Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 5 ต้นทุนการผลิต

บทที่ 5 ต้นทุนการผลิต

Published by มณีรัตน์ นุ่มนิ่ม, 2021-02-18 06:57:31

Description: ใบความรู้ บทที่ 5

Search

Read the Text Version

บทที่ 5 ต้นทนุ การผลติ การวเิ คราะห์เรื่องตน้ ทุนการผลิตมีรากฐานมาจากการวเิ คราะห์เรื่องการผลิต ท้งั น้ีเพราะใน การผลิตสินคา้ ผผู้ ลิตไดร้ วบรวมปัจจยั การผลิตจากเจา้ ของปัจจยั การผลิตมาใชใ้ นการผลิต ดงั น้นั จึงตอ้ งจา่ ยค่าผลตอบแทนให้เจา้ ของปัจจยั การผลิตน้นั ๆ ในรูปของค่าเช่า ค่าจา้ ง ดอกเบ้ีย และกาไร ซ่ึงค่าใชจ้ ่ายๆต่างๆท่ีจ่ายใหก้ บั เจา้ ของปัจจยั การผลิตรวมเรียกวา่ ตน้ ทุนการผลิต ต้นทุนการผลติ (Cost of Production) ต้นทุนการผลติ (Cost of Production) หมายถึง ค่าใชจ้ า่ ยตา่ งๆ ที่เกิดข้ึนในการผลิตสินคา้ และบริการในจานวนท่ีตอ้ งการ ตน้ ทุนการผลิตสามารถจาแนกไดห้ ลายแบบ ดงั น้ี ต้นทนุ ทเ่ี ห็นได้ชัด (Explicit Cost) และต้นทุนโดยปริยาย (Implicit Cost) ต้นทนุ ทเ่ี ห็นได้ชัด (Explicit Cost) หมายถึง ตน้ ทุนที่จา่ ยออกไปจริงสามารถบนั ทึกลงใน บญั ชีได้ เช่น ค่าแรงงาน ค่าวตั ถุดิบ คา่ โฆษณา เป็นตน้ ต้นทนุ โดยปริยาย (Implicit Cost) หมายถึง ตน้ ทุนท่ีไมไ่ ดจ้ ่ายออกไปเป็นเงินจริงแต่เป็น ค่าเสียโอกาสท่ีจะใชป้ ัจจยั การผลิตไปทาประโยชน์อื่น เรียกวา่ “ตน้ ทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost)” เช่น ค่าจา้ งตวั เอง หรือคา่ เช่าอาคารของตนเอง ส่ิงเหล่าน้ีถือเป็นตน้ ทุนการผลิตเพราะเจา้ ของ ปัจจยั การผลิตเสียโอกาสไดร้ ับผลตอบแทน ต้นทุนทางบัญชี (Accounting Cost) และต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ (Economics Cost) ต้นทนุ ทางบัญชี (Accounting Cost) หมายถึง ตน้ ทุนท่ีจ่ายออกไปจริงและจดบนั ทึก ลงบญั ชีไว้ ต้นทนุ ทางเศรษฐศาสตร์ (Economics Cost) หมายถึง ตน้ ทุนทุกอยา่ งที่เกิดข้ึนในการผลิต ไม่วา่ จะจ่ายออกไปจริงหรือไมก่ ็ตาม ดว้ ยเหตุน้ี ตน้ ทุนทางเศรษฐศาสตร์จึงสูงกวา่ ตน้ ทุนทางบญั ชี ทาใหก้ าไรทางเศรษฐศาสตร์นอ้ ยกวา่ กาไรทางบญั ชี

-2- ต้นทนุ กบั ระยะเวลา (Cost and Time Period) การผลติ ในระยะส้ัน (Short – Run Period) เป็นการผลิตในระยะเวลาท่ีประกอบดว้ ยปัจจยั คงท่ี (Fixed Factors) และปัจจยั ผนั แปร (Variable Factors) ตน้ ทุนการผลิตในระยะส้นั จึง ประกอบดว้ ยตน้ ทุนคงที่และตน้ ทุนผนั แปร โดยตน้ ทุนคงท่ีจะไมเ่ ปลี่ยนแปลงตามจานวนผลผลิต ส่วนตน้ ทุนผนั แปรจะเปลี่ยนแปลงไปตามจานวนผลผลิต การผลติ ในระยะยาว (Long – Run Period) เป็นการผลิตในระยะเวลาที่ผผู้ ลิตสามารถ เปล่ียนแปลงปัจจยั การผลิตทุกชนิดไดต้ ามตอ้ งการ ดงั น้นั การผลิตในระยะยาวปัจจยั การผลิตทุก ชนิดจะเป็นปัจจยั ผนั แปร ตน้ ทุนการผลิตในระยะยาวจะประกอบดว้ ยตน้ ทุนผนั แปรเพียงอยา่ งเดียว การวเิ คราะห์ต้นทุนในระยะส้ัน (The Short – Run Cost Analysis) การผลิตในระยะส้ันใชป้ ัจจยั การผลิต 2 ชนิดคือ ปัจจยั คงท่ี และปัจจยั ผนั แปร ดงั น้นั ตน้ ทุนการผลิตในระยะส้ันจึงมี 2 ชนิดคือ ตน้ ทุนคงที่ (Fixed Cost) และตน้ ทุนผนั แปร (Variable Cost) สามารถคานวณหาตน้ ทุนชนิดตา่ งๆ ไดด้ งั น้ี ต้นทนุ คงท่ี (Fixed Cost : FC) ตน้ ทุนชนิดน้ีจะมีจานวนคงที่ตลอดไม่วา่ ปริมาณการผลิต จะมากหรือนอ้ ย แมจ้ ะไม่ทาการผลิตเลยก็จะเกิดตน้ ทุนคงท่ี ตน้ ทุนประเภทน้ี เช่น คา่ เสื่อมของ เครื่องจกั ร เป็นตน้ ต้นทนุ ผันแปร (Variable Cost : VC) ตน้ ทุนน้ีจะเปลี่ยนแปลงไปตามจานวนสินคา้ ท่ีผลิต ถา้ ผลิตมากจะเสียตน้ ทุนชนิดน้ีมาก และถา้ ไมผ่ ลิตกไ็ ม่เสียเลย ตน้ ทุนประเภทน้ี เช่น ค่าจา้ งแรงงาน เป็ นตน้ ต้นทุนรวม (Total Cost : TC) เป็นตน้ ทุนท้งั หมดท่ีเกิดข้ึนจากการใชป้ ัจจยั การผลิตชนิด ตา่ งๆ ในการผลิตสินคา้ และบริการจานวนหน่ึง ในระยะส้นั ตน้ ทุนรวมสามารถแสดงไดด้ งั น้ี TC = TFC + TVC

-3- ต้นทุนคงทเ่ี ฉลย่ี (Average Fixed Cost : AFC) เป็นตน้ ทุนคงที่ท้งั หมดเฉลี่ยต่อปริมาณ ผลผลิต 1 หน่วย หรือ AFC  TFC Q ต้นทุนผนั แปรเฉลย่ี (Average Variable Cost : AVC) เป็นตน้ ทุนผนั แปรท้งั หมดเฉลี่ยตอ่ ปริมาณผลผลิต 1 หน่วย หรือ AVC  TVC Q ต้นทุนเฉลยี่ (Average Cost : AC) เป็นตน้ ทุนท้งั หมดเฉล่ียต่อปริมาณผลผลิต 1 หน่วย หรือ AC  TC Q นอกจากน้ียงั สามารถหาไดจ้ าก AC = AFC + AVC ต้นทนุ เพมิ่ หรือต้นทุนหน่วยสุดท้าย (Marginal Cost : MC) เป็นการเปล่ียนแปลงของ ตน้ ทุนรวมเม่ือปริมาณผลผลิตเปล่ียนแปลงไป 1 หน่วย หรือ MC  TC Q เส้ นต้ นทุนในระยะส้ั น ความสมั พนั ธ์ของตน้ ทุนประเภทตา่ งๆ ในการผลิตระยะส้ัน แสดงไดด้ งั น้ี ตน้ ทุน (บาท) TC TC = TVC + TFC TVC = 100 = TFC 0 ผลผลติ (หน่วย) รูปท่ี 6.1 เส้นตน้ ทุนรวม ตน้ ทุนผนั แปร และตน้ ทุนคงท่ี

-4- ตน้ ทนุ (บาท) MC จดุ ต่าสดุ AC AFขCอง AC AVC AFC 0 จุดต่าสดุ ผลผลติ ของ AVC (หน่วย) รูปท่ี 6.2 เส้นตน้ ทุนการผลิตระยะส้ันประเภทตา่ งๆ ความสัมพนั ธ์ระหว่างต้นทนุ ผนั แปรเฉลยี่ กบั ต้นทุนเพมิ่ และต้นทุนเพมิ่ กบั ต้นทนุ เฉลย่ี ความสัมพนั ธ์ระหว่างต้นทนุ ผนั แปรเฉลย่ี (AVC) กบั ต้นทุนเพม่ิ (MC) 1. ตราบท่ี MC มีค่านอ้ ยกวา่ AVC , AVC จะมีค่าลดลงเมื่อผผู้ ลิตขยายการผลิตออกไป 2. ตราบที่ MC มีค่ามากกวา่ AVC , AVC จะมีค่าสูงข้ึนเม่ือผผู้ ลิตขยายการผลิตออกไป 3. MC จะมีค่าเทา่ กบั AVC ณ จุดที่ AVC มีคา่ ต่าสุด ความสัมพนั ธ์ระหว่างต้นทุนเพมิ่ (MC) กบั ต้นทนุ เฉลย่ี (AC) 1. ตราบท่ี MC มีคา่ นอ้ ยกวา่ AC , AC จะมีค่าลดลงเม่ือผผู้ ลิตขยายการผลิตออกไป 2. ตราบที่ MC มีคา่ มากกวา่ AC , AC จะมีค่าสูงข้ึนเม่ือผผู้ ลิตขยายการผลิตออกไป 3. MC จะมีค่าเทา่ กบั AC ณ จุดท่ี AC มีค่าต่าสุด การวเิ คราะห์ต้นทนุ ในระยะยาว (Long – Run Cost Analysis) ในระยะยาวผผู้ ลิตสามารถเปลี่ยนแปลงขนาดการผลิตใหเ้ หมาะสมกบั ท่ีตอ้ งการได้ ปัจจยั ทุกชนิดท่ีใชใ้ นการผลิตเป็ นปัจจยั ผนั แปร ดงั น้นั ตน้ ทุนการผลิตในระยะยาวจึงมีเฉพาะแต่ตน้ ทุน ผนั แปรเทา่ น้นั ต้นทนุ เฉลย่ี ในระยะยาว (Long-Run Average Cost) ในระยะยาวผผู้ ลิตสามารถปรับปรุงขนาดของโรงงานใหเ้ หมาะสมกบั ระดบั ผลผลิตได้ ดงั น้นั จึงสามารถเลือกขนาดของโรงงานท่ีเสียตน้ ทุนเฉล่ียต่าสุดโดยใชว้ ธิ ีการสร้างโรงงานใหมใ่ ห้ ใหญ่กวา่ เดิมหรือสร้างเพิ่มเติมจากโรงงานเดิม

-5- ตน้ ทุน (บาท) LTC 0 ผลผลติ (หน่วย) ตน้ ทุน (บาท) SAC1 SAC2 SAC3 LAC 0 X1 X2 X3 ผลผลติ (หน่วย) รูปท่ี 6.3 เส้นตน้ ทุนเฉลี่ยระยะยาว จากรูปท่ี 6.3 ใหม้ ีโรงงาน 3 ขนาด แตล่ ะขนาดเหมาะสมสาหรับการผลิตระดบั ตา่ งๆ และ แต่ละโรงงานมีตน้ ทุนเฉล่ียระยะส้นั (Short-Run Average Cost : SAC) คือ SAC1 SAC2 และ SAC3 ตามลาดบั ในระยะยาวขนาดของโรงงานที่เหมาะสมในการผลิตจะพจิ ารณาจากปริมาณผลผลิตท่ี ตอ้ งการคือ ถา้ ตอ้ งจานวนผลผลิต OX1 ตอ้ งสร้างโรงงานที่มีขนาดของตน้ ทุน SAC1 เพราะจะเสีย คา่ ใชจ้ า่ ยต่ากวา่ การใชโ้ รงงานในขนาดอ่ืนๆ เป็นตน้ จะเห็นไดว้ า่ ในโรงงานขนาดตา่ งๆ น้นั จะมีอยู่ ขนาดหน่ึงซ่ึงเหมาะสมที่สุด (Optimum Scale of Plant) คือ เสียตน้ ทุนเฉล่ียตอ่ หน่วยต่าสุดเมื่อ เปรียบเทียบกบั โรงงานในขนาดตา่ งๆ ขนาดของโรงงานขนาดที่เหมาะสมน้ีจะอยู่ ณ จุดต่าสุดของ เส้น SAC ที่สมั ผสั กบั จุดต่าสุดของเส้น LAC ดงั น้นั โรงงานท่ีมีตน้ ทุน SAC2 ผลผลิตที่เหมาะสม (Optimum Output) คือ OX2 หรือเส้นตน้ ทุนเฉล่ียในระยะยาว (LAC) ไดม้ าจากเส้น SAC ของ โรงงานขนาดต่างๆ แต่อยา่ งไรกต็ าม ผผู้ ลิตไมจ่ าเป็นจะตอ้ งสร้างโรงงานท่ีมีขนาดเหมาะสมที่สุด และทาการผลิต ณ ระดบั ท่ีเหมาะสม (Optimum Output) น้นั ยกเวน้ ในกรณีท่ีมีการแข่งขนั สมบรู ณ์ (Perfect Competition)

-6- รายรับจากการผลติ (Revenues) การที่ผผู้ ลิตจะเปลี่ยนแปลงการผลิตหรือไม่น้นั จะพิจารณาจากผลการดาเนินการ ถา้ ผลการ ดาเนินการไดร้ ับกาไรกจ็ ะขยายการผลิต ผลการดาเนินการเป็นการเปรียบเทียบระหวา่ งตน้ ทุนและ รายรับจากการผลิต รายรับจากการผลติ (Revenues) คือ รายไดท้ ่ีผผู้ ลิตไดร้ ับจากการขายผลผลิตในราคาท่ี กาหนด ซ่ึงถา้ ราคาสินคา้ สูงข้นึ จานวนสินคา้ ท่ีขายไดม้ ีปริมาณลดลง รายไดจ้ ากการผลิตจะลดลง ดว้ ย และเนื่องจากราคาของสินคา้ ในแตล่ ะระดบั คือ รายรับของผผู้ ลิตจากการขายสินคา้ น้นั ๆ ดงั น้นั ราคาต่อหน่วยสินคา้ ณ ระดบั การขายจะเทา่ กบั รายรับเฉลี่ย (Average Revenue : AR) ของผผู้ ลิต ณ ระดบั การขายนน่ั เอง รายรับรวม รายรับเฉลีย่ และรายรับเพมิ่ รายรับรวม (Total Revenue : TR) หมายถึง รายรับท้งั หมดที่ผผู้ ลิตไดร้ ับจากการขายสินคา้ รายรับรวมหาไดจ้ าก TR = PxQ โดยที่ : P = ราคาสินคา้ ต่อหน่วย Q = ปริมาณสินคา้ ท่ีขายได้ รายรับเฉล่ีย (Average Revenues : AR) หมายถึง รายรับรวมเฉลี่ยต่อจานวนสินคา้ ท้งั หมด ที่ขายได้ รายรับเฉล่ียหาไดจ้ าก AR  TR Q รายรับเพมิ่ (Marginal Revenue :MR) หมายถึง รายรับรวมที่เปล่ียนแปลงไปเม่ือขายสินคา้ เปลี่ยนแปลงไป 1 หน่วย รายรับเพิ่มหาไดจ้ าก MR  TR Q โดยท่ี : TR = ส่วนเปลี่ยนแปลงของรายรับรวม Q = ส่วนเปลี่ยนแปลงของจานวนสินคา้ ท่ีขายได้

-7- ราคา ปรมิ าณ TR AR MR (P) (Q) 10 1 10 10 10 9 2 18 9 8 8 3 24 8 6 7 4 28 7 4 6 5 30 6 2 5 6 30 5 0 4 7 28 4 - 2 รายรบั (บาท) TR 30 25 20 15 เสน้ อปุ สงค์ 10 AR = P 5 AR 0 Q 1 2 3 4 5 6 7 (หน่วย) - 5 MR ความสัมพนั ธ์ระหว่างรายรับรวม รายรับเฉลยี่ และรายรับเพมิ่ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งรายรับรวม (TR) รายรับเฉลี่ย (AR) และรายรับเพ่ิม (MR) สามารถ สรุปไดด้ งั น้ี 1. รายรับเฉลี่ยจะมีค่าลดลงเม่ือขายสินคา้ ไดเ้ พมิ่ ข้ึนและมีคา่ มากกวา่ รายรับเพมิ่ เสมอไมว่ า่ จะ ขายสินคา้ ไดจ้ านวนเท่าใด 2. ในขณะที่รายรับเพิม่ มีค่าเป็นบวก รายรับรวมจะเพมิ่ ข้ึนเม่ือขายสินคา้ ไดเ้ พิ่มข้ึน 3. เมื่อรายรับเพม่ิ มีค่าเป็นศนู ย์ รายรับรวมจะมีคา่ สูงสุด 4. เม่ือรายรับเพิม่ มีค่าเป็นลบ รายรับรวมจะมีค่าลดลงเมื่อขายสินคา้ เพ่มิ ข้ึน 5. ในขณะท่ีรายรับรวมมีค่าเพม่ิ ข้ึน รายรับเฉลี่ยและรายรับเพ่ิมจะมีค่าลดลง ต้นทนุ รายรับ และกาไรสูงสุด กาไร (Profit) หมายถึง ผลต่างระหวา่ งตน้ ทุนการผลิตท้งั หมด (Total Cost) กบั รายรับจากการ ขายผลผลิตท้งั หมด (Total Revenue) เขียนเป็นสมการไดด้ งั น้ี p=TR - TC

-8- โดยที่ :p = กาไร TR = รายรับจากการขายผลผลิตท้งั หมด (Total Revenue) TC = ตน้ ทุนจากการผลิตท้งั หมด (Total Cost) ตน้ ทุนในทางเศรษฐศาสตร์จะคานวณจากรายจ่ายท้งั ท่ีไดจ้ า่ ยจริงและไมจ่ า่ ยจริง หรือรวม ตน้ ทุนคา่ เสียโอกาส (Opportunity Cost) ไวด้ ว้ ยจึงสูงกวา่ ตน้ ทุนทางบญั ชี หรือในทางเศรษฐศาสตร์ ไดร้ วมกาไรปกติ (Normal Profit) ไวใ้ นตน้ ทุนการผลิตดว้ ย ดงั น้นั สามารถสรุปความสัมพนั ธ์ของ รายรับรวม (TR) และตน้ ทุนรวม (TC) ไดด้ งั น้ี - ถา้ รายรับรวม (TR) มีคา่ เท่ากบั ตน้ ทุนรวม (TC) ผผู้ ลิตจะไดร้ ับกาไรปกติ (Normal Profit) - ถา้ รายรับรวม (TR) มีคา่ มากกวา่ ตน้ ทุนรวม (TC) ผผู้ ลิตจะไดร้ ับกาไรเกินปกติหรือกาไร ส่วนเกิน (Excess Profit) ในการผลิตทว่ั ไป ผผู้ ลิตยอ่ มตอ้ งการไดร้ ับกาไรสูงสุด (Maximized Profit) จากการผลิต การที่จะไดร้ ับกาไรสูงสุดจากการผลิตมีวธิ ีพจิ ารณา 2 วธิ ี คือ 1. เปรียบเทียบระหวา่ งค่ารายรับรวม (TR) และคา่ ตน้ ทุนรวม (TC) ท้งั หมดท่ีเกิดข้ึนจากการ ผลิต ปริมาณการผลิตท่ีจะใหก้ าไรสูงสุดคือ ปริมาณการผลิตท่ีทาใหค้ ่ารายรับรวม (TR) มากกวา่ คา่ ตน้ ทุนรวม (TC) มากท่ีสุด 2. เปรียบเทียบจากค่ารายรับเพมิ่ (MR) และค่าตน้ ทุนเพ่ิม (MC) โดยตราบใดท่ีรายรับเพิม่ (MR) มากกวา่ ตน้ ทุนเพิม่ (MC) ผผู้ ลิตจะสามารถขยายการผลิตออกไปไดจ้ นถึงจุดท่ีมีค่าเทา่ กนั เพราะจะไดร้ ับกาไรเพ่มิ ข้ึนจากการขยายการผลิตน้นั บาท TC TR กาไรรวม สูงสุด Q ปรมิ าณ (Q)

-9- บาท MC Q ปรมิ าณ (Q) MR Q TR TC Profit MR MC 0 0 100 - 100 - - 1 70 145 - 75 70 45 2 140 174 - 34 70 29 3 210 193 17 70 19 4 280 207 73 70 14 5 350 225 125 70 18 6 420 250 170 70 25 7 490 283 207 70 33 8 560 326 234 70 43 9 630 380 250 70 54 10 700 450 250 70 70 11 770 540 230 70 90 12 840 652 188 70 112


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook