การสรา้ งคา
การสร้างคาในภาษาไทย คำมูล คอื คำคำเดียวท่ีไม่ไดป้ ระสมกบั คำอ่ืน คำมลู ท่ีมี ลกั ษณะดงั ตอ่ ไปนี้ 1. คำมูลเป็ นพยำงคเ์ ดยี วโดด ๆ จะเป็ นคำมำจำกภำษำใด กไ็ ด้ แตต่ อ้ งเป็ นคำเดยี ว เชน่ ภำษำไทย - พอ่ แม่ หมู หมำ แมว นอ้ ง ภำษำจีน - เกีย๊ ะ เกีย๊ ว เจีย๊ ะ แป๊ ะ ซิม้ ภำษำองั กฤษ - ไมล์ เมตร ปอนด์ ฟตุ
2. ถำ้ เป็ นคำหลำยพยำงค์ เมอ่ื แยกแตล่ ะพยำงคแ์ ล้ว อำจมี ควำมหมำยหรือไม่มคี วำมหมำยกไ็ ด้ แตค่ วำมหมำยของแตล่ ะ พยำงคไ์ มเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ควำมหมำยของคำมลู นนั้ เลย เชน่ กระดำษ ศลิ ปะ กำมะลอ 3. คำมูลคำเดยี วในภำษำไทยอำจมคี วำมหมำยได้หลำย อย่ำง เช่น นกเกำะอยบู่ นก่ิงไมใ้ นเกำะแหง่ หน่งึ พวกเงำะชอบกินลกู เงำะ
ข้อสังเกตคามูล คำมูลหลำยพยำงค์ ควรดวู ำ่ ในคำหลำยพยำงคน์ นั้ มี ควำมหมำยทกุ พยำงคห์ รอื ไม่ ถำ้ มีควำมหมำยบำ้ งไมม่ ีควำมหมำยบำ้ งเป็นคำมลู หลำยพยำงค์ เชน่ มะละกอ = คำมลู 3 พยำงค์ นำฬกิ ำ = คำมลู 3 พยำงค์ มะ = ไม่มีควำมหมำย นำ = มีควำมหมำย ละ = มีควำมหมำย ฬิ = ไมม่ ีควำมหมำย กอ = มีควำมหมำย กำ = มีควำมหมำย
การสร้างคา 1. คำซำ้ 2. คำซอ้ น 3. คำประสม 4. คำสมำส
คาซ้า คำซำ้ คือ คำประสมท่ีเกิดจำกคำสองคำมีเสียงซำ้ กนั รวมกนั เกิดเป็นคำใหม่ มีควำมหมำยใหมซ่ ง่ึ ตำ่ งไปจำกเดิมเลก็ นอ้ ย โดยอำจจะใชเ้ ครอ่ื งหมำยไมย้ มก มีลกั ษณะดงั นี้ ๑. ซำ้ แล้วบอกควำมเป็ นพหพู จน์ เช่น เดก็ ๆชอบขนมหวำน เขำไปเท่ียวกบั เพอื่ นๆ พๆี่ ใหก้ ำรตอ้ นรบั อยำ่ งอบอนุ่ หนุ่มๆกำลงั ว่ิงแข่งกนั
๒. ซำ้ แล้วเน้นคำใหม้ คี วำมหมำยเพม่ิ ขึน้ เช่น เดินดๆี ทำงขำ้ งหนำ้ มืด ถนนล่นื ขบั ช้ำๆ ท่ีน่ีเงยี้ บเงยี บ ควรเลอื กซือ้ ผลไมส้ ดๆ ๓. ซำ้ แล้วลดควำมหมำยใหอ้ ่อนลง เช่น ผำ้ ชิน้ นีส้ ีออกดำๆ กระดำษสเี ขียวๆของใคร เขำตอ้ งกำรเสอื้ สแี ดงๆ
๔. ซำ้ แล้วบอกควำมหมำยไม่แน่นอน เชน่ ตอนเยน็ ๆเขำจะมำหำเธอ บำ้ นฉนั อย่แู ถวๆนี้ ใครๆก็ชอบดลู ะครกนั ทงั้ นนั้ ๕. ซำ้ แล้วควำมหมำยจะแบ่งออกเป็ นส่วนๆ เชน่ นกั เรยี นน่งั เป็นแถวๆ เขำจดั ของเป็นชั้นๆ หนงั สอื นีใ้ หแ้ จกเป็นคนๆ
๖. ซำ้ แล้วควำมหมำยจะเปลี่ยนไป ไม่เกย่ี วกับคำเดมิ เชน่ ฉนั ตง้ั ใจจะทำงำนใหเ้ สรจ็ ไปๆมำๆกไ็ มเ่ สรจ็ ควำมรูแ้ คง่ ๆู ปลำๆจะไปสอู้ ะไรได้ เขำแคพ่ ดู จำสง่ ๆไปอย่ำงนน้ั เอง ขอ้ ควรสังเกต 1.คำทม่ี เี สยี งซำ้ กันบำงครั้งไม่ใช่คำซำ้ ไดแ้ ก่ เขำพดู กนั ไปตำ่ ง ๆ นำนำ ฉนั เหน็ เขำจะจะเลย ทง้ั 2 คำนีเ้ ป็นคำมลู สองพยำงค์ จะไมใ่ ชไ้ มย้ มก 2. คำทม่ี คี วำมหมำยและหน้ำทใ่ี นประโยคตำ่ งกันไม่ใช่คำซำ้ เชน่ เมยก์ ำลงั ใชแ้ ปรงแปรงผำ้ ที่กำลงั ซกั แปรง คำแรกเป็นคำนำม แปรงคำที่สอง เป็นคำกรยิ ำ
คาซ้อน คำซ้อน หมำยถงึ กำรนำเอำคำมลู 2 คำ ท่ีมีควำมหมำย ใกลเ้ คียงกนั ควำมหมำยตรงกนั ขำ้ ม และควำมหมำยตรงขำ้ ม มำซอ้ น กนั คำซอ้ นแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. คำซอ้ นเพอ่ื ควำมหมำย เกิดจำกคำมลู ท่ีมีควำมหมำยอยำ่ ง เดยี วกนั อำจจะแตกตำ่ งกนั เลก็ นอ้ ยหรอื ไปในทำนองเดยี วกนั หรอื ตำ่ งกนั ในลกั ษณะตรงขำ้ ม เม่ือประกอบเป็นคำซอ้ นจะมคี วำมหมำย อยำ่ งใดอยำ่ งหน่งึ ดงั นี้
1. 1 ควำมหมำยอยูท่ ค่ี ำใดคำหน่ึงหรือกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง เช่น หน้ำตำ ปำกคอ ขวญั หนีดีฝ่อ ถว้ ยชำมรำมไห จับไม่ไดไ้ ลไ่ มท่ นั 1.2. ควำมหมำยอยู่ทท่ี กุ คำแตเ่ ป็ นควำมหมำยทกี่ ว้ำงออกไป เช่น เสอื้ ผ้ำ ไม่ไดห้ มำยเฉพำะเสอื้ กบั ผำ้ แตร่ วมถงึ เครอ่ื งนงุ่ ห่ม เรือแพ ไมไ่ ดห้ มำยเฉพำะเรอื กบั แพ แตร่ วมถึงยำนพำหนะทำงนำ้ ทงั้ หมด ข้ำวปลำ ไม่ไดห้ มำยเฉพำะขำ้ วกบั ปลำ แตร่ วมถงึ อำหำรท่วั ไป พนี่ ้อง ไม่ไดห้ มำยเฉพำะพ่กี บั นอ้ ง แตร่ วมถึงญำตทิ งั้ หมด หมูเหด็ เป็ ดไก่ หมำยรวมถึงส่ิงท่ีใชเ้ ป็นอำหำรทงั้ หมด
1.3. ควำมหมำยอยู่ทคี่ ำตน้ กับคำทำ้ ยรวมกัน เช่น เครำะห์ หำมยำมร้ำย ( เครำะหร์ ำ้ ย ) ชอบมำพำกล ( ชอบกล ) ฤกษง์ ำมยำมดี ( ฤกษด์ ี ) ยำกดีมีจน ( ยำกจน ) 1.4. ควำมหมำยอยูท่ คี่ ำต้นหรือคำทำ้ ย ซง่ึ มคี วำมหมำยตรง ข้ำมกนั เช่น ช่วั ดี ( ช่ัวดอี ยำ่ งไรเขำก็เป็นเพ่อื นฉนั ) ผิดชอบ ( ควำมรบั ผิดชอบ ) เท็จจรงิ ( ขอ้ เทจ็ จริง )
2. คำซ้อนเพอื่ เสยี ง คำซอ้ นบำงคำท่ีเขำ้ มำซอ้ นกนั อำจจะไม่มี ควำมหมำยเลย มีควำมหมำยเพียงคำใดคำเดียว เช่น มอมกบั แมม มอม มีควำมหมำย แต่ แมม ไมม่ ีควำมหมำย บำงทีแตล่ ะคำมีควำมหมำย แตค่ วำมหมำยไม่เน่ืองกบั ควำมหมำยใหมเ่ ลย เช่น งอแง งอ หมำยวำ่ คดโคง้ แต่ แง หมำยถงึ เสยี งรอ้ งของเด็ก สว่ นงอแง หมำยวำ่ ไมส่ ู้ เอำใจยำก
คาประสม เกิดจำกควำมตอ้ งกำรคำท่ีมำแทนควำมคิดใหม่ ๆ และควำมตอ้ งกำรใหม่ ๆ เกิดขนึ้ วธิ ีคดิ คำเพ่ิม โดยกำร นำเอำคำมลู ตงั้ แต่ 2 คำขนึ้ ไปมำประสมกนั เรยี กวำ่ คำประสม เกิดเป็นคำใหม่ มีควำมหมำยใหมข่ นึ้ เชน่ พดั ลม เตำรดี ไฟฟำ้ ตเู้ ย็น ลกู คดิ ตำกลอ้ ง ผแู้ ทน เรอื บนิ รถรำง นำ้ อดั ลม ฯลฯ
คาประสมทเี่ กดิ ความหมายใหม่ขนึ้ จะมคี วามสัมพนั ธ์กับ ความหมายเดมิ ในลกั ษณะต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้ 1. ควำมหมำยของคำประสมมีเคำ้ ควำมหมำยเดมิ ของคำ มูลมำรวมกันโดยตรง เชน่ รองเทำ้ ไมแ้ ขวนเสอื้ ไมก้ วำด 2. ควำมหมำยของคำประสมในทำนองเปรียบเทยี บ เช่น หำงเสอื ลกู เสอื หวั แขง็ ปำกแข็ง ปำกกำ และบำงคำเป็นสำนวน เชน่ ยกเมฆ ชกั ดำบ โคมลอย นำ้ พกั นำ้ แรง ลม่ หวั จมทำ้ ย ฯลฯ
3. คำประสมทเ่ี กดิ จำกนำคำมูลทมี่ คี วำมหมำยใกล้เคยี งกัน หรือ ควำมหมำยคล้ำยกันมำซ้อนกันเป็ นคำขึน้ เช่น วอ่ งไว วำ่ กลำ่ ว เหลยี วแล ชำ้ นำน ถอ้ ยคำ ว่งิ เตน้ รูปภำพ เรอื นหอ ฯลฯ 4. นำคำมูลทม่ี คี วำมหมำยกว้ำง ๆ มำประสมกับคำมูลคำอน่ื ๆ ทำให้ เกดิ ควำมหมำยเฉพำะขนึ้ เชน่ ชำว (ยอ่ มำจำกผทู้ ่ีอย่)ู เช่น ชำวบำ้ น ชำวเขำ ชำวเกำะ นกั (ย่อมำจำกผทู้ ่ีกระทำ) เชน่ นกั เรยี น นกั รอ้ ง นกั ดนตรี เครอ่ื ง (ย่อมำจำกส่งิ ท่ีประกอบกนั หรอื ของท่ีเขำ้ สำรบั กนั ) เช่น เคร่อื งยนต์ เคร่อื งจกั ร เครอ่ื งกีฬำ เคร่อื งเขียน
ข้อสังเกตคาประสม 1. คำประสมจะเป็ นวทิ ยำกำรสมัยใหม่ เช่น เตำรดี หมอ้ หงุ ขำ้ วไฟฟำ้ เครอ่ื งปรบั อำกำศ พดั ลม ตเู้ ยน็ เคร่อื งอบผำ้ เคร่อื งซกั ผำ้ เคร่อื งดดู ฝ่นุ ฯลฯ 2. คำประสมเป็ นคำเดยี วกนั จะแยกออกจำกกนั ไมไ่ ด้ ควำมหมำย จะไม่เหมอื นเดมิ เชน่ นำงแบบ รบั รอง มนษุ ยก์ บ คำประสมจะเป็นคำ ใหม่เกิดขนึ้
คาสมาส กำรสรำ้ งคำสมำสในภำษำไทยไดแ้ บบอยำ่ งมำจำกภำษำบำลีและสนั สกฤต โดยนำคำบำลี-สนั สกฤต ตงั้ แตส่ องคำมำตอ่ กนั หรอื รวมกนั ๑. เป็ นคำทมี่ ำจำกภำษำบำลี-สันสกฤตเทำ่ นั้น คำท่มี ำจำกภำษำอ่นื ๆ นำมำประสมกนั ไมน่ บั เป็นคำสมำส ตวั อย่ำงคำสมำส บำล+ี บำลี เชน่ อคั คีภยั วำตภยั โจรภยั อรยิ สจั ขตั ติยมำนะ สันสกฤต+สันสกฤต เชน่ แพทยศำสตร์ วรี บรุ ุษ วรี สตรี สงั คมวิทยำ บำล+ี สันสกฤต, สันสกฤต+บำลี เชน่ หตั ถศกึ ษำ นำฎศลิ ป์ สจั ธรรม
๒. คำทรี่ วมกันแล้วไม่เปลย่ี นแปลงรูปคำแตอ่ ย่ำงใด เช่น วฒั น+ธรรม = วฒั นธรรม สำร+คดี = สำรคดี พพิ ธิ +ภณั ฑ์ = พิพิธภณั ฑ์ กำฬ+ปักษ์ = กำฬปักษ์ ทิพย+เนตร = ทิพยเนตร โลก+บำล = โลกบำล เสร+ี ภำพ = เสรภี ำพ สงั ฆ+นำยก = สงั ฆนำยก
๓. คาสมาสเมื่อออกเสียงต้องต่อเน่ืองกนั เช่น ภมู ิศำสตร์ อำ่ นวำ่ พ-ู มิ-สำด เกียรตปิ ระวตั ิ อำ่ นวำ่ เกียด-ต-ิ ประ-หวดั เศรษฐกำร อำ่ นวำ่ เสด-ถะ-กำน รฐั มนตรี อำ่ นวำ่ รดั -ถะ-มน-ตรี เกตมุ ำลำ อำ่ นวำ่ เก-ต-ุ มำ-ลำ
๔. คาทนี่ ามาสมาสกนั แล้ว ความหมายหลกั อยู่ทค่ี าหลงั ส่วนความรองจะ อยู่ข้างหน้า เช่น ยทุ ธ (รบ) + ภมู ิ (แผน่ ดิน สนำม) = ยทุ ธภมู ิ (สนำมรบ) หตั ถ (มือ) + กรรม (กำรงำน) = หตั ถกรรม (งำนฝีมือ) ครุ ุ (ครู) + ศำสตร์ (วิชำ) = ครุ ุศำสตร์ (วชิ ำครู) สนุ ทร (งำม ไพเรำะ) + พจน์ (คำกลำ่ ว) = สนุ ทรพจน์ (คำกลำ่ วท่ี ไพเรำะ
คาสนธิ คำสนธิในภำษำไทยหมำยถงึ คำท่ีมำจำกภำษำบำลี-สนั สกฤต มำเช่ือมตอ่ กนั ทำใหเ้ สียงพยำงคห์ ลงั ของคำแรกกลมกลืนกนั กบั เสียงพยำงคแ์ รกของคำหลงั ๑. สระสนธิ คอื กำรกลมกลืนคำด้วยเสียงสระ เช่น วทิ ย+อำลยั = วทิ ยำลยั พทุ ธ+อำนภุ ำพ = พทุ ธำนภุ ำพ มหำ+อรรณพ = มหรรณพ นำค+อนิ ทร์ = นำคินทร์ มคั ค+อเุ ทศก์ = มคั คเุ ทศก์ พทุ ธ+โอวำท = พทุ โธวำท รงั สี+โอภำส = รงั สิโยภำส ธน+ู อำคม = ธนั วำคม
๒. พยัญชนะสนธิ เป็นกำรกลมกลนื เสียงระหวำ่ งพยญั ชนะกบั พยญั ชนะ ซ่งึ ไม่ คอ่ ยมีใชใ้ นภำษำไทย เช่น รหสฺ + ฐำน = รโหฐำนมนสฺ + ภำว = มโนภำว (มโนภำพ) ทสุ ฺ + ชน = ทรุ ชน นิสฺ + ภย = นิรภยั ๓. นฤคหติ สนธิ ไดแ้ กก่ ำรเช่ือมคำท่ีขนึ้ ตน้ ดว้ ยนฤคหิตหรอื พยำงคท์ ำ้ ยของคำหนำ้ เป็นนฤคหติ กบั คำอ่ืนๆ เช่น ส + อทุ ยั = สมทุ ยั ส + อำคม = สมำคม ส + ขำร = สงั ขำร ส + คม = สงั คม ส + หำร = สงั หำร ส + วร = สงั วร
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: