วิชาประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ใบความรู้ เรื่อง การตีความหลักฐาน Interpretation Of Evidence ผู้สอน นางสาวพนั ดดา รามณรงค์ รหัสนั กศึกษา 6181116024
ความหมายของการตีความหลักฐาน การทำความเข้าใจว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้ข้อมูลอะไรและข้อมูลนั้น มีความหมายว่าอย่างไร เป็นการอธิบายข้อเท็จจริงที่พบ ในหลักฐานนั้น ๆ การตีความหลักฐานทำให้ได้ข้อมูลที่เชื่อถือได้สำหรับนำไปสรุปสังเคราะห์ เป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ในอดีตที่ใกล้เคียงกับที่เกิดขึ้นจริงมากที่สุด ขั้นตอนของการตีความหลักฐาน 1. การตีความขั้นต้น เป็นการตีความตามตัวอักษรว่าหลักฐานนั้นบอกอะไรได้บ้าง เช่น มีอะไรเกิดขึ้น ใครทำให้เกิดหรือเกิดขึ้นกับใคร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ดังตัวอย่างเช่น ศิลาจารึกวัดจุฬามณี “...ขณะนั้นเอกราชสามเมือง คือ พระญาล้านช้าง แลมหาราชพระญาเชียงใหม่ แลพระญาหงษาวดี ชมพระราชศรัทธาก็แต่งเครื่องอัฐบริขารให้มาถวาย...” จากตัวอย่างที่ยกมาตีความขั้นต้นได้ว่า เมืองทั้งสามเมืองนี้ขณะนั้นมีการ ติดต่อสัมพันธ์ กับกรุงศรีอยุธยาจึงส่งของมาร่วมทำบุญ
ขั้นตอนของการตีความหลักฐาน 1. การตีความขั้นต้น ผู้ตีความควรมีพื้นฐานความรู้ในเรื่องต่อไปนี้ 1.1 ความรู้ด้านภาษา โดยภาษา ถ้อยคำ และสำนวนโวหาร เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เป็นหน้าที่ ของผู้ศึกษาประวัตศาสตร์ที่ต้องพยายามทำความเข้าใจให้ได้อย่างถูกต้อง 1.2 ความเข้าใจในสภาพแวดล้อมของช่วงเวลาที่มีการสร้างหลักฐาน สภาพแวดล้อม ในที่นี้หมายถึง ทัศนคติ ค่านิยม ขนบธรรมเนียม ภาวะทางเศรษฐกิจ และสังคมในสมัยที่มีการสร้างหลักฐาน จะทำให้เราเข้าใจในเจตนาของผู้ที่สร้างหลักฐาน 1.3 ข้อมูลที่เกี่ยวข้องครบถ้วน ต้องมีพื้นฐานความรู้และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราจะตีความทั้งนี้เพื่อที่ จะนำข้อมูลที่เรามีเป็นพื้นฐานมาเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริงที่เราตีความได้ให้ได้ ข้อมูลที่ถูกต้องมากที่สุด
ขั้นตอนของการตีความหลักฐาน 2. การตีความขั้นลึก เป็นการตีความเพื่อหาข้อมูลที่ผู้บันทึกหลักฐานไม่ได้บอกไว้ตรง ๆ แต่มีแอบแฝงอยู่ในหลักฐานนั้น ดังตัวอย่างเช่น ประชุมพงศาวดาร เล่ม 40 ภาค 65–66 เรื่อง พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) “...วันอาทิตย์ เดือน 3 ขึ้น 5 ค่ า เพลาเช้า 3 โมงเศษ เสด็จออก ณ พระตำหนัก สวนมะม่วง จมื่นสรรเพ็ชญ์ภักดีกราบทูลว่า ขุนอินทรไกลาศ นายสา ปี่ พากย์ นายน้อย ชินะ คบกันลอบลักทำเงินตอกตราพดด้วงให้ผิดด้วยพระราชกำหนด พิจารณาเป็นสัจแล้วให้ประหารชีวิต เสียบไว้หน้าบ้านระแหง...” จากตัวอย่างที่ยกมาตีความได้ว่า ในสมัยธนบุรีผู้ที่กระทำผิดนั้นมีโทษสถานร้ายแรง โดยเฉพาะการผิดพระราชกำหนด ซึ่งสามารถตีความขั้นลึกได้อีก จะเห็นว่าในสมัยธนบุรี เศรษฐกิจยังคงอยูในช่วงฟื้ นฟู การกระทำที่ผิดต่อบ้านเมืองและขัดต่อการฟื้ นเศรษฐกิจ ถือเป็นโทษที่ร้ายแรงที่สุด ภาพไพร่สมัยอยุธยา ที่มา : http://siripornww.blogspot.com/2018/02/blog-post_76.html
ข้อปฏิบัติในการตีความหลักฐาน ตีความในขอบเขตของหลักฐาน ไม่ตีความเกินหรือนอกเหนือจากหลักฐาน ตีความด้วยใจเป็นกลาง ตีความตามยุคสมัย ไม่ตีความไปตามความเชื่อ ของหลักฐาน ของตน หรือตีความเข้าข้าง ฝ่ายที่ตนชอบ ไม่เอาปัจจุบันไปตัดสินอดีต เพราะต่างเวลา ต่างสถานที่ ต่างบุคคล ต่างวัฒนธรรมกัน
ลักษณะของข้อมูลที่ได้จากการตีความหลักฐาน ข้อมูลที่ได้มาจากการตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มีทั้งส่วนที่เป็นความจริง ข้อเท็จจริง และความคิดเห็น 1. ความจริง คือ สิ่งมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะ มีหลักฐานยืนยันแน่นอนจนปราศจากข้อสงสัย เช่น พระนเรศวรทรงเป็นผู้ประกาศ อิสรภาพให้แก่กรุงศรีอยุธยาเป็นความจริงที่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ความจริงทางวิทยาศาสตร์ หรือปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติเห็นได้ชัดเจน เช่น ดวงอาทิตย์ขึ้นทาง ทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก 2. ข้อเท็จจริง คือ ความคิด ความเชื่อ หรือข้อมูลที่ต้องการหลักฐานมายืนยันเพื่อพิสูจน์ หาความ จริง ข้อเท็จจริงต่างกับความจริง เพราะสิ่งที่เป็นความจริงไม่มีหลักฐานอื่นใดที่จะทำให้ ความจริงนั้นเปลี่ยนแปลงนั้น แต่ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีหลักฐานที่ดีกว่าหลัก ฐานเดิมมาสนับสนุน 3. ความคิดเห็น เป็นสิ่งที่เกิดจากประสบการณ์ ทัศนคติ ค่านิยม อารมณ์ความรู้สึกของบุคคล แล้วแสดงออกมาให้ปรากฏเป็นคำพูดหรือข้อเขียน ซึ่งอาจมีหรือไม่มีหลักฐานประกอบ ก็ได้ เช่น ความคิดเห็นของผู้เขียนบทความในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์ หนึ่งยอมแตกต่างกัน แล้วแต่มุมมองของผู้เขียน ข้อมูลที่ได้จากการตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์ล้วนเป็นประโยชน์ ต่อการศึกษาวิเคราะห์เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เพราะหลักฐานทุกชิ้นต่างให้ ข้อมูลทั้งที่เป็นความจริง ข้อเท็จจริง ความคิด หรือ ข้อสันนิษฐานรวมอยู่ด้วย
ความสำคัญของการตีความหลักฐาน 1. เพื่ออธิบายเรื่องราวที่ปรากฎในหลักฐาน เพราะหลักฐานที่ใช้ศึกษาค้นคว้าอาจเขียนโดยกล่าวถึงบุคคลหรือสถานที่ หรือเหตุการณ์ไว้สั้น ๆ ซึ่งบุคคลทั่วไปอาจไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดจึงจำเป็นต้องมี คำอธิบาย 2. เพื่อตีความ วิเคราะห์ความสำคัญของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ 3. เพื่อวิพากษ์หรือวิจารณ์หลักฐานว่ามีความเที่ยงตรงไม่ลำเอียง เพราะหลักฐานที่มีการจดบันทึกกันไว้หลากหลายโดยเฉพาะผู้ที่เสียผลประโยชน์ ย่อมไม่พอใจหรือบุคคลต่างชาติอาจมีมุมมองจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน 4. ช่วยอธิบายความถูกผิดของหลักฐานได้ เพราะหลักฐานอาจมีการเขียนข้อมูลผิดเช่นรับรู้มาผิดจดบันทึกผิดเข้าใจผิด 5. เพื่ออธิบายหลักฐานให้เข้าใจง่ายขึ้น เช่นเกี่ยวกับตัวบุคคลสถานที่เป็นต้น
ตัวอย่างการตีความหลักฐาน ศิลาจารึกวัดจุฬามณี คำอ่าน ลุ (จุล) ศักราช ๘๒๖ ปีวอกนักษัตร อันดับนั้น สมเด็จพระรามาธิบดีศรี บรมไตรโลกนารถบพิตร เป็นเจ้า ให้สร้างอารามจุลามณี ที่จะเสด็จออกทรงมหาภิเนษกรมณ์ ขณะนั้นเอกราชสามเมือง คือ พระญาล้านช้าง แลมหาราชพระ-ญาเชียงใหม่ แลพระญาหงษาวดีชมพระราชศรัทธาก็แต่งเครื่อง อัฐบริขารให้มาถวาย ที่มา: ประชุมพงศาวดารฉบับกาญจนาภิเษก เล่ม 3, หน้า 197. จากตัวอย่างที่ยกมาตีความได้ว่า – สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างวัดจุลามณี (จุฬามณี) ในจุลศักราช 826 (พ.ศ. 2007) ความจริง – วัดที่สร้างนี้จะเป็นที่ทรงพระผนวชของพระองค์ ข้อเท็จจริง – กษัตริย์ล้านช้าง เชียงใหม่ และหงสาวดีชื่นชมพระราชศรัทธาและส่งเครื่องอัฐบริขารมาร่วมทำบุญ ความจริง สรุปการตีความหลักฐาน การตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์คือ การทำความเข้าใจว่าหลักฐาน นั้นให้ข้อมูลอะไร แบ่งออกเป็นการตีความขั้นต้น ได้แก่ การหาข้อมูลที่บอกไว้ตรง ๆ ในหลักฐาน และการตีความขั้นลึก ได้แก่ การหาข้อมูลที่แอบแฝงอยู่ในหลักฐานนั้น การตีความหลักฐานทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นความจริง ข้อเท็จจริง หรือ ความเห็นสำหรับ นำไปสรุปเรื่องราวหรือเหตุการณ์ในอดีตให้ใกล้เคียงกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
แหล่งอ้างอิง ไพฑูรย์ มีกุศล และคณะ. หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ประวัติศาสตร์ ม.2. กรุงเทพฯ : บริษัท โรงพิมพ์วัฒนาพานิช จำกัด ณรงค์ พ่วงพิศ และคณะ. หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ประวัติศาสตร์ ม.2. กรุงเทพฯ : บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: