มหาเวสสันดรชาดก ตอน กัณฑ์มัทรี จัดทำโดย นางสาวชวัลลักษณ์ ราบบำเพิง ชั้น๕/๙ เลขที่ ๑๑ เสนอ คุณครูสุวรรณ ชำนาญธุระกิจ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคใต้ อำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช
ประวัติผู้แต่ง เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นขุนนางและ กวี เอกคนหนึ่งในสมัยต้น กรุง รัตนโกสินทร์ มีนามเดิมว่า หน เป็นบุตรเจ้าพระยาบดินทร์สุรินทร์ฦๅชัย (บุญมี) กับท่านผู้หญิงเจริญ มีบุตรธิดาหลายคนเกิดเมื่อใดไม่ปรากฏหลัก ฐานแน่ชัด น่าจะอยู่ในช่วงปลายสมัย กรุงศรีอยุธยา และถึงแก่ อสัญกรรม ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พ.ศ.๒๓๔๘ ผลงานด้านวรรณคดีที่ท่านได้แต่งไว้มีหลาย เรื่องด้วยกัน เช่น ลิลิตเพชรมงกุฎ อิเหนาคำฉันท์ ลิลิตศรีวิชัยชาดก สมบัติ อมรินทร์คำกลอน
ที่มาของเรื่อง มาจากร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นชาดกเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยกล่าวถึงเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพระ เวสสันดร เดิมแต่งเป็นภาษาบาลี ต่อมามีการแปลเป็นภาษาไทยใน สมัยกรุงสุโขทัย ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โปรด เกล้าฯให้ปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งมหาชาติคำหลวง ซึ่งเป็นมหาชาติ สำนวนแรก โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้สวด ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม โปรดเกล้าให้แต่งกาพย์มหาชาติ เพื่อใช้สำหรับเทศน์ แต่เนื้อความใน กาพย์มหาชาติค่อนข้างยาว ไม่สามารถเทศน์ให้จบภายใน ๑ วัน จึง เกิดมหาชาติขึ้นใหม่อีกหลายสำนวน เพื่อให้เทศน์จบภายใน ๑ วัน มหาชาติสำนวนใหม่นี้เรียกว่า มหาชาติกลอนเทศน์ หรือ ร่ายยาว มหาเวสสันดรชาดก ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯโปรดเกล้าฯให้มี การชำระและรวบรวมมหาชาติกลอนเทศสำนวนต่าง ๆ แล้วคัดเลือก สำนวนที่ดีที่สุดของแต่ละกัณฑ์ นำมาจัดพิมพ์เป็นฉบับของหลวง ๒ ฉบับ คือ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ และ ฉบับกระทรวง ศึกษาธิการ
เนื้อเรื่องย่อ พระนางมัทรีฝันร้ายว่ามีบุรุษมาทำร้าย จึงขอให้พระเวสสันดรทำนายฝันให้ แต่พระนางก็ยังไม่สบายพระทัย ก่อนเข้าป่า พระนางฝากพระโอรสกับพระ ธิดากับพระเวสสันดรให้ช่วยดูแล หลังจากนั้นพระนางมัทรีก็เสด็จเข้าป่าเพื่อ หาผลไม้มาปรนนิบัติพระเวสสันดรและสองกุมาร ขณะที่อยู่ในป่า พระนาง พบว่าธรรมชาติผิดปกติไปจากที่เคยพบเห็น เช่นต้นไม้ที่เคยมีผลก็กลาย เป็นต้นที่มีแต่ดอก ต้นที่เคยมีกิ่งโน้มลงมาให้พอเก็บผลได้ง่าย ก็กลับกลาย เป็นต้นตรงสูงเก็บผลไม่ถึง ทั้งท้องฟ้าก็มืดมิด ขอบฟ้าเป็นสีเหลืองให้รู้สึก หวั่นหวาดเป็นอย่างยิ่ง ไม้คานที่เคยหาบแสรกผลไม้ก็พลัดตกจากบ่า ไม้ ตะขอที่ใช้เกี่ยวผลไม้พลัดหลุดจากมือ ยิ่งพาให้กังวลใจยิ่งขึ้นบรรดาเทพยดา ทั้งหลายต่างพากันกังวลว่า หากนางมัทรีกลับออกจากป่าเร็วและทราบเรื่อง ที่พระเวสสันดร ทรงบริจาคพระโอรสธิดาเป็นทาน ก็จะต้องออกติดตามพระ กุมารทั้งสองคืนจากชูชก พระอินทร์จึงส่งเทพบริวาร 3 องค์ให้แปลงกาย เป็นสัตว์ร้าย 3 ตัว คือราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง ขวางทางไม่ให้เสด็จ กลับอาศรมได้ตามเวลาปกติ เมื่อล่วงเวลาดึกแล้วจึงหลีกทางให้พระนาง เสด็จกลับอาศรม เมื่อพระนางเสด็จกลับถึงอาศรมไม่พบสองกุมารก็โศก เศร้าเสียพระทัย เที่ยวตามหาและร้องไห้คร่ำครวญ พระเวสสันดรทรงเห็น พระนางเศร้าโศก จึงหาวิธีตัดความทุกข์โศกด้วยการแกล้งกล่าวหานางว่าคิด นอกใจคบหากับชายอื่น จึงกลับมาถึงอาศรมในเวลาดึก เพราะทรงเกรงว่า ถ้าบอกความจริงในขณะที่พระนางกำลังโศกเศร้าหนักและกำลังอ่อนล้า พระนางจะเป็นอันตรายได้ ในที่สุดพระนางมัทรีทรงคร่ำครวญหาลูกจนสิ้น สติไป ครั้นเมื่อฟื้ นขึ้น พระเวสสันดรทรงเล่าความจริงว่า พระองค์ได้ประทาน กุมารทั้งสองแก่ชูชกไปแล้วด้วยเหตุผลที่จะทรงบำเพ็ญทานบารมี พระนา งมัทรีจึงทรงค่อยหายโศกเศร้าและทรงอนุโมทนาในการบำเพ็ญทานบารมี ของพระเวสสันดรด้วย
ลักษณะคำประพันธ์ แต่งเป็นร่ายยาว มีพระคาถาภาษาบาลีนำ และพรรณนาเนื้อความ โดยมีพระคาถาสลับเป็นตอน ๆ ไปจนจบกัณฑ์ คำประพันธ์ประเภท ร่ายยาว หนึ่งบทจะมีกี่วรรคก็ได้ แต่ส่วนมากมี ๕ วรรคขึ้นไป วรรค หนึ่ง ๆ มีตั้งแต่ ๖ คำขึ้นไป ถึง ๑๐ คำหรือมากกว่า มีบังคับเฉพาะ ระหว่างวรรค คือ คำสุดท้ายของวรรคจะส่งสัมผัสไปที่คำที่ ๑ ถึง ๕ ของวรรคต่อไป เมื่อจบตอนมักมีคำสร้อย เช่น “นั้นแล” “นี้แล” ร่าย ยาวมหาเวสสันดรชาดก เป็นร่ายยาวสำหรับเทศน์ จะมีคำศัพท์บาลีขึ้น ก่อน แล้วแปลเป็นภาษาไทย แล้วจึงมีร่ายตาม ในระหว่างการดำเนิน เรื่องจะมีคำบาลีคั่นเป็นระยะ ๆ คำบาลีนั้นมีความหมายเกี่ยวเนื่องกับ ข้อความที่ตามมา
ถอดความ เวลานั้นพระนางมัทรีได้ทรงเข้าไปหาผลไม้ในป่า ก็ทรงหวั่นกลัว เมื่อ เห็นธรรมชาติผิดปกติไป ก็ทรงคิดถึงลูกทั้งสอง เดินไปก็เศร้าไปร้องไห้ ไป พอดูผลไม้ในป่าจากที่เคยมีลูกก็มีแต่ดอก ทั้งดอกไม้ที่พระนางเคย ร้อยไปฝากลูกทั้งสอง ท้องฟ้าก็แดงเป็นสายเลือด มืดหมดทั้งแปดทิศ ผลไม้ก็ยังมาหล่นจากมือ ยิ่งผิดสังเกตเลยรีบก้าวเท้าเดินโดยเร็ว มาถึง กลางทางก็ดันมาเจอสัตว์ทั้งสามตัว คือ พญาราชสีห์ พญาเสือเหลือง และพญาเสือโคร่ง ยิ่งร้องไห้ รอเวลาก็คิดว่าป่านี้ลุกคงคอย หากจะ เดินไปทางอื่นก็ไกลมาก มีทั้งขอนไม้ ก้อนหินมากมาย เลยกราบไหว้ อ้อนวอนขอทางกลับ แล้วจะแบ่งผลไม้ให้สักครึ่ง เทพทั้งสามที่แปลงกายมาเมื่อได้ฟังแล้วก็เห็นพระนางร้องไห้น้ำตาเต็ม ไปทั้งสองตาก็หลีกทางให้ พระนางรีบวิ่งไปแล้วร้องไห้ไปไม่ยอมหยุด สักพักก็ถึงอาศรม ถึงที่ที่ลูกทั้งสองเคยเล่นกันก็ไม่เห็น ใจเริ่มเริ่มหวั่น เรียกหาก็ไม่มี พระนางทรงพรรณนาถึงความหลังมากมายถึงลูกทั้ง สอง คิดว่าลูกจะสิ้นใจไปเสียแล้ว เมื่อตรัสถามพระเวสสันดรก็พูดไม่ใยดีแต่สักนิด คิดว่าคบชายอื่นแต่ พระนางก็ไม่ถือโกรธเพราะทั้งลูกและสามีล้วนเป็นเพื่อนร่วมในยามยาก แต่กราบทูลเท่าไรพระสามีก็ไม่ฟัง ไม่ตรัสตอบแต่คำเดียว จึงยิ่งทำให้ พระนางมัทรียิ่งกลุ้มใจยิ่งขึ้น พระนางหนักใจเหลือเกิน เหมือนคนเอา เหล็กแดงมาแทงใจให้เจ็บใจจนทนไม่ได้ ทั้งลูกก็หายไปแม่แทบทนไม่ ไหว หากพระเวสสันดรไม่ใยดี เห็นว่า
ถอดความ พระนางคงจะสิ้นใจอยู่ในป่านี้แล้ว เมื่อพระเวสสันดรทรงได้ฟังพระนา งมัทรีแล้ว จึงรีบคิดหาวิธีดับโศกให้ ว่าพระนางมีพักตร์อันผุดผ่องเสมือน เอาน้ำทองเข้ามาทาบทับผิว เหมือนเป็นนางฟ้าลงมา ใครเห็นก็อยากจะ ชื่นชม พระองค์เลยเลยพูดกล่าวโทษว่าไปลอบคบชายอื่น แล้วยังมามารยา เมื่อตอนเช้าก่อนจะไปยังทำเป็นห่วงใยลูกไม่อยากจาก แต่ไปซะนานเพิ่งจะ กลับมาเอาปานนี้ หรือจะไปติดใจผลไม้ดีๆ แล้วลืมลูกลืมสามี ช่างไม่รู้จริงๆ กับใจหญิง หากเป็นเหมือนเมื่อก่อนนั้นตอนที่เป็นกษัตริย์ พระนางก็คง ไม่มีชีวิตอยู่ เพราะพระองค์จะสั่งประหาร ร่างกายก็ขาดสบั้นไปทันตาแล้ว ส่วนพระนางมัทรีเมื่อได้ฟังคำพระเวสสันดรก็ทรงเจ็บใจและหายทุกข์โศก ลงบ้าง แล้วก้มกราบบังคมทูลพระเวสสันดรว่าที่พระนางมาช้าเพราะว่า ภายในป่าทั้งผลไม้ต้นไม้ พืชพรรณนานาชนิดมันแปรปรวนหมด ทั้งป่ามืด ทั้งแปดทิศ พระนางก็รีบวิ่งไม่หยุดหย่อน แต่ก็มาเจอสัตว์ราชสีห์ และเสือ อีกสองตัว กัดไว้ จนเวลาตะวันตกดินแล้วจึงมาได้พระนางพยายามอธิบาย และแสดงความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดร ว่าพระนางเป็นเพื่อนยากให้ พระองค์มาตลอดแล้วเห็นตรงไหนที่ผิดสังเกตบ้าง เมื่อไม่ว่าจะทุกข์ยากยัง ไงก็ทนหาผลไม้ เข้าไปในป่าก็โดนขุดขวนจนเป็นริ้วรอยเลือดไหล พระนาง ทรงรักสามีเหมือนดังบิดาของตน ไม่เคยคิดที่จะนอกใจ ด้วยพระคุณพระ กรุณาให้พระเวสสันดรทรงให้อภัยความผิดครั้งนี้ของนางด้วย
ถอดความ เมื่อพระนางมัทรีทรงกราบทูลไปแล้วพระเวสสันดรก็ยังนิ่งเฉยไม่ กล่าวอะไร พระนางจึงออกอาการเศร้าโศกยิ่งสะอึกสะอื้น และกราบ บังคมออกมาเที่ยวตามหาพระกุมารทั้งสองตามสถานที่ต่างๆ รำลึก ถึงความหลังเมื่อถึงสถานที่ตรงที่พระกุมารทั้งสองเคยเล่นกัน ยิ่ง มองในน้ำก็มีแต่น้ำขุ่น มองป่าก็จากที่เคยดำผุดดำว่ายอยู่ก็ไม่มี นกที่ เคยบินลงจิกอาหารก็ไม่เห็น ทุกอย่างแปลกตาแปรปรวนไปทุกอย่าง ยิ่งทำให้ใจหาย ออกตามหาต่อเมื่อได้ยินเสียงอะไรก็คิดว่าเป็นเสียง พระกุมารทั้งสอง มองเห็นอะไรตะคุ่มๆ ก็คิดว่าจะเป็นพระกุมารทั้ง สอง ทุกอย่างรอบกายที่ได้ยินได้เห็นก็คิดว่าจะเป็นลุกทั้งสอง จึง กล่าวว่า เวลาปานนี้จะดึกดื่น จนจะรุ่งแล้วก็ไม่รู้เลย ลมพัดเรื่อยๆอก แม่เองก้อ่อนล้า ทั้งดาวเดือนก็ลับกิ่งไม้ลง ฝูงลิงฝูงค้างก็เที่ยวกลับ เกลือกอยู่มากมาย นกก็เงียบไปทุกรัง แต่ตัวแม่ยังคงเที่ยวตามหาลูก อยู่ในป่าทุกหนแห่ง สุดแล้วสายตาที่แม่จะตามลูกไปดูแล สุดที่จะ ได้ยินเสียง สุดปัญญาสุดค้นหาสุดที่จะคิดแล้วที่แม่จะได้พบลูกน้อย แต่รอยสักนิดก็ไม่มี ลูกทั้งสองเจ้าเอ๋ย หรือว่าเจ้าทั้งสองจะสิ้นเสียแล้ว เหมือนดังที่แม่ได้ฝันเมื่อคืน
ถอดความ เมื่อพระนางมัทรีทรงตามหาแล้วจนทั่วแห่งละ ๓ หน ก็ยังไม่เจอ ทรง หมดเรี่ยวแรง และเมื่อกลับมาที่อาศรมก็เหมือนจะสิ้นใจลงตรงนั้น ทรง พรรณนาถึงลุกทั้งสอง ทรงร้องไห้น้ำตานองหน้าตลอดตั้งแต่ตามหาก็ ยังไม่หยุด คร่ำครวญร้องไห้ หากว่าพระนางรู้ว่าลูกอยู่หนแห่งใดก็จะไป ตามหาหรือลูกจะข้ามน้ำทะเลไปเขตแคว้นอื่นแล้ว หากแม่รู้แม่จะไปตาม ลูกด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือ เมื่อตอนเช้าแม่ยังได้กอดจูบลูกอยู่แต้ตอนนี้ไม่ เห็นเสียแล้ว ยามลูกทั้งสองอยู่แม่กล่อมเจ้าแล้วต่อแต่นี้แม่จะกล่อมใคร ให้นิทรา แม่คิดว่าเจ้าจะได้เป็นเพื่อนยากกันยามหน้าแม่จะได้ฝากผีพึ่งลูก ทั้งสองคน แต่เจ้าก็ทิ้งแค่ชื่อไว้ให้เปล่าออก แล้วสมควรหรือไงที่มาสลัด ทิ้งแม่ไปให้แม่ต้องเสียใจ และจะสิ้นใจเสียให้ เลยกราบบังคมทูลน้อม ศีรษะลงต่อพระเวสสันดรเพื่อที่จะได้รู้ แล้วกราบบังคมลาเมื่อเท้าย่อง ย่างก็ไม่ไหวต่อร่างกายที่อ่อนล้า ร่างกายหน้าตาง่วงงอให้พระนางไม่ไหว ไม่ทันได้บังคมทูล พอพูดพระคุณเจ้าเอ๋ยแค่คำเดียวเท่านั้นก็ไม่มีเสียง ตาหลับร่างลงสลบตรงหน้าพระเวสสันดร ดั่งพุ่มฉัตรทองถูกสายอัสนี ฟาดลงระเนนเอนแล้วก็ล้มลงตรงหน้าพระที่นั่งพระเวสสันดรทันที
ถอดความ เวลานั้นพระเวสสันดรก็ทรงทอดพระเนตรเห็นพระนางมัทรี สลบไปก็คิดว่าพระนางจะสิ้นใจแล้ว จึงพรรณนาว่า บุญของพี่นี้ น้อยนักเพื่อนยาก เจ้ามาตายจากพี่ไปภายในวัด เจ้าจะเอาป่าแห่ง นี้เป็นป่าช้า จะเอาอาศรมหลังนี้หรือเป็นบริเวณเมรุทอง จะเอา เสียงสาริดร่ำร้องเสียงจักจั่นและเรไรอันร่ำร้องหรือมาเป็นกลอง ประโคมใน และแตรสังข์เป็นพิณพาทย์ จะเอาเมฆหมอกเป็น เพดาน จะเอายุ่งในป่าหรือมาแต่งฉัตรเงินและฉัตรทอง แล้วจะ เอาแสงพระจันทร์หรือมาเป็นแสงไฟประดับ ช่างน่านิจจามัทรีมา ตายไร้ญาติอยู่ในป่า เมื่อได้ตั้งสติลดโศกเศร้าจึงพิจารณาก็รู้ว่า ยังไม่สิ้น จึงเอาผ้ากับน้ำมาประคบเพื่อให้ฟื้ น ยกศีรษะพระนาง ตั้งบนตัก แล้วประคบเพื่อให้นางฟื้ นตื่นขึ้นมา เมื่อพระนางมัทรีตื่นขึ้นมาเห็นตนนอนอยู่บนตักพระเวสสันดร ก็ เห็นว่ามิควร เลยรีบลุกแล้วถัดลงไป ก็ทรงทูลถามพระเวสสันดร ต่อว่าลูกทั้งสองอยู่ที่ไหน พระองค์ทรงเล่าให้ฟังว่า ได้ให้ทานแก่ พราหมณ์เมื่อวานนี้แล้ว
ถอดความ ขอให้พระนางจงอย่าโศกเศร้าไปเลย ให้ศรัทธาในการทำทานครั้งนี้ หากเรายังมีชีวิตอยู่ต้องได้เจอกันสักวัน พระองค์จะต้องให้ผู้ที่มาขอ ถึง แม้จะมีผู้มาขอเนื้อหนัง เลือด หรือจะเป็นดวงตา พระองค์พร้อมที่จะให้ และถ้าหากพระองค์มีเงินทองมากมาย หากมียาจกมาไหว้วอนขอก็จะให้ เช่นกัน มัทรีจงช่วยอนุโมทนาทานในครั้งนี้ด้วย พระนางมัทรีทรงถามว่า เมื่อวานนี้ทำไมพระองค์ไม่บอกให้รู้ พระ เวสสันดรจึงตอบว่า หากจะเล่าให้พระนางฟังก็สุดใจมาจากป่าไกลยัง เหนื่อยอยู่ และด้วยความรักร้อนรนที่มีต่อลูก ที่ลูกทั้งสองไปไกลตา พระนางมัทรีเลยพูดต่อว่า พระกุมารทั้งสองคนพระนางอุตสาถนอม เลี้ยงดูมา ก็ขออนุโมทนาด้วยปิยบุตรทานบารมีด้วย ขอให้น้ำพระทัย พระองค์จงผ่องแผ้วอย่ามีมัจฉริยธรรมอกุศลอย่าปนในน้ำพระทัยของ พระองค์
ข้อคิด ๑. ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก แนวคิด พระนางมัทรีมีความรักในสองกุมารยิ่งนัก ๒. ผู้ที่ปรารถนาสิ่งต่างๆ อันยิ่งใหญ่จะต้องทำด้วย ความอดทนและเสียสละอันยิ่งใหญ่ด้วย ๓. ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำให้ชีวิตครอบครัว มีความสุข ๔. ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: