1 ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ ววิ ัฒนาการของวัฒนธรรมไทย สาระสาคญั วฒั นธรรม คือ ทุกสง่ิ ทุกอยา่ งทีแ่ สดงออกถงึ วิถีชวี ิตมนุษย์ที่อย่รู ่วมกนั เป็นสงั คม ซึง่ ในแต่ละสงั คมมนุษยไ์ ด้ สรา้ งระเบยี บ กฎเกณฑ์ วธิ ีในการปฏิบตั ิ รวมทัง้ การจดั ระเบยี บ ตลอดจนระบบความเชื่อ ค่านิยม ความรู้ และ เทคโนโลยตี า่ งๆ โดยไดว้ ิวัฒนาการสืบทอดกนั มาอยา่ งมีแบบแผนดนิ แดนประเทศไทยเป็นดินแดนเก่าแก่และใน ปจั จุบันประเทศไทยมโี ครงสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย โดยมีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข และยึดหลกั การของสากลซึ่งเป็นทย่ี อมรับกนั ทั่วไป 3 ประการ คือ การรวมอานาจ การกระจายอานาจ และการแบง่ อานาจ วถิ ีชีวิตของผู้คนในปัจจบุ ัน มกี ารแข่งขนั กันมากข้ึน ต้องปรับตวั มากขน้ึ แต่อย่างไรกต็ าม เอกลกั ษณ์ วัฒนธรรมของไทยทย่ี ังคงอยู่ในปจั จุบนั คือ 1) มีพระมหากษัตริย์เปน็ ประมขุ 2) เปน็ สงั คมเกษตรกรรม 3) เคารพในระบบอาวโุ ส 4) มพี ระพุทธศาสนาเป็นเคร่ืองยึดเหนี่ยวจติ ใจ 5) มีภาษาเปน็ คนของตนเอง 6) ความรกั อสิ ระ 7) เปน็ สยามเมืองยมิ้ เนอื้ หาสาระการเรียนรู้ 1 ความหมายของวัฒนธรรม จากความหมายของวัฒนธรรมทั้งในด้านท่ัวๆ ไปในภาษาละติน พจนานุกรมไทยด้านภาษาศาสตร์ ด้านสังคมศาสตร์ และด้านนิติศาสตร์ อาจหลอมรวมเข้าด้วยกันและสามารถสรุปว่า “วัฒนธรรม คือ ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่แสดงออกถึงวิถี ชีวติ มนุษย์ที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคม ซึ่งในแต่ละสังคมมนุษย์ได้สร้างระเบียบ กฎเกณฑ์วิธีในการปฏิบัติ รวมท้ังการจัด ระเบียบ ตลอดจนระบบความเชื่อ ค่านิยม ความรู้ และเทคโนโลยีต่างๆ โดยได้วิวัฒนาการสืบทอดกันมาอย่างมีแบบ แผน” 2 ความสาคัญของวัฒนธรรม วฒั นธรรมเป็นวิถีชีวิตของคนในสังคม ซ่ึงได้สืบทอดต่อมายังชนรุ่นหลัง วัฒนธรรมจึงเปรียบเสมือนเครื่องห่อหุ้ม สังคม ทาให้สังคมดารงอยู่ได้ เพราะฉะน้ันจึงอาจกล่าวได้ว่า วัฒนธรรมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีสังคม หรือที่ใดมี วฒั นธรรมที่นั่นก็มีสังคม ที่ใดมีสังคมท่ีนั่นก็มีวัฒนธรรม เท่ากับเป็นของสิ่งเดียวกันที่มีสองด้านแยกกันในทางปฏิบัติ ไม่ได้ หน้าที่ของวัฒนธรรมที่พึงมีต่อสังคมพอสรุปได้ดังนี้ 2.1 เปนตวกำหนดรปแบบของสถำบน เช่น รูปแบบของครอบครัวว่า ชายจะมีภรรยาได้ก่ีคน หรือ หญิง จะมีสามีได้ก่ีคน เป็นต้น 2.2 เปนตวกำหนดบทบำทควำมสมพนธของมนษย เชน่ ในสังคมไทยผู้ชายจะบวชเรียนเมื่อมีอายุครบ 20 ป หรือการท่ีเด็กต้องแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่หรือผู้มีอายุมากกว่า เป็นต้น 2.3 ทำหนำทควบคมสงคม เชน่ การมีประเพณีต่างๆ ให้ประพฤติปฏิบัติ ผู้ท่ีฝาฝนจะได้รับการตาหนิ จากสังคม เช่น การกระทาของหญิงท่ีหนีตามผู้ชาย โดยไม่มีการสู่ขอตามประเพณีนั้น เป็นการสมควรที่จะได้รับการ ตาหนิจากสังคม เพ่ือนบ้าน อาจจะไม่คบค้าสมาคมด้วย เป็นต้น 2.4 ทำหนำทเปนเครองหมำยสญลกษณทแสดงวำสงคมหนงแตกตำงไปจำกอกสงคมหนง เช่น สังคมไทยทักทายด้วยการไหว้ สังคมทิเบตทักทายด้วยการแลบลิ้น สังคมตะวันตกทักทายด้วยการจับมือ เป็นต้น 2.5 ทำใหเกดควำมเปนอนหนงอนเดยวกนในสงคม เชน่ เกิดเป็นปกแผ่นความจงรักภักดีและอุทิศตน ให้แก่สังคม ทาให้สังคมอยู่รอด
2 2.6 เปนปจจยสำคญในกำรสรำงและหลอหลอมบคลกภำพของสงคมใหกบสมำชก 2.7 สรำงหรอจดรปแบบควำมประพฤตและกำรปฏบตรวมกน โดยบุคคลไม่จาเป็นต้องคิดหาวิธี ประพฤติปฏิบัติโดยไม่จาเป็น รูปแบบความประพฤติท่ีสังคมเคยกระทาอย่างไร หน้าที่ของสมาชิกในสังคมก็คือ การ ปฏิบัติตาม 3. ลักษณะของวัฒนธรรม ทุกสังคมคมจะมีลักษณะของวัฒนธรรมแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม แต่ลักษณะที่เหมือนกันของทุกวัฒนธรรม คือ 3.1 วฒนธรรมเกดจำกกำรเรยนร วัฒนธรรมไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มนุษย์จะต้องเรียนรู้ส่ิงต่างๆ ด้วยตัวเอง หรือต้องได้รับการสั่งสอน อบรม ถ่ายทอดจากบุคคล สังคม และสิ่งแวดล้อม 3.2 วฒนธรรมเปนสงทมนษยสรำงขน เพ่ือใช้เป็นเคร่ืองอานวยประโยชน์ในการดาเนินชีวิตและ ส่ิงที่ถือ เป็นวัฒนธรรมน้ีไม่ใช่เป็นของบุคคลใดบุคคลหน่ึง 3.3 วฒนธรรมเปนมรดกของสงคม วัฒนธรรมเป็นส่ิงที่บ่งบอกถึงความย่ิงใหญ่และความเจริญ ก้าวหน้า ของสังคม 3.4 เปนวถชวตหรอแบบแผนกำรดำเนนชวต การดาเนินชีวิตของบุคคลในแต่ละสังคมจะแตกต่างกันไป สภาพภูมิศาสตร์ ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม ดังนั้นวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละสังคมจะแตกต่างกันไป แต่ละสังคมก็ จะมีวัฒนธรรมเฉพาะของตนเอง แต่ละบุคคลก็จะเรียนรู้วัฒนธรรมของตนเอง 3.5 เปนสงทมกำรเปลยนแปลงอยเสมอ การท่ีสภาพสังคมมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จึงเป็นสิ่งท่ี ทาให้มนุษย์ต้องมีการประดิษฐ์คิดค้น ปรับปรุง เปล่ียนแปลง และพัฒนาสิ่งต่างๆ ให้ทันสมัย หรือเกิดข้ึนมาใหม่ เพ่ือให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ และตอบสนองความต้องการของตนได้
3 ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ววิ ัฒนาการของวัฒนธรรมไทย (ต่อ) 4. ประเภทของวัฒนธรรม โดยท่ัวไปแล้วมักจะแบ่งวัฒนธรรมออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1) วฒนธรรมทเปนวตถ (Material Culture) ได้แก่ สิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยีต่างๆ ที่มนุษย์คิดค้นผลิต ข้ึนมา เช่น ส่ิงก่อสร้าง อาคารบ้านเรือน อาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องอานวยความสะดวกต่างๆ เป็นต้น 2) วฒนธรรมทไมใชวตถ (Non-material Culture) หมายถึง อุดมการณ์ ค่านิยม แนวคิด ภาษา ความ เชื่อทางศาสนา ขนมธรรมเนียมประเพณี ลัทธิการเมือง กฎหมาย วิธีการกระทา และแบบแผนใน การดาเนิน ชวี ติ ซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรม (Abstract) ที่มองเห็นไม่ได้ การแบ่งประเภทของวัฒนธรรมออกเป็น 2 ประเภท ดังกล่าวข้างต้น นักสังคมวิทยาบางท่านเห็นว่า แนวคิด ที่ เกี่ยวกับวัฒนธรรมที่ไม่ใช่วัตถุน้ันคลุมเครือ จึงได้แบ่งวัฒนธรรมออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 4.1 แบงตำมลกษณะ 1) วฒนธรรมทางวตถ (Material Culture) ได้แก่ วัตถุส่ิงของเครื่องใช้ต่างๆ ที่มนุษย์สร้างข้ึนเพ่ือนามาใช้ ในสังคม เช่น ที่อยู่อาศัย อาหาร เส้ือผ้า ยารักษาโรค 2) วฒนธรรมความคด (Idea Culture) หมายถึง วัฒนธรรมที่เก่ียวกับความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ ความเชื่อ ต่างๆ เช่น ความเชื่อในเร่ืองตายแล้วเกิดใหม่ ความเช่ือในเรื่องกฎแห่งกรรม การเชื่อถือโชคลาง ตลอดจนเรื่องลึกลับ นิยายปรัมปรา วรรณคดี สุภาษิต และอุดมการณ์ต่างๆ เป็นต้น 3) วฒนธรรมดานบรรทดฐาน (Norm Culture) เป็นเรื่องของการประพฤติปฏิบัติตามระเบียบ แบบแผนที่ สังคมกาหนดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม ซ่ึงแบ่งออกเป็นประเภทย่อยๆ ดังน้ี (1) วัฒนธรรมทางสังคม (Social Culture) เป็นวัฒนธรรมที่เก่ียวกับความประพฤติ หรือมารยาททางสังคม เชน่ การไหว้ การจับมือทักทาย การเข้าแถว การแต่งชุดดาไปงานศพ เป็นต้น (2) วัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย (Legal Culture) เป็นวัฒนธรรมท่ีก่อให้เกิดความเป็นระเบียบและ กฎเกณฑ์เพื่อให้คนในสังคมอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข (3) วัฒนธรรมที่เก่ียวกับจิตใจและศีลธรรม (Moral Culture) วัฒนธรรมประเภทน้ีใช้เป็นแนวทางในการ ดาเนินชีวิตในสังคม เช่น ความซ่ือสัตย์สุจริต ความเมตตากรุณา ความเอ้ือเือเผื่อแผ่ เป็นต้น 4.2 แบงตำมเนอหำ พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช 2485 ได้แบ่งวัฒนธรรมออกเป็น 4 ประเภท ดังน้ี 1) คตธรรม (Moral Culture) คือ วฒั นธรรมท่ีเกี่ยวกับหลักในการดารงชีวิตส่วนใหญ่เป็นเรื่องของจิตใจ และได้มาจากศาสนา ใช้เป็นแนวทางในการดาเนินชีวิตของสังคม เช่น ความเสียสละ ความขยัน หม่ันเพียร การ ประหยัดอดออม ความกตัญญู ความอดทน การทาความดี เป็นต้น 2) เนตธรรม (Legal Culture) คือ วัฒนธรรมทางกฎหมาย รวมทั้งระเบียบประเพณีท่ียอมรับนับถือกันว่ามี ความสาคัญพอๆ กับกฎหมาย เพ่ือให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข 3) สหธรรม (Social Culture) คอ วฒั นธรรมทางสังคม รวมทั้งมารยาทต่างๆ ที่จะติดต่อเก่ียวข้องกับสังคม เช่น มารยาทในการรับประทานอาหาร มารยาทในการติดต่อกับบุคคลต่างๆ ในสังคม 4) วตถธรรม (Material Culture) คือ วัฒนธรรมทางวัตถุ เช่น เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค บ้านเรือน อาคาร ส่ิงก่อสร้างต่างๆ สะพาน ถนน รถยนต์ เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น 4.3 แบงตำมสำขำวชำ ปัจจุบันเพ่ือสะดวกแก่การศึกษาและส่งเสริมวัฒนธรรม สานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้แบ่งออกเป็น 5 สาขา ดังนี้
4 1) สาขามนษยศาสตร (Humanities) ได้แก่ ขนบธรรมประเพณี คุณธรรม ศีลธรรม ศาสนา ปรัชญา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี มารยาทในสังคม การปกครอง กฎหมาย เป็นต้น 2) สาขาศลปะ (Art) ได้แก่ ภาษา วรรณคดี ดนตรี นาฏศิลป วิจิตรศิลป สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม เป็นต้น 3) สาขาชางฝมอ (Craft) ได้แก่ การเย็บปักถักร้อย การแกะสลัก การทอผ้า การจักสาน การทาเครื่องเขิน การทาเคร่ืองเงิน เคร่ืองทอง การจัดดอกไม้ การประดิษฐ์ การทาเครื่องปันดินเผา เป็นต้น 4) สาขาคหกรรมศลป (Home Economics) ได้แก่ ความรู้เร่ืองอาหาร การประกอบอาหาร ความรู้เรื่อง การแต่งกาย การอบรมเล้ียงดูเด็ก การดูแลบ้านเรือนท่ีอยู่อาศัย การรู้จักใช้ยา ความรู้ในการอยู่รวมกันเป็นครอบครัว เป็นต้น 5) สาขากฬาและนนทนาการ (Sports and Recreation) ได้แก่ การละเล่น มวยไทย ืันดาบสอบมือ กระบี่กระบอง การเลี้ยงนกเขา ไม้ดัดต่างๆ เป็นต้น 4.5 วิวัฒนาการของวัฒนธรรมไทย ววิ ฒั นาการของวัฒนธรรมไทย คือ กระบวนการเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรมไปสู่ภาวะท่ีดีขึ้น มีความเจริญก้าวหน้า และมีความซับซ้อนมากข้ึน ซ่ึงประเทศไทยเป็นดินแดนเก่าแก่ที่มีความเจริญสืบเน่ืองกันมาตั้งแต่ยุคหินเก่า ยุคหิน กลาง ยุคหินใหม่ และยุคโลหะในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยประวัติศาสตร์ มาจนถึงสมัยปัจจุบัน เป็นเส้นกาหนด ในการแบ่งพัฒนาการจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์จนเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ โดยจะเร่ิมจากสมัยสุโขทัยเป็นต้นไป 4.6 เอกลักษณวัฒนธรรมของไทยในปจจบัน เอกลักษณว์ ฒั นธรรม คือ ลกั ษณะที่เดน่ ชัดของสงั คมใดสงั คมหนึง่ ซ่ึงมลี ักษณะเหมือนกันหรือรว่ มกนั ของสังคมที่ เดน่ ชัด และแตกต่างจากลักษณะสงั คมของชนชาตอิ ่นื ความแตกตา่ งดงั กล่าวสามารถเห็นไดจ้ ากลักษณะการ ประพฤติปฏิบตั ิ กิริยาท่าทางการแตง่ กาย วัฒนธรรม จารตี ประเพณี ฯลฯ 4.7 มรดกโลกทางวัฒนธรรมไทยในปจจบัน มรดกโลก (World Heritage) หมายถึง มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ได้แก่ ปาไม้ ภูเขา ทะเลสาบ ทะเลทราย อนุสาวรีย์ สิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมไปถึงเมือง ศิลปกรรม วัฒนธรรม โบราณสถาน และแหล่งโบราณคดี ซึ่งแสดงถึง ความเป็นเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจของชนในชาติ ที่สะท้อนให้เห็นถึงอารยธรรมชุมชนท่ีทรงคุณค่าควรแก่การ อนุรักษ์ปกปองให้ตกทอดไปยังชนรุ่นหลัง เป็นสิ่งที่ทุกคนในโลกเป็นเจ้าของร่วมกัน ในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนมี มรดกโลกรวม 38 แห่ง ใน 9 ประเทศ แบ่งเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม 24 แห่ง และมรดกโลกทางธรรมชาติ 14 แห่งสาหรับมรดกโลกในประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีในอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกเม่ือวันท่ี 17 กันยายน พ.ศ. 2530 มีแหล่งมรดกโลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว ได้แก่ 1) อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกาแพงเพชร 2) อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา 3) เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ปาทุ่งใหญ่นเรศวรและห้วยขาแข้ง 4) แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง 5) อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแหง่ ชาติทบั ลาน อทุ ยานแห่งชาติปางสดี า อทุ ยานแหง่ ชาตติ าพระยา และเขตรักษาพันธส์ุ ตั วป์ าดงใหญ่ และ 6) โขน ศิลปะการแสดงช้ันสูงของไทยที่มีความสง่างาม อลังการและอ่อนช้อย การแสดงประเภทหน่ึงท่ีใช้ ท่าราตามแบบละครใน
Search
Read the Text Version
- 1 - 5
Pages: