บทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวชิ า ระบบควบคุมการขบั เคลอื่ นเบ้อื งตน้ Online Program Instructional of basic drive control system subject นายวรดร แพงประโคน 62201270076 นายศริ พิ ล กลน่ิ หอม 62201270081 นายศวิ กร ศรีวเิ ชียร 62201270082 โครงการน้ีเป็นส่วนหนงึ่ ของการศึกษาตามหลกั สตู รประกาศนยี บัตรวชิ าชพี (ปวช.) พ.ศ. 2562 สาขางานเมคคาทรอนกิ ส์ สาขาวชิ าเมคคาทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนคิ สตั หีบ ปีการศกึ ษา 2564
ใบรบั รองโครงการ สาขาวิชาเมคคาทรอนกิ ส์ วิทยาลยั เทคนิคสตั หบี ชอื่ โครงการ บทเรียนสำเร็จรปู แบบออนไลน์ รายวชิ า ระบบควบคมุ การขบั เคลอ่ื นเบ้ืองต้น โดย นายวรดร แพงประโคน นายศริ ิพล กลนิ่ หอม นายศวิ กร ศรีวเิ ชยี ร ไดร้ ับอนุมัตใิ หน้ ับเปน็ ส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวชิ าชีพ (ปวช.) พ.ศ 2563 สาขาวิชาเมคคาทรอนิกส์ วทิ ยาลัยเทคนิคสัตหีบ …………………………………………………หวั หน้าสาขาวชิ าเมคคาทรอนิกส์ (นายสมบัติ อินยิน) วนั ท่ี -- เดือน ตุลาคม พ.ศ 2564 คณะกรรมการสอบโครงการ …………………………………………………ประธานกรรมการ (นายสมบัติ อินยนิ ) …………………………………………………ครูท่ีปรึกษาท่ี 1 …………………………………………………ครูทปี่ รึกษาท่ี 2 (นางสาวศิริวรรณา ฐาปนะดิลก) (นางสาวพชิ ญ์ชนก อ่ิมพิทักษ์) …………………………………………………กรรมการ ....................................................... กรรมการ (นายวริ ณุ ชยั คล้ายเดือน) (นายสมบัติ ฆ้องสง่ เสยี ง) …………………………………………………กรรมการ ....................................................... กรรมการ (นางสาวณฐั สุดา เกียรติธิวัฒน์) (นางสาวรักชนก ใยลีอ่าง) …………………………………………………กรรมการ (นางสาวศศิกานต์ จันทร์สมปอง)
ข โครงการ บทเรยี นสำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา อปุ กรณค์ วบคุมระบบนวิ เมติกส์ โดย นายวรดร แพงประโคน นายศิรพิ ล กลน่ิ หอม สาขาวชิ า นายศิวกร ศรวี ิเชยี ร สาขางาน เมคคาทรอนิกส์ ครูทีป่ รกึ ษา เมคคาทรอนิกส์ ครทู ่ปี รึกษารว่ ม นางสาวศริ ิวรรณา ฐาปนะดลิ ก จำนวนหน้า นางสาวพิชญช์ นก อ่มิ พิทักษ์ ปีการศึกษา 2564 บทคดั ยอ่ ปจั จุบนั แผนกเมคคาทรอนกิ ส์วิทยาลัยเทคนิคสตั หีบได้มกี ารเปิดการเรียนการสอน ในรูปแบบออนไลน์ เพราะสถานการณ์โควิด-19 จึงได้มีการจัดทำบทเรียนสำเร็จรูปแบบ ออนไลน์รายวิชาอุปกรณ์ควบคุมระบบนิวเมติกส์ ซึ่งในวิขานี้จัดการเรียนการสอนเป็น หลักสูตรโดยแบ่งเป็นทฤษฎีและปฏิบัติควบคู่กันยังมีการเรียนการสอนโดยการสอน เกี่ยวกับ วาล์วควบคุมความดัน วาล์วหน่วงเวลา ตัวนับ คณะจัดทำได้เล็งเห็นว่าเนื่องจาก สถานการณ์โควดิ -19 ในปัจจบุ นั ควรมีบทเรียนสำเรจ็ รูปแบบออนไลน์ เพือ่ ใชใ้ นการเรียนรู้ เกยี่ วกับอุปกรณ์ควบคมุ ระบบนิวเมตกิ ส์ เพอ่ื ผศู้ กึ ษาสามารถได้รบั ความรู้ได้อย่างครบถ้วน และมคี วามรู้ในอุปกรณ์ควบคุมระบบนิวเมติกส์
ค กติ ติกรรมประกาศ โครงการฉบับนส้ี ำเรจ็ ลลุ ว่ งด้วยดีเนอื่ งจากความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกภายในกลุม่ ทุกทา่ น คณะผู้จัดทำขอขอบพระคุณอาจารย์พิชญ์ชนก อิ่มพิทักษ์ และอาจารย์ศิริวรรณา ฐาปนะดิลก ซึ่งเป็น อาจารย์ที่ปรึกษาที่ได้คำแนะนำ แนวคิด ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องมาโดยตลอด และอาจารย์ประจำ แผนกวิชาช่างเมคคาทรอนิกส์เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้คำแนะนำ ปรึกษาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ตลอดจนถึง ข้อมลู และเน้ือหาท่ีเป็นประโยชน์ต่อโครงงาน ขอขอบพระคุณบิดา มารดา และผู้มีพระคุณสำหรับการให้การสนับสนุนทุกสิ่งอย่างด้าน การศกึ ษามาตลอดจนถึงปจั จุบนั รวมทั้งเปน็ กำลงั ใจท่ีดีเสมอ และสดุ ท้ายขอขอบคุณเพือ่ นๆ ท่ีให้กำลังใจ มาตลอดจนโครงการฉบับนี้สำเรจ็ ลุล่วงไปได้ดว้ ยดี คณะผู้จัดทำ
สารบัญ ง เรือ่ ง หน้า ใบรับรองโครงงาน ก บทคัดย่อ ข กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง สารบัญ(ตอ่ ) จ สารบัญรูป ฉ สารบัญรูป(ตอ่ ) ช สารบญั รูป(ตอ่ ) ซ สารบัญตาราง ฌ บทท่ี 1 ที่มาและความสำคัญ 1 1 1.1 ท่ีมาและความสำคัญ 1 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ 1 1.3 ขอบเขตของโครงงาน 1 1.4 ประโยชนค์ าดจะได้รับ 3 บทที่ 2 ทฤษฎีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง 3 2.1 การสรา้ งเว็บเพจด้วย Google Site 7 2.2 บทเรียนสำเร็จรูป 8 2.3 บทเรยี นสำเรจ็ รปู แบบออนไลน์ 15 2.4 ระบบขับเคลื่อน 23 บทท่ี 3 วิธกี ารดำเนนิ การ 23 3.1 ข้ันตอนการดำเนินงาน 24 3.2 ศกึ ษาขอ้ มลู
สารบญั (ตอ่ ) จ เรื่อง หน้า 3.3 การออกแบบเว็ปไซต์ 24 3.4 การดำเนนิ การทดลองและการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 33 34 บทที่ 4 ผลดำเนินงาน 34 4.1 ข้นั ตอนการทดสอบ 34 4.2 ผลการทดลอง 35 4.3 บทเรยี นสำเร็จรปู แบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขบั เคลื่อนเบื้องต้น 36 36 บทท่ี 5 การสรปุ ผลและข้อเสนอแนะ 37 5.1 สรุปผลการดำเนนิ การ 37 5.2 อภปิ รายปญั หา 38 5.3 ขอ้ เสนอแนะ 39 40 เอกสารอา้ งอิง 44 ภาคผนวก 47 51 ภาคผนวก ก ภาคผนวก ข ภาคผนวก ค ภาคผนวก ง
สารบัญรปู ภาพ ฉ เรอื่ ง หน้า รูปท่ี 2.1 Google Site 2 รูปท่ี 2.2 การเขา้ ถึง Drive 3 รูปที่ 2.3 การสรา้ งเว็บไซต์ 3 รปู ที่ 2.4 การป้อนช่อื เวบ็ และปรบั ขนาดตวั อักษร 4 รปู ที่ 2.5 การแชร์เวบ็ ไซต์ 4 รูปท่ี 2.6 การฝงั Code 5 รูปท่ี 2.7 การฝงั Codeการเขา้ ชมเวบ็ ไซต์ 5 รูปท่ี 2.8 บทเรียนสำเร็จรูปแบบเสน้ ตรง (Linear Program) 6 รูปท่ี 2.9 บทเรยี นแบบสาขา (Branching Program) 7 รูปท่ี 2.10 สายพานแบน (Flat belt) 15 รูปที่ 2.11 สายพานวี (V-belt) 15 รูปที่ 2.12 สายพานกลม (Circular belt หรือ Rope belt หรือ Round belt) 16 รูปที่ 2.13 สายพานไทมม์ ิ่ง (Timing belt) 16 รปู ท่ี 2.14 ตารางการแบง่ สายพาน (Conveyor Belt) 17 รปู ที่ 2.15 ประเภทใช้งานทวั่ ไป (General Use Conveyor Belt) 18 รปู ที่ 2.16 ประเภทใชง้ านแบบพเิ ศษ (Special Conveyor Belt) 18 รปู ที่ 2.17 ประเภทใชง้ านแบบพิเศษ (Special Conveyor Belt) 19 รูปที่ 2.18 สายพานผ้าใบ (Fabric Conveyor Belt) 19 รปู ที่ 2.19 สายพานลวดสลงิ (Steel Cord Conveyor Belt) 20 รูปที่ 2.20 แบบผิวหนา้ เรียบ (Plain Surface) 20 รูปท่ี 2.21 แบบผวิ หนา้ ก้างปลา (Pattern Surface) 21 รูปที่ 2.22 แบบมีผิวหน้าพิเศษหรอื มีโครงสร้างแบบพเิ ศษ 21 รปู ท่ี 3.1 ข้นั ตอนการดำเนินการของ บทเรียนสำเรจ็ รปู แบบออนไลน์ 23 รปู ที่ 3.2 การประยุกต์ใช้ AC Motor แตล่ ะ class 24
สารบญั รูปภาพ(ต่อ) ช เร่ือง หน้า รูปท่ี 3.3 หนา้ หลกั เวบ็ ไซต์ AC Motor 25 รูปท่ี 3.4 หนา้ เว็ปเนอ้ื หา AC motor คืออะไร 25 รูปที่ 3.5 หนา้ เวป็ เนอ้ื หา ซงิ โครนัสมอเตอร์และอะซิงโครนสั มอเตอร์ 26 รูปท่ี 3.6 หน้าเวป็ เนอ้ื หา ซงิ โครนสั มอเตอร์(เพ่ิมเตมิ ) 26 รปู ที่ 3.7 หน้าเวป็ เนอ้ื หา การทำงานของซงิ โครนสั มอเตอร์ 27 รูปท่ี 3.8 หน้าเว็ปเน้ือหา การทำงานของอะซิงโครนสั มอเตอร์ 27 รปู ท่ี 3.9 หน้าเว็ปเนื้อหา หลกั การทำงานของ AC Motor 28 รูปท่ี 3.10 หนา้ เว็ปเนื้อหา ประเภทของ AC Motor 28 รูปท่ี 3.11 หนา้ เวป็ เนื้อหา AC Motor 1 เฟส 29 รปู ท่ี 3.12 หนา้ เวป็ เนอ้ื หา ตัวอย่าง AC Motor 1 เฟส 29 รปู ที่ 3.13 หน้าเว็ปเนือ้ หา ตัวอยา่ ง AC Motor 1 เฟส 30 รปู ท่ี 3.14 หน้าเว็ปเนื้อหา AC Motor 3 เฟส 30 รูปที่ 3.15 หนา้ เว็ปเนอ้ื หา ตัวอย่าง AC Motor 3 เฟส 31 รูปท่ี 3.16 หน้าเวป็ เนอ้ื หา การประยกุ ตใ์ ช้งานของ AC motor 31 รูปท่ี 3.17 หนา้ เวป็ เนื้อหา การประยกุ ต์ใช้งานของ AC motor 32 รูปท่ี 3.19 หนา้ เว็ปเนอ้ื หา แบบฝึกหัด 32 รปู ท่ี 3.20 ขน้ั ตอนการทดสอบประเมินประสิทธิภาพของบทเรยี นสำเร็จรปู แบบออนไลน์ 33 รูปที่ 4.1 บทเรียนสำเรจ็ รปู แบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขบั เคลื่อนเบื้องต้น 35 รูปที่ ก.1 สบื ค้นข้อมลู เก่ียวกับหัวข้อทไ่ี ดร้ ับ 39 รปู ที่ ก.2 คน้ หาวธิ ีการใช้ google site 39 รปู ที่ ก.3 ออกแบบหนา้ เว็ป google site 40 รูปที่ ก.4 นำเน้อื หาท่หี ามาได้ใสใ่ น google site 40 รูปที่ ก.5 จัดลำดบั เน้ือหา 41
ซ สารบัญรูปภาพ(ต่อ) เรือ่ ง หน้า รูปที่ ก.6 ไดบ้ ทเรยี นสำเรจ็ รูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคมุ การขับเคล่อื นเบ้อื งตน้ 41 รปู ท่ี ข.1 โปรแกรมทำรูปเลม่ โครงงาน 43 รปู ที่ ข.2 โปรแกรมทำบทเรยี นสำเร็จรูปออนไลน์ 43 รปู ที่ ข.3 โปรแกรมทำแบบทดสอบ 44 รปู ท่ี ค.1 ออกแบบสอ่ื การสอนออนไลน์ 46 รูปที่ ค.2 ไดส้ ่ือการสอนออนไลน์ตามทกี่ ำหนด 46 รปู ที่ ค.3 เตรียมแบบทดสอบก่อนและหลังเรยี น 47 รปู ที่ ค.4 เตรยี มแบบทดสอบก่อนเรียน 47 รูปที่ ค.5 เตรยี มแบบทดสอบหลังเรยี น 48 รูปท่ี ค.6 รวบรวมผลคะแนน 48 รปู ที่ ค.7 ไดส้ อื่ การสอนออนไลน์ รายวชิ าระบบควบคมุ การขบั เคลือ่ นเบอ้ื งตน้ 49
สารบัญตาราง ฌ เรื่อง หน้า รูปที่ 4.1 ตารางสรปุ ผลการทำแบบฝึกหัดของบทเรยี นสำเร็จรูปแบบออนไลน์ 34 รปู ที่ 4.2 ตารางสรปุ ผลการทำแบบฝกึ หัดของบทเรยี นสำเร็จรปู แบบออนไลน์ 35
1 บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ที่มำและควำมสำคัญ ปัจจุบันวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบได้เล็งเห็นถึงศักยภาพด้านการพัฒนาสมรรถนะภาพของนักเรียน นักศึกษาจากการเรียนในส่วนวิชาระบบการควบคุมการขับเคล่ือนเบื้องต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาขาวิชา ช่างเมคคาทรอนิกส์ท่ีทางวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบไดใ้ หค้ วามสาคัญ จึงสนับสนุนใหน้ ักเรียนนักศึกษาเรยี นรู้ เกี่ยวกับระบบควบคุมการขับเคลื่อนโดยการศึกษาผ่าน บทเรียนสาเร็จรูปแบบออนไลน์ เพื่อฝึกทักษะให้ เรียนรู้ระบบการเคลื่อนที่และให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียนและ การศึกษาที่ผ่านมานั้นสาขาวิชาช่าง เมคคาทรอนกิ สย์ งั มไิ ดม้ ีบทเรียนสาเร็จรูปแบบออนไลน์เพ่อื ใช้ในการศกึ ษา คณะผู้จัดทาจึงได้เล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงเกิดแนวคิดในการแก้ปัญหาโดยสร้าง “บทเรียน สาเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขับเคลื่อนเบื้องต้น” โดยประยุกต์ใช้ google site เพื่อใหม้ ีการศกึ ษาและนาความรู้ไปประยุกตใ์ ช้งานไดจ้ ริงในวทิ ยาลยั เทคนคิ สัตหีบ 1.2 วตั ถุประสงค์ 1.2.1 เพื่อศึกษาระบบการควบคุมการขบั เคลื่อนเบื้องต้น 1.2.2 เพือ่ สร้างบทเรียนสาเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขบั เคล่ือนเบื้องตน้ 1.2.3 เพ่อื ใชเ้ ป็นส่ือการเรยี นการสอนให้นักศกึ ษามีความสนใจในวชิ าระบบขบั เคลื่อน 1.3 ขอบเขตของโครงงำน 1.3.1 จัดทาสือ่ ประกอบการเรียน ดว้ ยระบบออนไลน์ โดยประยกุ ตใ์ ช้ google site 1.3.2 จดั ทาแบบทดสอบความร้กู อ่ นเรียนและหลงั เรียนด้วยระบบออนไลน์ โดย google form 1.3.3 สือ่ การสอนวิชาการขับเคล่ือนเบ้อื งต้น 1.4 ประโยชนท์ ่ีคำดจะได้รับ 1.4.1 นกั ศึกษามีความร้คู วามเข้าใจในวชิ าการควบคมุ การขบั เคล่ือนเบอื้ งต้น 1.4.2 นักศึกษามีความสามัคครี ่วมมือร่วมใจในการทางานและปฏบิ ัตหิ นา้ ทตี่ นเองได้ 1.4.3 โครงงานบทเรียนสาเร็จรูปแบบออนไลน์สามารถนามาประยุกต์และใช้ในชีวิตประจาวัน ของการเรยี นการสอนได้ดี 1.4.4 โครงงานบทเรยี นสาเรจ็ รูปแบบออนไลน์สามารถนาไปพฒั นาและต่อยอดได้ดี
2 บทที่ 2 ทฤษฎแี ละเอกสารทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ในการศึกษาข้อมลู การสร้างบทเรียนออนไลนส์ าเร็จรปู นนั้ ผศู้ กึ ษาไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ ทฤษฎีและ เอกสารที่เกี่ยวข้องดงั นี้ 2.1 การสรา้ งเว็บเพจ ด้วย Google Site 2.2 บทเรียนสาเรจ็ รปู 2.3 บทเรียนออนไลน์ 2.4 ระบบขบั เคล่ือน 2.1 การสร้างเว็บเพจดว้ ย Google Site 2.1.1 Google Site Google Site คือ เว็บไซต์ของ Google ที่ให้บริการสร้างเว็บไซต์ฟรี สามารถสร้าง เว็บไซต์ได้ง่าย ปรับแต่งรูปลักษณ์ได้อย่างอิสระ และสามารถรวบรวมความหลากหลายของข้อมูล ไว้ในที่เดียว เช่น วิดีโอ, ปฏิทิน, เอกสาร อื่น ๆ สามารถนามาแทรกในหน้าเว็บเพจได้ เป็นการเพิ่ม ลูกเลน่ ใชง้ านได้ง่าย ทาใหช้ ว่ ยอานวยความสะดวกไดเ้ ป็นอยา่ งมาก รปู ที่ 2.1 Google Site
3 2.1.2 การสรา้ งเว็บเพจด้วย Google Site 2.1.2.1 การเข้าถงึ Drive สามารถเข้าถงึ ไดจ้ าก http://sites.google.com หรอื เมื่อ login อยใู่ นระบบแลว้ ไปที่เมนู Google Apps เลอื ก “Sites” รปู ที่ 2.2 การเข้าถึง Drive 2.1.2.2 การสร้างเวบ็ ไซต์ คลิกเลอื ก “ว่าง” (ในกรอบสีฟ้า) เพื่อสร้างเว็บไซต์ รปู ที่ 2.3 การสรา้ งเวบ็ ไซต์
4 2.1.2.3 คลกิ ทปี่ ้อนช่ือเว็บและปรับขนาดตวั อักษรเพ่ือเติมหนา้ เวบ็ เพจ รูปท่ี 2.4 การป้อนช่ือเวบ็ และปรบั ขนาดตวั อักษร 2.1.2.4 แชร์เวบ็ ไซต์ โดยการคลิกท่ปี ุ่ม “เผยแพร่” รูปท่ี 2.5 การแชร์เว็บไซต์
5 2.1.2.5 กดฝังท่หี มายเลข 1 และใส่ Code ท่ีหมายเลข 2 การใช้ Code HTMLเรา สามารถใส่ html สาหรับติดเวบ็ ไซต์ เพื่อแสดงรายการตา่ ง ๆ รูปที่ 2.6 การฝงั Code 2.1.2.6 การเข้าชมเว็บไซต์ โดยเปดิ หนา้ Browser ใหมแ่ ล้วเขา้ ชมเวบ็ ไซต์ไดจ้ าก URL ทีร่ ะบุเป็นการเสรจ็ สิ้นขั้นตอนการสร้างเว็บไซต์ รูปท่ี 2.7 การฝงั Codeการเข้าชมเว็บไซต์
6 2.2 บทเรียนสาเร็จรูป บทเรียนสาเร็จรปู หมายถึง บทเรียนทผี่ สู้ อนจัดทาขึน้ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมือในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ให้นักเรียน นักศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง แต่ละสาระการเรียนรู้วิชาขับเคลื่อนเบื้องต้น แต่ละบทเรียน โดยเริ่มจาก เนื้อหาสาระที่ง่าย ๆ ไปสู่เนื้อหาที่ยากขึ้นไปตามลาดับ เป็นบทเรียน ที่สร้างขึ้นโดยกาหนดวัตถุประสงค์ เนื้อหา วิธีการ และสื่อการเรียนการสอนไว้ล่วงหน้า ผู้เรียน สามารถศกึ ษา ค้นควา้ และประเมินผลการเรียนด้วยตนเองตามข้นั ตอนที่กาหนดไว้ 2.2.1 ลักษณะของบทเรียนสาเร็จรูป ลักษณะสาคัญของบทเรียนสาเร็จรูป คือ การออกแบบการบรรจุเนื้อหาและสาระ การเรียนรู้ออกเป็น กรอบ (Frame) ซึ่งเนื้อหาและสาระการเรียนรู้ดังกล่าวนั้นจะนามาจัดทา เป็นหน่วยการเรียนรู้ย่อย ๆ แล้วบรรจุเนื้อหาสาระการเรียนรู้หน่วยย่อย ๆ ดังกล่าวลงไปในกรอบ แตล่ ะกรอบใหม้ ีความสัมพันธ์และเรียงลาดับเน้ือหาจากงา่ ยไปยาก 2.2.2 ประเภทและองค์ประกอบของบทเรยี นสาเร็จรูป 2.2.2.1 บทเรียนเชิงเส้น (Linear Program or Constructed Response Type) Skinner เปน็ ผู้คิดขน้ึ โดยอาศัยผลการวจิ ยั การเรยี นรขู้ องสตั ว์ สรปุ ว่าการเรยี นรู้ควรแบ่งเป็นชั้นย่อย แต่ตอนท้ายของแต่ละชั้น ผู้เรียนจะต้องแสดงให้เห็นสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ด้วยการตอบคาถามซึ่ง นิยมใช้เป็นแบบถูกผิดหรือเติมคา และทราบคาตอบทันที ลักษณะที่สาคัญของบทเรียนประเภทนี้ คือ ผู้เรียนจะต้องเรียนตามลาดบั ทีละกรอบต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่กรอบแรกจนกรอบสดุ ท้าย จะขา้ มกรอบใดกรอบหน่งึ ไม่ได้ องค์ประกอบเป็นแผน่ ภาพดังนี้ รปู ท่ี 2.8 บทเรยี นสาเรจ็ รปู แบบเส้นตรง (Linear Program)
7 2.2.2.2 บทเรยี นแบบสาขา (Branching Program) นอรแ์ มนเอคราวเดอร์ องค์การ อุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้คิดขึ้น โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นขั้นย่อย ๆ ที่สมบูรณ์ตามด้วย คาถามที่มีคาตอบให้เลือก เมื่อผู้เรียนเลือกคาตอบผิดจะมีคาอธิบายสาเหตุที่ผิดผู้เรียนต้องเลือกใหม่ จนกวา่ จะถกู รูปที่ 2.9 บทเรียนแบบสาขา (Branching Program) 2.3 บทเรยี นสาเรจ็ รปู แบบออนไลน์ 2.3.1 ความหมายของเว็บเพจ วิทยา เรืองพรวิสุทธิ์ กล่าวว่า เว็บเพจ หมายถึง ไฟล์ข้อมูลเอชทีเอ็มแอล (HTML) หรือเป็นข้อมูลในระบบเวิล์ดไวด์เว็บ (WWW) ซึ่งประกอบด้วยคาหรือวลีพิเศษต่าง ๆ ที่เรียกว่า “ไฮเปอรเ์ ทก็ ซ์” หรือเป็นการเชอ่ื มโยงแบบไฮเปอรล์ งิ ค์เปน็ การเช่ือมโยงเพื่อติดต่อไปยัง เวลิ ด์ ไวด์เว็บ เซิรฟ์ เวอร์ แหล่งขอ้ มลู ต่าง ๆ ท่ีถูกกาหนดไว้บนเวลิ ด์ ไวดเ์ ว็บเพจน้ัน เจนวิทย์ เหลืองอร่าม ได้กล่าวว่าเว็บเพจ นั้นคือ หน้ากระดาษอิเล็กทรอนิกส์ เวิลด์ไวด์เว็บ เรียกว่า เว็บเพจ ซึ่งมีหน้าตาคล้ายกับหน้ากระดาษของหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารมาก โดยมีทั้งตัวอักษร ข้อความ และภาพนิ่ง นอกจากนี้ยังสามารถใส่เสียงและวีดีทัศน์ในหน้าเว็บเพจได้ สาหรับเว็บเพจหน้าแรกเราเรียกว่า “โฮมเพจ” โดยปกติแล้วเราสามารถใช้คาว่าเว็บเพจ เรียกแทน คาวา่ โฮมเพจ หรือ เว็บไซต์ ก็ได้
8 จากขอ้ มูลข้างต้นสรุปได้ว่า เวบ็ เพจ คอื เอกสาร (Hyper Text Markup Language) ที่มีข้อมูลโดยประกอบด้วย ข้อมูล ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว สามารถเชื่อมโยงไปยังหน้าเอกสาร HTML หรอื หน้าเว็บเพจอน่ื ๆ ได้ 2.3.2 องค์ประกอบของเว็บเพจ 2.2.2.1 โฮมเพจ วิทยา เรืองพร ได้กล่าวงถึงองค์ประกอบส่วนที่เป็นโฮมเพจว่าลักษณะโดยทั่วไป โฮมเพจนัน้ มคี วามคลา้ ยคลึงกันมากอาจต่างกันทเี่ ทคนิคและวิธีการนาเสนอ ดงั นนั้ องค์ประกอบหลัก ของโฮมเพจจึงแบ่งออกได้ ดงั นี้ 1. ส่วนรูปภาพหรือโลโก้ (Logo) แสดงความเป็นเจ้าของโฮมเพจ เป็นรูปที่มีขนาด ไม่ใหญ่มากนัก เพ่ืองา่ ยต่อการโอนยา้ ยข้อมูลบนครือข่ายคอมพวิ เตอร์ 2. สว่ นหัวเรอ่ื งของขอ้ มลู เป็นหวั ขอ้ ของข่าวสาร บรษิ ัท องคก์ รหรือสถานบันท่ีเป็น เจา้ ของโฮมเพจ 3. ส่วนเนื้อหาข้อมูล และการเชื่อมโยงไปยังเว็บเพจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนของ ข่าวสารที่เป็นเนื้อความแสดงถึงรายละเอียดหรือเนื้อหาข้อความแบบคัดย่อที่สามารถเชื่อมโยงไปยัง ขอ้ มลู แบบแสดงรายละเอยี ดของโฮมเพจทเ่ี กย่ี วข้องโดยผ่านไฮเปอรเ์ ท็กซ์ 2.3.2.2 เว็บเพจท่เี ป็นข้อมูล กิตติ ภักดีวัฒนะกุล กล่าวว่า เว็บเพจที่เป็นข้อมูลเป็นส่วนที่เสนอรายละเอียดของ หัวข้อที่อย่ใู นหนา้ โฮมเพจ โดยทั่วไปเวบ็ เพจมอี งคป์ ระกอบ ดงั นี้ 1. Text เปน็ ขอ้ ความปกตสิ ามารถตกแตง่ มีรปู แบบการทางาน Word Processing 2. Graphic มีรูปภาพ ลายเส้น พนื้ หลงั ตา่ ง ๆ มากมายขึ้นอยกู่ ับผูอ้ อกแบบเลือก 3. Multimedia ภาพเคลือ่ นไหวและเสยี งประกอบ 4. Counter ใช้สาหรบั นับจานวนผทู้ ี่เข้าเย่ยี มชมเว็บเพจ 5. Link ใชเ้ ชอ่ื มตอ่ ไปยังเว็บเพจอืน่ ๆ 6. Form เป็นแบบฟอร์มใชส้ าหรับผใู้ ชก้ รอกขอ้ มลู 7. Frame การแบ่งจอภาพเปน็ ส่วน ๆ แตล่ ะจะแสดงขอ้ มลู ที่แตกตา่ งกันออกไป 8. Image Map รูปภาพขนาดใหญท่ ี่และสามารถเช่ือมโยงไปยงั เว็บเพจอน่ื ๆ 9. Java Applet โปรแกรมสาเรจ็ รูปที่ใช้ในเวบ็ เพจ เพือ่ การใช้งานทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพ 2.3.3 กฎพ้ืนฐานของการออกแบบเวบ็ เพจ (Web Pages) 2.3.3.1 กฎแหง่ ความแปลกแตกต่าง (Contrast) การออกแบบสอื่ การเรยี นการสอน ทางอินเทอร์เน็ตต้องมีความโดดเด่นหลีกเลี่ยงการใช้องค์ประกอบบนจอภาพที่ดูคล้ายกัน แต่ถ้า
9 องค์ประกอบของเนื้อหาไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ควรสร้างให้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน สิ่งที่มี ความหมายหรือต้องการเน้นให้เห็นชัดเจนตอ้ งมลี กั ษณะทีน่ า่ สนใจ เช่น การเน้นขนาด สี ของัวอักษร 2.3.3.2 กฎการย้าซ้า (Repetition) ในการออกแบบสื่อการเรียนทางอินเทอร์เน็ต ควรมีรูปแบบที่เป็นแบบแผนซึ่งจะประกอบด้วย พื้นหลัง รูปภาพ สี ความสัมพันธ์ของระยะห่าง ระหวา่ งตัวอักษร เส้นและขนาดที่สอดคล้องกันทัง้ หมด วิธีการสร้างสอื่ การเรียนการสอนทางออนไลน์ แบบย้าช่วยเสริมสร้างให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียว (Unity) แม้ว่าในการออกแบบเว็บเพจจะมีผู้จัดทา หลายคนแตจ่ ะตอ้ งมรี ปู แบบเดียวกัน 2.3.3.3 กฎการจัดแถววางแนว (Alignment) การจัดวางองค์ประกอบต้องมีแถว มีแนวต้องมองวัตถุที่อยู่ข้างหน้าเสมอ เช่น ตัวอักษร หรือรูปแบบที่อยู่ตอนล่างไม่ควรล้าแนว องค์ประกอบที่อยู่ด้านบน หากอยู่ขวาก็ดูสิ่งที่อยู่ซ้ายมือที่มาก่อน การวางแถวจะทาให้เว็บเพจ ดสู ะอาดและเปน็ ไปในลกั ษณะไมข่ ดั กับความรู้สกึ ของผอู้ า่ น 2.3.3.4 ความเก่ียวเนอ่ื งของสงิ่ ท่ีอยูใ่ กล้เคียงกนั (Proximity) การจัดวางวตั ถตุ า่ ง ๆ ที่อยู่บนส่ือการเรียนอินเตอร์เน็ตต้องมีความเป็นระเบียบ โดยจัดใหม้ องเห็นได้ง่าย ไม่กระจัดกระจาย การรวมกลุ่มเป็นวิธีการลดความยุ่งเหยิงและสร้างความเป็นระเบียบการใช้ไฟล์ภาพหรือกราฟิก ที่มีความหลากหลายแต่ซ้ากันในส่วนต่าง ๆ ของแต่ละหน้าเอกสาร ยังช่วยให้การเปิดเว็บไซด์ เป็นไปอย่างรวดเร็วและน่าสนใจ เมื่อโปรแกรมเว็บบราวเซอร์จะอ่านไฟล์ภาพหรือกราฟิกนั้น แล้วเก็บไว้ในหน่วยความจาของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ เมื่อมีการใช้งานไฟล์ภาพนั้นอีก ก็จะปรากฏ ไดอ้ ย่างรวดเร็ว เพราะโปรแกรมเว็บบราวเซอร์จะนามาจากหนว่ ยความจาแคชของเครอื่ ง 2.3.4 โครงสร้างของเว็บ นักออกแบบเว็บส่วนใหญ่จะมีรูปแบบการสร้างที่แตกต่างกันออกไป โดยทั่วไป จะขึ้นอยู่กับความถนัด และความพอใจของตนเองเป็นหลัก โดยคานึงถึงหลักการออกแบบที่ถูกต้อง เท่าที่ควร ลินช์ และฮอร์ตัน จึงได้เสนอแนวคิดสาหรับออกแบบเว็บไซต์ว่าการออกแบบเว็บไซต์ที่ดี ควรจะต้องวางโครงสรา้ งให้สมดลุ มกี ารเชื่อมต่อสัมพันธ์กันระหวา่ งรายการ (Menu) หรือโฮมเพจกับ หน้าเนื้อหาอื่น ๆ รวมถึงการเชื่อมโยงไปสู่ภาพและข้อความต่าง ๆ โดยต้องวางแผนโครงสร้างให้ดี เพื่อป้องกันอุปสรรคที่จะเกิดต่อผู้ใช้ เช่น การหลงทางของผู้ใช้ในขณะเข้าสู่เนื้อหาในจุดร่วม (Node) ต่าง ๆ เป็นต้น แยงก์ และมอร์ ได้แบ่งลักษณะโครงสร้างของสื่อหลายมิติ (Hypermedia) 3 แบบ เพ่อื การจัดเก็บและเรยี งขอ้ มลู ท่ตี ้องการข้ึนมาดังนี้
10 1. สื่อหลายมิติแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured) เป็นแบบที่ไม่มีโครงสร้าง ความรู้ ผู้เรียนต้องเปิดเข้าไปโดยมีการเชื่อมโยงระหว่างหน้าจอแต่ละเรื่อง มีความยืดหยุ่นสูงสุดของ การจดั รวบรวมเป็นการให้ผ้เู รียนได้กาหนดความก้าวหนา้ และตอบสนองความสาเร็จดว้ ยตนเอง 2. สื่อหลายมิติแบบลาดับขั้น (Hierarchical) เป็นการกาหนดวิธีการจัดเก็บความรู้ เป็นลาดับขั้นมีโครงสร้างเป็นลาดับขั้นต้นไม้ โดยผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าไปทีละขั้น โดยสารวจได้จาก บนลงลา่ งและจากลา่ งขน้ึ บน โดยระบบขอ้ มลู และรายการคอยบอก 3. สื่อหลายมิติแบบเครือข่าย (Network) เป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างจุดร่วมของ ฐานข้อมูล ความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ความซับซ้อนของเครือข่ายพึ่งพาความสัมพันธ์ ระหว่างจุดรว่ มตา่ ง ๆ 2.3.5 การออกแบบเว็บเพจท่ีดี 2.3.5.1 มีรายการแสดงรายละเอียดของเว็บเพจนั้น เราควรแสดงรายการทั้งหมด ที่เว็บมีอยู่ให้ผู้ใช้ทราบ โดยอาจทาในรูปของสารบัญการสร้างสารบัญนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้าหา ข้อมลู ภายในเวบ็ อยา่ งรวดเร็ว 2.3.5.2 เชือ่ มโยงข้อมลู ไปยงั เปา้ หมายโดยตรงตามความต้องการมากทสี่ ุด การสร้าง Link จะสร้างในรูปแบบของตัวอักษร หรือรูปภาพก็ได้ แต่ควรที่จะแสดงจุดเชื่อมโยง โดยการให้ผู้ใช้ ทราบได้ง่ายนอกจากนใี้ นแตล่ ะเพจควรมจี ุดเชอื่ มโยงกลับมายังหน้าแรกของโฮมเพจ 2.3.5.3 มีเนอื้ หากระชับ สน้ั และทันสมัย ถา้ เปน็ โครงสรา้ งโฮมเพจหน้าแรก ไมค่ วร ที่จะยาวเกินไป ขนาดที่ดี คือ กาหนดให้แต่ละเว็บเพจแสดงผลได้เพียงอย่างเดียวถ้าไม่สามารถ แสดงผลทั้งหมดในหนา้ เดียวตอ้ งพยายามสร้างใหแ้ สดงผลในจานนวนหน้านอ้ ยท่ีสดุ เท่าทจ่ี ะทาได้ 2.3.5.4 สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ทันที ควรมีจุดแสดงความคิดเห็น หรือคาแนะนา กับเราได้ เช่น ใส่ E-mail ลงในเพจตาแหน่งที่เขียนควรอยู่ส่วนล่างสุด หรือบนสุดของเว็บนั้น ๆ ไมค่ วรท่จี ะเขยี นแทรกไว้ในตาแหนง่ ใด ๆ ของจอภาพ 2.3.5.5 มีรูปภาพประกอบการนาเสนอที่ดี แต่ไม่ควรมีรูปภาพมากเกินไป โดยใช้ ภาพแทนคาพูด เช่น นารูปบ้านมาแทนคาว่า กลับไปจุดเริ่มต้น หรือ Home และควรใช้รูปให้ตรง กับความหมาย 2.3.5.6 เข้าสู่กลุ่มเป้าหมายได้ถูกต้อง โดยคานึงถึงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เพราะ การกาหนดกลุ่มเป้าหมายจะทาให้สามารถกาหนดเนื้อหา และเรื่องราวเพื่อให้ตรงกับความต้องการ ของผูใ้ ชไ้ ดม้ ากกว่า
11 2.3.5.7 ใช้งานงา่ ย ทาอย่างไรจึงจะสร้างเว็บเพจให้ใช้งานได้ง่าย สิ่งเหล่านี้ข้ึนอยูก่ ับ เทคนิคและประสบการณ์ของผู้สร้างแต่ละคนบางสิ่งคนหนึ่งอาจบอกจะว่าง่าย แต่บางคนอาจกลับ กายเป็นยาก 2.3.5.8 การกาหนดเป้าหมายข้อมูลตามมาตรฐานเดียวกัน โดยจะต้องมีการแบ่ง ข้อมูลออกเป็นส่วน ๆ ข้อมูลชุดใดที่สามารถจัดเป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ได้ก็ควรจัดทา จะทาให้ข้อมูล ทุกอยา่ งเป็นระเบียบในการนามาใชง้ าน 2.3.6 เคร่ืองมือในการสร้างเวบ็ เพจ เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างและพัฒนาเว็บเพจนั้นมีมากมาย ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ที่มีหน้าที่ ในการสร้างและพฒั นาเว็บเพจ หรอื เวบ็ มาสเตอร์ จะเลอื กใชง้ านเคร่ืองมือท่เี กี่ยวขอ้ งกับการสร้างเว็บ มีจานวนมาก ซึ่งรวมถึงโปรแกรมสร้างไฟล์เอกสาร HTML โปรแกรมสร้างเว็บเพจ มีจานวนมาก ซึง่ รวมถงึ โปรแกรมปรับเปลี่ยนไฟล์ที่เกีย่ วข้องกบั เว็บเพจ 2.3.7 ขัน้ ตอนการพฒั นาเวบ็ เพจ หลักการและขั้นตอนการพัฒนาบทเรียนออนไลน์สาเร็จรูป ในลักษณะรูปแบบของ Interactive Multimedia Computer Instruction Package : IMMCIP โดยเริ่มจากวิธีการกาหนด เป้าหมาย กาหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมและกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้บทเรียน โดยในการพัฒนา จะประกอบไปดว้ ย 5 ข้นั ตอนหลกั ๆ ดงั น้ี 2.3.7.1 ขนั้ ตอนการวิเคราะห์เนือ้ หา (Analysis) แบง่ เป็น 3 ขัน้ ตอนดังนี้ 1. สร้างแผนภูมิระดมสมอง (Brainstorm Chart Drafting) เป็นการค้นหาหัวเรื่อง ทั้งหมดอันเป็นเป้าหมายขององค์ความรู้และความเกี่ยวข้องของหัวเรื่อง ที่จะทาให้เห็นภาพบทเรียน ว่าควรจะมเี นอ้ื หาโดยรวมเช่นไร 2. สร้างแผนภูมิหัวเรื่องสัมพันธ์ (Concept Chart Drafting) เป็นขั้นตอนของการ วเิ คราะห์หวั เร่ืองโดยละเอียดจากแผนภูมิการระดมสมอง เพือ่ คดั เลือกหวั เร่อื งต่าง ๆ 3. สร้างแผนภูมิโครงข่ายเนื้อหา (Concept Network Analysis Chart Drafting) เป็นการสร้างแผนภูมิจากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเนื้อหาในลักษณะของข่ายงานการนาเสนอ เป็นการแสดงให้เห็นภาพของความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันของการนาเสนอว่าเน้ือหาส่วนใดควรนาเสนอ กอ่ นหลังหรือพร้อมกนั ได้ 2.3.7.2 ข้ันตอนการออกแบบการเรยี นการสอน (Design) แบ่งเป็น 2 ขนั้ ตอนดังน้ี 1. กาหนดการนาเสนอ (Strategic Presentation Plan & Behavior Objectives) เป็นการกาหนดกลวิธีการนาเสนอพร้อมกับจดลาดับแผนการการนาเสนอเป็นแผนภูมิบทเรียน (Course Flow Chart Drafting) และกาหนดวัตถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรมให้สอดคล้องกบั หวั ข้อทีต่ ้งั ไว้
12 2. สร้างแผนภูมกิ ารนาเสนอแต่ละโมดลู (Module Presentation Chart Drafting) เป็นการสรา้ งแผนภมู กิ ารนาเสนอในแตล่ ะโมดลู เพ่ือแสดงถึงความต่อเนื่อง และกาหนดมาตรฐานของ เวลาการนาเสนอในแต่ละโมดลู น้ัน ๆ 2.3.7.3 ขั้นตอนการออกแบบกรอบเนอื้ หา (Development) แบ่ง 4 ขั้นตอนดังน้ี 1. เขียนรายละเอียดเนื้อหา (Script Development) โดยการนามาเขียนลงใน กรอบตามแผนการนาเสนอ ซึ่งจะเป็นการสร้างต้นแบบการนาเสนอ ก่อนการนาเสนอจรงิ แต่ละเฟรม จะกาหนดเนื้อหาลงในกรอบเป็นการกาหนดทัง้ ภาพนิ่ง ภาพเคลอ่ื นไหว เสียงและภาพวดี ที ศั น์ 2. การจัดทาลาดับเนื้อหา (Storyboard Development) โดยเมื่อกาหนดเนื้อหา ลงในกรอบเสรจ็ แลว้ นาเฟรมที่ไดม้ าจดั เรยี งลาดับการนาเสนอตามท่ีได้ทาการวางแผนและออกแบบไว้ 3. การตรวจความถูกต้องของเนื้อหา (Content Correctness Examination) คือ ขน้ั ตอนของการตรวจสอบความถูกต้อง ความเหมาะสม และความสมบรู ณ์ของลาดบั เนื้อหาทจ่ี ัดทาลง บนกรอบเนื้อหา 4. การสร้างแบบทดสอบ (Test Item Check-up) ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบ ในบทเรียน เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนว่า ได้รับการพัฒนาจากการเรียนมากน้อย เพียงใดซึ่งจะต้องนาแบบทดสอบเหล่านี้ไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับ เนื้อหาในบทเรียน 2.3.7.4 ขน้ั ตอนการสรา้ งบทเรยี น (Implementation) แบง่ เปน็ 3 ขนั้ ตอนดังนี้ 1. การเลือกโปรแกรมในการจัดทาบทเรียน เป็นวิธีการเลือกโปรแกรมที่เหมาะสม ในการที่จะสนองตอบต่อความต้องการ ของบทเรียนที่ได้กาหนดไว้ ทั้งนี้ในการจัดทาบทเรียน จะมีหลายส่วนที่อาจดาเนินการจากหลายโปรแกรม เพราะวิธีการใช้โปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง ในการดาเนนิ การจดั ทาจะไมส่ ะดวก 2. การเตรียมส่วนประกอบมัลติมีเดีย การจัดเตรียมส่วนประกอบของมัลติมีเดีย ทเ่ี ปน็ ตวั อักษรธรรมดา ภาพน่ิง ภาพเคลื่อนไหว เสียงและรูปแบของวดี ีทัศนท์ จ่ี ะใช้ประกอบ 3. การจัดทาโปรแกรมบทเรียน เป็นขั้นตอนการนาบทเรียนที่ได้วางแผนการมา จดั เตรยี มดาเนินการเป็นโปรแกรมกรนาเสนอโดยคอมพวิ เตอร์สมบูรณ์ 2.3.7.5 ขน้ั ตอนตรวจสอบคณุ ภาพบทเรียน (Evaluation) แบง่ เป็น 4 ขั้นตอนดงั น้ี 1. การตรวจสอบคุณภาพ (Quality Evolution) 2. ทาการทดลองกลุม่ ย่อย (Small Group Rehearsal) 3. ทดสอบประสิทธิภาพของบทเรยี นและประสิทธผิ ลทางการเรียน 4. จดั ทาคูม่ ือการใช้ Package (User Manual)
13 2.3.8 คุณลักษณะของเวบ็ ไซต์ การนาระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อนามาทาเป็นสื่อสาหรับการเรียนการสอนในรูปของ เว็บช่วยสอนหรอื จะเรียกว่าเป็นโฮมเพจ เพื่อการศึกษาหรือจะเปน็ การออกแบบตดิ ต้ังระบบการเรยี น การสอนรายวิชาใด ๆ บนเว็บผเู้ ขยี นจะต้องตัดสินใจดว้ ยตนเอง 2.3.9 ประเภทของเว็บช่วยสอน พาร์สัน (Parson) ได้แบ่งประเภทของเว็บชว่ ยสอนออกเปน็ 3 ลักษณะ คือ 1. เว็บช่วยสอนแบบรายวิชาอย่างเดียว (Stand – Alone Courses) คือ รายวิชา ที่มีเครื่องมือและแหล่งที่มาไปถึงและเข้าหาได้โดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต อย่างมากที่สุดถ้าไม่มีการ สื่อสารก็สามารถทจ่ี ะไปผา่ นระบบคอมพิวเตอร์สอ่ื สารได้ 2. เว็บไซต์ช่วยสอนแบบเว็บเพจสนับสนุนรายวิชา (Web Supported Courses) เป็นรายวิชาที่มีลกั ษณะเป็นรูปธรรมมีการพบปะครูกับนักศึกษา เช่น การกาหนดงานที่ให้ทาเว็บไซต์ การกาหนดใหอ้ า่ น การสอ่ื สารผา่ นระบบคอมพิวเตอร์ 3. เว็บไซต์ช่วยสอนแบบเว็บศูนย์การศึกษา (Web Pedagogical Resources) คือ ประเภทของเว็บไซต์ที่มีวัตถุดิบและเครื่องมือ ซึ่งสามารถรวบรวมวิชาขนาดใหญ่เข้าไว้ด้วยกัน หรือ เปน็ แหลง่ สนบั สนุนกจิ กรรมทางการศึกษา 2.3.10 โครงสรา้ งเวบ็ ไซต์ทางการศึกษา การสร้างเว็บไซต์ เพื่อใช้ในทางการศึกษามีลักษณะโครงสร้างที่หลากหลายรูปแบบ แบง่ ตามประโยชน์ใช้งานตามแนวคดิ ของ เจมส์ สามารถแบง่ ได้ 3 รูปแบบใหญ่ คือ 1. โครงสร้างแบบการค้นหา (Electric Structures) ลักษณะของโครงสร้างเว็บไซต์ เป็นแหล่งของเว็บไซต์ที่ใช้ในการค้นหามีการกาหนดขนาดและรูปแบบ ไม่มีโครงสร้างที่ผู้เรียนต้องมี เวบ็ ลักษณะของเว็บไซต์แบบนี้จะมีแตก่ ารให้ใช้เครื่องมือในการสบื ค้นหรือ เพ่อื บางส่งิ ทตี่ ้องการค้นหา หรอื ผเู้ ขียนเว็บไซต์ตอ้ งการ โครงสรา้ งแบบนจ้ี ะเป็นแบบเปดิ ให้ผู้เรียนได้เข้ามาคน้ ควา้ เนื้อหาในบริบท โดยไม่มีโครงสรา้ งข้อมลู เฉพาะให้ไดเ้ ลือก 2. โครงสร้างแบบสารานุกรม (Encyclopedia Structures) การควบคุมการสร้าง ของเว็บไซต์ที่เราสร้างขึ้นเองได้ ก็จะใช้โครงสร้างข้อมูลในแบบต้นไม้ในการเข้าสู่ข้อมูล ซึ่งเหมือนกับ หนังสือที่มีเนื้อหาและมีการจัดเป็นบทตอน จะกาหนดให้ผู้ใช้ได้ผ่านเข้าไปค้นหาข้อมูลและเครื่องมือ ที่อยู่พื้นที่ของเว็บหรืออยู่ภายนอกเว็บไซต์จานวนมาก มีโครงสร้างในลักษณะดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะ เว็บไซต์ทางการศึกษาที่ไม่ได้กาหนดทางการค้าองค์กร แต่ในเว็บไซต์ทางการศึกษาต้องรับผิดชอบ ต่อการเรยี นของผูเ้ รยี น
14 3. โครงสร้างแบบการเรียนการสอน (Pedagogic Structures) มีการจัดทารูปแบบ โครงสร้างหลายอยา่ งในการนามาสนองความต้องการ ทงั้ หมดเปน็ ทร่ี ูจ้ ักดใี นบทบาทของการออกแบบ ทางการศึกษา สาหรับคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน หรือเครือ่ งมือมัลติมีเดีย ซึ่งความจริงมหี ลกั การแตกต่าง ระหว่างคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับเว็บช่วยสอน นั้นคือ ความสามารถของ HTML ในการที่จะจัดทา ในแบบ ไฮเปอรเ์ ทก็ ซ์ กับการเขา้ ถึงขอ้ มูลหน้าจอโดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต 2.4 ระบบขับเคล่อื น ระบบขับเคลื่อน คือ ระบบที่พาหนะเคลื่อนที่อัตโนมัติ เป็นพาหนะขนส่งเคลื่อนที่อัตโนมัติ ซึ่งนิยมนามาใช้ในการขนถ่ายสินค้าทางด้านอุตสาหกรรม ทาให้สามารถประหยัดในเรื่องของแรงงาน และเวลาได้เปน็ อยา่ งดี ตวั อยา่ งเช่น ชดุ สาธิตการขบั เคลอื่ นแผนกเมคคาทรอนิกส์ โดยการสร้างชุดสาธิตการขับเคลื่อนนั้นจะอาศัยการใช้หลักและอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยที่ จะประกอบดว้ ยสองสว่ นหลัก ได้แก่ ชุดสายพานลาเลยี ง และชุดบอลสกรู ดังนี้ 2.4.1 สายพานลาเลียง (Conveyor) สายพานลาเลียง คือ อุปกรณ์ทาหน้าที่ลาเลียง หรือเคลื่อนย้ายสิ่งของอุปกรณ์ ชน้ิ งานหรือวสั ดุต่าง ๆ จากจดุ ๆ หนงึ่ ไปยงั อีกจดุ หนึ่ง โดยใช้สายพาน เปน็ ตวั นาพาวัสดุและมอเตอร์ เกียร์เป็นตัวขับเคลื่อนสายพานลาเลียงวัสดุ หลังจากวัสดุหรือชิ้นงานผ่านกระบวนการต่าง ๆ ตามขั้นตอนของทางโรงงานเรียบร้อยแล้ว และต้องการจะลาเลียง หรือเคลื่อนย้ายก็จะใช้ระบบ สายพานลาเลียง ในการเคล่ือนยา้ ยวสั ดุหรือชนิ้ งาน โดยระบบสายพานลาเลียงจึงจะเหมาะกับโรงงาน อตุ สาหกรรมทุกประเภทท้งั ขนาดเล็กและขนาดใหญ่มีการลาเลยี งของจานวนมากในกระบวนการผลิต สว่ นประกอบ ดงั น้ี 2.4.1.1 สายพาน (Belt) 2.4.1.2 พลู เลย์(Pulley) 2.4.1.3 เพลา (Shaft) 2.4.1.4 มอเตอร์ (Motor) (Omron Servo Motor R7M-A05030-S1) 2.4.1.5 ฐานและส่วนซัพพอร์ต (Base) 2.4.1.6 หน้าแปลนมอเตอร์ (Flange Motor) 2.4.1.7 สายพาน (Belt) ในหลาย ๆ อุปกรณ์ และหลาย ๆ โรงงานอตุ สาหกรรมแทบจะทุกโรงงานจะมีการใช้ สายพานในการใช้งาน โดยสายพานจะเป็นตัวคล้องระหว่างตัวขับและตัวตาม ซึ่งจะส่งกาลังและ หมุนไปพร้อม ๆ กัน สายพานจึงถือว่าเป็นวิธีการเลือกที่ราคาถูกและประหยัดที่สุดในแง่ของงานซอ่ ม
15 ในทางอตุ สาหกรรม เนอ่ื งจาก ราคาถกู ข้นั ตอนการซ่อมไมซ่ ับซ้อน และทาไดอ้ ย่างรวดเรว็ กว่าแบบอ่ืน สายพานสามารถแบง่ ออกตามการใช้งานแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ 1. สายพานส่งกาลงั (Transmission belt) เป็นสายพานนิยมใช้อยู่ในเครื่องจักรกล โดยทาหน้าที่หลัก ๆ ในการส่งกาลังระหว่างตัวขับ (Driver) และ ตัวตาม (Driven) โดยสายพานจะ คล้องไปที่ล้อสายพาน หรือ pulley ของทั้งตัวขับ และตัวตามโดยการส่งกาลงั ชนิดนี้จะมีการทดรอบ และทดกาลงั เสมอ เชน่ 2. สายพานแบน (Flat belt) สายพานที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการส่งถ่าย กาลังจากพูลเลย์ของเพลาขับ ไปยังพูลเลย์ของเพลาตาม มีหน้าตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความสามารถในการส่งกาลังในระยะทางไกลระหว่างศูนย์รอกและไม่สร้างเสียงรบกวนหรอื เสียงดัง ซ่งึ สามารถแบง่ เป็น 3 แบบย่อย ๆ ตามกาลงั การใช้งาน ไดแ้ ก่ Light Drives (สายพานใช้กบั งานเบา), Medium Drives (สายพานใช้กับงานหนัก ปานกลาง), Heavy Drives (เปน็ สายพานใช้กบั งานหนัก) รูปที่ 2.10 สายพานแบน (Flat belt) 3. สายพานวี (V-belt) มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู หน้าตัดเป็นรูปตัว V เหมาะสมกบั เครือ่ งจักรรอบที่ไม่สูงมาก ดงั นั้น พ้ืนท่ีสมั ผัสในการส่งถา่ ยกาลังจะเยอะกว่า 2 แบบแรก ดังน้นั จึงเปน็ ทน่ี ยิ มใช้ในเครอ่ื งจักรกลในโรงงานอตุ สาหกรรม รูปท่ี 2.11 สายพานวี (V-belt)
16 4. สายพานกลม (Circular belt หรือ Rope belt หรือ Round belt) สายพาน ประเภทนี้ทาจากพลาสติกโพลียูริเทน จะต้านทานจาระบีน้ามันเบนซิน และสายพานกลมสามารถ ปรับตง้ั ทิศทางการหมนุ ได้หลายทศิ ทางและมีหน้าตัดเป็นรูปวงกลม โดยการสง่ กาลงั ดว้ ยสายพานกลม ใหค้ วามยืดหยุ่น สงู และขณะการทางานของสายพานจะไม่เกิดเสยี งดัง จะใช้งานรว่ มกับรอกแบบร่อง รูปที่ 2.12 สายพานกลม (Circular belt หรอื Rope belt หรือ Round belt) 5. สายพานไทม์มิ่ง (Timing belt) ตัวสายพานจะมีลักษณะพิเศษ แบบแรกจะมี ฟันเฟืองตลอดความยาวของสายพาน ลักษณะพื้นที่หน้าตัดเป็นรูปสี่เหลียมคางหมูสายพานชนิดนี้ สามารถงอตัวได้ดีจะขับกับ Pulley ทมี่ ีฟันเปน็ ไทม์มิ่งเหมือนกันทาให้เกิดการขบกัน เหมือนฟันเฟือง จึงไม่เกิดการลื่นไถลขณะส่งกาลัง สามารถใช้เป็นตัวส่งกาลังงานในเครื่องยนต์, พัดลมอุตสาหกรรม หรือในเคร่อื งจักรท่ีต้องการการสูญเสยี งในการส่งกาลงั น้อย ๆ รปู ที่ 2.13 สายพานไทม์ม่งิ (Timing belt)
17 2.4.2 สายพานลาเลียง (Conveyor belt) ทาหน้าที่ขนย้าย หรือลาเลียง สิ่งของ หรือวัสดุต่าง ๆ จากจุด ๆ หนึ่งไปยังอีกจุด หนึ่ง โดยอุตสาหกรรมแทบจะทุกประเภท ที่มีการลาเลียงของจานวนมาโดยหากแบ่งประเภทย่อย ๆ สามารถแบง่ ได้7 แบบตามวัสดดุ ังนี้คอื 2.4.2.1 ระบบสายพานลาเลยี งพยี ู (PU belt conveyor) 2.4.2.2 ระบบสายพานลาเลยี งแบบ PVC (PVC Belt Conveyor System) 2.4.2.3 ระบบสายพานลาเลียงยางดา (Rubble belt conveyor) 2.4.2.4 ระบบสายพานลาเลียงโวลต้า (Volta belt conveyor) 2.4.2.5 ระบบสายพานลาเลียงไวเมท (Wire mesh belt conveyor) 2.4.2.6 ระบบสายพานลาเลยี งโมดลู ่า (Modular belt conveyor) 2.4.2.7 ระบบสายพานลาเลียงไม้ (Wood belt Conveyor) การแบง่ สายพาน (Conveyor Belt) ยังสามารถแบง่ ประเภทออกได้เป็นอีก 3 ทาง คือ รูปที่ 2.14 การแบง่ สายพาน (Conveyor Belt) แบ่งตามคุณสมบัตขิ องผิว (Cover Rubber) ของสายพานลาเลยี ง (Rubber Conveyor Belt) แบง่ ได้ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ - ประเภทใช้งานทั่วไป (General Use Conveyor Belt) หรือเรียกกันว่า สายพานทนสึก (Wear Resistance Conveyor Belt)
18 รปู ท่ี 2.15 ประเภทใช้งานทั่วไป (General Use Conveyor Belt) - ประเภทใชง้ านแบบพิเศษ (Special Conveyor Belt) ซงึ่ คาก็มกี ันมากมายหลายแบบ เชน่ รูปที่ 2.16 ประเภทใชง้ านแบบพิเศษ (Special Conveyor Belt) ประเภทใช้งานแบบพเิ ศษ (Special Conveyor Belt) - Heat Resistant Conveyor Belt (สายพานทนรอ้ น) - Oil /Fat/Grease Resistant Conveyor Belt (สายพานทนน้ามัน /ไขมนั /จาระบี) - Flame Resistant Belt (สายพานทนเปลวไฟ) - Cold Resistant Belt (สายพานทนความเย็น) - Chemical Resistant Conveyor Belt. (สายพานทนสารเคมี) - Antistatic (สายพานมีคณุ สมบัตปิ ้องกนักระแสไฟฟา้ สถติ ย์) - Food Grade (สายพานสาหรบั ลาเลียงอาหาร)
19 Code ทใี่ ช้กาหนดคุณสมบัติของผิวสายพานแบบพเิ ศษตามมาตรฐาน DIN รูปที่ 2.17 ประเภทใช้งานแบบพเิ ศษ (Special Conveyor Belt) แบ่งตามประเภทของวัสดุที่ใช้รับแรงของสายพานลาเลียง (Rubber Conveyor Belt) แบ่งได้หลาย ชนดิ แต่ประเภททน่ี ิยมใชก้ ันก็จะมี 2 ประเภท ได้แก่ - สายพานผ้าใบ (Fabric Conveyor Belt) ซึ่งวัสดุที่ใช้รับแรง (Tension Member) ทาด้วย วัสดุต่าง ๆ กันไปแต่เรียกรวม ๆ กันว่าผ้าใบ เช่น Cotton, Nylon, EP (Polyester/ Nylon) หรือ เรยี กอกี อย่างว่า PNและ Kevlar (Aramid), Fiberglass รปู ที่ 2.18 สายพานผา้ ใบ (Fabric Conveyor Belt)
20 - สายพานลวดสลิง (Steel Cord Conveyor Belt) คือ สายพานที่มีวัสดุรับ เป็นเส้นลวด (Steel cord) รูปท่ี 2.19 สายพานลวดสลงิ (Steel Cord Conveyor Belt) แบ่งตามประเภทของลักษณะของผิวหน้า ของสายพานลาเลียง (Rubber Conveyor Belt) แบ่งได้ หลายชนิดแตป่ ระเภททน่ี ยิ มใช้กันก็จะมี 3 ประเภท -แบบผิวหน้าเรียบ (Plain Surface) ใช้ลาเลียงวัสดุในแนวราบหรือเอียงเล็กน้อยใช้ในงาน ท่วั ไปในประเทศไทยนยิ มใช้สายพานแบบนี้มากกว่า 80% รูปที่ 2.20 แบบผวิ หน้าเรียบ (Plain Surface) - แบบผิวหน้าก้างปลา (Pattern Surface) ซึ่งก็แบ่งเป็นอีกหลายลักษณะ (Pattern) เรียก รวม ๆ วา่ กา้ งปลาจะมีสัน (Cleat) บนตวั สายพานใช้ลาเลยี งวัสดใุ นแนวราบหรือเอียงได้ดีกว่าแบบผิว
21 เรียบ แต่ก็จะแลกมาด้วยราคาท่แี พงกว่าก่อนซ้ือต้องศึกษาว่าวัสดุทล่ี าเลยี งสามารถขึ้นได้สูงก่ีองศาถ้า มมุ เอียงของระบบสายพาน (Conveyor System) มมี ากว่ามมุ กองของวัสดอุ าจจะเกิดการไหลกลบั ได้ รปู ท่ี 2.21 แบบผวิ หน้าก้างปลา (Pattern Surface) - แบบมีผวิ หนา้ พิเศษหรอื มีโครงสรา้ งแบบพิเศษ ตามลักษณะการใช้งาน เชน่ Sidewall Belt และ Pipe conveyor Belt เป็นตน้ รูปที่ 2.22 แบบมผี วิ หน้าพิเศษหรือมีโครงสรา้ งแบบพิเศษ 2.4.2 บอลสกรู (Ball Screw) บอลสกรู คือ ชิ้นส่วนกลไกที่ใช้ในระบบขับเคลื่อนหรือระบบส่งกาลังของเครื่องกล เช่น เครื่องจักรกลในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยมีเพลาเกลียว เกลียวกลม และตลับลูกปืน หรือนัท ซึ่งมีเม็ดลูกปืนกลมจานวนมากอยู่ภายในตัวนัท เป็นตัวรับน้าหนักและลดแรงเสียดทาน มีหลักการทางาน โดยแปลงการเคลื่อนที่เชิงมุมเป็นการเคลื่อนที่เชิงเส้น หรือเปลี่ยนจากแรงบิดเป็น
22 แรงผลักมีการควบคุมการเคลื่อนที่ของแกนต่าง ๆ ผ่านการควบคุมจากมอเตอร์นั้น เมื่อมอเตอร์หมุน ขับสกรู นัทก็จะเคลื่อนไปตามความยาวของสกรูพาแท่นเลื่อน หรือโต๊ะงานเคลื่อนที่ไปตามรางเลื่อน ทาให้แต่ละแกนสามารถขยับโต๊ะงานทีม่ ีนา้ หนักเคล่ือนที่ไป-กลับ ตามแนวเกลียวของแกนเพลาไปยัง ตาแหน่งที่ต้องการ หรือเคลื่อนที่ไปตามระยะทางด้วยสัญญาณจากคอนโทรลเลอร์ได้อย่างราบรื่น Ball Screw มีส่วนดีกว่า Drive แบบอื่นๆ คือ สามารถผลิตตามความต้องการได้อีกทั้งการใช้งาน ก็มีสว่ นประกอบน้อยไมส่ ลับซบั ซอ้ น และมคี วามแข็งแรงทนทานกว่าระบบอ่ืน ๆ มสี ว่ นประกอบด้ังน้ี 2.4.2.1 ชุดบอลสกรู (Ball Screw) 2.4.2.2 ฐานและสว่ นซัพพอร์ต (Base) (Linear Slide Base) 2.4.2.3 คปั ปล้ิงแบบยืดหยุ่น (Flexible coupling) 2.4.2.4 มอเตอร์ (Motor) 2.4.2.5 หน้าแปลนมอเตอร์ (Flange Motor) 2.4.2.6 เซนเซอร์ (Sensor)
บทที่ 3 วธิ ีการดำเนนิ งาน ในการสร้าง บทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขับเคลื่อนเบื้องต้น เริ่มต้นจากำการศึกษาค้นคว้าข้อมูล การเลือกใช้ระบบควบคุมการขับเคลื่อนในโรงงานอุตสาหกรรม เรื่อง AC Motor ในการจัดทำบทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์น้ีมจี ดุ ประสงค์ เพ่ือ ฝึกทักษะให้ผู้เรยี น ได้เรียนรู้และเข้าใจในรายวิชาระบบขับเคลื่อนเบื้องต้น ดังนั้น ผู้จัดทำจึงกำหนด วิธีการดำเนินงาน ดังนี้ 3.1 ขั้นตอนการดำเนนิ งาน รปู ท่ี 3.1 ขั้นตอนการดำเนินการของบทเรยี นสำเร็จรูปแบบออนไลน์
24 3.2 ศกึ ษาข้อมูล ในการศึกษาข้อมลู การจัดทำบทเรียนสำเรจ็ รูปแบบออนไลนท์ างผ้จู ัดทำได้ศึกษาค้นคว้า และหาขอ้ มูลทเี่ กี่ยวข้องกบั การเลอื กใชร้ ะบบควบคุมการขับเคลื่อนในโรงงานอตุ สาหกรรม พรอ้ มทัง้ รวบรวมข้อมูลท่ีได้ เพือ่ นำไปจดั ทำบทเรียนสำเรจ็ รูปแบบออนไลน์ โดยแบง่ การศึกษาเป็นสว่ น ๆ ดังนี้ 3.2.1 การประยุกต์ใช้ AC Motor มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current Motor ) หรือเรียกว่ามอเตอร์ ไฟฟ้าชนิดเหนี่ยวนา (Induction Motor) คือ เครื่องกลไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ากระแสสลับให้ เป็นพลงั งานกลชนดิ หมนุ โดย มอเตอร์ไฟฟา้ กระแสสลบั สามารถแบ่งออกเปน็ 2 ชนิดหลกั ๆ ไดแ้ ก่ 1. ซิงโครนัสมอเตอร์(Synchronous Motor) 2. อะซงิ โครนัสมอเตอร์(Asynchronous Motor) 3.2.1.1 การประยกุ ต์ใช้ AC Motor แตล่ ะ class รูปที่ 3.2 การประยุกต์ใช้ AC Motor แต่ละ class 3.3 การออกแบบเว็บไซต์ 3.3.1 บทเรยี นสำเรจ็ รปู แบบออนไลน์รายวิชา ระบบควบคมุ การขับเคลื่อนเบ้ืองตน้ จัดทำโดย มกี ารออกแบบเว็บไซตด์ งั นี้ 3.3.1.1 ออกแบบการจัดวางเนอ้ื หาของเหนา้ เว็บไซตห์ ลัก
25 รูปที่ 3.3 หน้าหลกั เวบ็ ไซต์ AC Motor 3.3.1.2 จัดวางเน้อื หาในหนา้ เวบ็ ไซต์ เร่ือง AC motor คอื อะไร และหลักการการ ทำงานของ AC motor รูปท่ี 3.4 หนา้ เว็ปเนือ้ หา AC motor คอื อะไร
26 รปู ที่ 3.5 หน้าเว็ปเนอ้ื หา ซงิ โครนสั มอเตอรแ์ ละอะซิงโครนัสมอเตอร์ รปู ที่ 3.6 หนา้ เว็ปเน้ือหา ซิงโครนสั มอเตอร์(เพิม่ เติม)
27 รปู ท่ี 3.7 หนา้ เวป็ เนอ้ื หา การทำงานของซิงโครนัสมอเตอร์ รปู ท่ี 3.8 หนา้ เว็ปเน้ือหา การทำงานของอะซิงโครนสั มอเตอร์
28 รูปที่ 3.9 หน้าเวป็ เน้ือหา หลกั การทำงานของ AC Motor 3.3.1.3 จัดวางเนอ้ื หาในหนา้ เวบ็ ไซต์ เรอื่ ง ประเภทของ AC Motor และ การ ประยุกตใ์ ช้ของ AC Motor รูปที่ 3.10 หน้าเว็ปเน้อื หา ประเภทของ AC Motor
29 รปู ท่ี 3.11 หนา้ เว็ปเนื้อหา AC Motor 1 เฟส รูปท่ี 3.12 หน้าเว็ปเน้อื หา ตัวอยา่ ง AC Motor 1 เฟส
30 รูปที่ 3.13 หนา้ เวป็ เนื้อหา ตัวอย่าง AC Motor 1 เฟส รูปท่ี 3.14 หน้าเวป็ เนื้อหา AC Motor 3 เฟส
31 รปู ท่ี 3.15 หนา้ เว็ปเนื้อหา ตัวอย่าง AC Motor 3 เฟส รูปท่ี 3.16 หน้าเวป็ เนอื้ หา การประยุกต์ใช้งานของ AC motor
32 รปู ที่ 3.17 หน้าเว็ปเน้อื หา การประยุกต์ใชง้ านของ AC motor 3.3.1.4 จดั วางเนอ้ื หาในหน้าเวบ็ ไซต์ เร่ือง แบบฝึกหัด รูปท่ี 3.19 หน้าเวป็ เนื้อหา แบบฝึกหดั
33 3.4 การดำเนินการทดลองและการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 3.4.1 ดำเนนิ การทดลอง รปู ท่ี 3.20 ข้นั ตอนการทดสอบประเมนิ ประสทิ ธิภาพของบทเรยี นสำเร็จรปู แบบออนไลน์
34 บทท่ี 4 ผลดำเนนิ งาน การทดสอบบทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขับเคลื่อนเบื้องต้น เรมิ่ ตน้ จากการศึกษาข้อมูลและทฤษฏีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกบั การเลือกใช้ระบบควบคุมการขบั เคลื่อนใน โรงงานอุตสาหกรรม จากนน้ั ทำการสรุปซ่ึงสามารถสรุปผลการดำเนนิ งานไดต้ ามลำดบั ดงั นี้ 4.1 ขัน้ ตอนการทดสอบ 4.1.1 ขน้ั ตอนท่ี 1 ทำแบบฝกึ หัดกอ่ นเรยี นว่าไดก้ ค่ี ะแนน 4.1.2 ข้ันตอนที่ 2 ศึกษาเนอ้ื หาบทเรียนสำเรจ็ รปู แบบออนไลน์ 4.1.3 ขั้นตอนที่ 3 ทำแบบทดสอบว่าได้ก่คี ะแนน 4.2 ผลการทดลอง ตารางที่ 4.1 ตารางสรุปผลการทำแบบฝึกหัดของบทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคมุ การขบั เคลอ่ื นเบอื้ งต้น เกณฑ์ แบบทดสอบกอ่ นเรียน ดีเยย่ี ม คะแนนแบบทดสอบ จำนวนคน ดีมาก 17-20 0 ดี พอใช้ 12-16 3 ปรับปรงุ 7-11 21 1-6 20 00 จากตารางที่ 4.1 ตารางสรุปผลการทำแบบฝึกหัดของบทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคมุ การขับเคลื่อนเบ้อื งต้น จากนกั เรยี น 44 คน จะเหน็ ได้ว่านักเรยี นจำนวน 0 คน ได้คะแนน 17-20 ส่วนนักเรยี นจำนวน 3 คนได้คะแนน 12-16 และนักเรียนจำนวน 21 ส่วนนักเรยี น จำนวน 20 คนได้คะแนน 1-6 คนได้คะแนน 7-11 แบบฝึกหัดได้คะแนนรวม 20 คะแนน คะแนน เฉล่ยี ของแบบทดสอบกอ่ นเรยี นอย่ใู นชว่ ง 7-11 คะแนน
35 ตารางท่ี 4.2 ตารางสรปุ ผลการทำแบบทดสอบหลังเรียนของบทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวชิ าระบบควบคมุ การขับเคล่อื นเบื้องต้น เกณฑ์ แบบทดสอบหลงั เรยี น ดเี ยย่ี ม คะแนนแบบทดสอบ จำนวนคน ดมี าก 17-20 37 ดี พอใช้ 12-16 3 ปรบั ปรงุ 7-11 3 1-6 1 00 จากตารางที่ 4.2 ตารางสรุปผลการทำแบบฝึกหัดของบทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขับเคลื่อนเบื้องต้น จากนักเรียน 44 คน จะเห็นได้ว่านักเรียนจำนวน 37 คนได้คะแนน 17-20 ส่วนนักเรียนจำนวน 3 คนได้คะแนน 12-16 ส่วนนักเรียนจำนวน 3 คนได้ คะแนน 7-11 และนักเรียนจำนวน 1 คนได้คะแนน 1-6 แบบฝึกหัดได้คะแนนรวม 20 คะแนน คะแนนเฉลีย่ ของแบบทดสอบก่อนเรียนอยใู่ นชว่ ง 17-20 คะแนน 4.3 บทเรียนสำเรจ็ รูปแบบออนไลน์ รายวชิ า ระบบควบคุมการขบั เคลอ่ื นเบื้องตน้ รูปที่ 4.1 บทเรยี นสำเรจ็ รปู แบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขับเคลอ่ื นเบอ้ื งต้น
36 บทที่ 5 การสรุปผลและข้อเสนอแนะ ในการสร้างบทเรียนสำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขับเคลื่อนเบื้องต้นมี วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการเพ่ือสร้างบทเรยี นสำเร็จรูปแบบออนไลน์เพ่ือเปน็ สื่อการเรียนการสอนและศึกษา เกีย่ วกบั อปุ กรณข์ ับเคล่ือนทางกลแบบเชงิ มุม 5.1 สรปุ ผลการดำเนนิ การ การสร้างบทเรียนสำสำเร็จรูปแบบออนไลน์ รายวิชา ระบบควบคุมการขับเคลื่อนเบื้องต้นโดนมี การจัดเตรียมเนื้อหาอยู่ 3 ส่วนด้วยกัน คือ เนื้อหาการสร้างการออกแบบ Google site เนื้อหาเกี่ยวกับ AC Motor และ เนอื้ หาการสร้าง Google Form สรุปได้ว่า ทางคณะผู้จัดทำได้ทำการศึกษา การสร้างการออกแบบ Google site Google form เนื้อหา AC Motor และได้จัดทำสื่อการสอนออนไลน์ รายวิชาระบบควบคุมการขับเคลื่อนเบื้องต้นตามที่ ได้ออกแบบไว้ ในแบบทดสอบก่อนเรียน สรปุ ผลการทดสอบได้ว่า จากนักเรยี น 44 คน ท่ีไดท้ ำแบบทดสอบจาก Google Form จะเห็นได้ว่านักเรียนจำนวน 0 คนได้คะแนน ในช่วง 17-20 คะแนนซึ่งอยู่ใน เกณฑย์ อดเย่ยี ม ส่วนนกั เรยี นจำนวน 3 คนไดค้ ะแนนในช่วง 12-16 คะแนนซ่ึงอยู่ในเกณฑด์ ีมาก นักเรียน จำนวน 21 คนได้คะแนนในช่วง 7-11 คะแนนซึ่งอยู่ในเกณฑ์ดี และนักเรียนจำนวน 20 คนคนได้คะแนน ในช่วง 1-6 คะแนนซึ่งอยู่ในเกณฑ์พอใช้ แบบฝึกหัดได้คะแนนรวม 20 คะแนน คะแนนเฉลี่ยของ แบบทดสอบกอ่ นเรยี นอยใู่ นชว่ ง 7-11 คะแนน ในแบบทดสอบหลังเรียน สรุปผลการทดสอบได้ว่า จากนักเรียน 44 คน ที่ได้ทำแบบทดสอบจาก Google Form จะเห็นได้ว่านักเรียนจำนวน 37 คนได้คะแนนในช่วง 17-20 คะแนนซึ่งอยู่ในเกณฑ์ยอด เยี่ยม ส่วนนักเรียนจำนวน 3 คนได้คะแนนในช่วง 12-16 คะแนนซึ่งอยู่ในเกณฑ์ดีมาก นักเรียนจำนวน 3 คนได้คะแนนในช่วง 7-11 คะแนนซึ่งอยู่ในเกณฑ์ดี และ นักเรียนจำนวน 3 คนได้คะแนนในช่วง 1-6 คะแนนซึ่งอยู่ในเกณฑ์พอใช้ แบบฝึกหัดได้คะแนนรวม 20 คะแนน คะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบก่อน เรยี นอย่ใู นชว่ ง 17-20 คะแนน
37 5.2 อภปิ รายปัญหา เกิดการล่าชา้ ในการรวบรวมข้อมูลเน่ืองจากต้องใช้ข้อมูลหลายๆแหล่งมาตรวจสอบและวิเคราะห์ ก่อนจะนำเนื้อหาไปใส่ในสื่อการสอนออนไลน์ แก้ไขปญั หาโดยการสอบถามอาจารยเ์ พิ่มเวลาในการค้นหา ข้อมลู และกำหนดระยะเวลาในการทำงาน 5.3 ข้อเสนอแนะ 5.3.1 ควรมีการตรวจสอบขอ้ มูลใหล้ ะเอียดก่อนนำไปใส่ในสือ่ การสอนออนไลน์เนือ่ งจากเสียเวลาใน การเปล่ียนใส่ขอ้ มลู 5.3.2 ควรมีการศึกษาการออกแบบสื่อการสอนออนไลน์ที่มากขึ้นเพื่อจะได้สื่อการสอนออนไลน์ที่ นา่ สนใจและนา่ เรยี นรหู้ ามากยง่ิ ขึ้น 5.3.3 ควรวางแผนและกำหนดเวลาการทำงานอยา่ งเครง่ ครัดเพือ่ ให้ไดช้ ้นิ งานอย่างตรงเวลา
38 เอกสารอ้างองิ [1] http://www.lampangtc.ac.th/branch8/manage/upload_file/WiZrOse7Ji9201512 [2] http://torterakit.com/wp/blog/article/ac-motor- %E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9 %8C%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0% B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E 0%B8%9A/ [3] https://sites.google.com/site/nattadech5510122526011/home/mxtexr-fifa-khux- xari/hlak-kar-thangan-khxng-mxtexr/mxtexr-chnid-tang/mxtexr-fifakrasae-slab-ac- alternating-current-motor-hrux-xe-si-mxtexr [4] https://sites.google.com/site/mxtexr55647/prapheth-mxtexr-fifa-kra-lae-slab [5] https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95
ภาคผนวก
40 ภาคผนวก ก ข้นั ตอนการดำเนินการโครงงาน
Search