Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชนิดของคำ

ชนิดของคำ

Published by kittiwanthongaram, 2021-08-07 10:00:04

Description: ชนิดของคำ

Search

Read the Text Version

ชนิดของคำ สำระสำคญั การศึกษาชนิด และหนา้ ที่ของคา จะช่วยใหเ้ ขา้ ใจโครงสร้างของประโยค อนั จะส่งผลต่อความเขา้ ใจในเรื่อง การส่ือความหมาย และทาใหก้ ารส่ือสารมีประสิทธิผลตามตอ้ งการ ดงั น้นั การศึกษาชนิดและหนา้ ท่ีของคา จึงเป็น พ้ืนฐานท่ีสาคญั ในการเรียนเรื่องหลกั และการใชภ้ าษาไทย ผลกำรเรียนรู้ทค่ี ำดหวงั ๑. อธิบายชนิด หนา้ ที่ และใหค้ วามหมาย ของคาได้ ๒. วเิ คราะห์คาตา่ ง ๆ ในประโยคไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และใชค้ าชนิดตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมถูกตอ้ งตรงตามหนา้ ที่ ๓. ระบุคานาม คาสรรพนาม คากริยา คาวเิ ศษณ์ คาบุพบท คาสนั ธาน คาอุทาน และคาอนุภาคได้ ควำมหมำยของคำ คา คือกลุ่มของเสียงท่ีประกอบไปดว้ ยเสียงพยญั ชนะ สระ วรรณยกุ ต์ ที่มนุษยเ์ ปล่งออกมา หรือเขียน ก่อใหเ้ กิด ความหมาย เพอ่ื ใชส้ าหรับส่ือสารกนั คาสามารถถ่ายทอดโดยการพดู และการเขียนเป็ นตวั อกั ษร การพดู อาศยั เสียงเป็น ส่ือ ส่วนการเขียน การอา่ น ตอ้ งใชต้ วั อกั ษรเป็นสื่อ ซ่ึงถอ้ ยคาที่เป็นตวั อกั ษรจะประกอบไปดว้ ย รูปพยญั ชนะตน้ สระ วรรณยกุ ต์ ตวั สะกด และตวั การันต์ อยา่ งนอ้ ยถอ้ ยคาจะตอ้ งมีส่วนประกอบ ๓ ส่วนข้ึนไป และสูงสุด ๕ ส่วน ตวั อยา่ งเช่น o กา พยญั ชนะตน้ ก สระ อา วรรณยกุ ต์ สามญั o ป่ า วรรณยกุ ต์ เอก o บ้าน  ส่วนประกอบ ๓ ส่วน วรรณยกุ ต์ โท o ธีร์ วรรณยกุ ต์ สามญั พยญั ชนะตน้ ป สระ อา  ส่วนประกอบ ๓ ส่วน พยญั ชนะตน้ บ สระ อา ตวั สะกด น ตวั การันต์  ส่วนประกอบ ๔ ส่วน พยญั ชนะตน้ ธ สระ อี  ส่วนประกอบ ๔ ส่วน พิเศษ o กาญจน์ พยญั ชนะตน้ ก สระ อา วรรณยกุ ต์ สามญั ตวั สะกด ญ ตวั การันต์  ส่วนประกอบ ๕ ส่วน ลองทำดู ๑. รกั ษ์ พยญั ชนะตน้ ........ สระ ....... วรรณยกุ ต์ ......... ตวั สะกด ............ + .................... ๒. กุฏิ ๓. พ่าห์ สว่ นประกอบ ............................................... ๔. วทิ ย์ ๕. กลาย พยัญชนะตน้ ........ สระ ....... วรรณยกุ ต์ ......... ตวั สะกด ............ + .................... ส่วนประกอบ ............................................... พยัญชนะตน้ ........ สระ ....... วรรณยุกต์ ......... ตัวสะกด ............ + .................... สว่ นประกอบ ............................................... พยัญชนะต้น ........ สระ ....... วรรณยกุ ต์ ......... ตัวสะกด ............ + .................... สว่ นประกอบ ............................................... พยัญชนะต้น ........ สระ ....... วรรณยุกต์ ......... ตวั สะกด ............ + .................... ส่วนประกอบ ............................................... เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๑

ชนิดของคำ เพลง ชนิดของคำ ชนิดของคาตามหลกั ภาษาไทย จาแนกออกไปได้ ๗ ชนิด บูรพาจารยท์ ่านคน้ คิด จาแนกชนิดให้เราศึกษา คือคานาม คาสรรพนาม ติดตามดว้ ยคากริยา คาวเิ ศษณ์ คาบุพบท ต่อมา อีกคาสันธาน และคาอุทาน สรุปจากบทเพลง . ชนิดที่ ๑ คำนำม เพลง คำนำม คาเอ๋ยคานาม คือคาเรียกช่ือคนสัตวส์ ่ิงของ แบง่ เป็น ๕ พวกเราตอ้ ง ทาความเขา้ ใจ ใส่ใจติดตาม หน่ึงสามานยนาม สองวสิ ามานยนาม สามสมุหนาม ส่ีลกั ษณนาม หา้ อาการนาม ควำมหมำยของคำนำม คานาม คือคาท่ีใชเ้ รียกส่ิงที่มีชีวติ และไมม่ ีชีวติ ท้งั รูปธรรม และนามธรรม เช่น คน พืช สตั ว์ สิ่งของ สถานท่ี อารมณ์ ความรู้สึก ฯลฯ คานามแบง่ ออกเป็น ๕ ชนิดไดแ้ ก่ ๑. สำมำนยนำม (สามานย – ส. สามญั , ป. ทวั่ ไป + นาม – ป.ส. ชื่อ) คือ คาที่ใชเ้ รียกนามทวั่ ๆ ไป ไม่เจาะจง ระบุความหมายกวา้ งๆ เช่น คน สัตว์ พืช หมา แมว ตน้ ไม้ ดอกไม้ วดั โรงเรียน ฯลฯ สามานยนาม อาจแบ่งไดเ้ ป็น ๒ ประเภท ไดแ้ ก่สามานยนามใหญ่ และสามานยนามยอ่ ย เช่น ต้นไม้ (สามานยนามใหญ)่ กล้วยไม้ (สามานยนามยอ่ ย) กหุ ลาบ (สามานยนามยอ่ ย) ๒. วสิ ำมำนยนำม (วสิ ามานย – ส. ไม่ทวั่ ไป เฉพาะ + นาม – ป.ส. ชื่อ) คือ คาท่ีใชเ้ รียกชื่อนามที่เฉพาะเจาะจง ระบุความหมายแคบ และช้ีเฉพาะ เช่น นายจนั หนวดเข้ียว(วรี บุรุษ) มาดอนน่า(นกั ร้อง) สาธิตเกษตร(โรงเรียน) สุนทร ภู(่ กว)ี ควนี สิริกิติต์ิ(กลว้ ยไม)้ อเลก็ ซ์เรด(กหุ ลาบ) ฯลฯ เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๒

ตัวอย่ำงแผนภูมิสำมำนยนำม และวสิ ำมำนยนำม ต้นไม้ (สามานยนามใหญ)่ กล้วยไม้ (สามานยนามยอ่ ย) กหุ ลาบ (สามานยนามยอ่ ย) ควีนสิริกติ ิต์ิ (วสิ ามานยนาม) อเล็กซ์เรด (วสิ ามานยนาม) ลองทำดู จงสร้างแผนภูมิความเชื่อมโยงของคาสามานยนาม และวิสามานยนาม ๑ กล่มุ ๓. สมุหนำม (สมุห – ป. สมหู , ส. หมู่ กอง พวก + นาม – ป.ส. ช่ือ) คือคาท่ีใชเ้ รียกช่ือนามท่ีเป็นหมวดหมู่ บง่ บอกจานวนมาก เช่น คณะ ฝงู กอง นิกาย บริษทั สารับ ก๊ก เหล่า ชุด กลุ่ม โขลง หมู่ ฯลฯ ๔. ลกั ษณนำม (ลกั ษณะ – ส. ลกั ขณะ , ป. สมบตั ิเฉพาะตวั + นาม – ป.ส. ชื่อ) คือ คาที่ใชบ้ อกลกั ษณะ รูปพรรณ สัณฐาน ของสามานยนาม ลกั ษณะนามเป็นเอกลกั ษณ์ของภาษาไทยประการหน่ึง แสดงใหเ้ ห็นถึงความละเอียดลออใน การใชภ้ าษา ลกั ษณนามแบ่งออกเป็ น ๖ กลุ่ม ดงั น้ี ๔.๑ บอกชนิด เช่น พระภิกษุ สามเณร บาทหลวง = รูป , ยกั ษ์ ฤษี = ตน , ชา้ งป่ า = ตวั , ชา้ งบา้ น = เชือก ฯลฯ ๔.๒ บอกอาการ เช่น บุหร่ี = มวน , พลู = จีบ , ไต้ = มดั , ขนมจีน = จบั , ผา้ = พบั , คมั ภีร์ใบลาน = ผกู ฯลฯ ๔.๓ บอกรูปร่าง เช่น รถ = คนั , บา้ น เปี ยโน จกั ร = หลงั , กลว้ ย = เครือ หวี ลูก , ปากกา = ดา้ ม ฯลฯ ๔.๔ บอกหมวดหมู่ เช่น ฟื น = กอง , ทหาร = หมวด , พระ = นิกาย , ละคร = โรง , กบั ขา้ ว = สารับ ฯลฯ ๔.๕ บอกจานวน มาตรา เช่น ตะเกียบ = คู่ , ดินสอ = โหล , เงิน ทอง = บาท , ผา้ = เมตร , ที่ดิน = ไร่ งาน ตรว. ฯลฯ ๔.๖ ลกั ษณนามซ้านาม เช่น วดั โรงเรียน คะแนน คน อาเภอ จงั หวดั ฯลฯ เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๓

๕. อำกำรนำม (อาการ - ป.ส. ความเป็นอยู่ ความเป็ นไป สภาพ + นาม – ป.ส. ชื่อ) คือ คานามที่บอกกิริยาอาการ อารมณ์ความรู้สึก สภาวะในจิตใจท่ีเป็ นนามธรรม ใช้ “การ” และ “ความ” นาหนา้ คากริยา และคาวเิ ศษณ์ ตวั อยา่ งเช่น การ = การวง่ิ การกิน การเดิน การอ่านหนงั สือ การออกกาลงั กาย การดูโทรทศั น์ การเรียน ฯลฯ ความ = ความดี ความชว่ั ความสวย ความงาม ความง่วง ความสะอาด ความสุข ความรัก ฯลฯ ข้อควรสังเกต ถา้ คาวา่ “การ” และ “ความ” ตามดว้ ยคานาม จดั วา่ เป็นการสร้างคาแบบคาประสม ซ่ึงจะจดั เป็นชนิดของ คาสามานยนาม เช่นคา “การบา้ น การเมือง การไฟฟ้ า การรถไฟ การทางพิเศษ ความแพง่ ความอาญา ฯลฯ” หน้ำทข่ี องคำนำม ๑. คานามทาหนา้ ที่เป็ นประธานของประโยค เช่น  มด เป็ นสตั วท์ ่ีขยนั ที่สุดในโลก  นักกฬี า คนน้ีใชย้ าเพ่ิมพลงั ในการแข่งขนั  บุพการี เป็ นบุคคลที่เราควรเคารพ  ๒. คานามทาหนา้ ที่เป็ นกรรม หรือผถู้ กู กระทา เช่น  งูกิน กบ  เต่ากิน ผกั บุ้ง  นกั เขียนคนน้ี แปล หนงั สือไวห้ ลายเล่ม  ๓. คานามทาหนา้ ที่เป็ นบทขยายนามอ่ืน เพอ่ื ใหใ้ จความชดั เจนยง่ิ ข้นึ เช่น  คลื่นยกั ษ์ สึนามิ ซดั ถลม่ ๖ จงั หวดั ภาคใตข้ องไทย  นกั เรียน โรงเรียนสาธิตเกษตร เป็นผรู้ อบรู้ สูช้ ีวติ จิตมนั่ คง ดารงคณุ ธรรม  ๔. คานามทาหนา้ ที่ขยายกริยา และใชต้ ามหลงั คาบุพบท เพอื่ บอกสถานท่ี เช่น  ฉนั ชอบวง่ิ ออกกาลงั ในสวนสาธารณะ (บอกสถานท่ี)  มาริโอน้ ดั พบฉนั ที่ร้านไอศกรีม (บอกสถานที่)  พอ่ แม่ยอมเสียสละไดเ้ พื่อลกู (ขยายกริยา)  ๕. คานามทาหนา้ ท่ีขยายกริยาหรือคานามอื่น โดยใชบ้ อกเวลา  ฉนั ชอบดื่มน้าตอนเช้า  ภาวะโลกแปรปรวน ทาใหเ้ ราตอ้ งระวงั พายฤุ ดูร้อน  ข่าวเทย่ี งวนั เสนอแต่เรื่องการประทว้ ง  ๖. คานามท่ีใชเ้ ป็ นคาเรียกขาน เพื่อเนน้ หรือบอกความรู้สึก เช่น  คณุ หมอคะ ดิฉนั มาบริจาคเลือดคะ่  มาริโอ้จ๋า เธอรู้ตวั ไหมวา่ เธอหลอ่ มาก  นกั เรียนคะ ต้งั ใจเรียนสิคะ หา้ มหลบั  เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๔

ชนิดที่ ๒ คำสรรพนำม เพลง คำสรรพนำม คาสรรพนาม คือคาที่ใชแ้ ทนนาม แทนใครก็ตามที่เป็นผพู้ ดู และผฟู้ ัง แทนคนท่ีเรากล่าวถึง แตก่ ู มนั มึงไม่ควรเอ่ยอา้ ง เธอ ฉนั เขา เรา น่าฟัง เหล่าน้ีคือคาสรรพนาม ควำมหมำยของคำสรรพนำม คาสรรพนาม คือคาที่ใชแ้ ทนคานามในการใชเ้ รียกคน สัตว์ สิ่งของ แบง่ เป็น ๖ ชนิด ไดแ้ ก่ ๑. บุรุษสรรพนาม เป็นสรรพนามท่ีใชแ้ ทนนามในการเรียกบุคคล ซ่ึงเป็นผรู้ ่วมในกระบวนการสื่อสาร คือ เป็ น ผพู้ ดู ผฟู้ ัง และผถู้ ูกกล่าวถึง แบง่ ออกเป็น สรรพนามบุรุษที่ ๑ ที่ ๒ และ ท่ี ๓ เช่น  บุรุษท่ี ๑ เช่น ตู ฉนั ผม กระผม ดิฉนั เรา ขา้ พเจา้ อาตมา ขา้ พระพุทธเจา้ ฯลฯ  บุรุษท่ี ๒ เช่น สู เธอ คุณ ทา่ น ใตเ้ ทา้ ใตฝ้ ่ าละอองธุลีพระบาท ฝ่ าพระบาท เจา้ ฯลฯ  บุรุษท่ี ๓ เช่น เขา ท่าน พวกเขา หล่อน มนั พระองค์ ฯลฯ ๒. ประพนั ธสรรพนาม เป็น สรรพนามท่ีใชเ้ ชื่อมประโยคยอ่ ย ทาหนา้ ท่ีแทนคานามหรือ สรรพนามท่ีอยู่ ขา้ งหนา้ ไดแ้ ก่คาวา่ ท่ี ซ่ึง อนั ผู้ เช่น  คน ท่ี มีความเป็นหมอ ตอ้ งเมตตา  ธรรมะ อันก่อใหเ้ กิดสนั ติสุข คืออหิงสา  บุคคล ผ้ฝู ึกสมาธิมาอยา่ งดียอ่ มฟังจบั ใจความไดด้ ี  เขาพยายามทาการบา้ น ซึ่งไมม่ ีใครทามา ๓. วภิ าคสรรพนาม เป็นสรรพนามที่ใชแ้ ยกส่วนคานาม หรือสรรพนามท่ีอยขู่ า้ งหนา้ เช่น ต่าง บา้ ง กนั  นกั เรียนบ้างก็จด บา้ งก็ฟังขณะครูสอน  เราเรียนห้องเดียวกนั มาหลายปี  ในการสอบของนกั เรียน ม.๒ ทุกคนต่างต้งั ใจทาเตม็ ท่ี ๔. นิยมสรรพนาม เป็ นสรรพนามที่ใชแ้ ทนนามเพื่อช้ีเฉพาะเจาะจง หรือช้ีบอกระยะ เช่น น่ี น้ี นน่ั น้นั โน่น โนน้ อยา่ ง น้ี อยา่ งน้นั เช่นน้ี เช่นน้นั ฯลฯ  นี่ คือผลแห่งความต้งั ใจของเรา  นั่น เป็นเรื่องของการเมือง ไม่ควรยงุ่ เก่ียว  เธอไปชิม โน่น ส่วนฉนั จะกิน น่ี ๕. อนิยมสรรพนาม เป็ นสรรพนามที่ใชแ้ ทนนามเพื่อบอกความไม่ช้ีเฉพาะเจาะจง ใชแ้ ทนนามทว่ั ไป เช่นคาวา่ ใคร อะไร ไหน ผใู้ ด อะไรๆ ไหนๆ ใครๆ ฯลฯ  ใคร ก็สามารถไปสวนสนุกได้ ไม่จาเป็นตอ้ งเป็นเด็ก  ฉนั กินไดท้ ุกอยา่ งไม่วา่ เป็ น อะไร  ผ้ใู ด ขยนั เรียนในวนั น้ี ผนู้ ้นั จะสบายในวนั หนา้ เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๕

๖. ปฤจฉาสรรพนาม เป็นสรรพนามใชแ้ ทนนามที่มีเน้ือความเป็นคาถาม เช่น ใคร ไหน อะไร ผใู้ ด ฯลฯ  ใคร จะไปรับประทานอาหารกบั ฉนั บา้ ง  อะไร วางอยบู่ นโตะ๊ ในห้องน้นั  ผ้ใู ด บงั อาจหยบิ ดินสอของครูโดยไม่ไดร้ ับอนุญาต  ไหน แมวตวั ใหม่ของเธอ หน้ำทข่ี องคำสรรพนำม ๑. ใชเ้ ป็นประธานของประโยค เช่น  เขา ซ้ือเส้ือใหม่เพราะมีนดั กบั แฟน  ใคร ไมม่ ีสตางคก์ เ็ ขา้ ไปดูภาพยนตร์ในโรงหนงั ไมไ่ ด้  ไหน เป็นบา้ นของนายกรัฐมนตรี  นี่ เป็นเร่ืองที่ฉนั ยอมไม่ได้ ๒. ใหเ้ ป็นกรรมของประโยค เช่น  วนั น้ีมีคาบวา่ ง นกั เรียนจะทาอะไรก็ได้  เกา้ อ้ีตวั น้ีเป็นของใคร  นกั เรียนช่วยกนั ทาความสะอาดสนาม ๓. ใชเ้ ป็นผรู้ ับใชข้ องประธาน เช่น  พอ่ ใหฉ้ นั ไปซ้ือกบั ขา้ วหนา้ บา้ น  แม่ใหเ้ ราอยเู่ ฝ้ าบา้ นวนั เสาร์  ศอฉ.ประกาศหา้ มผใู้ ดออกจากบา้ นเวลาหลงั ๓ ทุม่ ๔. ใชเ้ ป็นส่วนเติมเตม็ เช่น  คุณเป็นใคร  ผอู้ านวยการโรงเรียนคนใหม่คือใคร  หินกอ้ นน้นั รูปร่างคลา้ ยอะไร ๕. ใชเ้ ชื่อมประโยค เช่น  ทา่ นท้งั หลายจงฟังและทาตาม ที่ เขาพดู  วาระสุดทา้ ยของ คนเห็นแก่ตวั กไ็ มต่ ่างจาก ผ้เู สียสละ ๖. ใชต้ ิดตามนามท่ีทาหนา้ ที่ประธานหรือกรรมของประโยค เพ่ือเนน้ ความรู้สึก  เจา้ เบตา้ มนั ชอบนอนหอ้ งแอร์กบั ฉนั  วณี า เธอต่อสู้เพือ่ ผหู้ ญิงทุกคนมาตลอด  หลวงพอ่ ท่านเทศนใ์ หเ้ ราไม่เป็นคนเห็นแก่ตวั เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๖

ชนิดที่ ๓ คำกริยำ ควำมหมำยของคำกริยำ คากริยา คือ คาท่ีแสดงอาการ สภาพ หรือการกระทาของคานาม และคาสรรพนามในประโยค คากริยาบางคา อาจมีความหมายสมบูรณ์ในตวั เอง บางคาตอ้ งมีคาอื่นมาประกอบ และบางคาตอ้ งไปประกอบคาอื่นเพอ่ื ขยายความ คากริยาแบง่ ออกเป็น ๔ ชนิด ดงั น้ี ๑. สกรรมกริยา คือคากริยาท่ีตอ้ งมีกรรมมารองรับ จึงจะไดใ้ จความสมบรู ณ์ เช่น  แม่คา้ ขายผลไม้  นอ้ งตัดกระดาษ  ฉนั เห็นงูเห่า  พอ่ ซ้ือของเล่นมาใหน้ อ้ ง  ฉนั กนิ ขา้ ว ๒. อกรรมกริยา คือคากริยาที่ไมต่ อ้ งมีกรรมมารับก็ไดค้ วามหมายสมบรู ณ์ ชดั เจนในตวั เอง เช่น  ครูยนื  นอ้ งน่ังบนเกา้ อ้ี  ฝนตกหนกั  เดก็ ๆ หวั เราะ ๓. วกิ ตรรถกริยา คือคากริยาที่ไม่มีความหมายในตวั เอง ใชต้ ามลาพงั แลว้ ไมไ่ ดค้ วาม ตอ้ งมีคาอื่นมาประกอบจึงจะ ไดค้ วาม คาท่ีมารับน้นั ไมใ่ ช่กรรมแต่เป็นส่วนเติมเตม็ หรือมาช่วยขยายความหมายใหส้ มบรู ณ์ คากริยาพวกน้ีไดแ้ ก่ เป็น เหมือน คลา้ ย เท่า คือ เสมือน ดุจ เช่น  ผม เป็ น นกั เรียน  ลูกคนน้ี คล้าย พอ่  เขาคอื ครูของฉนั เอง  รองเทา้ ๒ คูน่ ้ีเหมือนกนั  ลูกดุจแกว้ ตาของพอ่ แม่ ๔. กริยานุเคราะห์ หรือ กริยาช่วย เป็นคาท่ีเติมหนา้ คากริยาหลกั ในประโยคเพื่อช่วยขยายความหมายของคากริยา สาคญั เป็นกริยาที่ไม่มีความหมายในตวั เอง ทาหนา้ ท่ีช่วยคากริยาใหม้ ีความหมายชดั เจนข้ึน ไดแ้ ก่ จง กาลงั ได้ แลว้ ตอ้ ง อยา่ จง โปรด ช่วย ควร คงจะ อาจจะ จะ ยอ่ ม คง ยงั ถูก เถอะ เทอญ เป็ นตน้ ตวั อยา่ งเช่น  นายแดง จะไป โรงเรียน  เธอ รีบ ไปเถอะ  เธออาจจะถูกตาหนิ  ลูกควรเตรียมตวั ใหพ้ ร้อม  เขาคงจะมา เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๗

ข้อควรสังเกต กริยาคาว่า ถกู ตามปกติจะใช้กับกริยาที่มีความหมายไปในทางไม่ดี เช่น ถกู ตี ถกู ดุ ถกู ตาหนิ ถ้า หคนว้ำามทหข่ี มอายงใคนำทกางรดิยีอำาจใช้คาว่า ได้รับ เช่น ได้รับคาชมเชย ได้รับเชิญ เป็นต้น ๑. ทาหนา้ ท่ีเป็นกริยาสาคญั ของประโยค เช่น  คนกนิ ขา้ ว  นกบินมา ๒. ทาหนา้ ท่ีเป็นประธานของประโยค (กริยาสภาวมาลา) เช่น  กนิ มากทาใหอ้ ว้ น ๓. ทาหนา้ ท่ีเป็นกรรมของประโยค (กริยาสภาวมาลา) เช่น  ฉนั ชอบเต้นแอร์โรบิกตอนเชา้ ๔. ทาหนา้ ท่ีช่วยขยายกริยาสาคญั ใหม้ ีความหมายชดั เจนยงิ่ ข้ึน เช่น  พ่ีคงจะกลบั บา้ นเยน็ น้ี ๕. ทาหนา้ ที่ช่วยขยายคานามใหเ้ ขา้ ใจเด่นชดั ข้ึน เช่น  ฉนั ชอบกินก๋วยเต๋ียวผดั  นอ้ งชายชอบกินไขต่ ้ม ชนิดท่ี ๔ คำวเิ ศษณ์ ควำมหมำยของคำวเิ ศษณ์ คาวเิ ศษณ์ หมายถึง คาที่ใชป้ ระกอบ หรือขยาย คานาม สรรพนาม คากริยา หรือคาวเิ ศษณ์ เพ่ือใหไ้ ดใ้ จความ ชดั เจนและละเอียดมากข้ึน หรือคาที่ใชข้ ยายคานาม คาสรรพนาม คากริยา และคาวิเศษณ์ เพอ่ื บอกเวลา บอกลกั ษณะ บอกจานวน บอกขนาด บอกคุณภาพ บอกสถานที่ ฯลฯ แบง่ ออกเป็ น ๑๐ ชนิด ดงั น้ี ๑. ลกั ษณวเิ ศษณ์ คือ คาวเิ ศษณ์ท่ีประกอบเพ่ือบอกลกั ษณะตา่ ง ๆ เช่น บอกชนิด สี สณั ฐาน ขนาด เสียง อาการ กลิ่น รส ความรู้สึก เป็นตน้ เช่นคาวา่ “ดี ชวั่ ขาว ดา กลม แบน ใหญ่ เล็ก โครม เปร้ียง เร็ว ชา้ เหมน็ หอม หวาน เปร้ียว เยน็ ร้อน หนาว ฯลฯ”  คนพาลยอ่ มมีสนั ดานบาป  คนดีตกน้าไมไ่ หล ตกไฟไมไ่ หม้  บางคร้ังทางานเร็วไปกเ็ ป็นผลเสีย ๒. กำลวเิ ศษณ์ คือ คาวเิ ศษณ์ที่ประกอบเพื่อบอกกาลเวลา เช่นคาวา่ “เชา้ สาย บา่ ย เท่ียง เยน็ ค่า ฯลฯ” เช่น  เขามาก่อนจึงไดก้ ่อน เธอมาหลงั ก็ตอ้ งไดห้ ลัง  ฉนั ออกเดินไปโรงเรียนทุกเช้า  ขณะน้ีเรากาลงั ร้องเพลง ๓. สถำนวเิ ศษณ์ คือ คาวเิ ศษณ์ที่ประกอบเพ่ือบอกสถานที่ เช่นคาวา่ “บน ล่าง เหนือ ใต้ ไกล ใกล้ ฯลฯ” เช่น  ฉนั เก็บของไวช้ ้นั บน เก็บสตางคไ์ วช้ ้นั ล่าง เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๘

 ขนุ แผนเดินทางไปทางทิศเหนือ  เขาเลือกเรียนท่ีนี่เพราะอยใู่ กล้ ๔. ประมำณวเิ ศษณ์ คือ คาวเิ ศษณ์ ที่ประกอบเพือ่ บอกปริมาณ และจานวนนบั เช่นคาวา่ “ มาก นอ้ ย หลาย ท้งั หลาย จุ บรรดา ท้งั หมด บาง ทุก บา้ ง กนั หน่ึง สอง สาม ฯลฯ” เช่น  เขากินจทุ ี่สุดในบรรดาแขกที่มางานวนั น้ี  เราคดั ตวั แทนเพียงสองคน จากผสู้ มคั รจานวนมาก ๕. นิยมวเิ ศษณ์ คือ คาวเิ ศษณ์ที่ประกอบเพื่อบอกความช้ีเฉพาะ หรือจากดั ไปวา่ เป็ นเช่นน้นั เช่นน้ี ส่ิงน้นั ส่ิงน้ี เช่นคา วา่ “นี่ น้ี นน่ั น้นั โน่น โนน้ ท้งั น้ี ท้งั น้นั อยา่ งน้ี อยา่ งน้นั ดงั น้ี ดงั น้นั แท้ จริง เฉพาะ เอง ดอก แน่นอน ทีเดียว เจียว เทียว ฯลฯ” เช่น  ฉนั เป็นคนกินขนมหมดเอง  เม่ือเกิดการทุจริตอย่างนี้ รัฐมนตรีตอ้ งรับผดิ ชอบ ๖. อนิยมวเิ ศษณ์ คือ คาวเิ ศษณ์ท่ีประกอบเพ่ือบอกความไม่ช้ีเฉพาะ ไม่เจาะจง ไม่จากดั เช่นคาวา่ “ไหน อะไร ใด ก่ี ทาไม เช่นไร ฯลฯ” เช่น  นกั เรียนคนใดจะไปก่อนกไ็ ด้  ครูอนุญาตใหน้ กั เรียนเรียนห้องไหนก็ได้  เธอจะมีคนรักกคี่ นฉนั กไ็ ม่วา่ เป็นคนเช่นไรฉนั กไ็ มร่ ังเกียจ ๗. ปฤจฉำวเิ ศษณ์ คือ คาวเิ ศษณ์ที่ประกอบเพื่อบอกเน้ือความเป็นคาถาม หรือความสงสัยท่ีตอ้ งการให้ตอบ เช่นคาวา่ “ใด ไร ไหน กี่ อะไร ทาไม ฉนั ใด เช่นไร ไหม อนั ใด อยา่ งไร เทา่ ไร ไย ฯลฯ” เช่น  เวรกรรมอันใดหนอที่ทาใหเ้ ธอสอบไม่ผา่ น  คุณรู้ไหมวา่ เขาเป็ นลูกใคร ๘. ประติชญำวเิ ศษณ์ คือ คาวเิ ศษณ์ท่ีประกอบเพอื่ บอกเสียงร้องเรียก และเสียงขานรับหรือโตต้ อบ เพื่อแสดงความ สละสลวยของภาษา และแสดงระดบั ภาษา ความเป็นกนั เอง หรือทางการ ความสุภาพ สนิทสนม (ปัจจุบนั นกั ภาษาศาสตร์ บางทา่ นกาหนดรวมคาชนิดน้ีกบั “คาอนุภาค”) เช่น  นกั เรียนขาครูใหข้ ีดเส้นใตส้ ีแดงค่ะ  แมค่ รับ ผมขออนุญาตไปดูหนงั ครับ  นิมนตพ์ ระคุณเจา้ ทางน้ีขอรับ  โจโ้ ว้ย มวั ทาอะไรอยวู่ ะ ๙. ประตเิ ษธวเิ ศษณ์ คือ คาวิเศษณ์ที่ประกอบเพอ่ื บอกความปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับ เช่นคาวา่ “ไม่ มิใช่ ไมใ่ ช่ บ บ่ บมิ มิได้ ไมไ่ ด้ หามิได้ หา...ไม่ หาไม่” เช่น  เธอไม่เคยนินทาเพื่อนลบั หลงั เลย เพื่อนจึงรักมาก  คนเราใช่จะอยคู่ ้าฟ้ า ๑๐. ประพนั ธวเิ ศษณ์ คือ คาวเิ ศษณ์ที่ประกอบคากริยา หรือคาวิเศษณ์ เพื่อเชื่อมประโยคใหม้ ีใจความเก่ียวเน่ืองกนั เช่นคาวา่ “ท่ี ซ่ึง อนั อยา่ งที่ ชนิดท่ี ให้ วา่ ท่ีวา่ เพอื่ เพ่ือวา่ ฯลฯ” เช่น เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๙

 เขาเป็นคนตลกชนิดทไี่ ม่มีใครตามมุขทนั  เขามกั จะทาอะไรอย่างท่ีตอ้ งการจะทา  คนฉลาดทไ่ี มม่ ีคุณธรรม เป็ นอนั ตรายอยา่ งยงิ่  ครูลงโทษนกั เรียนเพอื่ ให้เขด็ หลาบ ข้อควรสังเกต หน้ำทข่ี องคำวเิ ศษณ์ ๑. ทาหนา้ ท่ีขยายคานาม เช่น  ผมเป็นเจา้ ของบา้ นเล็กในป่ าใหญ่หลงั น้นั  ลูกศิษยท์ ุกคนเขา้ ร่วมในพธิ ีไหวค้ รู ๒. ทาหนา้ ที่ขยายคาสรรพนาม เช่น  พวกเราบางคนเทา่ น้นั ท่ีไดร้ ับเลือกใหล้ งเรือ  ฉนั เองก็ไมแ่ น่ใจวา่ จะพดู ดีหรือไม่ ๓. ทาหนา้ ท่ีขยายคากริยา เช่น  เธอกินมากจนลงพงุ  เดก็ ๆ อย่ากินมมู มาม เด๋ียวจะติดคอ ๔. ทาหนา้ ท่ีขยายคาวเิ ศษณ์ เช่น  เขาพดู เร็วมากจนฉนั ฟังไม่รู้เร่ือง ชนิดท่ี ๕ คำบุพบท ควำมหมำยของคำบุพบท คาบุพบท หมายถึง คาที่ใชเ้ ช่ือมความระหวา่ งคา แสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งคาต่อคา หรือใชต้ น้ ประโยคเพื่อ เป็นคาร้องเรียกหรือทกั ทาย (ปัจจุบนั ไมน่ ิยม) แบง่ ออกเป็ น ๒ ลกั ษณะ ๑. บุพบทที่แสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งคาต่อคา เช่น คานามกบั นาม นามกบั สรรพนาม นามกบั กริยา สรรพนาม กบั กริยา กริยากบั วเิ ศษณ์ เพอ่ื บ่งบอกสถานการณ์ใหช้ ดั เจน เช่น  บอกความเป็ นเจ้าของ o ปากกาดา้ มน้ีเป็น ของเขา (ปากกาของเขา) o แม่เตรียมอาหารสาหรับคนงาน เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๑๐

 บอกความเกย่ี วข้อง o เขาตอ้ งการแต่เธอเท่าน้นั o เธอจะไปกบั ฉนั หรือจะไปกบั เขา  บอกจุดหมาย o เขาทางานน้ีเพอ่ื ช่ือเสียง o เด็กคนน้ีขอทานเพอ่ื ความอยรู่ อด  บอกเวลา o ผมมารอคุณตั้งแต่เชา้ o เรารู้จกั กนั เม่อื ๑๐ ปี ท่ีแลว้  บอกสถานที่ o เรานดั เจอกนั ทโี่ รงหนงั โดยบงั เอิญ o ตน้ ตระกลู ของเขามาจากปักก่ิง  บอกความเปรียบเทยี บ o เธอสวยเหมือนแม่ o เขาสูงกว่านอ้ ง ๒. บุพบทท่ีไมแ่ สดงความสมั พนั ธ์กบั บทอื่น ส่วนมากจะอยตู่ น้ ประโยค ใชเ้ ป็ นคาร้องเรียก หรือทกั ทาย เช่นคาวา่ “ดูกร ดูก่อน ดูรา ดูแน่ะ ขา้ แต่ ฯลฯ” ใชน้ าหนา้ คานามหรือสรรพนาม ปัจจุบนั ไม่นิยมใชแ้ ลว้ ชนิดที่ ๖ คำสันธำน คาสันธาน คือคาท่ีใชเ้ ชื่อมระหวา่ งประโยค ๒ ประโยค หรือเช่ือมประโยคหลายประโยคเพอื่ รวมใหเ้ ป็น ประโยคเดียวกนั แบ่งเป็ น ๓ ชนิด คือ ๑. สันธำนเช่ือมประโยคควำมรวม ๑. เช่ือมให้ใจควำมคล้อยตำมกนั ไดแ้ ก่ ก็ และ แลว้ ...จึง คร้ัน...ก็ คร้ัน...จึง เม่ือ...ก็ พอ...ก็ ท้งั ...ก็ ก็ดี ก็ตาม เช่น  ถ้ำฝนไม่ตกฉนั กจ็ ะมาหาเธอ  คร้ันน้าลดลงชาวบา้ นจึงกลบั ไปซ่อมบา้ น  ท้งั ฝนก็ตกรถกต็ ิดหงุดหงิดเป็นบา้ ๒. เช่ือมให้ใจควำมขัดแย้งกนั ไดแ้ ก่ แตง่ , แต่ทวา่ , แต.่ ..ก็, กวา่ ...ก,็ ถึง...ก็, แม.้ ..ก็ เช่น  เขาอยากเรียนเก่งแต่ไม่เคยอา่ นหนงั สือ  กว่ำลูกจะโตเป็นผใู้ หญ่ แม่ก็ผอมเหลือแต่กระดูก  แม้วา่ เขาจะพา่ ยแพม้ าหลายครังเขากไ็ มเ่ คยทอ้ ถอย เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๑๑

๓. เชื่อมให้ใจควำมเป็ นเหตุเป็ นผลกนั ไดแ้ ก่ เพราะ...จึง,ดว้ ย...จึง,เพราะฉะน้นั ...จึง,ดงั น้นั ...จึง  เพรำะเขาเจบ็ เขาจึงจา  ด้วยเธอเป็นเจา้ นายจึงไม่อาจแสดงความรู้สึกท่ีแทจ้ ริงต่อเขา  เครื่องยนตเ์ กิดขดั ขอ้ งดังน้ันกปั ตนั จึงตดั สินใจนาเคร่ืองบินลงกลางทุง่ นา ๔. เชื่อมให้มีใจควำมเลอื กเอำอย่ำงใดอย่ำงหน่ึง ไดแ้ ก่ หรือ ไม่เช่นน้นั ไม่ก็ มิฉะน้นั หรือมิฉะน้นั เช่น  เธอจะนอนหรือเธอจะไปดูหนงั กบั ฉนั  ลูกควรอ่านหนงั สือไม่กท็ าการบา้ น  เธอควรอา่ นหนงั สือหรือมิฉะน้ันก็ทาการบา้ น ๒. สันธำนเช่ือมประโยคควำมซ้อน ๑. เพือ่ เชื่อมประโยคความซอ้ นชนิดนามานุประโยค เพ่ือบอกการกระทาหรือเน้ือความแห่งคาพดู โดยมีคาวา่ ให้ วา่ เป็นตวั เช่ือม เช่น  พอ่ บอกให้ผมอา่ นหนงั สือ  แมเ่ ตือนฉนั ว่ำอยา่ ลืมเล้ียงแมว ๒. เพอ่ื เชื่อมประโยคความซอ้ นชนิดวเิ ศษณานุประโยค  เพอ่ื แสดงเวลำ เช่น เรารู้จกั กนั ต้งั แต่เด็ก  เพอื่ แสดงเหตุผล หอ้ งสกปรกเพรำะทุกคนทิง้ ขยะไม่เป็นท่ี  เพอ่ื บอกผล เขาเล่นการพนนั จนเมียทิ้ง  เพอ่ื แสดงควำมเปรียบเทยี บ เธอติดตามเขาทุกฝีกา้ วดุจเงาตามตวั ๓. สันธำนเช่ือมเนือ้ ควำมให้ต่อกนั ๑. เพอื่ เชื่อมเนือ้ ควำมให้ต่อเน่ืองประสำนกนั เช่น อนึ่ง ฝ่ ำย ส่วน เช่น  ตอ้ งการผจู้ ดั การฝ่ ายบุคคล เพศหญิง อายุ 25-30 ปี การศึกษาปริญญาตรี นาหลกั ฐาน การศึกษา สมคั รไดท้ ี่ บริษทั นมั เบอร์วนั จากดั บางนา กรุงเทพฯ อนึ่ง ถา้ ทา่ นสนใจ ขอรายละเอียดเพมิ่ เติมไดท้ ี่ โทร 0-2223-4321 ๒. เพอื่ เช่ือมควำมให้สละสลวย เช่น อนั อนั ว่ำ ทำไมกบั อย่ำงไรกต็ ำม อย่ำงไรกด็ ี โดยเฉพำะอย่ำงยง่ิ ถึง กระน้ัน...ก็  อนั ความดียอ่ มปกปักรักษาคนดี ขา้ พเจา้ ไดก้ งั วลใจตอ่ วกิ ฤตการณ์คร้ังน้ีไม่  ถึงอย่ำงไร ขา้ พเจา้ กจ็ ะไมล่ ะทิ้งพวกทา่ นเพ่อื เอาตวั รอดเป็ นแน่  อนั ว่ำ ชายชาติทหารแมต้ วั ตาย กข็ อเพยี งใหช้ ่ือปรากฎอยู่ ใหค้ นเขาเลื่องลือ เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๑๒

หน้ำทขี่ องคำสันธำน ๑. เช่ือมคำกบั คำ เช่น  ฉนั และเธอชอบเล่นดนตรีไทย  หมาหรือแมวท่ีเธอชอบเล้ียง ๒. เช่ือมประโยคกบั ประโยค เช่น  กว่ำถว่ั จะสุกงากไ็ หม้  เพรำะฝนตกหนกั ดงั น้ันน้าจึงท่วม ๓. เช่ือมข้อควำมกบั ข้อควำม  ข้ึนช่ือวา่ ทรัพยย์ อ่ มเป็นส่ิงท่ีพึงปรารถนา ผคู้ นพากนั แสวงหาสะสม เพราะเช่ือวา่ ทรัพยย์ อ่ มบนั ดาลทุกส่ิง แม้ ความฝันก็ทาใหเ้ ป็นจริงได้ บา้ งใชท้ รัพยซ์ ้ืออิสตรี บา้ งใชท้ รัพยง์ า้ งลูกกรงเหล็ก บา้ งใชท้ รัพยป์ ิ ดปากผอู้ ่ืน แต่ กระน้ัน ใครบา้ งจะใชท้ รัพยซ์ ้ือความรักและความจริงใจไดบ้ า้ ง ยง่ิ กว่ำน้ัน ในชวั่ ชีวติ ของทา่ น เคยเห็นใครใช้ ทรัพยซ์ ่ือความแก่และความตายไดบ้ า้ ง ที่แทท้ รัยพค์ ือบว่ ง เมื่อหลงเขา้ ไปแตะตอ้ ง มนั ก็รัดเอา ยง่ิ ดิ้นมนั ยงิ่ รัด แน่น ดังนี้ ทา่ นจกั แสวงหาสะสมทรัพยไ์ ปไย * ข้อสังเกต คำบุพบท คำสันธำน  เขารักแต่เธอ  เขารักเธอแต่เธอไม่รักเขา  เขาทาตามคาส่งั ของพอ่  เขาทาตามพอ่ ส่งั  เธอเล่นน้านานจนค่า  เธอเล่นน้านานจนเป็ นหวดั  พอ่ แมท่ างานหนกั เพอ่ื ลูก  พอ่ แม่ทางานเพอื่ เล้ียงลูก           ชนิดท่ี ๗ คำอทุ ำน คาอุทาน คือคาที่ใชแ้ สดงอารมณ์ ความรู้สึก แบง่ ออกเป็น ๒ ชนิด ไดแ้ ก่ ๑. คำอทุ ำนบอกอำกำร เป็ นคำอทุ ำนเพอื่ บอกอำรมณ์ควำมรู้สึกของผู้พดู เช่น เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๑๓

 อารมณ์โกรธ ชิๆ ชิชะ อุเหม่ ดูดู๋ เหมๆ่  อารมณ์สงสาร โถ อนิจจงั อนิจจา พทุ โธ่พทุ ธงั เอ๋ย โธ่เอ๋ย  อารมณ์ดีใจ ไชโย เฮ้  อารมณตกใจ โอะ๊ วา๊ ย คุณพระช่วย  ความรู้สึกเจบ็ อุย๊ โอย๊ โอย  ความรู้สึกสงสัย เอ เอ๊  ความรู้สึกประหลาดใจ โอโ้ อ เอะ๊ เอ๋ โอะ๊  ความรู้สึกราคาญ แหม อุบะ๊  ความรู้สึกผดิ หวงั โธ่เอย๊ เฮอ้ วา้ ๒. คำอทุ ำนเสริมบท  เสริมบททเี่ ป็ นคำสร้อย ในคาประพนั ธ์ประเภทโคลงและร่าย เช่น คาวา่ นา แฮ เฮย แล รา ฮา เอ คาเหล่าน้ีไม่ มีความหมาย ใชเ้ ติมในคาประพนั ธ์ใหค้ รบฉนั ทลกั ษณ์เทาน้นั เช่น ครูคือผอู้ าจกลา้ กลางสมร ภูมิเฮย หมเู่ ดก็ คอยราญรอน ตอ่ สู้ ใชช้ อลก์ ปากกาสอน การาบ ศึกนำ นาศิษยใ์ หร้ อบรู้ หากลว้ นเวยี นมา ฯ  เสริมบททเี่ ป็ นคำแทรก ระหวา่ งคาหรือไวท้ า้ ยขอ้ ความ เช่น ชิ สิ นา เอย เฮย เอ๋ย เช่น ป่ าเอ๋ยป่ าไม้ กบเอยทาไมจึงร้อง สนุกนิเราเศร้าสิ้น อะไรเอ่ยส่ีตีนเดินมาหลงั คามุมกระเบ้ือง ลุกมาซิลุกมารา  เสริมบทเพอ่ื เลยี นเสียงคำเดิม อาจเสริมท่ีหนา้ หรือหลงั ก็ได้ เช่น อุทานที่มีลกั ษณะเลียนเสียงคาเดิม อาหงอาหาร กินแกน็ กงการ ดีเด่ ยากเยกิ ขนมขตม้ ขโมยขโจร เส้ือเส้อ กางโกงกางเกง กระดูกกระเด้ียว จมูกจปาก พยายงพยายาม สีเสอ หนงั สือหนงั หา ไปเปย  อุทำนทมี่ ีลกั ษณะเป็ นคำซ้อนแทรกระหว่ำงคำ เช่นคา วดั วาอาราม ไร่นาสาโท ผา้ ผอ่ นท่อนสไบฤกษพ์ านาที ปื นผาหนา้ ไม้ ลูกเตา้ เหล่าใคร เทือกเถาเหล่ากอ ภูเขาเลากา สิงห์สาราสตั ว์ โป้ ปดมดเทจ็ โกหกพกลม ล่มหวั จมทา้ ย หน้ำทขี่ องคำอทุ ำน ๑. ใช้ตำมลำพงั เพอ่ื บอกอำรมณ์ควำมรู้สึก เช่น ช่วยดว้ ย โอโ้ ฮเฮะ ฮา้ เฮย๊ วา๊ ๒. ใช้ร่วมกบั ข้อควำมอนื่  อนิจจำ ทาไมถึงโชคร้ายแบบน้ี  รถรำติดแบบน้ีเป็นปกติ  โธ่ บอกวา่ ไมไ่ ปเซา้ ซ้ีอยไู่ ด้  โอ๊ย ปวดแผลจงั เลย เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๑๔

๓. ใช้ประกอบข้อควำมในคำประพนั ธ์ เช่น ป่ าเอ๋ยป่ าชา้ วงั เอ๋ยวงั เวง ครืนครืนครึกคร่าคร้ืน ครวญเครง ครางฮำ อึดอดั อึกอกั เอง อกอ้นั วนั วา้ วนุ่ วงั เวง วนวก เวยี นเฮย นิราศนุชนวลนอ้ งน้นั เนตรน้านองนาน ลบั สมอง ทดลองควำมรู้ ๑. คาท่ีขีดเส้นใตใ้ นประโยคต่อไปน้ีเป็นคาชนิดใด โดยเลือกจากชนิดของคาที่กาหนดให้ต่อไปน้ี ตัวอย่าง เดก็ เล่นอยใู่ นโรงเรียน เป็นคา สำมำนยนำม ๑) กำรเรียน ทาใหค้ นมีคุณภาพชีวติ ที่ดีข้ึน เป็นคา ๒) เธอ เป็นคนที่น่ารักมาก เป็ นคา ๓) หญิงท่ี กาลงั เดินมาเป็ นเจา้ ของบา้ นหลงั น้ี เป็นคา ๔) เขาจะมาทำไม กช็ ่างเขาเถิด เป็ นคา ๕) เธอไม่ไดม้ าโรงเรียนหลำยวนั เป็ นคา ๖) อะไรอยใู่ นกล่อง เป็ นคา ๗) ฉนั ซ่อนเงินไวใ้ ต้หมอน เป็ นคา ๘) กว่ำเธอจะมาถึงฉนั กห็ ลบั แลว้ เป็ นคา ๙) ฉนั ไม่เคยสัญญงิ สัญญำอะไรกบั เขาเลย เป็นคา ๑๐) อุ๊ย ! เจบ็ จงั เลย เป็ นคา ๒. ใหน้ กั เรียนบอกหนา้ ท่ีของคาท่ีขีดเส้นใตต้ ่อไปน้ี ตัวอย่ำง ครู ตีนกั เรียน ทาหนา้ ท่ีเป็น ประธำน ๑) สุนัขถูกรถชน ทาหนา้ ที่เป็น ๒) เขาซ้ือผลไม้ใหน้ อ้ ง ทาหนา้ ท่ีเป็น ๓) คุณมาลีพส่ี ำวของฉันมาถึงแลว้ ทาหนา้ ท่ีเป็น ๔) คุณเป็นใคร ทาหนา้ ที่เป็น ๕) นกจิกผลไม้ ทาหนา้ ท่ีเป็น ๖) วนั น้ีเป็ นวนั หยดุ ทาหนา้ ที่เป็น ๗) ทำควำมดีเป็นสิ่งท่ีทุกคนชอบ ทาหนา้ ท่ีเป็น ๘) เขากินจุมำกๆ ทาหนา้ ที่เป็น ๙) บา้ นหลงั น้ีมีสีฟ้ ำ ทาหนา้ ที่เป็น ๑๐) พ่ชี ายหล่อแต่นอ้ งสาวข้ีเหร่ ทาหนา้ ท่ีเป็น เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๑๕

๓. ใหน้ กั เรียนแตง่ ประโยคโดยใชค้ าบุพบทตอ่ ไปน้ีคาละ ๑ ประโยค พร้อมท้งั ขีดเส้นใต้คาน้นั ดว้ ย ตวั อย่ำง ของ ประโยค หนงั สือเล่มน้ีเป็นของเขา ๑) ด้วย ประโยค ๒) โดย ประโยค ๓) กบั ประโยค ๔) เพอื่ ประโยค ๕) สำหรับ ประโยค ๖) ต่อ ประโยค ๗) แด่ ประโยค ๘) ใต้ ประโยค ๙) ข้ำง ประโยค ๑๐) ริม ประโยค ๔. ใหน้ กั เรียนนาคาต่อไปน้ี ใส่ลงในช่องชนิดของคาใหถ้ ูกตอ้ ง มะม่วง อ๊ยุ ! คุณ สวย หวั เรำะ แต่ ดุ วงิ่ สุนัข ใต้ฝ่ ำละอองธุลพี ระบำท นำยทวีศักด์ิ สีฟ้ ำ ปำกกำ กบั ดี ควำมรัก หนังสือหนังหำ แต่ ใต้ดิน ดอกไม้ คำนำม คำสรรพนำม คำกริยำ คำวเิ ศษณ์ คำบุพบท คำสันธำน คำอทุ ำน เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๑๖

๕. ใหน้ กั เรียนนาคาต่อไปน้ี มาใชป้ ระกอบการแตง่ เรื่องราวที่ใหข้ อ้ คิดสอนใจ ความยาวประมาณ ๕ บรรทดั ขับเคี่ยว สนุกสนำน เรียนพิเศษ ตำยจริง ! หลงลมื ควำมสวยงำม ยงิ่ ใหญ่ วกิ ฤตกำรณ์ เยำวชน เปรียบเทยี บ วงมโหรี กำรสร้ำงคำในภำษำไทย การสร้างคาในภาษาไทย มีจุดประสงคห์ ลกั เพอ่ื เพม่ิ คาใช้ โดยวธิ ีการของตนเอง เร่ิมจากการสร้างคามลู การนา คามลู มาประสมกนั ดว้ ยวธิ ีการประสมคา ซอ้ นคา ซ้าคา โดยเรียกคาที่สร้างข้ึนใหม่น้ีวา่ คามูล คาประสม คาซอ้ น และ คาซ้า นอกจากน้ียงั มีการสร้างคาท่ีนามาจากภาษาตา่ งประเทศ เช่น การสร้างคาโดยวธิ ีสมาส สนธิ การลงอุปสรรค ของภาษาบาลีและสันสกฤต การลงอาคมแบบเขมร การแผลงคาท้งั คาไทยและคาท่ีมาจากภาษาต่างประเทศ ทาให้ภาษา มีความหลากหลาย สะทอ้ นใหเ้ ห็นวิวฒั นาการ และความเจริญดา้ นภาษา ควบคู่กบั ความเจริญทางวทิ ยาการต่าง ๆ ของ ไทย คำมูล คามูล คือหน่วยศพั ทท์ ี่เลก็ ท่ีสุดของภาษาไทย เป็นคาที่มีความหมายสมบูรณ์ในตวั เอง ไมส่ ามารถแยกศพั ทย์ อ่ ย ออกไดอ้ ีก อาจมีพยางคเ์ ดียว หรือหลายพยางค์ ซ่ึงสามารถทาหนา้ ที่ในประโยคไดห้ ลายอยา่ ง ตวั อยา่ งเช่น  คามูลพยางคเ์ ดียว เช่น ชา้ ง มา้ ววั มนั กิน เดิน ร้อน หนาว วา่ ง ล่าง บน ไป ใน ใต้ ฯลฯ  คามลู สองพยางค์ เช่น สะดวก กะทิ จะเข้ ชะลูด ชอุม่ ระหวา่ ง ตะกละ สบาย ฯลฯ  คามูลสามพยางค์ เช่น กะละแม กะละมงั จะละเมด็ มะละกอ จระเข้ สาระแน จา้ ละหวนั่ ฯลฯ  คามูลสี่พยางค์ เช่น โกโรโกโส ตาลีตาลาน คะย้นั คะยอ ฯลฯ  คามลู หา้ พยางค์ เช่น สามะเลเทเมา ฯลฯ คำประสม คาประสม คือ คาที่เกิดจากการประกอบคามลู ท่ีมีความหมายต่างกนั ต้งั แต่สองคาข้ึนไป มีความมุง่ หมายเพอื่ ให้ เกิดคาใหมเ่ พ่มิ ข้ึน และมีความหมายใหมซ่ ่ึงใกลเ้ คียงกบั ความหมายของคามูลเดิม หรือมีความหมายเชิงอุปมาหรือ โดยนยั แต่ยงั มีเคา้ ความหมายของคามลู เดิม เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๑๗

คามลู ท่ีนามาประสมกนั อาจเป็นนาม สรรพนาม กริยา วเิ ศษณ์ และบุพบทกไ็ ดเ้ ช่น  นาม กับ นาม หวั ใจ รถไฟ หมูป่ า  กริยา กับ กริยา ตม้ ยา ขายฝาก กนั สาด  วิเศษณ์ กับ นาม หลายใจ สองหวั  บุพบท กับ นาม นอกคอก ใตเ้ ทา้ คามูลท่ีนามาประสมกนั อาจเป็นคาที่มาจากภาษาใดกไ็ ด้ อาจเป็ นคาไทยกบั คาไทย คาไทยกบั คาที่มาจากภาษา อ่ืน หรือเป็นคาท่ีมาจากภาษาอ่ืนท้งั หมด เช่น  คาไทย กบั คาไทย ทางด่วน ผา้ กนั เป้ื อน เรือหางยาว  คาไทยกับคาที่มาจากภาษาอื่น ผงชูรส ผา้ อนามยั การทางพเิ ศษ ท้งั น้ี คาที่ประสมไดน้ ้นั สามารถทาหนา้ ท่ีในประโยคไดห้ ลากหลาย เช่น  ทาหน้าทเ่ี ป็ นนาม / สรรพนามในประโยค เช่น พอ่ มด พ่อบา้ น พอ่ คา้ แมน่ ้า แม่นม ลูกเสือ ลูกไล่ ลูกกรง ลูกมือ น้าตก น้าครา น้าพุ น้าคา้ ง ช่างไม้ ช่างทอง ช่างฟิ ต ช่างฝีมือ ชาวบา้ น ชาวนา ชาวเกาะ เคร่ืองบิน เคร่ืองเคียง หวั หนา้ หวั ใจ หวั เข่า หวั โลน้ นกั เรียน นกั ร้อง นกั การ นกั การเมือง หมอตาแย หมอลา หมอ ยา ของร้อน ของขลงั ของเล่น ของใช้ ของกิน ท่ีทากิน ที่นงั่ ท่ีอยู่ ท่ีจอดรถ ที่วา่ การ ที่รัก ที่ปรึกษา การบา้ น การเมือง การรถไฟ การไฟฟ้ า  ทาหน้าทเ่ี ป็ นกริยาในประโยค เช่น เสียเด็ก เสียเปรียบ เสียแรง เสียหนา้ เสียเหลี่ยม เสียงาน ยกเคา้ ยกเมฆ ยกหาง ยกครู ยกเครื่อง กินแรง กินเมือง กินเล้ียง กินท่ี กินดิบ กินโตะ๊ กินเปล่า กินดอง ต้งั ใจ นอนใจ เยน็ ใจ เป็นใจ ไดใ้ จ นอกใจ อ่อนใจ ดีใจ ทาใจ ต้งั ตวั เล่นตวั ถือตวั วางตวั แกต้ วั ไวต้ วั ออกตวั ลืมตวั หกั หนา้ ไดห้ นา้ ไวห้ นา้ ออกหนา้ บากหนา้ เสนอหนา้ ขายหนา้ ถือดี อวดดี ลองดี ไปดี  ทาหน้าทเี่ ป็ นวเิ ศษในประโยค เช่น กินขาด กินแถว กินทาง กินลึก มือกาว มือเก่า มือดี มือบอน มือเป็นระวงิ ตากลบั ตาขวาง ตาขาว ตาเขียว ตาไร้แวว ตาเหลือก ตาลาย ใจดี ใจร้อน ใจเสาะ ใจ หิน ใจเร็ว ใจบุญ สองใจ หลายใจ คอแขง็ ส้นสูง ทอดน่อง ลอยนวล เผาขน เดินตลาด ลอยชาย คำซ้อน คาซ้อน คือ คาท่ีเกิดจากคามลู ต้งั แต่ ๒ คาข้ึนไปซ่ึงมีความหมายเหมือนกนั หรือไปในทานองเดียวกนั หรือมี ความหมายต่างกนั ในลกั ษณะตรงขา้ ม มารวมกนั ทาใหเ้ กิดคาใหมข่ ้ึนมา โดยคาท่ีมาซอ้ นกนั จะทาหน้าทข่ี ยายและไข ความซ่ึงกนั และกนั และทาให้เสียงกลมกลืนกนั ดว้ ย คามลู ที่นามาซอ้ นกนั อาจเป็นนาม กริยา หรือวเิ ศษณ์ก็ได้ คามลู เหล่าน้ีต้องประกอบกบั คาชนิดเดยี วกนั คือเป็น คานามดว้ ยกนั หรือกริยาดว้ ยกนั และทาหนา้ ที่ไดต้ ่างๆ เช่นเดียวกบั ชนิดของคามูลท่ีนามาซอ้ นกนั เช่น  นามกบั นาม เช่น เน้ือตวั เรือแพ ลูกหลาน เส่ือสาด หูตา  กริยากบั กริยา เช่น ทดแทน ชมเชย เรียกร้อง วา่ กล่าว สัง่ สอน  วเิ ศษณ์กบั วิเศษณ์ เช่น เขม้ งวด แขง็ แกร่ง ฉบั พลนั ซีดเซียว เด็ดขาด คามูลที่นามาซอ้ นกนั อาจเป็นคามาจากภาษาใดก็ได้ อาจเป็นคาไทยกบั คาไทย คาไทยกบั คาที่มาจากภาษาอ่ืน หรือเป็นคาที่มาจากภาษาอื่นท้งั หมด เช่น เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๑๘

 คาไทยกบั คาไทย เช่น ผกั ปลา เลียบเคียง อ่อนนุ่ม ออ้ นวอน  คาไทยกบั คาเขมร เช่น แบบฉบบั พงไพร หวั สมอง แจ่มจรัส เขียวขจี เงียบสงดั แบบฉบบั ถนน หนทาง ทรวงอก แสวงหา ยกเลกิ โง่เขลำ  คาไทยกบั คาบาลสี ันสกฤต เช่น เขตแดน โชคลาง พรรคพวก ศรีสง่า หม่คู ณะ ซากศพ รูปร่าง ทรัพย์สิน ขา้ ทำส จิตใจ ซ่ือสัตย์ นัยน์ตา  คาเขมรกบั คาเขมร เช่น ขจดั ขจาย เฉลิมฉลอง  คาบาลสี ันสกฤตกบั คาบาลสี ันสกฤต เช่น สรงสนาน ตรัสประภาษ เสบียงอาหาร  คาไทยซ้อนคาจีน เช่น หุ้นส่วน ห้ำงร้าน ช่ือแซ่ กกั ตุน ตม้ ตุ๋น นง่ั จ๋อ  คาไทยซ้อนคาภาษาอังกฤษ เช่น แบบแปลน แบบฟอร์ม  คาบาลีซ้อนกบั คาสันสกฤต เช่น อิทธิฤทธ์ิ มิตรสหาย เหตุการณ์ ทรัพยส์ มบตั ิ  คาเขมรกบั คาบาลหี รือสันสกฤต เช่น สรงสนาน สุขสบาย เสบียงอาหาร  คาเขมรกบั คาเขมร เช่น สนุกสนาน สงบเสงี่ยม เลอเลิศ เฉลิมฉลอง คามูลท่ีนามาซอ้ นกนั ส่วนมากเป็นคามลู ๒ คา ถา้ มากกวา่ น้นั มกั เป็นคามูล ๔ คา หรือ ๖ คา  คามูล ๒ คา เช่น ขา้ วปลา น่ิมนวล ปากคอ ฟ้ าฝน หนา้ ตา  คามูล ๔ คา อาจมีสัมผสั กลางหรือซ้าเสียง เช่น ไดห้ นา้ ลืมหลงั กหู้ น้ียมื สิน ยากดีมีจนมากหมอมากความ ไป วดั ไปวา ตอ้ นรับขบั สู้  คามูล ๖ คา มกั มีสัมผสั ระหวา่ งกลาง เช่น คดในขอ้ งอในกระดูก จบั ไมไ่ ดไ้ ล่ไมท่ นั ชวั่ เจด็ ทีดีเจด็ หน เมื่อประกอบเป็นคาซอ้ นจะมีความหมายอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ดงั น้ี ๑. ความหมายอยทู่ ี่คาใดคาหน่ึงหรือกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง คาอ่ืนหรือกลุ่มอ่ืนไม่ปรากฏความหมาย เช่น หนา้ ตา ปาก คอ เทจ็ จริง ดีร้าย ผดิ ชอบ ขวญั หนีดีฝ่ อ ถว้ ยชามรามไห จบั ไม่ไดไ้ ล่ไมท่ นั ๒. ความหมายอยทู่ ี่ทุกคาแต่เป็นความหมายที่กวา้ งออกไป เช่น  เส้ือผา้ ไม่ไดห้ มายเฉพาะเส้ือกบั ผา้ แตร่ วมถึงเครื่องนุ่งห่ม  เรือแพ ไม่ไดห้ มายเฉพาะเรือกบั แพ แตร่ วมถึงยานพาหนะทางน้าท้งั หมด  ขา้ วปลา ไม่ไดห้ มายเฉพาะขา้ วกบั ปลา แตร่ วมถึงอาหารทวั่ ไป  พี่นอ้ ง ไม่ไดห้ มายเฉพาะพกี่ บั นอ้ ง แต่รวมถึงญาติท้งั หมด  หมเู ห็ดเป็ดไก่ หมายรวมถึงสิ่งที่ใชเ้ ป็นอาหารท้งั หมด ๓. ความหมายอยทู่ ่ีคาตน้ กบั คาทา้ ยรวมกนั เช่น เคราะห์หามยามร้าย (เคราะห์ร้าย) ชอบมาพากล (ชอบกล) ฤกษง์ ามยามดี ( ฤกษด์ ี ) ยากดีมีจน ( ยากจน ) ๔. ความหมายอยทู่ ี่คาตน้ หรือคาทา้ ย ซ่ึงมีความหมายตรงขา้ มกนั เช่น ชวั่ ดี (ชว่ั ดีอยา่ งไรเขากเ็ ป็ นเพอ่ื นฉนั ) ผดิ ชอบ (ความรับผดิ ชอบ) เทจ็ จริง (ขอ้ เทจ็ จริง) เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๑๙

คำซำ้ คาซ้า เกิดจากการสร้างคาข้ึนใหม่ โดยนาคามลู ซ่ึงส่วนมากเป็นคาพยางคเ์ ดียวมาซ้ากนั มีความหมาย เปลี่ยนแปลงไป อาจเนน้ หนกั ข้ึน เบาลงหรือไมก่ เ็ ปล่ียนเป็นอยา่ งอ่ืน ในการเขียนใชไ้ มย้ มกแทนคาหลงั คาส่วนมาก ใชเ้ ป็นคาซ้าได้ มีเฉพาะบางคาท่ีเป็นคาซ้าไมไ่ ด้ หรือ บางคาตอ้ งเป็ นคาซ้าเท่าน้นั คาทเ่ี ป็ นคาซ้าไม่ได้  กริยาช่วย เช่น จะ คง ได้ อาจ  บุพบท เช่น ของ แห่ง ดว้ ย กบั  สนั ธาน เช่น เม่ือ หลงั จาก ต้งั แต่ และ แต่ หรือ จึง ลกั ษณะของคาซ้า ๑. คาท่ีตอ้ งเป็ นคาซ้า ส่วนมากเป็นคาวเิ ศษณ์ เช่น หยมิ ๆ หลดั ๆ ดิกๆ ยองๆ ๒. นาคาซอ้ นมาแยกเป็นคาซ้า เช่น เจบ็ ไข้ เป็น เจบ็ ๆ ไขๆ้ เลียบเคียง เป็น เลียบๆ เคียงๆ อิดเอ้ือน เป็น อิดๆ เอ้ือนๆ ๓. นาคาซ้ามาประกอบเป็นคาซ้อน เช่น เปร้ียวๆ เคม็ ๆ นง่ั ๆ นอนๆ เราๆ ทา่ นๆ ๔. คาซ้ามีความหมายผดิ ไปจากคามูลเดิม แต่ยงั คงมีเคา้ ของความหมายเดิม บอกพหูพจน์ คาเดิมอาจเป็ นเอกพจน์หรือพหูพจน์กไ็ ด้ เมื่อเป็นคาซ้ากลายเป็นพหูพจน์อยา่ งเดียว เช่น เดก็ ๆ เล่นฟุตบอล หนุ่มๆ มากบั สาวๆ บอกความไม่เจาะจง การจาแนกเป็นพวก และความเป็นพหูพจน์ เช่นเชิญผใู้ หญ่ๆ ไปทางโนน้ เด็กๆ มาทางน้ี ๕. บอกความหมายใหมไ่ ม่เน่ืองกบั ความหมายของคามลู เดิมเช่น พ้ืนๆ (ธรรมดา) กลว้ ยๆ (ง่าย) นอ้ งๆ (เกือบ , ใกล,้ คลา้ ย) อยๆู่ (เกิดข้ึนโดยไม่รู้ตวั ) ๖. คาท่ีออกเสียงซ้ากนั ไม่ใช่คาซ้าเสมอไป คาซ้าจะตอ้ งเป็นคามลู ท่ีออกเสียงซ้ากนั แลว้ เกิดคาใหมข่ ้ึนและมี ความหมายเปลี่ยนไป คาซ้าใชไ้ มย้ มกแทนคามูลหลงั คาที่ออกเสียงซ้ากนั ในบางกรณีเป็นคนละคาและอยตู่ า่ งประโยค กนั ไมจ่ ดั เป็นคาซ้าและใชไ้ มย้ มกแทนคาหลงั ไมไ่ ด้ เช่น เขาทางานเป็ นเป็นเพราะเธอสอนให้ เขาจะไปหาที่ที่สงบ อ่านหนงั สือ แบบฝึ กหดั จงขดี เส้นใต้คาต่อไปน้ี ทเี่ ป็ นคาซ้อน เสื่อสาด วอ่ งไว ฝืดเคือง เชือนแช เบ้ียหอย เก็บหอม ตดั สิน เสาะหา เติบโต อว้ นพี แตกฉาน อ้ือฉาว เขด็ หลาบ ครูบา อดทน แปดเป้ื อน เสียหลาย เดียวดาย เก่ียวขอ้ ง ฉบั ไว คงกระพนั สร้างสรรค์ ละเอียดลออ นงั่ จ๋อ ติดแจ เยน็ เจี๊ยบ เลอเลิศ สรงสนาน ขมีขมนั ทรัพยส์ ิน เฉลิมฉลอง อิทธิฤทธ์ิ ซดั ทอด ทกั ทว้ ง โตแ้ ยง้ คบั แคบ ยนื ยนั ขาดแคลน หลอกลวง อบรม ถากถาง สอดแนม ชกั จงู ขดั แยง้ ปกปิ ด เบียดบงั ลกั ลอบ กีดก้นั ล่วงเกิน ชุกชุม แกไ้ ข เดือดร้อน ซ่ือตรง คุน้ เคย หยาบคาย มงั่ มี เช่ืองชา้ จดั จา้ น สึกหรอ แร้นแคน้ เทง้ เตง้ ล่อนจอ้ น ออ้ มคอ้ ม เดินเหิน กา้ วร้าว เพอ้ เจอ้ จิม้ ลิ้ม ลอมชอม ราบ คาบ รางชาง โกโรโกโส ซู่ซ่า ตมู ตาม ตุต๊ ะ๊ ทึกทกั อึกอกั ตึงตงั เฉอะแฉะ เออออ อุย้ อา้ ย นวั เนีย ย้วั เย้ยี คิกคกั เวงิ้ วา้ ง เร่อร่า เซ่อซ่า เทอะทะ เหวอะหวะ เหนอะหนะ เงอะงะ กะเล่อกะล่า จอแจ วอแว ออ้ แอ้ ทอ้ แท้ ร่อแร่ มอมแมม วอกแวก ยอบแยบ เตาะแตะ เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๒๐

จงนาคาทใ่ี ห้ต่อไปน้ี สร้างเป็ นคาซ้อน และแต่งประโยคให้ได้ใจความสมบูรณ์ 1. ทบั ประโยค 2. เรียบ ประโยค 3. ไว ประโยค 4. เบียด ประโยค 5. ร้าว ประโยค กำรแต่งกลอนสุภำพ บทกลอนเป็นบทร้อยกรองท่ีคนนิยมแตง่ และอา่ นกนั แพร่หลาย มากกวา่ ร้อยกรองประเภทอื่น ๆ ท้งั น้ีอาจเป็น เพราะท่านกวเี อกสุนทรภไู่ ดเ้ ปิ ดทางไวท้ าใหก้ ลอนเป็ นที่นิยมชมชอบในหม่ปู ระชาชนอยา่ งกวา้ งขวางกเ็ ป็นได้ กลอนสุภาพยงั แบ่งออกเป็ นกลอนประเภทตา่ ง ๆ อีกมากมาย เช่น กลอนนิราศ กลอนเสภา นิทาน คากลอน บท ดอกสร้อย บทสักวา กลอนบทละคร ฯลฯ ลกั ษณะบงั คบั ของกลอนมีหลายประการ คือ คณะ พยางค์ สัมผสั เสียงวรรณยกุ ต์ คานา (รวมคาลงทา้ ย) ๑. คณะ กลอนสุภาพบทหน่ึงมี ๒ บาท (คากลอน) บาทท่ี ๑ เรียกวา่ บาทเอก มี ๒ วรรค คือวรรคสดบั (สลบั ) และวรรครับ บาทที่ ๒ เรียกวา่ บาทโท มี ๒ วรรค คือ วรรครอง และวรรคส่ง ๒. พยำงค์ (คาในบทร้อยกรอง) ในกลอนวรรคหน่ึง ๆ จะบรรจุคาไดต้ ้งั แต่ ๖ – ๙ คา โดย กลอนแปดจะ มีจานวน วรรคละ ๘ คา รวม ๔ วรรคเป็น ๓๒ คา (บทกลอนอนุโลมใหม้ ีจานวนคาไดว้ รรคละ ๗ – ๙ คา) ๓. สัมผสั สังเกตไดจ้ ากผงั คาประพนั ธ์ ดงั น้ี กลอนสุภาพพึงจามีกาหนด กลอนหน่ึงบทสี่วรรคกรองอกั ษร วรรคละแปดพยางคน์ บั ศพั ท์สุนทร อาจยงิ่ หย่อนเจด็ หรือเกา้ เขา้ หลกั การ หา้ แห่งคาคลอ้ งจองตอ้ งสมั ผัส สลบั จัดรับรองส่งประสงคส์ มาน เสียงสูงต่าตอ้ งเรียงเยยี่ งโบราณ เป็นกลอนกานต์ครบครันฉนั น้ีเอย ฐะปะนีย์ นาครทรรพ-มล.บญุ เหลือ เทพสุวรรณ ๔. เสียงวรรณยกุ ต์ มีขอ้ ควรระวงั ในการใชเ้ สียงวรรณยกุ ตด์ งั น้ี  คำสุดท้ำยของวรรคสดับ ใชเ้ สียงวรรณยกุ ตไ์ ดท้ ้งั ๕ เสียง แต่เสียงสามญั ไม่คอ่ ยนิยมนกั  คำสุดท้ำยของวรรครับ ส่วนมากนิยมใชเ้ สียงจตั วา และหา้ มใชเ้ สียงสามญั ส่วนวรรณยกุ ตอ์ ่ืน ๆ ก็ใชไ้ ด้ ที่ นิยมใชร้ องจากจตั วากค็ ือ เสียงโท กบั เสียงเอก เสียงตรีไม่ค่อยนิยมใชก้ นั มากนกั และควรระวงั อยา่ ใหเ้ สียงวรรณยกุ ต์ ไปซ้ากบั เสียงของคาที่ส่งสมั ผสั เช่น ถา้ คาสุดทา้ ยของวรรคสดบั เสียงเป็นเอก คารับสมั ผสั กค็ วร เป็นเสียงตรี ตวั อย่ำงเช่น “ชื่นอารมณ์ชมปลาเวลา ดึก หวน ราลกึ แล้วเสียดายไม่วายโหย” คาวา่ “ดึก” และ “ลึก” มีเสียงวรรณยกุ ต์ เอก และ ตรี ตามลาดบั เป็นเสียงวรรณยกุ ตท์ ี่ตา่ งกนั ทาใหเ้ กิดความ ไพเราะ แต่หากเราเปลี่ยนคาวา่ “ราลึก” เป็น “รู้สึก” จะเป็ นเสียงวรรณยกุ ตเ์ ดียวกนั ทาใหค้ วามไพเราะหายไป เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๒๑

 คำสุดท้ำยของวรรครอง นิยมใช้ เสียงวรรณยกุ ตส์ ามญั และตรี ตวั อย่ำงเช่น “เป็นสตรีมิใช่ชายเสียดายศักดิ์ จะปลูกรักเรรวนหาควรไม่ อันความดีมีอย่ดู ูจา ไว้ อย่าพอใจรักชั่วให้มวั มอม” สาหรับวรรครองน้ี หา้ มใชเ้ สียงวรรณยกุ ตร์ ่วมกบั คาสุดทา้ ยในวรรครับ เช่น ถา้ คาสุดทา้ ยในวรรครับเป็ นเสียง เอก คาสุดทา้ ยในวรรครองก็ควรเป็ นเสียงตรี เช่น คาวา่ “ตก” สมั ผสั กบั “ยก” ได้ แต่ สมั ผสั กบั “กก” ไม่ได้  คำสุดท้ำยในวรรคส่ง หา้ มใชเ้ สียงจตั วา นอกน้นั ใชไ้ ด้ เสียงที่นิยมใชก้ นั มากคือ เสียงสามญั กบั เสียงตรี ยงั มี ขอ้ ควรระวงั อีกอยา่ งหน่ึงสาหรับวรรคส่ง คือ หา้ มลงทา้ ยดว้ ยสระเสียงเดียวกนั กบั คาที่ลงทา้ ยในวรรครับ และวรรครอง เช่น ถา้ วรรครับ และวรรครองลงทา้ ยวา่ “สนั ต”์ และ “วรรณ” ก็ไมค่ วรลงทา้ ยวรรคส่งดว้ ยคาที่สัมผสั กบั คาวา่ “วรรณ” อาทิคาวา่ “พนั ” หรือ “บรรณ” เป็นตน้  คำนำ – คำลงท้ำย คานาเป็ นลกั ษณะท่ีบงั คบั เฉพาะกลอนบทละคร กลอนดอกสร้อย และสักวา ส่วนคาลง ทา้ ยก็ใชเ้ ฉพาะดอกสร้อยและสกั วาเป็นส่วนใหญ่ ข้อควรระวงั ในการแต่งกลอน หากเรามวั เพง่ เลง็ แตล่ กั ษณะบงั คบั ของกลอนเพยี งอยา่ งเดียว โดยไมส่ นใจในเรื่องความคิด เราก็จะไดแ้ ตเ่ พยี ง “รูปกาย” ภายนอกของกลอนเทา่ น้นั ไม่ได้ “หวั ใจ” ของกลอนดว้ ย ดงั น้นั เราจึงควรให้ ความสาคญั ท้งั ความคิด และวธิ ีแต่ง จึงจะไดก้ ลอนที่น่าสนใจ และมีคุณคา่ เราจะตอ้ งฝึกคิดในเร่ืองต่าง ๆ ใหไ้ ด้ รวดเร็ว และความคิดน้นั จะตอ้ งแจม่ แจง้ แก่ใจเราก่อน เราจึงจะเขียนกลอนออกมาไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์แบบ ลองทำดู ใหน้ กั เรียน แตง่ กลอนสุภาพ ๒ บท แนะนาตนเอง เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๒๒

กำรพดู การพูด เป็นวธิ ีหน่ึงของการส่ือสาร การถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเขา้ ใจ ความรู้สึก หรือความตอ้ งการ ดว้ ย เสียง ภาษา และกิริยาทา่ ทาง เพื่อใหผ้ รู้ ับฟังรับรู้ เขา้ ใจไดต้ รงตามจุดประสงคข์ องผพู้ ดู การสื่อสารจึงจะบรรลุผลได้ ควำมหมำยของกำรพูด กำรพดู เป็นการสื่อสารดว้ ยภาษา จากตวั ผพู้ ดู ไปยงั ผฟู้ ัง เพอ่ื สื่อความหมายใหผ้ อู้ ่ืนทราบความรู้สึกนึกคิดและ ความตอ้ งการของตน รวมท้งั เป็นการแลกเปลี่ยนข่าวสาร ความรู้ ความคิดเห็น ก่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจซ่ึงกนั และกนั ช่วย ใหก้ ิจการตา่ งๆ ดาเนินไปดว้ ยความเรียบร้อย องค์ประกอบของกำรพูด การพดู มีองคป์ ระกอบสาคญั อยู่ ๓ ประการ ดงั น้ี ผ้พู ูด ผพู้ ดู เป็นผทู้ ี่จะตอ้ งถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดเห็น ขอ้ เทจ็ จริง ตลอดจนทศั นคติของตนสู่ผฟู้ ังโดยใชภ้ าษา เสียง อากบั กิริยาและบุคลิกภาพของตนใหม้ ีประสิทธิภาพมากท่ีสุด ผพู้ ดู จะตอ้ งคานึงถึงมารยาทและคุณธรรม ในการ พดู ดว้ ย ส่ิงสาคญั ท่ีผพู้ ดู จะตอ้ งยดึ ไวเ้ ป็นแนวปฏิบตั ิคือ ผพู้ ดู จะตอ้ งรู้จกั สะสมความรู้ ความคิดและประสบการณ์ที่มี คุณค่า มีประโยชน์ แลว้ รวบรวม เรียบเรียงความรู้ ความคิดเหล่าน้ี ใหม้ ีระเบียบ เพือ่ ท่ีจะไดถ้ ่ายทอดใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจได้ โดยง่าย แจม่ แจง้ การสะสมความรู้ ความคิดและประสบการณ์ ผพู้ ดู สามารถทาไดห้ ลายทาง เช่น จากการอา่ น การฟัง การสงั เกต การกระทาหรือปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง การสนทนากบั ผอู้ ื่นนอกจากน้ีแลว้ ผพู้ ดู จะตอ้ งมีทกั ษะ ในการพดู การคิด การฟัง และ มีความสนใจท่ีจะพฒั นาบุคลิกภาพอยเู่ สมอ ซ่ึงจะช่วยใหผ้ พู้ ดู เกิดความมนั่ ใจในตนเอง สาระหรือเร่ืองราวทพี่ ูด คือ เน้ือหาสาระที่ผพู้ ดู พดู ออกไป ซ่ึงผพู้ ดู จะตอ้ งคานึงอยเู่ สมอวา่ สาระที่ตนพดู น้นั จะตอ้ งมีประโยชนต์ ่อผฟู้ ัง อีกท้งั ควรเป็นเร่ืองท่ีใหม่ ทนั สมยั เน้ือหาจะตอ้ งมีความชดั เจน ผพู้ ดู ตอ้ งขยายความคือ ความรู้ท่ีนาเสนอสู่ผฟู้ ังใหม้ ี ความกระจ่าง ซ่ึงอาจขยายความดว้ ยการยกตวั อยา่ งแสดงดว้ ยตวั เลข สถิติ หรือยกหลกั ฐานต่าง ๆ มาอา้ งอิง การเตรียม เน้ือหาในการพดู มีข้นั ตอน ดงั น้ี ๑. กำรเลอื กหัวข้อเรื่อง ถา้ ผพู้ ดู มีโอกาสเลือกเร่ืองที่จะพดู เอง ควรยดึ หลกั ที่วา่ ตอ้ ง เหมาะสมกบั ผพู้ ดู คือ เป็นเรื่อง ที่ผพู้ ดู มีความรอบรู้ในเร่ืองน้นั และเหมาะสมกบั ผฟู้ ังเป็นเร่ืองที่ผฟู้ ังมีความสนใจ นอกจากน้ีจะตอ้ งคานึงถึงโอกาส สถานการณ์ สถานท่ี และเวลา ท่ีกาหนดใหพ้ ดู ดว้ ย ๒. กำรกำหนดจุดมุ่งหมำยและขอบเขตของเร่ืองทจี่ ะพดู ผพู้ ดู จะตอ้ งกาหนด จุดมุง่ หมายในการพดู แตล่ ะคร้ังให้ ชดั เจนวา่ ตอ้ งการใหค้ วามรู้ โนม้ นา้ วใจหรือเพ่ือความบนั เทิงเพื่อจะไดเ้ ตรียมเร่ืองใหส้ อดคลอ้ งกบั จุดมุ่งหมาย นอกจากน้ีผพู้ ูดจะตอ้ งกาหนดขอบเขตเรื่องที่จะพดู ดว้ ยวา่ จะครอบคลุมเน้ือหาลึกซ้ึงมากนอ้ ยเพียงใด ๓. กำรค้นคว้ำและรวบรวมควำมรู้ ผพู้ ดู ตอ้ งประมวลความรู้ ความคิดท้งั หมดไวแ้ ลว้ แยกแยะใหไ้ ดว้ า่ อะไรคือ ความคิดหลกั อะไรคือความคิดรอง สิ่งใดท่ีจะนามาใชเ้ ป็นเหตุผลสนบั สนุนความคิดน้นั ๆ และที่สาคญั ผพู้ ดู จะตอ้ ง บนั ทึกไวใ้ หช้ ดั เจนวา่ ขอ้ มูลท่ีไดม้ าน้นั มีที่มาจากแหล่งใด ใครเป็นผพู้ ดู หรือผเู้ ขียน ท้งั น้ีผพู้ ดู จะได้ อา้ งอิง ท่ีมาของ ขอ้ มูลไดถ้ ูกตอ้ งในขณะที่พดู เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๒๓

๔. กำรจัดระเบียบเรื่อง คือ การวางโครงเร่ือง ซ่ึงจะช่วยใหก้ ารพดู ไม่วกวน สบั สนเพราะผพู้ ดู ไดจ้ ดั ลาดบั ข้นั ตอน การพดู ไวอ้ ยา่ งเป็ นระเบียบ มีความต่อเนื่อง ครอบคลุมเน้ือหาท้งั หมดช่วยใหผ้ ฟู้ ังจบั ประเด็นไดง้ ่าย การจดั ลาดบั เน้ือ เรื่องจะแบง่ เป็ น สามตอน คือ คานา เน้ือเรื่องและการสรุป ผ้ฟู ัง ผพู้ ดู กบั ผฟู้ ังมีความสัมพนั ธ์กนั โดยผพู้ ดู ตอ้ งเร้าความสนใจผฟู้ ังดว้ ยการใชภ้ าษา เสียง กิริยาท่าทางบุคลิกภาพ ของตน ในขณะเดียวกนั ผฟู้ ังก็มีส่วนช่วยใหก้ ารพดู ของผพู้ ดู บรรลุจุดหมายไดโ้ ดยการต้งั ใจฟัง และคิดตามอยา่ งมี เหตุผล ก่อนจะพดู ทุกคร้ังผพู้ ดู ตอ้ งพยายาม ศึกษารายละเอียดที่เก่ียวกบั ผฟู้ ังใหม้ ากท่ีสุด เช่น จานวนผฟู้ ัง เพศ ระดบั การศึกษา ความเชื่อและค่านิยม ความสนใจของผฟู้ ัง เป็นตน้ การวเิ คราะห์ผฟู้ ังล่วงหนา้ นอกจากจะไดน้ าขอ้ มูล มา เตรียมการพดู ใหเ้ หมาะสมแลว้ ผพู้ ดู ยงั สามารถนาขอ้ มูลน้นั มาใชใ้ นการแกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ ที่อาจจะเกิดข้ึนได้ เหมาะสมกบั สถานการณ์ดว้ ย จุดม่งุ หมำยของกำรพดู โดยทวั่ ไปแลว้ การพดู จะมีจุดมุง่ หมายท่ีสาคญั ๆ อยู่ ๓ ประการ ๑. การพูดเพอ่ื ให้ความรู้ความเข้าใจ การพดู เพื่อจุดมุง่ หมายน้ี เราไดฟ้ ังอยเู่ ป็นประจาไม่วา่ จะเป็นข่าวสารจากวทิ ยุ โทรทศั น์ หรือจากวงสนทนาใน ชีวติ ประจาวนั มีจุดมุ่งหมายที่จะใหผ้ ฟู้ ังเกิดความรู้ความเขา้ ใจในเร่ืองที่ไม่เคยรู้ ไม่เคยมีประสบการณ์หรือมีความรู้ ประสบการณ์บา้ ง แตก่ ็ยงั ไม่กระจ่างชดั การพดู ประเภทน้ี ไดแ้ ก่ การรายงาน การพดู แนะนา การบรรยาย การอธิบายการช้ีแจง ดงั ตวั อยา่ งหวั ขอ้ เร่ืองที่ พดู เพือ่ ให้เกิดความรู้ ความเขา้ ใจ เช่น  ทาอยา่ งไรจึงจะเรียนเก่งและประสบความสาเร็จ  ภยั แลง้  ทาไมราคาพืชผลทางการเกษตรจึงตกต่า  งามอยา่ งไทย  ส่ิงแวดลอ้ มเป็นพษิ ๒. การพูดเพอ่ื โน้มน้าวใจ การพดู เพื่อโนม้ นา้ วใจ เป็นการพดู ท่ีมีจุดมุง่ หมายใหผ้ ฟู้ ังเชื่อและมีความคิดคลอ้ ยตาม ทาหรือไมท่ าตามที่ผพู้ ดู ตอ้ งการหรือมีเจตนา ฉะน้นั ผพู้ ดู จะตอ้ งช้ีแจง ใหผ้ ฟู้ ังเห็นวา่ ถา้ ไม่เช่ือหรือปฏิบตั ิตาม ท่ีผพู้ ดู เสนอแลว้ จะเกิดโทษ หรือ ผลเสียอยา่ งไร การพดู ชนิดน้ีจะประสบความสาเร็จไดด้ ีมากนอ้ ยเพียงไรน้นั ข้ึนอยกู่ บั ตวั ผพู้ ดู เองวา่ มีบุคลิกภาพดีไหม มีการ ใชถ้ อ้ ยคาภาษาที่ง่ายแก่การเขา้ ใจของกลุ่มผฟู้ ังไหม และที่สาคญั คือผพู้ ดู จะตอ้ งมีศิลปะและจิตวทิ ยาในการจูงใจ ผฟู้ ัง ไดเ้ ป็นอยา่ งดี การพดู เพ่ือโนม้ นา้ วใจ จะเห็นตวั อยา่ งไดจ้ ากการพดู เพือ่ หาเสียงในการเลือกต้งั ไม่วา่ จะเพือ่ เป็นหวั หนา้ ช้นั ผแู้ ทนกลุ่ม หรือองคก์ ารต่างๆ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร (สส.) หรือการพดู เพ่ือรณรงคใ์ หผ้ ฟู้ ังเลิกบุหร่ี หรือไม่ กระทาส่ิงใดสิ่งหน่ึง เช่น การพดู เพอื่ ใหช้ ่วยกนั ประหยดั การใชน้ ้ามนั ไฟฟ้ า นอกจากน้ีการพดู เพ่อื โนม้ นา้ วใจจะ นาไปใชม้ ากในดา้ นธุรกิจการขาย การโฆษณาเพ่ือใหผ้ คู้ นหนั มานิยมใชห้ รือซ้ือสินคา้ ตุน เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๒๔

ตัวอย่ำงหัวข้อเรื่องทพ่ี ดู โน้มน้ำวใจ  บริจาคโลหิตช่วยชีวติ มนุษย์  มาเล้ียงลูกดว้ ยนมมารดากนั เถอะ  ฟังดนตรีเถอะช่ืนใจ  ช่วยทาเมืองไทยใหเ้ ป็นสีเขียวดีกวา่  ออกกาลงั กายวนั ละนิดชีวติ แจ่มใส  เหรียญบาทมีความหมายเพื่อเดก็ ยากไร้ในชนบท ๓. การพูดเพอ่ื ความบนั เทงิ การพดู เพ่ือจุดมุง่ หมายน้ีเป็นการพดู ท่ีมุ่งใหผ้ ฟู้ ัง เกิดความเพลิดเพลิน รื่นเริง สนุกสนานผอ่ นคลายความตึง เครียด ในขณะเดียวกนั กแ็ ทรกเน้ือหาสาระ ท่ีเป็นประโยชนแ์ ก่ผฟู้ ังดว้ ยผพู้ ดู จะตอ้ งเป็นบุคคลที่มองโลกในแง่ดี มี อารมณ์ขนั หนา้ ตายมิ้ แยม้ แจ่มใสไมเ่ ป็นคนเคร่งเครียดเอาจริงเอาจงั เกินไป เพราะส่ิงเหล่าน้ีจะมีผลต่อการสร้าง บรรยากาศความเป็ นกนั เองใหเ้ กิดข้ึนได้ ดงั จะเห็นไดจ้ ากรายการตา่ งๆ ทางส่ือมวลชน ไม่วา่ จะเป็นวทิ ยโุ ทรทศั น์ ตวั อย่ำงหวั ข้อเร่ืองทพี่ ดู เพอื่ ควำมบันเทงิ  เราจะไดอ้ ะไรจากการฟังเพลงลูกทุ่ง  ทาอะไรตามใจคือไทยแท้  พดู ใครคิดวา่ ไมส่ าคญั  ที่วา่ รัก รักน้นั เป็นฉนั ใด หลกั กำรพดู ทด่ี ี ผพู้ ดู ท่ีตอ้ งการสื่อความเขา้ ใจกบั ผฟู้ ังใหเ้ กิดความสาเร็จในการส่งสารไดด้ ีน้นั ตอ้ งคานึงถึงหลกั การพดู ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. การออกเสียงให้ถูกต้องตามหลกั ภาษา ไดแ้ ก่  กำรออกเสียงส้ัน – ยำว ตา่ งกนั ความหมายก็ต่างกนั ไปดว้ ย เช่น เกา้ – กา้ ว , เขา้ – ขา้ ว , เทา้ – ทา้ ว o กา้ วเทา้ ไปเกา้ คร้ัง o เขาเดินเขา้ ไปรับประทานขา้ ว o เขาบาดเจบ็ ที่เทา้ ๒. การออกเสียงคาหลายพยางค์ให้ถกู ต้องตามหลักการออกเสียง คาบางคาออกเสียงแบบอกั ษรนา เช่น ดาริ อ่านวา่ ดา – หริ กนก อา่ นวา่ กะ – หนก ดารัส อ่านวา่ ดา – หรัด ปรอท อา่ นวา่ ปะ – หรอด เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๒๕

ผลิต อา่ นวา่ ผะ – หลิด บางคาไมใ่ ช่ คาสมาส แตอ่ า่ นออกเสียงต่อเนื่องแบบคาสมาส เช่น พลเมือง อา่ นวา่ พน – ละ – เมือง เทพเจา้ อา่ นวา่ เทบ – พะ – เจา้ คาบางคาไม่นิยมออกเสียงใหม้ ีเสียงต่อเน่ือง เช่น สัปดาห์ อ่านวา่ สับ – ดา ดาษด่ืน อ่านวา่ ดาด – ดื่น รสนิยม อา่ นวา่ รด – นิ – ยม คุณค่า อา่ นวา่ คุน – ค่า ๓. ออกเสียงคาควบกลา้ ร, ล, ว หรือเป็ นอักษรนาให้ชัดเจนถูกต้อง เช่น ตราด อ่านวา่ ตราด เป็น อกั ษรควบ ตลาด อ่านวา่ ตะ – หลาด เป็น อกั ษรนา จริง อ่านวา่ จิง เป็น อกั ษรควบไม่แท้ คาตอ่ ไปน้ีออกเสียงแบบควบแทท้ ้งั หมด เช่น ปรับปรุง เปล่ียนปลง ปลาบปล้ืม ปลอดโปร่ง พร้อมเพรียง เพราะพริ้ง แพรวพราว เพลิดเพลิน พลุกพล่าน แกวง่ ไกว กวา้ งขวาง ไขวค่ วา้ คลุกเคลา้ คลาดเคล่ือน คลอนแคลน คาบางคาเป็นคาเรียงพยางคก์ นั ไม่ออกเสียงแบบควบกล้า เช่น ปริญญา ออกเสียงวา่ ปะ – ริน – ยา ปราชยั ออกเสียงวา่ ปะ – รา – ไช ปรัมปรา ออกเสียงวา่ ปะ – รา – ปะ – รา ปรินิพพาน ออกเสียงวา่ ปะ – ริ – นิบ – พาน เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๒๖

๔. ไม่ควรออกเสียงให้ห้วนสั้น ตัดคา หรือรัวลน้ิ จนฟังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะ คาหลายพยางค์ เช่น มหาวทิ ยาลยั ไม่ควรออกเสียงวา่ หมา – ลยั วทิ ยาลยั ไม่ควรออกเสียงวา่ วดิ – ลยั ประกาศนียบตั ร ไม่ควรออกเสียงวา่ ปะ – กาด – บดั กิโลเมตร ไม่ควรออกเสียงวา่ กิโล หรือ โล กิโลกรัม ไมค่ วรออกเสียงวา่ กิโล หรือ โล สวสั ดี ไมค่ วรออกเสียงวา่ หวดั – ดี ประธานาธิบดี ไมค่ วรออกเสียงวา่ ปะ – ธา – นา – ดี เฉลิมพระชนมพรรษา ไม่ควรออกเสียงวา่ ฉะ – เหลิม – ชน – สา ๕. ไม่ควรใช้ภาษาพูด ภาษาตลาด ภาษาสื่อมวลชนหรือภาษาโฆษณา ในการพดู กบั คนทว่ั ไป ซ่ึงจะทาใหผ้ ฟู้ ัง เขา้ ใจยากและไมเ่ หมาะสมกบั กาลเทศะและบุคคล เช่น  สาวคนน้นั จดั อยใู่ นวยั เอา๊ ะ ๆ  รัฐธรรมนูญฉบบั น้ีอยใู่ นวยั ดึก  นายตารวจถูกเตะโด่งออกจากพ้ืนท่ี  เขาวง่ิ เตน้ เพ่ือขอยา้ ยไปในท่ีเจริญ  นายตารวจเตน้ ถูก นสพ. คุย้ เบ้ืองหลงั  เจา้ หนา้ ที่บุกคุกลาปางหาขอ้ มูลปรับปรุงเรือนจา ๖. การออกเสียงคาแผลง ควรออกเสียงให้ถกู ต้องตามหลกั ภาษาและความนิยม เช่น ตารวจ ออกเสียงวา่ ตา – หรวด ผนวช ออกเสียงวา่ ผะ – หนวด สาเร็จ ออกเสียงวา่ สา – เหร็ด ถลก ออกเสียงวา่ ถะ – หลก จรวด ออกเสียงวา่ จะ – หรวด หลกั กำรพูดทด่ี ี ๑. การใชภ้ าษา ตอ้ งเลือกใชถ้ อ้ ยคาท่ีเขา้ ใจง่ายเหมาะสมกบั วยั ของผฟู้ ัง ๒. ผพู้ ดู และผฟู้ ังมีจุดมุ่งหมายตรงกนั ผพู้ ดู มีจุดมุง่ หมายท่ีตอ้ งการส่ือความหมายไปยงั ผฟู้ ังเพื่อใหเ้ ขา้ ใจ เรื่องราวต่าง ๆ ผฟู้ ังกม็ ีความต้งั ใจฟังส่ิงท่ีผพู้ ดู ส่ือความหมายให้ ๓. ออกเสียงพดู ใหช้ ดั เจน ดงั พอประมาณ อยา่ ตะโกนหรือพดู ค่อยเกินไป เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๒๗

๔. สีหนา้ ท่าทางยมิ้ แยม้ แจม่ ใส เป็นกนั เอง ไม่เคร่งเครียด ๕. ท่าทางในการยนื นง่ั ควรสง่าผา่ เผย การใชท้ า่ ทางประกอบการพดู ก็มีความสาคญั เช่น การใชม้ ือ นิ้ว จะช่วย ใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจเร่ืองราวไดง้ ่ายยง่ิ ข้ึน ๖. ตอ้ งรักษามารยาทการพดู ให้เคร่งครัดในเร่ืองเวลาในการพูด พดู ตรงเวลาและจบทนั เวลา ๗. พดู เร่ืองใกลต้ วั ใหท้ ุกคนรู้เร่ือง เป็นเรื่องสนุกสนานแต่มีสาระ และพดู ดว้ ยทา่ ทางและกิริยานุ่มนวล เวลาพดู ตอ้ งสบตาผฟู้ ังดว้ ย ๘. ไม่ควรพดู เรื่องเช้ือชาติ ศาสนา การเมือง โดยไม่จาเป็น และไมค่ วรพดู แตเ่ รื่องของตวั เอง ๙. ไม่พดู คาหยาบ นินทาผอู้ ่ืน ไม่พดู แซงขณะผอู้ ื่นพดู อยู่ และไม่ช้ีหนา้ คู่สนทนา มำรยำทในกำรพดู การพดู ที่ดีไม่วา่ จะเป็ นการพูดในโอกาสใด หรือประเภทใด ผพู้ ดู ตอ้ งคานึงถึงมารยาทในการพดู ซ่ึงจะมีส่วน ส่งเสริมใหผ้ พู้ ดู ไดร้ ับการช่ืนชมจากผฟู้ ัง ซ่ึงจะช่วยใหป้ ระสบผลสาเร็จในการพดู มารยาทที่สาคญั ของการพดู สรุป ได้ ดงั น้ี ๑. พดู ดว้ ยวาจาสุภาพ แสดงหนา้ ตาท่ียมิ้ แยม้ แจ่มใส ๒. ไม่พดู อวดตนขม่ ผอู้ ่ืน และยอมรับฟังความคิดของผอู้ ่ืนเป็ นสาคญั ๓. ไม่กล่าววาจาเสียดแทง กา้ วร้าวหรือพดู ขดั คอบุคคลอ่ืน ควรใชว้ ธิ ีที่สุภาพเมื่อตอ้ งการแสดงความคิดเห็น ๔. รักษาอารมณ์ในขณะพดู ใหเ้ ป็นปกติ ๕. ไมน่ าเรื่องส่วนตวั ของผอู้ ื่นมาพดู ๖. หากนาคากล่าวของบุคคลอื่นมากล่าว ตอ้ งระบุนามหรือแหล่งที่มาเป็นการให้เกียรติบุคคลที่กล่าวถึง ๗. หากพดู ในขณะที่ผอู้ ่ืนยงั พดู ไม่จบ ควรกล่าวคาขอโทษ ๘. ไมพ่ ดู คุยกนั ขา้ มศีรษะผอู้ ่ืน กำรเขยี นบทพดู เร่ิมตน้ ดว้ ยการตอบคาถามใหช้ ดั ในความคิดก่อนวา่ “เราตอ้ งการบรรลุเป้ าประสงคใ์ ดจากผฟู้ ัง?” และ“ถา้ เรา ตอ้ งการบรรลุเป้ าประสงคน์ ้นั เราจะวางแผนการส่ือสารดว้ ยคาพดู ของเราอยา่ งไร?” เป้ าหมายท่ีแจม่ ชดั จะช่วยใหเ้ รา วางแผนอยา่ งรอบคอบวา่ จะทาอยา่ งไรใหไ้ ปถึงเป้ าหมายน้นั องคป์ ระกอบสาคญั ท่ีทาใหบ้ ทพดู ของเราจงู ใจน้นั จะตอ้ งประกอบไปดว้ ย ประเด็นนาเสนอท่ีชดั เจน คนฟังรู้ ทนั ทีวา่ เราตอ้ งการพดู อะไร การดาเนินเร่ืองท่ีมีเหตุมีผล ดึงดูดความสนใจ และท่ีขาดไม่ไดค้ ือ อารมณ์ของเราในขณะที่ พดู ควรเป็ นเช่นไร เพือ่ เป็ นส่วนผสมที่จงู ใจอารมณ์ของผฟู้ ังใหค้ ลอ้ ยตาม โดยส่วนใหญแ่ ลว้ เราอาจแบ่งเน้ือหาที่เราตอ้ งการพดู ออกเป็น ๓ ส่วน ส่วนแรก คือ ส่วนเร่ิมตน้ หรือส่วนนา ในส่วนน้ีควรกล่าวถึงหวั ขอ้ ของเน้ือหาที่เราจะพดู เพือ่ ใหผ้ ฟู้ ังรู้วา่ เรา กาลงั จะกล่าวถึงเร่ืองใด ขณะเดียวกนั เป็นส่วนท่ีตอ้ งดึงดูดคนฟัง สร้างความประทบั ใจใหค้ นฟังติดตามสิ่งท่ีเราจะพดู จึงควรมีลูกเล่นโดยอาจเร่ิมตน้ ดว้ ยการเล่าเร่ืองขาขนั เรื่องเล่าจากประสบการณ์ของผพู้ ดู เหตุการณ์ในประวตั ิศาสตร์ เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๒๘

ประวตั ิหรือขอ้ คิดคาคมของบุคคลสาคญั หรือตวั เลขสถิติท่ีน่าสนใจ ซ่ึงเรื่องเหล่าน้ีตอ้ งมีความน่าสนใจ ดึงดูดใจ และที่ สาคญั ตอ้ งเป็นเร่ืองที่เกี่ยวเน่ืองเช่ือมโยงเขา้ กบั เร่ืองท่ีเราจะกล่าวถึงตอ่ ไปอยา่ งกลมกลืน ส่วนทส่ี อง คือ ส่วนเน้ือหาท่ีเราตอ้ งการส่ือสาร ตวั อยา่ งการพดู โนม้ นา้ วใจ ในส่วนน้ีเราจาเป็นตอ้ งพดู “เขา้ ประเด็น” ไม่ออกนอกเรื่อง ไม่อธิบายเยน่ิ เยอ้ แต่ตอ้ งพยายามจูงใจผฟู้ ังใหเ้ ห็นคลอ้ ยตามในสิ่งท่ีเราพดู ในเหตุผลที่เรา นาเสนอใหม้ ากที่สุด ดงั น้นั จึงจาเป็นตอ้ งเตรียมพร้อมอยา่ งดีวา่ เราตอ้ งการพดู อะไร ควรใชเ้ หตุผลขอ้ เท็จจริงอยา่ งไรจึง น่าเชื่อถือ ควรใชภ้ าษาอยา่ งไร ควรพดู ดว้ ยอารมณ์อะไร จงั หวะน้าเสียง สีหนา้ ท่าทางควรเป็ นอยา่ งไร เพ่ือใหส้ ิ่งท่ีเราพดู ออกไปน้นั แตะตอ้ งใจผฟู้ ังมากท่ีสุด สื่อสารความจริงดว้ ยความจริงใจ การอา้ งเหตุผล สถิติขอ้ เทจ็ จริง ควรอา้ ง แหล่งที่มาที่น่าเช่ือถือประกอบดว้ ย ไม่ควรพดู ลอย ๆ อยา่ งไมม่ ีหลกั ฐาน จะทาใหส้ ่ิงที่เราพดู ขาดน้าหนกั ไมน่ ่าเช่ือถือ ลาดบั เน้ือหาใหต้ ่อเน่ือง ตามหวั ขอ้ ท่ีกาหนดไว้ ขณะเดียวกนั ตอ้ งระวงั ไม่ใหค้ นฟังรู้สึกเบื่อหน่าย ส่วนทสี่ าม ส่วนสรุป ควรเป็นการตอกย้าอีกคร้ังถึงสิ่งที่เราพดู มาท้งั หมด เพื่อดึงผฟู้ ังใหช้ ดั เจนในประเด็นที่ นาเสนอ มุง่ หมายเพ่อื ใหผ้ ฟู้ ังตดั สินใจวา่ เห็นดว้ ยกบั เรา เช่ือมน่ั ในสิ่งท่ีเราพดู แตข่ อ้ ควรจาท่ีสาคญั คือ เราควรสรุปส่ิงท่ี เราพดู ไปใหส้ ้นั ที่สุด เพ่ือมิใหผ้ ฟู้ ังเบื่อหน่าย หรืออาจสรุปดว้ ยการยกตวั อยา่ ง ขอ้ คิด คาคม หรือต้งั คาถามทิ้งทา้ ยท่ี น่าสนใจก็ได้ ตวั อยา่ งในการพูดเพอ่ื โนม้ นา้ วใจน้นั เปรียบเหมือนการแสดง ผพู้ ดู น้นั ไมเ่ พียงแสดงออกดว้ ยถอ้ ยคา การใช้ ภาษาท่ีสละสลวย เหตุผลที่จูงใจ แต่ยงั ตอ้ งผสมผสานไปพร้อมกบั อารมณ์ สีหนา้ และทา่ ทางประกอบที่สามารถจูงใจ ผฟู้ ังใหค้ ลอ้ ยตามไดม้ ากท่ีสุด กำรเขยี นเรื่องส้ัน เรื่องส้ันเป็นวรรณกรรมประเภทหน่ึง ไดร้ ับอิทธิพลมาจากตะวนั ตกมีความยาวประมาณ ๑๐๐๐-๑๐๐๐๐ คา ผเู้ ขียนเขียนข้ึนโดยใชจ้ ินตนาการของตนเองอยา่ งสมจริงสมจงั มีขนาดส้ัน ตวั ละครไม่มาก ดาเนินเรื่องดว้ ยความ รวดเร็วและมีจุดมุ่งหมายเดียวโดยอาศยั ศิลปะการเขียนท่ีชวนใหน้ ่าอ่านและมีคติธรรมแทรก ลกั ษณะเรื่องส้นั ที่ดี ควรมีลกั ษณะดงั น้ี ๑. ตอ้ งมีพฤติการณ์อนั สาคญั อนั เป็นตน้ เรื่องแต่เพียงอยา่ งเดียว ๒. ตอ้ งมีตวั ละครท่ีมีบทบาทสาคญั ท่ีสุดในทอ้ งเร่ืองแตเ่ พียงตวั เดียว ๓. ตอ้ งมีจินตนาการหรือมโนภาพใหผ้ อู้ า่ นคลอ้ ยตามไปดว้ ย ๔. ตอ้ งมีพล๊อตหรือการผกู เคา้ เร่ืองใหผ้ อู้ า่ นฉงนหรือสนใจ ๕. ตอ้ งมีความแน่นหรือเขียนอยา่ งรัดกมุ ๖. ตอ้ งมีการจดั รูป ลาดบั พฤติการณ์ใหม้ ีช้นั เชิงชวนอา่ น ๗. ใหผ้ อู้ า่ นเกิดอารมณ์หรือความรู้สึกอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ชนิดของเร่ืองส้ัน กำรเขียนเร่ืองส้ัน แยกเป็ นประเภทต่ำงๆได้ดังนี้ ๑. ชนิดผกู เร่ือง (plot Story) คือเรื่องส้ันท่ีมีโครงเรื่องซบั ซอ้ นและจบลงในลกั ษณะท่ีผอู้ า่ นคาดไม่ถึง ๒. ชนิดเพง่ เล็งท่ีจะแสดงลกั ษณะของตวั ละคร (Character Story) คือเร่ืองส้นั ท่ีเนน้ ตวั ละครเป็นใหญ่หรือเนน้ ใหต้ วั ละครเป็ นผเู้ ล่าเร่ืองหรือดาเนินเรื่อง โดยตอ้ งการแสดงลกั ษณะอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงของตวั ละครเป็นสาคญั เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๒๙

๓. ชนิดถือเป็ นฉากเป็นสาคญั (Atmosphere Story) คือ เรื่องส้นั ท่ีผเู้ ขียนบรรยายฉากหรือสถานท่ีหรือแห่งน้นั ทาใหผ้ อู้ า่ นเกิดความรู้สึก ทาใหผ้ เู้ กิดความรู้สึกคลอ้ ยตามอารมณ์และและความคิดของตวั ละคร ๔. ชนิดที่แสดงแนวความคิดเห็น (Theme Story) คือ เร่ืองที่ผเู้ ขียนมีอุดมคติหรือตอ้ งการช้ีใหเ้ ห็นขอ้ คิดหรือสัจ ธรรมของชีวติ นอกจากน้ี อ.ฐะปะนีย์ นาครทรรพ ไดเ้ สนอหลกั การเขียนเร่ืองส้ันไวว้ า่ “พ่งึ ประสบการณ์อ่านใหม้ าก นึก อยากเขียน เพียรฝึกฝน สนใจมนุษย์ จุดหมายเด่น เฟ้ นภาษา หาเช้ือเพลิง และสาเริงอารมณ์” วธิ เี ขยี นเร่ืองส้ัน วธิ ีเขียนเร่ืองส้ันใหน้ ่าอ่านชวนใหต้ ิดตามควรมีรายละเอียดตอ่ ไปน้ีคือ ๑. เค้าโครงเร่ือง (plot) คือ การสร้างเหตุการณ์หน่ึงข้ึนมาเริ่มเร่ืองและจบเรื่อง การสร้างโครงเร่ืองน้ีมีหลกั ๓ ประการคือ  โครงเร่ืองตอ้ งมีความสบั สนวนุ่ วาย มีปัญหาตอ้ งแกไ้ ข มีการผกู ปมที่ซบั ซอ้ น  ในการดาเนินเร่ือง จะไมร่ าบรื่น หากแต่ตอ้ งมีอุปสรรคทาใหเ้ รื่องสนุก หรือมีเหตุการณ์ท่ีทาใหผ้ อู้ า่ นรอ คอยต่อไป  ปมน้นั ค่อยๆคล่ีคลาย จนถึงจุดสุดยอดของเรื่อง (climax) เป็นการจบหรือปิ ดเร่ือง ๒. ตัวละคร  สร้างตวั ละครใหส้ มจริง  การแสดงอุปนิสัยของตวั ละครอาจบรรยายหรือเป็นบทท่ีตวั ละครพดู เอง  การแสดงอุปนิสัยของตวั ละครตอ้ งเสมอตน้ เสมอปลายต้งั แตเ่ ร่ิมเรื่องจนจบเร่ือง  ตวั ละครไมม่ ากเกินไป ๓. ฉาก หมายถึง สถานท่ีหรือสิ่งแวดลอ้ ม รวมท้งั บรรยากาศต่างๆที่มีส่วนเกี่ยวขอ้ งกบั ตวั เรื่อง  เลือกฉากใหเ้ หมาะสมกบั เร่ือง และดาเนินเรื่องตามบรรยากาศที่ถูกตอ้ ง  ผเู้ ขียนตอ้ งเขียนฉากที่ตนรู้จงั ดีที่สุด เพราะจะไดภ้ าพที่แจ่มชดั ๔. บทสนทนา  ไมพ่ ดู นอกเรื่อง  เป็นคาพดู นอกเรื่อง  เป็นคาพดู ง่ายต่อการเขา้ ใจ เหมาะสมแก่ฐานะของตวั ละคร  รู้จกั หลากคา ไมใ่ ชค้ าซ้าซาก ๕. การเปิ ดเรื่อง เป็นหวั ใจของการเขียนเรื่อง เพราะจะทาใหผ้ อู้ า่ นติดตามตอ่ ไปหรือไม่ ข้ึนอยกู่ บั วธิ ีการเปิ ด เรื่อง ซ่ึงมีอยหู่ ลายวธิ ี คือ  สร้างเหตุการณ์หรือการกระทาใหเ้ กิดความสนใจ น่าตื่นเตน้  เปิ ดเร่ืองโดยใชบ้ ทสนทนาที่มีถอ้ ยคาแปลกในความหมายและเน้ือเร่ือง ก่อใหเ้ กิดความอยากรู้อยากเห็น อยากติดตามเร่ืองต่อไป เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๓๐

 เปิ ดเรื่องโดยการพรรณนา พรรณนาฉาก หรือบรรยายฉากที่ชวนใหผ้ อู้ า่ นสนใจ ๖. การดาเนินเรื่อง ตอ้ งคานึงถึงคือ  ควรดาเนินเรื่องไปสู่จุดหมายโดยเร็ว  ปมของเรื่องควรมีความขดั แยง้ ๑ แห่ง แลว้ คอ่ ยๆคลายปมทีละนอ้ ย สมดงั ความปรารถนาของผอู้ า่ นท่ีรอคอย ๗. การปิ ดเร่ือง เป็นตอนที่สาคญั ที่สุด ผอู้ ่านจะทราบวา่ เรื่องจะจบลงอยา่ งไร ซ่ึงเป็นจุดสุดยอดของเร่ือง คือ  จบลงโดยที่ทาใหผ้ อู้ ่านประหลาดใจ คาดไม่ถึง  จงลงดว้ ยความสมปรารถนา หรือสิ้นหวงั อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ในการเขียนเรื่องส้ันน้นั จะเลือกเขียนในแนวใดกไ็ ดข้ ้ึนอยกู่ บั ประสบการณ์ ความรู้และอารมณ์ของแต่ละคนท่ี จินตนาการ ซ่ึงมีความแตกตา่ งกนั ไป โดยไมจ่ าเป็ นตอ้ งยดึ หลกั การเขียนเร่ืองส้นั เป็นแบบแผนนกั ข้ึนอยกู่ บั ผเู้ ขียนวา่ จะ มีแนวคิดสร้างสรรคส์ ิ่งใหม่ๆข้ึน อนั เปรียบเสมือนเอกลกั ษณ์ของตนเองมากกวา่ องค์ประกอบ ๑. Theme มนั หมายถึงส่ิงที่เรื่องของคุณตอ้ งการจะบอกบางส่ิงบางอยา่ งท่ีอาจใหแ้ ง่คิด หรือ แสดงความเห็น ของคนเขียน คุณไม่จาเป็ นตอ้ งเทศน์ หรือสอน อธิบายใหก้ บั คนอ่านวา่ เรื่องมนั มีคุณธรรมเพยี งใด คนอา่ นจะเรียนรู้จาก เรื่องท่ีคุณเขียนเอง ๒. Plot เพ่อื ใหค้ นอา่ นคงความสนใจคุณตอ้ งมีพล็อตเร่ือง ความขดั แยง้ หรือการตอ่ สู้ดิ้นรนของตวั ละครเอกท่ี เขาตอ้ งเอาชนะ ไม่วา่ การตอ่ สู้น้นั จะเป็นระหวา่ งคนกบั คน หรือเป็นการต่อสู้ของจิตใจตวั เอง ตวั ละครเอกจะตอ้ งชนะ หรือสูญเสียดว้ ยตวั ของเขาเอง ไมใ่ ช่จากความช่วยเหลือของคนอ่ืน ความขดั แยง้ จะเป็นส่ิงนาเรื่องให้เดินตอ่ ถึงไคล์ แมกซ์ จนจบเร่ือง ๓. โครงสร้ำงของเร่ือง จะใชม้ ุมมองแบบบุคคลท่ี ๑ หรือบุคคลที่ ๓ ( แบบบุคคลท่ี ๑ เล่าแบบคนเล่าอยใู่ น เหตุการณ์หรือเป็นเรื่องที่เกิดข้ึนกบั เขาเองใชค้ าแทนตวั วา่ ฉนั ผม ขา้ พเจา้ แบบบุคคลท่ี ๓ ควรจะใชม้ ุมมองของตวั ละครสาคญั เป็นคนเล่า) ๔. ตัวละคร สร้ำงตวั ละครท่ีเหมาะสม และน่าสนใจ ทาใหค้ นอ่านอยากรู้เร่ืองของเขา ๕. เลอื กว่ำจะให้เร่ืองเกดิ ขึน้ ทไ่ี หน และเมื่อไหร่ ๖. ใช้บทพดู ให้เร้ำใจ กนิ ใจ แสดงตวั ตนของตวั ละครไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ๗. กำรเล่ำเรื่องและกำรบรรยำย ใหบ้ อกแตส่ ่ิงที่จาเป็นใชเ้ ป็นประโยชนใ์ นเรื่อง อยา่ เยนิ่ เยอ่ เพราะเรื่องส้นั จะ จากดั ความยาวของเร่ือง ( วธิ ีจะรู้วา่ มีประโยชน์หรือไม่ให้ลองตดั ทิ้งคาหรือประโยคน้นั ๆออกไป แลว้ ดูวา่ ยงั สร้างความ เขา้ ใจใหก้ บั คนอา่ นหรือไม่ ถา้ คนอา่ นเขา้ ใจและสามารถจินตนาการไดก้ ็เอาออกไปเลย ยกเวน้ ช่วงตอนท่ีตอ้ งการ พรรณนาหรือบรรยายความ ) ๘. จะให้ดี ในเรื่องส้ัน ควรจะมุ่งไปท่ี จุดขดั แย้ง เพียงอย่ำงเดยี ว ที่ตวั ละครสาคญั ตอ้ งเอาชนะ กำรเร่ิมต้นสร้ำงเร่ืองอย่ำงง่ำย ๆ  หาตวั ละคร เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๓๑

 ใส่ความตอ้ งการบางอยา่ งใหต้ วั ละคร ( พอใจหรือไมพ่ อใจในสถานภาพของตวั เอง)  เติมอุปสรรค หรือปัญหา ที่ขดั ขวางไมใ่ หต้ วั ละครไปถึงความตอ้ งการน้นั  บีบค้นั ตวั ละครดว้ ยความยากลาบากหรือความผิดพลาดท่ีมากข้ึน  พาตวั ละครออกมาจากสถานการณ์น้นั ๆ ดว้ ยความสามารถของเขาเอง หรือการคล่ีคลายดว้ ยวธิ ีอื่น  จบเรื่อง ตัวอย่ำง  สร้างตวั ละคร A ใหน้ ่าสนใจดว้ ยบุคลิกลกั ษณะ การกระทา นิสัย หรืออ่ืน ๆ  ทาใหส้ ถานภาพเขาเปลี่ยนไป ไมว่ า่ จะจากอะไรกไ็ ด้ ฝนตก รถติด เมียหยา่ พอ่ ตาย ตกงาน ( โดยมากมกั จะเป็น เร่ืองร้าย ๆ )  ตอ้ งมีเวลาจากดั ในการท่ีจะแกไ้ ขเร่ืองเลวร้ายที่เกิดข้ึนเพื่อบีบใหเ้ รื่องเขม้ ขน้ เช่น เมียจะคลอดแต่รถติด ตอ้ ง ปลดชนวนระเบิดใหไ้ ดภ้ ายใน ๒๐ นาที ตอ้ งบอกเร่ืองสาคญั ต่อตารวจภายในคืนน้ี ฯลฯ  สถานการณ์น้นั ตอ้ งมีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของตวั ละคร A อยา่ งใหญ่หลวงที่จะทาใหเ้ ขาเป็นตาย หรือระเบิดอารมณ์ออกมาไดพ้ อกนั  สร้างตวั ละคร B พร้อมท้งั บุคลิกลกั ษณะ นิสยั หรืออ่ืน ๆ  จุดชนวนความลึกลบั หรือความสงสยั ใหก้ บั คนอา่ น ในขณะท่ีตวั ละครพอจะเขา้ ใจในบางสิ่งบางอยา่ งในเร่ือง แลว้ แต่คนอา่ นยงั ไมร่ ู้โดยตรง  สร้างความตอ้ งการท่ีแตกตา่ งกนั ระหวา่ งตวั ละคร เช่น A ตอ้ งการไปต่อ แต่ B ใหห้ ยดุ รอ  ปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ ง A และ B ท่ีแสดงออกมา ไมใ่ ช่ใครคนเดียว  A พยายามหาทางแกไ้ ขในปัญหา  สถานการณ์บิดเบือน ไม่เป็นอยา่ งที่คาดหมาย  เรื่องเร่ิมเลวร้ายลง เวลาหมดไปเรื่อย  จุดวกิ ฤต ตอ้ งเลือกตดั สินใจอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง  ผลสุดทา้ ย ข้อแนะนำ ๑. เกาะติดกบั ขนาดที่จากดั ของแบบในการเขียนเร่ืองส้ัน โดยทวั่ ไปจะมีความจากดั ของกรอบและตวั ละคร บท พดู มีพลงั จงู ใจ ฉากสถานท่ีตอ้ งการ แต่ไมจ่ าเป็ นตอ้ งอธิบายรายละเอียดมาก หลีกเล่ียงพลอ็ ตยอ่ ย ๒. การเปิ ดเร่ืองไมแ่ น่นอนตายตวั วา่ เป็นการบรรยาย และการสังเกตประจา ยกเวน้ การบรรยายน้นั จะแสดงถึงสิ่ง ที่ถูกรบกวนในขณะน้นั ก่อนท่ีการกระทาจะร้อนข้ึน แต่อยา่ ใหม้ ากนกั ๓. เริ่มเร่ืองส้นั ดว้ ยกระตุน้ เหตุการณ์ ท่ีชกั จูงไปสู่ความเขม้ ขน้ เร่ืองส้นั จาเป็นตอ้ งเสนอบางสิ่งบางอยา่ งที่สร้าง ความรู้สึกใหก้ บั คนอ่าน ใหค้ นอา่ นร่วมความรู้สึกไปกบั ตวั ละครร่วมเห็นอกเห็นใจไปกบั ตวั ละครดว้ ย ๔. เรื่องส้ันควรจะถูกเล่าจากมุมมองของคน ๆ คนเดียว นอกจากคุณจะมีประสบการณ์ในการเขียนมากไปกวา่ น้ี ๕. เหมือนเรื่องแตง่ ประเภทอ่ืนท่ีตอ้ งให้ตวั ละคร ดิ้นรนที่หรือลอยคอทา่ มกลางความเลวร้าย หรือมีทางเลือกที่ ยา่ แยพ่ อกนั เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๓๒

๖. ขดั เกลาไอเดียของคุณเก่ียวกบั ชุดของเหตุการณ์ที่ตวั ละครแสดงหรือพดู ออกมา และเหตุการณ์น้นั ตอ้ งเผยให้ คนอา่ นรู้ในเวลาที่เป็นจริง ๗. อยา่ ยดื เย้อื ในตอนจบ ๘. โดยทวั่ ไปเร่ืองส้ันมกั จะเก่ียวกบั ความขดั แยง้ การตดั สินใน หรือการคน้ พบ มนั ตอ้ งมีสิ่งสาคญั เป็นประเด็น หลกั สาหรับตวั ละครเอก พล็อตขดั แยง้ ตอ้ งถูกวางเพ่ือใหต้ วั ละครอื่นเป็นตวั ขดั ขวาง และเผชิญหนา้ ในตอนไคลแ์ มกซ์ ถา้ ไคลแ์ มกซ์ของเร่ืองส้ันมีตวั ละครเอกกาลงั ตดั สินใจ การตดั สินใจน้ีตอ้ งห่างจากการเขา้ ถึงผลท่ีจะตามมาภายหลงั ถา้ เร่ืองจบลงดว้ ยตวั ละครคน้ พบความจริงบางอยา่ ง ความจริงน้ีควรจะเป็นสิ่งท่ีท่ีทาใหช้ ีวิตของตวั ละครเปลี่ยนไป เคลด็ ลบั เมอ่ื จะเขยี นเร่ืองส้ัน  ใหม้ ีตวั ละครในเรื่องนอ้ ยท่ีสุด  ร่างรายการถึงตวั ละคร และ ส่ิงท่ีคุณอยากจะใหเ้ กิดในเรื่องอยา่ งส้ัน ๆ  ในแผนการเขียนของคุณ ตอ้ งเตรียมยอ่ หนา้ ที่จะเสนอฉาก สถานที่ และการแนะนาตวั ละครใหค้ นอ่านรู้จกั  การเปิ ดเร่ืองของคุณตอ้ งมีผลกระทบใจคนอา่ น  หวั ใจสาคญั ตอ้ งรู้วา่ เรื่องของคุณเกิดท่ีไหน เก่ียวกบั อะไร และมุง่ ไปสู่ประเด็นน้นั อยา่ โอเ้ ออ้ อกนอกเรื่องใน สิ่งไมจ่ าเป็น  บทสรุปเรื่องในสองสามยอ่ หนา้ สุดทา้ ยตอ้ งขมวดทุกอยา่ งเขา้ ดว้ ยกนั และตอ้ งตอบขอ้ สงสัยที่คุณเปิ ดประเดน็ เอาไว้  คุณอาจจะหกั มุมในตอนจบ เพื่อสร้างสิ่งที่คาดไม่ถึงใหก้ บั คนอ่าน  เขียนใหต้ รงประเด็นและเรียบง่ายที่สุด เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๓๓

กำรวเิ ครำะห์และสังเครำะห์ประโยค ในการส่ือสารน้นั ส่วนมากเราพดู หรือเขียนประโยค อาจส้ันบา้ ง ยาวบา้ ง แลว้ แต่เน้ือความท่ีกล่าว ประโยคที่มี ความอนั บริบรู ณ์เพียงความเดียว เราเรียกวา่ ประโยคความเดียว บางประโยคมีความบริบูรณ์มากกวา่ หน่ึงความ โดยมี คาเช่ือมระหวา่ งประโยคยอ่ ย ประโยคที่กล่าวมาน้ีบางทีเป็นประโยคความรวม บางทีเป็ นประโยคความซ้อน คาเช่ือม ระหวา่ งประโยคยอ่ ยเรียกวา่ คาสันธาน ประโยคควำมรวม (อเนกรรถประโยค) ประโยคความรวมเป็ นประโยคท่ีมีเน้ือความของประโยคความเดียวมารวมกนั ต้งั แต่ ๒ ประโยคข้ึนไป โดยมี คาสันธานเป็นเคร่ืองเชื่อม หรือเป็นเครื่องมือท่ีใชใ้ นการรวม แบง่ ตามเน้ือความเป็น ๔ ประเภท ดงั น้ี ๑. ประโยคควำมรวมทมี่ ีเนือ้ ควำม (อนั วยำเนกรรถประโยค) เน้ือความอาจคลอ้ ยตามกนั ตามกาลเวลา ตามการกระทา หรือตามสญั ญาณก็ได้ สันธานท่ีมกั ใช้ คือ …แล้วจึง…, คร้ัน…จึง… , แล้ว…ก็ …, พอ…ก…็ , และ , ท้ัง … และ … , ฯลฯ ตัวอย่าง พอผมมาถึงเขากไ็ ปพอดี เราเดินทางข้ึนไปถึงยอดภกู ระดึงแล้ว กร็ ู้สึกหายเหน่ือยเป็ นปลิดทิ้ง ทีมฟุตบอลโรงเรียนเราชนะเลิศและไดร้ ับคาชมเป็นอยา่ มาก ละครเร่ืองน้ีท้งั คนเล่นและคนดูตา่ งสนุกสนานพอๆกนั พอ่ กบั แมไ่ ปตลาดนดั ๒. ประโยคควำมรวมทมี่ ีเนือ้ ควำม (พยติเรกำเนกรรถประโยค) เน้ือความจะขดั แยง้ กนั มกั ใชค้ าเชื่อมวา่ “แต่ , แต่ว่า , แต่ทว่า , แม้ , แม้…ก”็ ตัวอย่าง เราเดินทางข้ึนไปถึงยอดภกู ระดึงแลว้ แต่ไมร่ ู้สึกเหนื่อยแมแ้ ต่นอ้ ย ทีมฟุตบอลโรงเรียนเราชนะเลิศ แต่ทว่ำไม่ไดร้ ับคาชมเชย ละครเร่ืองน้ีคนดูสนุกมาก แต่คนเล่นเหนื่อยเหลือเกิน พอ่ ไปตลาดนดั แต่แม่ไม่ไดไ้ ป ๓. ประโยคควำมรวมทมี่ เี นือ้ ควำม (วกิ ลั ปำเนกรรถประโยค) เน้ือความจะใหเ้ ลือกอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง สงั เกตจากการใชส้ ันธาน หรือ , หรือไม่ก็ , ไม่…ก็ ตัวอย่าง เราอาจขบั รถยนต์ หรือนงั่ รถทวั ร์ไปเชียงใหมก่ ไ็ ด้ ง่วงกน็ อนเสีย หรือไม่กล็ ุกข้ึนลา้ งหนา้ ไม่ตารวจก็ผรู้ ้าย ตอ้ งตายกนั ไปขา้ งหน่ึง เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๓๔

ปี หนา้ เธอจะศึกษาตอ่ หรือออกทางาน ** หมำยเหตุ : ประโยคความรวมท่ีใช้ หรือ เป็นตวั เชื่อมน้ี อาจจะเป็นประโยคคาถามได้ ตอ้ งการทาตอบอยา่ งใดอยา่ ง หน่ึงตามที่กาหนดใหเ้ ลือกในประโยค เช่น คุณจะซื้อตว๋ั หนังชั้นท่ี ๑ หรือช้ันท่ี ๒ ๔. ประโยคควำมรวมทมี่ ีเนือ้ ควำม (เหตวำเนกรรถประโยค) เน้ือความจะคลา้ ยกบั ประโยคคลอ้ ยตามกนั แต่เป็ นการคลอ้ ยตามท่ีเป็นเหตุเป็นผลกนั มกั ใชค้ าเชื่อมวา่ “เพราะ , เพราะว่า, เพราะ…จึง…, เน่ืองจาก , สาเหตุจาก …” เป็ นตน้ ตัวอย่าง เหตุเพรำะรถเสีย เราจึงตอ้ งนงั่ รถเมลไ์ ปโรงเรียน เพรำะเธอนอนดึง จึงทาใหง้ ่วงในชว่ั โมงเรียน เขาไม่มาโรงเรียนเน่ืองจำก ง่วงนอน ** หมำยเหตุ : ประโยคความรวมที่เป็ นเหตุเป็ นผลกนั น้ี สามารถนาเหตุหรือผลข้ึนตน้ ประโยคก่อนกไ็ ด้ ข้ึนอยกู่ บั คาเช่ือมท่ีเลือกใชใ้ หถ้ ูกตอ้ ง เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๓๕

ลบั สมอง ทดลองควำมรู้ ประโยคควำมรวม ประโยคย่อย คำเชื่อม ๑. ออ้ ยทาสวนครัวและร้องเพลงเบาๆ และ ๒. เธอกบั ฉนั ตอ้ งรับผิดชอบในเรื่องน้ี - ออ้ ยทาสวนครัว กบั ๓. ฉนั กินขา้ วบา้ นป้ าแลว้ ไปกินขนมบา้ นยาย - ออ้ ยร้องเพลงเบา ๆ แลว้ ๔. หลานช่วยพยาบาล อาจึงหายป่ วยเร็ว - เธอตอ้ งรับผดิ ชอบในเร่ืองน้ี ๕. พอไดล้ มทุ่ง เรากห็ ายเพลีย - ฉนั ตอ้ งรับผดิ ชอบในเรื่องน้ี ๖. สมศกั ด์ิเป็นนกั รบแตส่ มชายเป็นนกั ร้อง - ฉนั กินขา้ วบา้ นป้ า ๗. พตี่ ื่นเชา้ แต่นอ้ งตื่นสาย - (ฉนั ) ไปกินขนมบา้ นยาย ๘. เขาเป็นคนฐานะไมด่ ีนกั แต่ไม่เคยทุจริตต่อหนา้ ที่สกั คร้ังเดียว - ๙. เรายนิ ดีช่วยเหลือแต่เขาไม่ยอมรับ - ๑๐. วรี ะเห็นช่องทางรวยลดั แต่ทวา่ เขาไมก่ ลา้ เสี่ยง - ๑๑. เธอเลือกเล่นละครหรือเล่นกีฬา - ๑๒. บิดาหรือมารดาของผเู้ ยาวล์ งชื่อแทนผเู้ ยาวไ์ ด้ - ๑๓. เขาจะลงทุนคนเดียวหรือจะเขา้ หุน้ กบั เพอ่ื น - ๑๔. กวา่ ถวั่ จะสุก งาก็ไหม้ - ๑๕. น้าไหลบา่ อยา่ งรวดเร็ว แตข่ า้ วในนาก็ไม่เสียหายมากนกั - - - - - - - - - - - - - - - - - เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๓๖

** เพราะฉะน้นั จากตวั อยา่ งท่ียกมาจะเห็นไดว้ า่ ประโยคความรวม ก็ คือ ** เราเรียกประโยคความเดียวแตล่ ะประโยคท่ีเป็ นส่วนประกอบของประโยคความรวมวา่ ประโยคควำมซ้อน (สังกรประโยค) ประโยคความซอ้ นเป็นประโยคท่ีมีเน้ือความของประโยคความเดียวมารวมกนั ประกอบดว้ ย ประโยคหลกั (มุขยประโยค) และ ประโยคยอ่ ย (อนุประโยค) ซ่ึงประโยคยอ่ ยอาจเป็ นส่วนของประธานหรือกรรมในประโยคกไ็ ด้ หรือ อาจขยายคาใดคาหน่ึงในประโยคหลกั กไ็ ด้ ประโยคความซอ้ นแบ่งออกเป็ น ๓ แบบ ไดแ้ ก่ แบบที่ ๑ ประโยคความซอ้ นที่ประกอบดว้ ยประโยคหลกั และประโยคยอ่ ยที่ทาหนา้ ท่ีเหมือนคานาม (นามานุประโยค) ซ่ึงทาหนา้ ที่เป็ นประธาน เป็ นกรรม หรือเป็ นส่วนเติมเต็มของประโยค ซ่ึงอาจ ไม่ปรากฏคาเช่ือม ไดเ้ ช่นกนั (ประกอบ อยใู่ นคานามเป็ นกลุ่มคานาม) ลบั สมอง ทดลองควำมรู้ ประโยคควำมซ้อน ประโยคหลกั ประโยคย่อย คำเชื่อม หน้ำทขี่ อง ประโยคย่อย ๑. คนไมท่ างานเป็นคนเกียจคร้าน คน…เป็นคนเกียจคร้าน คนไมท่ างาน - ๒.คนทะเลาะกนั ก่อความราคาญให้ คน…ก่อความราคาญให้ คนทะเลาะกนั - ประธาน เพ่ือนบา้ น เพือ่ นบา้ น ประธาน ประโยคควำมซ้อน ประโยคหลกั ประโยคย่อย คำเชื่อม หน้ำทีข่ อง ประโยคย่อย ๓. ฉนั ไมช่ อบคนเอาเปรียบผอู้ ื่น ฉนั ไม่ชอบคน… คนเอาเปรียบผอู้ ่ืน - ๔. ครูสอนใหศ้ ิษยท์ าการบา้ นภาษาไทย ครูสอน… ศิษยท์ าการบา้ น ให้ กรรม ๕. เขาเล่าวา่ ไปเท่ียวทางเหนือสนุกมาก เขาเล่า… เขาไปเท่ียวทางเหนือ วา่ กรรม สนุกมาก กรรม ๖. คนหลายคนเป็นคนขายชาติ คนหลายคนเป็ น…(คน) คนขายชาติ ๗. ฉนั รังเกียจผชู้ ายไม่รับผดิ ชอบ - ส่วนเติมเตม็ ๘. เธอประชดตนเองเช่นน้ีเป็นเร่ืองเป็ น เร่ืองไม่เหมาะสม ๙. พอ่ ทะเลาะกบั แมเ่ ป็นปัญหาร้ายแรง ของลูก เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๓๗

แบบที่ ๒ ประโยคยอ่ ยในประโยคความซอ้ นแบบน้ีจะทาหนา้ ท่ีเป็นบทขยายคานามหรือคาสรรพนาม ซ่ึงสามารถเป็น ส่วนขยายประธาน ขยายกรรม ขยายกริยาประกอบในประโยคหลกั ได้ และมีประพนั ธสรรพนาม “ผู้ ที่ ซ่ึง อนั ” เป็น ตวั เชื่อม ลบั สมอง ทดลองควำมรู้ ประโยคควำมซ้อน ประโยคหลกั ประโยคย่อย คำเชื่อม หน้ำทีข่ อง ซ่ึง ประโยคย่อย ๑. เราเห็นภูเขาซ่ึงมีถ้าอยขู่ า้ งใต้ เราเห็นภูเขา (ภูเขา)มีถ้าอยขู่ า้ งใต้ ที่ ขยายกรรม ๒.คนท่ีประพฤติดียอ่ มมีความเจริญใน คน…ยอ่ มมีความเจริญ (คน)ประพฤติดี ขยายประธาน ชีวติ ในชีวติ อนั ๓. เราหวงแหนแผน่ ดินไทยอนั เป็ นบา้ น เราหวงแหนแผน่ ดินไทย (แผ่นดินไทย)เป็ นบ้าน ขยายกรรม เกิดเมืองนอนของเรา เกิดเมืองนอนของเรา ซ่ึง ๔. ครูซ่ึงใกลช้ ิดกบั นกั เรียนมาก ยอ่ ม ครูยอ่ มทราบอุปนิสยั (ครู)ใกลช้ ิดกบั ขยายประธาน ทราบอุปนิสัยนกั เรียน นกั เรียน นกั เรียนมาก ๕. คนแก่ที่ไม่มีความรู้ยอ่ มไมเ่ ขา้ ใจโลก ปัจจุบนั ๖. เขาสาเร็จการศึกษาในปี น้ีท่ีน้าทว่ ม ใหญ่ ๗. บา้ นของฉนั ที่ทาสีฟ้ ามีอายเุ กือบ ๗๐ ปี ได้ ๘. คนฉลาดยอ่ มเขา้ ใจโลกซ่ึงหมุนเวยี น เปลี่ยนไปไดด้ ี แบบที่ ๓ ประโยคยอ่ ยในประโยคความซ้อนแบบน้ีจะทาหนา้ ท่ีเป็นบทขยายคากริยา หรือคาวเิ ศษณ์ทป่ี ระกอบใน ประโยคหลกั โดยประโยคยอ่ ยอาจช่วยบอกลกั ษณะ บอกเวลา บอกสถานท่ี บอกเหตุผล หรือบอกความเปรียบของคาท่ี ถูกขยายก็ได้ มกั มีคาเช่ือมวา่ “เม่ือ จน เพราะ ตาม ราวกับ ให้ กว่า ระหว่าง เพราะเหตวุ ่า เหมือน ดุจดงั เสมือน...” กล่าวคือประโยคย่อยๆนน้ั ทาหน้าท่ีเหมือนคาวิเศษณ์นนั่ เอง เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๓๘

ลบั สมอง ทดลองควำมรู้ ประโยคควำมซ้อน ประโยคหลกั ประโยคย่อย คำเช่ือม หน้ำทข่ี อง ๑. เขามองหนา้ เม่ือฉนั ถาม เขามองหนา้ (ฉนั ) ฉันถาม (เขา) เมื่อ ประโยคย่อย ให้ ๒. ครูอนุญาตใหฉ้ นั ออกนอกหอ้ งเรียน ครูอนุญาต (ฉนั ) ฉัน ออกนอกห้องเรียน เม่ือ ขยายกริยา จน บอกเวลา ๓. เด็ก ๆ กลบั ไปเม่ืองานเลิกแลว้ เดก็ ๆ กลบั ไป งานเลิกแลว้ ขยายกริยา ราวกบั (อนุญาต) ๔. นายอาเภอทางานหนกั จนป่ วยไป นายอาเภอทางานหนกั (นายอาเภอ)ป่ วยไป ขยายกริยา บอก หลายวนั หลายวนั ๕. เขาทาท่า ราวกบั เขาเป็ นเจา้ ของบา้ น เขาทาท่า (เขา)เป็ นเจา้ ของบา้ น เวลา ขยายกริยา บอก ผลกริยา ขยายกริยา บอกลกั ษณะ ๖. เขาพดู ใหฉ้ นั เขา้ ใจผดิ ๗. พีท่ างานเรียบร้อยกวา่ นอ้ ง ๘. คนเจบ็ กินยาตามหมอสัง่ ๙. เขาอา่ นหนงั สือพิมพร์ ะหวา่ งที่นง่ั รอ เพ่ือน ๑๐. วนั น้ีหวั หนา้ ไม่มาเนื่องจากเขาเป็น ไขห้ วดั ๑๑. เขานอนตวั สัน่ เพราะกลวั เสียงปื น ลบั สมอง ทดลองควำมรู้ ประโยคควำมซ้อน ประโยคหลกั ประโยคย่อย คำเชื่อม หน้ำท่ขี อง ๑. ท้งั เด็กและผใู้ หญช่ อบฟังนิทานของลุง ประโยคย่อย ๒. แมเ้ ขาจะไม่ร่ารวย เขากท็ าบุญอยเู่ สมอ ๓. เขาหวงั ผลกาไรจากการคา้ ขาย แต่แลว้ เขาก็ ขาดทุน เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๓๙

๔. เขาตอ้ งไปหดั พมิ พด์ ีด มิฉะน้นั ทางบริษทั จะ ไม่จา้ งเขา ๕. เธอตกลงใจจะไปโคราชหรืออุดรธานี ๖. พอเด็ก ๒ คนน้นั ช่วยกนั ดบั ไฟอยา่ งแขง็ ขนั ไฟกด็ บั ๗. พอรถเมลเ์ ล็กจอด เด็กๆ กร็ ีบลงจากรถทนั ที ๘. พอฉนั ไม่ไดข้ ่าวจากเขา ฉนั กไ็ ปตามถึงบา้ น ๙. ฉนั ชอบเด็กท่ีพดู ความจริง ๑๐. เขาไปกบั เพอื่ นที่ไวใ้ จได้ ๑๑. พวกเด็กๆ คิดถึงบา้ นอนั เป็นท่ีรัก ๑๒. นกั วทิ ยาศาสตร์คน้ พบธาตุอยา่ งหน่ึงที่ไมม่ ี ใครรู้จกั มาก่อน ๑๓. ผปู้ กครองมารับเดก็ เม่ือโรงเรียนเลิก ๑๔. พวกเดก็ ๆสนุกมากจนลืมคาส่ังของแม่ ๑๕. ตารวจแนะนาใหเ้ นตรนารีช่วยงานจราจร ๑๖. เขาพดู ภาษาองั กฤษไดค้ ล่องเพราะฝึกฝน ตนเองอยเู่ ป็ นนิจ ๑๗.ผบู้ งั คบั บญั ชาสง่ั ใหข้ า้ ราชการแต่ง เคร่ืองแบบ ๑๘. นกั เรียนท่ีดีตอ้ งขยนั ทาการบา้ นเมื่อครูส่ัง ๑๙. ถา้ นกั เรียนทาขอ้ สอบได้ ครูจะเล้ียงพซิ ซ่า ๒๐. การวงิ่ ทาใหเ้ ขาไดร้ ับการยอมรับจากทุก คน เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๔๐

ประโยคท่ีมีส่ วนขยำย การขยายประโยคน้นั มีท้งั การขยายในภาคประธาน และภาคแสดง เพ่ือใหป้ ระโยคละเอียดกวา้ งขวางยงิ่ ข้ึน เพอ่ื ใหค้ วามหมายของประโยคชดั เจนยงิ่ ข้ึน แต่ในกรณีที่เห็นวา่ การขยายประโยคจะทาใหเ้ ขา้ ใจยากแลว้ ควรหลีกเลี่ยง เปล่ียนเป็ นข้ึนประโยคใหม่ดีกวา่ ส่ วนขยำยประธำน เราตอ้ งการบอกรายละเอียดเกี่ยวกบั ประธานในประโยคใหไ้ ดใ้ จความชดั เจนยง่ิ ข้ึน ก็อาจขยายประธานไดด้ ว้ ย คา กลุ่มคา หรือประโยค อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง หรือหลายๆอยา่ งประกอบกนั กไ็ ด้ ตวั อยา่ ง สมมติวา่ ผพู้ ดู ต้งั ใจจะกล่าววา่  นกั เรียนออกเดินทางไปแล้ว เม่ือเกิดความคิดข้ึนวา่ ผฟู้ ังคงไมท่ ราบวา่ เป็นนกั เรียนท่ีไหนหรือกลุ่มใด ไปไหน ถา้ พดู เพียง นกั เรียน ลอยๆ ตอ้ งหาคามาขยายประธาน คือ นกั เรียน และขยายกริยา คือ ออกเดินทางไป ใหช้ ดั เจนข้ึน เป็น  นักเรียนชายของโรงเรียนเราออกเดินทางไปเข้าค่ายแล้ว หรือในกรณีที่ผพู้ ูดยงั ตอ้ งการบอกจานวนนกั เรียนกลุ่มน้นั ดว้ ย กอ็ าจจะขยายประโยคเป็น  นักเรียนชายของโรงเรียนเราประมาณร้ อยคนออกเดินทางไปเข้าค่ายแล้ว หรือหากในกรณีที่ผพู้ ดู ตอ้ งการเทา้ ความใหท้ ราบวา่ นกั เรียนกลุ่มน้ีไดเ้ ตรียมตวั มากวา่ สองสัปดาห์แลว้ ก่อนท่ี จะออกเดินทาง ผพู้ ดู ก็อาจขยายประธานในประโยคเดิมน้นั ใหช้ ดั เจนข้ึนไปอีก เป็นวา่  นกั เรียนชายของโรงเรียนเราประมาณร้ อยคนที่เตรียมตัวกนั มากว่าสองสัปดาห์ออกเดินทาง ไปเข้าค่ายแล้ว ตวั อยา่ งเหล่าน้ีแสดงใหเ้ ห็นวา่ ชายของโรงเรียนเรา เป็นกลุ่มคาท่ีขยายประธาน นกั เรียน ประมาณร้ อยคน เป็ นกลุ่มคาท่ีขยายประธาน นกั เรียน ท่ีเตรียมตวั กันมากว่าสองสัปดาห์ เป็นประโยคขยายประธาน นักเรียน เม่ือเขา้ ใจวธิ ีการและจุดประสงค์ ของการขยายประธานโดยกวา้ ง ๆ แลว้ ต่อไปน้ีจะไดช้ ้ีใหเ้ ห็นถึงวธิ ีการขยาย ประธานดว้ ยคา กลุ่มคา และประโยคใหล้ ะเอียด ๑. กำรขยำยประธำนด้วยคำ คาท่ีใชข้ ยายประธานได้ อาจจะเป็นคาวเิ ศษณ์ คานาม หรือสรรพนามกไ็ ด้ ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี ขยำยด้วยคำวเิ ศษณ์ ประโยค คำทถ่ี ูกขยำย ส่ วนขยำย ๑. คนขยนั ไม่เคยบน่ วา่ งานหนกั คน ขยนั ๒. ลมเยน็ พดั โชยมาเบา ๆ ลม เยน็ ๓.เมืองน้ีมีสถานท่ีทอ่ งเที่ยวหลายแห่ง เมือง น้ี เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๔๑

ขยำยด้วยคำนำม คำทถี่ ูกขยำย ส่ วนขยำย ประโยค นายแดง ตวั การ นายปลงั่ คนเฝ้ ายาม ๑. นายแดงตวั การไดห้ ลบหนีเจา้ พนกั งานไปเสียแลว้ อุตสาหกรรม ภาพยนตร์ ๒. นายปลง่ั คนเฝ้ ายามทางานดีมาก ๓. อุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็ นกิจการที่ตอ้ งลงทุนมาก ขยำยคำด้วยสรรพนำม คำทถี่ ูกขยำย ส่ วนขยำย ประโยค รัฐมนตรี ทา่ น ๑. รัฐมนตรีท่านไดป้ ระกาศไวแ้ ลว้ วา่ จะปราบคนทุจริตโดย คุณโสภิต เธอ ไมเ่ ลือกหนา้ ๒. คุณโสภิตเธอไม่ยนิ ยอมไปไหนตามลาพงั ๒. กำรขยำยประธำนด้วยกล่มุ คำ (วล)ี การขยายประธานดว้ ยกลุ่มคาท่ีใชม้ ากในท่ีทว่ั ไป เพราะกลุ่มคา (วลี) อาจจะใชเ้ ป็นนาม วเิ ศษณ์ กริยาหรือบุพ บทกบั นามกไ็ ด้ ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี ขยำยด้วยกล่มุ คำทเี่ ป็ นนำม คำทถ่ี ูกขยำย ส่ วนขยำย ประโยค สมหวงั หนา้ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑ ๑. สมหวงั หวั หนา้ ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑ ไดร้ ับรางวลั ความ พระธรรม คาสง่ั สอนของ ประพฤติดี พระพุทธเจา้ ๒. พระธรรมคาสง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ เป็นความจริง ขยำยด้วยกลุ่มคำทเ่ี ป็ นกริยำ คำทถ่ี ูกขยำย ส่ วนขยำย ประโยค ตารวจ ตระเวนชายแดน คณะกรรมการ จดั การประชุม ๑. ตารวจตระเวนชายแดนมาตามคาสง่ั แลว้ ๒. คณะกรรมการจดั การประชุมเตรียมงานเสร็จแลว้ คำทถี่ ูกขยำย ส่ วนขยำย ขยำยด้วยกล่มุ คำทเี่ ป็ นบุพบทกบั นำม แม่น้า ในภาคเหนือ ความดี ของทา่ น ประโยค ๑. แมน่ ้าในภาคเหนือไหลลงทิศใตเ้ สมอ ๒.ความดีของท่านยอ่ มจะอยใู่ นความทรงจาของเราตลอดไป เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๔๒

๓. กำรขยำยประธำนด้วยประโยค ตามที่ไดก้ ล่าวถึงประโยคความซอ้ นไวน้ ้นั จะไดย้ กตวั อยา่ งประโยคไวใ้ หด้ ูดงั น้ี ประโยค คำทถี่ ูกขยำย ส่ วนขยำย ๑. คนท่ีชอบจับผิดคนอ่ืนมกั จะปกปิ ดความผิดของตนเอง คน ที่ชอบจบั ผดิ คนอนื่ ซ่ึงใกลช้ ิดกบั นกั เรียนมาก ๒.ครูซ่ึงใกล้ชิดกบั นักเรียนมากยอ่ มทราบอุปนิสยั ของนกั เรียน ครู อนั ละไว้ ๓. ขอ้ ความอันละไว้ก่อใหเ้ กิดความสงสยั ขอ้ ความ ส่ วนขยำยกริยำหรือตัวแสดง เม่ือเราตอ้ งการจะบอกใหช้ ดั เจน วา่ กริยาอาการในภาคแสดงของประโยค มีลกั ษณะเป็นอยา่ งไร เกิดข้ึนเมื่อไร ท่ีไหน หรือก่อให้เกิดผลอยา่ งไร เรากส็ ามารถขยายกริยาหรือตวั แสดงไดโ้ ดยใชค้ า กลุ่มคา หรือประโยค ดงั น้ี ๑. กริยำหรือตวั แสดงทข่ี ยำยด้วยคำ คาท่ีขยายกริยาในภาคแสดงกค็ ือคาวเิ ศษณ์นนั่ เอง ตวั อยา่ ง ประโยค คำทถ่ี ูกขยำย ส่ วนขยำย ๑. เรือใบแล่นฉิว แล่น ฉิว ๒. นกบินปร๋อ บิน ปร๋อ ๓. ฟ้ าผา่ เปรี้ยง ผา่ เปร้ียง ตวั อยา่ งท้งั ๓ ขอ้ ขา้ งตน้ น้ี คา ฉิว ปร๋อ และเปร้ียง ขยายความหมายของกริยา แล่น บิน และ ผา่ ใหร้ ู้วา่ กริยาอาการน้นั เป็นอยา่ งไร ประโยค คำทถี่ ูกขยำย ส่ วนขยำย ๑. คนขยนั ตื่นเช้า ตื่น เชา้ ๒. คนข้ีเกียจต่ืนสาย ต่ืน สาย ๓. พอใกลส้ อบไล่ ลูก ๆ นอนดึก นอน ดึก ตวั อยา่ งขา้ งตน้ น้ี คา เช้า สาย ดึก เป็ นคาวเิ ศษณ์ขยายกริยา ตื่น และกริยา นอน ท้งั น้ีเพ่ือบอกใหร้ ู้วา่ กริยา น้นั ๆ เกิดข้ึนเมื่อใด หมายเหตุ การขยายกริยาหรือตวั แสดงดว้ ยคาเพยี งคาเดียว เพ่อื บอกใหร้ ู้วา่ ทาไมจึงเกิดข้ึนหรือก่อใหเ้ กิดผลอยา่ งไร ไม่ อาจกระทาได้ ตอ้ งใชว้ ธิ ีขยายดว้ ยกลุ่มคา หรือขยายดว้ ยประโยคยอ่ ย เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๔๓

๒. กริยำหรือตัวแสดงทขี่ ยำยด้วยกล่มุ คำ กลุ่มคาที่ขยายกริยาหรือตวั แสดงน้ี ใชข้ ยายเพือ่ บอกใหร้ ู้วา่ กริยาอาการในภาคแสดงน้นั เป็นอยา่ งไร เกิดข้ึน เม่ือไร ที่ไหน เพราะอะไร หรือเกิดอะไรตามมา ไดท้ ุกกรณี ตวั อยา่ ง เพอื่ บอกว่ำกริยำในประโยค เป็ นอย่ำงไร ประโยค คำทถ่ี ูกขยำย ส่ วนขยำย ๑. เขาตะโกน ได้ยินท่ังท้ังห้อง ตะโกน ไดย้ นิ ทว่ั ท้งั หอ้ ง ๒. ดอกไมน้ ้ีเหี่ยวดนู ่าเกลียด เห่ียว ดูน่าเกลียด ๓. เขาพยายามโดยไม่ย่อท้อ พยายาม โดยไม่ยอ่ ทอ้ กลุ่มคาที่เป็นตวั เอนน้นั ขยายกริยาหรือตวั แสดง ตะโกน เหี่ยว และพยายาม ตามลาดบั เพอื่ บอกว่ำกริยำในประโยคเกดิ ขึน้ เมอื่ ไร ประโยค คำทถ่ี ูกขยำย ส่ วนขยำย ๑. ขา้ พเจา้ เขียนบนั ทึกประจาวนั มานานแล้ว เขียน มานานแลว้ ๒. เหตุการณ์น้นั เกิดข้ึนกว่าสามสิบปี มาแล้ว เกิดข้ึน กวา่ สามสิบปี มาแลว้ ๓. กรุงเทพฯ สร้างในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ สร้าง ในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ กลุ่มคาท่ีเป็นตวั เอนเป็นส่วนขยายกริยาหรือตวั แสดง เขียน เกิดขึน้ และสร้าง ตามลาดบั เพอื่ บอกว่ำกริยำในประโยคเกดิ ขึน้ ทไี่ หน ประโยค คำทถี่ ูกขยำย ส่ วนขยำย ๑. เด็ก ๆ เล่นในหอ้ งแคบ ๆ เล่น ในหอ้ งแคบ ๆ ๒. ประชาชนชุมนุมกนั ที่บริเวณหนา้ ศาลากลาง ชุมนุมกนั ที่บริเวณหนา้ ศาลากลาง ๓. เขานงั่ อยทู่ ่ามกลางญาติมิตร นงั่ อยู่ ทา่ มกลางญาติมิตร กลุ่มคาที่เป็นตวั เอนเป็นส่วนขยายกริยาหรือตวั แสดง เล่น ชุมนุมกนั และ น่งั อยู่ เพอ่ื บอกว่ำกริยำในประโยคเกดิ ขึน้ เพรำะอะไร ประโยค คำทถ่ี ูกขยำย ส่ วนขยำย ๑. คนเหล่าน้นั ทาผดิ ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ทาผดิ ดว้ ยความโง่เขลาเบาปัญญา ๒. อุบตั ิเหตุคร้ังน้ีเกิดข้ึนเพราะความประมาท เกิดข้ึน เพราะความประมาท ๓. เขากระทาไปโดยฤทธ์ิสุราแท้ ๆ กระทาไป โดยฤทธ์ิสุราแท้ ๆ กลุ่มคาที่เป็นตวั เอนขยายกริยา ทาผิด เกิดขึน้ และ กระทาไป เพอ่ื บอกให้รู้วา่ กริยาเหล่าน้ีเกิดข้ึนไดเ้ พราะอะไร เพอ่ื บอกว่ำกริยำในประโยคก่อให้เกดิ ผลอย่ำงไร ประโยค คำทถ่ี ูกขยำย ส่ วนขยำย ๑. งานของเขาสาเร็จลงอย่างน่าชื่นใจ สาเร็จ (ลง) อยา่ งน่าชื่นใจ ๒. พระเอกแสดงบทบาทอย่างถึงอกถึงใจคนดู แสดง(บทบาท) อยา่ งถึงอกถึงใจคนดู ๓. ปี น้ีชาวนาปลูกขา้ วได้ผลดี ปลูก(ขา้ ว) ไดผ้ ลดี เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๔๔

กลุ่มคาท่ีเป็นตวั เอนขยายกริยาในประโยค คือ สาเร็จ (ลง) แสดง (บทบาท) และปลูก (ข้าว) ใหเ้ ขา้ ใจวา่ เมือทา หริยาอาการน้นั ๆ แลว้ ผลท่ีตามมาเป็นอยา่ งไร ๓. กริยำหรือตัวแสดงทมี่ สี ่วนขยำยเป็ นประโยค การขยายกริยาหรือตวั แสดงดว้ ยประโยคน้นั ก็เช่นเดียวกบั การขยายดว้ ยกลุ่มคา คือ มีจุดประสงคท์ ่ีจะบอกใหร้ ู้ วา่ กริยาอาการในประโยคน้นั มีลกั ษณะเป็นอยา่ งไร เกิดข้ึนเม่ือไร ที่ไหน เพราะอะไร หรือเกิดผลอะไรตามมา ตวั อยา่ ง เพอ่ื บอกว่ำกริยำในประโยคมีลกั ษณะอย่ำงไร ประโยค คำหรือกลุ่มคำทถ่ี ูก ส่ วนขยำย ขยำย คาหรือกลุ่มคาเช่ือม ประโยค ๑.คนไขค้ นน้ีปฏิบตั ิตวั ตามแพทย์แนะนา ทุก ปฏิบตั ิตวั แพทยแ์ นะนา ประการ เดิน ท่าทางพิกล ๒. คนแปลกหนา้ เดินท่าทางพิกล แล่น เตา่ คลาน ๓. รถยนตค์ นั น้ีแล่นราวกบั เต่าคลาน ส่วนขยายน้นั ลว้ นแต่เป็นประโยคยอ่ ยท่ีซอ้ นอยทู่ ้งั สิ้น ทาหนา้ ท่ีขยายกริยาในประโยคหลกั ท้งั ๓ ประโยค ให้ รู้วา่ ปฏิบตั ิตวั อยา่ งไร เดินในลกั ษณะอยา่ งไร และแล่นอยา่ งไร หมายเหตุ การใช้ประโยคขยายกริยาเพ่ือบอกว่ามีลกั ษณะอย่างไร บางทีกไ็ ม่จะเป็ นต้องมีคาเชื่อมดงั ตวั อย่างประโยคท่ี ๒ หากจะเติม คาเช่ือมคงจะเติมได้ว่า “คนแปลกหน้าเดินด้วยท่าทางพิกล” ซึ่งไม่นิยม เพอ่ื บอกว่ำกริยำในประโยคเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ไร ประโยค คำหรือกล่มุ คำทถ่ี ูก ส่ วนขยำย ขยำย คาหรือกลุ่มคาเชื่อม ประโยค ๑.คนเราจะรู้สึกอ่อนเพลียเมื่ออากาศเสียเข้าสู่ รู้สึกอ่อนเพลีย เมื่อ อากาศเสียเขา้ สู่ ร่ างกายมากเกินควร ...พบพลอย... ขณะ ร่างกายมากเกิน ทนั ทีที่ ควร ๒. ไกแ้ จต้ วั หน่ึงขณะคุ้ยเข่ียหาอาหาร บงั เอิญ รีบวงิ่ ออกไป เขาไดย้ นิ เสียง ร้อง พบพลอยเมด็ หน่ึงงามดีมีราคามาก ๓. ทนั ทีที่เขาได้ยินเสียงร้อง เขารีบวงิ่ ออกไป ช่วยเด็ก ช่วยเดก็ ประโยคท่ีเป็นตวั เอนน้นั ตา่ งทาหนา้ ที่เป็นส่วนขยายกริยาในประโยคหลกั โดยบอกให้รู้วา่ รู้สึกอ่อนเพลียเมื่อไร พบพลอยเมื่อไร และวง่ิ ออกไปช่วยตอนใด ตามลาดบั เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๔๕

เพอื่ บอกว่ำกริยำในประโยคเกดิ ขึน้ ทไี่ หน ประโยค คำหรือกลุ่มคำทถ่ี ูก ส่ วนขยำย ขยำย คาหรือกลุ่มคาเชื่อม ประโยค ๑. รถชนกนั ตรงที่ฉนั เคยยืนอย่พู อดี ชนกนั ตรงท่ี ฉนั เคยยนื อยู่ พอดี ๒. ชาวบา้ นสร้างศาลไวใ้ กลท้ างสามสายบรรจบ สร้างศาลไว้ ใกล้ ทางสามสาย กนั ยนื รักษาการณ์ แถว ๆ ท่ี บรรจบกนั ๓. ตารวจยนื รักษาการณ์อยแู่ ถว ๆ ท่ีเราเคยเห็น อยู่ เราเคยเห็น คนร้ ายว่ิงราวทรั พย์ คนร้ายวงิ่ ราว ทรัพย์ เพอื่ บอกว่ำกริยำในประโยคมีสำเหตุเน่ืองมำจำกอะไร ประโยค คำหรือกลุ่มคำทถี่ ูก ส่ วนขยำย ขยำย คาหรือกลุ่มคาเชื่อม ประโยค ๑.ขา้ พเจา้ ยนิ ดีให้อภยั เพือ่ นผนู้ ้ี เพราะเขามิได้ ยนิ ดีใหอ้ ภยั เพราะ เขามิไดก้ ระทาผดิ กระทาผิดครั้งนีโ้ ดยเจตนา ไม่ยอมให้ เพราะ คร้ังน้ีโดยเจตนา ๒.เจา้ หนา้ ที่ตารวจไม่ยอมให้ประกนั ตวั เพราะ ประกนั ตวั เพราะวา่ ผตู้ อ้ งหามีอิทธิพล ผ้ตู ้องหามีอิทธิพล ไมย่ อมถอน ๓.ขา้ พเจา้ ไมย่ อมถอนคาพดู เพราะวา่ ข้าพเจ้าพูด คาพดู ขา้ พเจา้ พดู ความจริง ความจริ งท่ีเป็ นประโยชน์ต่ อส่ วนรวม ที่เป็นประโยชนต์ ่อ ส่วนรวม ประโยคที่อยหู่ ลงั คา เพราะ เพราะว่า ทาหนา้ ที่ขยายกริยาในประโยคหลกั เพ่ือบอกใหร้ ู้วา่ เหตุใดจึงยนิ ดีให้ อภยั เหตุใดจึงไมย่ อมใหป้ ระกนั ตวั และเหตุใดจึงไมย่ อมถอนคาพดู ตามลาดบั หมำยเหตุ ถา้ เราเปล่ียนประโยคขา้ งตน้ น้ี โดยเขียนเสียใหมเ่ ป็ นประโยคความรวมดงั ขา้ งล่างน้ี ก็จะยงั มีความหมาย ทานองเดียวกนั ๑. เขามิไดก้ ระทาผดิ คร้ังน้ีดว้ ยเจตนา ขา้ พเจา้ ยนิ ดีใหอ้ ภยั เพื่อนผนู้ ้ี ๒. ผตู้ อ้ งหาเป็นผมู้ ีอิทธิพล เจา้ หนา้ ท่ีตารวจจึงไมย่ อมใหป้ ระกนั ตวั ๓. ขา้ พเจา้ พดู ความจริงที่เป็ นประโยชนต์ ่อส่วนรวม ฉะน้นั ขา้ พเจา้ จึงไม่ยอมถอนคาพดู เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๔๖

เพอื่ บอกกริยำในประโยคก่อให้เกดิ ผลอะไรตำมมำ ประโยค คำหรือกลุ่มคำทถ่ี ูก ส่ วนขยำย ขยำย คาหรือกลุ่มคาเช่ือม ประโยค ๑. ครูอธิบายจนเสียงแหบแห้ง อธิบาย จน เสียงแหบแหง้ ๒. เด็กคนน้นั ถูกตามใจจนกระทงั่ ตนเองทาอะไร ถูกตามใจ จนกระทง่ั ตนเองทาอะไร ไม่เป็ น รัก ถึงกบั ไม่เป็น ๓. เขารักเพ่ือนถึงกบั ยอมตายแทนเพ่ือนได้ ยอมตายแทน เพอื่ นได้ ประโยคขยายท่ีเป็นตวั เองน้นั บอกใหร้ ู้วา่ กริยาในประโยคหลกั ไดแ้ ก่ อธิบาย ถูกตามใจ และรัก ก่อใหเ้ กิดผล อยา่ งไร สรุป ความเขา้ ใจในเรื่องประโยคท่ีมีส่วนขยาย จะช่วยใหน้ กั เรียนสามารถแสดงความรู้ ความเขา้ ใจ และ ความรู้สึกนึกคิดของตน ใหผ้ อู้ ่ืนทราบไดโ้ ดยกวา้ งขวางและแจง้ ชดั นอกจากน้ียงั ช่วยใหส้ ามารถวเิ คราะห์ประโยคที่ ผอู้ ่ืนพดู หรือเขียนไวไ้ ดถ้ ูกตอ้ ง ทาใหเ้ ขา้ ใจเน้ือความไดต้ รงตามเจตนาของผพู้ ดู อีกดว้ ย ลบั สมอง ทดลองควำมรู้ ๑. จงแต่งประโยคใหม้ ีคาต่อไปน้ีขยายประธานหรือกริยา พยายามใหป้ ระโยคของนกั เรียนแสดงความรู้ ความคิดหรือ ขอ้ สังเกต ท่ีน่าสนใจแก่ผอู้ า่ น  เปร้ียว แต่งประโยค..............................................................................................  ฉุย แต่งประโยค..............................................................................................  เร็ว แต่งประโยค..............................................................................................  โดดเดี่ยว แต่งประโยค..............................................................................................  ใส แตง่ ประโยค..............................................................................................  เด็ดขาด แตง่ ประโยค.............................................................................................. ๒. จงแต่งประโยคโดยใชค้ าเชื่อมต่อไปน้ี ใหม้ ีเน้ือความพาดพิงถึงสิ่งที่กาหนดไวใ้ นวงเลบ็ ตวั อย่ำง ท่ี (ความพอใจ) – เขาพอใจทไี่ ดท้ าประโยชนใ์ หท้ อ้ งถิ่น o ท่ี (ความดีใจ) แตง่ ประโยค................................................................................................ o ซ่ึง (ลกั ษณะของพ้ืนดิน) แต่งประโยค................................................................................................ เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๔๗

o อนั (ความกา้ วหนา้ ในชีวิต) แต่งประโยค................................................................................................ o แต่ (ความสามารถท่ีไมเ่ หมือนกนั ) แตง่ ประโยค................................................................................................ o จนกระทงั่ (สุขภาพ) แต่งประโยค................................................................................................ o เพราะวา่ (ความสาเร็จ) แตง่ ประโยค................................................................................................ o ท้งั ...และ (การกีฬา) แต่งประโยค................................................................................................ o เม่ือ (ราคาสินคา้ ) แต่งประโยค................................................................................................ o เพราะ (ดินฟ้ าอากาศ) แตง่ ประโยค................................................................................................ o จึง (มลพิษ) แตง่ ประโยค................................................................................................ ๓. จงบอกชนิดของประโยคตอ่ ไปน้ี ๑.) เขาพดู เช่นน้ี เป็นการส่อนิสัยชว่ั ....................................................... ๒.) เม่ือวานน้ีฉนั เจอเด็กเรียนเปี ยร์โน ....................................................... ๓.) อาหารของนกั เรียนเล่นละครอยใู่ นหอ้ ง ....................................................... ๔.) ฉนั รักคนไทยที่รักชาติ ....................................................... ๕.) นกั เรียนฉลาดอยใู่ นกลุ่ม หอ้ ง ๒/๓ ....................................................... ๖.) บทเพลงอนั ไพเราะเพราะพริ้งเริ่มบรรเลง ....................................................... ๗.) เขาดีจนฉนั เกรงใจ ....................................................... ๘.) เขาดี ฉนั จึงเกรงใจ ....................................................... ๙.) เขามีความรู้ เพราะเขาอา่ นหนงั สือมาก ....................................................... ๑๐.) ฉนั มา เม่ือเธอหลบั ....................................................... ๑๑.) คนกวาดถนนของโรงเรียนเป็ นผชู้ าย ....................................................... ๑๒.) การท่ีออกขา่ วมาลกั ษณะน้ีทาใหป้ ระชาชนท่ีตอ้ งการทราบความจริงเกิดความสบั สน ............................................ ๑๓.) การที่รัฐบาลกาหนดโครงการสินเช่ือดอกเบ้ีย ๙% ถือเป็ นตวั อยา่ งหน่ึงของการบิดเบือนขอ้ มูลทาง การตลาด ........................... ๑๔.) ยอดการปลอ่ ยสินเช่ือของสถาบนั การเงินต่างๆใหก้ บั ธุรกิจอสงั หาริมทรัพยม์ ีจานวนสูงเป็ นอนั ดบั ตน้ ๆ..................................... ๑๕.) ทางธนาคารใชเ้ กณฑพ์ จิ ารณาอนุมตั ิวงเงินสินเชื่อจากราคาขายอสงั หาริมทรัพยท์ ี่นามาค้าประกนั .................................. ๑๖.) ผกู้ สู้ ่วนใหญ่ตอ้ งการผอ่ นชาระเงินตน้ ในอตั ราดอกเบ้ียท่ีต่ากวา่ ทอ้ งตลาด......................................... ๑๗.) พี่อา่ นนวนิยายที่ไดร้ ับรางวลั ซีไรต์ ....................................................... ๑๘.) เจา้ หนา้ ที่ซ้ือปลาจากแหล่งเพาะพนั ธุ์ ....................................................... เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๔๘

จงเลอื กคำตอบทถ่ี ูกทสี่ ุด ๑.ประโยคใดใชค้ ากริยาถูกตอ้ ง ก. กองทพั ส่งทหารไปขวางก้นั การโจมตีของขา้ ศึก ข. ผจู้ ดั การกีดกนั โครงการท่ีพนกั งานเสนอใหพ้ จิ ารณา ค. กาแพงประเพณีใด ๆ ก็ไมอ่ าจกีดก้นั ความรักของเราได้ ง. รถยนตท์ ่ีจอดอยนู่ ้นั ขดั ขวางการสญั จรของรถคนั อื่น ๒.ขอ้ ใดเรียงลาดบั คาในประโยคไดเ้ หมาะสมที่สุด ก. ปรากฏวา่ เด็กมีแผลฟกช้าดาเขียวที่ตน้ ขาจากการตรวจของแพทย์ ข. ประวตั ิศาสตร์แบบอาณานิคมไม่นอ้ ยใหอ้ ิทธิพลแก่การศึกษาประวตั ิศาสตร์ไทย ค. ในทางกลบั กนั วชิ าการเกษตรมีส่วนเสริมวธิ ีการจดั การตา่ ง ๆ ง. เหมือนตุก๊ ตาท่ีผถู้ ือปล่อยมือ เขาสิ้นสติสัมปชญั ญะและหล่นลงไปกองอยบู่ นพ้นื ๓. ขอ้ ใดเป็นประโยคตา่ งชนิดกบั ขอ้ อ่ืน ๆ ก. ของกินสาหรับเดก็ ๆ เตม็ ตะกร้าใบใหญ่ ข. เราจะไดน้ งั่ รถรางรองเกาะรัตนโกสินทร์ ค. สินคา้ ในร้านเขาทนั สมยั ทุกชนิด ง. เรื่องท่ีเสนอข้ึนไปติดขดั ตรงไหนบา้ ง ๔. ขอ้ ความใดประกอบดว้ ยประโยคที่ละท้งั คาที่ทาหนา้ ท่ีประธานและกรรม ก. ฉนั ไมช่ อบซ้ือปลาที่ตลาดสดเพราะไมอ่ ยากเห็นปลาถูกฆา่ ต่อหนา้ ต่อตา ข. วนั น้ีแม่จะกลบั บา้ นเยน็ คงไม่มีเวลาทากบั ขา้ ว พอ่ จะทาเอง ค. บุหรี่เป็ นอนั ตรายตอ่ สุขภาพ คุณน่าจะเลิกสูบบุหร่ีเพื่อสมาชิกในครอบครัว ง. รัฐกาลงั ดาเนินการเวนคืนที่ดิน เราจะถูกเวนคืนที่ดินบา้ งหรือเปล่าก็ไมร่ ู้ ๕.“ใครช่วยปิ ดหน้าต่างให้ที” ผพู้ ดู มีความประสงคอ์ ะไร ก. แจง้ ใหท้ ราบ ข. ถามใหต้ อบ ค. บอกใหท้ า ง. ถามใหต้ อบและบอกให้ทา ๖. ขอ้ ใดท่ีผพู้ ดู ตอ้ งการถาม ก. “เขาไม่เคยช่วยใครเลย ” ข. “ใคร ๆ ก็ชอบเขา” ค. งานอยา่ งน้ีใครกท็ าได้ ง. “ใครชอบใส่เส้ือสีฟ้ า” ๗. ประโยคตอ้ งการคาตอบ ก. ฉนั รู้นะวา่ เขาเป็นคนอยา่ งไร ข. ขอ้ สอบอยากอยา่ งไรก็ไม่รู้ ค. ใครกไ็ ม่รู้เป็ นคนเอาของมาคืน ง. ทาไมเขารู้วา่ คุณอยบู่ า้ นคนเดียว ๘. ขอ้ ใดไมแ่ สงเจตนาใหท้ า ก. ไม่นง่ั ก่อนหรือคะ ข. หิวกก็ ินเลยค่ะ ค. ไมร่ ักทาไมไมบ่ อก ง. วนั น้ีคุณดื่มนมแลว้ หรือยงั ๙. “อะไรจะเหน่ือยกวา่ เล้ียงลูกเป็นไมม่ ี” ผพู้ ดู มีเจตนาอยา่ งไร ก. แจง้ ใหท้ ราบ ข. ถามใหต้ อบ ค. บอกใหท้ า ง. ถามใหต้ อบเชิงปฏิเสธ เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๔๙

๑๐. “ผใู้ ดในโลกน้ีที่ข้ึนไปสู่ที่สูงได้ โดยไม่เหยยี บบนั ไดข้นั ต่าก่อน”ผเู้ ขียนมีความประสงคอ์ ะไร ก. แจง้ ใหท้ ราบ ข. ถามใหต้ อบ ค. บอกใหท้ า ง. ถามใหต้ อบเชิงปฏิเสธ ๑๑. ประโยคใดเป็นประโยคบอกใหท้ า ก. พีต่ ุ่มคะ หนูอยากไปเที่ยวเชียงใหม่จงั ข. สงกรานตป์ ี น้ีเราไปเท่ียวกนั ไหมคะ ค. ไปนะพี่ตุ่ม หนูจะไดม้ ีเพ่ือน ง. หนูนะไปแน่ แตห่ นูอยากใหพ้ ่ีไปดว้ ย ๑๒. “กร๋ิง ถ้าออกไปข้างนอก ซื้อข้าวมาด้วยได้ไหม ” คาพดู ของกร๋ิงในขอ้ ใดที่แสดงเจตนาถามใหต้ อบ ก. ใครจะซ้ือให้ ข. จะซ้ือใหใ้ คร ค. ทาไมจะไม่ได้ ง. ไม่ไดจ้ ะทาไม ๑๓.บทสนทนาตอ่ ไปน้ีมีประโยคที่แสดงเจตนาถามใหต้ อบกี่ประโยค เอ๋ “ ทาอยา่ งไรเอ๋จึงจะเรียนเก่งกบั เขาบา้ ง ” เบ๋ “ ก็ทาไมไม่ขยนั มากๆล่ะ ” เอ๋ “ ใครบอกวา่ เอ๋ข้ีเกียจ ” ก. หน่ึงประโยค ข. สองประโยค ค. สามประโยค ง. ส่ีประโยค ๑๔. ขอ้ ใดเป็ นประโยคคาถาม ก. ใครเป็นคนตอบก็ได้ ข. ใครตอบไดใ้ หต้ อบ ค. ใครใหค้ าตอบได้ ง. ใครตอบใหก้ ไ็ ด้ ๑๕.คากริยาในขอ้ ใดบง่ เจตนาแจง้ ใหท้ ราบ ก. เขาเชิญเธอ ข. เขาทกั ทายเธอ ค. เขาตกั เตือนเธอ ง. เขาสมั ภาษณ์เธอ ๑๖.“ใครอยากรู้เรื่องอะไรที่ฉนั ตอบไดจ้ ะมาถามเม่ือไรท่ีไหนก็ไดน้ ะ ” สารน้ีผพู้ ดู มีเจตนาอะไร ก. บอกใหท้ า ข. แจง้ ใหท้ ราบ ค. พดู ประชด ง. ถามโดยไม่ตอ้ งการคาตอบ ๑๗. ขอ้ ใดมีเจตนาในการส่งสารต่างจากขอ้ อ่ืน ก. ใชพ้ ลงั งานอยา่ งประหยดั ไมอ่ ตั คตั ในอนาคต ข. ใชท้ รัพยากรถูกวธิ ี ชาติจะมีความรุ่งเรือง ค. แมโ้ ลกหมุนได้ สานกั ขา่ วไทยกา้ วทนั ง. ตน้ ไมใ้ หร้ ่มเงา พวกเราอยา่ ทาลาย ๑๘.ขอ้ ใดเป็นประโยคความรวม ก. ขาดฉนั แลว้ เธอจะรู้สึก ข. ใครจะรู้สึกอยา่ งไรบา้ งนะ ข. เจา้ ไม่เห็นรู้สึกรู้สมข้ึนมาเลย ง. เมื่อคืนน้ีฉนั แทบจะไมร่ ู้สึกตวั เอาเสียเลย ๑๙.ขอ้ ความในขอ้ ใดที่ผพู้ ดู ใชป้ ระโยคความซอ้ น ก. แมไ่ ปซ้ือผา้ และไปดดั ผม ข. แม่ครัวไปซ้ือกบั ขา้ วท่ีตลาด ค. แมไ่ ปซ้ือผา้ แต่แม่ครัวไปที่ตลาด ง. แมค่ รัวไปหาเพ่อื นอยทู่ ี่ตลาด ๒๐. ขอ้ ใดไม่ใช่ประโยคความรวม ก. นิสิตไดค้ ะแนนนอ้ ยเพราะเขาเกียจคร้าน ข. นิสิตท่ีเกียจคร้านยอ่ มไดค้ ะแนนนอ้ ย ค. นิสิตเกียจคร้าน เขาจึงไดค้ ะแนนนอ้ ย ง. ถา้ นิสิตเกียจคร้านเขาจะไดค้ ะแนนนอ้ ย เอกสารประกอบการเรียน ท๒๒๑๐๑ หน้า ๕๐


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook