การฟัง การดู ใบความรู้ ครงั้ ท่ี 1 เรือ่ ง หลกั การฟัง และดู หลกั และแนวทางการฟงั และดูอย่างสรา้ งสรรค์ 1. ตอ้ งเข้าใจความหมาย หลักเบ้ืองต้นจองการจับใจความของสารทีฟ่ ังและดูน้นั ตอ้ งเขา้ ใจความหมาย ของคำ สำนวนประโยคและข้อความท่ีบรรยายหรอื อธิบาย 2. ต้องเขา้ ใจลักษณะของข้อความ ขอ้ ความแตล่ ะขอ้ ความต้องมีใจความสำคญั ของเร่อื งและใจความ สำคญั ของเร่ืองจะอยู่ท่ีประโยคสำคัญ ซึง่ เรียกวา่ ประโยคใจความ ประโยคใจความจะปรากฏอย่ใู นตอนใดตอน หน่งึ ของข้อความ โดยปกตจิ ะปรากฏอยใู่ นตอนต้น ตอนกลาง และตอนทา้ ย หรืออยู่ตอนต้นและตอนท้ายของ ขอ้ ความผรู้ ับสารตอ้ งร้จู ักสังเกต และเขา้ ใจการปรากฏของประโยคใจความในตอนต่าง ๆ ของขอ้ ความ จึงจะช่วย ใหจ้ ับใจความไดด้ ียิง่ ขน้ึ 3. ตอ้ งเข้าใจในลักษณะประโยคใจความ ประโยคใจความ คอื ข้อความที่เปน็ ความคดิ หลัก ซึง่ มักจะมี เนอ้ื หาตรงกบั หัวข้อเรอ่ื ง เชน่ เร่อื ง “สนุ ัข” ความคิดหลกั คือ สนุ ขั เปน็ สัตว์เลยี้ งท่รี ักเจ้าของ แต่การฟังเร่อื งราว จากการพูดบางทไี ม่มีหัวขอ้ แตจ่ ะพูดตามลำดบั ของเน้ือหา ดงั นั้นการจับใจความสำคญั ต้องฟังให้ตลอดเรอื่ งแล้ว จบั ใจความว่า พูดถงึ เร่ืองอะไร คอื จบั ประเดน็ หวั เร่ือง และเรอื่ งเป็นอย่างไรคอื สาระสำคญั หรอื ใจความสำคญั ของ เรอื่ งน่ันเอง
4. ตอ้ งรจู้ กั ประเภทของสาร สารทฟี่ ังและดูมีหลายประเภท ต้องรูจ้ ักและแยกประเภทสรปุ ของสารได้วา่ เปน็ สารประเภทข้อเท็จจริง ข้อคดิ เหน็ หรือเป็นคำทกั ทายปราศรัย ข่าว ละคร สารคดี จะได้ประเดน็ หรอื ใจความ สำคญั ไดง้ ่าย 5. ตอ้ งตคี วามในสารไดต้ รงตามเจตนาของผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารมีเจตนาทจี่ ะสง่ สารต่าง ๆ กับบางคน ต้องการให้ความรู้ บางคนตอ้ งการโนม้ นา้ วใจ และบางคนอาจจะต้องการสง่ สารเพอื่ ส่ือความหมายอนื่ ๆ ผู้ฟังและ ดตู อ้ งจบั เจตนาใหไ้ ด้ เพื่อจะไดจ้ ับสารและใจความสำคญั ได้ 6. ตง้ั ใจฟงั และดใู หต้ ลอดเร่อื ง พยายามทำความเขา้ ใจใหต้ ลอดเรอ่ื ง ย่ิงเรอื่ งยาวสลบั ซบั ซอ้ นยงิ่ ต้องต้ังใจ เป็นพิเศษและพยายามจบั ประเด็นหวั เรือ่ ง กริยาอาการ ภาพและเครอ่ื งหมายอน่ื ๆ ดว้ นความต้ังใจ 7. สรปุ ใจความสำคญั ข้ันสดุ ทา้ ยของการฟังและดูเพ่ือจบั ใจความสำคญั กค็ ือสรุปให้ไดว้ ่า เรอ่ื งอะไร ใคร ทำอะไร ทไี่ หน เมือ่ ไร อยา่ งไรและทำไม หรอื บางเรอ่ื งอาจจะสรปุ ได้ไมค่ รบทง้ั หมดทง้ั นี้ยอ่ มขน้ึ กับสารท่ฟี งั จะมี ใจความสำคญั ครบถว้ นมากนอ้ ยเพียงใด วจิ ารณญาณในการฟงั และดู พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถานไดใ้ ห้ความหมายของ วจิ ารณญาณไวว้ า่ ปญั ญาทส่ี ามารถรหู้ รอื ให้ เหตุผลทถ่ี ูกตอ้ ง คำน้ีมาจากคำวา่ พิจารณ์ หรือวจิ ารณ์ คำหน่ึง ซง่ึ แปลว่า การคิดใครค่ รวญโดยใช้เหตผุ ลและคำวา่ ญาณ คำหน่งึ ซึ่งแปลว่าปญั หาหรอื ความรู้ในช้ันสูง วจิ ารณญาณในการฟังและดู คือการรบั สารใหเ้ ขา้ ใจเนอื้ หาสาระใช้ปญั ญาคดิ ใครค่ รวญโดยอาศัยความรู้ ความคดิ เหตุผล และประสบการณ์ประกอบแลว้ สามารถนำไปใชไ้ ดอ้ ย่างเหมาะสม การฟงั และดูให้เกดิ วิจารณญาณนน้ั มีขัน้ ตอนในการพัฒนาเป็นลำดับบางทีกอ็ าจเปน็ ไปอยา่ งรวดเร็ว บาง ทกี ต็ อ้ งอาศัยเวลา ทงั้ นยี้ ่อมขึ้นอยู่กับพื้นฐานความรู้ ประสบการณข์ องบุคคลและความยงุ่ ยากซบั ซอ้ นของเรอื่ ง หรอื สารทฟ่ี งั ขั้นตอนการฟงั และดอู ยา่ งมวี จิ ารณญาณมดี ังน้ี 1. ฟงั และดูใหเ้ ขา้ ใจเร่อื ง เม่อื ฟังเร่ืองใดก็ตามผู้ฟงั จะตอ้ งต้งั ใจฟงั เรอื่ งนน้ั ใหเ้ ขา้ ใจตลอดเรอ่ื ง ใหร้ ้วู ่าเนื้อ เรอ่ื งเปน็ อย่างไร มีสาระสำคัญอะไรบา้ ง พยายามทำความเข้าใจรายละเอียดทงั้ หมด 2. วิเคราะห์เรอ่ื ง จะตอ้ งพจิ ารณาวา่ เรอื่ งเป็นเรือ่ งประเภทใดเปน็ ขา่ ว บทความ เร่ืองส้ัน นทิ าน นิยาย บทสนทนา สารคดี ละคร และเป็นรอ้ ยแก้วหรอื ร้อยกรอง เปน็ เร่ืองจรงิ หรือแต่งข้นึ ต้องวเิ คราะหล์ ักษณะของตงั ละคร และกลวิธีในการเสนอสารของผูส้ ง่ สารให้เขา้ ใจ 3. วนิ จิ ฉยั เรอ่ื ง คือการพิจารณาเร่อื งท่ฟี ังวา่ เป็นข้อเท็จจรงิ ความรูส้ ึกความคิดเหน็ และผสู้ ง่ สารหรอื ผ้พู ดู ผแู้ สดงมเี จตนาอย่างไรในการพูดการแสดง อาจจะมีเจตนาทีจ่ ะโนม้ นา้ วในจรรโลงหรอื แสดงความคิดเหน็ เป็น เรื่องทมี่ ีเหตมุ ีผลมหี ลักฐานน่าเชอ่ื ถือหรอื ไม่และมีคุณคา่ มีประโยชนเ์ พยี งใด สารทใ่ี หค้ วามรู้
สารทใี่ หค้ วามร้บู างครัง้ ก็เขา้ ใจง่าย แตง่ บางครัง้ ทเ่ี ปน็ เรอ่ื งสลบั ซบั ซ้อนกจ็ ะเข้าใจยาก ตอ้ งใชก้ ารพินิจ พิเคราะหอ์ ย่างลกึ ซึ้ง ทัง้ นย้ี อ่ มขนึ้ กับเรอื่ งทเ่ี ขา้ ใจง่ายหรอื เขา้ ใจยาก ผู้รบั มีพ้นื ฐานในเรอื่ งที่ฟงั เพยี งใด ถ้าเปน็ ข่าวหรือบทความเกยี่ วหบั เกษตรกรผู้มีอาชีพเกษตรย่อมเขา้ ใจง่าย ถ้าเป็นเรื่องเกยี่ วกบั ธรุ กจิ นกั ธุรกจิ กจ็ ะไดเ้ ข้าใจ งา่ ยกว่าผูม้ ีอาชีพเกษตร และผพู้ ูดหรอื ผสู้ ่งสารกม็ สี ่วนสำคญั ถ้ามคี วามรูใ้ นเรื่องนัน้ เปน็ อยา่ งดีรูว้ ิธเี สนอ กจ็ ะ เข้าใจได้ง่าย ขอ้ แนะนำในการรบั สารทใี่ ห้ความร้โู ดยใช้วิจารณญาณมีดงั น้ี 1. เมอ่ื ไดร้ บั สารทใี่ หค้ วามรู้เร่ืองใดต้องพิจารณาว่าเร่อื งนน้ั มคี ุณค่าหรือมีประโยชน์ควรแก่การใช้ วจิ ารณญาณมากน้อยเพียงใด 2. ถา้ เร่อื งทตี่ อ้ งใชว้ ิจารณญาณไมว่ า่ จะเป็นขา่ ว บทความ สารคดี ขา่ ว หรือความรเู้ ร่ืองใดกต็ าม ตอ้ งฟงั ด้วยความตั้งใจจับประเดน็ สำคัญใหไ้ ด้ ตอ้ งตคี วามหรือพนิ จิ พจิ ารณาวา่ ผ้สู ่งสารต้องการสง่ สารถงึ ผรู้ ับคอื อะไร และตรวจสอบหรอื เปรียบเทยี บกบั เพ่อื น ๆ ที่ฟังรว่ มกันมาวา่ พิจารณาได้ตรงกันหรอื ไมอ่ ย่างไร หากเหน็ ว่า การฟังและดูของเราต่างจากเพ่ือนดอ้ ยกว่าเพอื่ นจะไดป้ รบั ปรงุ แกไ้ ขให้มปี ะสทิ ธิภาพการฟังพฒั นาขนึ้ 3. ฝกึ การแยกแยะขอ้ เทจ็ จรงิ ข้อคดิ เห็น เจตคตขิ องผพู้ ดู หรือแสดงทมี่ ตี อ่ เรอ่ื งทพี่ ดุ หรือแสดงและฝึก พิจารณาตัดสินใจวา่ สารทฟี่ ังและดูน้นั เช่อื ถือได้หรือไม่ และเชอ่ื ถือได้มากน้อยเพยี งใด 4. ขณะทฟี่ ังควรบนั ทกึ สาระสำคญั ของเรื่องไว้ ตลอดทัง้ ประเด็นการอภิปรายไว้เพ่ือนำไปใช้ 5. ประเมนิ สารท่ใี หค้ วามร้วู ่า มีความสำคัญมคี ุณค่าและประโยชนม์ ากนอ้ ยเพียงใด มแี ง่คิดอะไรบา้ ง และ ผสู้ ่งสารมีกลวธิ ใี นการถ่ายทอดทดี่ นี า่ สนใจอยา่ งไร 6. นำคณุ คา่ ประโยชน์ขอ้ คิด ความร้แู ละกลวธิ ีตา่ ง ๆ ที่ได้จากการฟงั ไปใชใ้ นการดำเนินชวี ิตประจำวนั การ ประกอบอาชพี และพฒั นาคณุ ภาพชีวิต พัฒนาชมุ ชนและสงั คมได้อย่างเหมาะสม สารทโ่ี นม้ น้าวใจ สารทโี่ นม้ น้าวใจเปน็ สารทเี่ ราพบเห็นประจำจากสอ่ื มวลชน จากการบอกเล่าจากปากหน่ึงไปสู่ปากหน่ึง ซงึ่ ผสู้ ่งสารอาจจะมจี ดุ มุ่งหมายหลายอยา่ งท้งั ที่ดี และไม่ดี มปี ระโยชนห์ รือให้โทษจุดมุ่งหมายทใี่ หป้ ระโยชน์กค็ ือ โน้ม น้าวใจใหร้ ักชาติบา้ นเมือง ให้ใชจ้ ่ายอย่างประหยดั ใหร้ กั ษาสิ่งแวดล้อม ให้รักษาสาธารณสมบตั ิและประพฤตแิ ต่ส่ิง ท่ดี งี าม ในทางตรงขา้ มผ้สู ่งสารอาจจะมีจุดมุ่งหมายให้เกดิ ความเสียหาย ม่งุ หมายทจ่ี ะโฆษณาชวนเชอื่ หรอื ปลุก ปั่น ยยุ งให้เกดิ การแตกแยก ดงั น้ันจงึ ตอ้ งมีวิจารณญาณ คดิ พจิ ารณาให้ดกี ว่าสารนั้นเปน็ ไปในทางใด หลักการฟงั อย่างวจิ ารณญาณ การฟังอยา่ งวจิ ารณญาณมีหลักปฏบิ ตั ิดังนี้ ผ้ฟู ังพจิ ารณาวา่ ฟงั เร่อื งอะไรเปน็ การฟังประเภทบทความ บทสมั ภาษณก์ ารเลา่ เร่อื งสรุปเหตุการณ์ ใคร เป็นคนพดู คนสัมภาษณ์ ใครเป็นคนเขียนบทความ และหวั ขอ้ น้นั มคี ณุ ค่าแก่การฟังหรือไม่ 1.1 พจิ ารณาผ้สู ง่ สารวา่ มจี ดุ มุ่งหมาย และมคี วามจรงิ ใจในการสง่ สารนั้นเพียงใด
1.2 พิจารณาผ้สู ง่ สารวา่ มีความรู้ ประสบการณ์หรือความใกลช้ ดิ กับเร่ืองราวในสารน้ันเพยี งใด 1.3 พิจารณาผู้ส่งสารวา่ ใช้กลวธิ ีในการสง่ สารน้ันอยา่ งไร คอื วธิ ีการธรรมดาหรอื ยอกยอ้ นซ่อนปมอยา่ งไร 1.4 พิจารณาเนอ้ื หาของสารว่า สว่ นใดเปน็ ข้อเท็จจริง สว่ นใดเปน็ ขอ้ คดิ เห็น 1.5 พิจารณาสารวา่ เป็นไปได้ และควรเชอ่ื เพียงใด 1.6 ผู้ฟงั ควรประเมินว่าสงิ่ ทฟี่ ังมีประโยชน์และมีคุณค่ามากนอ้ ยเพยี งไร หลักการแยกข้อคดิ เห็นและขอ้ เทจ็ จรงิ ในการรบั ฟงั สาร นอกจากจะจับใจความสำคัญของเรอื่ งท่ฟี ังแลว้ นกั เรยี นจะตอ้ งแยะแยะไดว้ า่ ใจความตอนใดเปน็ ขอ้ คดิ เหน็ สว่ นตวั ของผพู้ ดู ซ่ึงจะมลี กั ษณะเมอ่ื พิจารณาความ ถกู ตอ้ งไดย้ าก และตอนใดเป็นขอ้ เทจ็ จริง ซ่งึ เป็นเร่อื งที่สามารถพสิ ูจน์ความถูกต้องได้ การแยกข้อเท็จจริงและ ข้อคดิ เห็นมดี งั นี้ 1. การแยกข้อเทจ็ จริง เปน็ ข้อมลู ท่ีสามารถพิสจู นไ์ ด้ เห็นว่าเปน็ จริงหรือเป็นเท็จ ไดจ้ ากตวั เลขเชงิ ปรมิ าณ ต่างๆ ที่มอี ยู่ซึง่ ทำการตรวจสอบได้ดงั นี้ เชน่ ประชา หนัก 50 กโิ ลกรมั ,โอภาสสูงกว่าเสกสรรค์ 2. ความคดิ เหน็ เป็นเร่อื งของการคาดคะเนหรอื การทำนายโดยอาศยั เหตุผลส่วนตัวซึง่ ควรจะเปิดโอกาสให้ มีการโตแ้ ยง้ หรือสนับสนุน เช่นของเกา่ ดีกวา่ ของใหม่ มเี งนิ ดกี วา่ มีเกียรติ
Search
Read the Text Version
- 1 - 4
Pages: