51 คำว่า “เผยแพร่หรือส่งตอ่ ” เป็นคำสำคญั ที่เขา้ ใจได้แต่ตอ้ งระลึกว่าเปน็ การเผยแพร่หรือ ส่งต่อในระบบคอมพิวเตอร์ ไม่หมายความรวมถึงการส่งต่อทางกายภาพ เช่นการส่งดิสเกตต์ หรือสั่ง พิมพอ์ อก (printout) (2) โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นความผิดตามมาตรา 14 (1) (2) (3) หรือ (4) การจะเป็นความผิด ตามมาตรา 14(5) ต้องพิสูจน์ด้วยวา่ ผกู้ ระทำรอู้ ยู่แล้วว่าข้อมูลคอมพิวเตอรท์ ี่ตนเผยแพร่หรือส่งตอ่ นั้น เปน็ ข้อมูลซึ่งเป็นความผดิ ตามมาตรา 14 (1) (2) (3) หรอื (4) (3) เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 หมายถงึ ผู้กระทำต้องมีเจตนาในการเผยแพรห่ รือสง่ ตอ่ 11. ผู้ให้บรกิ ารจงใจสนบั สนนุ หรอื ยนิ ยอมให้มกี ารกระทำความผิดตามมาตรา 14 มาตรา 9 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560) ให้ยกเลิกความในมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และให้ใช้ความ ต่อไปนแ้ี ทน “มาตรา 15 ผู้ให้บริการผู้ใดให้ความร่วมมือ ยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทำ ความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยูใ่ นความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดยี วกับ ผู้กระทำความผิดตามมาตรา 14 ให้รัฐมนตรีออกประกาศกำหนดขั้นตอนการแจ้งเตอื น การระงับการทำใหแ้ พรห่ ลายของ ขอ้ มูลคอมพวิ เตอร์ และการนำขอ้ มูลคอมพวิ เตอรน์ ้นั ออกจากระบบคอมพวิ เตอร์ ถ้าผู้ให้บริการพิสูจน์ได้ว่าตนได้ปฏิบัติตามประกาศของรัฐมนตรีท่ีออกตามวรรคสอง ผูน้ ั้นไม่ตอ้ งรบั โทษ” มาตรา 15 เป็นการเอาผิดกับ “ผู้ให้บริการ” มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้ (พรเพชร วชิ ติ ชลชัย, 2550) (1) ผใู้ ห้บรกิ าร ผู้ที่จะมีความผิดตามมาตรา 15 ต้องเป็น “ผู้ให้บริการ” ซ่ึงมีนิยามศัพท์ไว้ในมาตรา 3 ผู้ให้บริการจึงหมายถึงผู้ให้บริการแก่บุคคลอ่ืนในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ตหรือให้สามารถติด ต่อถึงกัน โดยประการอื่นโดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ท้ังนี้ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนามของตนเองหรือ ในนามหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอ่ืน และยังหมายความรวมถึงผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูล คอมพิวเตอร์เพอื่ ประโยชน์ของบุคคลอืน่ (2) จงใจสนับสนุนหรอื ยนิ ยอมใหม้ กี ารกระทำความผิดตามมาตรา 14 บทบัญญัติมาตราน้ีใช้ถ้อยคำ “จงใจ” ซ่ึงเป็นคำท่ีเพิ่มข้ึนมาจาก “เจตนา” โดยมี เจตนารมณ์ที่จะเน้นให้เห็นว่า “จงใจ” น้ันหมายถึงต้องรู้วา่ มกี ารกระทำความผดิ ตามมาตรา 14 เชน่ มี การเตือนหรือแจ้งให้ทราบแล้วว่าข้อมูลคอมพิวเตอร์น้ันเป็นความผิดต่อ กฎหมายตามบทบัญญัติ มาตรา 14 เม่ือผู้ให้บริการยังปล่อยให้มีการเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดในระบบ คอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ก็จะถือได้ว่าเป็นการจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการ กระทำความผดิ (3) ในระบบคอมพิวเตอรท์ ่ีอยู่ในความควบคุมของตน
52 ข้อนี้เป็นเรื่องที่กฎหมายบัญญัติเอาผิดเฉพาะผู้ให้บริการท่ีกระทำความผิดในระบบ คอมพวิ เตอรท์ ่อี ยู่ในความควบคมุ ของตนเท่าน้ัน อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการหรือผู้ใดก็ตามหากมีการกระทำอันเป็นการสนับสนุนหรือ ยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 ไม่ว่าในระบบคอมพิวเตอร์ของตนหรือของผู้ใดก็อาจ ต้องรับผิดตามหลักเรอ่ื งตัวการ หรอื ผู้สนับสนุนตามหลกั ในประมวลกฎหมายอาญาได้ (4) เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 มีข้อสังเกตวา่ ถึงแม้มาตรา 15 จะได้บญั ญตั ิองค์ประกอบความผิดว่า “จงใจ” แล้วกต็ าม แต่ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ด้วย ซึ่งถึงแม้จะดูเป็น องค์ประกอบความผิดท่ีซ้ำซ้อนกัน แต่คณะกรรมาธิการเห็นควรให้คงไว้เพื่อเน้นย้ำว่าการที่จะเอาผิด กับผู้ให้บริการตามมาตรานไี้ ดจ้ ะต้องเป็นเรือ่ งทผี่ ใู้ ห้บรกิ ารรู้อย่แู ลว้ ว่าข้อมูลคอมพิวเตอรท์ ีอ่ ยู่ในระบบ คอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในความควบคุมของตนเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ท่ีเป็นความผิดตามมาตรา 14 แล้ว ยังยินยอมหรอื สนบั สนนุ ใหข้ อ้ มลู คอมพิวเตอรน์ น้ั อยใู่ นระบบคอมพวิ เตอร์ของตนอยู่ 12. ตกแตง่ ข้อมลู คอมพวิ เตอรท์ ีเ่ ป็นภาพของบุคคล มาตรา 10 (แห่ง พรบ.คอมพวิ เตอร์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560) ให้ยกเลิกความในมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และให้ใช้ความ ต่อไปน้แี ทน “มาตรา 16 ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่ง ข้อมูลคอมพวิ เตอร์ทีป่ รากฏเป็นภาพของผู้อ่ืน และภาพนั้นเป็นภาพที่เกดิ จากการสรา้ งข้ึน ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอ่ืนใด โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสีย ชื่อเสียง ถูกดูหม่ิน ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับ ไมเ่ กนิ สองแสนบาท ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำต่อภาพของผู้ตาย และการกระทำน้ันน่าจะ ทำให้บิดา มารดา คู่สมสมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหม่ิน หรือถูกเกลียดชัง หรือได้รับ ความอับอาย ผูก้ ระทำต้องระวางโทษดงั ท่ีบัญญัตไิ ว้ในวรรคหนงึ่ ถ้าการกระทำตามวรรคหน่ึงหรอื วรรคสอง เป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยสุจริต อนั เป็นการติชมดว้ ยความเปน็ ธรรม ซ่งึ บุคคลหรอื ส่งิ ใดอันเปน็ วิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ผู้กระทำ ไม่มคี วามผิด ความผดิ ตามวรรคหน่ึงและวรรคสองเป็นความผดิ อันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายในความผิดตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คสู่ มรส หรอื บตุ รของผ้เู สยี หายรอ้ งทกุ ข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสยี หาย” มาตรา 11 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560) ให้เพ่ิมความต่อไปนี้เป็น มาตรา 16/1 และ มาตรา 16/2 แห่งพระราชบัญญัติวา่ ด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 “มาตรา 16/1 ในคดีความผิดตามมาตรา 14 หรือมาตรา 16 ซ่ึงมีคำพิพากษาว่าจำเลย มคี วามผิด ศาลอาจส่ัง
53 (1) ให้ทำลายขอ้ มลู ตามมาตราดงั กลา่ ว (2) ใหโ้ ฆษณาหรอื เผยแพร่คำพิพากษาทั้งหมดหรือแตบ่ างส่วนในสอื่ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ วิทยุ กระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ หรือส่ืออื่นใด ตามที่ศาลเห็นสมควร โดยให้จำเลยเป็น ผชู้ ำระค่าโฆษณาหรอื เผยแพร่ (3) ใหด้ ำเนินการอื่นตามศาลเห็นสมควรเพอ่ื บรรเทาความเสยี หายที่เกดิ ขึ้นจาก การกระทำความผดิ นัน้ มาตรา 16/2 ผู้ใดรู้ว่าข้อมูลคอมพิวเตอร์ในความครอบครองของตนเป็นข้อมูลท่ีศาลส่ัง ให้ทำลายตามมาตรา 16/1 ผู้นน้ั ต้องทำลายข้อมูลดงั กลา่ ว หากฝา่ ฝืนต้องระวางโทษก่ึงหนึ่งของโทษที่ บัญญัติไว้ในมาตรา 14 หรือ มาตรา 16 แล้วแต่กรณ”ี ความผิดตามมาตรา 16 น้ีเป็นลักษณะของการดูหมิ่นหรือหม่ินประมาทด้วยการตกแต่ง ภาพของบคุ คลด้วยวธิ ีการทางอิเลก็ ทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้ (พรเพชร วิชิตชลชยั , 2550) (1) นำเขา้ ส่รู ะบบคอมพวิ เตอร์ที่ประชาชนท่ัวไปอาจเข้าถงึ ได้ หมายความว่า ผู้กระทำได้มีการกระทำอันเป็นการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์ และระบบคอมพิวเตอร์น้ันเป็นระบบที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ ถ้าเป็นระบบ คอมพิวเตอรข์ องตนเองก็ไม่เปน็ ความผดิ (2) ซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพท่ีเกิดจาก การสรา้ งข้ึน ตดั ตอ่ เติมหรือดัดแปลงด้วยวธิ กี ารทางอเิ ล็กทรอนิกสห์ รือวิธกี ารอน่ื ใด องค์ ป ระกอ บ ความ ผิด ข้อ นี้ ต้อ งเป็ น ข้ อมู ลค อม พิ วเต อร์ที่ ป รากฏ เป็ น ภ าพ ข องผู้ อื่ น หมายถึงการแสดงข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกเป็นภาพของบุคคล และภาพน้ันอาจเกิดจากการสร้าง ขึ้นใหม่ หรือเป็นภาพท่ีมีอยู่แต่ได้มีการตัดต่อ เติมหรือดัดแปลง ซ่ึงเป็นการทำด้วยวิธีการทาง อิเล็กทรอนกิ ส์หรอื วธิ ีการอ่นื ใด คำว่า “วิธกี ารอื่นใด” เขียนไวเ้ พอื่ ให้ครอบคลุมการเปล่ียนแปลงแกไ้ ขข้อมูลคอมพวิ เตอร์ ท่ีเปน็ ภาพบุคคลนั้นด้วยวธิ ีการใดๆ กไ็ ด้ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อขอ้ มูลคอมพวิ เตอร์ จึง ไม่น่าจะหมายความรวมถงึ การตดั ต่อ เติมหรอื ดัดแปลงภาพบุคคลซง่ึ เปน็ printout จากคอมพวิ เตอร์ (3) โดยประการท่ีน่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับ ความอับอายองค์ประกอบความผิดข้อนี้ใช้ข้อความทำนองเดียวกับความผิดฐานหม่ินประมาทตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 แต่เพิ่มคำว่า “ได้รับความอับอาย” เข้าไปด้วย จึงมีความหมาย กว้างกว่าความผิดฐานหม่ินประมาท (4) เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 หมายถงึ เจตนาในการนำภาพบุคคลเขา้ สู่ระบบคอมพิวเตอร์ การนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริตไม่เป็นความผิด การกระทำใดเป็นการนำเข้า ข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริตน่าจะพิจารณาเทียบได้กับบทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ทบ่ี ัญญตั ิว่า “ผใู้ ดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสจุ รติ ...ผู้นนั้ ไม่มีความผดิ ฐานหม่นิ ประมาท”
54 ข้อสังเกตประการต่อไปสำหรับความผิดตามมาตรา 16 ก็คือความผิดตามมาตราน้ีเป็น ความผิดอันยอมความได้ และเป็นความผิดมาตราเดียวที่บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ ท้ังน้ี เนอ่ื งจากเห็นไดช้ ดั เจนวา่ ความเสียหายทเี่ กิดขน้ึ นั้นเปน็ ความเสยี หายเฉพาะบุคคล เม่ือเป็นความผิดอันยอมความได้ กฎหมายจึงต้องบัญญัติในเร่ืองผู้เสียหายไว้ในลักษณะ ทำนองเดยี วกับความผดิ ฐานหม่ินประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 333 ดงั ความในวรรคสี่ “ถ้าผู้เสียหายในความผิดตามวรรคหนึ่งตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบตุ รของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และใหถ้ อื ว่าเป็นผู้เสียหาย” เรื่องท่ี 3.3 การดำเนินคดี พรเพชร วิชิตชลชัย (2550) กล่าวว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติฉบับน้ีเป็นความผิดอาญา ดังน้ันการดำเนินคดีไม่ว่าในเรื่องการจับกุม ค้น ขัง การสืบสวนสอบสวนย่อมเป็นไปตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่นที่เก่ียวข้อง เช่นกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีใน ศาลแขวง กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว เป็นต้น อย่างไรก็ตามเพ่ือให้การ ดำเนินคดีตามพระราชบัญญตั ิน้ีมีประสิทธภิ าพจึงได้มีหลักการพิเศษเพม่ิ ขนึ้ 2 ประการ ดังน้ี (1) การเพม่ิ วธิ กี ารพิเศษในการสืบสวนและสอบสวน และ (2) การเพิ่มให้มี “พนักงานเจ้าหน้าท่ี” เข้ามามีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนความผิดตาม พระราชบัญญัตฉิ บับนีด้ ้วยนอกเหนือจากเจา้ พนกั งานตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา 1. อำนาจในการสบื สวนและสอบสวนเพื่อดำเนินคดี มาตรา 13 (แห่ง พรบ.คอมพวิ เตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560) ให้ยกเลิกความในมาตรา 18 และมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ ให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 18 ภายใต้บังคับมาตรา 19 เพ่ือประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนในกรณี ท่ีมีเหตุอันควรเช่ือได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติน้ี หรือในกรณีท่ีมีการร้องของตาม วรรคสอง ใหพ้ นักงานเจา้ หน้าที่มีอำนาจอยา่ งหนงึ่ อย่างใด ดังต่อไปนี้ เฉพาะท่ีจำเป็นเพ่ือประโยชนใ์ น การใช้เปน็ หลักฐานเกย่ี วกับการกระทำความผดิ และหาตัวผูก้ ระทำความผิด (1) มีหนังสือสอบถามหรือเรยี กบคุ คลที่เก่ยี วข้องกับการกระทำความผิดมาเพือ่ ให้ถ้อยคำ ส่งคำช้แี จงเป็นหนงั สอื หรอื ส่งเอกสาร ข้อมลู หรือหลักฐานอน่ื ใดทอ่ี ยู่ในรูปแบบท่สี ามารถเข้าใจได้ (2) เรียกขอ้ มลู จราจรทางคอมพวิ เตอรจ์ ากผใู้ ห้บรกิ ารเกย่ี วกับการตดิ ต่อสือ่ สารผา่ น ระบบคอมพวิ เตอรห์ รอื จากบคุ คลอ่ืนที่เกย่ี วข้อง (3) สงั่ ให้ผใู้ หบ้ รกิ ารสง่ มอบข้อมลู เกยี่ วกับผู้ใชบ้ ริการที่ตอ้ งเก็บตามมาตรา 26 หรอื ที่อยู่ ในความครอบครองหรือควบคุมของผู้ให้บริการให้แก่พนักงานเจ้าหน้าท่ีหรือใหเ้ ก็บข้อมูลดงั กลา่ วไวก้ ่อน (4) ทำสำเนาขอ้ มลู คอมพิวเตอร์ ขอ้ มูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จากระบบคอมพิวเตอร์ ท่ีมีเหตุอันควรเช่ือได้ว่ามีการกระทำความผิด ในกรณีท่ีระบบคอมพิวเตอร์นั้นยังมิได้อยู่ในความ ครอบครองของพนักงานเจ้าหน้าท่ี
55 (5) ส่ังให้บุคคลซึ่งครอบครองหรือควบคุมข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรืออปุ กรณท์ ่ีใชเ้ ก็บขอ้ มลู คอมพิวเตอร์สง่ มอบขอ้ มูลคอมพิวเตอร์ หรอื อปุ กรณด์ งั กลา่ วใหแ้ ก่พนกั งานเจ้าหน้าที่ (6) ตรวจสอบหรือเข้าถึงระบบคอมพวิ เตอร์ ข้อมลู คอมพวิ เตอร์ ขอ้ มูลจราจรทาง คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ท่ีใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด อันเป็นหลักฐานหรืออาจใช้เป็น หลักฐานเก่ียวกับการกระทำความผิด หรือเพ่ือสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดและสั่งให้บุคคลน้ันส่ง ขอ้ มลู คอมพวิ เตอร์ ข้อมูลจราจรทางคอมพวิ เตอร์ ท่เี กย่ี วขอ้ งเทา่ ที่จำเป็นให้ดว้ ยกไ็ ด้ (7) ถอดรหัสลบั ของข้อมูลคอมพวิ เตอร์ของบุคคลใด หรอื สงั่ ให้บุคคลท่ีเกี่ยวข้องกบั การเขา้ รหสั ลบั ของขอ้ มูลคอมพิวเตอร์ ทำการถอดรหัสลับ หรือให้ความร่วมมือกบั พนักงานเจ้าหน้าที่ ในการถอดรหัสลบั ดังกลา่ ว (8) ยดึ หรืออายดั ระบบคอมพิวเตอรเ์ ทา่ ทจี่ ำเปน็ เฉพาะเพอ่ื ประโยชน์ในการทราบ รายละเอยี ดแห่งความผดิ และผู้กระทำความผิด เพ่ือประโยชน์ในการสืบสวนและสอบสวนของพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา ในบรรดาความผิดอาญาต่อกฎหมายอื่นซ่ึงได้ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ขอ้ มูลคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบหรือเป็นส่วนหน่ึงในการ กระทำความผิด หรือมีข้อมูลคอมพิวเตอร์ท่ีเก่ียวข้องกับการกระทำความผิดอาญาตามกฎหมายอื่น พนักงานสอบสวนอาจร้องขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหน่ึงดำเนินการตามวรรคหน่ึงก็ได้ หรือ หากปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เน่ืองจากการปฏิบัติหน้าท่ีตามพระราชบัญญัตินี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีรีบรวบรวมข้อเท็จจริงและหลักฐานแล้วแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ท่ีเกี่ยวข้องเพื่อ ดำเนินการต่อไป ให้ผู้ได้รับการร้องขอจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง (1) (2) และ (3) ดำเนินการ ตามคำร้องขอโดยไม่ชักช้า แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวันนับแต่วันท่ีได้คำร้องขอ หรือภายในระยะเวลาท่ี พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดซึ่งต้องไม่น้อยกว่าเจด็ วันและไม่เกนิ สิบห้าวัน เวน้ แต่ในกรณีท่ีมเี หตุสมควร ต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าท่ี ท้ังนี้ รัฐมนตรีอาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนด ระยะเวลาทต่ี ้องดำเนินการทเี่ หมาะสมกบั ประเภทของผใู้ ห้บริการก็ได้ มาตรา 19 การใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 18 (4) (5) (6) (7) และ (8) ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อมีคำส่ังอนุญาตให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ดำเนินการตามคำร้อง ทั้งนี้ คำร้องต้องระบุเหตุอันควรเช่ือได้ว่าบุคคลใดกระทำหรือกำลังจะกระทำ การอย่างหนง่ึ อยา่ งใดอันเปน็ ความผิด เหตทุ ่ตี อ้ งใชอ้ ำนาจ เทา่ ท่ีสามารถจะระบุได้ ประกอบคำร้องดว้ ย ในการพิจารณาคำรอ้ งใหศ้ าลพจิ ารณาคำร้องดังกล่าวโดยเร็ว เม่ือศาลมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ก่อนดำเนินการตามคำส่ังศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่ง สำเนาบันทึกเหตุอันควรเช่ือท่ีทำให้ต้องใช้อำนาจตามมาตรา 18 (4) (5) (6) (7) และ (8) มอบให้ เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์น้ันไว้เป็นหลักฐาน แต่ถ้าไม่มีเจ้าของหรือผู้ครอบครอง เคร่ืองคอมพิวเตอร์อยู่ ณ ที่นั้น ให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีส่งมอบสำเนาบันทึกนั้นให้แก่เจ้าของหรือผู้ ครอบครองดังกล่าวในทันทีท่กี ระทำได้
56 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เป็นหัวหน้าในการดำเนินการตามมาตรา 18 (4) (5) (6) (7) และ (8) ส่งสำเนาบันทึกรายละเอียดการดำเนินการและเหตุผลแห่งการดำเนินการให้ศาลท่ีมีเขตอำนาจ ภายในส่ีสบิ แปดช่ัวโมงนับแต่เวลาลงมือดำเนินการ เพอื่ เป็นหลกั ฐาน การทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามมาตรา 18 (4) ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อมีเหตุอันควร เชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิด และต้องไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินกิจการของเจ้าของหรือ ผู้ครอบครองข้อมลู คอมพิวเตอร์นัน้ เกดิ ความจำเปน็ การยึดหรืออายัดตามมาตรา 18 (8) นอกจากจะต้องส่งมอบสำเนาหนังสือแสดงการยึด หรืออายัดมอบให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์น้ันไว้เป็นหลักฐานแล้ว พนักงาน เจ้าหน้าที่จะส่งยึดหรืออายัดไว้เกินสามสิบวันมิได้ ในกรณีจำเป็นที่ต้องยึดหรืออายัดไว้นานกว่าน้ัน ให้ยื่นคำร้องต่อศาลท่ีมีเขตอำนาจเพ่ือขอขยายเวลายึดหรืออายัดได้ แต่ศาลจะอนุญาตให้ขยายเวลา คร้ังเดียวหรือหลายคร้ังรวมกันได้อีกไม่เกินหกสิบวัน เมื่อหมดความจำเป็นที่จะยึดหรืออายัดหรือ ครบกำหนดเวลาดังกล่าวแลว้ พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีตอ้ งสง่ คืนระบบคอมพิวเตอรท์ ่ียึดหรอื ถอนการอายัด โดยพลนั หนงั สอื แสดงการยดึ หรอื อายัดตามวรรคหา้ ให้เป็นไปตามท่ีกำหนดในกฎกระทรวง” 2. อำนาจศาลในการมีคำสงั่ ใหร้ ะงับการทำใหแ้ พรห่ ลายซ่ึงขอ้ มูลคอมพวิ เตอร์ มาตรา 14 (แหง่ พรบ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560) ให้ยกเลกิ ความในมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และให้ใช้ความ ตอ่ ไปนี้แทน “มาตรา 20 ในกรณีท่ีมีการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ ดังต่อไปนี้ พนักงาน เจ้าหน้าทีโ่ ดยไดร้ บั ความเห็นชอบจากรัฐมนตรีอาจย่นื คำร้องพร้อมแสดงพยานหลกั ฐานต่อศาลท่ีมเี ขต อ ำ น า จ ข อ ให้ มี ค ำ สั่ งร ะ งั บ ก า ร ท ำ ให้ แ พ ร่ ห ล า ย ห รื อ ล บ ข้ อ มู ล ค อ ม พิ ว เต อ ร์ นั้ น อ อ ก จ า ก ร ะ บ บ คอมพิวเตอร์ได้ (1) ข้อมูลคอมพวิ เตอร์ทเี่ ปน็ ความผิดตามพระราชบญั ญัตินี้ (2) ข้อมูลคอมพิวเตอร์ทอี่ าจกระทบกระเทือนต่อความม่นั คงแหง่ ราชอาณาจักรตามที่ กำหนดไวใ้ นภาค 2 ลักษณะ 1 หรอื ลักษณะ 1/1 แหง่ ประมวลกฎหมายอาญา (3) ขอ้ มูลคอมพิวเตอร์ท่เี ปน็ ความผิดอาญาตามกฎหมายเกี่ยวกบั ทรัพยส์ ินทางปญั ญา หรือกฎหมายอื่นซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์น้ันมีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ ประชาชนและเจ้าหน้าท่ีตามกฎหมายนั้นหรือพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญาไดร้ อ้ งขอ ในกรณีท่ีมีการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ท่ีมีลักษณะขัดต่อความสงบ เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน รัฐมนตรีโดยความชอบชองคณะกรรมการกล่ันกรอง ขอ้ มลู คอมพิวเตอร์จะมอบหมายให้พนักงานเจา้ หน้าท่ยี ื่นคำรอ้ งพร้อมแสดงพยานหลักฐานต่อศาลท่ีมี เขตอำนาจขอให้มีคำสั่งระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์น้ันออกจากระบบ คอมพิวเตอร์ได้ ท้ังน้ี ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยคณะกรรมการที่มีอำนาจดำเนินการพิจารณาทาง
57 ป ก ค ร อ ง ต า ม ก ฎ ห ม า ย ว่ า ด้ ว ย วิ ธี ป ฏิ บั ติ ร า ช ก า ร ท า งป ก ค ร อ ง ม า ใช้ บั ง คั บ กั บ ก า ร ป ร ะ ชุ ม ข อ ง คณะกรรมการกลัน่ กรองข้อมลู คอมพิวเตอร์โดยอนุโลม ให้รัฐมนตรแี ต่งตง้ั คณะกรรมการกล่นั กรองข้อมลู คอมพวิ เตอร์ตามวรรคสองข้ึนคณะหน่ึง หรือหลายคณะ แต่ละคณะให้มีกรรมการจำนวนเก้าคนซ่ึงสามในเก้าคนต้องมาจากผู้แทนภาคเอกชน ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านส่ือสารมวลชน ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือด้านอื่นที่เกี่ยวข้อง และให้ ก ร ร ม ก า ร ได้ รั บ ค่ า ต อ บ แ ท น ต า ม ห ลั ก เก ณ ฑ์ ท่ี รั ฐ ม น ต รี ก ำ ห น ด โด ย ได้ รั บ ค ว า ม เห็ น ช อ บ จ า ก กระทรวงการคลงั การดำเนินการของศาลตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม ในกรณีท่ีศาลมีคำส่ังให้ระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบ ขอ้ มลู คอมพวิ เตอร์ตามวรรคหนง่ึ และวรรคสอง พนักงานเจ้าหนา้ ทจ่ี ะทำการระงบั การทำให้แพร่หลาย ห รื อ ล บ ข้ อ มู ล ค อ ม พิ ว เต อ ร์ นั้ น เอ ง ห รือ จ ะ สั่ งให้ ผู้ ให้ บ ริ ก า ร ระ งับ ก า ร ท ำ ให้ แ พ ร่ พ ล า ย ห รื อ ล บ ขอ้ มูลคอมพิวเตอร์นั้นก็ได้ ท้ังน้ี ให้รัฐมนตรีประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ ระยะเวลา และวิธกี ารปฏิบัติ สำหรบั การระงบั การทำให้แพร่หลายหรอื ลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของพนกั งานเจ้าหน้าที่หรือผู้ให้บรกิ าร ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยคำนึงถึงพัฒนาการทางเทคโนโลยีทีเ่ ปล่ียนแปลงไป เวน้ แตศ่ าลจะมี คำส่ังเป็นอยา่ งอน่ื ในกรณีท่ีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วน พนักงานเจ้าหนา้ ที่จะย่ืนคำร้องตามวรรคหนึ่งไปก่อนท่ีจะ ได้รับคามเป็นชอบจากรัฐมนตรี หรือพนักงานเจ้าหน้าท่ีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ กลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์จะย่ืนคำร้องตามวรรคสองไปก่อนท่ีรัฐมนตรีจะมอบหมายก็ได้ แต่ทั้งนี้ ตอ้ งรายงานใหร้ ัฐมนตรีทราบโดยเร็ว” พรเพชร วิชิตชลชัย (2550) กล่าวว่า มาตรานี้เป็นกรณีที่ให้ศาลมีอำนาจมีคำสั่งระงับ การทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ท่ีเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติน้ี หรือภาษาสามัญคือ การบล็อกไม่ให้ระบบคอมพิวเตอร์เผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นความผิดดังกล่าวในระบบ คอมพวิ เตอรอ์ กี ต่อไป จะเห็นได้ว่ากฎหมายกำหนดวิธีการไว้ค่อนข้างเข้มงวด คือไม่ได้ให้อยู่ในดุลพินิจของ พนักงานเจ้าหน้าท่ีเท่านั้น แต่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีก่อนเน่ืองจากการบล็อกระบบ คอมพวิ เตอร์อาจกระทบถึงสทิ ธิเสรีภาพของบุคคลในการส่อื สารข้อมลู 3. อำนาจศาลในการห้ามจำหนา่ ยหรือเผยแพร่ชดุ คำสง่ั ไมพ่ ึงประสงค์ มาตรา 21 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าท่ีพบว่า ข้อมลู คอมพิวเตอร์ใดมชี ุดคำส่ังไม่พึงประสงค์รวมอยู่ด้วย พนักงานเจ้าหน้าท่ีอาจย่ืนคำร้องต่อศาลที่มี เขตอำนาจเพ่ือขอให้มีคำส่ังคำส่ังห้ามจำหน่ายหรือเผยแพร่ หรือส่ังให้เจ้าของหรือผู้ครอบครอง ข้อมูลคอมพิวเตอร์น้ันระงับการใช้ ทำลายหรือแก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้ หรือจะกำหนดเง่ือนไข ในการใชม้ ีไวใ้ นครอบครอง หรือเผยแพร่ชดุ คำสง่ั ไมพ่ งึ ประสงค์ดงั กลา่ วก็ได้ มาตรา 15 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560) ให้ยกเลิกความในวรรคสอง ของมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ ให้ใช้ความต่อไปน้แี ทน
58 “ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ตามวรรคหน่ึงหมายถึงชุดคำส่ังที่มีผลทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์หรือชุดคำส่ังอื่นเกิดความเสียหาย ถูกทำลาย ถูกแก้ไขเปล่ียนแปลงหรือ เพ่ิมเติมขัดข้องหรือปฏบิ ัติงานไม่ตรงตามคำสั่ง หรือโดยประการอ่ืนตามทีก่ ำหนดในกฎกระทรวง เว้น แต่เป็นชุดคำส่ังไม่พึงประสงค์ท่ีอาจนำมาใช้เพ่ือป้องกันหรือแก้ไขชุดคำส่ังดังกล่าวข้างต้น ท้ังน้ี รัฐมนตรอี าจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดรายช่ือ ลักษณะ หรอื รายละเอยี ดของชดุ คำสง่ั ไม่พึง ประสงค์ซึง่ อาจนำมาใชเ้ พอื่ ป้องกนั หรือแก้ไขชดุ คำส่ังไม่พึงประสงค์กไ็ ด้” 4. การรบั ฟังขอ้ มลู คอมพิวเตอร์เปน็ พยานหลกั ฐาน มาตรา 25 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) ข้อมูล ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูล จราจรทางคอมพิวเตอรท์ ่ีพนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามพระราชบัญญัตินี้หรอื ท่ีพนักงานสอบสวนได้มา ตามมาตรา 18 วรรคสอง ให้อา้ งและรับฟังเปน็ พยานหลักฐานตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวธิ ี พิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยานได้ แต่ต้องเป็นชนิดท่ีมิได้เกิดขึ้นจากการ จูงใจ มีคำมน่ั สัญญา ข่เู ข็ญ หลอกลวง หรือโดยมชิ อบประการอ่นื พรเพชร วิชิตชลชัย (2550) กล่าวว่า มาตรา 25 เป็นบทบัญญัตทิ ี่เสริมมาตรา 226 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่านอกเหนือจากพยานบุคคล พยานวัตถุและพยานเอกสาร แล้ว ข้อมูล ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ก็เป็นพยานหลักฐานที่อ้างและรับ ฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอ่ืนอันว่าด้วยการสืบพยาน ท้ังนี้เพ่ือ ขจัดปัญหาว่าขอ้ มลู คอมพวิ เตอรเ์ ป็นพยานหลักฐานประเภทใด ส่วนการตรวจสอบพยานหลักฐานที่ได้จากคอมพิวเตอร์ก็ใช้ หลักการเกี่ยวกับ พยานหลักฐานประเภทอ่ืนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 คือ ต้องเป็น พยานหลักฐานที่มไิ ด้เกิดข้ึนจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมชิ อบประการอื่น หลักการที่สำคัญของมาตรา 25 คือ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลจราจรทาง คอมพิวเตอร์น้ันจะต้องเป็นข้อมูลที่พนักงานเจ้าหน้าที่ท่ีได้มาโดยอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 18 ประกอบมาตรา 19 หากไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องก็ไม่สามารถอ้างและรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ อย่างไรก็ ตามบทบัญญัติน้ีเป็นการควบคุมการได้มาซ่ึงพยานหลักฐานของพนักงานเจ้าหน้าท่ีเท่าน้ัน จำเลยจึง อาจอ้างพยานหลักฐานที่เป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์นำสืบต่อสู้ได้โดยไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 25 แต่ พยานหลักฐานของจำเลยที่เป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ ก็ยังอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธี พจิ ารณาความอาญา มาตรา 226 อยดู่ ี 5. การประสานงานในเรื่องการจับ ควบคุม ค้น การสืบสวนและสอบสวน ระหวา่ งพนกั งานเจ้าหน้าที่กบั พนกั งานสอบสวนผรู้ บั ผดิ ชอบ มาตรา 29 (แห่ง พรบ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2550) ในการปฏิบตั ิหน้าท่ตี ามพระราชบัญญัติ นี้ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธี พจิ ารณาความอาญา มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวนเฉพาะความผดิ ตามพระราชบัญญัตนิ ี้ ในการจับ ควบคุม ค้น การทำสำนวนสอบสวนและดำเนินคดีผู้กระทำความผิดตาม พระราชบัญญัตินี้ บรรดาท่ีเป็นอำนาจของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือพนักงาน
59 สอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ใหพ้ นกั งานเจ้าหน้าท่ีประสานงานกบั พนกั งาน สอบสวนผ้รู บั ผิดชอบเพ่อื ดำเนินการตามอำนาจหน้าทตี่ ่อไป ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติและรัฐมนตรีมีอำนาจ ร่วมกันกำหนดระเบียบเก่ียวกบั แนวทางและวิธปี ฏบิ ัติในการดำเนนิ การตามวรรคสอง พรเพชร วชิ ิตชลชัย (2550) กล่าววา่ เมอื่ พจิ ารณาบทบัญญัติเกย่ี วกับพนักงานเจ้าหน้าท่ี ตามพระราชบญั ญัติฉบับนี้ทง้ั หมดแล้วอาจสรปุ ได้ ดงั น้ี (1) พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติฉบับน้ีมีฐานะเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือ ตำรวจช้ันผูใ้ หญต่ ามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา หมายความว่ามีอำนาจท้ังปวงตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญาท่ีกำหนดไว้สำหรับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เช่น มีอำนาจรับคำร้องทุกข์หรือ รับคำกล่าวโทษ และมอี ำนาจในการสืบสวนสอบสวนเฉพาะความผิดตามพระราชบญั ญัติฉบับนี้ ข้อสังเกตท่ีสำคัญก็คืออำนาจในการสืบสวนสอบสวนท่ีพนักงานเจ้าหน้าท่ีจะทำได้ มีแต่เฉพาะความผิดตามพระราชบญั ญตั ฉิ บับนเี้ ทา่ น้ัน (2) ถึงแม้ว่าพระราชบัญญัตฉิ บับน้ีจะกำหนดใหม้ ีพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้ตดั อำนาจ เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่ว่าจะเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือ ตำรวจช้ันผู้ใหญ่ หรือพนักงานสอบสวนท่ีจะดำเนินการตามอำนาจหน้าท่ี เพียงแต่เจ้าพนักงานตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่มีอำนาจหน้าทตี่ ามที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดไว้โดยเฉพาะ เท่าน้ัน เช่น อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 18 มาตรา 19 มาตรา 20 มาตรา 21 และ มาตรา 26 เป็นต้น ดังน้ันเจ้าพนกั งานตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญายังมีอำนาจหน้าที่ซ่ึง ไมไ่ ดม้ ีการบัญญัติไวโ้ ดยเฉพาะจึงย่อมรับแจ้งความร้องทุกข์ จับกุม ทำสำนวนการสอบสวนได้ (3) เม่ือพนักงานเจ้าหน้าที่และเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญาต่างมอี ำนาจซ้ำซ้อนกันในบางเร่อื ง และความผิดที่เกิดข้ึนบ่อยคร้ังที่มีความเก่ียวพันกันระหว่าง ความผิดตามพระราชบัญญัติฉบับนี้กับความผิดตามกฎหมายอื่นจึงจำเป็นต้องมีการกำหนดอำนาจ หน้าทเ่ี กี่ยวกับการดำเนินคดีไม่ว่าในเร่ืองการจับ ควบคุม ค้น การทำสำนวนการสอบสวนจึงต้องมีการ ประสานงานระหว่างพนักงานเจ้าหน้าที่กับพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา (4) การประสานงานระหว่างพนักงานเจ้าหน้าที่กับเจ้าพนักงานและพนักงานสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าผู้ใดจะรับผิดชอบในเรือ่ งใดในขั้นตอนต่างๆ ของการ สืบสวนและสอบสวน (ซ่ึงทงั้ สองฝา่ ยต่างมีอำนาจตามกฎหมายด้วยกัน) นน้ั ไม่อาจกำหนดรายละเอียด ในพระราชบัญญัติฉบับน้ีได้ จึงให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติและ รฐั มนตรมี ีอำนาจรว่ มกนั กำหนดระเบียบเก่ียวกบั แนวทางและวิธีปฏิบัตใิ นการดำเนนิ การดังกลา่ ว โดยสรุปจะต้องมีการวางระเบียบในเร่ืองการสืบสวนสอบสวนเก่ียวกับอำนาจหน้าท่ีของ พนักงานเจ้าหน้าท่ีตามพระราชบัญญัติฉบับน้ีกับพนักงานฝ่ายปกครองและตำรวจช้ันผู้ใหญ่ตลอดจน พนกั งานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญาใหช้ ัดเจนท่จี ะประสานการปฏิบัตหิ รือ ดำเนินการตามอำนาจหนา้ ทขี่ องแตล่ ะฝ่ายต่อไป
60 เร่ืองที่ 3.4 ความรับผิดของผู้ใหบ้ ริการและบคุ คลทัว่ ไป 1. ความหมายของผใู้ ห้บริการ มาตรา 3 (แหง่ พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) ใหค้ วามหมายของผูใ้ ห้บรกิ าร ดงั น้ี “ผูใ้ หบ้ รกิ าร” หมายความว่า (1) ผู้ให้บริการแก่บุคคลอ่ืนในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดย ประการอื่น โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งน้ี ไม่วา่ จะเปน็ การให้บรกิ ารในนามของตนเอง หรือใน นามหรือเพือ่ ประโยชน์ของบคุ คลอื่น (2) ผู้ใหบ้ รกิ ารเก็บรักษาขอ้ มูลคอมพวิ เตอร์เพอ่ื ประโยชนข์ องบุคคลตามอนื่ 2. หนา้ ทแี่ ละความรับผิดของผู้ใหบ้ ริการ มาตรา 15 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือ ยินยอมให้มีการกระทำความผิดตามมาตรา 14 ในระบบคอมพิวเตอร์ท่ีอยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดยี วกบั ผกู้ ระทำความผดิ ตามมาตรา 14 มาตรา 17 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560) ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่ง ของมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ ให้ใช้ความตอ่ ไปนแ้ี ทน “มาตรา 26 ผู้ให้บริการต้องเกบ็ รักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไวไ้ ม่นอ้ ยกว่าเก้าสิบ วันนับแต่วันท่ีข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่ในกรณีจำเป็น พนักงานเจ้าหน้าที่จะส่ังให้ผู้ให้ บริการผู้ใดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกินเก้าสิบวันแต่ไม่เกินสองปีเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะรายและเฉพาะคราวกไ็ ด้” ผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการเท่าที่จำเป็นเพ่ือให้สามารถระบุตัว ผู้ใช้บริการนับต้ังแต่เริ่มใช้บริการและต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับต้ังแต่การใช้ บริการสน้ิ สดุ ลง ความในวรรคหน่ึงจะใช้กับผู้ให้บริการประเภทใด อย่างไร และเม่ือใด ให้เป็นไปตามที่ รฐั มนตรีประกาศในราชกิจจานเุ บกษา ผู้ให้บริการผ้ใู ดไมป่ ฏิบัติตามมาตรานี้ ตอ้ งระวางโทษปรบั ไมเ่ กนิ ห้าแสนบาท พรเพชร วิชิตชลชัย (2550) กล่าวว่า มาตรา 26 กำหนดหน้าท่ีและความรับผิดชอบ กลา่ วคอื ผู้ให้บริการมีหน้าท่ีตอ้ งเก็บรกั ษาข้อมูล 2 ประการ คอื (1) ข้อมูลจราจรทางคอมพวิ เตอร์ ความหมายของข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ปรากฏตามมาตรา 3 โดยผู้ให้บริการ จะต้องเก็บรักษาขอ้ มูลจราจรทางคอมพิวเตอรไ์ วไ้ ม่น้อยกวา่ เก้าสิบวันนับแต่วันท่ีข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์แต่อาจขยายออกไปได้กรณีท่ีพนักงานเจ้าหน้าท่ีสั่งให้เก็บรักษาข้อมูลจราจรทาง คอมพวิ เตอร์ไวเ้ กินเกา้ สบิ วนั แต่ไมเ่ กนิ หนงึ่ ปเี ป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายและเฉพาะคราวก็ได้ การกำหนดหลักเกณฑใ์ นเรือ่ งการเกบ็ รักษาข้อมลู จราจรทางคอมพิวเตอร์ว่าจะใชก้ ับผใู้ ห้ บริการประเภทใด อย่างไร และเม่อื ใดนนั้ จะเป็นไปตามทร่ี ัฐมนตรีประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา
61 (2) ข้อมลู ผใู้ ช้บรกิ าร หมายถึง ข้อมูลท่ีบันทึกถึงตัวตนของบุคคลในการเข้าใช้บริการทางเครือข่ายของผู้ ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ สกุล รหัสเลขประจำตัว user name หรือ pin code ใดๆ ผู้ให้บริการมี หน้าท่ีเก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้บริการนับตั้งแต่เริ่มใช้บริการและต้องเก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า เก้าสบิ วันนับตง้ั แต่การใชบ้ ริการสน้ิ สดุ ลง ผู้ให้บริการผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 26 คือไม่เก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือขอ้ มูลผู้ใชบ้ ริการจะต้องระวางโทษตามวรรคสี่ คือปรบั ไม่เกินห้าแสนบาท 3. ความรับผิดของบคุ คลทว่ั ไป มาตรา 24 (แหง่ พรบ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2550) ผ้ใู ดลว่ งรู้ขอ้ มูลคอมพวิ เตอร์ ข้อมลู จราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการที่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือพนักงานสอบสวนได้มา ตามมาตรา 18 และเปิดเผยข้อมูลนั้นต่อผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน ส่หี ม่นื บาท หรือท้งั จำท้ังปรบั มาตรา 27 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำส่ังของศาลหรือ พนักงานเจา้ หน้าท่ที ี่ส่ังตามมาตรา 18 หรือมาตรา 20 หรือไม่ปฏบิ ัติตามคำส่ังของศาลตามมาตรา 21 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท และปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะ ปฏบิ ัติใหถ้ กู ต้อง มาตรา 19 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560) ให้เพิ่มความต่อไปน้ีเป็น มาตรา 31 แห่งพระราชบญั ญตั ิวา่ ด้วยการกระทำความผดิ เกี่ยวกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 “มาตรา 31 ค่าใช้จ่ายในเร่ืองดังต่อไปนี้ รวมท้ังวิธีการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามระเบียบ ทร่ี ฐั มนตรีกำหนดโดยไดร้ ับความเป็นชอบจากกระทรวงการคลงั (1) การสบื สวน การแสวงหาข้อมลู และรวบรวมพยานหลกั ฐานในคดคี วามผิดตาม พระราชบัญญตั ินี้ (2) การดำเนนิ การตามมาตรา 18 วรรคหน่ึง (4) (5) (6) (7) และ (8) และมาตรา 20 (3) การดำเนินการอน่ื ใดอนั จำเป็นแกก่ ารปอ้ งกนั และปราบปรามการกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัตนิ ี”้ มาตรา 20 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560) บรรดาระเบียบหรือประกาศ ที่ออกตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ที่ใช้บังคับอยู่ ในวันก่อนวันท่ีพระราชบญั ญตั ินใ้ี ช้บงั คับ ใหย้ ังคงใช้บงั คับต่อไปเท่าท่ไี ม่ขดั หรอื แย้งกับบทบัญญตั ิแห่ง พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดย พระราชบัญญัตินี้ จนกว่าจะมีระเบียบหรือประกาศท่ีต้องออกตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำ ความผิดเกีย่ วกับคอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งแก้ไขเพ่มิ เติมโดยพระราชบัญญตั ินี้ ใช้บังคบั การดำเนินการออกระเบียบหรือประกาศตามวรรคหนึ่ง ให้ดำเนินการให้แล้วเสรจ็ ภายใน หกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงดิจทิ ัลเพอื่ เศรษฐกจิ และสังคมรายงานเหตผุ ลทไี่ ม่อาจดำเนนิ การได้ต่อคณะรัฐมนตรเี พ่ือทราบ
62 สรุป พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 เป็น บทบัญญัติของกฎหมายที่พัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ท่ีมีผลกระทบกับวิถีชีวิต ของบคุ คลในสงั คมอยา่ งมาก พระราชบัญญัติฉบับนี้มีสาระสำคัญใน 2 ส่วน ส่วนแรกเรียกว่าเป็นกฎหมายสารบัญญัติที่ เป็นการกำหนดองค์ประกอบความผิดในอาชญากรรมท่ีเก่ียวข้องกับคอมพิวเตอร์ ซ่ึงองค์ประกอบ ความผิดท่ีสำคัญและจำเป็นเสมอสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ คือคำว่า “โดยมิชอบ” ซึ่งจะเป็นเส้นแบ่งที่ดรี ะหว่างการกระทำทผี่ ิดกฎหมายหรือไม่ผิดกฎหมาย ส่วนที่สอง พระราชบญั ญัติ ฉบับน้ีได้สร้างกลไกพิเศษขึ้นมาโดยมี “พนักงานเจ้าหน้าที่” ซึ่งได้แก่บุคคลท่ีมีความรู้ ความชำนาญ เก่ียวกับคอมพิวเตอร์มาทำหน้าท่ีในการสืบสวนและสอบสวนโดยมีอำนาจหน้าที่ในการรวบรวม พยานหลักฐานซึ่งต้องใช้วิธีการทางคอมพิวเตอร์เพ่ือให้ได้มาซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์สำหรับพิสูจน์การ กระทำความผิดและหาตัวผู้กระทำผิด แต่ขณะเดียวกันพระราชบัญญัติฉบับน้ีไม่ได้ตัดอำนาจหน้าท่ี ของเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ด้วยเหตุผล 2 ประการ ประการแรก คือ อำนาจหน้าท่ีในการดำเนินคดีหลายเร่ืองยังคงควรเป็นของพนักงานฝ่ายปกครอง ประการที่สอง คือ การกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์มักจะเก่ียวข้องกับการกระทำความผิดตามประมวล กฎหมายอาญาหรือกฎหมายอ่ืนในลักษณะของการกระทำความผิดหลายบทหรือหลายกระทงต่าง วาระกนั ซง่ึ ความผิดฐานอ่ืนน้นั ไมอ่ ยใู่ นอำนาจของพนักงานเจ้าหนา้ ที่ตามพระราชบัญญัตฉิ บบั น้ี การดำเนินการบังคับใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ให้ สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ จึงมีการออกกฎกระทรวง ประกาศ ระเบียบท่ีเกี่ยวข้องตามความใน พระราชบญั ญัตฉิ บบั นี้ ซ่งึ ถอื เป็นการออกกฎหมายลำดบั รองต่อไป คำถามท้ายบท ตอนที่ 1 จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. พระราชบญั ญัติวา่ ดว้ ยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ประกาศใน ราชกจิ จานุเบกษาวนั ใด และมีผลบงั คบั ใช้เมื่อใด 2. จงระบุการกระทำที่เขา้ ขา่ ยความผดิ ตามพระราชบัญญตั ิวา่ ด้วยการกระทำความผดิ เกย่ี วกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560 3. ผ้ใู ห้บรกิ ารที่ระบุในพระราชบญั ญัตฉิ บบั น้ีหมายถงึ บคุ คลใดบ้าง 4. หากนักศึกษาเป็นผู้ให้บริการจะต้องเก็บรักษาข้อมูลอะไรบ้าง และจะต้องเก็บข้อมูล เหล่านั้นนานแค่ไหน และหากนักศึกษาไม่ได้เก็บข้อมูลผู้ใช้บริการไว้เลย ถือว่าทำผิดพระราชบัญญัติ ฉบับนหี้ รอื ไม่ เพราะเหตุใด 5. หากเกิดกรณีทีเ่ ชอื่ ว่ามีการกระทำผดิ ตามพระราชบญั ญตั ินี้ พนกั งานเจา้ หน้าทมี่ อี ำนาจ ดำเนินการอยา่ งไร ใช้อำนาจตามมาตราใด 6. หากนักศกึ ษาเป็นผู้เสียหายตามพระราชบญั ญตั ิน้ีจะต้องทำอย่างไร
63 เอกสารอา้ งอิง กฤตยษ์ ุพัช สารนอก และ ปณติ า วรรณพริ ณุ . (2561). การประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยอี ินเทอรเ์ นต็ ออฟ เอเวอรธี่ งิ เพื่อสรา้ งสภาพแวดล้อมเรียนรูแ้ บบภควันตภาพสำหรบั พลเมอื งดจิ ิทัล. สมาคม สถาบันอดุ มศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์ สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี. 7(1): 120-134. ธีรวัฒน์ รูปเหลี่ย และ สมบตั ิ ทา้ ยเรอื คำ. (2562). การพฒั นาโปรแกรมเพื่อเสริมสร้างความฉลาด ทางดิจิทลั ของนักเรียนระดบั ประถมศึกษา. วารสารมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. 37(5): หน้า 42-53. บบุ ผา เมฆศรีทองคำ. (2554). การรู้เท่าทันส่ือ: การกา้ วทันบนโลกขา่ วสาร. Executive Journal. 31(1): หน้า 11-123. บงกช ทองเอี่ยม. (2561). การพัฒนาตัวชี้วัดทักษะการเรียนรู้ดิจิทัลของนักศึกษาวิชาชีพครู ในมหาวิทยาลัยแบบไม่จำกัดรับ. วารสารวิชาการ สถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ. 4(1): หน้า 291-300. ปณิตา วรรณพริ ณุ และ นำโชค วัฒนานัณ. (2560). ความฉลาดทางดจิ ิทัล. พัฒนาเทคนคิ ศกึ ษา. 29(102): หน้า 12-20. ปวีณา มะแซ. (2561). การพฒั นาแบบวดั ทักษะการรู้เท่าทนั สอ่ื ในศตวรรษที่ 21 ของนักเรยี น ชน้ั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ โดยประยุกตใ์ ช้ทฤษฎีการตอบสนองขอ้ สอบแบบพหุวิภาค. วทิ ยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการวจิ ัยและประเมนิ ผลการศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร.์ พรเพชร วชิ ติ ชลชยั . (2550). คำอธบิ ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผดิ เกี่ยวกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550. ม.ป.ท. พรทพิ ย์ เย็นจะบก. (2552). ถอดรหสั ลับความคิด เพ่ือการรู้เทา่ ทันสื่อ. กรุงเทพฯ: ออฟเซ็ท ครีเอชน่ั . “พระราชบญั ญัติวา่ ด้วยการกระทำความผิดเก่ยี วกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550.”. ราชกจิ จานเุ บกษา เล่มที่ 124 ตอนที่ 27 ก. วันท่ี 18 มถิ นุ ายน 2550. “พระราชบญั ญัตวิ ่าด้วยการกระทำความผดิ เกีย่ วกบั คอมพวิ เตอร์ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2560”. (2560). ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ที่ 134, ตอนท่ี 10 ก (วันที่ 24 มกราคม 2560): 24-35. พนั ธ์ุทติ ต์ สิรภพธาดา. (2562). DQ ทักษะชีวิตยคุ ดิจิทลั . [ออนไลน์]. Available: www.bizunbox.com/?p=250 เขา้ ถงึ ขอ้ มลู วันท่ี 5 ธันวาคม 2562. พีระ จริ โสภณ และคณะ. (2559). ความรู้เทา่ ทนั การสื่อสารยุคดิจทิ ลั กับบทบาทในการกำหนด แนวทางการปฏิรปู การสื่อสารในสังคมไทย (รายงานผลการวจิ ยั ). กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ธุรกจิ บัณฑติ ย์. พรี วชิ ญ์ คำเจริญ และวีรพงษ์ พลนกิ รกิจ. (2561). เด็กกับการรู้เทา่ ทนั ดจิ ิทัล. วารสารวิชาการ นวัตกรรมสื่อสารสังคม. 6(2(12): หนา้ 22-31. วรพจน์ วงศก์ ิจร่งุ เรือง. (2561). คมู่ อื พลเมืองดิจิทลั . กรงุ เทพฯ: สำนักงานสง่ เสริมเศรษฐกิจดจิ ทิ ัล กระทรวงดจิ ิทลั เพื่อเศรษฐกิจและสังคม.
64 วิโรจน์ สุทธสิ ีมา พมิ ลพรร ไชยนันท์ และ ศิริธร ยุวโกศล. (2562) ตัวบ่งชีก้ ารรู้เท่าทนั สื่อ สารสนเทศ และดิจทิ ลั (MIDL) ระดบั บคุ คลช่วงวันทำงานเพ่อื ส่งเสริมความเปน็ พลเมอื งประชาธิปไตย. วารสารวชิ าการนวัตกรรมสื่อสารสงั คม. 7(1(13)): หน้า 194-202. สรานนท์ อนิ ทนนท.์ (2561). ความฉลาดทางดิจิทัล. ปทุมธานี: นชั ชาวัตน.์ สรานนท์ อินทนนท.์ (2562). การบริหารจดั การเวลาบนโลกดิจทิ ลั . ปทมุ ธานี: วอลค์ ออน คลาวด์. โสภดิ า วรี กุลเทวญั . (2561). เท่าทนั สื่อ: อำนาจในมอื พลเมอื งดิจิทลั . กรงุ เทพฯ: สถาบันส่อื เด็ก และเยาวชน. สุภาภรณ์ เกยี รตสิ ิน. (2562). การเข้าใจดิจิทลั กบั พลเมืองไทย (Digital Literacy in 21st). นนทบุรี: มหาวทิ ยาลัยมหิดล. สำนกั งานกฤษฎกี า. (ม.ป.ป.). ประมวลกฎหมายอาญา [ออนไลน์]. Available: https://library2.parliament.go.th/library/content_law/18.pdf เข้าถงึ ขอ้ มลู วนั ที่ 11 สิงหาคม 2562. สำนักงานคณะกรรมการดจิ ทิ ัลเพื่อเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาต.ิ (2562). นโยบายและแผนระดับชาติ ว่าด้วยการพฒั นาดิจทิ ลั เพื่อเศรษฐกจิ และสังคม (พ.ศ. 2561-2580). กรุงเทพฯ: กระทรวงดิจิทลั เพ่ือเศรษฐกจิ และสังคม. อษุ า บก้ิ กนิ้ ส์. (2555). การรูเ้ ทา่ ทนั สื่อและสารสนเทศ วารสารสุทธปิ รทิ ัศน์. 26(80): หน้า 147-161. Cambridge Dictionary. (2019). Digital Citizenship [online]. Retrieved Sep 26, 2019. From: https://dictionary.cambridge.org/dictionary/english/digital-citizen Mike Ribble. (2015). Passport to Digital Citizenship. ISTE: International Society for Technology in Education. https://www.iste.org/explore/category/digital-citizenship
Search