ฮ่ อ From Emperor to Citizen ง เ ต้ องค์ สุด ป ท้าย ฎิ วั ข อ ติ ง ซิ จี น น ไ 1906-1967 ฮ่
รายชื่อผู่้จัดทำ ด.ญ.ณภัทร รุ่งเรือง ม.3/2 เลขที่8 ด.ญ.ณิชกานต์ รัตนเศวตศักดิ์ ม.3/2 เลขที่ 10 ด.ช.ธีธัช ศรไชย ม.3/2 เลขที่ 15 น.ส.พัทธ์ธีรา ว่องไวตระการ ม.3/2 เลขที่ 19 น.ส.วชิรญาณ์ วงค์นรเศษฐ์ ม.3/2 เลขที่ 27 น.ส.อาทิมา ปั้นเกตุ ม.3/2 เลขที่ 31
สารบัญ หน้า เรื่อง 1 2 แผนผังเชื้อสายราชวงศ์ชิง 3 จักรพรรดิผู่อี๋ 4 การสละราชสมบัติของจักรพรรดิผู่อี๋ 6 ชีวิตคู่ของผู่อี๋ 9 การร่วมมือกันระหว่างผู่อี๋และญี่ปุ่น 10 สรุปความสัมพันธ์ 11 การกลับมาในฐานะสามัญชน 15 บั้นปลายชีวิต 17 ผลงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องผู่อี๋ บรรณานุกรม
ปกครองภายใน เนอฮาชื่อ แผนผังเชื้อสาย ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน - 1 - ภาคตะวันออก เทียนเหมิง ราชวงศ์ชิง อี๋หวน เฉียงเหนือ 5 หย่งเหยิน องค์ชายฉุนที่ 1 เฉียวชิง น้องสาวของเยโฮนาลา หวงไต้ฉืิอ 6 หมินหนิง เทียนจัง ต้ากวง จุงเต๋อ 7 อี้หนิง 1 ฟูหลิน เสียนฟง ซุนฉือ นิวฮูลู่ มเหสีฝ่ายตะวันออก 2 ชวยเย่ พระราชชนนีซูอัน เสียชีวิต 1881 คังซี เยโฮนาลา มเหสีฝ่ายตะวันตก พระราชชนนีซูสี เสียชีวิต 1908 3 อิ่นเจิ้น 8 ไจ้ฉุน 9 ไจ้เทียน ไจ้เพิง หย่งเจิ้ง ถงจื้อ กวางสู่ องค์ชายฉุนที่ 2 4 หงหลี่ ไม่มีบุตร หลานเยโฮนาลา ลูกสาวของหยงลุ เฉี่ยนหลง ต่อมาคือพระราชชนนีหรงยึ 10 ผู่อี๋ ซวนถ่ง เสียขีวิต 1913 ไม่มีบุตร ฟู่เจี๋ย ฟู่ฉือ แทนลูกหลาน ฟู่เจิน อันหยิง แทนลูกบุญธรรม อันโห 1, 2, 3 ,4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 แทนลำดับจักพรรดิในราชวงศ์ชิง อันอิ๋ง อันเสียน อันซิ่ง อันอู่ อันหวน
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน - 2 - ราชวงศ์ชิงที่ 10 จักรพรรดิผู่อี๋ \" *อั้ยชิง เจี่ยวหรอ **ผู่อี๋\" หรือจักรพรรดิซวนถ่ง เมื่อเขาขึ้นครองราช ก็ได้ตั้งรัชสมัยซวนถ่งขึ้นมา ซึ่งเป็นรัชสมัยราชวงศ์ชิงสุดท้าย ผู่อี๋เกิดเมื่อวันที่ 7กุมภาพันธ์ 1906 ณ กรุงปักกิ่ง วังขององค์ชายฉุน เขาเป็นลูกขององค์ชายฉุนที่ 2 ไจ้เฟิง และลูกสาวของหลงหยุ (ในที่นี้ไม่ได้ ปรากฏรายชื่ออกมา)เมื่อผู่อี๋เกิดขึ้นมาเป็นช่วงที่จักรพรรรดิไจ้เทียนกวางสู่ และพระนางซูสีไทเฮาเริ่มป่วย ซึ่งในช่วงนั้นผู้กุมอำนาจจริงๆคือพระนางซูสีไทเฮา ซึ่งพระนางเป็นคนอนุรักษ์นิยม ไม่ยอมรับชาวต่างชาติ และต้องการคนที่ไม่รู้ประสีประสาเพื่อให้ตัวเองสามารถควบคุมอำนาจของจักรพรรดิคนนั้น ซึ่งซูสีไทเฮาหมายปองที่จะให้ผู่อี๋เป็นจักรพรรดิในปี 1908 จึงรับผู่อี๋เเป็นลูกบุณธรรมของจักรพรรดิจักพรรดิไจ้เทียน กวางสู่ จากนั้นจึงถูกสั่งให้นำตัวมาจากบ้านพ่อซึ่งเป็นน้องชายของจักรพรรดิองค์ก่อนเข้ามาสู่ในวัง และได้เข้าพบพระนาง ซูสีไทเฮา และต่อมา 2 วันพระนางก็ป่วยตาย การขึ้นครองราชย์ของจีนจักรพรรดิต้องขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์มังกรในท้องพระ โรงแล้วก็ขันทีขุนนาง ข้าราชบริพารต้องต่อแถวเพื่อคำนับแต่ด้วยความเด็กของผู่อี๋จึงต้องมีพ่อคอยช่วยประคองอยู่ข้างๆ และมีประโยคนึงที่พ่อใช้ปลอบผู่อี๋ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ดีคือ \"อย่าร้อง อย่าร้อง เดี๋ยวก็จบแล้ว\" ซึ่งทำให้ทุกคนคิกว่าเป็น ลางร้ายที่หมายถึงราชวงศ์จบ 爱新觉罗* (Àixinjuéluó) เป็นแซ่ต้นสกุลของราชวงศ์ชิง 溥仪** (Puyí) ในหนังสือบางเล่มอาจจะใช้คำว่า ปูยี ผูยี ฝู่ยี ฟู่อี้ เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้แปล
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน - 3 - การสละราชสมบัติ ของจักรพรรดิผู่อี๋ พระนางฉินชีสิ้นพระชนม์ทำให้เกิดสภาวะสุญญากาศ ผู้กำอำนาจแทนผู่อี๋คือพระพันปีหรือหลงหยี่ไทเฮาและในช่วงนั้น ฝรั่งเศสบุกทำให้ประเทศแตกและประกาศตัวเป็นเอกราชจากราชวงศ์ฉิง พระนางหลงหยี่จึงเรียกหยวนชื่อไข่หลงให้มา ช่วยตนในการดูแล บริหารบ้านเมืองโดยที่ไม่รู้ว่าหยวนขื่อไข่มีใจใฝ่ให้ชาวตะวันตก หยวนชื่อไข่ได้เสนอเงื่อนไขว่าตัวเองจะ ต้องไปในฐานะนายกหรือต้องมีอำนาจ หลงหยี่โดนหยวนชื่อไข่ตลบหลัง โดยการที่หยวนชื่อไข่ไปคุยกับซุนยัดเซ็นที่ตอน นั้นเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสคต์ในจีน โดยหยวนชื่อไข่ยื่นข้อเสนอว่าซุนยัดเซ็นจะต้องไม่เป็นประธานาธิิบดี จนกว่าตนเอง จะเสียชีวิต หากตนเสียชีวิตแล้วค่อยว่ากันอีกที ซึ่งซุนยัดเซ็นก็ตอบตกลง หลงหยี่เซ็นสัญญาสระราชแทนผู่อี๋ ณ วันทีี่ 12 กุมภาพันธ์ 1912 โดยมีเงื่อนไขข้อตกลงว่าด้วยสถานภาพของราชวงศ์ ชิง ดังนี้ 1.ยังเป็นฮ่องเต้แต่ไม่มีอำนาจ 2.อยู่ในพระราชวังต้องห้ามได้ 3.สมบัติยังเป็นของราชสำนัก 4.ได้เงินสนับสนุนจากรัฐ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นผู่อี๋ในวัยเพียง 6 ปี ไม่มีส่วนในการตัดสันใจหรือรับรู้อะไรทั้งสิ้น แม้หลงหยี่คิดว่าดีแต่ไม่รู้เลยว่านี่ เป็นการกักขังโดยไม่รู้ว่าประชาชนภายนอกเป็นยังไง หยวนซื่อไข่ ซุนยัดเซ็น *หลงหยี่ไทเฮา ขุนนางที่ยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์ชิงยังคงวนเวียนเข้าออกพระราชวังอยู่บ่อยๆก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ การเมืองอย่างไม่ขาดสาย เช่น การพยายามฟื้นฟูราชวงศ์ชิงของจางซวิน ใน ค.ศ. 1917 ที่แม้จะล้มเหลว หากก็สร้างความไม่ พอใจกับบุคคลชิงชังราชสำนักชิง 隆裕太后* (Lóngyù tàihòu) ในที่นี้สามารอ่านออกเสียงได้สองแบบคือหลงหยี่ไทเฮาหรือหลงหยู่ไทเฮา
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน - 4 - ชีวิตคู่ของผู่อี๋ เมื่อผู่อี๋อายุ 16 ต้องเลือกคู่ แต่มีเหลืออยู่ 4 คนสุดท้ายเลือกโดยการชี้รูป รูปที่ส่งมานั้นมีขนาดเล็กมาก ผู่อี๋ที่ตอนนั้น ไม่ได้สนใจจึงเลือกแบบมั่วๆ ได้คนแรกคือ \"เหวินซิ่ว\" ซึ่งผู้ใหญ่บอกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นลางไม่ดี ทำให้ผูยีต้องเลือกอีกคนคือ \"หว่านหรง\" คนนี้เป็นที่ถูกใจของผู้ใหญ่ ตามธรรมเนียมเมื่อจักรพรรดิหมายปองผู้หญิงคนไหน ผู้หญิงคนนั้นจะไม่สามารถ ไปแต่งงานกับผู้อื่นได้ ทำให้ทั้งสองคนแต่งเข้าพร้อมกัน โดยให้หว่านหรงเป็นภรรยาเอก และให้เหวินซิ่วเป็นอนุภรรยา ใน วันพิธีทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมเนียม กลางคืนก็ต้องเข้าห้องหอกับภรรยาเอกหว่านหรง ผู่อี๋เขียนเล่าว่า เจ้าสาวจีน จะต้องปิดหน้า เมื่อเขาเข้าไปก็เจอหว่านหรงนั่งก้มหน้ารออยู่ ผู่อี๋ไม่รู้จะทำยังไงก็นั่งมองหน้ากัน และตัดสินใจลองเปิดผ้า ของหว่านหรงดูหน้า พอดูหน้าเสร็จผู่อี๋ก็กลับทันที ซึ่งตามธรรมเนียมมันจะต้องเสพสมกัน ทำให้เหล่าขันทีทั้งหลายต่าง สงสัย และมีการเอาไปเล่ากันต่อ ตลอดชีวิตคู่ของผู่อี๋กับหว่านหรงและเหวินซิ่วไม่เคยมีอะไรกัน กลางวันอาจจะมีมาเล่น ด้วยกันแต่ไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา ภรรยาเอก \"หว่านหรง\" อนุภรรยา \"เหวินซิ่ว\" มันก็มีข้อสันนิษฐานหลายอย่างเกี่ยวกับ sexuality ของผู่อี๋ว่าทำไมไม่สนใจผู้หญิง 1) ผู่อี๋ตอนเด็กไม่ยอมนอนขันทีก็เลยคิดเกมขึ้นมา เขาก็จะส่งสาวใช้ไปตอนกลางคืนแล้วก็ให้เล่นเกมจนหลับ ทำให้ เข็ดเอียนกับกับผู้หญิงแล้ว เลยไม่ได้มีความสนใจผู้หญิง 2) เขาบอกว่ามันเป็นที่รู้กันเป็นที่เม้ากันในวังว่าผู่อี๋เนี่ยไม่ชอบผู้หญิงชอบขันทีมากกว่า ภาษาจีนใช้คำว่าไม่ชอบ ทางน้ำชอบทางบก คนที่มีสัมพันธ์สวาทกับผู่อี๋ชื่อว่าหวังเฟิงฉือ เขาบอกว่าหวังเฟิงฉือเข้ามาในวังตั้งแต่ยังเด็กหน้าตา ผิวพรรณเหมือนผู้หญิง ก็โดนขันทีผู้ใหญ่กระทำชำเรา เมื่อเห็นดังนั้น ครูชาวสก๊อตแลนด์ \" เรจินัลด์ เฟลมิง จอห์นสติน \" ก็เลยแนะนำผู่อี๋ว่าในเมื่อไม่ได้สนใจเรื่องชีวิตคู่ ก็ลองมาจัดระเบียบปฏิรูปภายในพระราชวังต้องห้ามดู
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน - 5 - ขันทีก็จะมีพวกที่เจ้าเล่ห์ก็ทำงานพอตกเย็น ก็จะขโมยเอาพวกทรัพย์สมบัติในพระราชวังต้องห้ามออกไปขาย ผู่อี๋ก็เลย จัดระเบียบบอกว่าสั่งให้ขันทีไปทำรายการทั้งหมดในท้องพระคลัง วันรุ่งขึ้นท้องพระคลังเกิดไฟไหม้ ทำให้ผู่อี๋มั่นใจว่าเป็น ฝีมือของขันทีเหล่านั้นแน่ๆ แต่ในหนังสือ \"The last eunuch of china\" บอกว่าไม่ใช่ เพราะราชวังต้องห้ามตอนนั้นมี ไฟฟ้าแล้วแต่ว่ามันเก่าไฟรัดวงจร สุดท้ายแล้วผู่อี๋ก็ล้มเลิกความตั้งใจ แต่สิ่งที่ผู่อี๋จะทำคือไล่ขันทีออกเหลือประมาณ 200- 300 คน นอกพระราชวังหยวนชื่อไข่ตายขุนพลที่มีทรัพย์มีกำลังแตกเป็นก๊กเป็นเหล่าก็ไปปกครองเมืองของตัวเอง แต่ละ เมืองก็สู้กัน กรุงปักกิ่งก็ไม่มีใครปกครองที่มีอำนาจเด็ดขาด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือมีขุนศึกคนนึงก็นำทัพมา เพื่อที่จะเข้ามายึด ครองกรุงปักกิ่ง ขุนศึกก็มองว่าข้อตกลงที่พระนางหลงยวี่ทำกับหยวนชื่อไข่ก่อนหน้านี้ไม่เป็นธรรมเลยเอากองกำลังมาบุกบังคับให้ผู่อี๋ เชื้อพระวงศ์ออกจากพระราชวัง ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน 1924 แล้วยื่นเงื่อนไขว่า *ข้อตกลงซิงชื่อโยวไต้เถียวเจี้ยน จะเป็น อันสิ้นสุดวันนี้ แล้วผูอี๋กับเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดจะต้องย้ายออกภายใน 20 นาที ผู่อี๋เลยเรียกพ่อให้มาแล้วก็จะย้ายไปบ้านพ่อ ผู่อี๋เก็บของแล้วก็ย้ายออกมาซึ่งคนที่นำทัพมาประชิดวันนั้นคือ \"ขุนพลชื่อเฟิ่งยวี่เสียง\" เมื่อผู่อี๋ออกจากพระราชวังต้องห้าม ระหว่างที่เดินทางย้ายออกมาก็ผ่านกองกำลังทหาร กองกำลังทหารจึงจัดรถมารับ และพาไปส่งที่บ้านของพ่อของผู่อี๋ที่อยู่ นอกวัง ระหว่างทางผูยีก็ได้เจอกับนายทหารที่นำทัพ และนายทหาร จึงถามผูยีว่า \"นายผู่อี๋ ต่อจากนี้จะเป็นจักรพรรดิหรือ สามัญชน\" ผู่อี๋จึงตอบกลับไปว่าต่อจากนี้เราจะเป็นสามามัญชน แต่ผู่อี๋ต้องตอบแบบนั้นเพื่อที่จะให้มีชีวิตรอด แม้หลังจาก นั้นเขาก็ไม่ได้กลับมาในราชวงศ์ต้องห้ามในฐานะจักรพรรดิอีกเลย ขุนพลชื่อเฟิ่งยวี่เสียง เรจินัลด์ เฟลมิง จอห์นสติน *คือข้อตกลงว่าด้วยสถานภาพของราชวงศ์ชิง
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน - 6 - การร่วมมือกันระหว่างผู่อี๋ แลญะ ี่ปุ่น ผู่อี๋ออกจากพระราชวังต้องห้าม ไปพร้อมกับพระชายาคือหว่านหรงและเหวินซิ่ว และย้ายไปอยู่ที่บ้านของพ่อชั่วคราว ต่อ จากนั้นผู่อี๋ก็อยู่ที่บ้านของพ่อได้ไม่นาน ก็ได้ไปร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่น ในช่วงนั้นเป็นล่าอาณานิคมของประเทศญี่ปุ่นและ อยากจะได้อาณานิคมของประเทศจีนด้วย ประเทศญี่ปุ่นจึงมองว่าผู่อี๋เป็นทรัพย์สินที่สำคัญ และผู่อี๋จึงย้ายไปอยู่ในการ ปกครองของญี่ปุ่น ก่อนย้ายไปอยู่ในเขตพิเศษในปักกิ่ง และไปอยู่ที่สถานฑูตญี่ปุ่นก่อนช่วงหนึ่ง แล้วตอนหลังก็ย้ายมาอยู่ใน เมืองเทียนจินซึ่งเป็นเขตพิเศษของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงยกบ้านให้ 1 หลัง ซึ่งเป็นตำหนักจิ้งหยวน พอผู่อี๋ได้ใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักจิ้ง หยวน ก็รู้สึกว่ามีอิสระมากไม่เหมือนที่เคยเป็นตอนที่อยู่ในพระราชวังต้องห้าม และในตอนกลางวันก็จะมีขุนศึกที่ภัคดีอยู่ มาเข้าเฝ้าบ้าง แต่ในเวลาว่างก็ซื้อของ เช่น สูท, เพชร, รถ, นาฬิกา และวิทยุเป็นต้น เพราะก่อนออกมาจากวังผู่อี๋ให้ขันที กอบโกยทรัพย์สมบัติออกมา และนำไปขายจากนั้นก็นำเงินไปฝากธนาคารเพื่อที่จะให้มีดอกเบี้ยเพิ่ม จากนั้นก็มีเงินเยอะ มาก และใช้เงินอย่างไม่จำกัด หลังจากนั้นผู่อี๋ก็อยู่ในจิ้งหยวนได้ 5-6 ปี ญี่ปุ่นก็นึกออกว่าจะให้ประโยชน์ผู่อี๋อย่างไร เจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นก็มาเข้าเฝ้าผู่อี๋และบอกว่า ตอนญี่ปุ่นยึดครอง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน(หมานจูกั๋ว)ได้สำเร็จแล้ว ซึ่งเป็นบริเวณของชาวแมนจู จุดประสงค์ของญี่ปุ่นคือ ให้ผูอี๋ไป ปกครองหมานจูกั่ว เพราะผู่อี๋เป็นชาวจีนแมนจู ผู่อี๋จึงบอกว่าได้ ให้เราไปเป็นประมุขของหมานจูกั๋วได้ แต่ต้องไปในฐานะ จักรพรรดิ และเขาได้เริ่มต้นเป็นจักรพรรดิของชาวหมานจูกั๋ว ณ วันที่ 1 มีนาคม ค.ศ.1934 ต่อจากนั้นเหวินซิ่วที่เป็น อนุภรรยาจึงขอหย่า หลังจากที่ผู่อี๋รับข้อตกลงของญี่ปุ่น ผู่อี๋ก็รู้สึกว่าเลวร้ายกว่าเดิม เพราะรู้ว่าเหมือนตัวเองเป็นแค่หุ่นเชิด ของญี่ปุ่นเท่านั้น ไปอยู่ในพระราชวังที่ญี่ปุ่นเตรียมให้ ในเมืองหลวงของหมานจูกั๋ว และพาภรรยาไปด้วย แต่รู้สึกเหมือนไป เป็นนักโทษเพราะ ญี่ปุ่นจะส่งคนมาคอยดูอยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ผู่อี๋และญาติออกนอกลู่นอกทาง ญี่ปุ่นไม่ไว้ใจผู่อี๋เพราะไม่ รู้ว่าผู่อี๋จะทรยศเมื่อไหร่เนื่องจากเป็นคนจีน แต่ผู่อี๋ก็ไม่ไว้ใจญี่ปุ่นเพราะไม่รู้จะหมดประโยชน์เมื่อไหร่ จะโดนฆ่าทิ้งเมื่อไหร่ และหน้าที่ของผู่อี๋มีแค่เซ็นรับทุกกฎหมายที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นมา ชาวหมานจูกั๋ว (แมนจู)
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน - 7 -
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน - 8 - ต่อมาผู่อี๋รู้สึกวิตกกังวลเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะหมดประโยชน์จากญี่ปุ่นเมื่อไหร่ จึงเริ่มมี 2 อารมณ์ คือ 1) เริ่มฝึกเข้าทางธรรม กลายเป็นพุทธศาสนิกชน และสั่งให้ข้าราชบริพารที่มาจากพระราชวังต้องห้าม ห้ามฆ่าสัตว์ตัด ชีวิตเพราะกลัวจะเป็นลางร้าย ถ้าคนไหนไปฆ่าสัตว์เช่นตบยุง ก็จะถูกลงโทษเพราะเชื่อว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตสัตว์จะทำให้ ชีวิตตัวเองสั้นลง 2) วิตกจริต คืออารมณ์ไม่ดีตลอดเวลา เมื่ออารมณ์ไม่ดีแล้วก็จะไปลงกับข้าราชบริพาร และลงโทษหนักขึ้นเรื่อยๆ จากคำบอกเล่าของ \"ซุนเย่าถิง\" ขันทีคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้เคยเล่าไว้ว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยทำจานแตก ผู่อี๋ก็โกรธ มาก เพราะผู่อี๋เชื่อว่าถ้าจานชามแตกจะเป็นลางร้าย ผู่อี๋เลยสั่งโบยเขา แล้วเอาเขาไปไว้ในห้องจนกว่าจะสำนักผิด เวลาที่ ผู่อี๋โกรธมากๆ เขาจะสั่งให้ลดอาหารของขันที โดยให้กินแต่ข้าวต้มกับเผือกมัน และด้วยเหตุนี้เอง แม้ขันทีจะมีอายุถึง 18 ปีแล้วก็ตาม แต่รูปร่างก็ยังเหมือนเด็กอายุ 10 ขวบ เนื่องจากพวกเขาขาดสารอาหาร ซุนเย่าถิง ขันทีคนสุดท้าย เมื่อผู่อี๋สนใจแต่เรื่องการลงโทษขันที พระนางหว่านหรงซึ่งเป็นพระมเหสีก็ทรงเหงา จึงแอบคบชู้กับคนขับรถของผู่อี๋ จนต่อมาพระนางก็ตั้งท้อง แต่ต่อมาผู่อี๋ก็จับได้ จึงไล่คนขับรถออก และเมื่อพระนางหว่านหรงคลอดทารกผู้หญิง ผู่อี๋ก็นำ ทารกคนนั้นไปฆ่าทิ้งทันที หลังจากนั้นพระนางหว่านหรงก็เริ่มเสียสติ เริ่มไม่ดูแลตัวเอง และยังสูบฝิ่นอีกด้วย
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน - 9- สรุปความสัมพันธ์ ช่วงที่ 1 (1912-1924) ราชวงศ์ชิง ประเทศจีน โจมตี ไม่มีใจใฝ่ให้ ฝรั่งเศส หลงหยี่ไทเฮา ร่วมมือกัน กุมอำนาจ หยวนซื่อไข่ ร่วมมือกัน ผู่อี๋(ตอนเด็ก) ซุนยัดเซ็น ช่วงที่ 2 (1924-1945) ขุนพลชื่อเฟิ่งยวี่เสียง ขับไล่ พึ่งพา ปกครอง มองว่ามีประโยชน์ ประเทศแมนจู ญี่ปุุ่น ผู่อี๋
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน -10- การกลับมาในฐานะ สามัญชน ในปี 1945 ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ประเทศแมนจูในขณะนั้นล่มสลายไปด้วย และสหภาพโซเวียตที่ทำ สงครามกับญี่ปุ่นก็เข้ามายึดครอง ผู่อี๋ตัดสินใจที่จะทิ้งภรรยา และคนรับใช้ทั้งหลายที่เป็นผู้หญิง และเด็กเพราะมองว่าคน เหล่านั้นมีพละกำลังไม่มากพอเพื่อป้กป้องตนเอง ผู่อี๋จึงหนีไปสนามบินและเตรียมขึ้นเครื่องบินไปญี่ปุ่น แต่ปรากฏว่าเกม พลิก เครื่องบินที่รออยู่คือเครื่องบินรัสเซีย ผู่อี๋เลยโดนจับตัวไปอยู่รัสเซีย ในวันที่ 16 สิงหาคม 1945 ส่วนด้านพระนาง หว่านหรงนั้นก็นั่งรถไฟหนีไปเกาหลี แต่ก็โดนกองทัพจีนจับแล้วนำไปขังไว้ในคุกกลางเมืองให้คนมายืนประจานยืนด่าทอ พระนางก็ยิ่งเพ้อยิ่งเสียสติ จนสุดท้ายพระนางก็ลงแดงตายในคุก รัสเซียเห็นว่าผู่อี๋เป็นคนที่สำคัญ คอยดูแลเป็นอย่างดี ส่งผู่อี๋ไปอยู่ที่โรงแรม และใช้ชีวิตเหมือนเดิมที่เคยเป็น แต่ไม่มีราช กิจใดๆแล้ว ผู่อี๋ได้ถูกนำตัวเข้าศาลเนื่องจากเป็นอาชญากรทางการเมือง โดยให้หารเป็นพยานที่ศาลทหารระหว่างประเทศ ที่ตะวันออกกลาง ณ กรุงโตเกียว เนื่องตัวเขาไม่พอใจในการปฏิบัติตัวของญี่ปุ่นต่อตัวเขา รัฐบาลจีนตอนนั้นที่นำโดยเจียง ไคเช็ก พยายามเจรจาขอตัวผู่อี๋คืน แต่รัสเซียก็ยื้อตัวผู่อี๋ไว้ จนถึงตอนที่เหมา เจ๋อตง เข้า มาปกครองประเทศจีนในปี 1959 สามารถเจรจากับรัสเซียได้สำเร็จ ทางรัสเซียจึงส่งผู่อี๋กลับมายังประเทศจีนในปี 1950 ตอนที่ผู่อี๋กลับมานั้น ผู่อี๋ได้เขียนบรรยายไว้ว่า ตัวเขาไม่รอดอย่างแน่นอน แต่เหมา เจ๋อตงไม่ฆ่าผู่อี๋ทิ้ง แต่ต้องการเปลี่ยนผู่อี๋ ให้ใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนให้ได้ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนระบอบเป็นคอมมิวนิสต์นั้นทำให้ชีวิตของจักรพรรดิผู้ ยิ่งใหญ่สามารถใช้ชีวิตอย่างสามัญชนได้ เป็นการแสดงให้คนเห็นว่าระบบคอมมิวนิสต์นั้นดีอย่างไร ผู่อี๋จึงถูกส่งไปอยู่ในคุก โดยให้ผู่อี๋เรียนเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ และให้เขียนสำนึกผิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผู่อี๋เคยทำในอดีตด้วย ในช่วงนั้นผู่อี๋เรียก ได้ว่าเข้าค่ายเป็นโรคซึมเศร้าเลยก็ว่าได้ รูปที่ถ่ายตอนผู่อี๋ได้กลับจีนอีกครั้ง
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน -11- รูปผู่อี๋ที่ใช้ชีวิตด้วยตนเองภายในคุก ผู่อี๋เริ่มที่จะต้องทำอะไรด้วยตัวเอง เช่น แปรงฟัน ติดกระดุมเสื้อ ใส่รองเท้า และในขณะที่อยู่ในคุกก็ได้รับการปลูกฝังเกี่ยวกับ ลัทธิคอมมิวนิสต์และการวิจารณ์ตนเองเรื่อยมาเป็นเวลากว่าเก้าปี จนพฤติกรรมและการใช้ชีวิตของผู่อี๋ดีขึ้น จึงได้ปล่อยผู่อี๋ไปใช้ ชีวิตเยี่ยงสามัญชน ผู่อี๋ได้ใช้ชีวิตแบบใหม่ที่เขาไม่เคยได้รู้มาก่อน และในเวลาต่อมาเขาก็ได้แต่งงานใหม่กับหลี่ชูเสียน ที่เป็นผู้หญิง จีนธรรมดา และเป็นพยาบาล ผู่อี๋และภรรยาใหม่ \"หลี่ชูเสียน\"
บั้ น ป ล า ย ชี วิ ต
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน -13- แม้จะแต่งงานกันแต่ผู่อี๋แต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่เขาาก็ยังไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับภรรยาได้ แต่ใช้ชีวิตอยู่แบบคอบช่วย ดูแลซึ่งกันและกัน และภรรยาของเขาก็ได้เขียนหนังสือเรื่อง \"My husband Puyi\" โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะเขียนเกี่ยวกับชีวิต ประจำวันของผู่อี๋ และมีตอนนหนึ่งเขียนเล่าไว้ว่าผู่อี๋เป็นคนที่ขี้หลงขี้ลืม เนื่องจากในสมัยก่อนไม่จำเป็นต้องจำอะไร เพราะมีเหล่า ขันนทีคอยจำแทนตลอด ทำให้เมื่อเขาออกมาใช้ชีวิตเองเวลาไปกินข้าวที่โรงอาหารเวลาทำงาน เมื่อผู่อี๋รับข้าวกก็จะวางไว้ที่โต๊ะ และจะเดินไปหยิบช้อน ซึ่งผู่อี๋ก็จะลืมว่าตัวเองนั้นหยิบข้าวมาแล้ว ก็จะเดินไปต่อแถวใหม่อีกรอบ ซึ่งโชคดีว่าทุกคนก็จะมองเป็น เรื่องน่าเอ็นดูไม่มีใครถือโทษโกรธ หลังจากที่ใช้ชีวิตปกติมาสักพัก ทางพรรคคอมมิวนิสต์เหมาก็เสนอความคิดว่าให้เขียนบันทึก 我的后半生อัตชีวประวัติของตนเอง และเขียนเล่าประสบการณ์ชีวิตในคุก \"ชีวิตครึ่งแรกของฉัน ( )\" เพื่อให้คนภายนอก เห็นว่าเขาเปลี่ยนตนเองอย่างไร ชีวิตที่อยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์ดีอย่างไร ซึ่งทำให้ปผู่อี๋แม้จะใช้ชีวิตอย่างสามัญชน แต่ก็มักจะได้ไป เข้าร่วมงานสำคัญต่างๆ เพื่อกล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน รูปถ่ายผู่อี๋ได้เข้าร่วมงงานกับประธานเหยา ต่อมาในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม(Cultural Revolution) ทำให้เกิดพวกยุวชนแดง ซึ่งในช่วงนั้นประธานเหมาต้องการจะกำจัด สิ่งที่ไม่เป็นไปตามแนวคิดของพรรค ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสัญลักษณ์ระบบศักดินา แต่ก็เป็นโชคดีของผู่อี๋ที่พรรคคอมมิวนิสต์ยังปกป้อง ผู่อี๋ มีหลายครั้งที่ผู่อี๋ที่โดนพวกยุวชนแดงมาเคาะที่ประตูหน้าบ้าน แต่ก็โชคดีที่ผู่อี๋ก็จะสามารถติดต่อกับพรรคคอมมิวนิสต์ และ พรรคคอมมิวนิสต์ก็ช่วยเหลือเขาได้
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน -14- แม้เขาจะรอดชีวิตจากเหตุการณ์เหล่านี้หลายครั้ง แต่กลับกันก็เป็นโชคร้ายเพราะผู่อี๋ดันมาล้มป่วยในช่วงนั้น ทำให้ต้องเข้ารับ การรักษาที่โรงพยาบาล แต่ทางโรงพยาบาลปฏิเสธการเข้ารักษาของผู่อี๋ เพราะไม่อยากเข้าร่วมเกี่ยวกับความเลวร้ายของระบบ ศักดินา สต๊าฟในโรงพยาบาลก็ประกาศว่าเป็นยุวชนแดง ทำให้ผู่อี๋ต้องติดต่อกับพรรคคอมมิวนัสต์เพื่อให้พวกเขามาช่วยกันคุยเพื่อ ยืนยันการรักษา แม้จะคุยกันสำเร็จ แต่ผู่อี๋ก้ไม่ได้เข้ารับการรักษา ผู่อี๋เป็นโรคมะเร็ง ในบางครั้งเขาต้องเดินมาโรงพยาบาลเอง และ พอไปถึงเขาก็ได้แค่ไปนอนรอในโรงพยาบาล 12 ชั่วโมงโดยไม่ได้เข้ารับการรักษาใด้ๆทั้งสิ้น แล้ะก็โดนปล่อยกลับบ้าน 八ผู่อี๋ได้เสียชีวิตจากสาเหตุโรคมะเร็งไต ในวัย 61 ปีโดยมีการจัดพิธีเผาศพและนำอัฐิเก็บไว้ที่สุสานปาเป่าซานเก๋อมิ่งกงมู่ 宝山革命公墓 กรุงปักกิ่ง ต่อมาวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 ได้มีการย้ายอัฐิไปบรรจุที่หัวหลงหวงเจียหลิงหยวน 华龙皇家陵园 崇陵( ) มณฑลเหอเป่ย ซึ่งเป็นสุสานของเอกชนที่สร้างติดกับสุสานฉงหลิง ที่ฝังพระศพฮ่องเต้กวงซวี่ แห่งราชวงศ์ชิง ผลกระทบ ทำให้สิ้นสุดราชวงศ์จีน สถาปนาเป็นสาธารณะจีน ประเทศแมนจูในช่วงหนึ่งต้องกลายเป็นแหล่งชั้นดีในการผลิตอาวุธ และถูกยุบรวมไปในสาธารณะจีนไปในช่วงหลังสิ้นสุด สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ประเทศแมนจูในช่วงนั้นต้องประสบกับความยากจนไม่มีจะกิน ถูกข่มขู่ทำร้ายจากทหารกองทัพสหภาพโซเวียต ถูก ลักขโมยจากคนจีน สงครามนอกจะเกิดการสูญเสียชีวิตแล้วยังทำให้ๆคนคนหนึ่งต้องระแวง กลัวตลอดเวลา
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน -15- ผลงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องผู่อี๋ ชื่อหนังสือ: The Last Eunuch of China หนังสือเรื่องนี้เกี่ยวกับการสัมภาษณ์ “ซุนเย่าถิง” ขันทีคนสุดท้ายที่ได้ดู และและรับใช้ “ผู่อี๋” ในหนังสือเล่มนี้เราจะได้พบเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยของ ผู่อี๋ อารมณ์ต่างๆของผู่อี๋ในช่วงนั้น หนังสือเล่มนี้ยังไม่มีตีพิมพ์ในประเทศไทย ชื่อหนังสือ: จากจักรพรรดิสู่สามัญชน ( From emperor to citizen) หนังสือเล่มนี้ทางผู้จัดทำได้ใช้ในการอ้างอิงค์ เป็นหนังสือที่ถูกแปลมาจาก \"ชีวิตครึ่งแรกของฉัน\" ซึ่งเป็นหนังสือที่ผู่อี๋เขียนขึ้นเอง ในหนังสือเล่มนี้เราจะ พบได้ถึงชีวิตประจำวัน ญาติสายต่างๆ ความรู้สึกของผู่อี๋ ตั้งแต่ตอนเป็นจักพร รดิจนถึงตอนเป็นสามัญชน ปัจจุนมีฉบับภาษาไทยตีพิมพ์ในสำนักพิมพ์แสงดาว ในราคา 500 บาท ชื่อหนังสือ: My husband Puyi ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือ \"หลี่ชูเสียน\" ภรรยาใหม่ของผู่อี๋ ในหนังสือเล่ม จะเกี่ยวกับผู่อี๋ที่ใช้ชีวิตแบบสามัญชน ปัจจุบันยังไม่มีตีพิมพ์ในประเทศไทย *สามารถอ่านและเขียนได้อีก 2 แบบคือซุนเหย้าถิงและซุนเหยาถิง
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน -16- ชื่อหนังสือ: From Emperor to Citizen (ชีวิตครึ่งแรกของฉัน) ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือ \"ผู่อี๋\" หลังจากผู่อี๋กลับมาใช้ชีวิตอย่างสามัญชน ทางพรรคคอมมิวนิสต์ ก็ได้เสนอใหผู่อี๋เขียน หนังสืออัตชีวประวัติของตนเองที่ผ่านมา ทำให้เกิดหนังสือเล่มนี้ ได้รับการตีพิมพ์ 21 ครั้ง มียอดรวมการพิมพ์จำหน่ายกว่า 1,863,000 เล่ม ปัจจุบันยังไม่มีตีพิมพ์ในประเทศไทย ชื่อภาพยนต์: The Last Emperor (ชีวิตครึ่งแรกของฉัน) ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเล่าสลับล้อกันไประหว่าง 2 ช่วงเวลา คือเปิดด้วยผู่อี๋ซึ่งอยู่ในฐานะอาชญากรสงครามโลกใน เรือนจำ และอีกช่วงเวลาตั้งแต่ผู่อี๋ในวัย 3 ขวบถูกพรากจากครอบครัวมาเข้ารับตำแหน่งจักรพรรดิ เรื่องนี้เป็นผลงานของ ‘แบร์นาโด แบร์โตลุชชี’ ผู้กำกับและผู้เขียนบทภาพยนตร์ชาวอิตาลี
ฮ่องเต้ องค์สุดท้าย ของจีน -17- บรรณานุกรม 1. 12 กุมภาพันธ์ 1912 จักรพรรดิผู่อี๋(ปูยี) สละราชบัลลังก์ สู่อวสาน ราชวงศ์ชิง-ราชาธิปไตยในจีน จาก https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_1880 2. ทำไม “ปูยี” สละบัลลังก์ไป 12 ปี ถึงเพิ่งออกจากพระราชวังต้องห้าม จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_68784 3. สูงสุดสู่สามัญ “จักรพรรดิผู่อี๋” ชะตาชีวิตหลังสิ้นระบอบประชาธิปไตยในจีน จาก https://praew.com/luxury/256235.html 4. PYMK EP52 ปูยี จักรพรรดิโลกศักดินาผู้ตายอย่างสามัญชน จาก https://youtu.be/mGJpI_ma4Ro 5. ปูยี จักรพรรดิองค์สุดท้ายของจีนผู้น่าสงสาร | 8 Minutes History EP.12 จาก https://youtu.be/ViuvzT9ByAM 6. ชีวิตอันแสนรันทดของจักรพรรดิจีนคนสุดท้าย “จักรพรรดิ ปูยี” จาก https://youtu.be/sJ-Aw-Maqgs 7. หนังสือเรื่อง จากจักพรรดิสู่สามัญชน
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: