้องใช้มือหนึ่ง กดผ้าท�ำแผลไว้แล้วพยายามพนั ผ้า - จับปลายข้างหนึ่งของผ้าพันแผลแล้วสอดเข้าไปข้างหลัง ดึงปลายข้ึนมาปิด ทบั ผ้าทำ� แผล - เอาปลายผ้าพันแผลอีกข้างหนึ่งสอดเข้าไปอีกด้านแล้วดึงข้ึนมาปิดทับ ผ้าพนั แผล - ดึงปลายท้ังสองข้างให้แน่นแล้วมัดด้วยเงื่อนตายตรงก่ึงกลางของผ้าท�ำแผล เงอ่ื นนจ้ี ะชว่ ยกดแผลไวอ้ กี ทางเพอื่ ชว่ ยไมใ่ หอ้ ากาศเขา้ แผล ผา้ พนั แผลไมค่ วรรดั แนน่ เกนิ ไป จนผู้บาดเจบ็ หายใจไม่ออก
320 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั 3.8.3 การจดั ตำ� แหนง่ ผบู้ าดเจบ็ ทที่ �ำแผลเปดิ บรเิ วณหนา้ อกเรยี บรอ้ ยแลว้ ให้ผู้บาดเจ็บนอนตะแคงโดยให้ข้างท่ีมีแผลอยู่ติดพื้น แรงกดลงกับพ้ืนท�ำหน้าที่เหมือน การเขา้ เฝือกข้างทบี่ าดเจบ็ และช่วยลดความเจบ็ ปวด (การใหผ้ ้บู าดเจบ็ นอนตะแคงเอาขา้ ง ท่ีไม่บาดเจบ็ ลงกบั พนื้ อาจท�ำให้หายใจลำ� บาก (ตามภาพที่ 12) ภาพที่ 12 ใหผ้ บู้ าดเจบ็ ทำ� แผลเปดิ บรเิ วณหนา้ อกเรยี บรอ้ ยแลว้ นอนทบั บาดแผลไว้ หมายเหต ุ ผู้บาดเจ็บอาจอยากลุกขึ้นนั่ง หากผู้บาดเจ็บสามารถหายใจได้สะดวก ขณะลุกขึ้นน่ังมากกว่าขณะนอนตะแคง ก็ให้ผู้บาดเจ็บนั่งโดยหันหลังพิงต้นไม้ ผนงั หรือสงิ่ อน่ื ๆ เอาไว้ หากผู้บาดเจบ็ เหนือ่ ยกใ็ ห้นอนตะแคงลงอีกครัง้ 3.9 การหา้ มเลือด ในพืน้ ที่หลงั การปะทะ วิธีการห้ามเลอื ดเพ่ิมเตมิ ในระยะน้ี ได้แก่ การขนั ชะเนาะแบบแสวงเคร่ือง การกดโดยตรงท่ีบาดแผล การใช้ผ้าแต่งแผล การใช้ผ้าม้วนแบบยืดได้ และการใช้ผ้า สามเหลย่ี ม 3.9.1 วธิ ีการใช้ขนั ชะเนาะแบบแสวงเครอ่ื ง สามารถประกอบข้นึ จากวสั ดทุ ่ียืดหยุ่นมคี วามแขง็ แรง เช่น ผ้าก๊อซ ผ้ามสั ลิน หรอื เส้ือผ้า ควรมคี วามกว้างประมาณสองนิว้ ใช้ร่วมกับวตั ถุแขง็ เป็นแท่ง ขน้ั ตอนในการปฏบิ ตั ิการใช้ขันชะเนาะแบบแสวงเครือ่ ง 3.9.1.1 ใช้ผ้าสามเหล่ียมท�ำเป็นผ้าคราวาท (Cravat) หรือวัสดุท่ีใช้ ควรมคี วามกว้างไม่น้อยกว่า 2 นิว้ ไม่ควรใช้หวาย เชอื ก ลวดหรือวสั ดทุ ่มี ขี นาดเลก็ เพราะ อาจบาด/ตดั เนื้อได้
ภาพท่ี 13 การใช้ผา้ สามเหลย่ี มทำ� เปน็ ผา้ คราวาท (Cravat) ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 321 3.9.2 การกดโดยตรงทบ่ี าดแผล วธิ กี ารนเ้ี ปน็ วธิ ที ไ่ี ดผ้ ลดี ถา้ เปน็ แผลเลก็ นอ้ ย มขี นั้ ตอนการปฏบิ ตั คิ อื ใหใ้ ชน้ ว้ิ มอื ทส่ี ะอาดหรอื ผา้ สะอาดวางและกดโดยตรงบนบาดแผลจนกวา่ เลอื ดจะหยดุ ไหล (ตามภาพที่ 14) เปน็ การบบี ปลายหลอดเลอื ดทฉี่ กี ขาดใหเ้ ขา้ มาหากนั และเปน็ การอดุ หลอดเลอื ด ไม่ให้เลือดไหลออกมา/ชะลอให้เลือดไหลช้า เม่ือเลือดออกนอกหลอดเลือดจะแข็งตัว ภายใน 3 - 5 นาที ใช้เวลาในการกดประมาณ 5 - 10 นาที เลอื ดจะหยดุ เมอื่ เลอื ดหยุดให้ ใช้ผ้าแต่งแผลปิด/พนั ด้วยผ้าพนั แผลแล้วรบี ท�ำการส่งกลบั ทางการแพทย์ ภาพที่ 14 การกดลงบนบาดแผล ถา้ เลอื ดยงั ไหลออกอกี ใชผ้ า้ แตง่ แผลอกี ผนื วางทบั บนผา้ ผนื เดมิ แล้วพันให้แน่นด้วยผ้าพันแผลม้วนแบบยืดได้ โดยดึงให้ยืดพอควรแล้วจึงพันทับลงไป เป็นการเพม่ิ แรงกดลงบนบาดแผลช่วยห้ามเลอื ด หา้ มเปลย่ี นผ้าแตง่ แผลผนื เดมิ เพราะ จะทำ� ให้ลม่ิ เลอื ดท่แี ข็งแล้วหลดุ ออก เลอื ดจะไหลออกมาอกี (ตามภาพท่ี 15)
322 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั ภาพที่ 15 การใชผ้ า้ ผืนใหม่พันซ้ำ� บนผา้ ผืนเดมิ 3.9.3 การใช้ผ้าแต่งแผล ผา้ แตง่ แผลเปน็ ผา้ สะอาดปราศจากเชอื้ ใชส้ ำ� หรบั ปดิ บาดแผลโดยตรง เพ่ือห้ามเลือดป้องกันแบคทีเรียเข้าสู่บาดแผล ช่วยลดความเจ็บปวดได้ และเพิ่มแรงกด ทบ่ี าดแผลร่วมกบั การพนั ด้วยผ้าพนั แผล 3.9.3.1 ตรวจหาบาดแผล อาจตดั หรอื ฉกี เสอื้ ผา้ บรเิ วณทม่ี บี าดแผล อยา่ งระมดั ระวงั (ดว้ ยกรรไกรหรอื มดี ) เสอ้ื ผา้ ทต่ี ดิ อยกู่ บั บาดแผลใหป้ ลอ่ ยไวเ้ ชน่ นน้ั ไมด่ งึ ออก เพอ่ื ปอ้ งกนั การบาดเจบ็ มากขน้ึ ไมท่ ำ� ความสะอาดบาดแผล ไมถ่ อดเสอื้ ผา้ ใหใ้ ชผ้ า้ พนั แผล พันทบั เสือ้ ผ้าท่บี รเิ วณแผลนั้น 3.9.3.2 ตรวจบาดแผลทั้งทางเข้าและทางออก ก่อนใช้ผ้าพันแผล ให้ตรวจผู้บาดเจ็บอย่างระมัดระวังอาจมีบาดแผลมากกว่าหนึ่งแห่ง บาดแผลทางออก มกั จะใหญก่ วา่ บาดแผลทางเขา้ ถา้ มที ง้ั บาดแผลทางเขา้ และทางออก ตอ้ งพนั แผลทงั้ สองแผล ขอ้ ควรระวงั ถา้ วตั ถฝุ งั อยทู่ แี่ ผล ไมแ่ ตะตอ้ งวตั ถนุ น้ั ไมด่ งึ ออกหรอื ดนั เขา้ ไปในแผล ให้พันผ้าทำ� แผลรอบ ๆ วตั ถุ เพ่อื พยงุ วัตถุให้อยู่กบั ท่แี ละป้องกนั การบาดเจบ็ มากขึ้น วิธกี ารใช้ผ้าแต่งแผล (ตามภาพท่ี 16) 1. แกะกล่องผ้าแต่งแผลออก ใช้มอื ทัง้ สองข้างจบั หางผ้าไว้ ตามข้นั ตอนท่ี 1 2. ถือผ้าแต่งแผลไว้เหนือแผล โดยคว�่ำด้านสีขาวเข้าหาบาดแผล ไม่สัมผัส ด้านสขี าว (ฆ่าเช้อื ) และไม่ให้ด้านสขี าวสมั ผสั กบั ส่งิ อืน่ 3. ดึงผ้าพนั แผลนน้ั ให้กางออก แล้วปิดลงบนบาดแผล
4. จบั ผา้ แตง่ แผลไวด้ ว้ ยมอื ขา้ งหนง่ึ เพอื่ ใหผ้ า้ อยกู่ บั ที่ มอื อกี ขา้ งหนง่ึ พนั หางผา้ ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 323 พนั แผลประมาณครง่ึ หนงึ่ ของผา้ พนั แผลนนั้ เหลอื หางผา้ ไวย้ าวพอผกู เงอ่ื นได้ และพนั หางผา้ อกี ขา้ งทบั อกี ครง่ึ หนงึ่ ของผา้ แตง่ แผลทเ่ี หลอื ใหป้ ดิ มดิ บาดแผล ควรพนั หางผา้ ไปทางดา้ นขา้ ง ของผ้าแต่ง 5. ผูกหางผ้าท้ังสองข้างเป็นเง่ือนตายไว้ริมด้านนอกของผ้าพันแผล อย่า! ผกู เงอื่ นไวบ้ นแผล เพอื่ ใหเ้ ลอื ดไปเลย้ี งขาทบี่ าดเจบ็ ในสว่ นทยี่ งั ดอี ยู่ ผกู ผา้ พนั แผลใหแ้ นน่ พอท่ีจะไม่หลดุ แต่อย่าแน่นมากจนกระทง่ั เกิดการขาดเลอื ดไปเลี้ยงส่วนท่ีดีอยู่ ภาพที่ 16 แสดงการใช้ผา้ แต่งแผลตามข้นั ตอน 3.9.4 วธิ กี ารแต่งแผล และการห้ามเลอื ด 3.9.4.1 แผลสะเก็ดระเบดิ /ถูกกระสนุ ปืนทีแ่ ขนขา 3.9.4.1.1 ใชผ้ า้ แตง่ แผลปดิ ตามบาดแผลใหท้ ว่ั แลว้ พนั ใหแ้ นน่ (ตามภาพท่ี 17) ภาพที่ 17
324 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั 3.9.4.1.2 ถ้ายังมีเลือดออก (แผลสะเก็ดระเบิดขนาดใหญ่) ให้ใช้ผ้าแต่งแผลผืนใหม่พันทับลงบนผืนเดิมหลาย ๆ ชั้น แล้วพันด้วยผ้าพันแผลม้วน แบบยืดได้ พนั ให้แน่น ตั้งแต่ข้อเท้าข้ึนมาจนถงึ ระดับเหนอื บาดแผล (ตามภาพที่ 18) ภาพท่ี 18 ถ้ายังมีเลือดออกมากให้ใช้สายยางรัดต้นแขนหรือต้นขา บาดแผล กระสนุ ทเี่ ลอื ดออก ภายนอกใหเ้ หน็ ไมม่ าก แตก่ ลบั ออกภายในเปน็ จ�ำนวนมาก จะสงั เกตได้ จากแขนหรอื ขานนั้ บวมขน้ึ เรอ่ื ย ๆ และทำ� ใหเ้ สยี ชวี ติ จากการตกเลอื ดได้ ตอ้ งหา้ มเลอื ดจนกวา่ จะหยุดเพ่มิ การบวม 3.9.4.2 แผลบริเวณส่วนบนของศีรษะ 3.9.4.2.1 แกะผ้าแต่งแผลออกจากห่อ รวบหางผ้าแต่งแผล ไว้ในมือทง้ั สองข้าง 3.9.4.2.2 ถือผ้าแต่งแผลให้ส่วนสีขาวลงข้างล่างวางผ้า แต่งแผลบนแผล (ข้นั ท่ี 1) 3.9.4.2.3 พันส่วนปลายของผ้าแต่งแผลไปใต้คาง (ข้นั ท่ี 2) 3.9.4.2.4 พนั ปลายสว่ นทเ่ี หลอื ของผา้ แตง่ แผลไปในทศิ ทาง ตรงข้าม (ข้นั ท่ี 3) 3.9.4.2.5 พันปลายของผ้าแต่งแผลอ้อมมาทางหน้าผาก (ขน้ั ที่ 4) 3.9.4.2.6 ผูกปลายของผ้าบริเวณด้านข้างเหนือใบหูด้วย เง่อื นตาย (ข้นั ที่ 5)
ภาพที่ 19 แสดงการใชผ้ า้ แตง่ แผลตามขน้ั ตอน ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 325 3.9.5 วธิ ีใช้ผ้าพนั แผลแบบยดื หดได้ (elastic bandage) 3.9.5.1 การจับถือผ้าพันแผลแบบยืดหดได้ พันยึดจุดเร่ิมต้นของ ผ้าพันแผล 3.9.5.2 วางปลายของผา้ พนั แผลลงบนฝา่ มอื ขวา ปลอ่ ยใหป้ ลายนนั้ อยู่บนส่วนทจ่ี ะพนั ผ้า และปลายผ้าพบั ขึ้นได้ ใช้มือซ้ายพนั ผ้าทบั ลงบนปลายผ้าพนั แผล 3.9.5.3 พนั ผา้ กลบั มาทางมอื ขวา พบั ปลายผา้ ลง แลว้ พนั ทบั อกี รอบหนง่ึ กเ็ ป็นการทำ� ให้จุดเร่มิ ต้นของผ้าพนั แผลอยู่กับที่ 3.9.5.4 ต่อมาพันเป็นเกลยี วขึน้ มาบนมือ 3.9.5.5 ใชผ้ า้ พนั ทบั ซอ้ นกนั พอสมควร เมอ่ื พนั ขนึ้ มาถงึ ขอ้ ศอกพอดี ก็พนั ทับซ้อนกนั หลายรอบ 3.9.5.6 แล้วผูกเง่ือนทับไว้พันปลายผ้าพันแผลกลับมา คล่ีให้รอบ ส่วนนั้น ๆ ทำ� ให้เกิดปลายทจ่ี ะผูกข้นึ สองปลาย 3.9.5.7 ผกู ปมสเ่ี หลย่ี มทบั บนผา้ พนั แผลทไี่ ดพ้ นั ไว้ หรอื ตดั แยกปลาย ของผ้าพันแผลออกเป็นสองแฉก แล้วผูกแฉกท้ังสองตรงโคนผ้าที่แยกแล้วผูกปมสี่เหล่ียม ทบั บนผ้าพนั แผลทไี่ ด้พันไว้
1 2 3 326 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั 4 5 6 ภาพท่ี 20 แสดงขนั้ ตอนการใชผ้ ้าพันแผลแบบยดื หดได้ (elastic bandage) 3.9.6 บาดแผลช่องท้องท่ีมีอวัยวะในช่องท้องออกมาข้างนอก บาดแผล ในชอ่ งทอ้ ง อาจทำ� ใหเ้ จบ็ ปวดอยา่ งรนุ แรง คลนื่ ไส้ อาเจยี น มอี าการเกรง็ ของกลา้ มเนอ้ื หนา้ ทอ้ ง และเกิดอาการช็อกได้ ต้องได้รับการผ่าตัดช่วยเหลือด่วน ถ้ามีอวัยวะภายในทะลักออก นอกร่างกาย ไม่แตะต้องหรือดันกลับเข้าไป ไม่ต้องท�ำความสะอาดบาดแผล เพราะอาจ ท�ำให้อาการต่าง ๆ มากข้ึน อาจใช้แผ่นห่อพลาสติกด้านในหรือผ้าก๊อซชุบนำ้� เกลือหรือ นำ้� สะอาดปดิ ไว้ แล้วใชผ้ ้าแต่งแผลผนื ใหญ่ทสี่ ะอาดปดิ คลมุ ทง้ั หมด พนั ผ้าใหแ้ น่นเพยี งพอ เพอ่ื ยดึ สว่ นตา่ ง ๆ อยกู่ บั ท่ี ผบู้ าดเจบ็ นอนหงาย ยกเขา่ ชนั ขนึ้ ทง้ั สองขา้ ง เพอ่ื ชว่ ยใหก้ ลา้ มเนอื้ หน้าท้องผ่อนคลาย งดน้�ำและอาหารให้ความอบอุ่นแก่ผู้บาดเจบ็ กรณผี ู้บาดเจ็บหมดสติ ให้เอยี งศรี ษะไปข้างใดข้างหนง่ึ เพอื่ ป้องกนั ผู้บาดเจบ็ ส�ำลกั อาเจยี น 3.9.7 การใช้ผ้าสามเหลย่ี มและผ้าคราวาท (Cravat) วิธีการพบั ผ้าสามเหล่ยี ม (ตามภาพท่ี 21) 3.9.7.1 ผ้าสามเหล่ียมและผ้าผูกคอนิยมท�ำจากผ้าฝ้ายตัดเป็น รปู สามเหลยี่ ม ขนาด 37 x 37 x 52 นว้ิ เมอ่ื พบั เปน็ แถบเรยี กวา่ ผา้ ผกู คอ การทำ� ผา้ สามเหลย่ี ม ตดั ทแยงมมุ ผ้าสี่เหลี่ยมกว้าง 3 x 3 ฟุต จะได้ผ้าสามเหลย่ี ม 2 ผนื (ขนั้ ท่ี 1)
1 3.9.7.2 การพับผ้าสามเหลี่ยมเป็นผ้าคราวาท (Cravat) นำ� ยอดมุม ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 327 ของผ้าสามเหล่ยี มพบั ลงมาทฐ่ี านของผ้า (ขน้ั ท่ี 2) 3.9.7.3 พับด้านบนของผ้าสามเหล่ียมมาท่ีฐานของผ้าสามเหลี่ยม (ข้ันที่ 3) 3.9.7.4 พบั ด้านบนของผา้ สามเหลยี่ มลงมาทฐี่ านอกี ครง้ั หนงึ่ (ขน้ั ที่ 4) 2 3 4 ภาพท่ี 21 แสดงขน้ั ตอนการพับผา้ สามเหลี่ยม
328 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั การใช้ผ้าสามเหลย่ี มกบั บาดแผลทศ่ี ีรษะ (ตามภาพที่ 22) 1. วางผ้าสามเหลี่ยมให้ฐานของสามเหล่ียมอยู่ตรงกึ่งกลางหน้าผาก ปล่อยให้ส่วนยอดของสามเหล่ยี มมาอยู่ด้านหลงั คอ (ขนั้ ที่ 1) 2. จับปลายท้ังสองข้างไขว้กันมาทางด้านหลังของศีรษะ และพันข้าม ส่วนยอดของสามเหลย่ี มน�ำส่วนปลายทั้งสองข้างมาผกู ไว้ด้านหน้าผาก (ขั้นท่ี 2) 3. พบั ยอดสามเหลย่ี มซอ่ นไวใ้ ตส้ ว่ นของผา้ แตง่ แผลทท่ี า้ ยทอยใชเ้ ขม็ กลดั ยดึ ไว้ถ้ามี (ข้ันท่ี 3) 1 2 3 ภาพที่ 22 แสดงข้นั ตอนการพันผ้าสามเหลย่ี มบรเิ วณศรี ษะ 3.10 สรปุ ประเดน็ ส�ำคัญในระยะการดแู ลในพนื้ ทหี่ ลังการปะทะ - สถานการณ์นย้ี งั คงอยู่ในอนั ตราย - ทรพั ยากรมจี �ำกัด - ต้องควบคมุ อาการเลอื ดออกให้ได้ - เปิดทางเดนิ หายใจ การจดั ท่าพกั ฟื้นของผู้บาดเจบ็ - ดแู ลการหายใจ - ดูแลความเจบ็ ปวดจากการใช้สายยางรัดห้ามเลอื ด - การประเมนิ ระดบั การรสู้ ตขิ องผบู้ าดเจบ็ และควรบนั ทกึ อาการตา่ ง ๆ
4. การสง่ กลบั ผู้บาดเจ็บทางยุทธวิธี (Tactical Evacuation Care) ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 329 วัตถุประสงค์ท่ีควรทราบ สามารถอธิบายและปฏิบัติ การส่งกลับผู้บาดเจ็บ ทางยุทธวธิ ลี �ำเลยี งด้วยมอื การใช้เปลแสวงเคร่อื ง และการคดั แยกผู้บาดเจบ็ ได้ถูกต้อง การเตรียมผู้บาดเจ็บให้พร้อมสำ� หรับการส่งกลับทางการแพทย์ ซึ่งอาจจะเป็น การส่งกลับโดยพาหนะทางการแพทย์ (MEDEVAC) และมีเจ้าหน้าที่เหล่าแพทย์ดูแล หรอื การส่งกลบั โดยไม่ใช้พาหนะทางการแพทย์ (CASEVAC) หากการส่งกลับนั้น เป็นผู้บาดเจ็บที่หมดสติและเดินทางโดยพาหนะที่ไม่ใช่ทาง การแพทย์ ผชู้ ว่ ยชวี ติ ทางยทุ ธวธิ อี าจตอ้ งไปกบั ผบู้ าดเจบ็ ขน้ึ อย่กู บั การสงั่ การของผนู้ ำ� หนว่ ย ซ่ึงหากผู้ช่วยชีวิตทางยุทธวิธีต้องเฝ้าดู ระดับการรู้สึกตัว ทางเดินหายใจ การหายใจ การเสียเลือดของผู้บาดเจ็บอยู่ตลอดการเดินทาง และอาจต้องให้การดูแลรักษาเพ่ิมเติม เช่น การดแู ลทางเดินหายใจ การให้สารน�้ำ และการรักษาอุณหภูมิร่างกาย การประเมิน อาการกระดูกหกั การตรวจชพี จร การให้ยา การดูแลแผลไฟไหม้ ฯลฯ 4.1 การลำ� เลียงผู้บาดเจ็บ การลำ� เลยี งผบู้ าดเจบ็ ดว้ ยการใชม้ อื เปลา่ จะตอ้ งมคี วามระมดั ระวงั อยา่ งมาก การอุ้มด้วยท่าที่ไม่เหมาะสมอาจจะทำ� ให้ผู้บาดเจ็บได้รับการบาดเจ็บมากข้ึน ควรกระทำ� อย่างเปน็ ระบบ ในทกุ ขนั้ ตอนของการเคลอ่ื นยา้ ยการยกหรอื การเคลอ่ื นทผ่ี บู้ าดเจบ็ ต้องทำ� ด้วยความนุ่มนวลให้มากท่ีสุดเท่าท่ีจะเป็นไปได้ ผู้บาดเจ็บไม่ควรจะถูกเคลื่อนย้ายก่อนที่ จะมีการประเมนิ อาการ และต้องให้การปฐมพยาบาลก่อน (การช่วยตวั เอง เพ่อื นช่วยเพ่อื น พลรบช่วยชวี ิต) และการให้การรกั ษาพยาบาลอย่างฉกุ เฉินจากนายสิบพยาบาล มาตรการในการชว่ ยชวี ติ จะกระทำ� กอ่ นทจี่ ะมกี ารสง่ กลบั ยกเวน้ ในกรณฉี กุ เฉนิ จะมีการประเมินประเภทของการบาดเจ็บก่อนที่จะท�ำการเคล่ือนย้าย โดยมีการตรวจ สงิ่ ต่าง ๆ ดงั นี้ - การห้ามเลอื ด - การเปิดทางเดนิ หายใจ - การรักษาจงั หวะการเต้นของหัวใจ - การป้องกนั และควบคมุ การช็อก - การปกป้องบาดแผลจากการปนเปื้อน เมอื่ สงสยั วา่ มกี ระดกู หกั ควรทำ� การเขา้ เฝอื ก ตอ้ งมคี วามระมดั ระวงั กระดกู ทแ่ี ตกหรอื ร้าวนน้ั จะไปท่มิ หรอื ตดั กล้ามเนือ้ เส้นเลอื ด เส้นประสาท หรือผวิ หนงั
330 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั 4.1.1 ประเภทของการอมุ้ ด้วยมอื เปลา่ 4.1.1.1 การอมุ้ ดว้ ยบคุ คลคนเดยี ว (อมุ้ เดยี่ ว) ใชเ้ มอื่ มผี อู้ มุ้ เพยี งคนเดยี ว (1) อมุ้ แบก (ตามภาพท่ี 23) เป็นการอุ้มด้วยคน คนเดยี ว ซ่ึงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการเคล่ือนย้าย หลังจากท่ีท�ำการจัดท่าของผู้บาดเจ็บที่หมดสติ (ตามภาพท่ี 23 แล้ว) จึงท�ำการยกข้นึ จากพน้ื และประคองในท่าต่าง ๆ ก) หลังจากจัดท่าให้ผู้บาดเจ็บนอนคว�่ำแล้ว ผู้อุ้มน่ัง คร่อมตัวผู้บาดเจบ็ สอดมือเข้าไปใต้หน้าอก และจับมือทง้ั สองข้างเข้าไว้ด้วยกนั ข) ยกผบู้ าดเจบ็ ขนึ้ มาในทา่ คกุ เขา่ คลา้ ยกบั การเคลอ่ื น ไปข้างหลงั ค) ค่อยยกตัวผู้ป่วยข้ึนจนขาเหยียดตรง และท�ำการ ล็อกเข่าไว้ ง) เดนิ ไปขา้ งหนา้ ใหผ้ บู้ าดเจบ็ อยใู่ นตำ� แหนง่ ยนื เอนตวั ผู้บาดเจบ็ ไปทางด้านหลงั เพยี งเล็กน้อย จ) ประคองผู้บาดเจ็บไว้ในอ้อมแขนวงแขน ส่วนข้าง ท่ีเหลือใช้จับที่ข้อมือของผู้บาดเจ็บยกแขนของผู้บาดเจ็บให้สูงไว้เหนือศีรษะของผู้อุ้ม ลอดผ่านใต้วงแขนของผู้บาดเจบ็ ฉ) หมุนตัวเองอย่างรวดเร็ว หันหน้าเข้าหาผู้บาดเจ็บ และสอดแขนไว้ใต้เอวของผู้บาดเจ็บ น�ำตัวของผู้บาดเจ็บผ่านขึ้นบนไหล่ ในระหว่างน้ัน ให้สอดแขนไว้ทข่ี าของผู้บาดเจบ็ ช) จบั ทเ่ี อวของผู้บาดเจ็บ และยกแขนให้สงู ผ่านศีรษะ ของผู้อุ้ม ซ) กม้ ตวั ลงและดงึ แขนของผบู้ าดเจบ็ ใหอ้ ยบู่ นและลา่ ง ของไหล่ น�ำลำ� ตัวของผู้บาดเจบ็ ผ่านไหล่ของผู้อุ้ม ในขณะเดยี วกันแขนไว้ทีร่ ะหว่างขาของ ผู้บาดเจบ็ กันสอด ด) จบั ทขี่ อ้ มอื ของผบู้ าดเจบ็ ดว้ ยมอื หนงึ่ ขา้ ง และวางมอื อกี ข้างหนง่ึ เพื่อการประคอง ต) ยกล�ำตัวของผู้บาดเจ็บให้อยู่ในต�ำแหน่งที่ถูกต้อง มืออกี ข้างจะว่าง สามารถใช้งานอย่างอ่ืนได้
ดต ฉช ข ค งจ ภาพที่ 23 การอุ้มแบก ก ซ วิชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกัน 331
332 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั (2) อุ้มพยุง (ตามภาพที่ 24) ท่าอุ้มแบบนี้ผู้บาดเจ็บต้องสามารถเดินได้ หรือพยุงได้ด้วยขาอีกหน่ึงข้าง โดยใช้ผู้อุ้มคล้ายกับการประคอง อาจจะใช้การอุ้มแบบน้ี ในการเคลอื่ นยา้ ยผบู้ าดเจบ็ ในระยะทางไกลไดเ้ ทา่ ทผี่ บู้ าดเจบ็ สามารถเดนิ หรอื พยงุ ตนเองได้ ก) ยกผู้บาดเจบ็ จากพน้ื ให้อยู่ในต�ำแหน่งท่ายืน โดยการอุ้มแบก ข) จับข้อมือและยกแขนของผู้บาดเจ็บและพาดอ้อมไปทางด้านหลัง ล�ำคอของผู้อุ้ม ค) โอบเอวของผบู้ าดเจบ็ ไวเ้ พอื่ พยงุ ใหผ้ บู้ าดเจบ็ สามารถเดนิ หรอื ประคอง ตนเองได้โดยมผี ู้อุ้มเป็นเครอ่ื งพยงุ ภาพที่ 24 อุม้ พยงุ (3) อมุ้ กอดหนา้ (ตามภาพที่ 25) ใชไ้ ดด้ ใี นการอมุ้ ผบู้ าดเจบ็ ในระยะทางสนั้ ๆ ประมาณ 50 เมตร ก่อนนำ� ไปวางไว้บนเปล ก) ยกผู้บาดเจบ็ ขนึ้ มาจากพ้ืนในท่ายนื ให้เหมอื นกับวิธกี ารอุ้มแบก ข) สอดแขนขา้ งหนง่ึ ทใ่ี ตร้ กั แรข้ องผบู้ าดเจบ็ และแขนอกี ขา้ งอยทู่ ด่ี า้ นหลงั ค) ยกผู้บาดเจบ็ ข้ึน ง) ยกผู้บาดเจบ็ ให้สูงข้นึ ระดบั อกเพอ่ื ลดความเมื่อยล้า
ภาพท่ี 25 อ้มุ กอดหน้า ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 333 (4) อุ้มกอดหลัง ใช้เฉพาะผู้บาดเจ็บที่รู้สึกตัวดีเท่านั้น (ตามภาพท่ี 26) เพราะว่าผู้ป่วยต้องช่วยจบั ที่หลังของผู้อุ้ม ตามขั้นตอนดงั น้ี ก) ยกผู้บาดเจบ็ ให้อยู่ในท่ายนื ให้เหมอื นกบั วธิ กี ารอุ้มแบก ข) ใช้แขนโอบประคองรอบเอวของผู้บาดเจ็บ ให้ผู้บาดเจ็บใช้แขนโอบ ทร่ี อบคอของผู้อุ้ม แล้วค่อย ๆ เคลอ่ื นตวั มาอยู่ด้านหน้า ค) แขนของผู้บาดเจบ็ โอบข้ามไหล่ทงั้ สองข้างผู้อุ้มอย่างหลวม ๆ ง) โน้มตวั ไปข้างหน้า ยกผู้บาดเจบ็ ข้ึนให้อยู่บนหลงั ของผู้อุ้ม และผู้อุ้ม สอดมือไปกอดต้นขาของผู้บาดเจบ็ ไว้ ภาพท่ี 26 อุ้มกอดหลัง
334 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั (5) อุ้มทาบหลัง (ตามภาพท่ี 27) ท่าอุ้มนี้น้�ำหนักของผู้ป่วยส่วนที่เหลือ อยู่บนหลังของผู้อุ้มให้ง่ายในการเคลอ่ื นท่ใี นระยะทางใกล้ ๆ (50 - 300 เมตร) เพ่ือป้องกัน อาการบาดเจบ็ ทแี่ ขนของผู้บาดเจบ็ ผู้อุ้มควรจบั มอื ผู้ป่วยไว้ท่ีในท่าท่ปี ล่อยให้แขนลงมา ก) ยกผู้บาดเจบ็ ขึน้ จากพืน้ ในท่ายืน คล้ายกับการอุ้มแบก ข) ใชแ้ ขนประคองรอบ ๆ ตวั ผบู้ าดเจบ็ และจบั ทขี่ อ้ มอื ผบู้ าดเจบ็ ไวใ้ กล้ กับตวั เรา ค) ยกมอื ผปู้ ว่ ยขนึ้ ใหอ้ ยเู่ หนอื ศรี ษะของผอู้ มุ้ ใหแ้ ขนพาดผา่ นไหลท่ งั้ ขา้ ง ของผู้อุ้ม ง) เคลอ่ื นไปข้างหน้า ในขณะทยี่ งั คงประคองนำ้� หนักให้อยู่บนหลงั จ) จบั ที่แขนอกี ข้างหนึง่ และวางไว้ท่ไี หล่ของผู้อุ้ม ฉ) โนม้ ไปขา้ งหนา้ และยกผบู้ าดเจบ็ ทอ่ี ยบู่ นหลงั ใหส้ งู ทสี่ ดุ เทา่ ทจี่ ะทำ� ให้ น�้ำหนักอยู่บนหลงั ของผู้อุ้ม ภาพที่ 27 อุ้มทาบหลัง หมายเหต ุ เมื่อยกผู้บาดเจ็บในท่ายืนบนหลังของผู้อุ้ม ผู้อุ้มจะต้องยืนให้ตรงที่สุดเท่าที่ จะทำ� ได้ การปอ้ งกนั อาการตงึ กลา้ มเนอ้ื หรอื การบาดเจบ็ ของกลา้ มเนอื้ ทห่ี ลงั
(6) อมุ้ ลากดว้ ยคอ (ตามภาพท่ี 28) เปน็ วธิ ที เี่ ปน็ ประโยชนม์ ากในสนามรบ ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 335 เพราะวา่ ผอู้ มุ้ สามารถทำ� การเคลอ่ื นยา้ ยผบู้ าดเจบ็ ไดเ้ สมอื นกำ� ลงั คลานอยขู่ า้ งหลงั กำ� แพงตำ�่ พมุ่ ไมเ้ ตย้ี ใตย้ านพาหนะหรอื ผา่ นทอ่ อโุ มงค์ ถา้ ผปู้ ว่ ยหมดสติ ตอ้ งระวงั ใหศ้ รี ษะยกสงู จากพน้ื การลากด้วยวธิ ีน้ไี ม่ควรใช้กบั ผู้บาดเจ็บแขนหกั ก) ผูกบริเวณข้อมือทง้ั สองข้างของผู้บาดเจ็บไว้ ข) อุ้มถ่างขาคร่อมตวั ผู้ป่วยไว้หนั หน้าเข้าหากนั ค) จับมอื ผู้บาดเจบ็ ไว้ให้เป็นห่วง คล้องไว้กับที่คอของผู้อุ้ม ผู้อุ้มคลาน ไปข้างหน้าพร้อมกบั ลากตวั ผู้บาดเจ็บ ภาพที่ 28 อุ้มลากด้วยคอ หมายเหตุ ถ้าผู้บาดเจ็บรู้สึกตัวดีให้ใช้แขนทั้งสองข้างโอบรอบคอผู้อุ้มไว้ ถ้าผู้บาดเจ็บ หมดสติ ระวงั ศรี ษะให้สงู จากพืน้ (7) อมุ้ ลากดว้ ยมอื (ตามภาพท่ี 29) วธิ นี จ้ี ะเหมาะสำ� หรับการเคล่ือนย้าย ผู้บาดเจบ็ ในทศิ ทางข้ึนหรอื ลงบันได ก) คกุ เขา่ ลงทดี่ า้ นศรี ษะของผบู้ าดเจบ็ (ผบู้ าดเจบ็ นอนหงาย) ผอู้ มุ้ หงาย ฝ่ามอื ขน้ึ แล้วสอดเข้าไปใต้ไหล่ของผู้บาดเจ็บ และจับไว้ให้แน่น ข) ยกขนึ้ เลก็ นอ้ ย ประคองศรี ษะสว่ นหวั ของผบู้ าดเจบ็ ไวด้ ว้ ยแขนขา้ งหนงึ่ ของผู้อุ้มหรอื ให้ข้อศอกชดิ กนั ช่วยรองศีรษะของผู้บาดเจบ็ ไว้บนแขนของผู้อุ้ม ค) ยก และลากผู้บาดเจ็บไปข้างหลงั (ผู้บาดเจบ็ อยู่ในท่ากงึ่ นั่ง) ง) ถอยหลังมาหน่ึงก้าว ประคองศีรษะและส่วนล�ำตัวของผู้บาดเจ็บ ปล่อยให้สะโพกและขาค่อย ๆ หล่นลงมาทลี่ ะขัน้
336 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั ภาพที่ 29 อุ้มลากด้วยมือ หมายเหตุ ถ้าต้องเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บขึ้นข้างบน ควรหันหลังขึ้นบันได และใช้ข้ันตอน เดียวกนั 4.1.2 การอุ้มด้วยบคุ คลสองคน (อ้มุ ค)ู่ ควรใช้เม่ือสามารถท�ำได้ เพ่ือเป็นการอ�ำนวยความสะดวกสบายให้กับ ผู้บาดเจบ็ และเป็นการท�ำให้ผู้อุ้มเหน่อื ยน้อยลง มวี ธิ กี ารอุ้มท่ีแตกต่างกัน 5 วธิ ี (1) อมุ้ คพู่ ยุง (ตามภาพท่ี 30) สามารถใช้ได้ทั้งผู้ป่วยมสี ติ และหมดสติ ถ้าผู้บาดเจ็บสูงกว่าผู้อุ้มอาจจะต้องยกขาของผู้บาดเจ็บขึ้น และให้ผู้บาดเจ็บนั่งลงบน ท่อนแขนของผู้อุ้ม มขี ้นั ตอนการปฏบิ ตั ดิ ังน้ี - ช่วยให้ผู้บาดเจบ็ ยืน และใช้แขนประคองโดยโอบรอบเอวไว้ - จับข้อมือผู้บาดเจบ็ โอบรอบไหล่คอของผู้อุ้ม
ภาพท่ี 30 อมุ้ คพู่ ยงุ ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 337 (2) การอมุ้ คู่กอดหนา้ (ตามภาพท่ี 31) จะเป็นประโยชน์มาก สำ� หรับ การเคลอื่ นทร่ี ะยะทางปานกลาง (50 - 300 เมตร) และการวางผบู้ าดเจบ็ ลงบนเปล เพอ่ื ลดความ เมอ่ื ยลา้ ของผอู้ มุ้ ควรยกผบู้ าดเจบ็ ใหอ้ ยสู่ งู ใกลร้ ะดบั หนา้ อกใหม้ ากทสี่ ดุ เทา่ ทจี่ ะเปน็ ไปได้ ในกรณเี มอ่ื ไมม่ เี วลาทใ่ี ชแ้ ผน่ กระดานชว่ ยประคองผบู้ าดเจบ็ การอมุ้ แบบนเ้ี ปน็ วธิ ที ปี่ ลอดภยั ท่สี ุดส�ำหรบั การเคลอ่ื นย้ายผู้บาดเจบ็ ท่มี กี ารบาดเจบ็ ที่หลัง ถ้าเป็นไปได้ผู้อุ้มควรจะรกั ษา ระดับของศรี ษะและขาให้อยู่ในระดบั เดยี วกับล�ำตัว ตามขน้ั ตอนปฏบิ ัติดงั น้ี ก) คกุ เขา่ ขา้ งเดยี วทด่ี า้ นขา้ งของผบู้ าดเจบ็ แขนลงทใ่ี ตห้ ลงั ผบู้ าดเจบ็ สอดบรเิ วณเอว สะโพก และเข่า ข) ยกผู้บาดเจบ็ ขึน้ วางบนเข่าของผู้อุ้ม ค) พลกิ ตวั ผบู้ าดเจบ็ เขา้ หาหนา้ อกของผอู้ มุ้ ขณะลกุ ยนื และยกผปู้ ว่ ย ให้อยู่ในระดบั สงู เพอื่ ลดความเหน่อื ยล้า
338 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั ภาพที่ 31 อมุ้ คู่กอดหน้า (3) อุ้มคู่กอดหลัง (ตามภาพที่ 32) การอุ้มแบบนี้จะเหมาะส�ำหรับการ เคลอ่ื นยา้ ยในระยะทางไกลมากกวา่ 300 เมตร ผอู้ มุ้ ทมี่ คี วามสงู มากกวา่ ควรจะอยทู่ างดา้ นศรี ษะ ของผบู้ าดเจบ็ เมอ่ื จะเปลยี่ นทา่ การอมุ้ เพอื่ วางผบู้ าดเจบ็ ลงบนเปล ผอู้ มุ้ จะหนั หนา้ เขา้ หากนั - ผอู้ มุ้ คนหนง่ึ จะแยกขาของผบู้ าดเจบ็ ออก และคกุ เขา่ ลงระหวา่ งขา หันหลังให้ผู้บาดเจ็บสอดมือไว้ท่ีใต้ขาผู้บาดเจ็บ ผู้อุ้มอีกคนจะคุกเข่าลงด้านศีรษะของ ผู้บาดเจ็บ สอดมอื ของผู้อุ้มขึ้นที่ใต้รักแร้ผ่านไปทางหน้าอก และประสานมอื เข้าไว้ด้วยกัน - ผู้อุ้มทั้งสองคน ยกผู้บาดเจ็บขนึ้ พร้อมกัน ภาพที่ 32 อมุ้ ค่กู อดหลงั
(4) อุ้มคู่ประสานแคร่ (ตามภาพท่ี 33) ใช้กับผู้บาดเจ็บท่ีมีสติ เพราะ ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 339 ผบู้ าดเจบ็ ต้องประคองตวั เอง โดยใชแ้ ขนโอบรอบไหลข่ องผอู้ มุ้ เหมาะสำ� หรบั การเคลอ่ื นยา้ ย ผู้บาดเจ็บท่ีมีอาการบาดเจ็บท่ีศีรษะและขา ในระยะทางปานกลาง และเหมาะในการยก ผู้บาดเจ็บวางในเปล ภาพท่ี 33 อุ้มค่ปู ระสานแคร่ และวิธกี ารประสานมือ (5) อมุ้ คจู่ บั มอื (ตามภาพที่ 34) ใชใ้ นการอ้มุ ผบู้ าดเจบ็ ในระยะทางสน้ั ๆ ไม่เกิน 50 เมตร และวางผู้บาดเจ็บลงบนเปล ผู้บาดเจบ็ อยู่ในท่านอนหงาย ผู้อุ้มคุกเข่าลง คนละขา้ งของผบู้ าดเจบ็ บรเิ วณสะโพก ผอู้ มุ้ แตล่ ะคนสอดแขนใตต้ น้ ขาและหลงั ของผบู้ าดเจบ็ และจบั ข้อมอื ซ่งึ กันไว้ แล้วท�ำการยกผู้บาดเจบ็ ข้นึ - ผู้อุ้มท้ังสองจบั ข้อมอื แต่ละข้างของกนั และกัน (ตามภาพที่ 34) เพ่อื ท�ำเป็นทีน่ งั่ - ผอู้ มุ้ ทงั้ สองยอ่ ตวั ตำ่� พอทจ่ี ะใหผ้ บู้ าดเจบ็ นง่ั ลงบนแครท่ ปี่ ระสานมอื ไว้ แล้วให้ผู้บาดเจ็บใช้แขนท้งั สองข้างโอบไหล่ผู้อุ้ม และทั้งคู่ยนื ข้นึ พร้อมกนั
340 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั ภาพท่ี 34 อ้มุ คู่จบั มือ 4.2 การลำ� เลยี งผู้บาดเจบ็ ดว้ ยเปล การลำ� เลยี งดว้ ยเปลมปี ระโยชน์ เพราะเปน็ การล�ำเลยี งผปู้ ว่ ยเจบ็ ดว้ ยวธิ กี าร ขนส่งต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องน�ำผู้ป่วยเจบ็ ออกจากเปล สะดวกสบายและง่ายต่อการทจ่ี ะนำ� ผู้ป่วยเจ็บเคล่ือนย้าย นอกจากนี้ผู้ป่วยเจ็บได้รับการกระทบกระเทือนน้อยลง ลดอันตราย ทอี่ าจจะเกดิ ข้ึนจากการเคลือ่ นย้ายให้น้อยลง 4.2.1 การท�ำเปลแสวงเครื่อง (IMPROVISED LITTERS) 4.2.1.1 เปลแสวงเคร่ืองอาจท�ำข้ึนได้จากสิ่งของต่าง ๆ ในพื้นที่ หรอื ภมู ปิ ระเทศสว่ นมากของสงิ่ ของทมี่ ลี กั ษณะผวิ เรยี บทมี่ ขี นาดเหมาะสม อาจนำ� มาใชแ้ ทน เปลได้ สงิ่ ของตา่ ง ๆ เหลา่ นี้ ไดแ้ ก่ แผน่ กระดาน ประตู บานหนา้ ตา่ ง มา้ นงั่ บนั ได เตยี งนอน และเสาที่น�ำมาผูกติดเข้าด้วยกัน หากเป็นไปได้ส่ิงของเหล่านี้ควรหุ้ม/หรือบุให้มีลักษณะ อ่อนนุ่มเสยี ก่อนน�ำไปใช้งาน 4.2.1.2 เปลท่ีน�ำมาดัดแปลงสามารถน�ำมาใช้โดยปลอดภัยโดย ประกอบคานเขา้ กบั สง่ิ ของอน่ื เชน่ ผา้ หม่ เสอื้ คลมุ ชนดิ ไมม่ แี ขน สว่ นหนงึ่ ของเตน็ ทน์ อน ผา้ ใบ ชบุ นำ�้ มนั เสอื้ แจก็ เกต็ เสอ้ื เชต้ิ ถงุ กระสอบ ถงุ ใสป่ ลอกหมอนหรอื ฟกู นอน ผา้ คลมุ เตยี ง คานเปล สามารถดดั แปลงได้จากกงิ่ ไม้ทแี่ ขง็ เสาเตน็ ท์ สกี และสง่ิ ของอน่ื ๆ ทมี่ ลี กั ษณะคล้ายคลงึ กนั
4.2.1.3 ถ้าหากส่ิงของที่น�ำมาดัดแปลงเป็นคานไม่ได้ ส่ิงของที่มี ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 341 ขนาดใหญ่ เช่น ผ้าห่มนอน อาจน�ำมาม้วนจากปลายทั้งสองด้านเข้าหากง่ึ กลางม้วนผ้าห่ม ใช้เป็นท่ีจับอย่างแข็งแรงส�ำหรับการน�ำผู้บาดเจ็บเคลื่อนย้ายไปได้ แต่ถ้าใช้เส้ือคลุมชนิด ไม่มีแขนต้องแน่ใจศรี ษะด้านบนโดยอยู่ใต้ร่างของคนไข้ ไม่ลากไปกบั พน้ื ดนิ 4.2.2 เปลดดั แปลงทำ� จากเสาและผา้ ห่ม ข้นั ตอนการท�ำเปลดัดแปลงจากผ้าห่ม (1) คลผี่ า้ หม่ ออกใหเ้ ตม็ ผนื วางเสาตน้ หนงึ่ ตามขวาง ตรงจดุ กง่ึ กลาง ของผ้าห่มนอนท่ีปไู ว้ตามความยาว (2) พับผ้าห่มนอนทับเสา จากน้ันจึงวางเสาอันท่ี 2 ตามขวาง ตรงจดุ ก่ึงกลางของผ้าห่มนอนทพี่ ับไว้ (3) พบั ผ้าห่มนอนด้านท่ไี ม่มีเสาสอดอยู่บนเสาอนั ท่ี 2 ภาพท่ี 35 แสดงผา้ หม่ นอนด้านทไ่ี ม่มเี สาสอดอยบู่ นเสาอันท่ี 2 ข้นั ตอนการท�ำเปลดัดแปลงจากเส้อื (1) ใส่กระดุมสองถึงสามเม็ดที่เสื้อที่จะน�ำมาดัดแปลงท�ำเป็นเปล แล้วกลับเอาข้างในออก ข้างนอกปล่อยให้แขนเส้ืออยู่ข้างใน (2) สอดเสาหรือคานดดั แปลงเข้าไปตามรขู องแขนเสอ้ื
342 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั ภาพที่ 36 แสดงขัน้ ตอนการท�ำเปลดัดแปลงจากเสอื้ ขัน้ ตอนการใชเ้ ปล : (1) การเคลอ่ื นยา้ ยตวั ผบู้ าดเจบ็ ตอ้ งเปน็ ไปอยา่ งประณตี ละมนุ ละมอ่ ม (2) ผู้ถือเปลด้านหลังต้องคอยมองอิริยาบถของผู้ถือด้านหน้า ตลอดเวลา รวมถงึ ต้องเบามอื และรวดเรว็ (3) เปลต้องอยู่ในระนาบเดียวกันตลอดเวลา ไม่เว้นเวลาที่ข้าม ส่งิ กีดขวาง (4) ผบู้ าดเจบ็ ตอ้ งถกู ยกเปลจากทางปลายเท้าขนึ้ ก่อน ยกเว้นเวลา ขึ้นเขาหรือท่ีสูง ให้ยกศีรษะก่อน แต่หากผู้บาดเจ็บมีบาดแผลที่บริเวณล�ำตัวส่วนล่าง ให้ยกส่วนล่างข้นึ ก่อนเสมอไม่ว่ากรณใี ด ๆ เพ่ือป้องกันน�้ำหนกั ท้งิ ลงไปท่ีบริเวณบาดเจ็บ 4.3 การคัดแยกผบู้ าดเจบ็ การคัดแยก (Triage) เป็นภาษาฝรง่ั เศส หมายถึง การแบ่งแยกประเภท ซงึ่ มพี น้ื ฐานมาจากการพจิ ารณาความตอ้ งการของผบู้ าดเจบ็ เพอื่ การรกั ษาและการสง่ กลบั เหตุผลท่ีต้องมีการคัดแยกเนื่องจากในสถานการณ์รบมักจะมีผู้บาดเจ็บจ�ำนวนมาก แต่ทรัพยากรในการรักษาพยาบาลมีอยู่จ�ำกัด จึงต้องท�ำการคัดแยกเพ่ือให้ผู้บาดเจ็บ ทมี่ โี อกาสรอดมากทส่ี ดุ ไดร้ บั การดแู ลอยา่ งเหมาะสม การคดั แยกตอ้ งกระท�ำอยา่ งเปน็ ระบบ และมคี วามต่อเนือ่ งหลงั จากที่ได้ท�ำการประเมินอาการขั้นต้นเรยี บร้อยแล้ว
4.3.1 หลักการของการคดั แยกผู้บาดเจ็บ ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 343 - ใช้ทรัพยากรทม่ี อี ยู่อย่างให้เกิดประสิทธภิ าพมากท่ีสุด - ส่งคืนไปปฏบิ ตั หิ น้าที่ให้ได้เรว็ ท่สี ดุ - ทำ� การประเมนิ อย่างต่อเน่ือง และควรทำ� การคัดแยกผู้ป่วยซ้�ำอกี - เคลื่อนย้ายด้วยความรวดเรว็ - วางแผน เตรยี มพร้อม และฝึกซ้อม 4.3.2 ลกั ษณะของการคดั แยกผู้บาดเจบ็ เพื่อท�ำการรักษา - เร่งด่วน หมายถงึ ผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาทันที เพื่อรกั ษาชีวติ แขน ขา ดวงตา - รอได้ หมายถงึ ผู้บาดเจ็บ ทีต่ ้องการท�ำให้อาการคงที่ก่อน และ ท�ำการรกั ษาแต่สามารถรอได้หลาย ๆ ชัว่ โมง โดยทไ่ี ม่เป็นอนั ตรายต่อร่างกาย (สามารถ รอได้จนผู้ป่วยแบบเร่งด่วนได้รบั การรักษาจนอาการคงท่ี) - บาดเจบ็ เลก็ นอ้ ย หมายถงึ ผปู้ ว่ ยทต่ี อ้ งการการรกั ษา แตส่ ภาพของ ผู้บาดเจบ็ รอได้เป็นวัน ๆ โดยอาการไม่แย่ลงไปกว่าเดิม ผู้บาดเจบ็ เหล่านส้ี ามารถทำ� การ ช่วยเหลอื ตนเองได้ ช่วยเพ่อื นได้ - หมดหวงั หมายถงึ ผบู้ าดเจบ็ ทค่ี าดวา่ จะเสยี ชวี ติ ควรใชท้ รพั ยากร ทางการแพทย์กบั ผู้บาดเจบ็ ประเภทน้อี าจเกดิ ประโยชน์น้อย ควรใส่ใจ และใช้เวลาในการ รักษาผู้บาดเจบ็ ท่มี คี วามส�ำคัญเร่งด่วน 4.3.3 ข้ันตอนต่าง ๆ ในการคดั แยกผู้บาดเจบ็ 4.3.3.1 ประเมินสถานการณ์ การค้นหาผู้บาดเจ็บ และคัดแยกเพื่อการรกั ษา - ประเมนิ และจดั แบง่ ผบู้ าดเจบ็ เพอ่ื ใชเ้ จา้ หนา้ ทแี่ ละอปุ กรณ์ ที่มอี ยู่เกดิ ประโยชน์สูงสดุ - ใหก้ ารรกั ษาขนั้ แรกสำ� หรบั ผบู้ าดเจบ็ ทมี่ โี อกาสรอดชวี ติ กอ่ น - เป้าหมายแรก คือ การส่งกำ� ลงั พลทม่ี บี าดแผลเลก็ น้อย กลับไปปฏบิ ัตหิ น้าท่ี
344 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั - ท�ำการคัดแยก และจัดล�ำดับความเร่งด่วนในการรักษา สถานการณ์ทางยทุ ธวธิ ี และประมาณการณ์ - ผู้บาดเจ็บจ�ำเป็นต้องถูกส่งไปยังพื้นที่ปลอดภัยเพื่อ การรกั ษาหรอื ไม่ - สำ� รวจจำ� นวนผบู้ าดเจบ็ ตำ� แหนง่ ทบี่ าดเจบ็ และความรนุ แรง ในการบาดเจบ็ - ความช่วยเหลอื ที่มอี ยู่ (ช่วยเหลอื ตนเอง เพอ่ื นช่วยเพ่อื น เจ้าหน้าท่แี พทย์) - ความสามารถในการสนับสนุนการส่งกลับ และความ ต้องการมอี ะไรบ้าง 4.3.3.2 ประเมินผู้บาดเจบ็ และจดั ล�ำดบั ความส�ำคญั ในการรกั ษา (1) เร่งด่วน หมายถึง ผู้บาดเจ็บที่ต้องการการรักษาทันที เพื่อรกั ษาชวี ิต แขนขา ดวงตา ผู้บาดเจ็บทม่ี ีความสำ� คญั มากเป็นอันดบั หน่งึ ในการรกั ษา ได้แก่ - ผู้บาดเจ็บที่มีการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจ ระบบหวั ใจขดั ข้อง หมายเหตุ ผู้บาดเจ็บที่อยู่ในภาวะไม่หายใจและหัวใจหยุดเต้น (Cardio respiratory distress) อาจจะไม่ถูกจัดอยู่ในพวกเร่งด่วน ในสนามรบผู้บาดเจ็บเหล่าน้ี ถูกจดั อยู่ในภาวะหมดหวงั - เลอื ดออกเป็นจ�ำนวนมาก - ชอ็ ก - การบาดเจบ็ ของทรวงอก - การอดุ กน้ั ทางเดินหายใจ - แผลไหม้บริเวณใบหน้า คอ แขน เท้า อวยั วะเพศ (2) รอได้ หมายถึง ผู้บาดเจ็บที่ไม่ได้มีความเส่ียงถึงชีวิต แขนขาเป็นกลุ่มท่รี อได้
- แผลเปิดทีห่ น้าอก โดยไม่มีภาวะหายใจล�ำบาก ิวชาปฐมพยาบาลและเวชกรรมป้องกัน 345 - แผลเปิดทชี่ ่องท้อง โดยไม่มอี าการช็อก - การบาดเจบ็ ทตี่ า แต่ไม่มปี ัญหาการมองเห็น - แผลเปิดอืน่ ๆ - กระดกู หกั - แผลไหม้ระดับสองและสาม (ไม่รวมที่ใบหน้า มือ เท้า อวัยวะ เพศ) มพี น้ื ท่ี 20% ของพน้ื ผิวร่างกายทง้ั หมดหรือมากกว่า - มีอาการเลก็ น้อย จากการโดนสารพิษ (3) ผู้บาดเจบ็ เล็กน้อย สามารถช่วยเหลอื ตนเองได้ - มแี ผลถลอกเลก็ น้อย และแผลฟกช�้ำ - กล้ามเนอ้ื ตึง เคลด็ ขัด ยอก - มปี ัญหาความเครยี ดเลก็ น้อย - มแี ผลไหม้ระดบั หนงึ่ และสอง (4) ผู้บาดเจบ็ หมดหวัง ผู้บาดเจบ็ ท่มี ีอาการรนุ แรง ซับซ้อน และ ต้องใช้เวลาในการรกั ษาเพอ่ื ช่วยให้รอดชีวิตนาน ได้แก่ - บาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง มีแผลไหม้เกิน 85% ของ พนื้ ผวิ ร่างกาย - มอี าการแสดงวา่ ไดร้ บั พษิ จากสารเคมแี ละอนั ตรายถงึ ชวี ติ 4.3.3.3 การจดั ลำ� ดับความเร่งด่วนในการส่งกลับทางการแพทย์ (1) ประเภทด่วนที่สุด (Urgent) ท�ำการส่งกลับเร็วท่ีสุดเท่าท่ี จะเป็นไปได้หรือภายใน 2 ชั่วโมง เพ่ือท�ำการรักษาชีวิต แขน ขา ดวงตา โดยท่ัวไป ถ้าเราไม่สามารถควบคุมอาการผู้บาดเจ็บได้ แต่ผู้บาดเจ็บมีโอกาสรอดชีวิตให้จัดอยู่ใน ประเภทน้ี - ภาวะการหายใจลำ� บาก - ชอ็ ก ไม่ตอบสนองต่อการให้สารน�้ำทางหลอดเลอื ดด�ำ - ไม่รู้สึกตวั เป็นเวลานาน ๆ - บาดเจบ็ ท่ศี รี ษะและสมอง (Intracranial injuries) มีแรงดนั ในสมอง
346 วชิ าปฐมพยาบาลและเวชกรรมปอ้ งกนั - แผลไหม้ 20 - 85% - แผลเปิดช่องอก ช่องท้อง ความดันโลหติ ลดลง - บาดแผลทะลุ - ควบคมุ เลอื ดที่ออกไม่ได้ หรือกระดกู หกั เปิด มีเลือดออก - บาดแผลทใ่ี บหน้าอย่างรุนแรง (2) ประเภทด่วน (Priority) ต้องทำ� การส่งกลบั ภายใน 4 ชม. โดย ทั่วไป ผู้บาดเจ็บประเภทน้ีอยู่ในสภาพที่มีอาการไม่คงที่หรือมีอาการแย่ลง และเส่ียงต่อ ภาวะแทรกซ้อนจากการบาดเจบ็ - บาดแผลท่ีทรวงอก เช่น กระดูกซ่ีโครงหัก การบาดเจ็บ ทรี่ บกวนการหายใจ - การบาดเจบ็ ทเี่ นอื้ เย่อื อ่อน และแผลหักแบบเปิด - บาดแผลท่ชี ่องท้อง แต่ความดันโลหิตยังไม่ลดลง - การบาดเจบ็ ทด่ี วงตา และไม่เป็นอันตรายต่อการมองเหน็ - การบาดเจบ็ ทีก่ ระดูกสนั หลงั - บาดแผลไหมท้ มี่ อื หนา้ เทา้ อวยั วะเพศ เหลอื พนื้ ทผี่ วิ หนงั ของร่างกาย < 20% (3) ประเภทปกติ (routine) เป็นการส่งกลบั ทางการแพทย์ภายใน 24 ชม. ส�ำหรับการรักษาต่อไม่จ�ำเป็นต้องรีบท�ำการส่งกลับอย่างด่วน ผู้บาดเจ็บในกลุ่ม ได้แก่ บาดแผลต่าง ๆ ดงั น้ี - แผลไหม้ 20 - 80% ของพ้ืนทร่ี ่างกายผู้บาดเจ็บตอบสนอง ต่อการให้สารน้ำ� ทางหลอดเลอื ดด�ำ - กระดกู หักทไ่ี ม่รนุ แรง - แผลเปิด แผลทีท่ รวงอกโดยไม่มภี าวะหายใจล�ำบาก - ผู้ป่วยจติ เวช - ผู้ป่วยท่สี ิ้นสุดการรักษา (4) ประเภทด่วนยทุ ธการ (Tactical Urgent) เป็นการส่งกลบั ทาง การแพทยเ์ มอื่ มยี านพาหนะในการสง่ กลบั เชน่ ผบู้ าดเจบ็ ทม่ี แี ผลเปดิ เลก็ นอ้ ย เคลด็ ขดั ยอด แผลไหม้ 20% เป็นต้น
Search