ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็นกลละนั้น โดยใหญ่แต่วันละวันแลน้อย คร้ันถึง ๗ วัน เป็นด่ังน้าล้างเนื้อน้ันเรียกว่าอัมพุ ทะ อัมพุทะนั้นโดยใหญ่ไปทุกวารไสร้ ครั้นได้ถึง ๗ วาร ข้นเป็นดังตะก่ัวอัน เช่ือมอยู่ในหม้อเรียกชื่อว่าเปสิ เปสินั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้งถึง ๗ วัน แข็ง เป็นกอ้ นดงั ไข่ไกเ่ รียกวา่ ฆนะ ฆนะน้ันคอ่ ยใหญ่ไปทกุ วนั ครนั้ ถึง ๗ วันเป็นตุ่ม
ออกได้ ๕ แห่งดั่งหูดน้ันเรียกว่าเบญจสาขาหูด เบญจสาขาหูดนั้นเป็นมือ ๒ อัน เป็นตีน ๒ อัน หูดเป็นหัวน้ันอันหนึ่ง แลแต่นั้นค่อยไปเบ้ืองหน้าทุกวัน ครั้นถึง ๗ วันเป็นฝ่ามือ เป็นนิ้วมือ แต่นั้นไปถึง ๗ วัน ค้ารบ ๔๒ จึงเป็นขน เป็นเล็บ ตีนเล็บมือ เป็นเครื่องส้าหรับเป็นมนุษย์ถ้วนทุกอันแล แต่รูปอันมีกลางคนไสร้ ๕๐ แต่รูปอนั มหี ัวได้ ๘๔ แต่รปู อันมีเบ้ืองตา้่ ได้ ๕๐ ผสมรูปทั้งหลายอนั เกดิ เปน็
สตั วอ์ นั อยู่ในท้องแม่ได้ ๑๘๔ แลกุมารนั้นนงั่ กลางท้องแม่ แลเอาหลังมาต่อหนัง ท้องแม่ อาหารอันแม่กินเข้าไปแต่ก่อนนั้นอยู่ใต้กุมารน้ัน อาหารอันแม่กินเข้า ไปใหม่นั้นอยู่เหนือกุมารนั้น เม่ือกุมารอยู่ในท้องแม่น้ันล้าบากนักหนา พึง เกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกล่ินตืดแลเอือนอันได้ ๘๐ ครอก ซ่งึ อยู่ในท้องแมอ่ นั เป็นทเ่ี หมน็ แลทอ่ี อกลกู ออกเตา้ ที่เถ้า ท่ตี ายท่เี รว่ ฝูงตืดแล
เอือนท้ังหลายนั้นคนกันอยู่ในท้องแม่ ตืดแลเออื นฝูงนน้ั เริมตัวกุมารน้นั ไสร้ ดุจ ดังหนอนอันอยู่ในปลาเน่า แลหนอนอันอยู่ในลามกอาจมนั้นแล อันว่าสาย สะดือแห่งกุมารน้ัน กลวงดั่งสายก้านบัวอันมีชื่อว่าอุบล จะงอยไส้ดือน้ันกลวง ข้ึนไปเบื้องบนติดหลังท้องแม่แลข้าวน้าอาหารอันใดแม่กินไสร้ แลโอชารสน้ันก็ เป็นน้าช่มุ เข้าไปในไส้ดือนั้น แลเข้าไปในทอ้ งกุมารนนั้ แล สะหน่อยๆ แลผนู้ อ้ ย
น้ันก็ได้กินทุกค่้าเช้าทุกวัน แม่จะพึงกินเข้าไปอยู่เหนือกระหม่อมทับหัวกุมารน้ัน อยู่ แลลา้ บากนักหนา แต่อาหารอันแม่กนิ กอ่ นไสร้ แลกมุ ารนัน้ อยู่เหนืออาหาร นนั้ เบ้ืองหลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่แลน่ังยองอยู่ในท้องแม่ แลก้ามือทั้งสอง คู้ คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนอื หัวเข่าเมื่อนั่งอยู่นั้นดั่งน้ัน เลือดแลนา้ เหลือง ย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเม่อื แล ดุจด่งั ลงิ เมื่อฝนตกแลน่ังกา้ มือเซาเจา่ อยใู่ น
โพรงไม้นั้นแล ในท้องแม่น้ันร้อนหนักหนาดุจดั่งเราเอาใบตองเข้าจ่อตน แลต้ม ในหม้อนั้นไสร้ สิ่งอาหารอันแม่กินเข้าไปในท้องนั้นไหม้และย่อยลง ด้วยอ้านาจ แห่งไฟธาตุอันร้อนน้ัน ส่วนตัวกุมารน้ันบมิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญ กุมารน้ันจะเป็นคนแลจึงให้บมิไหม้บมิตายเพ่ือด่ังนั้นแล แต่กุมารนั้นอยู่ในท้อง แม่ บห่ อ่ นได้หายใจเขา้ ออกเสียเลย บห่ อ่ นได้เหยยี ดตีนมอื ออกดง่ั เราท่านท้ัง
นสี้ ักคาบหน่ึงเลย แลกุมารน้ันเจ็บเน้ือเจ็บตนด่ังคนอันท่านขังไวใ้ นไหอันคับแคบ นักหนา แค้นเน้ือแค้นใจ แลเดือดเน้ือเดือดใจนักหนา เหยียดตีนมือบมิได้ดั่ง ท่านเอาใส่ไว้ในท่ีคับ ผิแลว่าเม่ือแม่เดินไปก็ดี นอนก็ดี ฟ้ืนตนก็ดี กุมารอยู่ใน ท้องแม่นน้ั ใหเ้ จ็บเพียงจะตายแล ดุจด่ังลูกทรายอันพึ่งออกแล อยู่ธรห้อย ผิบม่ ี ดจุ ดังคนอนั เมาเหล้า ผบิ ่มดิ ุจดง่ั ลูกงูอนั หมองเู อาไปเล่นนัน้ แล อันอยู่ล้าบาก
ยากใจดุจดั่งนั้น บ่มิได้ล้าบากแต่ ๒ วาร ๓ วารแลจะพ้นได้เลย อยู่ยากแล ๗ เดือน ลางคาบ ๘ เดือน ลางคน ๙ เดือน ลางคน ๑๐ เดือน ลางคน ๑๑ เดือน ลางคนค้ารบปหี น่ึงจงึ คลอดก็มแี ล คนผู้ใดอยูใ่ นทอ้ งแม่ ๖ เดือน แลคลอดนนั้ บ่ห่อนจะได้สักคาบ คนผู้ใด อยใู่ นทอ้ งแม่ ๗ เดือนแลคลอดนั้น แมเ้ ลย้ี งเป็นคนกด็ ี บ่ มไิ ดก้ ล้าแข็ง บม่ ิทน
แดดทนฝนได้แล คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดน้ัน เม่ือคลอดออกตนกุมารนั้นร้อน เม่ือมันอยู่ในท้องแม่น้ันย่อมเดือดเนื้อร้อนใจแลกระหนกระหาย อีกเนื้อแม่นั้นก็ พลอยร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่สวรรค์ลงมาเกิดนน้ั เมื่อจะคลอดออก ตนกุมาร นั้นเย็น เย็นเนื้อเย็นใจ เม่ือยังอยู่ในท้องแม่น้ัน อยู่เย็นเป็นสุขส้าราญบานใจ แลเนอ้ื แม่นั้นกเ็ ยน็ ด้วยโสด คนผอู้ ยูใ่ นทอ้ งแมก่ ด็ ี เมอ่ื ถงึ จักคลอดน้ันก็ดี ด้วย
กรรมนน้ั กลายเป็นลมในท้องแม่สิ่งหนึง่ พัดให้ตัวกุมารน้นั ข้ึนหนบน ให้หัวลงมา สู่ท่ีจะออกน้ัน ดุจด่ังฝูงนรกอันยมบาลกุมตีนแลหย่อนหัวลงในขุมนรกน้ัน อันลึก ได้แลร้อยวานั้น เม่ือกุมารนั้นคลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตน เย็นน้ันแลเจ็บเน้ือเจ็บตนนักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชักท่านเข็นออกจากประตู ลักษอันนอ้ ยนัน้ แลคบั ตวั ออกยากล้าบากนน้ั ผบิ ่มดิ ่ังนั้น ดัง่ คนผู้อยู่ในนรกแล
ภูเขาอันชื่อคังไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบ้ีน้ันแล คร้ันออกจากท้องแม่ไสร้ ลม อันมีในท้องผู้น้อยค่อยพัดออกก่อน ลมอันมีภายนอกน้ันจึงพัดเข้าน้ัน นักหนา พัดเข้าถึงต้นล้ินผู้น้อยจึงอย่า คร้ันออกจากท้องแม่ แต่นั้นไปเมือหน้ากุมารน้ัน จึงรู้หายใจเข้าออกแล ผิแลคนอันมาแต่นรกก็ดี มาแต่เปรตก็ดี มันค้านึงถึง ความอนั ลา้ บากน้นั ครน้ั ว่าออกมากร็ อ้ งไหแ้ ล ผแิ ลคนผู้มาแตส่ วรรค์ แลคา้ นึง
ถึงความสุขแต่ก่อนนั้น คร้ันว่าออกมาไสร้ ก็ย่อมหัวร่อก่อนแล แต่คนผู้มาอยู่ ในแผ่นดินนี้ทั่วท้ังจักรวาลอันใดอันอ่ืนก็ดี เมื่อแรกมาเกิดในท้องแม่กด็ ี เมื่ออยู่ใน ท้องแม่กด็ ี เม่ือออกจากท้องแม่ก็ดี ในกาลท้ัง ๓ น้นั ย่อมหลงบ่มิได้ค้านึงรู้อนั ใด สักส่ิง ฝูงอันมาเกิดเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้า ก็ดี แลมาเปน็ พระองค์อัครสาวกเจ้าก็ดี เมอ่ื ธ แรกมาเอาปฏสิ นธินั้นกด็ ี เมอ่ื ธ
อยใู่ นทอ้ งแม่นัน้ กด็ ี แลสองส่ิงนเ้ี ม่ืออยู่ในท้องแม่นั้นบ่ห่อนจะรู้หลง แลยังคา้ นงึ รู้อยู่ทุกอัน เม่ือจะออกจากท้องแม่วันน้ันไสร้จึงลมกรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อย นั้นลงมาสู่ท่ีจะออก แลคับแคบแอ่นยันนักหนา เจ็บเน้ือเจ็บตนล้าบากนักด่ัง กล่าวมาแต่ก่อน แลพลิกหัวลงบ่มิได้รู้สึกสักอัน บ่เร่ิมดั่งท่านผู้จะออกมาเป็น พระปัจเจกโพธิเจ้ากด็ ี ผู้จะมาเกิดเปน็ ลกู พระพุทธเจ้าก็ดี ค้านงึ รสู้ ึกตนแลบ่มิ
หลงแต่สองสิ่งนี้คือ เม่ือจะเอาปฏิสนธิแลอยู่ในท้องแม่นั้นได้แล เม่ือจะออกจาก ท้องแม่น้ันย่อมหลงดุจคนทั้งหลายนี้แล ส่วนว่าคนท้ังหลายน้ีไสร้ย่อมหลงท้ัง ๓ เมื่อ ควรอิ่มสงสารแล
สรุป ลา้ ดับการก้าเนดิ ของมนษุ ย์ ในไตรภมู พิ ระร่วง เรมิ่ จาก ปฏิสนธิ = กลละ ๗ วนั = อมั พทุ ะ ๑๔ วัน = เปสิ ๒๑ วนั = ฆนะ ๒๘ วัน = เบญจสาขาหดู ๓๕ วัน = มฝี า่ มือ น้วิ มือ ลายน้ิวมือ ๔๒ วนั = มขี น เลบ็ มือ เลบ็ เทา้ (เป็นมนษุ ยค์ รบสมบูรณ)์
รปู ของสตั วเ์ กิดในครรภ์ รูปของสตั วเ์ กดิ ในครรภม์ ี ๑๘๔ รูป คอื • สว่ นกลาง (ตัง้ แต่คอถึงสะดอื ) มี ๕๐ รปู • รูปส่วนบน (ต้ังแต่คอถึงศีรษะ) มี ๘๔ รูป • รูปส่วนเบ้อื งตา่้ (ตงั้ แตส่ ะดอื ถงึ ฝา่ เทา้ ) มี ๕๐ รปู
การคลอด •ทารกอยใู่ นครรภต์ ง้ั แต่ ๗ – ๑๒ เดอื นจงึ คลอด •ทอ้ ง ๖ เดือนคลอด ทารกน้นั ไมร่ อด (บ่ห่อนไดส้ ักคาบ) •ท้อง ๗ เดอื นคลอด ทารกนน้ั ไม่แข็งแรง (บ่มิไดก้ ล้าแขง็ )
การเกดิ •มาจากสวรรค์ -> ตัวเย็นท้ังทารกและแม่ ออกมาแลว้ หัวเราะ •มาจากนรก -> ตัวร้อนทง้ั ทารกและแม่ ออกมาแลว้ รอ้ งไห้ •ลมกรรมชวาต = ลมเกดิ แต่กรรม เบง่ พัดใหศ้ ีรษะเด็กลงส่ทู ี่คลอด
กาลทั้ง ๓ ของมนษุ ย์ •กาล ๑ แรกเกดิ ในทอ้ งแม่ กาล ๒ อยู่ในทอ้ งแม่ กาล ๓ ออกจากในทอ้ งแม่ •คนธรรมดา ไม่ รู้ตวั จ้าไมไ่ ดท้ ้ัง ๓ กาล •พระปัจเจกโพธิเจา้ /พระอรหันตาขีณาสพเจ้า/พระอัครสาวกเจ้า ๒ กาลแรกร้ตู วั จา้ ได้ แตล่ มื กาลท่ี ๓ •ควรอ่ิมสงสารแล = ควรหยุดเวยี นว่ายตายเกิด (วฏั สงสาร) ควรทา้ นพิ พานให้แจง้
คณุ คา่ งานประพนั ธ์
๑. คณุ คา่ ด้านวรรณศลิ ป์ •เป็นร้อยแกว้ ท่มี ีสัมผสั คล้องจองกัน เหน็ ความงามของภาษา •มีการใช้โวหารภาพพจน์เชิงอปุ มา ท้าใหเ้ กดิ จินตภาพทีช่ ัดเจน
๒. คณุ คา่ ด้านสงั คม •ด้านศาสนา มีการใช้หลักปรัชญาทางพุทธศาสนา ช้ีให้เห็นถึงวัฏสงสาร คอื การเกิด เพอ่ื ช้ีนา้ ใหค้ นทา้ ความดี
๒. คณุ คา่ ด้านสงั คม •ด้านวิทยาศาสตร์ มีการอธิบายการเกิดของมนุษย์ ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ เช่น แรกปฏิสนธิ อยู่ในครรภ์มารดา ทารกจะเป็นกลละ ซ่ึงหมายถึง เซลล์ (CELL) เปน็ ตน้
๓. ด้านประเพณีและวฒั นธรรม •ความคิดความเชื่อที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วง ได้ตกทอดอยู่ในประเพณีและ วัฒนธรรมของคนไทยในสังคมปัจจุบัน เช่น การจัดดอกไม้ธูปเทียนใส่มือผู้ตาย ก่อนปดิ ฝาโลง เพอ่ื ใหผ้ ้ตู ายไปบูชาพระจุฬามณีในสวรรคช์ ั้นดาวดงึ ส์ วัดหนองโนเหนือ
๓. ด้านประเพณีและวัฒนธรรม •ความคิดเรื่องแผนภูมิจักรวาล นรก สวรรค์ พรหม และนิพพาน กอ่ ให้เกิดผลงานด้าน จติ รกรรม และสถาปัตยกรรมทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น มิสกวัน ปารสุ กวัน จิตรลดา เป็นชื่อสวนของพระอินทร์ ดุสิตเป็นช่ือสวรรค์ช้ันหน่ึงในสวรรค์หกช้ัน สอดคล้องกับ ความเชอ่ื ว่าพระมหากษตั รยิ เ์ ป็นสมมติเทพ วัดเชียงทอง ลาว วัดสระเกศราชวรมหาวหิ าร
พ.ศ. 2551 พระเมรุสมเด็จพระเจา้ พ่นี างเธอ ดา้ นสถาปตั ยกรรม : ศลิ ปะการตกแตง่ พระเมรมุ าศ เจา้ ฟา้ กัลยาณวิ ฒั นา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครนิ ทร์ พ.ศ. 2555 พระเมรุสมเด็จพระเจา้ ภคนิ เี ธอ เจา้ ฟา้ เพชรรัตนราชสดุ า สริ ิโสภาพณั ณวดี พ.ศ. 2560 พระเมรุมาศพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช
ศาสนสถาน : วดั ป่าสว่างบญุ อ. แก่งคอย จ. สระบุรี ศาสนสถาน : เจดยี เ์ จดีย์มญาเธียรดาร ประเทศพมา่ สถานทที่ ่องเท่ียว : เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ ด้านจิตรกรรม : ภาพเขียน ฝาผนังหลังพระแกว้ มรกต
ภาระงานกลุ่ม กลุม่ ละ ๔ - ๖ คน •จดั ท้าใบความรไู้ ตรภมู ิพระร่วง (ไตรภมู กิ ถา เตภูมกิ ถา) ตอน มนุสสภูมิ ใชก้ ระดาษแข็ง ขนาดเอ ๔ ทัง้ หนา้ และหลงั พรอ้ มทงั้ หุ้มด้วยสติก๊ เกอรพ์ ลาสตกิ ในประเด็นต่อไปนี้ ๑. ผู้แตง่ ๒. แนวคิดของเรอื่ ง/แนวคดิ ของตอนนี้ ๓. ล้าดบั การกา้ เนิดของมนษุ ย์ ในไตรภูมพิ ระร่วง เปรียบเทยี บกับข้ันตอนตามค้าอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ๔. การคลอด/การเกดิ /กาลท้งั 3 ของมนษุ ย์ ๕. คณุ ค่างานประพนั ธ์ (ให้สรปุ จากหนังสือแบบเรียน) ๖. หารูปประกอบและตกแตง่ ใหส้ วยงาม (SEARCH PREGNANCY AND BIRTH)
แนวข้อสอบ
•1. ขอ้ ใดแสดงให้เหน็ ว่าผแู้ ตง่ เรือ่ งไตรภูมิพระร่วงเข้าใจเรื่องกา้ เนิดของมนุษยอ์ ย่าง ความคดิ ทางวิทยาศาสตร์ ก. ฝูงตดื แลเอือนท้ังหลายนน้ั คนกนั อยูใ่ นทอ้ งแม่ ตดื แลเออื นฝงู น้นั เริมตัวกมุ ารนัน้ ไสร้ ข. ผวิ รปู อนั จะเกิดเปน็ ชายก็ดเี ปน็ หญงิ ก็ดี เกิดมีอาทแิ ต่เกิดเป็นกลละนน้ั โดยใหญแ่ ต่ ละวันแลน้อย ค. เมื่อกุมารอย่ใู นทอ้ งแมน่ ้นั ล้าบากหนักหนา พงึ เกลยี ดพึงหน่ายพน้ ประมาณนัก กช็ ้นื แลเหม็นกล่นิ ตดื แลเออื นอนั ได้ 80 ครอก ง. ด้วยอา้ นาจแห่งไฟธาตอุ นั รอ้ นนัน้ ส่วนตัวกุมารน้นั บ่มิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดา ด้วยบุญ กมุ ารน้ันจะเปน็ คนแล
•2. ข้อใดคอื จดุ มงุ่ หมายของเรอื่ ง “ไตรภูมพิ ระรว่ ง” ก. เพื่อสะท้อนภาพชวี ิตของคนสมัยสุโขทยั ข. เพื่อสอนธรรมะของพระพทุ ธเจ้า ค. เพื่อสอนธรรมะแกป่ ระชาชนชาวสโุ ขทัยและเป็นการเผยแผท่ างพระพุทธศาสนา ง. เพอื่ ช้ีนา้ ให้มนษุ ย์หาทางหลุดพ้นไปจากโลกท้งั สามและไปอยูใ่ นโลกและภพภมู ทิ ี่ มีความสขุ นิรันดร
•3. ขอ้ ใดคือแนวคิดส้าคญั ของไตรภมู พิ ระร่วง ตอน มนุสสภมู ิ ก. การเกิดเปน็ มนษุ ยเ์ ป็นความทุกข์อยา่ งยิ่ง ข. การเกิดของมนุษย์ตามแนวคดิ ทางด้านวิทยาศาสตร์ ค. มนุษยเ์ กิดมาดว้ ยความยากล้าบากและมที มี่ าต่างๆ กัน ง. มนุษยเ์ มอ่ื แรกเกิดเป็นเพียง “กลละ” หรอื เซลล์ที่มขี นาดเลก็
•4. ขอ้ ใดรวมเรียกว่า “ไตรภมู ิ” ก. สวรรคภูมิ มนุสสภูมิ นรกภมู ิ ข. กามภมู ิ รปู ภูมิ อรูปภูมิ ค. โลกมนุษย์ สวรรค์ บาดาล ง. สุคตภิ มู ิ ทุคติภมู ิ ฉกามาพจร
•5. สถานที่ใดจัดวา่ เป็นดนิ แดนของผู้มบี ญุ ก. อุตตรกรุ ทุ วปี ข. ชมพูทวปี ค. อมรโคยานทวีป ง. บรุ พวิเทหทวีป
•6. “......แตก่ ุมารนน้ั อยใู่ นทอ้ งแม่ บ่ ห่อนจะได้หายใจเขา้ ออกเสยี เลย บ่ ห่อนไดเ้ หยียด ตีนเหยยี ดมอื ออกด่งั เราทา่ นทง้ั หลายน้สี กั คาบหน่ึงเลยแลกุมารนัน้ เจ็บเนื้อเจ็บตนดงั่ คน อนั ทา่ นขังไวใ้ นไหอนั คับแคบหนักหนา แคน้ เนื้อแคน้ ใจ แลเดอื ดเน้ือเดือดใจนกั หนา.....” ลักษณะใดไม่ปรากฏในข้อความขา้ งตน้ ก. การใชโ้ วหารภาพพจน์ ข. การพรรณนาใหก้ ลวั บาปกรรม ค. การใช้ค้าที่เป็นจงั หวะนา่ ฟัง ง. การซ้าค้า ซอ้ นค้าและการใชว้ ลีซ้า ๆ เพอื่ เน้นความหมาย
•7. ขอ้ ใดเรยี งล้าดับก่อน – หลงั เก่ยี วกับขั้นตอนการเกดิ ของมนุษย์ไดถ้ ูกตอ้ ง ก. กลละ ฆนะ เปสิ อมั พทุ ะ ข. อมั พุทะ เปสิ ฆนะ กลละ ค. กลละ อัมพุทะ เปสิ ฆนะ ง. อัมพทุ ะ ฆนะ กลละ เปสิ
•8. “......เม่อื กุมารอยู่ในท้องแม่นน้ั ลา้ บากนกั หนา พึงเกลยี ดพึงหน่ายพ้น ประมาณนกั กช็ ืน้ แลเหมน็ กลิ่นตืดแลเอือน.....” คา้ วา่ “เออื น” ใน ข้อความขา้ งตน้ น้ี มีความหมายตามข้อใด ก. พยาธชิ นดิ หน่ึง ข. น้าเหลอื ง ค. เลือด ง. สะอิดสะเอยี น
•9. ขอ้ ใดเด่นท่ีสุดในการใช้ค้าท่ีแสดงความเคลือ่ นไหวเพอื่ ส่อื ใหเ้ กิดจินตภาพ ก. ในทอ้ งแม่น้ันรอ้ นนักหนา ดุจดงั เราเอาใบตองเขา้ จ่อตน แลตม้ ในหมอ้ นั้นไสร้ ข. มปี ากอันแดงด่งั ลูกฟักขา้ วอนั สกุ น้ัน แลมลี ้าแขง้ ล้าขาน้ันงามดง่ั ล้ากลว้ ยทอง ฝาแฝดนัน้ แล ค. อีกฝงู เทวาฟ้าฝนนัน้ กต็ กชอบฤดูกาล บ่มิน้อย บ่มมิ าก ท้ังข้าวในนาท้ังปลาใน น้าก็บห่ ่อนรู้ร่วงโรยเสียไปด้วยฝนแลง้ เลย ง. ฝงู ยมบาลเอาเชอื กเหล็กแดงอนั ลุกเป็นไฟไลก่ ระหวัดรดั ตวั เขา แลว้ ตระบิดให้ คอเขานั้นขาดออก
•10.“.....แลมีฝงู ผหู้ ญิงอันอยูใ่ นแผ่นดินน้ันงามทุกคน รูปทรงเขานั้น บ่มติ า บ่มิสูง บ่มิพี บ่มิผอม บ่มิขาว บ่มิด้า สีสมบูรณ์ งามดังทองอันสุกเหลืองเรืองเป็นที่พอใจฝูงชายทุก คน แลนิว้ตีนน้ิวมือเขาน้ันกลมงามนะแน่ง เล็บตีนเล็บมือเขานั้นแดงดั่งน้าครั่งอันท่าน แต่งแล้วแลแต้มไว้ แลสองแก้มเขาน้ันไสร้ งามเปน็ นวลด่งั แกล้งเอาแป้งผัด หน้าเขาน้ัน หมดเกล้ียงปราศจากมลทินหาฝ้าหาไฝบ่มิได้ แลเห็นดวงหน้าเขาไสร้ดุจด่ังพระจันทร์ วนั เพ็งบูรณ์นน้ั .....” “แผน่ ดินนัน้ ” ในขอ้ ความข้างต้นนห้ี มายถงึ แผ่นดนิ ใด ก. สวรรค์ชัน้ ดาวดึงส์ ข. สวรรค์ชนั้ โสฬส ค. อุตตรกรุ ทุ วปี ง. ปา่ หมิ พานต์
เฉลยข้อสอบ 1. ข. 2. ข. 3. ก. 4. ข. 5. ก. 6. ก. 7. ค. 8. ก. 9. ง. 10. ค.
Search
Read the Text Version
- 1 - 43
Pages: